Don’t kick the chairเลือดสีแดงเข้มจากต้นคอสาดกระจายเต็มพื้นห้อง ใบมีดตัวการร่วงหล่นลงพื้น ร่างกายผมโรยรินกำลังจะสูญสิ้นลมหายใจ กลไกลร่างกายกระเสือกกระสนหอบหายใจเอาอากาศเพื่อพยุงให้ร่างกายอยู่รอดนานกว่านี้อีกหน่อย ตามสัญชาตญาณการอยู่รอดของมนุษย์
ยังตายไม่ได้
แต่จะอยู่ไปเพื่ออะไร
ผมล้มลงหลับตา ลมหายใจจากเคยหอบสั่นกำลังแผ่วลงทุกวินาที
หลับตาเถิด...แล้วเราจะได้หลุดพ้นเสียที
...
ผมลืมตาขึ้นมาเพราะนาฬิกาปลุกที่หวีดร้องลั่นห้อง บ่งบอกว่าวันพรุ่งนี้มาถึงแล้ว ผมนอนแผ่ให้เสียงน่ารำคาญดังอย่างต่อเนื่องเพื่อพักหายใจ ใบหน้าหงายขึ้นมองเพดานห้อง มีแสงยามเช้าเล็ดรอดมาจากม่านที่คลุมหน้าต่าง เสียงนกร้องเจื้อยแจ้ว แสดงถึงโลกที่หมุนไปตามกาลเวลาปกติ
พรุ่งนี้มาถึงแล้ว
และกลายมาเป็นคำว่าวันนี้
ส่วนคำว่าพรุ่งนี้ก็จะไม่มีอยู่จริงต่อไป
ผมเอื้อมตัวไปปิดเสียงปลุกจากนาฬิกา เพื่อกลับมานอนคิดถึงฝันเมื่อคืนอีกครั้ง...หรืออันที่จริงน่าจะเรียกว่าเป็นฝันในยามเช้ามากกว่า
เขาว่าฝันในช่วงใกล้เช้ามักจะเป็นจริง
ถ้าเช่นนั้น ผมภาวนาให้มันเป็นจริงตามที่เขาว่าทีเถอะ...
หายใจเข้า... เหนื่อยหน่ายกับชีวิตประจำวันซ้ำซาก จมดิ่งอยู่กับความรู้สึกเหี้ยๆ วนเวียนอยู่อย่างนั้น ไม่มีทางออกสักที
หายใจออก...ช่างแม่งเถอะ
ยังหายใจอยู่นี่
ผมยันตัวลุกจากเตียง เตรียมพร้อมกับกิจวัตรประจำวันน่ารำคาญนี่อีกครั้ง และอีกครั้ง...
ขาขวาก้าวออกจากหอพัก พร้อมกับใบหน้าที่ปั้นยิ้มน่าคลื่นไส้ ส่งยิ้มให้ใครต่อใครที่สบตา ทำตัวราวกับเป็นพวกมนุษยสัมพันธ์ดีนักหนา ผมเดินไปยังป้ายรถเมล์ เพื่อรอรถเมล์มารับตัวไปยังบริษัทหรือที่ทำงาน
สถานที่ที่อุดมไปด้วยมิตรภาพมากมาย และไม่มีรอยยิ้มใดที่สามารถไว้วางใจได้เลย
ผมรอรถเมล์อยู่ข้างถนนที่มีรถราวิ่งแล่นตัดถนนเต็มไปหมด บ้างวิ่งเร็ว บ้างช้า ส่วนใหญ่มักจะวิ่งเร็วกว่ากฎหมายกำหนด ในชั่วโมงเร่งด่วนเช่นนี้ สองขาผมก้าวออกไปยังถนน เดินไปกลางเส้นทาง เพื่อรอให้มีรถสักคนที่พุ่งเข้ามา และเมื่อคนขับรถเห็นผมก็จะสายไปเสียแล้วที่จะเหยียบเบรกหรือหักพวงมาลัยไม่ให้รถสวยเข้าปะทะกับร่างเนื้อเน่าหนอน
ร่างกายผมถูกแรงกระแทกบดขยี้ กล้ามเนื้อและกระดูกบิดแตกไปคนละทาง เส้นเลือดแตกไปทุกส่วน กระจายสาดออกมาจากร่างกายผม ส่วนผมที่โดนแรงกระแทกก็จะปลิวจากจุดเดิมไปค่อนข้างไกล พร้อมกับตกลงมาเป็นร่างไร้วิญญาณ หรือไม่ก็หายใจรวยรินแนบพื้นถนน
...รถเมล์มาแล้ว...
ผมเข้างานทันเวลา ไม่ขาดไม่สายดังเช่นทุกที ยกยิ้มให้กับพนักงานทุกคนในบริษัทและนอกบริษัท ไม่ยอมให้เสียชื่อตำแหน่งผู้มีมนุษยสัมพันธ์ดีและร่าเริงสดใสที่สุดของทีม ผมเอ่ยทักทุกคนที่เข้างานก่อนผมจนครบแล้วถึงได้นั่งลงประจำโต๊ะทำงานตัวเอง
เปิดแล็ปท็อป หยิบเอกสารมาหนึ่งแผ่นไล่อ่านระหว่างรอแล็ปท็อปทำงาน เป็นอันเริ่มงาน
ช่วงพักกลางวันเป็นเวลาที่อยากจะหนีออกไปให้พ้นจากโลกใบนี้มากที่สุด อยากย้ายไปอยู่ดาวอังคาร เมื่อคิดว่าต้องมานั่งปั้นยิ้มให้กับใครต่อใครอีกครา
ชาวดาวอังคารจะมีที่เผื่อให้ผมหรือเปล่า ผมที่มีเพียงร่างกายเปลือยเปล่าไร้ค่า และไร้ซึ่งเรื่องราวสนุกสนานในชีวิต
หนุ่มโสดอย่างผมไม่มีปัญหาหรือเรื่องราวอะไรมากมายมานั่งเล่าในวงโต๊ะอาหาร จึงทำหน้าที่เป็นผู้ฟังที่ดีพร้อมหัวเราะตามมุกตลกของใครสักคน หรือถ้ามีสักเรื่องให้เล่าก็คงไม่ใช่เรื่องสนุกหรือเรื่องที่ใครเขาอยากฟังกันหรอก
อาทิเช่นวันนี้เป็นวันครบรอบวันตายของแม่ และอาทิตย์ต่อมาเป็นวันครบรอบวันตายของพ่อ
หรือต้นปีก่อนผมต้องขายบ้านที่เคยเป็นที่อยู่อาศัยตั้งแต่สมัยเด็กให้กับนายหน้าซื้อบ้าน เพราะไม่มีเงินประทังชีวิต ในช่วงที่เศรษฐกิจของประเทศเลวร้ายเข้าขั้นบัดซบ ผมต้องหาเงินส่งเสียน้องสาวเรียนหนังสือ ก่อนเจ้าหล่อนจะเถลไถล ไปท้องไม่มีพ่อจนต้องทำแท้งเถื่อน
และเสียชีวิตในที่สุด
หรือจะเอาเป็นเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เมื่อแฟนสาวที่คบกันมานาน ก่อนกำลังจะตบแต่งเป็นภรรยาเมื่อปีที่แล้วท้องกับชู้ และพากันหนีไปพร้อมกับหอบสมบัติผมไปด้วยส่วนหนึ่ง
เห็นไหม ไม่มีใครอยากรู้หรอกว่าโลกนี้มันกำลังขดตัวเป็นเกลียวเชือกเพื่อมารัดคอผม
ตราบใดที่ยังเป็นคนยิ้มแย้มแจ่มใส ก็จะไม่มีใครสงสัยต่อชีวิตของผม แต่ในใจก็ได้แต่หวังลึกๆ ให้โลกห่าเหวรัดคอให้ผมหายไปเสียที
กลับเข้าเวลางาน ครานี้หัวหน้าผู้มีปัญหากับทุกอย่างในชีวิตกำลังมาลงอารมณ์ที่ลูกน้องผู้เจียมตัวอย่างผม เพียงเพราะคิดว่าตนสูงศักดิ์ เป็นผู้อยู่บนยอดพีระมิดเบื้องบน และมีสิทธิ์เหยียบย่ำพวกมนุษย์ต้อยต่ำใต้บัญชา
ลองเถียงกูสิ เดือนนี้กูจะหักเงินเดือนมึงให้แม่งไปแดกข้าวกับหมาข้างเซเว่น
ครับ...ครับ...ทราบแล้วครับ
อันที่จริง...หมาข้างเซเว่นอาจจะมีชีวิตที่ดีกว่าผมก็ได้
เย็นวันนี้ผมทำโอที เพราะถูกแก้งานตามคาด ทุกคนในบริษัทกลับบ้านไปหาลูกหาเมียกันหมดแล้ว และผมคงเซ็งเป็นบ้าถ้ามีเมียเหมือนชาวบ้านแต่ไม่ได้รีบกลับไปพบหน้าสุดที่รัก อันที่จริงมันก็เคยมี...เมียที่ท้องกับชู้ก่อนจะหนีตามกันไปพร้อมหอบสมบัติผมไปด้วยเนี่ย
เมียเวรอย่างนี้ไม่มีเสียก็ได้ เสียเวลาไปตั้งเจ็ดแปดปี
ไฟในบริษัทเหลือเพียงแค่บริเวณโต๊ะผมที่ส่องสว่างอยู่ หลอดไฟฟลูออเรสเซนท์แขวนเรียงรายด้วยเส้นเหล็กแกร่ง
ผมเหลือบขึ้นมองมัน
หยิบเชือกเส้นหนึ่งมาขดเป็นบ่วง ปีนเก้าอี้เพื่อพาดปลายเชือกให้คล้องกับเส้นเหล็กแกร่งที่ใช้แขวนหลอดไฟ กะระยะให้บ่วงเชือกลอยอยู่สูงจากพื้นมากกว่าหนึ่งช่วงตัว ก่อนขมวดให้มันเป็นปมแน่นหนามากพอที่จะไม่หลุดออกจากกัน
หลังจากที่ทดสอบความแข็งแกร่งของเชือกเสร็จสรรพแล้ว ผมทำการมุดหัวตัวเองเข้ากับห่วงเชือก บ่วงเชือกคล้องได้พอดีกับลำคอจนพอใจ
เตะเก้าอี้ออกไป
ขาลอยจากพื้น ปล่อยให้บ่วงเชือกทำหน้าที่ของมัน เชือกเส้นหนารัดคอริดรอนอากาศหายใจ ร่างกายตะกุยตะกายไขว่คว้าอากาศ เพื่อหวังมีชีวิตรอดตามกลไกเอาตัวรอดของมนุษย์ แขนขาปะป่ายมั่วซั่วไร้ทิศทาง ขาผมอาจเตะโดนอะไรสักอย่างจนล้มเสียงดังโครมคราม แต่ใครเล่าจะสน เมื่อทั้งตึกนี้มีแค่ผมอาศัยอยู่แค่คนเดียว
จนในที่สุดร่างกายก็จะแน่นิ่งเพราะขาดอากาศหายใจ คอพับไปที่ไหล่สักข้าง ส่วนลำตัวห้อยโตงเตงหมุนไปมาโดยมีเชือกยึดลำคอไว้อยู่
พรุ่งนี้ถึงจะมีคนมาพบสภาพน่าอนาจของผม
“พี่ยังไม่กลับเหรอครับ?”
ผมสะดุ้งตื่นจากภวังค์ หันเก้าอี้ไปยังต้นเสียงปริศนา ภาพตรงหน้าปรากฏเป็นชายหนุ่มที่ดูเด็กกว่าผม สวมเสื้อเชิร์ตตามกฏของบริษัท เพียงแต่ผมไม่รู้จักเขา จึงเอ่ยตอบมันไปพร้อมรอยยิ้ม
“ทำโอทีน่ะ แล้วทางนั้นล่ะ ดึกดื่นป่านนี้ทำไมยังไม่กลับ”
“ผมก็ทำโอทีเหมือนกัน”
“น่าเศร้าเป็นบ้าเลยว่ามั้ย”
“นั่นสิครับ แต่ไม่เป็นไรหรอก ผมไม่รีบกลับ กรุงเทพตอนกลางคืนก็สวยดีด้วย กลับดึกๆ รถจะได้ไม่ติดอีกต่างหาก”
ไอ้คนเด็กกส่าที่ผมไม่รู้จักแม้แต่ชื่อตอบกลับพร้อมยิ้มร่า ความคิดเชิงบวกของมันทำผมขนลุก
“แล้วไม่ไปทำงานต่อหรือไง”
ผมถาม คิดว่ามันน่าจะทำงานอยู่อีกห้อง ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้มันมาเจอผมที่ห้องนี้
“มาเดินเล่นหน่อยน่ะครับ ปวดคอ กลัวผีด้วย ดีนะเจอพี่พอดี มีคนอยู่เป็นเพื่อน”
เจ้าตัวร่าเริงยังคงว่าเสียงใสพร้อมกลั้วเสียงหัวเราะในลำคอ
“ทำถึงกี่โมงล่ะ” ผมว่า เอ่ยคล้ายไล่ให้มันกลับไปทำงานจะได้รีบๆ กลับไปเสียที
“เรื่อยๆ น่ะครับ พี่ล่ะ”
“...เรื่อยๆ เหมือนกัน...”
“งั้นผมเอางานมาทำข้างพี่ได้มั้ย กลัวผีอะ แถมห้องพี่วิวสวยกว่าด้วย”
“...”
“พี่ครับ?”
“ตามใจสิ”
ผมถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ตอบกลับไปอย่างไม่ใส่ใจเพราะเหนื่อยที่ต้องปั้นยิ้ม ยิ่งพอคิดว่ามันจะมานั่งข้างๆ ผมอีกยิ่งเหนื่อย คิดว่าไอ้เด็กนี่คงแปลกใจที่จู่ๆ ผมก็เลิกยิ้มขึ้นมา กูเหนื่อยจะตายอยู่แล้วที่จะต้องปั้นยิ้มทั้งวัน เพราะงั้นตอนนี้กูขอเถอะ เลิกงานแล้วก็ให้กูได้ทำสีหน้าตามใจบ้าง
ไอ้ตัวเล็กวิ่งไปหยิบแล็ปท็อปมันมานั่งข้างๆ พร้อมเอกสารทั้งหลายแหล่ จากนั้นมันก็ชวนคุยไม่หยุดจนน่ารำคาญ ผมตอบบ้างไม่ตอบบ้าง หนวกหูก็จริง แต่เสียงใสของมันคงเพราะกว่าความเงียบ เพราะมันทำให้ผมอมยิ้มได้หน่อยๆ เสียงเจื้อยแจ้วคล้ายเสียงนกในยามเช้า แต่กลับได้ฟังในตอนฟ้ามืด ตลกดีเหมือนกัน
เรานั่งหลังขดหลังแข็งทำงานจนนาฬิกาชี้เวลาเที่ยงคืนกว่า ผมเสร็จงานแล้ว และเหมือนคนข้างๆ เองก็เช่นกัน เมื่อชั่วโมงก่อนมันไม่ได้แตะงานตัวเองต่อ เอาแต่หมุนเก้าอี้เล่น ชวนคุยเสียงดังเอิ้กอ้ากจนผมปวดหัว
“พี่เสร็จแล้วหรือ”
“อืม กลับกัน”
ผมว่าพร้อมบิดขี้เกียจสองสามทีให้พอหายเมื่อย น้ำเสียงราบเรียบและไม่มีรอยยิ้มเหมือนทุกที ถึงมันจะพูดมากแต่ก็ไม่ได้เอ่ยทักอะไรที่มนุษย์ร่าเริงอย่างผมกลับมีสีหน้าซังกะตาย เป็นเรื่องเดียวที่ไม่น่ารำคาญ
“เดินเล่นริมแม่น้ำด้วยกันหน่อยมั้ยพี่”
“ไม่เอาอ่ะ”
“หน่า ผ่อนคลายไง”
ตอนนี้รถขนส่งหมดรอบแล้ว และถ้าโบกแท็กซี่ตอนนี้จะราคาค่อนข้างแรง แต่เอาเถอะ จะโบกตอนนี้หรืออีกสองชั่วโมงจากนี้ก็คงไม่ต่างกันนักหรอก
จึงตอบตกลงตามคำชวนของไอ้เด็กหน้าอ่อนนี่ มันพาผมลัดเลาะไปตามทาง มองเห็นตึกฝั่งตรงข้ามเปิดไฟยามค่ำคืนประปราย ตอนกลางคืนทำให้ดูโดดเดี่ยว แต่สวยงามเมื่อชีวิตประจำวันของมนุษย์ส่วนใหญ่จำเป็นต้องใช้ยามค่ำคืนเพื่อพักผ่อน ทำให้ช่วงเวลาในตอนนี้เหมือนมีแค่ผมคนเดียวที่ครอบครองมัน
ถ้าไม่นับคนข้างๆ น่ะนะ
ผมมองไปยังแม่น้ำที่เป็นสีดำ สะท้อนผืนฟ้าที่มืดสนิท คลื่นแม่น้ำซัดเป็นระลอกตามแรงลม และคนข้างตัวยังคงพูดเจื้อยแจ้วอยู่อย่างนั้น
ผมปีนข้ามราวกันตก กระโจนตัวออกจากพื้นดิน ตกลงสู่ผืนน้ำ ก่อนจะปล่อยให้กระแสน้ำพัดพาร่างไป สายน้ำซัดสาดเข้าร่างกาย กดทับให้ผมจมดิ่งลงไปใต้แม่น้ำมืดมิดและกว้างใหญ่ ปลายเท้าไม่สามารถหาผืนดินให้ยึดยืนได้ มือและขาผมอาจจะตะกายสู้แรงน้ำเล็กน้อยเพื่อไขว่คว้าอากาศหายใจเหนือผิวน้ำ ก่อนจะถูกคลื่นน้ำกลบและดันให้ตัวจมลงไปลึกกว่าเดิม
ลึกลงลึกลง จนกระทั่งไร้เรี่ยวแรงต่อต้านสายน้ำเชี่ยวจากธรรมชาติ
จมดิ่งสู่ผืนน้ำที่ไม่มีจุดสิ้นสุด สายน้ำเชี่ยวจะคอยกระชากอากาศหายใจของผมจนหมด และสุดท้ายผมจะกลายเป็นศพลอยอืดในวันต่อมา
“พี่...อย่าโดดนะ...”
“...”
ผมคงจมอยู่กับความคิดตัวเองลึกไปหน่อย ถึงได้ไม่รู้ตัวว่ามีมืออุ่นจับข้อแขนผมแน่น ขาทั้งสองข้างของผมยังตรึงอยู่กับพื้นขอบฝั่ง สายตาที่จับจ้องแม่น้ำก่อนหน้านี้เบนไปหาต้นเสียงใส
ผมยกยิ้ม
“ไม่ได้จะโดดสักหน่อย บ้าเหรอ”
“สายตาพี่บอกอย่างนั้น”
“...บอกอะไร”
“...ทุกข์ใจ สิ้นหวัง เหมือนทุกคนรอว่าพี่จะล้มลงเมื่อไหร่ ไม่มีใครที่พี่จะไว้ใจได้เลยแม้แต่รอยยิ้ม”
“...”
“พี่เป็นคนบอกผมอย่างนั้น”
“บอกตอนไหน”
“ตอนนี้...”
“...”
“และจากทุกวันที่ผมสังเกตพี่มา...พี่ยิ้มแต่ตาพี่ไม่ยิ้มตามเลยรู้ไหม มันเศร้าและว่างเปล่าจนผมเป็นห่วง”
ผมถอนหายใจ ไม่รู้ว่าคนตรงหน้าลอบสังเกตผมตอนไหนจึงได้เอ่ยถาม
“...ต้องการอะไร”
“ให้พี่มีชีวิตอยู่ต่อไป”
“เพื่ออะไร?”
มีชีวิตอยู่เพื่ออะไร ในเมื่อทุกวันผมตื่นขึ้นมาเพื่อภาวนาว่าตัวเองจะได้หลับไปตลอดกาลทุกครั้ง แต่ในใจกลับกู่ร้องให้ฟังเด็กคนนี้ เหตุผลในการมีชีวิตที่ผมเพียรหามาตลอดปีและไม่เคยเจอเลยสักวัน
“ไม่รู้สิ” คำตอบของมันทำให้ผมผิดหวัง
“...เพื่อเป็นวันพรุ่งนี้ให้ผมล่ะมั้ง”
ก่อนจะบังเกิดความสงสัย
“พรุ่งนี้ไม่มีอยู่จริงเสียหน่อย พอตื่นมา...ก็กลายเป็นวันนี้แล้ว อยากให้พี่เป็นคนที่ไม่มีอยู่จริงหรือ”
“ตอนนี้ก็ไม่มีอยู่จริงเหมือนกัน ถ้ามองปัจจุบันเป็นวินาที ตอนนี้ก็กลายเป็นอดีตไปแล้ว”
“...”
“พรุ่งนี้ไม่มีอยู่จริง ตอนนี้ไม่มีอยู่จริง แต่อดีตมีอยู่จริง อดีตอาจจะทำร้ายพี่ แต่อดีตของพี่ช่วยผมไว้...”
“ยังไง”
“อดีตของพี่ทำให้ผมมีวันพรุ่งนี้” มันยิ้ม เจิดจ้าเสียจนนึกว่าเป็นตอนเช้า สดสว่างกว่าพระจันทร์หรือดวงดาวดวงไหนในค่ำคืนนี้
“พี่ทำให้วันพรุ่งนี้ของผมมีอยู่จริง เพราะวันพรุ่งนี้ของผมคือพี่”
“...”
“เพราะงั้น...อย่ากลายเป็นอดีตของผมเลยนะ”
“พี่ไม่รู้ว่าจะอยู่ต่อไปทำไม...”
“แค่อยู่เพื่อหาวันพรุ่งนี้ของพี่ให้เจอไง”
“พรุ่งนี้ก็เหมือนทุกวันนั่นแหละ”
“ไม่เหมือนหรอก เพราะพรุ่งนี้ของพี่จะมีผม”
จบคำตอบพร้อมรอยยิ้ม สายลมเย็นเยียบยามค่ำคืนพัดผ่านตัวผมพร้อมละอองน้ำจากริมแม่น้ำ
“วันนี้พี่อาจจะยังไม่มีความสุข แต่ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้อาจจะมีก็ได้”
“...ความสุขคืออะไร”
"ไม่รู้สิ พี่ก็ต้องลองหาดู"
"แล้วจะเจอได้ยังไง"
"ได้สิ ผมยังเจอพี่เลย"
"..."
“ถ้าไม่เชื่อ เดี๋ยวผมจะทำให้ดู”
ผมจำไม่ได้หรอกว่าเคยไปทำอะไรให้มันไว้ เหมือนกับที่ใครต่อใครก็ไม่รู้ว่าเคยทำอะไรให้ผม จะอย่างไรเสียก็ไม่สำคัญเท่ากับที่มันทำให้ผมเชื่อว่าอยากลองค้นหาวันพรุ่งนี้ของตัวเองดู
ในที่สุด สองเท้าผมก็ก้าวออกจากยอดตึกสูง ครานี้ไม่มีใครห้ามหรือฉุดรั้งผมได้อีกต่อไป ระดับความสูงทำให้ผมโบยบินได้ดั่งนกเพียงชั่วเดียว ก่อนจะแหวกว่ายกรีดอากาศตกกระแทกลงมา ร่างกายบดขยี้กับพื้นถนนจนใบหน้าแหลกเละ เครื่องในและสมองกระจายเกลื่อนเต็มพื้น พร้อมด้วยน้ำเลือดที่เจิ่งนองย้อมถนนที่ให้เป็นสีแดง
วันนี้ของผมจบลงแล้ว และจะไม่มีวันพรุ่งนี้อีกต่อไป
ชื่อของผมจะจารึกเป็นอดีต และหายไปจากความทรงจำของใครต่อใครในที่สุด
...
“พี่ เช้าแล้ว”
ผมเปิดเปลือกตา ลืมตาตื่นเมื่อแสงอาทิตย์แยงเข้าตาเต็มๆ พร้อมกับเสียงใสของใครบางคนเอ่ยเรียกผม วันนี้ไม่มีเสียงนาฬิกาปลุกน่ารำคาญ และไม่ได้นอนเหม่อมองเพดานห้องอย่างไร้ค่าอีกแล้ว
เมื่อผมชันตัวลุกขึ้นสบตากับคนในห้องที่ส่งเสียงเจื้อยแจ้วไม่ขาดสาย รอยยิ้มเจิดจ้าแข่งกับแสงอาทิตย์ยังคงส่งมาให้ผม มือเล็กๆ นั่นรวบผ้าม่านขึ้นเพื่อให้แสงแดดยามเช้าสาดเข้ามาในห้องอย่างโจ่งแจ้ง ไม่ต้องแอบเล็ดลอดลักเข้ามาเหมือนวันก่อนๆ
ผมอมยิ้มส่งให้เขา เอ่ยทักทายยามเช้า
สวัสดีวันพรุ่งนี้
Don’t kick the chair
It’s gonna get better
▣ ▣ ▣ ▣ ▣ ▣
You could be better all by yourself
; )