ตัวร้าย
10
“คนรู้จักหรือ”
ยูก้มมากระซิบให้ได้ยินกันสองคน เขาคงเห็นผมนิ่งเงียบไปตอนที่อินเรียกและเดินเข้ามาหา ผมถอนหายใจแล้วพยักหน้า
“สวัสดีครับ”
ผมกล่าวเสียงเรียบแล้วถอยหลังให้ตัวเองยืนอยู่ข้างยู เขาเลิกคิ้วก่อนจะขมวดเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าผมไม่ได้อยู่คนเดียวและยูก็เป็นคนที่เขาไม่คุ้นหน้า
“มาทำอะไรแถวนี้ครับ”
เขาเก็บความสงสัยไว้ใต้สีหน้ายิ้มแย้มได้อย่างมิดชิด ผมกลอกตาเบื่อหน่ายทำให้ยูที่ยืนอยู่ข้างกันมีท่าทีสงสัย
“ธุระครับ”
ผมตอบแบบไม่เต็มใจนัก คนตรงหน้ายังคงรอยยิ้มการค้าได้ดีเช่นเดิมแต่เหมือนเขาจะรู้ว่าผมคงไม่พูดอะไรไปมากกว่านี้เป้าหมายจึงเปลี่ยนเป็นคนข้างกายของผมแทน
“เพื่อน
น้องซันหรือครับ”
ผมเกือบหลุดเบะปากกับคำเรียกของเขา ยูหันมามองผมอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันไปยิ้มคุณชายให้อินแต่ผมรู้สึกว่าในรอยยิ้มนั้นมันดูต่างจากที่ยูเคยยิ้ม
“เพื่อน...หรือเปล่ายังไม่ค่อยแน่ใจครับแต่เรามาด้วยกัน”
ยูตอบอีกคนเหมือนจะสุภาพแต่ผม ไม่สิอินเองก็คงจะสัมผัสได้ว่าน้ำเสียงของยูดูท้าทายชอบกล เห...ผมแปลกใจนะเนี่ยที่เห็นคุณชายใจเย็นแบบยูมีโมเม้นอย่างนี้ด้วย ยูหันมามองผมแล้วยิ้มมุมปากให้เล็กน้อยขยับเข้ามาใกล้จนไหล่ชนกัน
อินมองเราทั้งคู่นิ่งรอยยิ้มที่เคยมีเริ่มเลือนหายกลายเป็นเฉยชา ดวงตาของเขาฉายแววไม่พอใจออกมา
“หมายความว่าอย่างไรครับคุณคนเล็ก”
ผมไม่ได้ตอบเขาในทันที ผมเข้าใจสิ่งที่ยูต้องการจะสื่อจึงตามน้ำไป ผมยักไหล่แล้วตอบเขา
“ก็อย่างนั้นล่ะครับ ไปกันเถอะคิวเราแล้ว”
ท้ายประโยคผมบอกกับยูซึ่งเขาก็พยักหน้ารับรู้เขาแตะหลังผมเบา ๆ ให้เดินก่อน เราทั้งคู่ก้มหัวลาให้อินที่ยืนนิ่งอยู่ ยูรับของแทบจะทั้งหมดไปถือ ผมได้ถือแค่ขนมหนึ่งถุงเท่านั้น
“โคตรจะแมน”
ผมเอ่ยจิกกัดเขาด้วยรอยยิ้ม เขายิ้มตอบเป็นรอยยิ้มคุณชายเช่นเดิม
“แน่นอน เปิดประตูให้ผมเลยครับคุณ”
ใครจะรู้ว่าผู้ชายคนนี้เห็นนิ่ง ๆ แต่ร้ายไม่เบา เขาพูดในโทนเสียงทุ้มนุ่มที่ค่อนข้างดังจากปกติ ผมอมยิ้มขำแต่ก็เล่นไปกับเขา เดินนำหน้าไปก่อนเปิดประตูรอให้เขาเดินตามมาออกไปก่อนและเดินตามออกไปโดยไร้การล่ำลากับคนที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่ร้านกาแฟ
ผมหุบยิ้มทันทีที่เราเดินออกมาในระยะไกลพอยูเองก็เช่นกันเขาเดินอยู่ข้างผมเงียบ ๆ ไม่ได้เอ่ยถามอะไรออกมา
“จะไม่ถามอะไรหน่อยหรือ”
ผมเอ่ยขึ้นมาลอย ๆ แต่คนข้างกายรู้ดีว่าผมหมายถึงเรื่องอะไร
“ขอหนึ่งคำถาม”
“เอาสิ”
ผมตอบ ยูยิ้มแล้วหยุดเดินร่างสูงโปร่งกว่าผมเล็กน้อยหันหน้าเข้ามาหา ผมสูดหายใจลึกเตรียมฟังคำถามของเขา ก็คงไม่แคล้วถามว่าอินเป็นใคร เป็นแฟนเก่าหรือเปล่าอะไรเทือกนั้น
“
คู่แข่งเพื่อนกูหรือเปล่า”
ผมเลิกคิ้วมองอยู่อย่างงงงวย สีหน้าเขายังคงยิ้มแย้มเช่นเดิมแต่แววตากลับกดดันจนน่าขนลุก ผมนิ่งอยู่สักครู่ก่อนมุมปากจะแย้มยิ้มจนกว้างแล้วส่ายหัว
“ไม่ใช่ ไม่เลย
ผู้ชายคนนั้นเทียบกับบีสท์ไม่ได้สักนิด”
ยูยิ้มพอใจกับคำตอบของผม
“ดีมาก ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรจะถามแล้ว อ้ออย่าลืมบอกมันด้วยล่ะว่าเจอใคร ถึงเขาจะไม่ใช่คู่แข่งอะไรของเพื่อนกูแต่ดูก็รู้ว่าค่อนข้างมีความสำคัญใช่ไหมล่ะ อย่าคิดว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อยไม่ต้องพูดก็ได้ ไอ้เรื่องเล็ก ๆ นี่ล่ะที่สะสมจนกลายเป็นเรื่องใหญ่ เข้าใจใช่ไหม”
ผมร้องว้าวเบา ๆ เพราะไม่เคยได้ยินยูพูดประโยคที่ยาวมากขนาดนี้ เขารู้ถึงความกวนตีนของผมเลยยิ้มขำส่ายหน้าเพราะว่ามือทั้งสองข้างของเขาถือของเต็มเขาจึงใช้ขาเตะมาเบา ๆ ที่น่องของผม
“ถามว่าเข้าใจไหม ไม่ใช่ให้มากวนตีนกู”
“ครับ ๆ เข้าใจครับคุณพ่อ”
ผมยิ้มแกล้งพูดล้อเลียนเขา ยูขมวดคิ้วแล้วโคลงหัว
“เติมคำว่า
ผัวไปท้ายประโยคน่าจะเหมาะกว่า”
“ไอ้!!!!”
ผมได้แต่ถลึงตาใส่ยูที่หัวเราะหึหึแล้วเดินผิวปากนำผมไป ไอ้บ้าเอ๊ย พ่อผัวอะไรกันเล่า! ผมเดินกระฟัดกระเฟียดตามหลังเขาไปติด ๆ ปากก็ขมุบขมิบว่าเขาแต่มุมปากของตัวเองกลับกลั้นยิ้มไว้จนปวดแก้ม
โดยที่ผมไม่รู้เลยว่าในมุมหนึ่งไกลออกไป ร่างสูงของคนหนึ่งที่อยู่ในบทสนทนาจะยืนมองผมทั้งคู่ด้วยสายตานิ่งงัน
“นานมากนึกว่าไปซื้อกันที่ชาติหน้า”
พอมาถึงรถเมก็บ่นเราสองคนทันที ยูก้มหัวขอโทษเพื่อนของเขางก ๆ ดูก็รู้ว่าจงใจกวนเมเล่น
“ขอโทษครับคุณผู้หญิงพอดีไทม์แมชชีนติดขัดนิดหน่อยเลยได้กลับไปชาติที่แล้วมาก่อนถึงกลับมาปัจจุบันได้”
“สัด ซันดูมันกวนตีนเมดิ ชักเอาใหญ่แล้วนะยูอยู่กับไอ้กายไอ้มาร์คมากไปแน่ ๆ”
เมบ่นเพื่อนตัวเองแล้วหันมาฟ้องผมมีเจนพยักหน้าเห็นด้วย ผมสังเกตได้อีกอย่างว่าเวลายูกวนอะไรพวกเธอ นอกจากจะบ่นไม่จริงจังแล้วยังพาดพิงไปถึงจอมกวนของกลุ่มอย่างเช่น สกาย เปา หรือไม่ก็มาร์ค นึกแล้วก็ขำ ถ้าพวกนั้นได้ยินต้องงอแงแล้วบ่นว่าพวกเธอสองมาตรฐานแน่
“จะขับเองหรือ”
ยูถามเมื่อเห็นเมเปิ้ลนั่งประจำที่คนขับ เธอพยักหน้าเขาจึงเดินมานั่งข้างหลังกับผม
“รู้สึกแปลก ๆ แฮะให้ผู้หญิงขับรถให้”
ผมบอกพวกเขากำลังจะอาสาขับให้แต่ยูยกมือห้ามเสียก่อน
“ปกติน่ะแล้วบอกไว้ก่อนนะเห็นอย่างนี้เมมันขับรถเก่งกว่าไอ้มาร์คเยอะ”
“เรื่องจริง?”
“ช่าย เมมันดริฟได้ด้วยนะ”
เจนหันมายิ้มแฉ่งบอกผม ผมทำหน้าเหวอแล้วหันไปมองคนขับที่ยิ้มจนตาหาย
“ลองไหมซันเดี๋ยวดริฟโชว์”
ผมรีบส่ายหัวยกมือปฏิเสธพลางยิ้มแห้งส่งให้เธอ
“คราวหน้าแล้วกันนะเม เดี๋ยวกาแฟหก”
เมทำหน้าเสียดายแล้วสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าคราวหน้าจะพาผมไปดริฟรถเล่น ผมว่าไม่ใช่ความคิดที่ดีเสียเท่าไหร่แต่ก็ได้แต่พยักหน้ายิ้มแห้งให้เธอไปโดยมีอีกสองคนยิ้มขำปนให้กำลังใจผมไปด้วย อีกราว ๆ ยี่สิบนาทีถัดมาพวกเราก็กลับมาถึงบ้านด้วยความปลอดภัย เมเปิ้ลเปิดกระจกรถตรงป้อมยามเห็นชายสูทดำหน้าตาเกรงขามคนหนึ่งเดินเข้ามาหา
“ครับคุณหนู”
เขาโน้มตัวเข้ามาถามเมด้วยน้ำเสียงสุภาพ เมเปิ้ลหันมาขอถุงกาแฟจากยูไปถุงหนึ่ง ยูก้มหาอยู่สักครู่ก็ยื่นส่งไปให้เธอ เมเปิ้ลรับไว้แล้วส่งกาแฟเจ้าดังไปให้เขา
“ออกไปซื้อของกันมาค่ะ ขากลับผ่านร้านกาแฟเลยซื้อกลับมาฝากวันนี้อยู่กันสี่คนใช่ไหมคะพี่ฉาย”
“ครับคุณหนู ขอบคุณครับ”
เขารับถุงกาแฟไปแล้วค้อมศีรษะให้อย่างนอบน้อบแต่ก่อนที่เมจะปิดกระจกเจนก็ท้วงไว้ หญิงสาวยื่นขนมถุงใหญ่ไปให้ชายที่ชื่อฉายอีกรอบ”
“ขนมค่ะ แล้วก็ขอบคุณที่เหนื่อยดูแลพวกเรามาตลอดนะคะพี่ฉาย”
พี่ฉาย...ผมเรียกตามพวกเขายิ้มขอบคุณแล้วรับถุงขนมไป
“ขอบคุณครับ”
“พี่ฉายเป็นคนดูแลของพวกเราน่ะ จะบอกว่าไงดีเหมือนพี่เลี้ยงอ่ะจริง ๆ มีอีกสองคนแต่พวกเขาสลับ ๆ กันมา”
เจนช่วยไขความสงสัยของผม ผมคิดตามจะพูดว่าอย่างไรดีดูแล้วไม่เหมือนกับพี่เลี้ยงสักนิดเหมือนบอดี้การ์ดเสียมากกว่า
“เหมือนบอดี้การ์ด”
“จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ผิดแต่พวกเราไม่อยากเรียกพวกพี่เขาอย่างนั้น พวกเขาเหมือนกับญาติผู้ใหญ่ของพวกเราคอยช่วยคอยทำอะไรให้ตั้งหลายอย่าง”
เจนบอก เธอหันมายิ้มให้ผมพอดีกับที่เมเปิ้ลถอยรถจอดเรียบร้อย พวกเราทั้งสี่คนช่วยกันขนของลงจากรถกันเห็นบีสท์กับแพรวเดินออกมารับ
“หิวไส้จะขาด”
แพรวบ่นเดินมาช่วยเมถือของ
“รอนิดรอหน่อยไม่ได้เดี๋ยวปั๊ดเหนี่ยว”
“ใครบอกกูรอไม่ได้ บ่นเฉย ๆ เว่ย ไป ๆ วันนี้กินบ้านนั้นนะ”
แพรวบอกแล้วบุ้ยปากที่ทางบ้านผู้ชาย
“ให้ไอ้เปากับไอ้เชนล้าง”
“ทำดี”
สาว ๆ แปะมือกันแล้วเดินกอดคอร้องเพลงเข้าบ้าน ยูยิ้มส่ายหัวแล้วเดินตามเข้าไปเหลือผมกับบีสท์ยืนกันอยู่สองคนที่โรงรถ
“มีอะไรหรือเปล่า”
คำถามของบีสท์ทำผมเลิกคิ้วงง เขาถอนหายใจแล้วยกมือข้างที่ว่างมาจิ้มหน้าผากผม
“สีหน้ามึงดูไม่ค่อยสบายใจ”
“เดี๋ยวกินข้าวเสร็จแล้วจะเล่าให้ฟังนะ จริง ๆ ก็ไม่ได้สำคัญอะไรหรอกแต่ก็อยากบอกมึงทุกเรื่องอ่ะ”
เขายิ้มมือใหญ่โคลงหัวผมเบา ๆ
“จะเรื่องเล็กหรือใหญ่แต่ถ้าเป็นเรื่องของมึง
สำหรับกูมันสำคัญหมดแหละ”
ผมยิ้มจนเต็มแก้มความรู้สึกหม่น ๆ จากที่เจอกับอินปลิวหายไปเป็นปลิดทิ้งเมื่ออยู่ตรงหน้าคน ๆ นี้ สีหน้าและท่าทางของบีสท์ซื่อตรงและจริงใจเสมอมันทำให้ผมรู้สึกอยากเข้าใกล้ ๆ คน ๆ ยิ่งไปอีก
“เฮ้!!! จะจีบกันอีกนานไหมวะพวกกูหิวเว้ย”
เสียงตะโกนมาจากหน้าบ้าน เชนป้องปากตะโกนเรียกพวกผมแล้วทำหน้าเหม็นเบื่อ บีสท์ชูนิ้วกลางส่งไปให้แล้วดันหลังผมให้เดินเร็ว ๆ เข้าบ้าน เชนยืนพิงกรอบประตูทำหน้ากวนส่งมาให้
“จะแดกข้าวหรือตีนกู”
“ใช่ซี่ ฉันมันก็แค่ค๊นโทรผิด บอกเค๊าฉั๊นโทร่ผิด”
“หึหึ ไอ้ห่า”
บีสท์หัวเราะขำเพื่อนตัวเองที่แหกปากร้องเพลงผิดคีย์แล้วกอดคอกันเดินเข้าบ้าน บอกว่ากอดคอคงไม่ถูกนักเพราะบีสท์รัดคอเชนแน่นจนอีกฝ่ายดิ้นเร่า
“มา ๆ อย่ามัวแต่เล่นกัน มากินข้าว”
แจมกวักมือเรียกทุกคนไปรวมตัวในห้องนั่งเล่นที่ตอนนี้โต๊ะกระจกถูกย้ายไปข้าง ๆ แทนที่ด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ปู ส้มตำและอาหารมากมายวางอยู่ตรงหน้า พวกผู้หญิงยูกับเปานั่งรอกันอยู่ก่อนหน้าแล้วพวกผมจึงเดินเข้าไป ผมยื่นถุงไก่ย่างหมูย่างที่ตัวเองเป็นคนถือส่งให้นาฟแกะใส่จานจากนั้นก็ลงมือจ้วงกันไร้เสียงพูดจา
“เอ้อลืมเล่า ป้าแม่งฮามากคิดว่าซันเป็นผู้หญิงแถมยังเป็นเมียยูด้วย”
เจนเริ่มเล่าเหตุการณ์ที่ผมถูกป้าเข้าใจผิด เมื่อทุกคนได้ฟังก็หัวเราะกันท้องคัดท้องแข็งแล้วบอกว่าก็ไม่แปลกที่ป้าจะเข้าใจผิด บีสท์เองยังขำผมเลยเราใช้เวลากินเข้ากลางวันที่ค่อนมาทางบ่ายแก่ ๆ กันไม่ถึงชั่วโมงเพราะทุกคนต่างหิวโซ หน้าที่เก็บล้างเป็นของเชนและเปาที่ไม่บ่นสักแอะ พวกผู้หญิงกลับไปนอนเล่นที่บ้านของพวกเธอ ยูกลับไปอ่านหนังสือที่ห้องกระจกเหลือผมกับบีสท์เพียงสองคนในห้องนั่งเล่น
“ไปนั่งเล่นหลังบ้านกันไหม”
“เอาสิ”
ผมเดินตามคนเอ่ยชวนมาหลังบ้านเราสองคนนั่งแกว่งขาในสระน้ำมองแดดจ้าด้านนอกแล้วหยีตา
“ไหนมีอะไรเล่ามาซิ”
ผมสูดหายใจเอนตัวไปด้านหลังยันมือไว้กับพื้นเงยหน้ามองฟ้า
“เจออินที่ร้านกาแฟ”
“...”
“กูอยู่กับยู เขาเดินเข้ามาหา ถามว่ามาทำอะไรที่นี่แล้วถามว่ายูเป็นใคร หมอนั่นเหมือนจะรู้ว่ากูไม่ค่อยอยากคุยกับอินเท่าไหร่เลยช่วยไว้ ไม่ตอบว่าเป็นอะไรกันแต่ก็มาด้วยกัน”
ผมหันไปมองบีสท์ เขาเองก็มองผมอยู่ เขาฟังแล้วก็เลิกคิ้วยิ้มบาง
“งานถนัดยูมันล่ะ”
“หืม?”
“เรื่องไม้กันหมาเรียกใช้ยูมันได้”
บีสท์พูดน้ำเสียงสบาย เอนหลังเงยหน้าท่าเดียวกับผม
“แล้วรู้สึกอย่างไรบ้างที่เจอกับเขา”
ผมส่ายหน้า
“ไม่รู้สิ แต่ไม่ชอบเลยกูกลัวว่าเขาจะมาดึงกูออกจากฝันดีตรงนี้ โอ๊ะ! เจ็บนะดีดทำไม”
ผมทำหน้ามุ่ย ก็บีสท์น่ะสิดีดหน้าผากผมดังเป๊าะ เจ็บนะ
“เจ็บก็ดีจะได้รู้ว่านี่คือความจริง”
“...”
ผมเงียบและฟังเขาพูดต่อ
“กูที่อยู่ข้างมึงตรงนี้ ไอ้พวกนั้นที่อยู่ในบ้าน รักยม พวกพี่ฉายที่อยู่หน้าบ้าน พวกเรามีตัวตนกันทุกคน...ซันมึงไม่ได้ฝันไปหรอก”
ผมก้มหน้าเม้มปากแน่นรู้สึกขอบตาร้อนผ่าวจนรู้สึกถึงสัมผัสอบอุ่นที่ผ่ามือ
“
กูอยู่ตรงนี้นะ”
“อื้อ”
“ร้องไห้อีกแล้ว บอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าร้องกูใจไม่ดี”
เขาบอกผมเสียงนุ่มอีกมือที่ไม่ได้กุมมือผมถูกส่งขึ้นมาเช็ดน้ำตาของผมแผ่วเบา
“ก็มันดีใจ อยากอยู่ตรงนี้ตลอดไปเลย ไม่อยากออกไปข้างนอก ไม่อยากเจอใคร ไม่อยากเจอคนพวกนั้น..”
ผมสะอื้นเล็กน้อยบอกเขาเสียงติดขัด บีสท์เลิกเช็ดน้ำตาให้แต่เขาขยับเข้ามาใกล้ปล่อยมือที่กุมกันแล้วเปลี่ยนมาโอบไหล่จับหัวผมให้ซบไหล่เขาแทน ยิ่งมือใหญ่ลูบหัวผมด้วยความอบอุ่นมากเท่าไหร่น้ำตาของผมก็ยิ่งไหลไม่หยุด
“ชู่ว..ไม่เอาไม่พูดแบบนั้น อย่างที่กูบอกว่าบ้านนี้ต้อนรับมึงเสมออยากมาเมื่อไหร่ก็ได้แล้วกูเองก็จะอยู่ข้าง ๆ มึงเท่าที่มึงต้องการแต่อย่าทำให้การมีอยู่ของกูกับพวกเพื่อนทำให้มึงเปลี่ยนไปหันหลังให้กับทุกคน แบบนั้นมันไม่ดีเลยรู้ไหมซัน”
“แต่...”
“ฟังก่อน กูไม่รู้หรอกว่าพวกนั้นของมึงหมายถึงใคร แต่อย่างน้อยมึงก็ยังมีคนที่หวังดีกับมึงอยู่ข้างนอกนั่นไม่ใช่หรือ”
“อื้อ”
“เห็นไหมว่าข้างนอกนั่นก็ไม่ได้เลวร้ายไปเสียหมดหรอก ยังมีสิ่งดี ๆ รอมึงอยู่อีกอย่างถึงมึงจะออกไปข้างนอกนั่นกูก็จะออกไปกับมึงโอเคไหม”
“ไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดเสียหน่อย”
ผมพูดอย่างเอาแต่ใจขยับตัวเข้าใกล้บีสท์อีก ได้ยินเสียงเขาหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ สัมผัสอ่อนโยนที่ศีรษะ มันทำให้ผมสบายใจจนไม่อยากผละไปไหน
“ให้เราชัดเจนกันกว่านี้ก่อนแล้วกูจะตามมึงเป็นเงาตามตัวเลยดีไหม”
ผมพยักหน้าสักครู่ก็ส่ายหน้า
“แบบนี้ก็ดี แต่มีมึงอยู่ตลอดเวลาก็ดี”
“เอาแต่ใจ”
บีสท์บอกด้วยน้ำเสียงเย้าแหย่ ผมพยักหน้า
“มากเลย”
“อ้อลืมถาม แล้วพ่อพระเอกเขาว่าไงมั่งล่ะที่ยูมันตอบกวนตีนเขาไปแบบนั้น”
“พ่อพระเอก?”
ผมทวนทำพูดบีสท์ด้วยความฉงน เขาหัวเราะแล้วกล่าวขอโทษที่พูดอะไรที่ผมไม่เข้าใจ
“พี่อินน่ะ ติดปากแพรวชอบเรียกว่าพ่อพระเอก”
“เขาไม่ใช่พระเอกเสียหน่อย”
ผมเถียง บีสท์โคลงหัว
“แพรวบอกว่าหมอนั่นนิสัยพระเอก ดูเพอร์เฟ็ค อบอุ่นแฟมิลี่แมน”
ผมนิ่งแล้วคิดตาม ก็ไม่ผิดจากที่แพรวพูด นั่นน่ะนิสัยของอินเลย
“อือ ถ้าอินเป็นพ่อพระเอกแล้วมึงเป็นใครล่ะ”
บีสท์หัวเราะแล้วลูบหัวผมที่ยังซบอยู่ตรงไหล่เขาเบา ๆ แม้ว่าตอนนี้ผมจะหยุดร้องไห้แล้วแต่ก็ไม่ได้ผละออก ผมชอบอยู่แบบนี้ ชอบอยู่ใกล้ ๆ เขา
“เป็น
ตัวร้ายล่ะมั้ง คนอื่นก็คงมองกูแบบนั้น”
ผมส่ายหน้ารัว
“ไม่จริงสักหน่อย มึงไม่ใช่ตัวร้าย”
“กล้าพูดไหมว่าเห็นกูตอนแรกแล้วไม่กลัว”
“...”
ผมเงียบเพราะที่บีสท์พูดมามันจริง ตอนที่เจอเขาครั้งแรกผมค่อนข้างเกรงและกลัวเขา
“นั่นมันก่อนรู้จักกันนี่ แต่ตอนนี้รู้แล้วว่ามึงไม่ใช่อย่างที่เขาพูดกัน”
ผมเถียง เขาหัวเราะเหมือนจะไม่ใส่ใจเสียเท่าไหร่
“แต่คนอื่นก็มองกูแบบนั้น มึงจะรับได้ไหมถ้าเดินข้างกูแล้วจะต้องถูกคนอื่นพูดถึงในทางเสียหาย คนที่เคยเข้าใกล้กูคนก่อน ๆ ก็ไม่มีใครทนได้เลยนะ”
“ทำไมกูต้องแคร์คนอื่น มึงเคยบอกเองไม่ใช่หรือว่าพวกนั้นไม่ได้มีส่วนได้เสียอะไรกับชีวิตเราแล้วทำไมกูต้องแคร์...”
“แต่คนพวกนั้นมีคนในชีวิตมึงอยู่ด้วยไงซัน”
บีสท์พูดดักคอผม เสียงทุ้มไม่ได้แข็งกร้าวแต่ในน้ำเสียงนั้นกลับถักทอไปด้วยความห่วงใยส่งมาจนผมรู้สึกได้ เขาไม่ได้กลัวสายตา
คนอื่น แต่ที่บีสท์กลัวคือเสียงตอบรับจาก
คนรอบตัวผมต่างหาก“กูไม่ใช่คนดีนักหรอกนะ”
“มึงดี! อย่างน้อยก็สำหรับกู”
ผมเถียงคอเป็นเอ็น ไม่ชอบเลยที่เขาพูดเหมือนตัวเองไม่ดี ถ้าเขาไม่ดีจริงป่านนี้เราคงไม่ได้รู้จักกันหรอก และหลาย ๆ อย่างที่ได้รู้เกี่ยวกับผู้ชายคนนี้ก็ไม่มีตรงไหนที่เรียกว่าไม่ดีเลยสักนิด คนที่ไม่ดีคือผมเองต่างหาก ผมเองที่ไม่คู่ควรกับเขา
“เชื่อสิว่าทุกคนจะคิดว่ากูล้างสมองมึง”
เขาพูดขำแต่ผมรู้ว่าเขากังวล ผมส่ายหัว
“กูไม่แคร์ กูจะทำให้พวกเขารู้ว่ามึงไม่ใช่แบบนั้น”
“ยากนะ”
“ยากแค่ไหนกูก็จะทำ”
“ผิดแล้ว”
“อะไร”
ผมเงยหน้าถามเขาด้วยความไม่เข้าใจ บีสท์ก้มหน้ามายิ้มอ่อนโยนก่อนจะบอกกับผมเสียงนุ่มและอบอุ่นไปทั้งใจ
“
เราต่างหาก เราจะผ่านมันไปด้วยกัน”
ผมยิ้มเต็มแก้ม เขาหน้าเหวอสักครู่แก้มบีสท์ก็ขึ้นสีแดงเรื่อ เขาเสมองไปทางอื่น
“ยิ้มให้กูใกล้ขนาดนี้กูก็เขินเป็นนะ”
พอเขาพูดแบบนี้ผมก็เริ่มรู้สึกเขินขึ้นมานิดหน่อย ผมก้มหน้าลงกลับไปซบไหล่เขาเช่นเดิม
“พูดทำไมเล่า กูเขินด้วยเลยเนี่ย”
เขาหัวเราะแล้วลูบหัวผมเล่น ผมหลับตาซึมซับความอบอุ่นและอ่อนโยนที่บีสท์มอบให้ ยิ่งอยู่ด้วยกันผมก็ยิ่งมั่นใจว่าผมเลือกไม่ผิดที่เดินตามเขามาในวันนั้น ถึงใคร ๆ จะพากันบอกว่าเขาเป็นเหมือนตัวร้ายในละครผมก็ไม่สนหรอก
เพราะสำหรับผม
เขาเป็นพระเอกของผมคนเดียว
จะอยู่ตรงนี้ถ้าเธอต้องการ ถ้าเผื่อทางนั้นทำเธอหมองหม่น
เห็นเธอเสียความรู้สึก ฉันที่รักเธอกว่าทุกคน...ก็เสียใจ
หากคำว่ารักมันร้ายกับเธอมากไป
บอกมาได้ไหม ให้ฉันช่วยซับน้ำตา
ส่งใจช้ำๆ ของเธอมา ฉันจะรักษามันด้วยรักจริง
ฉันอยู่ตรงนี้ - Black Head
Tbc
talk. เอ่าขอเสียงทีมพี่บีสท์หน่อยเร๊วววววว ฮิ้ววววววว ฉันรักเขาาาาซัน...เราขอได้ไหมผชคนนี้ อิจจริง ๆ ต่อไปจะหวานกว่านี้กันอีกค่ะคุณขา
ปล.ซันก็เหมือนเด็กขาดความอบอุ่นที่พอมีที่พักพิงทางใจก็อยากจะยึดเอาไว้ เราอยากให้ทุกคนเข้าใจน้อง
ปล1. แล้วเรามาดูกันว่าตัวร้ายจริง ๆ น่ะใคร
ปล2. ความกวนตีนพี่ยูเขาก็ไม่แพ้เพื่อน ๆ เขาหรอกแค่ไม่ค่อยได้แสดงออก หิหิ