-14-
ครั้งที่สามกับการนอนค้างห้องพี่ภู วันนี้ผมมีเป้าหมายใหม่ที่ต้องทำให้สำเร็จ นั่นคือการชวนพี่ภูไปค่ายด้วยกัน หลังจากที่ผ่านการสอนทำอาหารกว่าชั่วโมงไปได้ก็ถึงเวลากิน ผมเสียดายนิดหน่อยที่ไม่ได้ทำอะไรเสร็จด้วยตัวเองสักอย่าง แต่เรื่องดีๆ ก็คือ…
พี่ภูทำอาหารโคตรอร่อย...พูดจากใจจริงไม่ได้หน้ามืดตามัวอะไรทั้งสิ้น
“พี่นี่หล่อเพอร์เฟคไปทุกอย่างเลยเนอะ” ผมพูดขึ้นลอยๆ ในขณะที่มองสำรวจใบหน้าสมบูรณ์แบบของคนที่นั่งกดโน้ตบุ๊กอยู่ อยากจะมองหาตำหนิบนร่ายกายเขาสักหน่อย แต่มองยังไงก็หาไม่เจอ
“อะไรของมึง” พี่ภูทำหน้าเหมือนจะดูว่าผมจะมาไม้ไหน ซึ่งจริงๆ มันก็ไม่ได้มีอะไรแอบแฝงเลยสักนิด นอกจากความคิดที่วนเวียนอยู่ในหัว
“เหมาะกับผมจริงๆ”
“เหนื่อย”
“พักหน่อยไหม” ผมตบแปะๆ ลงที่เบาะเป็นเชิงบอกให้เขาหยุดพัก
“เหนื่อยกับมึงนั่นล่ะ”
พอได้ฟังคำตอบแล้วผมก็หัวเราะอย่างถูกใจเพราะพอจะเดาได้อยู่แล้วว่าเขาหมายถึงอะไร แต่ที่พูดไปอย่างนั้นก็เพราะจะช่วยให้คลายเครียดเฉยๆ
“พี่ภู วันหยุดหลังอาทิตย์สอบพี่มีแพลนไปไหนหรือเปล่า” ผมรีบถามเข้าเรื่อง กลัวว่าถ้าช้ากว่านี้คนที่ว่างจะกลายเป็นไม่ว่างแทน เห็นงานเยอะเหลือเกิน เจอกันกี่ทีต้องมีโน้ตบุ๊กอยู่ด้วยตลอด
“สองอาทิตย์หน้า?”
ผมพยักหน้าหงึกหงักแล้วยื่นหน้าไปมองจอโทรศัพท์ที่คนพูดหยิบมาดู มองผ่านๆ ยังรู้เลยว่าเป็นตารางงาน แต่ที่ไม่เข้าใจคือทำไมมันแน่นขนาดนั้น คนไม่มีชื่อเสียงทำไมงานเยอะเหลือเกิน
“วันอาทิตย์มีออกงาน”
“งานเลี้ยงเหรอ”
“อืม...งานของคนรู้จักที่อังกฤษ เขามาเปิดธุรกิจที่นี่”
ผมขมวดคิ้วขัดใจ จากที่มองดูตารางของเขาแล้วสามสี่วันที่ผมต้องการมีแค่งานเลี้ยงที่เขาบอกงานเดียวซึ่งขัดขวางแผนทุกอย่างอยู่ คือถ้าไม่มีมันพี่ภูก็จะว่างแบบไม่ต้องสงสัย
งานเลี้ยง...งานเลี้ยงก็ต้องมีตอนค่ำสินะ
“พี่ภู ไปเที่ยวกับผมไหม ไปกับพวกดุริยางค์” ผมชวนแบบตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม รอให้เขาเงยหน้าจากจอแล้วถึงพูดต่อ “พวกผมจะไปทำกิจกรรมกัน ประมาณว่ารับน้อง แต่ก็เหมือนจะไปเที่ยวมากกว่า”
“กี่วัน”
“สามวันสองคืนครับผม”
“ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์?”
“อื้อ”
“กูมีงาน” เขาย้ำ
“งานมีกลางคืนไม่ใช่เหรอ ยังไงก็กลับมาถึงทันอยู่แล้ว...เอางี้ ถ้าพี่ไปเที่ยวกับผม ผมสัญญาว่าจะไปงานเลี้ยงเป็นเพื่อน” ผมเอามือตบอกตัวเองเป็นการยืนยันคำพูดอีกที
“ถามกูยังว่าอยากได้เพื่อนไหม”
“หรือพี่อยากได้แฟนเลย...ผมเต็มใจนะ” ผมยิ้มแล้วแกล้งบิดไปบิดมาเหมือนจะเขิน และวินาทีต่อมาก็โดนฝ่ามือของคนหน้าดุตบเข้าที่หน้าผากดังเพียะจนต้องยกมือลูบหน้าผากตัวเองป้อยๆ
“ถ้าเป็นที่ที่กูไม่เคยไปจะลองคิดดู”
“จริงนะ!”
“เออ”
ง่ายละงานนี้ แต่จะว่าไป…
“ผมสัญญาว่ามันจะเป็นที่ที่มีสัญญาณคุยโทรศัพท์ได้ พี่ต้องคุยกับภามใช่ไหมล่ะ” ผมพูดในขณะที่มือเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์มากดเพื่อทักแชทไปคุยกับพี่วินเรื่องสถานที่ แต่อยู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนโดนจ้องมองจนต้องเงยหน้าขึ้น
พี่ภูมองมาที่ผมด้วยสายตาแปลกประหลาด...มันเป็นสายตาที่กำลังแสดงถึงความรู้สึกบางอย่าง น่าเสียดายที่ผมไม่สามารถแปลความหมายของมันได้ แต่ก็รับรู้ว่าน่าจะเป็นด้านดี เพราะใบหน้าเย็นชาของเขาดูอ่อนลง
ถ้าให้เดา...น่าจะเกี่ยวกับเรื่องที่ผมพูดถึงภาม
แค่ดูก็รู้ว่าพี่ภูให้ความสำคัญกับภามมากแค่ไหน…ต้องกลับมาคอลกันผ่านโน้ตบุ๊กตลอด แถมยังดูเป็นเวลาสม่ำเสมอไม่เคยขาด ถึงผมจะไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่ก็คิดว่ามันน่าจะมีอะไรบางอย่าง เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาหาเหตุผลก็เท่านั้น
“น้องพี่ก็เหมือนน้องผม” ผมยิ้มบางให้คนที่ยังจ้องไม่เลิก คิดว่าเดี๋ยวก็คงละสายตาไปเอง แต่ผ่านไปสักพักเขาก็ยังมองอยู่อย่างนั้น ผมที่หน้าหนามาตลอดชีวิต อยู่ๆ ก็รู้สึกหน้าบางกะทันหัน สองแก้มร้อนผ่าวไปกับดวงตาคู่นั้นโดยที่เขาไม่ได้ทำอะไร สุดท้ายเลยได้แต่กลบเกลื่อนด้วยการพูดจากวนๆ ออกไป “ก็พี่เป็นว่าที่แฟน ผะ...ผมก็ต้องใส่ใจเป็นธรรมดา”
ตะกุกตะกักทำส้นตีนอะไรไอ้เก้า! เอาไว้เขาบอกว่าชอบมึงค่อยเขินดีไหม แค่มองมาเฉยๆ มึงยังอาการหนัก เขาไม่ได้พูดอะไรสักคำ ยิ้มก็ไม่ได้ยิ้ม สายตาก็แค่อ่อนโยนลงนิดหน่อยเอง มึงเขินอะไร งง
“ทำหน้าอะไรของมึง” ตัวต้นเหตุที่ทำให้ผมต้องนั่งเถียงกับตัวเองในใจพูดขึ้นมาด้วยเสียงขบขัน ผมเหล่ตามอง พอเห็นว่าสายตาและใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นปกติแล้วก็ยอมเงยหน้าสบตา
“เพราะพี่”
“กูทำอะไร”
“ก็พี่มองผมด้วยสายตาแบบนั้นทำไมล่ะ” ผมหน้าหงิกเมื่อคนได้ยินคำตอบทำท่าจะขำหนักกว่าเก่า คราวนี้แสดงออกมาทางสายตาชัดเจนกว่าน้ำเสียงเสียอีก
“กระต่ายบ้า”
“ผม…”
ครืด ครืด
นี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกอยากขอบคุณใครก็ตามที่โทรมาขัดจังหวะระหว่างที่ผมกับพี่ภูอยู่ด้วยกัน ซึ่งเจ้าของโทรศัพท์ก็มองหน้าจอแค่แวบเดียวก่อนจะลุกขึ้นเดินไปคุยริมกระจก ผมเลยเนียนๆ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูแก้เก้อ
อันตรายชะมัด...เกือบไปแล้วไง เกือบทำอะไรไม่ถูก ไม่สมเป็นผมเลยสักนิด ยิ่งนานวันยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองจะอ่อนลงทุกที แปลกตรงที่ผมไม่ได้หงุดหงิดกับความรู้สึกนี้เนี่ยสิ
“เดี๋ยวออกไป”
ผมเงยหน้ามองเจ้าของเสียงเมื่อได้ยินประโยคที่เขาพูด ตอนแรกไม่ได้ใส่ใจฟังเพราะคิดว่าคงเจรจาธุรกิจ แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่ ทั้งจากรูปแบบการพูดและน้ำเสียงเหมือนจะคุยกับคนรู้จักมากกว่า
“พี่จะออกไปข้างนอกเหรอ” ผมทักตอนที่พี่ภูวางสายแล้วเดินกลับมาที่โซฟา “มันดึกแล้วนะ”
“ต้องไป เพื่อนกูมาไทย”
“เพื่อนพี่จากอังกฤษ?”
“อืม” พี่ภูพยักหน้าก่อนจะเดินไปที่ห้องนอน ใช้เวลาไม่นานเขาก็ออกมาพร้อมกับเสื้อผ้าชุดใหม่ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเสื้อเชิ้ตธรรมดามันทำให้คนดูดีมากขนาดนี้ได้ยังไง แต่คิดไปคิดมา...น่าจะอยู่ที่หนังหน้า
“พี่นัดเพื่อนที่ไหนเหรอ”
“ร้านเหล้า”
ผมคว้ากระเป๋าตังค์กับโทรศัพท์แล้วเดินตามคนตัวสูงออกไปโดยไม่พูดอะไรอีก ตามตั้งแต่เดินออกมาจากห้อง เข้าลิฟต์ จนเดินมาถึงรถแล้วผมก็เปิดประตูเข้าไปนั่งเงียบๆ
“มึงมาทำไม” คนที่นั่งประจำที่คนขับสตาร์ทรถแล้วหันมามอง ไม่มีทีท่าจะขับออกไปถ้าผมไม่ตอบ
“ไปด้วยไง”
พี่ภูเลิกคิ้ว กวาดตามองตั้งแต่หัวจรดเท้า ผมเลยต้องก้มมองตาม ก็จริงอยู่ที่ตอนนี้ผมอยู่ในชุดบอลที่ยังไม่ได้เปลี่ยนกับรองเท้าแตะที่แอบพกมาวางทิ้งไว้ที่ห้องเขา แต่มันก็ไม่ได้ดูแย่อะไรขนาดนั้นสักหน่อย
“พี่อย่าคิดมากดิ คนหน้าดีใส่ไรก็ดูดี” ผมพยักหน้าเพื่อยืนยันคำพูดของตัวเอง คิดในใจว่ามันโคตรจะเป็นความจริง แต่เหมือนคนฟังจะไม่ได้คิดแบบเดียวกัน เพราะเขาถอนหายใจยาวแล้วออกรถโดยไม่พูดอะไรสักคำ
ถ้าถามว่าตอนแรกผมคิดจะออกมาหรือเปล่า ตอบได้เลยว่าไม่…ผมอยากนอนเล่นเกมอยู่เฉยๆ มากกว่า แล้วก็อุตส่าห์ไปแย่งเครื่องมาจากห้องไอ้โซแล้วด้วย แต่พอได้ยินจุดหมายปลายทางของเขาผมเลยโยนเรื่องเกมทิ้ง หลายอาทิตย์แล้วที่ไม่ได้กินเหล้า ไม่ใช่ไม่มีเวลาแต่ไม่มีตัง แล้วตอนนี้มีคนกระเป๋าหนักอยู่ด้วยทั้งที เรื่องอะไรผมจะปล่อยให้โอกาสหลุดมือ
พวกเราใช้เวลาเดินทางเกือบชั่วโมงก็มาถึงร้านเหล้าที่พี่ภูบอก ผมมองขึ้นมองลงแล้วก็เริ่มเข้าใจว่าทำไมเขาถึงมองการแต่งกายของผมแบบนั้น จริงอยู่ที่สถานที่ตรงหน้าผมคือร้านเหล้า แต่มันเป็นร้านที่แค่มองก็รู้ได้ว่าเป็นร้านหรูหราราคาแพงของพวกผู้ดี และแน่นอนว่ามันไม่ถูกจริตผมอย่างแรง
“ร้านน่าแหยงมาก” ผมกระซิบให้พี่ภูฟังในขณะที่เดินเข้าไปด้านใน เกือบโดนการ์ดกักตัวไว้เพราะอะไรก็ไม่รู้ แต่พอคนข้างๆ หันไปมองหน้าแล้วดึงแขนผมให้เดินตามพวกนั้นก็ถอยไปแต่โดยดี
รู้สึกเหมือนเป็นอีหนูของอาเสี่ย
เข้ามาข้างในแล้วก็ไม่ผิดจากที่คิดเท่าไหร่ มันคือร้านนั่งดื่มกึ่งร้านอาหารที่มีความหรูหราพอควร คนในนี้แต่งตัวอย่างกับมางานเลี้ยงยิ่งใหญ่ ชุดราตรีอะไรมาเต็ม ผมไม่สงสัยเลยว่าทำไมตัวเองถูกมองด้วยสายตาแบบนั้น แต่ถ้าถามว่าแคร์ไหม...แน่นอนว่าไม่
“เดรค!”
ผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงโซนวีไอพีตะโกนเรียกเสียงดัง ผมจำได้ว่าชื่อที่เขาเรียกเป็นชื่อพี่ภูเลยมองตาม แล้วก็ไม่ผิดจากที่คิด เขาคือเพื่อนพี่ภูจริงๆ
“ไงเพื่อน” ฝรั่งหัวน้ำตาลตบไหล่พี่ภูแปะๆ ก่อนจะชวนให้นั่งลง พอผมนั่งตามอีกฝ่ายถึงได้หันมามองด้วยความสนใจ “ใครน่ะ”
“ผมชื่อเก้า” ผมแนะนำตัวกลับเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งทางนั้นก็ดูดีใจไม่น้อยที่ผมพูดภาษาเขาได้
“นึกว่าต้องพยายามพูดไทย บอกตรงๆ ว่าไม่ไหว ยากจริงๆ” เจ้าตัวทำหน้าเอียนก่อนจะปรับสีหน้าอย่างรวดเร็ว “ฉันชื่อไรอัน เป็นเพื่อนเดรคน่ะ”
ผมพยักหน้าเข้าใจ ปล่อยให้พวกเขาสั่งอาหารเครื่องดื่ม ส่วนตัวเองนั่งเฉยๆ เพราะเริ่มง่วง อากาศเย็นๆ ทำให้ผมอยากฟุบตัวลงนอนกับโต๊ะ แต่เพราะใส่เสื้อบอลมาตัวเดียวเลยเริ่มหนาวจนหลับไม่ลง
“เรื่องที่นั่นเป็นยังไงบ้าง…”
“ฉันมาพักผ่อนไม่ใช่มาคุยงานนะเดรค” ไรอันโอดครวญ แต่เหมือนพี่ภูจะไม่สนใจ เพราะเขายังคงพูดเรื่องงานอะไรสักอย่างที่ผมไม่เข้าใจเหมือนเดิม
พอบทสนทนาเริ่มเคร่งเครียดผมก็เลิกสนใจฟัง หันมายกเหล้าที่เพิ่งมาถึงโต๊ะเข้าปากแทน ยังไงก็คุยงานกัน สั่งมาเยอะขนาดนี้คงไม่ดี แถมคนสั่งก็ไม่ได้ว่าอะไรด้วย ผมเลยกระดกเอาๆ แต่ยิ่งกินก็ยิ่งหนาวจนต้องยกขาขึ้นมากอดบนโซฟา
“พี่ภู” ผมกระตุกชายเสื้อเจ้าของชื่อจนเขาหันมามอง “หนาว”
สายตาผมจ้องเสื้อคลุมที่เขาใส่อยู่เขม็งเป็นการสื่อชัดเจนว่าต้องการอะไร และต้องขอบคุณที่พี่ภูเป็นคนที่ใจดีที่สุดในโลก เขาเลยถอดเสื้อแล้วโยนมาคลุมหัวผมโดยไม่ปฏิเสธ
“หืม…ไม่ธรรมดานะนั่น” ไรอันเท้าคางมองแล้วพูดด้วยน้ำเสียงประหลาดใจถึงขีดสุด “นายดูเปลี่ยนไปนะเดรค”
“อะไร”
“ปกตินายดู...อืม...เข้าถึงยากกว่านี้มั้ง” ไรอันแย้มรอยยิ้มไม่น่าไว้ใจในขณะที่มองหน้าพี่ภู “เก้าเป็นคนรักของนายเหรอ”
“เปล่า” ผมตอบแทนพี่ภูแล้วโบกมือไปมา “ตอนนี้ยังไม่ใช่ ผมชอบพี่เขาฝ่ายเดียว”
“หา” คนฟังทำตาโตเป็นไข่ห่านก่อนจะหันมาให้ความสนใจกับผมอย่างรวดเร็ว “งั้นก็ยิ่งน่าแปลกไม่ใช่หรือไงที่เดรคยอมให้นายเข้าใกล้”
“จะไปรู้ไหม” ผมหันหน้าหนีด้วยความรำคาญใจเพราะขี้เกียจคุยต่อ
“เมาแล้วพาลนะเด็กนาย” แต่นอกจากจะไม่ถือสาแล้วไรอันยังมองเป็นเรื่องตลกอีกต่างหาก
“เปล่า...เมาไม่เมามันก็เป็นแบบนี้”
อย่างที่พี่ภูว่า ผมเป็นคนเมาที่คุยรู้เรื่อง สิ่งเดียวที่รู้สึกเวลาเมาคือง่วงนอน ครั้งสุดท้ายที่ผมเมาแล้วควบคุมตัวเองไม่ได้คือปีก่อนในงานวันเกิดรุ่นพี่ รู้สึกจะโดนลากกลับเพราะพูดไม่รู้เรื่อง มันจะเกิดขึ้นเวลาที่ผมมีเรื่องอะไรติดค้างในใจ แต่ที่ใครๆ ก็งงคือผมเป็นพวกฟื้นตัวไวมาก ได้นอนสักพักก็ลุกขึ้นมาหิวได้เหมือนเดิมแล้ว เพราะงั้นเวลาไปกินเหล้ากับเพื่อนเลยไม่มีใครห่วงเท่าไหร่
“ดูจากลักษณะ ท่าทางนายก็เริ่มใจอ่อนแล้วสินะ” ไรอันยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มก่อนจะมองพี่ภูด้วยสายตาแปลกๆ
“...”
“แล้วน้องนายจะโอเคหรือไง”
ภามเกี่ยวอะไรด้วย…
“หุบปาก”
“โอเคๆ” ไรอันยกมือยอมแพ้เมื่อพี่ภูพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ ผมได้แต่มองพวกเขาด้วยความไม่เข้าใจ แม้จะพยายามตั้งใจเสือกและจับใจความยังไงก็ทำความเข้าใจได้ไม่หมด
“หยุดกินได้แล้ว” น้ำเสียงดุๆ ดังขึ้นพร้อมกับแก้วเหล้าที่ถูกดึงออกไปจากมือ ผมเกือบดึงกลับมาตามความเคยชินที่ไม่ชอบให้ใครมาห้าม แต่แค่ได้สบดวงตาสีเทาคู่นั้น…
“ไม่กินก็ได้”
ได้โปรดอย่าเบะปาก ไม่ว่าใครก็ต้องมีสิ่งที่แพ้ทางเป็นธรรมดา ผมก็ไม่เคยเชื่อหรอกจนได้มาเจอกับตัวเอง
ครืด ครืด
ผมเหลือบตามองพี่ภูที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูก่อนจะเห็นว่าเขากำลังตั้งท่าจะเดินไปคุยที่อื่น แต่ก่อนไปก็ยังไม่วายหันกลับมาจ้องหน้าไรอันอีกที
“อย่าพูดอะไรไม่เข้าท่า”
ไรอันยักไหล่ทั้งที่ยังยิ้มอยู่ ท่าทางไม่ได้เหมือนคนรับปากเลยสักนิด แต่พอโดนจ้องมากเข้าก็ยอมบอกว่าโอเค พี่ภูถึงได้หันหลังเดินออกไป
“ดูเหมือนโอกาสนายจะเยอะนะ” ไรอันขยิบตาให้ผมแล้วยิ้มกว้าง
“เหรอ” ผมยอมดันตัวขึ้นนั่งมองเขาดีๆ เพราะชอบใจคำพูดนั้นอยู่ไม่น้อย “คุณรู้จักพี่ภูนานหรือยัง”
“สิบกว่าปีแล้วล่ะ ตั้งแต่เจ้านั่นบินไปอังกฤษ”
“เมื่อก่อนพี่ภูอยู่ไทยเหรอ”
“อ่า...นายเพิ่งรู้จักเดรคสินะ เมื่อก่อนเจ้านั่นอยู่กับแม่แท้ๆ ที่นี่ พอท่านเสียไปก็เลยกลับไปอยู่กับพ่อแล้วก็แม่เลี้ยง” ไรอันยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มด้วยท่าทางเหม่อลอย ใบหน้าที่ดูรื่นรมย์มาตลอดหม่นหมองลงโดยไม่ทราบสาเหตุ “ตอนเจอกันครั้งแรกแย่กว่านี้อีก ยังดีที่แม่เลี้ยงรักเดรคกับน้องมาก อะไรๆ เลยดีขึ้น”
“งั้นเหรอ…” ผมเงียบไปนานเพื่อจดจำเรื่องราวที่ได้รู้ไว้ในหัว ไม่ได้ถามอะไรต่อแม้จะสงสัยแค่ไหน เพราะผมอยากฟังจากปากพี่ภูมากกว่า อีกอย่าง...ท่าทางไรอันคงไม่ยอมพูดอะไรมากกว่านี้แน่
“นายรู้เรื่องน้องเดรคหรือยัง”
“รู้แค่ว่าเป็นน้องแท้ๆ…”
“แน่สิ หน้าตาเหมือนกันขนาดนั้น” ไรอันยักไหล่ก่อนจะเบะปากน้อยๆ เหมือนจะไม่ชอบใจนักยามนึกถึงหน้าภาม “ถ้าเด็กนั่นไม่ตัวผอมเหมือนโครงกระดูก ฉันเดาว่าคงเหมือนภูแทบทุกอย่างเลยล่ะ”
“ขนาดนั้นเลย?” ผมเลิกคิ้ว ลองพยายามนึกภาพพี่ภูตัวผอมเป็นโครงกระดูกยังไงก็นึกไม่ออก
“อ้อ...แน่นอนว่านิสัยไม่เหมือนนะ ถ้าภูเป็นแบบนั้นฉันคงเป็นบ้าตาย ถ้าไม่ใช่ว่ารู้เรื่องทุกอย่างแล้วสงสาร ฉันไม่มีทางยอมไปยุ่งเกี่ยวด้วยเด็ดขาด” ไรอันได้ทีบ่นไม่หยุด ท่าทางไม่รู้ตัวสักนิดว่าเผลอหลุดอะไรออกมาบ้าง
“แล้วทำไมคุณต้องถามพี่ภูว่าภามจะโอเคหรือเปล่า”
“ภูไม่ได้บอกอะไรนายมากกว่าบอกว่าเป็นน้องแท้ๆ เลยเหรอ”
ผมพยายามนึกถึงตอนที่คุยเรื่องนี้กับพี่ภู แต่นึกยังไงก็นึกออกแค่เรื่องนี้เรื่องเดียว
“พี่ภูบอกผมว่าถ้าอยากรู้อะไรให้ถามเจ้าตัวเอง”
ไรอันตอบรับเบาๆ ในลำคอก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าให้กลับมาดูร่าเริงจนน่าหมั่นไส้อีกครั้ง
“นั่นหมายความว่าภูคิดว่านายจะทำได้น่ะสิ”
“ทำอะไร”
“เดี๋ยวก็รู้เอง”
“เดี๋ยวนะ ขอทีเหอะ” ผมยกมือเป็นเชิงบอกให้เขาหยุด “ไอ้ประโยคประเภทเดี๋ยวก็รู้เองอะไรนั่น...ถ้าไม่อยากให้รู้ก็อย่าพูดดิ ไม่บอกแล้วจะพูดขึ้นมาทำไม”
พูดให้อยากรู้ พูดให้สงสัย พูดให้คิด แล้วสุดท้ายก็เทกันง่ายๆ ตอนแรกก็ไม่ได้สงสัยอะไรขนาดนั้น แต่พอเปิดทางให้เท่านั้นล่ะ…
เดี๋ยวก็รู้
แล้วจะพูดทำไมวะ!
“โทษทีๆ” ไรอันหัวเราะเสียงดังแล้วพูดขอโทษไม่หยุด แทนที่จะสำนึกและเข้าใจดันหัวเราะใส่ ท่าทางไอ้ฝรั่งนี่อยากโดนดี
“หัวเราะทำ…” ซากอะไร
“อา…” ไรอันยกมือเช็ดน้ำตาป้อยๆ ก่อนจะยิ้มกว้างให้ผม และดูเหมือนมันจะเป็นรอยยิ้มที่จริงใจที่สุดตั้งแต่ได้เจอกัน
“ยอมรับแล้วล่ะ”
“ยอมรับ?”
“ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมต้องเป็นนาย” เขาว่าก่อนจะโน้มตัวมาข้างหน้าแล้วยกแก้วเหล้าขึ้นเขย่า “เอาเป็นว่าถ้าเป็นเรื่องที่ช่วยได้ ต่อไปฉันจะช่วยแล้วกัน”
ผมคลี่ยิ้มถูกใจแล้วยกแก้วขึ้นชนเป็นอันตกลงตามนั้น
“แบบนี้ค่อยน่าคุยหน่อย”
หลังจากเป็นพันธมิตรกันเรียบร้อยแล้วผมก็แลกช่องทางการติดต่อกับไรอันไว้ และมันเป็นเวลาเดียวกันกับที่พี่ภูกลับมาที่โต๊ะพอดี สายตาของเขากวาดมองผมกับไรอันด้วยความไม่ไว้วางใจ จากนั้นก็นั่งลงข้างๆ ผมเหมือนเดิม
คำถามมากมายวนเวียนอยู่ในหัวผมไม่หยุด ต้นเหตุมาจากสิ่งที่ไรอันหลุดออกมา ทั้งเรื่องที่เขาไม่ชอบนิสัยภามและเรื่องที่บอกว่าสงสาร ผมคิดจนปวดหัวแต่ก็ไม่เจอทางออก สุดท้ายเลยได้แต่ตัดมันทิ้งไปง่ายๆ แล้วรอเวลาให้ทุกอย่างเฉลยออกมาเอง
หวังว่าจะมีวันนั้น...
“จะอยู่ถึงวันไหน” พี่ภูหันไปถามไรอัน
“อีกไม่กี่วันก็กลับแล้ว เวลาเที่ยวมีน้อย เจอกันอีกทีคงที่อังกฤษเลย”
“อืม”
“เอาล่ะ...งั้นฉันคงต้องขอตัวก่อน” ไรอันลุกขึ้นยืนบิดตัวก่อนจะกวักมือเรียกพนักงาน “ดูท่านายเองก็จะกลับแล้ว มื้อนี้ฉันเลี้ยงเอง เอาไว้เจอกันใหม่”
“เจอกัน” พี่ภูบอกลาสั้นๆ ก่อนจะเดินแยกไป ผมเลยรีบโบกมือให้ไรอันแล้ววิ่งตาม
กว่าจะเดินไปถึงรถค่อนข้างใช้เวลา เพราะตอนมาที่จอดเหลือไม่มาก พี่ภูเลยต้องจอดอยู่ไกลพอควร ผมใช้เวลาที่เดินรอบสังเกตสีหน้าของคนด้านข้าง แล้วก็เป็นแบบที่คิด…
เขากำลังอยู่ในโหมดอารมณ์ไม่ดีเท่าไหร่
“เรื่องงานแหง” ผมพูดลอยๆ คิดว่าน่าจะใช่เพราะมันเกิดขึ้นตั้งแต่ที่พี่เขาออกไปรับโทรศัพท์
“เดาเก่ง”
เขาเรียกว่าฝีมือหรอก
“พี่อยากหายเครียดไหม” ผมหันไปถามพี่ภูด้วยความดี๊ด๊าเมื่อนึกอะไรดีๆ ออก โชคดีจริงๆ ที่พรุ่งนี้หยุด
“คิดจะทำอะไร”
“อย่าทำหน้าตาไม่ไว้ใจผมสิ ปะๆ เดี๋ยวโชว์” ว่าแล้วผมก็วิ่งนำไปที่รถก่อนจะเปิดประตูขึ้นไปนั่ง รอให้พี่ภูขึ้นรถมาแล้วถึงพูดต่อ “เดี๋ยวพี่ขับไปตามทางที่ผมบอกนะ”
พี่ภูไม่ตอบอะไรแต่ก็ยอมขับไปตามทางที่ผมบอก ถามว่ารู้ทางไหมบอกเลยว่าไม่ เปิดกูเกิลเอา ผมจำได้แค่ชื่อสถานที่ซึ่งพี่วินเคยแนะนำมาตั้งแต่อยู่ปีหนึ่งโดยบอกว่าที่นี่คนน้อยให้หาเวลาไปเดินเล่น แถมยังอยู่ในหมู่บ้านที่เงียบสงบไม่มีสิ่งรบกวนด้วย พี่แกบอกว่ามานั่งแต่งเพลงแถวนี้หัวผมน่าจะแล่น
“สวนสาธารณะ?” พี่ภูหยุดรถตามที่ผมบอกก่อนจะถามด้วยความแปลกใจ
“ใช่แล้ว”
“สวนสาธารณะตอนห้าทุ่มกว่า...มึงมาให้ยุงหามเหรอ”
“ไม่ใช่สักหน่อย” ผมส่ายหน้า “พี่มานั่งที่ข้างคนขับที”
ไม่ต้องรอให้เขาตอบผมก็ลงจากรถก่อนจะเดินไปเปิดประตูคนขับออกด้วยตัวเองแล้วดึงแขนพี่ภูให้ลงมา เขามองด้วยสายตางงๆ แต่ก็เดินไปนั่งข้างคนขับแต่โดยดีเหมือนอยากรู้ว่าผมจะทำอะไร และผมก็ให้คำตอบด้วยการ…
“มึง…”
ยัดตัวลงนั่งฝั่งคนขับ
“ผมจะพาพี่ขับรถเล่นเอง หมู่บ้านนี้ไม่ค่อยมีคน ถนนก็กว้าง พี่ไม่ต้องห่วงนะ สบายๆ”
“มึงขับไม่เป็นไม่ใช่เหรอ”
“เชื่อผม…” ผมยิ้มให้พี่ภูก่อนจะขยับตัวไปคาดเข็มขัดให้เขาโดยไม่ขัดเขิน...เพราะกลั้นไว้อยู่ “ทฤษฎีผมแน่น”
เอาล่ะ...การขับรถครั้งแรกของคุณอชิราคือการขับออดี้ เป็นอะไรที่สมฐานะที่สุด
“เอาจริง?”
“จริง” ผมพยักหน้ายืนยันก่อนจะเข้าเกียร์ ศึกษาทฤษฎีมาสักพักแล้ว วันนี้จะได้ใช้สักที จริงๆ ก็ตื่นเต้นเบาๆ แต่เก็บอาการอยู่
“แล้วมาลองครั้งแรกกับรถกู?” พี่ภูพูดเสียงเพลียๆ
“อย่าคิดมาก ผมจะทำให้พี่ผ่อนคลายเอง แต่จะให้ดีพี่คอยบอกผมด้วยก็จะดีมาก”
ที่ผมอยากจะบอกก็คือ ถ้าไม่อยากให้ออดี้มีตำหนิก็จงสอนดีๆ แต่ถ้าพูดออกไปแบบนั้นมีหวังโดนถีบตกรถแน่ๆ เก็บไว้ในใจดีกว่า
“ไปนะ” ไม่ต้องรอคำตอบผมก็เริ่มออกรถทันที ขยับนิดขยับหน่อย ซ้ายๆ ขวาๆ แรกๆ พี่ภูไม่ได้พูดอะไรสักคำเพราะเห็นผมขับได้ แต่พอผมเพิ่มความเร็วเท่านั้นแหละ
เพียะ!
“ตีแขนผมทำไม” ผมหยุดรถแล้วลูบแขนตัวเองที่โดนตีเสียงดังป้อยๆ โดยที่หน้าบูดจนไม่รู้จะบูดยังไงแล้ว
“ใครใช้ให้เพิ่มความเร็ว” พี่ภูพูดเสียงราบเรียบ หน้าดุกว่าเดิมสองเท่า “ขับดีๆ จับพวงมาลัยสองมือ”
“ครับ”
“อย่าอวดเก่ง ไปชนอะไรเข้าจะทำไง”
“มีรอยขูดขีดนิดหน่อยรถพี่จะได้ดูมีอะไรไง”
“…”
“ขอโทษครับ” ผมพูดเสียงอ่อยก่อนจะค่อยๆ ขยับรถอีกครั้ง แต่พออยากเพิ่มความเร็วก็รู้สึกเหมือนมีสายตาของคนข้างๆ ฟาดฟันมาเป็นเชิงด่าจนต้องหยุดทุกที
จากการวางแผนอันชาญฉลาด ผมคิดว่าการฝึกขับรถครั้งนี้จะทำให้เกิดความเฮฮาขึ้น และคาดหวังไว้ว่าพี่ภูจะหายเครียดจากการได้เห็นความพยายามและความตั้งใจของผม แต่ทุกสิ่งที่คิด…
มันคือความผิดพลาด
“ปรับเบาะให้มันพอดีตัวสิวะ เตี้ยแล้วไม่เจียม”
เตี้ยเหี้ยไรล่ะ…
ใจคิดแต่ปากพูดได้แค่...
“ครับ” ว่าแล้วก็ปรับเบาะให้พอดีตัว
“กระจกด้วย”
“ครับ” ปรับกระจกให้มองถนัด
“ขับไปดีๆ”
“ครับ” จับพวกมาลัยแน่น
“ตามองทางสิวะ มองเหี้ยไรของมึง”
“ผมเห็นตู้ชาเขียว…” อยากกิน
“อ้วน”
โอเคเลิก
ผมมองตรงไปข้างหน้าด้วยความตั้งใจเพราะกลัวโดนดุอีก พอขับดีๆ ไม่มีปัญหาเขาก็ไม่ยอมพูดอะไรสักคำจนผมคิดว่าอยู่คนเดียว แต่ถ้าพลาดขึ้นมาก็จะเป็นแบบเมื่อกี้อีก ว่าแต่...
เอี๊ยดดดดดด!
“ทำอะไรของมึง!” พี่ภูพูดกึ่งตวาด ทำท่าเหมือนอยากเข้ามากระชากหัวผม
“ผมเห็นขี้หมาอยู่ตรงล้อพอดี ก็เลย…”
ถ้าโดนมันก็จะเหม็นแล้วก็สกปรก
“แล้วทำไมไม่หักหลบ”
“ผมเพิ่งเคยขับนี่นา”
“มึงแม่ง…” เขาทำท่าเหมือนจะตีผมเลยหลับตา แต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็นสัมผัสนุ่มๆ ของมือที่วางแปะลงมาบนหัวแทน “เอาเถอะ...ครั้งแรกแค่นี้ก็ดีแล้ว”
เท่านั้นล่ะผมยิ้มหน้าบานในทันที แล้วยิ่งบวกกับมือที่แปะอยู่บนหัว...อยากจะย้ำสักสามล้านรอบว่าชอบสัมผัสของเขามากแค่ไหน
“งั้นผมขับกลับเลยนะ”
“เพิ่งลองขับไม่ถึงชั่วโมงมึงจะขับกลับเลย?” พี่ภูเลิกคิ้วก่อนจะละมือออกจากหัวผมไปกอดอกไว้แทน
“จ๋าบอกว่าอยากเก่งก็ต้องลองทำ”
“คำสอนผิดหรือวิธีคิดมึงผิดกันแน่วะ”
“พี่ว่าอะไรนะ”
“เปล่า” คนที่พึมพำอะไรสักอย่างตอบเสียงเรียบแล้วมองตรงไปข้างหน้า “มานั่งเฉยๆ ได้แล้ว เมื่อกี้มึงกินเหล้ามา เอาไว้ค่อยขับวันหลัง”
จริงๆ ผมก็ไม่ได้เมาหรอก แต่ก็ตามที่พี่ภูว่า อย่าเพิ่งดีกว่า
พอสลับที่กันเรียบร้อยแล้วพี่ภูก็ออกรถ ผมเอนเบาะลงนิดหน่อยแล้วกอดเสื้อแขนยาวของเขาไว้พร้อมทั้งพยายามบังคับเปลือกตาให้เปิดให้นานที่สุดเพื่อจะได้อยู่เป็นเพื่อนคนที่กำลังขับรถ แต่พอแอร์กระทบตามากเข้าก็เริ่มทนไม่ไหว
“ง่วง”
“นอนไป”
พอได้รับคำอนุญาตแล้วผมก็ไม่รอช้าปิดเปลือกตาลงทันที แต่ก่อนสติจะเลือนหาย ผมได้ยินเสียงบ่นของใครอีกคนดังอยู่ไม่ไกล...
“สรุปว่ามึงจะช่วยให้กูหายเครียดหรือเครียดกว่าเดิมกันแน่”
-----------------
ติดตามข่าวสารได้ที่
เพจ Chesshire.
Twitter @Chesshire04