Part 62
เช้าวันใหม่เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง… แสงแดดส่องผ่านผ้าม่านผืนโปร่งเข้ามารำไรพอให้รู้สึกตัวว่าสว่างแล้ว แต่ผมกลับยังคงนั่งอยู่ข้างเตียงใหญ่ของตัวเอง อยากหลับ แต่ก็หลับไม่ลง เหมือนจะรู้สึกตัวตลอดเวลา… สุดท้ายเลยต้องลุกขึ้นมานั่งมองไอ้คนที่หลับปุ๋ยอยู่ข้างๆ แทน
ผมยกมือขึ้นเขี่ยผมสีเข้มนั่นเบาๆ ให้เสยขึ้นไปบนหน้าผาก ลอบสังเกตว่าหน้าตาอีกฝ่ายก็ดูโทรมไม่แพ้กันซักเท่าไหร่ ทั้งๆ ทีปิดเทอมมันจะได้ใข้เวลาพักผ่อนสบายๆ ไปเที่ยวกับเพื่อนฝูง ผ่อนคลายจากการเรียนมาตลอดทั้งเทอม… ไอ้ตัวยุ่งกลับเลือกที่จะอยู่ข้างๆ ผม… ทำกิจกรรมร่วมกัน กินด้วยกัน นอนด้วยกัน และหายใจร่วมกัน…. ในเวลาที่ผมต้องติดต่อเรื่องงานมันเองก็คอยมานั่งให้กำลังใจไม่ห่าง จนช่วงที่ผ่านมานี้ตัวติดกันแจยิ่งกว่าแฝดสยามซะอีก
ผมใช้เวลาบางส่วนเพื่อเข้าบริษัทเก่าและส่งข่าวเกี่ยวกับงานใหม่ของตัวเอง ทุกคนต่างก็แสดงความยินดีและก็มีบางส่วนที่แอบเสียใจเพราะหวังลึกๆ ว่าผมจกลับเข้าไปทำงานเหมือนเดิม โดยเฉพาะไอ้ไมล์… แต่มันก็รู้อยู่แล้วว่าผมต้องเลือกทางนี้เลยไม่ได้แปลกใจอะไรมากนัก ไอ้แต่กระซิบเย้าแหย่จนวินาทีสุดท้าย “ระวังเถอะ ปล่อยปลาย่างหอมๆ กรอบๆ ไว้แบบนี้ จะมีแมวมาขโมย”
เลยได้แต่หัวเราะเหี้ยมๆ แล้วตบหัวมันไปหนึ่งฉาด
ผมมารู้สึกตัวอีกทีเมื่อมือตัวเองถูกกุมไว้แน่น มิกกี้ดึงมือผมเข้าซุกกับซอกคออุ่นทั้งๆ ที่ตายังคงปิดสนิท ไอ้ตัวเล็กคดตัวแน่นเข้ากับที่นอน ผ้าห่มถูกม้วนขดพันแน่นรอบตัวจนเหมือนดักแก้กลายๆ
“หึหึ ตื่นได้แล้วขี้เซา” ได้โอกาสลูบไล้ต้นคอเจ้าหนูแล้วนวดเบาๆ
“…ไม่อยากตื่น” ว่าแล้วก็ขดตัวหนักกว่าเก่า แต่ที่หนักกว่าที่พยายามรั้งผมให้ลงไปนอนด้วยนี่สิ
“อย่าขี้เกียจ ไอ้เด็กดื้อ” ผมว่ามันขำๆ ทีเล่นทีจริง
“นะๆ…นอนต่ออีกหน่อยนะ”
“ลุก”
“น้าาาา…น้า ป้า อา ลุงงงง” ดูมุขมัน -*- ยังอุตว่าห์ยิงได้แต่เช้า แถมยังเน้นหนักตรงลุงซะด้วย มันน่าถีบให้ตกเตียงชะมัด
ไอ้มิกกี้ทำหน้าตาทะเล้นทะลึ่ง ทำปากจู๋เหมือนจะให้จุ๊บอรุณสวัสดิ์ แต่พอผมจะทำจริงมันกลับรีบดึงผ้าห่มมาปิดคลุมทั้งปากทั้งจมูกตัวเอง
“ลืมไป ยังไม่ได้แปรงฟัน” ผมหัวเราะกับคำพูดมัน แล้วก้มลงจูบปากอีกฝ่ายผ่านทางผ้าห่มอีกที ไล่ขึ้นไปถึงพวงแก้ม และลงท้ายด้วยเปลือกตาที่สั่นระริกเล็กน้อยยามโดนริมฝีปากร้อน …ทำหน้าเคลิ้มได้อีกไอ้ตัวแสบเอ้ย
“ลุกเถอะ เดี๋ยวไอ้ไมล์จะมาแล้ว”
“เอ้อออ ลืมมมม” ไม่รู้ว่าแกล้งพูดหรือลืมจริงๆ ซึ่งผมคิดว่าเป็นอย่างแรกมากกว่า อย่างมันน่ะเหรอจะลืม ถ้าเป็นห้องขังคงเอาชอล์คมาขีดฆ่าวัน ฆ่าเวลาไว้แล้วล่ะ
มิกกี้กระเด้งตัวออกจากเตียงอย่างรวดเร็ว แล้วบิดไปบิดมาสลัดความขี้เกียจ ผมเลยเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวมาให้
“น่ารักจริงๆ เลยครับคุณภรรยา ปลุกสามีแต่เช้าแล้วยังปรนนิบัติอย่างดีอีกต่างหาก” ไอ้ตัวยุ่งยิ้มกรุ่มกริ่มแล้วกระโดดเหยงลอบหอมแก้มผมฟอดใหญ่ เล่นเอางงไปครู่นึงเหมือนกัน
“ครับ คุณสามีครับ…รีบไปอาบน้ำล้างขี้ฟันเลย ไม่งั้นเดี๋ยวโดนเตะไส้แตก” ว่าแล้วก็หยิกก้นมันไปด้วยความหมั่นไส้ ไอ้มิกกี้สะดุ้ง หันมาทำปากยื่นหน้างอลูบตูดตัวเองป้อยๆ
เสียงประตูห้องน้ำค่อยๆ เปิดออกมาพร้อมกับไอร้อนพวยพุ่งออกมาด้วย ไม่รู้มันจะอาบน้ำร้อนไปไหน ดูสินั่น…ตัวแดงเถือกแต่เช้า ผมกะจะไม่สนใจมันเท่าไหร่ แต่ก็ต้องจ้องอีกฝ่ายอยู่อย่างนั้นเมื่อมันยืนนิ่งมองผมเก็บข้างของกระจุกกระจิกลงกระเป๋าและตรวจตราความเรียบร้อยเป็นครั้งสุดท้าย
“ให้ผมช่วยมั้ย” มันทำท่าจะลงมาคุกเข่าข้างๆ ผม แต่ก็โดนไล่ซะก่อน
“ไปแต่งตัวก่อนป่ะ แล้วค่อยไปหาอะไรกินกัน”
มิกกี้ยังคงนั่งจ๋องอยู่ตรงนั้น สายตาก็มองไปยังกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ของผม ที่จริงของมันมีไม่มากหรอกเพราะผมมีอยู่ที่นู่นแล้ว ก็แค่ใส่ของบางอย่างที่ซื้อที่ไทยถูกกว่าและของใช้ส่วนตัวเล็กน้อย ที่เยอะคือของแห้งของกินมากกว่า ไอ้หนูนั่นแหล่ะครับที่ยัดเยียดใส่มาให้ มันบอกกินอะไรก็ไม่อร่อยเท่าของบ้านเรา… ทำยังกับผมเพิ่งเคยไปอยู่ต่างประเทศอย่างงั้นแหล่ะ ดูแลซะดิบซะดี
“โอเคมั้ยมิกกี้?” ผมหันไปถามอีกฝ่าย พร้อมกับดึงมันเข้ามากอดๆ ลูบหัวเล่นไปด้วย
“…อืม”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า เดี๋ยวไปถึงแล้วรีบโทรหา”
“อือ”
“มานี่มา”
ผมดึงตัวไอ้หนูให้ขึ้นมานั่งตัก แล้วช้อนคางมันให้เงยหน้าขึ้นมารับจูบเบาๆ เราหยอกล้อริมฝีปากกันอยู่อย่างนั้นสักพัก อ้อยอิ่งราวกับไม่ค่อยอยากละจากกันสักเท่าไหร่ ผมไม่ชอบให้มิกกี้มันซึมๆ เงียบๆ แบบนี้เลยให้ตายสิ แต่จะโทษมันก็ไม่ได้… เพราะเหตุผลร้อยทั้งร้อยมันมาจากใครกันล่ะ
“รักนะ…” ผมกระซิบที่ข้างใบหูเย็นนั่น
“อือ”
“รักมากด้วย”
“…อือ”
“ใจคอจะไม่บอกรักกลับบ้างรึไง” ผมยิ้มนิดๆ แล้วจูบเข้ากับคางของไอ้ตัวยุ่ง ไล่ขึ้นมาเรื่อยจนเกือบทั่วไปใบหน้า
“ไม่อ่ะ…เกลียดแล้ว”
“โห ใจร้ายจังเลย หืม?...บอกรักกันหน่อยสิ ให้ชื่นใจก่อนไปหน่อย”
ร่างตรงหน้าที่นั่งยองๆ เกยอยู่บนหน้าตักผมนั่งนิ่ง ตาโตจ้องแป๋วมาที่ผม…ไม่อยากบอกเลยว่าเดาไม่ออกจริงๆ ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ ผมเองก็จ้องกลับไปบ้าง และอยู่ๆ มันก็ยื่นหน้าเข้ามาจูบที่ริมฝีปากผมเบาๆ
แต่ในที่สุดก็ต้องสะดุ้งเพราะเสียงกดออดดังมาจากหน้าบ้าน ผมรีบบอกให้เจ้าหนูไปแต่งเนื้อแต่งตัวเพราะคิดว่ายังไงก็ต้องเป็นไอ้ไมล์แน่ๆ ผมให้มันมาเอารถมารับเพราะจะได้ขากลับจะได้มาส่งมิกกี้ด้วย
“พร้อมยังวะ” นั่นไงล่ะ ทันทีที่ผมไปเปิดประตู ไอ้ไมล์ก็เดินเข้ามาข้างในทักหน้ายิ้มแป้น
“เออ ใกล้แล้ว เข้ามาก่อน”
ผมพาไอ้ไมล์เข้ามาข้างใน แล้วสักพักมิกกี้ก็เดินตามออกมาจากห้องนอน ยกมือไหว้ไอ้ไมลฺตามมารยาท แล้วเดินเข้าครัวไปหาอะไรให้พวกผมกิน เรากินข้าวกันสักพักก็มองดูนาฬิกา ผมมีเวลาอีก 3 ชั่วโมง แต่ก็ต้องไปก่อนเพราะเผื่อเวลาเดินทางและเช็คอินอีก
ขณะที่ผมกับไอ้ไมล์กำลังจัดกระเป๋าใส่รถอยู่นั้น มันก็ถามขึ้นมาเบาๆ ราวกับกลัวไอ้หนูจะได้ยิน
“ตกลงมรึงไปคนเดียวใช่ป่ะวะ?” ไอ้ไมล์ทำหน้าล่อกแล่ก
“เออ ไอ้เด็กเวรไผ่นั่นปรากฏว่าทำเรื่องลามหาลัยไม่ทัน มันคงตามไปทีหลัง” ผมบอกแบบเซ็งๆ ไม่ค่อยอยากจะพูดเรื่องของไอ้นั่นเท่าไหร่ แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีที่มันไม่ได้บินไปกับผม ไม่อย่างงั้นมีหวังตายคาเครื่อง มันน่ะนะที่ตาย…
แม่ผมโทรมาข่าวนี้ซึ่งก็ทำให้ผมค่อนข้างดีใจที่สลัดมันออกไปได้หน่อยนึง แต่ยังไงมันก็จะตามไปทีหลังนี่สิ เอาเถอะ… คาดว่าไม่น่ามีปัญหาอะไร ไปถึงที่นู่นผมคงได้ใช้มาตรการเด็ดขาดกับมันอยู่แล้ว แต่ที่น่าเป็นห่วงกว่าคือช่วงที่มันยังอยู่ไทยนี่แหล่ะ จะมาเกาะแกะอะไรไอ้หนูของผมเปล่าวะ ถ้ามันยังไม่เลิกก็ขอบอกว่ากล้ามากจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไป
มิกกี้เองก็รู้เรื่องนี้แล้วเหมือนกัน มันก็ยิ้มๆ เหมือนโล่งอก แต่ก็ยังคงมีริ้วรอยกังวลให้ได้เห็น
ชั่วโมงกว่าๆ ก็มาถึงสนามบิน ผมเดินเข้าไปเช็กอินและจัดการธุระทุกอย่างเสร็จสิ้น เหลือแค่กระเป๋าติดตัวใบเดียว มีน้องๆ และเพื่อนๆ บางส่วนนัดมาเจอ ไม่รู้มันจะมากันทำไม โดยเฉพาะพวกที่ที่ทำงานเก่า อาจจะเพราะว่ามันรู้เรื่องานใหม่ผม และการไปครั้งนี้คือไม่มีหวังจะได้กลับมาทำงานกับพวกมันแล้วนั่นเอง เลยเหมือนการส่งลาไปในตัว
วุ่นวะวุ่นวายกันเล็กน้อยเพราะผมไม่ได้เตรียมที่จะมาเจอคนเยอะ กว่าจะทยอยกลับกันได้เล่นเอาเหนื่อยไปเหมือนกัน แต่ที่ผมเป็นห่วงคือเจ้าหนูต่างหาก มันยืนจ๋องอยู่ข้างๆ บางทีก็ออกไปยืนห่างๆ จนน่าสงสาร
ผมมองดูนาฬิกา ประจวบกับประกาศดังขึ้นภายในท่าอากาศยาน เสียงผู้หญิงหวานๆ บอกให้ทราบเที่ยวบินที่กำลังจะออกในเวลาอันใกล้ คิดแล้วก็ต้องถอนหายใจ… ยิ่งหันไปมองไอ้คนข้างๆ แล้วยิ่งพูดไม่ออก
สุดท้ายเลยได้แต่ลากมือน้อยๆ นั่นมานั่งที่เก้าอี้ยาวแถวนั้น ผมกำมือมันไว้แบบนั้น ไอ้ไมล์เองก็ยังยืนอยู่ใกล้ๆ เพียงแค่ทำเป็นมองอย่างอื่นไปเรื่อย
“…แล้วจะโทรหานะ” ผมพูดประโยคนี้ประมาณร้อยรอบได้แล้ว ก็เพราะมันเป็นทางเดียวที่เราจะติดต่อกันได้สะดวกสุดนี่นะ
“ครับ…”
“ที่ห้องถ้าไม่มีอะไรทำก็มานอนเล่น เอาหนังไปดูก็ได้” ที่บอกแบบนั้นเพราะผมให้กุญแจห้องกับเจ้าหนูไว้เลย ก็ตั้งแต่มันมาอยู่กับผมก็แทบไม่ได้กลับห้องตัวเองเลยด้วยซ้ำ
“…อือ”
สักพักไอ้ไมล์ก็เดินมาสะกิด บอกว่าให้เข้าได้แล้วเพราะเดี๋ยวไม่ทัน ไหนจะทางเดินที่ยาวเฟื้อยในสุวรรณภูมิอีก ผมเลยได้แต่จำใจลุกขึ้น พร้อมกับดึงไอ้หนูขึ้นมาด้วย
อีกฝ่ายมองผมตาแป๋ว… คิ้วมันขมวดอย่างเห็นได้ชัด
“เดินทางปลอดภัยนะครับ” ไอ้ตัวยุ่งอวยพรเสียงเบา แถมไอ้รอยยิ้มแบบฝืนๆ นั่นอีก เฮ้อออ จะปล่อยมือนี้ได้มั้ยเนี่ยกรู
“อืม…อันนั้นต้องบอกกัปตันอ่ะนะ” ว่าแล้วก็แกล้งเย้าไอ้หนูเล่น แต่ดูมันไม่ได้ขำเท่าไหร่นอกจากให้รอยยิ้มจางๆ กลับมา
ท่ามกลางผู้คนมากมาย เดินกันขวักไขว่ แต่ผมก็ยังกล้าที่จะดึงร่างตรงหน้าเข้ามากอดแน่น สองแขนเล็กนั่นก็โอบเอวผมกลับเช่นเดียวกัน มันซุกหน้าลงกับแผงอกผมแล้วหลับตาสนิท
“รักนะ…รัก รักมากๆ รีบเรียนให้จบแล้วมาหา เข้าใจมั้ย”
“…ก่อนเครื่องออกโทรหาผมด้วยนะ” เจ้าตัวยุ่งไม่ตอบตรงคำถาม ส่วนผมก็ได้แต่พยักหน้า แล้วลอบหอมแก้มนิ่มๆนั่นไปหลายที
ให้ตายเถอะ…ไม่อยากปล่อยมือเลย ไม่อยากปล่อยไอ้คนๆ นี้ไปเลย
แต่สุดท้ายเราก็ต้องผละจากกัน ผมลูบหัวไอ้หนูไปสองสามที สายตามองตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า อยากจดจำรายละเอียอดอีกฝ่ายให้ได้มากที่สุด… หน้าขาวๆ คิ้วเข้ม ตากลมๆ กึ่งตี่กึ่งโต จมูกโด่งและปากสีแดงเข้ม ไหนจะการแต่งตัวแนวๆ นี่อีก มันเอาเสื้อเข้าในกางเกงข้างนึง อีกข้างปล่อยออก ที่รู้เพราะเคยทักแล้วเจ้าหนูบอกว่า “แนวอ่ะ เข้าใจมะ เด็กแนว” เลยได้แต่ปล่อยมันไป กางเกงยีนส์สีซีดกับรองเท้าผ้าใบสีเหลืองที่เห็นไกลตั้งแต่ 100 เมตร
เทียบกับตัวผมในขณะนี้… เสื้อเชิ้ตลำลองสีฟ้าอ่อนกับเสื้อสูทแบบสบายๆพาดแขน กางเกงแสล็คสีน้ำเงินเข้ม และรองเท้าหนังที่ขัดมันมาอย่างดี
ผมลอบยิ้มกับตัวเอง… เราไม่มีอะไรที่เข้ากันได้เลย
และคงไม่มีทางที่เราจะพยายามทำตัวให้เข้ากัน
เพราะผมชอบที่เราขนานกันไปแบบนี้ กับไอ้เด็กติสต์แตกที่ไม่ว่าชาติไหนคงไม่มีวันจะได้มาประสบพบเจอหรือหาได้ง่ายๆ อีกแล้ว บอกหลายครั้งแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าอย่างไอ้มิกกี้น่ะ…แรร์ไอเท็ม
ผมเดินเข้ามาในเกทอย่างล่องลอย เหมือนตัวเองแต่ไม่ใช่ตัวเองชอบกล นี่แหล่ะมั้งที่เค้าเรียกว่ากายอยู่ แต่ใจหายไปไหนซะแล้ว มารู้ตัวอีกทีเมื่อก้นสัมผัสกับเบาะนุ่มในชั้นบิสซิเนส นี่เข้ามาในเครื่องตั้งแต่เมื่อไหร่วะ
ว่าแล้วก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากด….
“อยู่ในเครื่องแล้วนะ” ผมกรอกเสียงลงไปทันทีที่ได้ยินเสียงจากปลายสายกดรับ
“อืม… ที่นั่งเป็นไง สบายเปล่า? แล้วคนข้างๆ เป็นใครอ่ะ ผู้หญิงหรือผู้ชาย?” มันถามมาอีกหลายอย่างครับ ผมก็ค่อยๆ ตอบไปเรื่อย ไม่รู้เหมือนกันว่าที่นั่งข้างๆ นี่เพศอะไร เพราะผู้โดยสารยังขึ้นมาไม่ครบ อาจจะว่างก็ได้
มันก็ถามนู่นนี่นั่นไปเรื่อย ตอนนี้ถึงได้รู้ว่าอยู่ในรถ ไอ้ไมล์กำลังขับไปส่งที่คอนโด..
คุยกันประมาณ 10 นาทีได้ก็ต้องวางเพราะเครื่องกำลังจะออกแล้ว ก่อนจะวางสายก็ต้องบอกประโยคเดิมอีกรอบ ไอ้แดน…มรึงเป็นไรมากป่ะวะเนี่ย “ถึงแล้วเดี๋ยวโทรหานะ”….. คงเพราะคิดว่าคำนี้เป็นสิ่งปลอบประโลมเพียงสิ่งเดียวสำหรับอีกฝ่าย
เมื่อหยิบโทรศัพท์ออกมาจากใบหู หมายจะกดวางสาย แต่ก็ต้องจ้องที่หน้าจอมือถือตัวเองอยู่นานสองนาน…
รูปไอ้มิกกี้นั่งอยู่กับพื้นห้อง ใส่เสื้อตัวหลวมโครกสีเทาตามสไตล์กับกางเกงขาสั้น บนหัวมีที่คาดผมเป็นรูปหูมิกกี้เม้าส์ที่มันบอกว่าเพื่อนซื้อมาฝาก ผมแอบถ่ายตอนที่เจ้าหนูกำลังจัดกระเป๋าให้ มันเลยนั่งขัดสมาธิอยู่กับพื้น พอเห็นว่าผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดันหันมาแลบลิ้นใส่ซะงั้น หึหึ
ผมนั่งจ้องรูปนั้นอยู่นานจนพนักงานสาวบนเครื่องต้องเดินเข้ามาบอกให้ปิดโทรศัพท์มือถือเพราะเครื่องใกล้จะออกแล้ว มันอาจรบกวนสัญญาณบลาๆ อะไรมากมายไม่ได้สนใจฟัง
ว่าแล้วเลยจ้องที่รูปนั่นอีกครั้ง…. ก่อนจะลากปลายนิ้วผ่านแก้มขาวเนียนบนหน้าจอ… ไล่มาถึงปุ่มเล็กๆ
และในที่สุด…ภาพนั้นก็หายไป
-------------------------------- END --------------------------------------------