บทที่ 9 @รังโจร - รู้สึกเกิดพุทธิปัญญา
“โอ๊ะ!... พี่พุดปล่อยหนูก่อนจ้ะ หนูว่า... อาการไม่ค่อยจะดีเลย”
เสียงละล่ำละลักมาพร้อมกับหน้าตาที่แดงก่ำ กาลค่อยๆ ดึงมือจากการเกาะกุมของพุดออกมากดที่อกด้านซ้ายของตัวเองพลางนิ่วหน้า แรงเต้นกระหน่ำของหัวใจยิ่งทำให้เจ้าตัวหน้าเสียไปกันใหญ่ ได้แต่เกาะยึดที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียวในเวลานี้ไว้แน่น ร่างด้านบนคู้ตัวลงอย่างน่าสงสาร
“คุณหนูกาลเป็นกระไรขอรับ เดินไหวฤาไม่ มา พี่ประคองไปนั่งที่ม้านั่งตรงด้านนั้นก่อนหนา”
หลังจากทรุดตัวลงนั่ง กาลก็พรูลมหายใจออกมาชุดใหญ่ หน้าตาที่ดูเป็นกังวลทำให้พุดนึกสงสารยิ่งนัก มืออุ่นแปะลงบนหน้าผากขาวเนียนแล้วก็พบว่าอุณหภูมิปกติ ติดจะเย็นเล็กน้อยเพราะยืนตากลมแม่น้ำเสียด้วยซ้ำ
“ไข้ก็ไม่มีหนาเจ้า เป็นกระไรคุณหนู บอกพี่พุดที พี่จักได้เร่งหาทางแก้ไข”
อาการอึกอักเม้มริมฝีปาก ก่อนจะตัดใจเอ่ยปากทำเอาพุดหนักใจ ฤาจะเป็นอะไรที่มากกว่าไข้กระนั้นหรือ
“หนู... คือ หนูบอกพี่พุดคนเดียวนะจ๊ะ หนูยังไม่กล้าบอกใคร กลัวทุกคนจะเป็นห่วง อีกอย่าง อาการพวกนี้มันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้ อาจเป็นแค่หนูที่คิดมากไปเองน่ะจ้ะ พี่พุดก็ช่วยรับฟังหนูหน่อยเถอะนะจ๊ะ”
กาลเริ่มยืดตัวขึ้นนั่งตัวตรงทั้งๆ ที่มือขวายังกดบริเวณหน้าอกข้างซ้ายไว้แน่น หันหน้าไปทางพุดแล้วระบายสิ่งที่ตนประสบอยู่ออกมาในรวดเดียว
“หนู... หนูคิดว่าหนูอาจเป็นโรคหัวใจน่ะจ้ะพี่ ช่วงนี้หนูใจเต้นแรงบ่อยๆ หน้าก็คอยจะร้อนซู่ๆ ยังไงก็ไม่รู้ หนูก็ไม่แน่ใจว่าอาการของคนเป็นโรคหัวใจเขาเป็นยังไงกันบ้าง สำหรับหนูแล้วในอกมันเต้นตึ้กๆ แบบแรงมากเลยอะพี่ โชคดีอยู่อย่างที่เวลาเกิดอาการขึ้นมาพี่พุดอยู่ใกล้ๆ ด้วยทุกครั้ง ยังไงหนูก็ยังอุ่นใจว่ายังมีพี่พุดคอยช่วยดูแลถ้าหนูเป็นอะไรไปน่ะจ้ะ”
สีหน้าที่มีแต่ความกังวล เล่าอาการให้ฟังไปด้วยหน้านิ่งคิ้วขมวดไปด้วย ทำให้พุดต้องกลั้นรอยยิ้มแทบแย่ โถ... พ่อคุณของพี่ ตัวพี่มิต้องจบมดหมอที่ใด พี่ยังระบุชื่อโรคให้เจ้าได้เลย อาการเยี่ยงนี้น่ะ เป็นโรคหัวใจเป็นแน่แท้ หากแต่เป็น ‘โรคหัวใจตกเป็นของพี่พุด’ นั่นแหละหนา เห็นแก่ที่เจ้ากังวลนัก ตัวพี่จักยังไม่เปิดโปงเจ้าก็ได้ พุดคิดแล้วแอบยิ้มในใจอย่างมีความสุข หากแต่ที่แสดงออกมากลับทำสีหน้าเป็นจริงเป็นจัง พลางเอ่ยถามด้วยเสียงแสดงความเป็นห่วงเป็นใย
“เป็นมานานเท่าใดแล้วเจ้า ลองค่อยๆ นึกแล้วเล่าให้พี่ฟังที เผื่อพี่จะหาทางช่วยได้”
“อืม... มันก็เป็นมาสักพักนึงแล้วนะจ๊ะ อย่าง... อย่างตอนโน้นที่พี่พุดดมดอกมะลิแล้วว่าชื่นใจ ทั้งๆ ที่พี่ชมดอกไม้ แต่ทำไมหนูใจสั่น ตอนไปดูหิ่งห้อยด้วยกันก็ยิ่งเป็นหนักขึ้นเรื่อยๆ ไปยืนอ่านโคลงที่บ้านพี่นี่ใจหนูเต้นยังกะตีกลองแน่ะ แล้วเมื่อกี๊นี้เองสดๆ ร้อนๆ เลย พอพี่พุดจับมือหนูไปแปะบนตัวพี่เท่านั้นเอง หน้าหนูงี้ร้อนยังกะโดนไฟลน โชคดีอยู่ตรงมีพี่พุดอยู่ในเหตุการณ์ทุกครั้งนี่แหละหนูเลยพอจะเบาใจได้บ้าง”
“ก็มิได้ทึ่มเท่าใดหรอกหนา”
“หา... พี่พุดว่าอะไรนะจ๊ะ”
“พี่ว่าอาการก็มิได้เป็นกระไรมากดอกหนา พักผ่อนมากๆ รับประทานอาหารให้ครบ ๕ หมู่ หมั่นออกกำลังกายบ่อยๆ ประเดี๋ยวอาการก็จะค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับนะเจ้า”
กาลกระพริบตาปริบ ทำหน้าตางุนงง เพราะข้อแนะนำที่พุดบอกนี่มันคือพื้นฐานทั่วไปในการดูแลสุขภาพของตนเองไม่ใช่เหรอ ฝ่ายพุดกลับทำหน้าเคร่งเครียดเอ่ยต่อเสียงหนักแน่น แลดูทั้งทรงภูมิทั้งน่าเชื่อถือในคราวเดียวกัน
“คุณหนูกาลอย่าได้สงสัยไปเลยหนา พื้นฐานร่างกายที่แข็งแรง ไม่ว่าโรคภัยใดๆ ก็มากล้ำกรายไม่ได้ ดูอย่างการสร้างเรือนนั่นอย่างไร หากโครงสร้างของเรือนแข็งแรง จะกี่ลมฝนกี่พายุ เรือนก็ยังดำรงอยู่ได้ เชื่อพี่เถิดหนาพี่เรียนวิศวะมาพี่รู้ดี ว่าแต่คุณหนูเคยไปเกิดอาการหัวใจเต้นแรงตอนไปกับคนอื่นๆ บ้างไหมขอรับ”
คำตอบที่ได้ทำเอางงไปกันใหญ่ คุยไปคุยมาไหงไปเกี่ยวกับการสร้างเรือนได้ล่ะนี่ ขณะกำลังขบคิดตามก็โดนโยนคำถามมาให้ตอบซะอีก กาลจึงได้แต่พึมพำตอบปัญหาไป แล้วปล่อยให้ทฤษฎีการสร้างเรือนให้มั่นคงทำให้ร่างกายแข็งแรงปล่อยผ่านไป
“อืม เท่าที่นึกๆ ดู เวลาเกิดอาการ หนูก็อยู่กับพี่พุดทุกทีนะจ๊ะ แต่เอาจริงๆ ไปไหนก็ไปกับพี่พุดตลอดนั่นล่ะ จนคุณแม่ยังบอกว่าตัวติดกันเป็นปาท่องโก๋แล้ว”
เสียงหัวเราะคิกคักทำเอาพุดจ้องมองเพลิน ยังไม่รู้ตัวก็ไม่เป็นไรดอกหนา ขอเพียงพี่รู้ว่าเจ้าก็พอมีใจให้กับพี่บ้างก็ดีพอแล้ว พี่รอได้... ไม่ว่าต้องนานอีกสักเพียงใดพี่ก็รอเจ้าได้เสมอ คุณหนูกาลของพี่
**********************************************************************************
“เอ็งเห็นแล้วใช่มะ อย่างที่ข้าเคยบอก พวกนี้แม่งมากันทุกปี”
เสียงพูดมาจากชายรูปร่างสูงใหญ่ที่กำลังดับบุหรี่ในมือลงด้วยการขยี้กับโคนต้นไม้ที่ตนเองกับเพื่อนอีกสองสามคนแอบซุ่มดูอยู่
“แม่งมาจากประเทศอะไรวะ ท่าทางจะรวยชิบหาย คนเอเชียนี่ข้าดูไม่ออกจริงๆ ว่ะ หัวดำๆ ตาตี่ๆ เหมือนกันไปหมด” หนึ่งในพรรคพวกที่เฝ้าสังเกตการณ์มาได้สักระยะหนึ่งแล้วโพล่งขึ้น พลางเคี้ยวหมากฝรั่งหยับๆ
“ประเทศไหนก็ช่างแม่งเหอะ ขอแค่มีเงินก้อนโตมาเป็นค่าไถ่ตัว ข้าก็ไม่อยากรับรู้หรอกว่ามันเป็นคนที่ไหน ว่าแต่เลือกรึยังว่าจะเอาคนไหนไปดีวะ สาวๆ ทางโน้นไม่เอานะ เบื่อเวลาแม่งกรี๊ดกร๊าด กว่าจะถามเบอร์โทรติดต่อทางบ้านได้ข้าล่ะเครียด” คนตัวผอมสุดมีหน้าตาเบื่อหน่ายยามพูดถึงเหยื่อที่ไม่ได้ดั่งใจ
“แล้วคนนั้นเป็นไงล่ะที่อ้วนๆ หน่อย ดูท่าทางสูงอายุมาอีกนิดไม่น่าจะแหกปากพร่ำเพรื่อนะข้าว่า”
นิ้วที่ชี้จิ้มลงบนหัวคนพูดกดย้ำๆ อยู่หลายที ก่อนจะมีเสียงบ่นตามมาด้วยความเกรี้ยวกราด
“หัวเอ็งนี่มันใส่ฟองน้ำไว้เรอะ หัดใช้สมองคิดซะบ้าง อ้วนๆ ตันๆ อย่างนั้น เวลารีบร้อนหลบพวกตำรวจขึ้นมาแม่งเป็นตัวถ่วงตายห่า คิดสิคิด”
“เอ็งเลิกจิ้มหัวข้าซะทีได้ไหมวะ จิ้มจนจะทะลุอยู่แล้ว นี่หัวคนนะโว้ย”
“หยุด! จะทะเลาะเรื่องไร้สาระกันอีกนานไหมวะ ฟังแล้วปวดหัวชะมัด”
เสียงเย็นจากผู้ชายร่างสูงผิวขาวจนติดจะซีด เจ้าของดวงตาคมกริบสีน้ำตาลอัลมอนด์รับกับผมสีทองเปรยออกมาเพียงเบาๆ ก็ทำให้ลูกสมุนทั้งสามเงียบเสียงถกเถียงกันลงได้ มือเรียวยกบุหรี่ในมือขึ้นอัดเข้าปอดเฮือกใหญ่ ก่อนจะทิ้งลงบนพื้นแล้วขยี้เล่นอย่างไม่ยี่หระ กิริยาอาการเรื่อยเฉื่อยจนเหล่าลูกน้องคิดว่าลูกพี่จะยกเลิกแผนการซะแล้ว ถ้าไม่มีเสียงเรียบๆ เอ่ยออกมา
“เห็นผู้ชายสองคนตรงม้านั่งนั่นมะ เลือกคนที่ผิวขาวๆ นั่นก็แล้วกัน ดูจะเด็กที่สุด น่าจะควบคุมง่าย”
“แล้วไอ้ผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างๆ กันนั่นล่ะ เอาไงดี” ชายที่เคี้ยวหมากฝรั่งถาม
“ต้องให้บอกด้วยเหรอว่าจะจัดการยังไง”
ดวงตาคมปลาบตวัดมองพลางถอนหายใจในความได้ได้เรื่องของลูกทีมตัวเอง บอกให้ก็ได้วะ ไม่บอกแม่งคงเดินไปถามเหยื่อว่าผมจะจัดการกับคุณยังไงดีครับ เสียงจึ้กจั้กในลำคอดังอย่างไม่พอใจ ก่อนจะบอกด้วยน้ำเสียงติดจะรำคาญนิดๆ
“ทำยังไงก็ได้ที่จะซัดมันให้สลบน่ะ แต่ไม่ต้องเอาให้ถึงตาย แค่นี้คดีก็ติดตัวยาวเป็นหางว่าวละเอ็ง อ้อ แล้วไม่ต้องถามต่ออีกนะว่าทำยังไงให้มันสลบ รึต้องให้ข้าลงมือเอง?”
ฝ่ายรับคำสั่งส่ายหน้าหวือ ฉายาลูกพี่หล่อแต่เลวไม่ได้มีติดตัวเฉยๆ ใครๆ ก็รู้ขืนงานง่ายๆ อย่างนี้ยังต้องให้ถึงมือลูกพี่คนที่จะถูกเลวใส่จะเป็นใครไปได้อีกนอกจากเขาล่ะ แค่คิดก็ขนต้นคอลุกละ
แฟรงค์เอามือล้วงกระเป๋ากางเกงยีนส์สีซีดของตน พลางพยักหน้าไปทางรถตู้สีดำที่ติดฟิล์มทึบทั้งคันเป็นสัญญาณว่าจะไปรอที่รถ ซึ่งก็หมายความว่า ทางนี้ก็จัดการกันให้เรียบร้อยล่ะ ปรายตามองลูกน้องทั้งสามคนอีกครั้งก่อนจะก้าวเท้าเอื่อยๆ เดินไป
ชายอีกสามคนอันประกอบไปด้วยอองรี หนุ่มร่างใหญ่ผู้รับหน้าที่มือขวาของแฟรงค์ ทำงานหมดจดรวบรัด ไม่ต้องสั่งให้มากความ ข้อเสียคือติดบุหรี่ขนาดหนัก ทำให้เวลาซุ่มดูเหยื่อเกือบจะพลาดท่าโดนจับได้กันหลายครั้งเพราะควันที่ลอยโขมงกับไฟที่แดงวาบๆ อยู่ตลอดเวลานั่นล่ะ
ปีเตอร์ รูปร่างผอมหน้าเสี้ยม ผู้มีแววตาหลุกหลิก ฝีมือดี เวลาทีมมีปัญหาพร้อมจะชิ่งอยู่ตลอดเวลา
และคนสุดท้าย เดฟ ลูกกระจ๊อกประจำกลุ่ม เจ้าของคำถามว่าจะจัดการยังไงนั่นล่ะ เดฟ เป็นประเภทรับคำสั่งอย่างเดียว ใช้งานคล่อง เสียตรงที่ไม่ค่อยมีสมอง เลยมักตัดสินใจอะไรเองไม่ได้
“ฟังนะ” อองรีบอกแผนการให้อีกสองคนรับรู้
“เดี๋ยวข้าจะย่องไปข้างหลังแล้วฟาดไอ้คนติดตามนั่น ปีเตอร์ เอ็งคอยปิดปากไอ้เด็กคนนั้นไว้แล้วลากมายัดใส่รถ อย่าให้มันแหกปากได้ล่ะ เดี๋ยวงานเข้าละลูกพี่ด่าตายห่า ส่วนเอ็ง เดฟ คอยดูต้นทางไว้ เห็นท่าไม่ดีรีบส่งข่าว จะได้เผ่นทัน เข้าใจไหม”
เมื่อเห็นอีกสองคนพยักหน้ารับ อองรีจึงค่อยๆ เคลื่อนตัวแฝงไปกับความมืดพร้อมปีเตอร์ โดยมีเดฟคอยยืนระวังหลังให้ทั้งคู่
เสียงลมที่หวดดังมาทางด้านหลังทำให้พุดยกมือรับไว้ตามสัญชาติญาณทันที แต่ไม้เบสบอลที่ฟาดลงมาเต็มแรงก็สร้างความเจ็บปวดที่ท่อนแขนของพุดอยู่เอาการเหมือนกัน ท่อนแขนคร้ามขึ้นรอยแดงเป็นปื้นทันที
“คุณหนูระวัง!”
สิ้นเสียง พุดก็โผตัวไปรวบกาลให้กลิ้งลงไปบนสนามหญ้า รอดพ้นมือที่กำลังเอื้อมมาด้านหลังไปได้อย่างหวุดหวิด ทั้งสองคนกลิ้งไปได้ไม่ไกลนัก พุดก็ต้องรีบเอาตัวบังกาลไว้ทันที เมื่อเห็นทางหางตาว่ามีไม้เบสบอลกระหน่ำตามมา
“พี่พุด!”
กาลไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ขณะที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ก็รู้สึกหน้าตนแนบเข้ากับหน้าอกของคนที่คอยปกป้องไว้แล้ว ได้ยินเสียงดัง ‘อั้ก’ ลอดเข้าหูมา กำลังจะเงยหน้าขึ้นถามอาการ เพราะฟังจากเสียง พี่พุดต้องโดนทำร้ายเข้าสักที่แน่นอน แต่กลับถูกกดศีรษะไว้ไม่ให้เงยหน้าขึ้นมา พร้อมเสียงปลอบประโลมที่ดังขึ้นข้างหู ทั้งๆ ที่คนพูดต้องอดกลั้นจากความเจ็บปวดไว้
“ชู่ว... หลับตาไว้ขอรับ ไม่ต้อง... กะ... กลัวหนา อีกประ... อึ้ก!... อีกประเดี๋ยวก็ปลอดภัยแล้ว”
พุดรู้สึกผิดที่ประมาทเลินเล่อ มัวแต่หยอดคำหวานให้คุณหนูกาล ทำให้มิได้ระแวดระวังเภทภัยรอบกายเท่าที่ควร บรรยากาศอบอุ่นอ่อนหวานเมื่อสักครู่คล้ายดั่งภาพเงารางเลือน พุดไม่สนแล้วว่าคุณหนูกาลจะรู้สึกเยี่ยงไรกับเขา เพลานี้ ขอแค่คนในอ้อมกอดปลอดภัยก็เพียงพอแล้ว จะไม่ขอวาดหวังถึงวันคืนที่ได้อยู่เคียงคู่กันก็ได้ หากเป็นในยามปกติพุดคงหันไปสู้ตายกับคนร้ายให้รู้ดำรู้แดงไปแล้ว แต่นี่มีชีวิตของคุณหนูกาลเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย พุดจึงมิอาจหาญเสี่ยงได้ ทำได้แต่เพียงใช้ลำตัวบดบังคุณหนูไว้ให้ได้มากที่สุด ในส่วนลึกของหัวใจก็เพียรสวดภาวนาขอให้คุณพระคุณเจ้าดลใจให้การ์ดที่ทำหน้าที่คุ้มครองคนในตระกูลเศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาลรู้สึกถึงความผิดปกติและนำทีมออกค้นหาแล้วมาพาดวงใจของไอ้พุดไปอยู่ในที่ๆ ปลอดภัยทีเถอะ!
หากแต่คำสวดภาวนาของพุดกลับไม่เป็นผล สติรับรู้ของเจ้าตัวกลับค่อยๆ พร่าเลือนลงเรื่อยๆ สวนทางกับแผลฟกช้ำตามตัวที่มีเพิ่มมากขึ้น เสียง ‘โพล๊ะ’ สุดท้ายคล้ายดังก้องกังวานอยู่ข้างในหู หางคิ้วคงจะแตกกระมัง เพราะรู้สึกได้ถึงความอุ่นร้อนที่เริ่มหยาดหยดลงมา บาดแผลน่ะช่างมันเถิด คิ้วเข้มขมวดมุ่นแทบเป็นปม เมื่อเห็นคนในอ้อมแขนเงยหน้ามาด้วยดวงตาเบิกกว้าง หางตาคล้ายมีน้ำใสคลอคลอง คุณหนูกาลคล้ายขยับปากพูดบางสิ่ง แต่พุดไม่สามารถได้ยินเสียงอะไรได้อีก
พุดฝืนขยับริมฝีปากเป็นรอยยิ้มที่พยายามทำให้ดูอบอุ่นอ่อนโยนที่สุด คุณหนูจักได้ไม่ต้องเป็นกังวล เห็นหน้าตาซีดเซียวเยี่ยงนั้นแล้ว ในหัวอกมันบีบรัดด้วยความไม่ใคร่สบายใจเอาเสียเลย ไม่อยาก... ไม่อยากทำให้คุณหนูเธอต้องเป็นกังวล มือคร้ามพยายามจับมือของอีกฝ่ายบีบกระชับไว้แน่นเพื่อปลอบประโลม ก่อนที่ร่างสูงจะค่อยๆ หลับตาและเอนพิงซบแน่นิ่งอยู่ตรงไหล่ของกาล
“พี่พุด!”
กาลว่ากาลตะโกนสุดเสียง แต่คำที่ได้ยินกลายเป็นแค่เพียงเสียงกระซิบเท่านั้น พยายามจะโอบพุดไว้ แต่ก็ทำไม่ได้ถนัด เพราะมืออีกข้างถูกพุดเกาะกุมไว้อย่างแน่นหนา
“พวกเอ็งทำอะไรกันอยู่วะ นานไปแล้วนะโว้ย ไปกันได้แล้ว”
เดฟวิ่งเข้ามาตะคอกใส่ด้วยเสียงที่พยายามให้เบาที่สุด แต่ก็เป็นไปได้ยาก เพราะดึกสงัดแบบนี้เสียงเบาๆ ก็กลายเป็นเสียงที่ชัดขึ้นมาท่ามกลางความมืด อองรียกมือที่ชื้นไปด้วยเหงื่อจากการกุมด้ามไม้เบสบอลเป็นเวลานานขึ้นปาดเหงื่อพลางดุ
“แล้วเอ็งจะเสียงดังให้พ่อเอ็งแห่มารึไงวะ มาก็ดีแล้ว มาลากไอ้หมอนี่ไปโยนไว้ข้างหลังพุ่มไม้โน่น แล้วจะได้รีบไป แม่งเสียเวลาชิบ! กว่าจะซัดหมอบได้ใช้เวลาอย่างนาน แม่งจะทนอะไรขนาดนั้นวะ”
ปีเตอร์ขี้เกียจอยู่ฟังเพื่อนสองคนทะเลาะกันจึงจัดแจงเอาผ้าอุดปากเป้าหมายทันที พยายามทั้งดึงทั้งลากคนที่ก็ดูตัวเล็กๆ แต่ทำไมมันหนักจังวะ
“พวกเอ็งสองคนเลิกเห่าใส่กันแล้วมาช่วยกันแบกไอ้เด็กนี่ไปที แม่งหนักชิบ!”
“ไอ้โง่! มือมันจับกันไว้แน่นขนาดนั้นก็แกะก่อนสิวะ”
ห่าเอ๊ย... ปีเตอร์ได้แต่สบถอยู่ในใจ ทีอย่างนี้แม่งสามัคคีหันมาด่าได้พร้อมเพรียงกันยังกะฝาแฝด
ทั้งสามคนช่วยกันดึงเพื่อให้มือทั้งคู่หลุดออกจากกัน แต่ไอ้เด็กนี่ก็แสบใช่ย่อย ทั้งดิ้น ทั้งข่วน พยายามจับมือคนที่สลบไปแล้วให้แน่นได้มากที่สุด ขนาดบีบมือจนขึ้นรอยเขียวช้ำไปทั้งแขนยังไม่ยอมปล่อย จึงตกลงใจแบกมันไปพร้อมกันทั้งสองคน เสี่ยงให้ลูกพี่ด่าดีกว่าเสี่ยงเสียเวลารอให้ตำรวจมาจับ
ครืดดดด
เสียงเลื่อนเปิดของประตูรถตู้ที่ดังขึ้น ทำให้แฟรงค์หันกลับไปมองแล้วก็ต้องจุปากขัดใจ เมื่อเห็นว่าลูกน้องทั้งสามทำเกินคำสั่งด้วยการพาเหยื่อมาให้เกะกะเนื้อที่เพิ่มขึ้นเป็นสองคน หากแต่ยังไม่ทันจะออกปากด่าก็ได้สบตาเด็กที่เป็นเป้าหมายเข้าเสียก่อน ปากนั่นถูกอุดไว้ด้วยผ้า แต่แฟรงค์กลับรู้สึกถึงคำด่าที่ไม่มีเสียงมาจากหน่วยตาเรียวยาวคู่นั้นได้เป็นอย่างดี คาดว่าคงขุดทุกสิ่งอย่างในสากลโลกมาครบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ก็เป็นธรรมดา ใครโดนจับตัวมาก็ต้องมีอารมณ์นี้กันทั้งนั้นแหละ เผลอๆ ถ้าเป็นตัวเขาโดนใครก็ไม่รู้จับตัวไป อาจจะแค้นจนมีไฟลุกออกจากตาก็ได้ใครจะไปรู้
“พวกเอ็ง... มีใครจะอธิบายอะไรไหม”
ทั้งสามคนนั่งหอบแฮ่ก มองหน้ากันไปมาก่อน อองรีจะเป็นคนพูดขึ้นเมื่ออีกสองคนเล่นบทใบ้กันซะงั้น
“รีบไปก่อนดีกว่า ท่าทางจะเริ่มรู้ตัวกันแล้ว เดี๋ยวเล่าให้ฟังระหว่างทางก็แล้วกัน”
รถที่แล่นด้วยความเร็วสูง กำลังมุ่งหน้าไปที่ไหน กาลก็ไม่อาจรับรู้ได้ ด้วยตอนนี้ นอกจากผ้าที่ปิดปากไว้แล้ว ยังมีผ้าปิดตาเพิ่มมาเป็นเครื่องประดับสุดชิคอีกชิ้นหนึ่งด้วย ความเครียด ความวิตกกังวลในการถูกพาตัวมาโดยไม่รู้สาเหตุนั้นสำหรับกาลแล้วเฉยๆ มาก เพราะคงไม่มีอะไรจะมาทำให้เขาสติแตกได้เท่ากับการฟื้นมาอยู่ในโลกคู่ขนานใบนี้แล้ว หากแต่ที่ทำให้รู้สึกอึดอัดกังวลอยู่ในอก กลับเป็นอาการของคนที่กุมมือกันไว้แน่น แม้ยามหมดสตินี่มากกว่า
ก่อนที่พุดจะสลบไป กาลเห็นเลือดไหลออกมาจากบริเวณหางคิ้วจนชุ่มโชก ทางด้านหลังก็โดนกระหน่ำตีด้วยไม้เบสบอลตั้งหลายครั้ง อวัยวะข้างในแตกหักเสียหายบ้างรึเปล่าก็ไม่รู้ ได้แต่คิดห่วงไปสารพัด แต่ทำได้มากที่สุดก็แค่บีบมือให้กำลังใจคนไม่รู้สึกตัวแค่นั้นเอง
กาลเกร็งตัวขึ้นมาทันที เมื่อรู้สึกได้ถึงการชะลอตัวของพาหนะที่ตนเองนั่งอยู่ จากนั้นตัวเขาก็โดนฉุดกระชากให้ออกเดินเมื่อรถหยุดนิ่ง เดินสะเปะสะปะได้อยู่ครู่หนึ่ง ก็โดนผลักให้นั่งลงบนพื้นหินเย็นเฉียบ แผ่นหลังกระแทกกำแพงจนเผลอร้องออกมาด้วยความเจ็บ
ผ้าที่ผูกปิดตาไว้ถูกกระชากออกด้วยแรงที่ไม่มีออมมือทำเอากาลถึงกับหน้าหงายไปด้านหลังตามแรงดึง ภายในห้องเปิดไฟไว้เพียงสลัวราง หากแต่กาลก็ต้องหยีตามอง เพราะตาถูกปิดให้อยู่ในความมืดมานาน ในขณะที่กำลังปรับตัวกับแสงสว่างอยู่นั่นเอง เสียงทุ้มที่ดังอยู่เหนือศีรษะก็ทำให้กาลต้องเงยหน้าขึ้นมอง
“สวัสดีคุณหนู ยินดีต้อนรับสู่รังโจร”
กาลเหลือบตาขึ้นมองเจ้าของเสียงเพียงแวบเดียว ก่อนจะหันไปสำรวจคนข้างกายที่ยังคงไม่ได้สติอยู่จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ พอเห็นว่าเลือดที่หางคิ้วหยุดไหลไปแล้ว เหลือเพียงคราบแห้งกรังของเลือดก็เบาใจไปได้ส่วนหนึ่ง มือเรียวยื่นไปลูบรอยย่นระหว่างคิ้วของคนที่นอนหลับตา แต่ก็ดูจะมีความกังวลจนแม้กระทั่งสลบไปก็ยังขมวดคิ้วไม่หยุด
อาการมองเล็กน้อยแล้วหันไปแทบจะทันทีนี่ที่บ้านเรียก ‘ถูกเมิน’ นะ แฟรงค์หางตากระตุกทันที เพราะเจ้าเด็กที่โดนจับมานี่ไม่แม้แต่จะฟูมฟายขอร้องให้ปล่อยตัวไป ขนาดหน้าของเขามันยังไม่มองเลย! รึว่ามันยังเด็กเลยยังไม่รู้จักความกลัว แบบนี้ต้องมีการข่มขู่กระโชกโฮกฮากเพื่อทำการข่มขวัญซะหน่อยแล้ว
“เฮ้ย! ไอ้หนู รู้ใช่ไหมว่าโดนจับมาเรียกค่าไถ่น่ะ ถ้าไม่อยากเจ็บตัว เวลาพวกพี่ๆ ถามอะไรก็ตอบดีๆ อย่าเล่นลิ้น ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าพี่ไม่เตือนนะเว้ย”
ตะคอกเสร็จก็ทุบโต๊ะเสียงดังสนั่น ก่อนจะหันไปส่งสายตาให้อองรีทำเป็นย่างเท้าสามขุมเข้ามาหาพร้อมกับหักนิ้วจนลั่นกร๊อบประกอบการแสดงไปด้วย
“เฮ้ย... ใจเย็นๆ อย่าเพิ่งลงไม้ลงมือเว้ย ยังไงไอ้หนูนี่ก็ยังเด็กอยู่ เดี๋ยวกลัวจนตกใจช็อคตายไปซะก่อนจะอดได้เงิน” ชงเองแล้วก็ทำทีเป็นห้ามเพื่อนเองเสร็จสรรพ
เสียงทอดถอนใจที่ดังออกมาจากร่างเหยื่อตรงหน้าต่างก็ทำให้บรรดาคุณโจรยืนงงกันไปทั้งแก๊งค์ เอ่อ... มันควรร้องไห้สติแตกรีบบอกข้อมูลทางบ้านแล้วละล่ำละลักขอความเมตตาไม่ใช่เหรอวะ ไอ้การมานั่งถอนใจใส่นี่คืออะไร?
“เบอร์โทรตามนี้นะ xxxxxxxxx บอกไปว่าจับตัวคนชื่อกาลกับชื่อพุดมา จะเอาเงินเท่าไหร่ก็เรียกร้องไป ถ้าหมดธุระแล้วก็เชิญด้านนอกเลยครับ ผมกับพี่ต้องการความสงบ เราจะได้พักผ่อนกันเงียบๆ สักครู่”
เงิบ!!
เฮ้ยยยย ไอ้เด็กแวรนี่เห็นที่นี่เป็นโรงแรมห้าดาว แล้วพวกเขาเป็นเด็กรับใช้รึไงวะ เดฟถกแขนเสื้อขึ้นเตรียมเบิ๊ดกะโหลกสั่งสอนให้ไอ้เด็กปากดีนี่รู้สำนึกซะบ้าง
ปีเตอร์ได้แต่คว้าแขนเดฟไว้แล้วลากออกจากห้องไปทันที
“จะไปเต้นตามมันทำไมวะ กะอีแค่เด็กคนนึงเนี่ย เอ็งจะบ้ารึเปล่าไอ้เดฟ”
“ก็ดูมันพูดจา ทำท่าทำทางวางโตนั่นสิ แม่งน่ากระทืบจริงๆ พับผ่า”
แฟรงค์กับอองรีที่เดินตามออกมาทีหลังได้ยินเสียงเดฟโวยวายหงุดหงิดก็ได้แต่ส่ายหน้า ก็สมควรอยู่หรอกนะที่เดฟมันหงุดหงิด ดูท่าทางไม่สนใจใคร พูดเสียงเย็นๆ นั่นซะก่อน บอกได้คำเดียวว่าโคตรจะกวนตีน
“ช่างแม่งเหอะ รีบไปติดต่อทางบ้านไอ้เด็กเวรนั่นละกัน พอได้เงินแล้วเอ็งจะสั่งสอนยังไงก็เรื่องของเอ็ง”
(มีต่อค่ะ)