[END]►รักอิสระ◄ ตอนพิเศษ : สวัสดีปีใหม่อีกแล้ว 30/12/18
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [END]►รักอิสระ◄ ตอนพิเศษ : สวัสดีปีใหม่อีกแล้ว 30/12/18  (อ่าน 353236 ครั้ง)

ออฟไลน์ เต้าหู้ไข่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +279/-5
    • twitter
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย bo :ling2:y's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
____________________________________________________________________________________________


►ความรู้สึกเป็นอิสระ◄
►หัวใจเป็นของอิสระ◄


สารบัญ



**นิยายเรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องสมมติที่แต่งขึ้น เรื่องราว บุคคลใดๆ ชื่อ-นามสกุลที่ปรากฏในเรื่องไม่มีอยู่จริง หากบังเอิญซ้ำกับชื่อหรือนามสกุลจริงของท่านใดขออภัยมา ณ ที่นี้**



**ฝากเรื่องที่ผ่านมาด้วยค่า**
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-05-2021 19:09:50 โดย เต้าหู้ไข่ »

ออฟไลน์ เต้าหู้ไข่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +279/-5
    • twitter
Re: ►รักอิสระ◄ [บทนำ] 22-01-17
«ตอบ #1 เมื่อ22-01-2017 23:51:05 »

นิยายเรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องสมมติ ทุกสิ่งใดในเรื่องล้วนไม่มีอยู่จริง





บทนำ

ชีวิตเรื่อยเปื่อย

 

“ทุกชีวิตมีอิสระ อย่าให้อะไรมาเป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิตของคุณ ฟรีดอมไลฟ์ประกันภัย ให้คุณใช้ชีวิตอย่างอิสระ ชีวิตดีๆ ที่คุณเลือกได้...”

ผมหันไปมองโฆษณาในทีวี เพราะสนใจโฆษณาที่กำลังฉายอยู่เมื่อสะดุดกับคำว่า ใช้ชีวิตอย่างอิสระ กำลังคิดว่าชีวิตแบบนั้น มันเป็นแบบไหนกันนะ

“ไอ้ปิง!”

เสียงเรียกนั่นทำให้ผมสะดุ้งนิดหนึ่งแล้วหันไปมอง

“บัง” คนเรียกพูดสั้นๆ แล้วโบกมือเป็นเชิงให้ผมหลบ ผมได้แต่พยักหน้าหน่อยๆ แล้วถอยออกมาจากหน้าทีวี หันไปมองคนในบ้านที่นั่งพร้อมหน้ากันอยู่ที่โต๊ะกินข้าว ทั้งย่า ป้า พี่ใบเฟิร์นและข้าวฟ่าง ลูกสาวของป้า

“ปิงไปโรงเรียนแล้วนะครับ สวัสดีครับ”

“ไม่กินข้าวก่อนเหรอ” ย่าหันมาถาม ผมได้แต่ส่ายหน้าหน่อยๆ แม้จะอยู่ที่นี่มาเกือบสิบปีแต่ผมก็ไม่รู้สึกว่าที่นี่เป็นบ้าน คนในบ้านก็ไม่แน่ใจว่าจะเรียกว่าครอบครัวได้หรือเปล่า แม้แต่โต๊ะกินข้าวยังไม่มีที่สำหรับผมเลย

“ย่าก็ชวนมันทุกวันอะ ไม่เห็นมันจะกินสักวัน”

“ไม่กินก็ดีแล้วไง จะได้ไม่เปลือง”

“มันคงจะออกไปกินข้างนอกแหละ มีเงินเยอะมั้ง”

“เรื่องของมันเหอะน่า”

ผมถอนใจเบาๆ กับเสียงที่ตามมา ไม่สนใจแล้วสวมรองเท้าเดินออกมานอกบ้าน เดินออกมาได้พักหนึ่ง ฝนตกลงมานิดหน่อย เพราะไม่มีร่มจึงทำได้แค่ดึงหมวกจากเสื้อฮู้ดที่สวมอยู่ขึ้นมาคลุมแล้วเดินฝ่าฝนออกไป

โรงเรียนของผมไม่ไกลจากบ้านเท่าไรแต่เดินไปก็ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมง จึงต้องออกจากบ้านแต่เช้าจะได้ไม่สาย ระหว่างทางก็หยิบขนมปังขึ้นมากินชิ้นหนึ่ง ผมทำงานที่ร้านกาแฟและเบเกอรี่ มีขนมปังอร่อยๆ ให้กินฟรี เพราะเจ้าของใจดีมาก อาหารหลักทุกเช้าของผมก็คือขนมปังไส้กรอกที่ได้ฟรีมาทุกวัน จริงๆ ผมชอบกินไส้กรอกมากกว่าขนมปัง แทนที่จะกัดเข้าปากพร้อมกันแต่ผมมักจะกินขนมปังข้างนอกก่อน แล้วค่อยยัดไส้กรอกเข้าปากทั้งชิ้นทีหลัง รสชาติของมันทำให้ผมอารมณ์ดีและปลอบใจผมได้เสมอ ผมหยิบขึ้นมาอีกชิ้น แทะขนมปังออกเหมือนเดิมจนเหลือแต่ไส้กรอกเอาไว้

“อิ๋ง...อิ๋ง...”

เสียงร้องของลูกหมาตัวหนึ่งเรียกความสนใจของผมให้หันไปมอง มันมองไส้กรอกในมือผมแล้วแลบลิ้นออกมา คงกำลังฝันถึงรสชาติของไส้กรอกในมือผม แต่ขอโทษนะหมา นายคงต้องฝันไปก่อน เราไม่ใจดีพอจะเสียสละอาหารเช้าของเราให้สัตว์สี่ขาหน้าตาน่าสงสารอย่างนายหรอก ไส้กรอกชิ้นนี้มันก็ต้องต่อชีวิตเราเหมือนกันเว้ย เพราะงั้น...

“อิ๋ง...อิ๋ง...”

“โถ คงหิวมากสินะ เอาไปๆ” ผมนั่งยองๆ ลงไปหามันแล้วส่งไส้กรอกในมือให้ ทันทีที่ไส้กรอกส่งถึงปากมันก็กินเข้าไปอย่างหิวโหยราวกับไม่มีอะไรตกถึงท้องมานานชาติหนึ่งแล้ว

โถๆ น่าสงสาร...น่าสงสารตัวเองเนี่ย! ไม่มีจะกินยังคิดจะแบ่งปันให้หมา เออ ให้มันได้อย่างนี้

“หมดแล้ว ไม่ต้องมอง” ผมลุกขึ้นแล้วเดินผละมาจากเจ้าหมาตัวนั้นที่ยังมองตาม ผมได้แต่โบกมือให้มันหน่อยๆ ก่อนจะเข้าโรงเรียน

ชีวิตในโรงเรียนของผมมันสุดแสนจะธรรมดา ถ้าในโรงเรียนมีการแบ่งฐานันดรอย่างที่เขาว่ากัน ฐานะของผมคือพวกไร้ตัวตนอย่างไม่ต้องสงสัย เป็นประเภทที่ว่าขาดเรียนไปก็ไม่มีใครรู้ เป็นตัวเฉยๆ ไม่มีบทบาท เหมือนมานั่งเป็นอุปกรณ์ประกอบฉาก มีก็ได้ ไม่มีก็ได้ ถ่ายรูปรวมก็หลุดเฟรม ครูก็จำชื่อไม่ค่อยได้ ทำนองนั้นเลย

ที่นั่งของผมคือแถวหน้าสุดมุมซ้าย ที่ที่หลายๆ คนเลี่ยงเพราะมันตรงกับโต๊ะครู แบบว่าเงยหน้าขึ้นมาก็ต้องสบตากับครูพอดี แต่พอผมเงยหน้าขึ้นมาทีไร ครูจะเป็นฝ่ายหลบตาผมลงไปทุกที ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม เพื่อนที่นั่งข้างๆ ผมคือ เมธี มนุษย์แว่นเลนส์หนามีฐานันดรเป็นเด็กเนิร์ด ผมกลายมาเป็นเพื่อนกับมันเพราะบังเอิญมานั่งข้างกันแบบไม่ได้เจตนา มันคงเริ่มต้นจากตรงนั้น

จริงๆ เด็กไร้ตัวตนกับเด็กเนิร์ดมันต่างชนชั้นกันนะ เมธีมันยังมีประโยชน์ตรงที่สมองของมันชาญฉลาดไปทุกเรื่อง เพื่อนหลายคนยังเห็นค่าเวลาขอลอกการบ้าน แต่ทั้งผมและมันมักจะเป็นตัวที่ถูกไอ้พวกฐานันดรอันธพาลแกล้งบ่อยๆ ก็เลยฟอร์มทีมกัน รวมกลุ่มกันเข้าไว้คิดว่าจะดูทรงพลัง คิดว่าจะไม่มีใครมากลั่นแกล้งอีก แต่สรุปพินาศกว่าเดิม กลายเป็นทีมอ่อนปวกเปียก รวมตัวกันไว้ให้พวกมันมาแกล้งทีเดียวพร้อมๆ กันไปเลย จะได้ไม่ต้องเสียเวลาตามหา

แต่การเป็นเพื่อนกับเมธีก็ไม่ได้แย่อะไร อย่างที่บอกว่ามันเป็นคนเรียนเก่ง ทุกครั้งที่ขอลอกการบ้านหรือขอให้ติววิชาไหนให้ มันก็พร้อมจะช่วยผมเสมอ ถึงแม้ว่าแต่ละวันจะพูดคุยกันน้อยมากก็เหอะ เมธีอยากเป็นหมอ มีความตั้งใจเด็ดเดี่ยวและแน่วแน่ มันบอกว่าพระเจ้าส่งมันเกิดมาเพื่อเป็นอย่างนั้น และมันจะไม่ทำให้พระเจ้าผิดหวัง วันๆ มันก็เอาแต่อ่านหนังสือ สนใจเรื่องกายวิภาคและสรีรวิทยามากเป็นพิเศษ ใช้เวลาแต่ละวันนั่งท่องชิ้นส่วนกระดูกอะไรของมันไป กายหยาบมันนั่งเรียนอยู่นี่ แต่จิตวิญญาณมันคงไปเป็นนักศึกษาแพทย์ที่ไหนแล้วสักที่

ส่วนผมไม่มีความตั้งใจแบบนั้น ยังไม่เคยคิดถึงอนาคตหรือกระทั่งวันพรุ่งนี้ ผมคงเป็นเด็กม.ปลายที่ชีวิตจืดจางที่สุด ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อย เดินทางสู่อนาคตที่ไร้จุดหมาย แต่ละวันผ่านไปเหมือนทุกวัน วิชาเรียนเดิมๆ ครูคนเดิมๆ การบ้านแบบเดิมๆ...เป็นชีวิตที่น่าเบื่อ

“นั่งนี่กัน” เมธีชี้ไปที่โต๊ะว่างในโรงอาหาร ตั้งใจจะนั่งกินข้าวกันตรงนี้ แต่ในตอนที่กำลังจะก้าวขาเข้าไปนั่งก็ถูกแก๊งนักเรียนกลุ่มหนึ่งปาดหน้าพุ่งเข้าไปนั่งโต๊ะนั้นก่อนหน้าตาเฉย

“พวกกูจะนั่งนี่”

“อืม โอเค” เมธีพูดเบาๆ ก่อนจะพยักหน้าเรียกผมไปอีกทาง คนที่ปรากฏตัวเมื่อครู่คือ ยิม และผองเพื่อนของมัน พวกฐานันดรอันธพาลที่ว่า หาเรื่องแกล้งชาวบ้านได้ทุกวัน ไม่รู้ว่าสนุกตรงไหน และที่ผมยอมให้ตลอดโดยไม่โต้ตอบเพราะรู้ว่ามันไม่คุ้มแน่ๆ ยอมให้มันรังแกวันละนิดละหน่อย เดี๋ยวมันก็คงเบื่อไปเอง

เมื่อถูกแย่งที่ในโรงอาหารไป เราจึงย้ายออกมานอกโรงอาหาร มีโต๊ะกินข้าวนอกโรงอาหารที่โรงเรียนจัดตั้งเอาไว้ให้เพิ่มเติม เพราะในโรงอาหารแออัดจนไม่เพียงพอต่อจำนวนนักเรียนในช่วงพักกลางวัน แต่ไม่ค่อยมีใครมานั่งกินที่นี่เท่าไรนักเพราะมันค่อนข้างจะร้อน ถึงจะมีร่มเงาจากต้นไม้ใหญ่ แต่แสงแดดมันก็ลอดส่องลงมาอยู่ดี 

“น่ารำคาญพวกนั้นจริงๆ โต๊ะว่างมีเป็นสิบ ก็จะต้องมานั่งตรงนั้นด้วย” เมธีบ่นเบาๆ ขณะหย่อนตัวลงนั่ง

“ช่างมันเถอะ” คำว่า ช่างมันเถอะ ออกจากปากผมเป็นครั้งที่มากกว่าร้อยตั้งแต่เรียนที่นี่มา เมธีก็ได้แต่พยักหน้าหน่อยๆ ผมหยิบขวดน้ำมาเปิดแล้วตั้งเอาไว้ข้างๆ จาน กำลังจะเลื่อนมือมาจับช้อนเพื่อจะกินข้าวคำแรก แต่ก็ต้องชะงักกะทันหัน

ตุ้บ!

“เฮ้ย!” เมธีร้องลั่นเมื่อบอลลูกหนึ่งซึ่งปลิวมาจากทางไหนไม่รู้ กระทบเข้ากับขวดน้ำของผม แล้วเทไปที่จานข้าวของมันอย่างคว้าเอาไว้ไม่ทัน

“เฮ้ย! โทษทีว่ะ!” เจ้าของลูกบอลวิ่งเข้ามาพร้อมคำขอโทษ ผมหันไปเห็นว่าเขาคือ ช็อก นักเรียนห้องสองที่ใครๆ ก็รู้จักดี ถ้าแบ่งชนชั้นตามฐานันดรที่ว่า ผมจัดประเภทให้เขาไม่ได้ ช็อกคือคนที่หน้าตาดีมาก หล่อมาก สูงมาก เป็นรองประธานโรงเรียน เป็นนักกีฬา เป็นนักดนตรี เป็นตัวท็อป เป็นตัวห่าอะไรก็ไม่รู้ที่ไม่น่าใช่มนุษย์ ความเพอร์เฟกต์ที่มวลมนุษยชาติควรแบ่งๆ กันมี แต่ดันไหลไปรวมกันที่เขาหมดเลยอย่างไม่ยุติธรรม 

“เป็นอะไรเปล่าอะ”

“ไม่เป็นไร แต่ข้าวเพื่อนเรากลายเป็นข้าวต้มไปแล้ว” ผมพูดก่อนหันไปมองจานข้าวของเมธีที่ไม่น่าจะกินต่อได้แล้ว เจ้าของจานก็ได้แสดงอาการเคืองๆ ผ่านสีหน้าบูดบึ้ง

“งั้นรอแป๊บหนึ่งนะ” ช็อกว่าแล้ววิ่งเข้าไปในโรงอาหาร ชั่วครู่หนึ่งก็เดินออกมาพร้อมจานข้าวในมือและน้ำขวดหนึ่ง

“อะ นี่ของมึง” ข้าวจานนั้นส่งให้เมธี ส่วนขวดน้ำยื่นมาให้ผม

“นี่ของปิง”

“ขอบ...” ผมกำลังจะกล่าวขอบคุณแต่ต้องหยุดชะงักแล้วเงยหน้าขึ้นมองอย่างประหลาดใจ

“ทำไม” คนถูกมองขมวดคิ้วถาม

“รู้จักชื่อเราด้วยเหรอ”

“รู้ดิ ตอนเข้าค่ายธรรมะตอนม.สี่เราอยู่กลุ่มเดียวกัน นอนข้างๆ กันด้วยจำได้ปะ”

ผมพยักหน้ารับเบาๆ ผมจำได้แน่...แต่ไม่คิดว่าเขาจะจำได้ไง

“ขอโทษอีกทีว่ะ ไม่ทันระวัง ไปแล้วนะ” ช็อกยิ้มกว้างโชว์ความหล่อของใบหน้าที่ดูดีในทุกกิริยา ก่อนจะวิ่งกลับเข้าไปในสนามบอล ผมหันมองตามเขาไปทั้งที่ยังประหลาดใจอยู่ ตั้งแต่จบค่ายธรรมะผมก็ไม่เคยคุยกับเขาเลย แทบจะไม่เคยเดินสวนกันด้วยซ้ำไป...น่าแปลกใจที่เขายังจำชื่อผมได้ด้วย

มุมปากผมยกขึ้นยิ้มนิดๆ ก่อนจะหันกลับมา แล้วสะดุ้งนิดหนึ่งเพราะสายตาของเมธีที่มองลอดแว่นมา ก่อนจะพูดจาแซวๆ

“แหมๆ ยิ้มหน้าบานเลยนะ ปลื้มเลยสิ เขาจำชื่อมึงได้เนี่ย”

“ปลื้มอะไร” ผมว่าพลางส่ายหน้ายิ้มๆ

“มึงชอบเขาเหรอ”

“เปล่า!”

“ตัดใจเลย นกแน่ๆ”

“ไม่ได้ชอบเว้ย”

“นกๆๆ นกแน่ๆ”

“กินข้าวไปเลยไป!”

เมธีหลุดหัวเราะ ก่อนที่จะกินข้าวจานใหม่ที่ช็อกซื้อมาให้ ผมพลันคิดว่าชาติที่แล้วช็อกคงสะสมบุญเอาไว้หนักมาก ถึงได้เกิดมาสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ ก้มมองตัวเองแล้วก็ต้องคิดหนัก ชาติที่แล้วคงบาปหนาน่าดู ไม่สูง ไม่หล่อ ไม่มีความสามารถด้านไหนเลย แถมซื่อบื้ออีก ถ้าเปรียบเทียบระหว่างผมกับช็อกก็คงจะดูเหมือนเทวดากับหมาไร้บ้าน ฟังดูสะเทือนใจแต่ก็ใกล้เคียงความจริงที่สุดแล้ว...สถานะของผมมันก็ทำนองนั้นเลย

.

.

.

หลังเลิกเรียน เมธีต้องไปเรียนพิเศษต่อ ส่วนผมต้องไปทำงานพิเศษเช่นกัน เพราะไปทางเดียวกันก็เลยเดินออกจากโรงเรียนพร้อมกันทุกๆ วัน ก่อนแยกกันเราพากันไปแวะซื้อชาไข่มุกร้านประจำ ผมชอบกินไวต์มอลต์ ส่วนเมธีชอบกินชาเขียวไม่หวาน กินแทบทุกวันจนพ่อค้าเห็นก็ทำให้ทันทีโดยไม่ต้องสั่ง ยืนรออยู่หน้าร้านสักพักก็ได้ชาไข่มุกกันมาคนละแก้ว

“งั้นกูไปก่อนนะ เจอกันพรุ่งนี้”

ปากไม่ว่างเพราะกำลังดูดชาไข่มุกอยู่ก็เลยได้แต่พยักหน้าหงึกๆ แล้วโบกมือเป็นเชิงลา ผมเดินต่อไปยังร้านกาแฟที่ทำงานพิเศษซึ่งไกลออกไปอีกหน่อย เดินช้าๆ อย่างไม่ต้องเร่งรีบ เรื่อยเปื่อยเหมือนทุกๆ วัน จากโรงเรียนถึงร้านก็ได้เวลางานพอดี

ในระหว่างทาง ผมมองไปเห็นไอ้ยิมที่กำลังเดินสวนมา แสร้งทำไม่สบตาแล้วเลี่ยงไปอีกทาง แต่มันก็หันมาส่งเสียงทักผมก่อนจนได้

“ไอ้ปิง”

ผมฉีกยิ้มฝืนๆ ให้กับคนที่ก้าวเท้ามายืนตรงหน้า ด้วยส่วนสูงที่มากกว่าหลายเซ็นต์ ผมแทบจะต้องเงยหน้าขึ้นมอง

“จะกลับบ้านเหรอ”

“เปล่า ไปทำงาน”

“ขยันนะมึงเนี่ย”

ผมได้แต่พยักหน้ารับเบาๆ 

“เออ ไปเหอะ วันนี้กูไม่แกล้งอะไรมึงหรอก”

ผมพยักหน้าอีกทีแล้วรีบเดินออกมา ก้าวขาไม่ทันถึงสองก้าวก็ต้องหวีดลั่น เพราะไอ้ยิมมันดันยื่นเท้ามาขัดขาผมจนเกือบล้ม

พรวด!

ฉิบหาย!

ผมสบถลั่นอยู่ในใจ แม้จะทรงตัวเอาไว้ไม่ให้ล้มได้ แต่ชาไข่มุกในมือสาดพรวดไปเทใส่ใครก็ไม่รู้ ผมเงยหน้าขึ้นมองผู้เคราะห์ร้ายคนนั้น เขาเหลือบตามามองผม ใบหน้าเรียบๆ ดูน่ากลัวแปลกๆ แค่สบตาผมก็ตัวแข็งทื่อ มือข้างหนึ่งที่ถือแก้วชาไข่มุกอยู่ยกขึ้นไปพนมกับอีกข้างอย่างอัตโนมัติ แทบจะก้มลงกราบให้ไว้ชีวิตผมด้วย

“ขอโทษครับพี่” ผมเอ่ยคำขอโทษด้วยความสำนึกผิดที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนที่ไอ้ยิมจะเสนอหน้าเข้ามาด่าผมแทนเขา

“ไอ้ปิง! ซุ่มซ่ามจริงๆ เลยมึงอะ! ดูดิ เสื้อพี่เขาเลอะหมดเลย มึงนี่มันเซ่อจริงๆ”

ก็เพราะมึงขัดขากูไม่ใช่หรือไง! ไหนบอกไม่แกล้งกูไง นี่หายนะใหญ่เลยเนี่ย! ผมเถียงผ่านสายตาที่แทบจะถลนออกมานอกเบ้าด้วยความขุ่นเคือง

“ไอ้นี่มันซุ่มซ่ามอย่างนี้ประจำอะพี่ ถ้าพี่ไม่พอใจพี่จะต่อยมันก็ได้นะ” ไอ้ยิมพูดขำๆ แต่ไม่ต้องบอกพี่เขาก็พร้อมจะซัดหมัดใส่หน้าผมแล้วมั้ง...ดูหน้าเหอะ

“เดี๋ยวผมจัดการให้เองพี่ จะพามันไปสั่งสอนเอง วันหลังจะได้ระวังมากกว่านี้...”

พลั่ก!

ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจเมื่อหมัดของคนตรงหน้าผมซัดเข้าหน้าไอ้ยิมเต็มๆ ผมได้แต่กะพริบตาปริบๆ มองใบหน้าเรียบเฉยที่ยกมือสะบัดเบาๆ ไอ้ยิมที่หน้าหงายเงิบไปเพราะแรงชกหันขวับมาโวยวายทันที

“เฮ้ย! พี่มาต่อยผมทำไมวะ!”

“มึงทำเสื้อกูเลอะ” เขาตอบเสียงเรียบ

“ไอ้นี่ต่างหากที่เป็นคนทำ!” มันตะคอกเสียงดัง คว้าคอเสื้อผมจนตัวลอยไปยืนตรงหน้าผู้ชายคนนั้น

“ก็มึงขัดขามัน” เขาตอบกลับด้วยเสียงเรียบๆ ขณะที่ผมได้แต่ยืนอึกๆ อักๆ พูดอะไรไม่ถูก อยู่ๆ เขาก็ถอดเสื้อตัวเองออกแล้วโยนมาใส่หน้าผม

“เอาไปซักให้ด้วย” พูดแค่นั้นแล้วยกมือหยิบชาไข่มุกในมือผมที่เหลืออยู่ครึ่งแก้วไปหน้าตาเฉย เดินเปลือยท่อนบนออกไปจากตรงนี้ขณะยกชาไข่มุกกระดกเข้าปาก

หรือจะสติไม่ค่อยดี...ผมคิดอยู่ในใจก่อนก้มมองเสื้อของเขาที่อยู่ในมือ ก่อนจะเหลือบตาไปมองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ไอ้ยิมมองผมตาขวาง มือกำแน่นราวกับกำลังคาดโทษว่าผมเป็นสาเหตุที่ทำให้มันถูกชก เสียงที่เปล่งออกมาทำเอาผมต้องกลืนน้ำลายลงคอนิดๆ

“ไอ้ปิง!”

ในวิชาพละที่ต้องวิ่งรอบสนามเพื่อทดสอบสมรรถภาพทางร่างกาย ผมมักวิ่งถึงจุดหมายเป็นคนท้ายๆ เพราะขาผมสั้น ไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง แถมยังไม่ชอบวิชาพละเอาซะเลย แต่พอไอ้ยิมตะโกนชื่อผมดังลั่น สองเท้าผมออกวิ่งโดยอัตโนมัติด้วยความเร็วแบบทุบสถิติด้วยเหตุผลเดียวเลย...หนีสิ รออะไร!

 

To be continued.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-05-2021 18:38:08 โดย เต้าหู้ไข่ »

ออฟไลน์ เต้าหู้ไข่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +279/-5
    • twitter
Re: ►รักอิสระ◄ [ตอนที่ 1] 22-01-17
«ตอบ #2 เมื่อ22-01-2017 23:59:17 »

ตอนที่ 1

อิสระ

 

ร้านกาแฟที่ผมทำงานมีชื่อร้านว่า เวียงพิงค์ คาเฟ่ ตั้งมาจากชื่อของลูกชายเจ้าของร้าน ที่นี่เป็นร้านเล็กๆ แต่คนเยอะแทบทุกวัน ในช่วงเย็นๆ หลังเลิกเรียนแบบนี้ก็จะเต็มไปด้วยนักเรียนหญิงจากโรงเรียนหญิงล้วนใกล้ๆ ผมเดินเข้าร้านที่ตอนนี้ที่นั่งเต็มหมดแล้วทุกที่ หันไปค้อมตัวเล็กน้อยเป็นเชิงทักทาย พี่อีม ที่ประจำอยู่ที่เคาน์เตอร์ ก่อนเปิดประตูห้องพักเข้าไปเปลี่ยนเสื้อเพื่อพร้อมสำหรับทำงาน 

ร้านนี้เป็นร้านที่เปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง มีพนักงานผลัดเวรกันทำเป็นกะๆ ไป บางวันผมก็เลิกสองทุ่ม บางวันห้าทุ่ม บางวันเที่ยงคืน และได้หยุดวันเสาร์อาทิตย์ งานในร้านก็เป็นไปเหมือนทุกๆ วัน ทำอะไรซ้ำๆ กันทุกวันแต่ที่นี่ก็น่าเบื่อน้อยกว่าที่บ้านหรือโรงเรียน ผมชอบอยู่ที่ทำงานมากกว่าที่อื่นๆ ชอบเวลางานเยอะๆ แบบหัวหมุน มันมีความสุขแบบยุ่งๆ ไม่ต้องคิดอะไรดี

“น้องปิง”

ผมหันไปหา พี่พิงค์ ลูกเจ้าของร้านที่เดินเข้ามาเรียก รอยยิ้มจากใบหน้าหล่อขยับกว้าง วันนี้เขาสวมเสื้อยืดลายทางขาวสลับดำกับกางเกงสีขาว เข้ากับผิวขาวๆ และผมสีควันบุหรี่ของเขา วันนี้ก็เลยดูสว่างไปทั้งร่างเลย

“คิดถึงพี่ไหม เมื่อวานไม่เจอกันตั้งวันหนึ่ง” พี่พิงค์ตรงเข้ามายกมือข้างหนึ่งกอดคอผม พี่พิงค์จะเข้ามาดูแลความเรียบร้อยของร้านแทนพ่อแม่เขาตลอด ในวันที่ว่างๆ หรือบางวันที่เขาไม่มีเรียนก็จะมานั่งเล่นอยู่ที่นี่ทั้งวัน ความเป็นกันเองของเขาที่มีต่อพนักงานไปจนถึงลูกค้า ทุกคนที่นี่จึงรักพี่พิงค์

“ไม่คิดถึงเลยครับ”

“ไล่ออก”

“ไม่ออกครับ”

“ดูมันเหอะ แล้วนี่ทำงานเหนื่อยไหม”

“ไม่เหนื่อยครับ”

“ถามแต่ปิง ไม่เห็นถามพวกหนูบ้างเลย” พี่อีมโผล่หน้ามาถาม

“ไม่ถาม ไม่สนใจ มีอะไรไหม”

“โอ้โฮ รู้สึกซึ้งใจมากเลยค่ะเจ้านายขา”

“ทำโกโก้เย็นให้หน่อยสิ” พี่พิงค์หันบอก

“ไม่สนใจหนูแล้วยังจะมาใช้หนูอีก”

“เร็วๆ เลย”

“ค่าๆ ว่าแต่ทำไมวันนี้กินโกโก้คะ ปกติกินแต่กาแฟ”

“ดึกแล้ว เดี๋ยวนอนไม่หลับ เอาโกโก้ดีกว่าครับ”

“แป๊บหนึ่ง เดี๋ยวจัดให้”

“ไม่ต้องหวานมากนะ ช่วงนี้รู้สึกอ้วนตัวจะแตก” พี่พิงค์พูดขำๆ แล้วเดินไปคุยกับพนักงานคนอื่นๆ ก่อนจะกลับมาหยิบโกโก้เย็นที่พี่อีมทำเสร็จแล้วไปนั่งกินที่โต๊ะ พี่พิงค์ก็เป็นหนึ่งในมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบอย่างหาที่ติไม่ได้ ขยับตัวทำอะไรก็ดูดีไปหมด ที่สำคัญคือนิสัยดีมากๆ ใครได้เป็นแฟนนี่มีกลุ้ม เพราะน่ารักขนาดที่ว่าใครเห็นก็ต้องมอง คงได้หวงกันวุ่นวาย พี่พิงค์มีแฟนไหมนะ...ไม่เคยได้ยินพูดถึงเลย

...

 

ผมเดินกลับมาที่บ้านหลังเลิกงาน คนในบ้านยังไม่นอนเพราะได้ยินเสียงทีวีห้องนั่งเล่นเปิดอยู่ ผมเดินเลี่ยงๆ เข้าไปในห้องนอนตัวเองที่อยู่หลังบ้าน เดิมเคยเป็นห้องเก็บของ แต่ปัจจุบันเป็นห้องของผม ผมย้ายมาอยู่ที่นี่หลังจากที่พ่อกับแม่ตาย ย่าเป็นญาติคนเดียวที่ผมรู้จักในตอนนั้น เมื่อย่าพาผมมาอยู่ด้วย ผมก็ตามมาอย่างไม่รู้ประสีประสา นึกว่าย่าจะพาไปอยู่บ้านเด็กกำพร้าด้วยซ้ำ แต่เอาจริงๆ ผมรู้ว่าย่าก็ไม่ได้เต็มใจเลี้ยงผมเท่าไรนัก เพราะแม่เคยเล่าให้ฟังว่าครอบครัวของพ่อไม่ค่อยชอบแม่ พ่อกับแม่ไม่ได้แต่งงานกันและดันมีผมก่อนเลยยิ่งถูกเกลียดเข้าไปใหญ่ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังไม่เข้าใจ...ไม่เข้าใจว่าผมทำอะไรผิด

ผมเปิดกระเป๋านักเรียนตั้งใจจะเอาการบ้านออกมาทำ แต่มองไปเห็นเสื้อยืดสีขาวที่อยู่ในนั้นจึงหยิบออกมา กลิ่นไวต์มอลต์และคราบไข่มุกยังติดอยู่บนเสื้อ เมื่อมองดูเสื้อตัวนี้ผมหลุดยิ้มออกมานิดๆ ขณะที่นึกไปถึงเหตุการณ์ตอนนั้น

คนแปลกหน้าเจ้าของเสื้อตัวนี้คงเป็นคนแปลกๆ พอทบทวนเหตุการณ์ดูก็รู้สึกโชคดีที่วันนี้คนถูกต่อยไม่ใช่ผม แต่โชคร้ายที่พรุ่งนี้ผมอาจจะถูกไอ้ยิมต่อยคืนก็ได้ ผมส่ายหน้ากับตัวเองเบาๆ เอาเสื้อตัวนี้ไปซักที่หลังบ้าน เผื่อมีโอกาสจะได้เอาไปคืนให้เขา

“ทำไรอะ”

ผมหันหน้าไปมองข้าวฟ่าง ลูกสาวคนเล็กของป้าที่ไม่รู้ว่ายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไร เธอฉวยเอาเสื้อในมือผมไปแล้วกางเสื้อออก

“เสื้อใครอะ ตัวอย่างใหญ่ ไม่ใช่เสื้อปิงแน่ๆ”

“ของเพื่อน” ผมตอบส่งๆ

“แล้วทำไมมาอยู่ที่นี่อะ”

“ปิงเอามาซัก ปิงทำเสื้อเพื่อนเลอะ”

“ของเพื่อนจริงอะ”

ผมพยักหน้าหงึกๆ

“ของแฟนรึเปล่า” น้ำเสียงเอ่ยแซวนั่นฟังดูประหลาด

“บ้า ไม่ใช่” ผมรีบปฏิเสธ ยื่นมือไปคว้าเสื้อคืนแต่ข้าวฟ่างก็เอาหลบผมไป

“มีแฟนไม่บอกเหรอ”

“ไม่ใช่จริงๆ”

“ปิงมีแฟนเป็นผู้ชายเหรอ”

“ไม่ใช่ เอาคืนมา”

“ชัวร์อะ! ของแฟนแน่ๆ”

เด็กเวรเอ๊ย!

ผมระงับความโมโหด้วยการสูดลมหายใจลึก ผ่อนลมหายใจเบาๆ แล้วขอเสื้อตัวนั้นคืน แต่ข้าวฟ่างก็ยังไม่ยอมปล่อย

“ปล่อย”

“ไม่ บอกก่อนว่าเป็นของแฟน”

“เออ ของแฟน พอใจยัง”

“เขาเป็นใครอะ เจอกันที่ไหน ที่โรงเรียนเหรอ หรือว่าไง” ข้าวฟ่างคงไม่รู้จักคำว่าประชด เชื่อไปว่าผมพูดจริงก็เลยยิงคำถามใส่ผมขณะที่ยังคงไม่ยอมปล่อยเสื้อในมือ

“ปล่อยก่อนดิ”

“ไม่ปล่อย จนกว่าจะเล่ามา”

“ปล่อย”

“ไม่!”

ผมออกแรงดึงเสื้อนั่นคืนมาแต่ข้าวฟ่างก็ดึงมันกลับไป

“เล่ามา!”

“ปล่อย”

“ไม่ปล่อย! เล่ามา!”

“ทำอะไรกัน”

โครม!

ข้าวฟ่างปล่อยมือจากเสื้อตอนที่แม่ของเธอเดินเข้ามา เป็นเหตุให้ผมหงายเงิบล้มหัวกระแทกประตูเข้าจังๆ...เวรจริงๆ

“ทะเลาะอะไรกัน”

“ไม่ได้ทะเลาะกันแม่”

“แล้วโวยวายอะไรกัน”

“ฟ่างแค่ถามปิงเรื่องแฟน แต่ปิงไม่ยอมเล่าให้ฟัง”

“อะไรนะ นี่มึงมีแฟนแล้วเหรอ”

ผมก้มหน้าลง ขี้เกียจอธิบายอะไรให้คนที่ไม่เคยคิดจะเข้าใจ พูดไปก็เท่านั้น ลอบถอนใจอย่างเอือมระอา ขณะที่ข้าวฟ่างพูดมากตามประสา หันไปร่ายยาวเล่าให้ป้าฟังด้วยเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องจริงเลยสักนิด 

“แฟนปิงเป็นผู้ชายด้วยแม่ ดูดิ นั่นอะ เสื้อแฟนปิง ปิงเอามาซักให้”

เมื่อผมเหลือบตาขึ้นไปมองข้าวฟ่างเคืองๆ เด็กนั่นได้แต่ยักไหล่ไม่รู้ไม่ชี้

“มึงมีแฟนเป็นผู้ชายเหรอ”

ผมไม่ได้ตอบอะไร เอาจริงๆ ไม่มีโอกาสได้โต้ตอบมากกว่าเพราะป้าไม่เปิดโอกาสให้ผมพูด

“มึงไม่อายเขาบ้างหรือไง เป็นผู้ชายดีๆ ไม่ชอบเหรอ พ่อแม่มึงคงจะภูมิใจน่าดูนะ ตายตาไม่หลับแล้วมั้ง เป็นบ้าหรือเปล่าเนี่ยฮะ...”

เพราะเบื่อที่จะฟัง ผมจึงเดินออกมาที่หลังบ้านขณะที่ป้ายังพูดไม่จบ

“ไอ้ปิง นี่มึงเดินหนีกูเลยเหรอ มึงนี่ชักจะเอาใหญ่แล้วนะ นับวันยิ่งดื้อนะมึงเนี่ย...”

ผมไม่ได้สนใจเสียงบ่นของป้าที่ดังไม่หยุด เทน้ำใส่กะละมังซักเสื้อตัวนี้ให้เรียบร้อยแล้วกลับเข้าห้อง ความคิดที่จะทำการบ้านก็ล้มเลิกกลางคัน เดี๋ยวค่อยไปลอกเมธีเอาพรุ่งนี้ ผมอาบน้ำแล้วก็นอนเลย ที่ผมบอกว่าไม่เคยนึกถึงวันพรุ่งนี้ เพราะผมรู้อยู่แล้วว่าพรุ่งนี้ของผมจะเป็นยังไง มันก็คงเป็นพรุ่งนี้ที่น่าเบื่อเหมือนเคย...

...

 

แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เหตุการณ์วนไปซ้ำๆ เข้าเรียน นั่งเฉยๆ สบตาครูวันละหลายรอบ โดนพวกไอ้ยิมแย่งที่ในโรงอาหาร ออกมานั่งกินข้าวข้างนอก มองพวกตัวท็อปเตะบอลในสนาม กลับเข้าไปเรียน เลิกเรียน แล้วก็ไปทำงาน ในร้านกาแฟก็เหมือนทุกวัน เสียงพูดคุยของกลุ่มนักเรียนหญิงดังคลอกับเสียงเพลงในร้าน วันนี้ผมต้องทำงานถึงเที่ยงคืน จริงๆ หลังจากสามสี่ทุ่มไปแล้วร้านก็จะเงียบ จะมีลูกค้ากะกลางคืนก็ในช่วงที่เด็กมหาวิทยาลัยมีสอบ แต่ช่วงนี้ก็เงียบๆ เราจึงว่างมากพอจะนั่งคุยกันด้วยเรื่องสัพเพเหระ ผมพูดไม่ค่อยเก่งเลยเป็นฝ่ายนั่งฟังมากกว่า คุยกันไปคุยกันมาก็ได้เวลาเลิกงานพอดี

“กลับบ้านดีๆ นะปิง”

“ครับ”

ผมพยักหน้ายิ้มๆ แล้วเดินออกมาจากร้าน นานๆ ครั้งผมจะได้ทำงานไปจนถึงเที่ยงคืน เพราะพวกพี่ในร้านใจดีกับผมมากๆ เห็นว่าผมเป็นเด็กนักเรียนอยู่เลยสลับกะให้เวลาเลิกงานไม่ดึกนัก แต่ผมก็เกรงใจพี่ที่ทำแต่กะดึกทุกวันเลยขอเปลี่ยนบ้าง...แล้วผมก็อยากใช้เวลาอยู่ที่บ้านให้น้อยที่สุดด้วย

ตอนเที่ยงคืนแบบนี้เริ่มเงียบ รถก็น้อยลงไปเยอะ อากาศชื้นๆ เพราะฝนตกลงมาเมื่อเย็น ผมสวมเสื้อคลุมตัวเก่าแล้วดึงหมวกฮู้ดขึ้นมาคลุมหัว ก่อนจะเดินตรงกลับบ้าน ระหว่างทางผมหันไปเห็นผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่หน้าร้านข้าวที่เขียนว่า วันนี้ร้านปิด เขายืนบ่นอะไรพึมพำก่อนจะเดินออกไป ดวงตาผมเบิกกว้างเล็กน้อย ขณะสองเท้าหยุดชะงักเพราะจำได้ว่าเขาคือคนที่ชกไอ้ยิม ผมคิดจะเดินตามเขาไปแต่คลาดสายตานิดเดียวเขาก็หายไปแล้ว ผมหยุดยืนอยู่ที่กลางซอย หันซ้ายหันขวาก็ไม่เห็นเขา เลยล้มเลิกความพยายามที่จะมองหา

“หยุด อย่าขยับ!”

“เฮ้ย!” ผมร้องลั่นเมื่อมีร่างหนึ่งโผล่มาข้างหลังผม เขาใช้ท่อนแขนล็อกคอผมเอาไว้ แล้วใช้อีกมือดึงเชือกที่หมวกฮู้ด รูดจนปิดหน้าผมมิด

“มึงเป็นใคร ตามกูมาทำไม”

“ผมเองๆ”

“ผมไหนวะ! มึงบอกมา มึงต้องการอะไร ฮะ!? ต้องการอะไร! กูไม่มีเงินหรอกนะ กูจนมาก อย่ามาปล้นกูเลย ไปปล้นคนรวยๆ โน่น!”

“ปล่อยผมก่อนสิโว้ย!” ผมตะโกนสุดเสียง อีกฝ่ายจึงยอมปล่อย ผมยกมือดึงเชือกที่หมวกฮู้ดที่เขารูดให้คลายออก เมื่อเห็นหน้าผมหัวคิ้วเขาก็ขมวดเป็นปม ไล่มองหัวจดเท้า

“ผมเองพี่”

“ใครวะ”

“ที่เมื่อวานผมทำชาไข่มุกหกใส่พี่อะ”

“อ๋อ มึงเหรอ”

“พี่จำผมไม่ได้เหรอ”

“ใส่ชุดนักเรียนก็เหมือนกันหมดแหละ กูจะไปแยกออกได้ไง ไหนเสื้อกูอะ” พูดประโยคหลังพลางแบมือมาตรงหน้า

ผมปลดเป้ออกจากบ่า รูดซิปกระเป๋าแล้วหยิบเสื้อที่ซักไว้เมื่อคืนส่งคืนให้เขา

“เออ บอกให้ซักก็ซักจริงเนอะ”

“ขอบคุณมากนะครับที่ช่วยผม”

“ช่วยอะไร กูไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย”

“ถ้าพี่ไม่ต่อยไอ้นั่น มันก็ต่อยผมไปแล้ว พี่ช่วยผมไว้ ขอบคุณนะครับ”

“กูอยากได้คำขอบคุณที่รสชาติเหมือนขนมจีบกุ้ง”

“ครับ?”

เขาหันไปมองร้านสะดวกซื้อที่อยู่อีกฟากถนน ผมประมวลคำพูดของเขาในหัวนิดหน่อย ก่อนจะเข้าใจแล้ววิ่งข้ามถนนไปซื้อขนมจีบกุ้งให้เขาเพื่อแทนคำขอบคุณ แถมชีสไบท์ให้ด้วยเพราะมันกำลังลดราคาพอดี

“นี่ครับ ขอบคุณมากนะครับ”

“หลอกแดกง่ายนะมึงเนี่ย แต่ก็ขอบใจนะ โคตรหิวเลยตอนนี้ จะออกมากินข้าวแม่งร้านข้าวเสือกปิด ทรยศคนหิวอย่างกูได้ยังไง” ประโยคหลังคล้ายจะบ่นกับตัวเองมากกว่า

“อ๋อ ที่เมื่อกี้พี่ไปยืนบ่นหน้าร้านนั่นเหรอครับ”

“เออดิ ร้อยวันพันปีไม่ปิด ดันมาปิดวันที่กูจะแดก หงุดหงิดฉิบหาย” เขาว่าแล้วยัดขนมจีบกุ้งเข้าปากไปทีละสองชิ้น เคี้ยวตุ้ยๆ ก่อนหันมาถามผม

“เอาปะ”

ผมส่ายหน้าปฏิเสธ วันนี้พี่พิงค์ซื้อข้าวเย็นมาให้กินเรียบร้อยแล้ว มื้อเย็นของผมเลยจบไปตั้งแต่สองทุ่มและไม่รู้สึกหิวเพราะปกติผมไม่ค่อยกินข้าวเย็นอยู่แล้ว

“อันนี้อะไรวะ”

“ไส้กรอกชีสครับ ที่ข้างในมันเป็นชีสอะ”

“เหมือนอสุจิเลยอะ”

หือ?

ผมหันขวับไปมอง คนข้างๆ กำลังบีบไส้กรอกจนชีสไหลออกมาจากตัวไส้กรอกแล้วพูดถ้อยคำทะเล้นนั้นอย่างหน้าตาเฉย

“ไส้กรอกหลั่งน้ำอสุจิ”

เวรกรรมของไส้กรอกชีส...

“เฮ้ย โทษที ลืมไปมึงยังเด็ก” หันมาพูดขำๆ เหมือนเพิ่งจะนึกได้ว่าพูดอะไรออกมา ผมได้แต่ยิ้มแห้งๆ ส่งไป...ช็อกตั้งแต่ประโยคแรกแล้วไหมล่ะ

“มึงอยู่ม.อะไรแล้ววะ” เขาเปลี่ยนเรื่องชวนคุย

“ม.หกครับ”

“จริงดิ ม.หกสูงได้แค่นี้เหรอ มึงคนแคระปะเนี่ย”

ผมเหล่มองด้วยหางตา ที่จริงผมไม่ได้เตี้ยมากนะ แต่คนข้างๆ ผมดันสูงมาก ต้องเงยหน้าคุยเลย

“แล้วชื่ออะไร”

“ครับ?”

“มึงอะ ชื่ออะไร”

“ปิงครับ”

“อี๋”

ผมหันขวับไปมองเขาอีกที เพราะอยู่ๆ ก็ทำหน้าตาเหมือนขยะแขยงอะไรสักอย่าง

“ปลิงดูดเลือดอะนะ ชื่อน่าเกลียดอะ”

“ไม่ใช่! ปิงมาจากแม่น้ำปิงครับ ไม่ใช่ปลิงแบบนั้น”

“อ๋อ แล้วไป นึกว่าชื่อปลิงดูดเลือด แหยะ ขนลุกเลยกู”

“ผมเกิดที่เชียงใหม่ แม่ก็เลยตั้งชื่อให้ว่าน้ำปิง แม่บอกว่าทำให้นึกถึงเชียงใหม่” ผมอธิบายถึงที่มา จริงๆ ผมชื่อว่าน้ำปิงนั่นแหละ แต่พอโตมาก็รู้สึกว่ามันน่ารักเกินตัวไปหน่อยเลยตัดให้คนอื่นเรียกปิงเฉยๆ ดีกว่า

“ทำไมไม่ชื่อแคบหมู ไส้อั่วไรงี้วะ กูคิดถึงเชียงใหม่มากกว่าอีก”

ขอมองแรงอีกทีเหอะ

“สัด แค่นี้ต้องมองด้วยหางตา”

“แล้วพี่ชื่ออะไรครับ”

“อิสระ”

“อิสระ...” ผมทวนชื่อเขาออกมาเบาๆ ดูเหมือนเป็นคำที่มีความหมายตรงตัวอยู่แล้ว แต่ผมกลับไม่เคยเข้าใจเลย อิสระ...มันเป็นยังไงนะ

“มีปัญหาอะไรกับชื่อกู ถึงต้องทำหน้าแบบนั้น”

“เปล่าครับๆ กำลังคิดว่าชื่อพี่เท่ดี”

“กูไม่ได้เท่แต่ชื่อนะ”

ผมหันหน้าไปมองเขาที่กำลังจะพูดต่อ

“ตัวกูก็เท่มาก”

“...”

“คงเป็นเพราะความหล่อของหน้ากู”

“...”

“หล่อมะ”

“อ่า...ครับ”

“ไม่จริงใจก็ไม่ต้องเห็นด้วยก็ได้ แหม่” เขาว่าแล้วผลักหัวผมเบาๆ เอาจริงๆ ถ้ามองดีๆ เขาก็หล่อนะ คิ้วหนา ตาสองชั้นคมๆ หน้าไม่ได้ดูเรียบเนียนใสปิ๊งเพราะไม่ได้โกนหนวดให้เกลี้ยงเกลา ผมสั้นเปิดหูแต่ดูเซอร์บอกไม่ถูก ตัวสูงใหญ่อาจจะไม่ใช่แบบที่กล้ามแน่นๆ แต่ก็ดูสมส่วนพอดีตัวเขา แม้จะแต่งตัวด้วยเสื้อยืดตัวใหญ่ๆ กับกางเกงบอลและรองเท้าแตะธรรมดาๆ แต่ว่ามองรวมๆ ก็เป็นคนที่ดูดีคนหนึ่งเลย

“งั้นผมเรียกพี่ว่าพี่อิสนะ”

“เอาที่มึงพอใจ”

“ครับ พี่อิส งั้นผมกลับบ้านก่อนนะ ดึกแล้วอะ”

“ก็ไปดิ กูไม่ได้รั้งเลยเนี่ย”

ผมยิ้มเจื่อนๆ แล้วเดินออกมา

“เดี๋ยวปิง”

“ครับ?”

“ขอเบอร์หน่อยดิ”

“หือ?” ผมเงยหน้าไปมองเขา เบิกตาขึ้นเล็กน้อยอย่างสงสัย

“แค่ขอเบอร์มึงจะต้องช็อก เกิดมาชาตินี้ไม่เคยมีใครขอเบอร์เลยหรือไง”

“ผมไม่มีโทรศัพท์”

คราวนี้เป็นเขาที่เบิกตากว้างขึ้นนิดๆ

“อะ นี่กูช็อกเลยนะ ไม่มีโทรศัพท์?”

“ครับ”

“มึงมาจากยุคไหนวะเนี่ย แล้วเวลาคนติดต่อมึงต้องทำไง มึงใช้พิราบสื่อสารเหรอ หรือส่งจดหมายเอาเหรอ”

“ไม่เคยมีใครต้องติดต่อผมนี่ครับ ผมไม่มีเพื่อนหรือญาติที่ไหน”

“ทุกวันนี้มึงขุดหลุมอยู่ปะเนี่ย หรืออยู่ในโพรงต้นไม้”

“บ้าดิพี่”

“แล้วกูจะติดต่อมึงยังไงเนี่ย”

“พี่จะมาติดต่อผมทำไมอะ”

“เผื่อกูอยากแดกขนมจีบฟรีไง”

ผมส่ายหน้ายิ้มๆ แล้วหันไปบอก

“ผมทำงานที่ร้านกาแฟตรงหัวมุมโน้นครับ แล้วก็เรียนที่นี่” ผมชี้ไปที่ตัวอักษรย่อที่ปักบนหน้าอก ก่อนพูดต่อ “ถ้าพี่ผ่านมาแถวๆ นี้คงได้เจอกันอีกครับ”

“เออ เงินเดือนออกก็ไปซื้อโทรศัพท์นะมึง เด็กป.หนึ่งมันยังมี อะไรของมึง หลุดมาจากสมัยอยุธยาหรือไง”

“งั้นผมไปแล้วนะ”

“เออ กลับดีๆ”

ผมค้อมหัวลงเล็กน้อยเป็นเชิงลาก่อนจะเดินออกมาจากตรงนั้น หันไปมองอีกทีเขายังยืนอยู่ตรงนั้น ยืนกินชีสไบท์แล้วบ่นพึมพำอยู่คนเดียว

“อร่อยดีว่ะ ไส้กรอกอสุจิ”

ผู้ชายคนนี้แม่งโคตรประหลาด แปลกตั้งแต่นาทีแรกที่เห็นหน้าจนกระทั่งตอนนี้เลย แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ในความประหลาดของเขาที่มองเห็นจากตรงนี้...ทำให้ผมยิ้มออกมาซะเฉยๆ

To be continued.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-05-2021 18:38:47 โดย เต้าหู้ไข่ »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: ►รักอิสระ◄ [บทนำ+ตอนที่ 1] 22-01-17
«ตอบ #3 เมื่อ24-01-2017 10:14:33 »

อิสระคนแปลก

ออฟไลน์ เล็กต้มยำ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 103
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Re: ►รักอิสระ◄ [บทนำ+ตอนที่ 1] 22-01-17
«ตอบ #4 เมื่อ24-01-2017 10:25:44 »

พี่อิสระ... ฮาตะ 55555555
เป็นคนแปลกจริงๆด้วย
 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ เต้าหู้ไข่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +279/-5
    • twitter
Re: ►รักอิสระ◄ [ตอนที่ 2] 24-01-17
«ตอบ #5 เมื่อ24-01-2017 23:29:50 »

ตอนที่ 2

ครอบครัว

 

ผ่านไปเกือบอาทิตย์ สามวันมานี้ผมเลิกงานเที่ยงคืนติดๆ กันเพราะพี่อีมขอแลกเวร เห็นบ่นว่าช่วงนี้งานที่มหาวิทยาลัยเยอะ ผมก็เลยต้องเข้ากะดึกแทน ช่วงนี้ก็เลยนอนน้อยกว่าปกติ จึงไม่แปลกที่ทุกเช้าผมจะเดินสะโหลสะเหลมาโรงเรียนแบบงงๆ เห็นป้ายรถเมล์แล้วอยากจะแวะหลับมันทุกป้ายเลย

“ปิง!”

เหมือนถูกปลุกด้วยเสียงเรียกดังลั่น จากที่สะลึมสะลือก็ตาสว่าง หันไปมองชายเจ้าของเสียงที่กำลังปั่นจักรยานเข้ามา

“พี่อิส?”

“เฮ้ยหลบหน่อย ไม่มีเบรก!”

เชี่ย!

ตุ้บ!

ใจผมอยากจะหลบอย่างคำที่เขาสั่ง แต่ขามันแข็งทื่อไม่ขยับตามเพราะสมองหยุดประมวลผลไปกะทันหัน พี่เขาเลยหักรถจักรยานหลบผมแต่ไม่พ้น จึงเฉี่ยวแขนผมจนขนมปังในมือลอยไปตกอยู่ข้างๆ เขาที่ใช้เท้าเบรกจักรยานแล้วหันกลับมาหาผม

“เป็นไรปะ!”

“ผมไม่เป็นไรแต่พี่ฆ่าขนมปังผม ตายคาที่เลย”

ผมชี้ไปยังขนมปังไส้กรอกที่ตกอยู่ข้างๆ

“มีอันเดียวด้วย”

“โถๆ ขอโทษๆ” เขาว่าแล้วก้มลงไปหยิบขนมปังชิ้นนั้นขึ้นมา ปัดๆ ฝุ่นหน่อยแล้วส่งคืนให้ผม

“กินได้ ยังเช้าอยู่ เชื้อโรคยังไม่มาหรอก”

“มันใช่เหรอพี่!”

“กินไส้กรอกก็ได้ ไส้กรอกไม่เปื้อน” เขาแกะเนื้อขนมปังข้างนอกออกแล้วยื่นไส้กรอกให้ผม

“ไม่เอา”

“กินเหอะ กินได้ เร็วๆ”

“ไม่เอา! อื้อ!” เขาตรงเข้ามาล็อกคอผมแล้วยัดไส้กรอกที่ฉีกให้ครึ่งหนึ่งเข้ามาในปาก ผมกะพริบตาปริบๆ แล้วเคี้ยวไส้กรอกนั้น เออ...ไม่น่าสกปรกหรอกเพราะขนมปังมันห่ออยู่ ถุย!

“พี่อะ!”

“อะๆ คายมาๆ” เขาหัวเราะเบาๆ แล้วยื่นมือมารองที่ปากตอนผมกำลังจะคายออก ผมกลัวว่ามือเขาจะเลอะเลยหันไปคายที่ริมทาง

“พี่มาทำอะไรแถวนี้เนี่ย”

“ก็ผ่านมาแล้วเห็นมึงพอดี แล้วนี่ดูสภาพ ไปอดนอนมาจากไหน ขอบตางี้ดำเชียว” เขาว่าแล้วจิ้มเข้ามาใต้ขอบตาผม มือเย็นๆ ของเขาทำให้ผมโยกหน้าหลบ

“นอนน้อยอะครับ”

อยู่ๆ เขาก็หัวเราะออกมา

“ขำอะไรอะ”

“มึงเหมือนหลินปิงเลย”

“หลินปิง?”

“ก็ไอ้ลูกแพนด้าที่สวนสัตว์เชียงใหม่ไง”

“มันชื่อหลินฮุ่ยไม่ใช่เหรอ”

“นั่นแม่มันโว้ย มึงอัปเดตข้อมูลหน่อยไหม หลังเขาฉิบหาย มึงแม่งเหมือนคอมวินโดวส์ 98 เขาเลิกใช้กันไปนานแล้วมึงรู้ปะเนี่ย”

ผมได้แต่เหลือบตาขึ้นมองเขาเคืองๆ ทำให้ผมอดมื้อเช้าแล้วยังมีหน้ามาด่าว่าหลังเขาอีก แล้วคอมวินโดวส์ 98 นี่มัน...หมายถึงวินโดวส์ไหนอะ เดี๋ยวนี้เขาใช้อะไร 99 หรือ 100

“ยังจะมาทำหน้าหลินปิงใส่กูอีก นี่กูถามจริง เวลาอยู่บ้านมึงใช้หินจุดไฟไหม”

“ไม่ได้ขนาดนั้นโว้ย พี่อะ ไปไหนก็ไปเลย ผมจะไปเรียนแล้ว” ผมว่าแล้วเดินออกมา

“ตั้งใจเรียนนะหลินปิง”

“ไม่ใช่หลินปิง”

“อย่าลืมซื้อมือถือด้วยนะ”

“ไม่ซื้อ!”

ผมรีบเดินเข้าโรงเรียนก่อนที่จะสาย แต่ยังไม่ทันจะถึงประตูก็เห็นไอ้ยิมยืนอยู่ตรงรั้วโรงเรียน มันยกสองนิ้วกระดิกเรียกด้วยท่าทางกวนๆ ผมหันซ้ายหันขวา เมื่อเห็นว่ามีแค่ผมที่ยืนอยู่ตรงหน้ามันจึงชี้นิ้วเข้าหาตัวเองเป็นเชิงถาม

“มึงนั่นแหละ!”

เมื่อมันย้ำว่าคนถูกเรียกคือผมก็เลยรีบวิ่งเข้าไปหา

“มีอะไร”

“มึงโกหกกู”

“โกหกอะไร”

“มึงบอกว่ามึงไม่รู้จักมันไง”

“ใคร”

“ก็ไอ้คนที่ชกหน้ากูไง วันก่อนมึงบอกว่าไม่รู้จักมัน แต่เมื่อกี้กูเห็นมึงยืนคุยกับมัน”

“อ๋อ...ก็เพิ่งรู้จักกัน โอ๊ะ!” ผมร้องลั่นเมื่อไอ้ยิมผลักไหล่ผมดันไปติดกำแพง

“ทำไม ไปทำความรู้จักกับมัน ให้มันกลับมาชกกูอีกเหรอ”

“ไม่ใช่สักหน่อย” ผมพยายามดันมือไอ้ยิมออก แต่ออกแรงแค่ไหนก็สู้แรงมันไม่ได้

“มึงคิดจะหาพวกเอาไว้เอาคืนกูใช่ไหม”

“ไม่ใช่...” ผมขมวดคิ้วแน่นเมื่อไอ้ยิมกดนิ้วเข้ามาข้างกระดูกไหปลาร้าจนเจ็บแปลบ

“ไม่ใช่ก็ดี แต่จำไว้ คราวหลังอย่าโกหกกูอีก”

ผมพยักหน้าหงึกๆ แล้วรีบวิ่งเข้าโรงเรียนตอนที่มันปล่อยผม เวรกรรมจริงๆ ที่ชีวิตต้องมาเจออะไรแบบนี้

แต่ผมไม่เคยโกรธไอ้ยิมเลยนะ แค่อยากรู้มากกว่าว่าคนที่คอยเอาแต่แกล้งคนอื่น หาเรื่องให้คนอื่นเดือดร้อนเนี่ย มันโตมายังไง มีพื้นฐานครอบครัวแบบไหน พ่อแม่สั่งสอนยังไง อันนี้งงเฉยๆ...ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย

...

 

วันนี้เป็นอีกวันที่ผมต้องทำงานจนถึงเที่ยงคืน ทุกวันศุกร์ลูกค้าจะเยอะกว่าวันอื่นๆ งานยุ่งหัวหมุนจนผมยังไม่ได้หย่อนตัวลงนั่งตั้งแต่ตอนเริ่มงาน แต่ผมก็ชอบความวุ่นวายแบบไม่ได้หยุดพัก ยิ่งเหนื่อยก็ยิ่งดี กลับบ้านจะได้นอนหลับยาวๆ โดยไม่ต้องตื่นมาเจอใครเลย การทำแบบนั้นมันเป็นการเอาตัวรอดอย่างหนึ่งของผมเหมือนกัน

“เสิร์ฟโต๊ะสามหน่อยจ้ะ”

“ปิงไปเองครับ”

“ใครก็ได้ไปถูพื้นชั้นบนให้หน่อย”

“ปิงเองครับ!”

“หนู เอาขยะไปทิ้งหน่อย”

“ปิงเองๆ!”

“ปิงมันไปโดนอะไรมา ดีดไม่หยุดเลยเนี่ย”

ผมวิ่งเอาขยะมาทิ้งที่หลังร้าน ก่อนจะรีบวิ่งกลับเข้าไปในร้าน วุ่นวายอยู่สักพักไม่ทันรู้ตัวก็ได้เวลาเลิกงาน พี่ที่เข้ากะต่อไปมาเปลี่ยนกะ ผมอยากจะอยู่ช่วยต่อเพราะพรุ่งนี้เป็นวันเสาร์ จะกลับบ้านเช้าก็ยังได้ แต่พี่ๆ เขาไล่ให้ผมกลับเพราะกลัวผมจะตายก่อนถึงเช้า ก็เลยจำเป็นต้องกลับก่อน

วันนี้ใช้พลังงานเยอะก็เลยหิวนิดหน่อย ผมหยิบขนมปังที่ได้ฟรีออกมาจากกระเป๋า กำลังจะแกะกินแต่สายตามองไปเห็นพี่อิสระนั่งอยู่ที่ริมฟุตปาท หัวคิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อยเพราะเราเจอหน้ากันบ่อยตั้งแต่เริ่มรู้จัก ผมยัดขนมปังกลับเข้าถุงเหมือนเดิมแล้วเดินเข้าไปหาเขา

“พี่อิส”

“อ้าว หลินปิง”

กำลังจะโวยเพราะชื่อที่เขาเรียก แต่เปลี่ยนใจเพราะเห็นสีหน้าของเขาที่ไม่เหมือนทุกครั้ง

“พี่เป็นอะไรอะ ร้องไห้เหรอ”

“เปล่า” เขาปฏิเสธขณะยกมือปาดข้างแก้ม เสียงสูดน้ำมูกและตาแดงๆ บ่งบอกว่าคงผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักแน่ๆ เลย

“พี่เป็นอะไรอะ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”

เขาพยักหน้ารับในตอนที่ผมนั่งลงข้างๆ ไม่ค่อยเก่งเรื่องปลอบใจคนอื่นเท่าไรได้แต่ถามเผื่อว่าเขาอยากจะระบาย

“เป็นอะไรเหรอพี่”

“น้องสาวกูตาย”

ดวงตาของผมขยายกว้างขึ้นเล็กน้อยด้วยความตกใจ ขณะที่ผมนิ่งไปเขาก็ปล่อยโฮออกมาเลยอย่างไม่อาจฝืนกลั้น เสียงร้องไห้ของเขาเรียกสติของผมกลับมาแล้วยกมือตบไหล่เขาเบาๆ อย่างต้องการที่จะปลอบใจ

“เมื่อคืนเรายังนอนด้วยกัน”

“...”

“เมื่อเช้ายังกินข้าวด้วยกัน”

“...”

“ไม่รู้ว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้าย”

“...”

ผมพยักหน้ารับในทุกๆ ประโยคของเขา มือที่วางอยู่บนไหล่ยังขยับตบเบาๆ กระทั่งเขาหันหน้ามามองผม

“แล้วมึงจะร้องไห้ทำไมเนี่ย”

“ฮะ? ผมเหรอ” ผมยกมือปาดน้ำตาที่ไหลมาแบบไม่รู้ตัว คงเพราะเข้าใจได้ว่าความสูญเสียมันรู้สึกยังไงละมั้งก็เลยน้ำตาไหลออกมาเฉยเลย

“แทนที่จะปลอบใจกู มาดราม่ากับกูอีก”

“ไม่เป็นไรนะพี่ น้องสาวพี่ไปสบายแล้ว”

เขาพยักหน้ารับเบาๆ

“ผมไม่รู้จะปลอบใจพี่ยังไง”

“กูอยากได้คำปลอบใจที่รสชาติเหมือนขนมปังไส้กรอก”

ผมก้มมองขนมปังในมือ ขณะที่เขาก็มองมันอยู่เหมือนกัน ผมมีชิ้นเดียวนะพี่...

“หิวอะ คิดถึงน้องด้วย”

“กินเลยพี่ กินเยอะๆ นะ กินแล้วต้องเข้มแข็งนะพี่” ผมยัดขนมปังใส่มือเขาแล้วจับมือเขาเป็นเชิงให้กำลังใจ

“ขอบใจมึงมากนะหลินปิง”

“ไม่เป็นไรครับ”

“งั้นกูกลับบ้านไปหาน้องนะ”

“ครับ สู้ๆ นะพี่”

“ขอบใจมาก”

ผมโบกมือให้เขาตอนที่เขาเดินหายเข้าไปในซอย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้า น้องสาวของพี่อิสคงขึ้นไปอยู่บนนั้น เหมือนพ่อกับแม่ของผมที่ขึ้นไปนานเป็นสิบปีแล้ว ตอนเด็กๆ ผมไม่เข้าใจหรอกว่าความตายคืออะไร คิดว่าพ่อแม่ไปสวรรค์เดี๋ยวก็กลับมา แต่ก็ขึ้นไปนานเหลือเกิน จนโตมาจึงเข้าใจว่าคนที่ขึ้นไปบนนั้นจะไม่มีวันได้กลับลงมา...นั่นแหละคือความตาย

 

วันเสาร์อาทิตย์เป็นวันที่ผมเกลียดที่สุด ผมขออนุญาตสวนทางคนอื่นที่รอคอยวันหยุดสุดสัปดาห์ แต่ผมไม่ปรารถนาถึงมัน ผมไม่ชอบวันหยุดเพราะมันเป็นวันที่ผมไม่ได้ออกไปไหนและการไม่มีที่ให้ออกไปไหนนี่แหละก็เลยทำให้เสาร์อาทิตย์มันน่าเบื่อ

วันหยุดของผมก็วนซ้ำไปทุกอาทิตย์ ผมตื่นแต่เช้าเพื่อซักผ้า ช่วยย่าทำความสะอาดบ้าน วันหยุดผมจะได้กินข้าวที่บ้านแต่ก็ไม่ได้ร่วมโต๊ะกับคนในบ้านเพราะมันไม่มีที่ว่างให้ ผมชอบออกมานั่งกินข้าวที่โต๊ะหินอ่อนหลังบ้าน ท้ายห้องครัว ตรงนี้เงียบที่สุดแล้ว ระหว่างนั้นก็อ่านหนังสือบางเล่มจากชั้นหนังสือของลุงที่ตายไปแล้ว ลุงผมมีหนังสือเยอะมาก ชั้นหนังสือกลายเป็นผนังห้องแถบหนึ่งไปเลย โชคดีที่ป้าไม่ได้หวงและอนุญาตให้ผมหยิบมาอ่านได้ เลยทำให้เวลาว่างของผมมักจะหมดไปกับการอ่านหนังสือ

“ยังไม่อิ่มอีกเหรอปิง”

ผมเงยหน้าไปหาย่าที่เอาจานมาเก็บที่อ่างล้างจานใกล้ๆ

“วางไว้เลยย่า เดี๋ยวปิงล้างเอง”

“กินข้าวไปเหอะ เดี๋ยวทำเอง”

ผมพยักหน้ารับ ก้มลงตักข้าวคำหนึ่ง พลิกหนังสือไปอีกหน้าหนึ่ง

“จะกินข้าวหรืออ่านหนังสือก็ควรจะเลือกเอาสักอย่างสิ”

“กินไปด้วยอ่านไปด้วยมันอร่อยกว่าไง”

“เด็กสมัยนี้นี่นะ”

ผมได้แต่ยิ้มหน่อยๆ ให้ย่าที่กำลังบ่นไปตามประสา จริงๆ แล้วย่าใจดีกับผม แต่ย่าไม่มีบทบาทอะไรในบ้านนัก เพราะตั้งแต่ลุงตายไป ป้าก็กลายมาเป็นหัวหน้าครอบครัวและมีอำนาจสูงสุดในบ้าน ทุกๆ อย่างในบ้านต้องขึ้นอยู่กับป้าทั้งหมด ป้าเป็นคนอารมณ์เสียง่าย ยิ่งตั้งแต่ลุงตายไปป้าก็ต้องทำงานคนเดียว วันไหนเหนื่อยกลับมาก็จะหงุดหงิดมากเป็นพิเศษ โมโหขึ้นมาก็ไม่มีใครอยากยุ่งหรือเข้ามาห้ามเพราะจะโดนบ่นพ่วงไปด้วย เวลาผมโดนบ่น โดนตี ผมไม่ค่อยเถียงหรือโต้ตอบ จนคล้ายว่าจะกลายเป็นที่ระบายอารมณ์ของป้าไปแล้ว

วันนี้ทั้งวันผมจมอยู่กับหนังสือเล่มหนาของลุง สนุกจนวางลงไม่ได้จึงอ่านรวดเดียวจบไปเลย รู้ตัวอีกทีก็เกือบจะทุ่มหนึ่งแล้วก็เลยลุกไปอาบน้ำ เดินออกมาจากห้องอีกทีฟ้าก็เปลี่ยนสีไปแล้ว ห้องของผมติดกับห้องครัว ประตูห้องใกล้กับประตูหลังครัวพอดี ผมก็เลยเดินเข้าไปในครัวได้ง่ายๆ เดินเข้าไปเห็นย่าอยู่ในนั้นพอดี

“กินข้าวไหมปิง ยังมีข้าวอยู่นะ”

“ไม่หิวเลยย่า”

“เอาส้มไปกินไหม น้าเนตรแกซื้อมาฝาก”

“ไม่เอาอะ ย่ากินเหอะ ปิงแค่มากินน้ำ” ผมเปิดตู้เย็นหยิบน้ำมาขวดหนึ่ง

“ถ้าหิวก็มาเอาไปกิน”

“ครับ” ผมตอบรับย่าก่อนย่าจะเดินออกจากครัวไป ผมกระดกน้ำขึ้นดื่มหมดขวด กำลังจะเอาขวดไปทิ้งถังขยะ ข้าวฟ่างก็เดินเข้ามาในครัวพอดี

“หิวอ่า มีอะไรกินบ้างเนี่ย” ข้าวฟ่างว่าแล้วเดินไปเปิดตู้เย็น มีขนมที่ป้าซื้อมาใส่ไว้เต็มตู้ แต่ผมแตะต้องไม่ได้สักชิ้น หยิบขนมของข้าวฟ่างไปกินทีไรเป็นต้องมาโวยวายเป็นเรื่องทุกที 

“เพิ่งกินข้าวไปไม่ใช่เหรอ”

“ฟ่างเป็นเด็ก ฟ่างต้องกินเยอะๆ”

ผมได้แต่พยักหน้ารับก่อนจะเดินออกจากครัวมา แต่ข้าวฟ่างดึงแขนผมเอาไว้ก่อน

“อะไร”

“เล่าเรื่องแฟนให้ฟังหน่อยดิ”

ผมถอนใจเบาๆ ในบรรดาคนในบ้าน ข้าวฟ่างเข้ามาวุ่นวายกับผมมากที่สุด ต่างจากพี่ใบเฟิร์นที่ตั้งแต่ขึ้นมหาวิทยาลัยก็ไม่ค่อยมาสุงสิงอะไรด้วย ดูออกว่าพี่ใบเฟิร์นไม่ชอบผมมากๆ ผมก็เลยเลี่ยงที่จะคุยกับเขา จริงๆ ข้าวฟ่างอ่อนกว่าผมสองปี แต่ด้วยวัยที่ใกล้เคียงกันเลยทำให้เราคุยกันเยอะที่สุด และด้วยความที่เป็นน้องคนสุดท้อง ใครๆ ก็ตามใจ จนบางทีผมคิดว่าเธอเสียนิสัยและไม่มีมารยาทเอาซะเลย 

“แฟนปิงชื่ออะไรอะ”

“ไม่มี ไม่ใช่แฟน”

“อย่ามาโกหกน่า วันนั้นยังบอกว่าเป็นแฟนอยู่เลย”

“วันนั้นโกหก”

“อะไรของปิงวะ เล่าให้ฟังหน่อยน่า ฟ่างไม่บอกใครหรอก ปิงมีแฟนเป็นผู้ชายเหรอ”

“ถ้าปิงมีแฟนเป็นผู้ชายแล้วมันจะทำไมเหรอ”

“ฟ่างไม่ว่าอะไรหรอก แต่แม่คงไม่ชอบ”

“แม่ฟ่างก็ไม่เคยชอบอะไรในตัวปิงอยู่แล้วนี่”

“นี่ตกลงแฟนปิงเป็นผู้ชายจริงดิ”

“บอกว่าไม่มีไง”

“อย่ามาว่ะ! เล่ามาเลย เร็วๆ!” ข้าวฟ่างเข้ามาโอบร่างผมเอาไว้จากข้างหลังตอนที่ผมกำลังจะเดินออกไป ข้าวฟ่างไม่ยอมโตขึ้นเลยทั้งๆ ที่ขึ้นม.ปลายแล้วแท้ๆ ความอยากรู้อยากเห็นเกินขอบเขตทำเอาผมรำคาญ

“ฟ่างจะอะไรนักหนาเนี่ย ปล่อย!” ผมสะบัดข้าวฟ่างที่โอบร่างผมอยู่ให้หลุดออกเพราะรำคาญเต็มทนด้วยแรงที่ไม่ได้มากมายอะไร แต่อีกคนที่สะบัดตัวออกไปในจังหวะนั้นเป็นเหตุให้แขนข้างหนึ่งของข้าวฟ่างปัดไปโดนแก้วที่วางอยู่บนโต๊ะร่วงลงพื้นพอดี

เพล้ง!

เราทั้งคู่อ้าปากค้างด้วยความตกใจ ก่อนข้าวฟ่างจะหันขวับมาพูดเสียงดัง

“แก้วแตกเลย! เดี๋ยวโดนแม่ว่าแน่!”

“หลบดิ เดี๋ยวเก็บเอง”

“ถ้ายอมพูดแต่แรกก็ไม่ทำแก้วแตกหรอก ตกลงจะไม่บอกจริงๆ เหรอว่าแฟนปิงเป็นใคร”

ผมถอนใจเบาๆ แล้วบอกให้หลบอีกที

“หลบ จะไปเอาไม้กวาด”

“ถึงจะชอบผู้ชายก็ไม่ผิดหรอกนะ ฟ่างแค่อยากรู้ว่า...”

“หลบไป!” ผมยกมือขึ้นผลักข้าวฟ่างให้หลีกทาง ร่างที่ถูกผลักเซไปเหยียบเศษแก้วที่พื้นเข้าพอดีอย่างไม่ทันระวังจนร้องลั่นออกมา

“โอ๊ย!”

“เฮ้ย” ดวงตาผมเบิกกว้างเล็กน้อยตอนที่ข้าวฟ่างยกเท้าขึ้นมา เศษแก้วปักเข้าไปในเท้านั่นจนเลือดไหลออกมาเป็นทาง

“ฟ่าง เจ็บเปล่า”

“เจ็บดิ!”

“ทำอะไรกันอะ”

ผมหันขวับไปมองพี่ใบเฟิร์นที่เดินเข้ามา เมื่อพี่ใบเฟิร์นเลื่อนสายตาไปมองเท้าข้าวฟ่างที่เลือดเริ่มซึมจนหยดลงพื้นก็แสดงอาการตกใจออกมา

“ฟ่าง เป็นอะไร!”

“ปิงผลักฟ่างอะ”

“ไอ้ปิง...” เสียงพี่ใบเฟิร์นเค้นเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น ผมได้แต่ก้มหน้าลงต่ำไม่อาจโต้ตอบอะไรกลับไปได้ มองเห็นชะตากรรมของตัวเองที่จะตามมาอย่างคาดเดาได้ไม่ยาก

เพียะ!

เพียะ!

เพียะ!

ด้ามไม้กวาดพลาสติกคือเครื่องมือลงโทษที่ป้าพอจะหาได้ ฟาดใส่ผมไม่ยั้งเพราะเป็นสาเหตุที่ทำให้ข้าวฟ่างเจ็บตัวโดยไม่ไถ่ถามถึงเรื่องราวก่อนหน้าเลยสักคำ ผมไม่มีโอกาสแก้ตัวได้แต่ก้มหน้าลงเงียบๆ ไม่มีแม้แต่เสียงร้องโอดครวญ หลับตาแน่นในทุกๆ ครั้งที่ด้ามไม้กวาดนั้นตีเข้ามา

“จะตีมันทำไมนักหนา พอได้แล้ว” ย่าที่ทนดูอยู่นานเดินเข้ามาห้าม

“ต้องตีสิ! มันจะได้จำ!”

“เด็กมันทะเลาะกัน เดี๋ยวมันก็ดีกัน”

“ทะเลาะอะไรถึงกับเลือดตกยางออก มันไม่เกินไปหน่อยเหรอ แม่ไม่ต้องยุ่งน่า”

แต่ก็อย่างที่บอกว่าเสียงของย่าไม่เคยมีความหมาย ย่าได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ แล้วเดินออกไป ผมรู้ว่าย่ากำลังหลีกเลี่ยงสายตาของผมที่กำลังขอความช่วยเหลืออยู่ แต่ย่าช่วยอะไรผมไม่ได้เลย...แม้จะอ้อนวอนแค่ไหนก็ตาม

ผมทนยืนอยู่ตรงนั้นให้ป้าตีจนร่างกายผมรับไม่ไหวแล้ว ในตอนที่ป้าตั้งท่าจะฟาดด้ามไม้กวาดใส่อีกครั้งผมจึงยกมือคว้าด้ามไม้กวาดนั้นเอาไว้

“พอแล้วได้ไหมป้า”

“...”

“ปิงเจ็บ”

“มึงกล้าต่อรองกับกูเหรอ มึงปล่อยเลยนะ ไอ้ปิง!” ป้าดึงด้ามไม้กวาดกลับไปแล้วฟาดมันเข้ามาที่ขาผมจนทรุดลงไปคุกเข่ากับพื้น ถึงจะเจ็บแค่ไหนก็ร้องไม่ออกสักคำ ได้แต่คุกเข่าก้มหน้าลงไปแบบนั้นเพื่อฟังป้าด่าด้วยอารมณ์โกรธแค้น

“ถ้ากูรู้ว่าโตมามึงจะดื้อแบบนี้ กูไม่เลี้ยงมึงให้เสียข้าวสุกหรอก ไอ้เด็กเวร”

ขณะที่ป้ากำลังด่า ผมก็เก็บเศษแก้วตรงหน้าไปด้วยเพราะกลัวว่าใครเผลอมาเหยียบเข้าผมคงซวยอีก

“มึงฟังกูอยู่หรือเปล่า ฮะ!?”

“ฟังครับ”

“กูเกลียดหน้ามึงจริงๆ มึงมันน่าจะตายไปพร้อมพ่อแม่มึงเลยด้วยซ้ำ มาอยู่ให้เป็นภาระของกูทำไม”

ผมเงยหน้าขึ้นไปมองป้าที่พูดออกมาแบบนั้น จริงๆ ผมไม่ได้โกรธ คิดแบบป้าเหมือนกัน ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร...ไม่รู้เหมือนกัน

“มึงมองหน้ากูทำไม มึงไม่พอใจเหรอ ฮะ!? ไม่พอใจเหรอ! มึงมันก็แค่เด็กกำพร้าที่ไม่มีใครเอา กูเลี้ยงมึงมานี่เคยสำนึกบุญคุณบ้างไหม ฮะ!?” ป้าฟาดไม้ในมือเข้ามาอีกชุด ผมได้แต่กำมือแน่น เศษแก้วที่ถืออยู่ทิ่มแทงเข้าไปจนเจ็บแปลบ แต่เจ็บไม่เท่าคำพูดของป้าที่ทิ่มแทงเข้ามารุนแรงกว่า

“มึงออกจากบ้านกูไปเลยนะ ไปไหนก็ไป ไสหัวไป ไม่ต้องกลับมาให้กูเห็นหน้าเลยนะ ไป!!!” ป้าโยนไม้กวาดทิ้งอย่างโมโหแล้วเดินออกไป ผมเงยหน้าไปมองพี่ใบเฟิร์นที่ยังยืนอยู่ สายตาเย็นชามองผมแล้วพูดเสียงเรียบ

“โดนตียังไม่ร้องสักแอะ มึงยังเป็นคนอยู่หรือเปล่าวะ”

ผมเคยชินกับคำพูดประเภทนั้นจนไม่รู้สึกเจ็บปวดอีกแล้ว ก้มลงเก็บเศษแก้วที่เหลือใส่ถุงขยะแล้วเดินออกไปทิ้งนอกบ้าน โยนถุงขยะลงถังแล้วหย่อนตัวเองลงที่ริมฟุตปาท นั่งเฉยๆ อยู่ตรงนี้พักหนึ่ง ในหัวผมว่างเปล่า ทั้งที่จริงควรจะรู้สึกอะไรสักอย่าง...แต่เหมือนทุกอย่างมันด้านชาไปหมดแล้ว

“ปิง”

หันมองย่าที่เดินเข้ามาเรียก

“ย่า ออกมาทำอะไร”

“เห็นปิงออกมานาน”

“ปิงนั่งเล่นเรื่อยเปื่อยอะย่า กลับเข้าไปตอนนี้ป้าคงไม่พอใจ”

ย่ายกมุมปากขึ้นยิ้มบางๆ แล้วนั่งลงข้างๆ ผม มือเหี่ยวย่นยกขึ้นแตะไหล่ผม

“เหนื่อยไหมลูก”

“...”

“ทนไหวไหม”

ผมไม่เคยอยากร้องไห้ โดนตีแค่ไหนก็ไม่มีน้ำตาสักหยดจนถึงตอนนี้ ทว่าตอนที่ย่าถามคำถามนั้นออกมา น้ำตาก็พลันร่วงลงมาอย่างกลั้นเอาไว้ไม่อยู่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงพยักหน้าเพื่อบอกกับย่าว่าผมยังไหว...ยังทนได้อยู่

“ปิงไม่เป็นไรหรอก ทนได้”

ย่าส่งเสื้อตัวหนึ่งที่ถือติดมือมาด้วยให้ผม เป็นเสื้อคลุมตัวที่ผมใส่มันบ่อยๆ

“ถ้าจะออกไปข้างนอกก็สวมเสื้อด้วย อากาศมันเย็น”

ผมพยักหน้ารับก่อนที่ย่าจะเดินกลับเข้าบ้านไป ผมยังได้ยินเสียงป้าบ่นอยู่ในนั้น เข้าไปตอนนี้คงได้โดนด่าอีกระลอก วันนี้ผมรับอะไรไม่ไหวอีกแล้วก็เลยคิดว่าต้องไปหาที่นอนที่อื่นสักคืน

ลุกออกมาจากตรงนั้นแล้วสวมเสื้อที่ย่าเอามาให้ ดึงหมวกฮู้ดขึ้นใส่อย่างที่ชอบทำ อากาศเย็นๆ ชื้นๆ เพราะฝนทำให้ผมรู้สึกหนาวนิดๆ จึงล้วงมือทั้งสองข้างเข้ากระเป๋าเสื้อ ก่อนที่หัวคิ้วจะขมวดเข้าหากันเมื่อเจอบางอย่างอยู่ในนั้น กระเป๋าข้างซ้ายมีส้มลูกหนึ่ง ส่วนข้างขวามีแบงก์ห้าร้อยใบหนึ่ง ริมฝีปากขยับเป็นรอยยิ้มบางๆ...ขอบคุณนะครับย่า

 

To be continued.


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-05-2021 18:39:14 โดย เต้าหู้ไข่ »

ออฟไลน์ kautumn

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
Re: ►รักอิสระ◄ [ตอนที่ 2] 24-01-17
«ตอบ #6 เมื่อ25-01-2017 08:06:43 »

ปิงน่าสงสารอะ ขีวิตรันทดจังเลยอะ อีป้า นังฟ่างแกมัน...... พี่อิสคนแปลก55

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7515
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: ►รักอิสระ◄ [ตอนที่ 2] 24-01-17
«ตอบ #7 เมื่อ25-01-2017 11:29:51 »

ปิงไม่ยุ่งกับใคร ไม่ต่อปากต่อคำ
แต่มีคนมายุ่ง วุ่นวายกับปิง
ยิมเพื่อนเกเรที่ร.ร. คิดไรกับปิงปะ
ฟ่างลูกป้า จะเซ้าซี้ อะไรนักหนา
เรื่องแฟน เรื่องเกย์ เป็นสาววายปะ
บอก ไปก็ไม่เชื่อ จนได้เรื่อง ได้เลือด
กลายเป็นเรื่องใหญ่โต ถูกตีถูกไล่ออกจากบ้าน
ป้าก็เอาเรื่องเอาราวไม่ได้บ่นด่าปิง
ลามไปเรื่องพ่อแม่ปิง เด็กจะไปรู้อะไรด้วย
แล้วปิง จะทำไงต่อไปเนี่ย
      :L1::L1::L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
     




ออฟไลน์ เต้าหู้ไข่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +279/-5
    • twitter
Re: ►รักอิสระ◄ [ตอนที่ 3] 26-01-17
«ตอบ #8 เมื่อ26-01-2017 23:45:39 »


 ตอนที่ 3

บังเอิญ

 

ผมเดินออกมาเรื่อยเปื่อย เพราะเกิดหิวขึ้นมานิดหน่อยก็เลยแวะหาอะไรกิน ร้านของกินริมถนนตอนกลางคืนมีอะไรให้เลือกกินเยอะ ผมแวะที่ร้านรถลูกชิ้นทอด กวาดตามองลูกชิ้นหลากหลายในตู้กระจกแล้วเลือกอันที่ชอบที่สุด

“เอาไส้กรอกชีส...”

 

“ไส้กรอกหลั่งน้ำอสุจิ”

 

ประโยคนั้นดันแวบเข้ามาในหัวอย่างกะทันหัน ผมกะพริบตามองแม่ค้าที่ทวนซ้ำ

“ไส้กรอกชีสนะ เอากี่อันดีลูก”

“เปลี่ยนเป็นลูกชิ้นปลาแล้วกันครับ เอาสองไม้เลย”

“ได้จ้า”

พี่อิสทำให้ไส้กรอกชีสในความคิดของผมไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว ผมหิ้วถุงลูกชิ้นทอดกับน้ำอัดลมแก้วหนึ่งเดินมานั่งกินที่ป้ายรถเมล์ ยังงงๆ กับสภาวะบุคคลเร่ร่อนกะทันหันเลยปรับตัวไม่ทัน ที่จริงผมไปนอนบ้านเมธีได้ แต่ต้องโทรบอกมันล่วงหน้า ติดตรงที่ผมไม่มีโทรศัพท์มือถือ ข้อนี้เลยต้องผ่าน หรือผมจะไปนอนที่ร้านกาแฟก็ได้เพราะมันเปิดยี่สิบสี่ชั่วโมง แต่วันนี้เป็นวันเสาร์ซึ่งเป็นวันหยุดร้าน ข้อนี้ก็เลยต้องผ่านเช่นกัน ตอนนี้ทำอะไรไม่ได้นอกจากยัดลูกชิ้นเข้าปากให้อิ่มท้องไปก่อน เดี๋ยวค่อยว่ากัน

“หลินปิง”

“พี่อิส!”

ผมเรียกชื่อคนที่เดินเข้ามาเรียกแล้วโบกมือให้ยิกๆ ด้วยรอยยิ้มกว้างของตัวเอง ก่อนจะลดมือลงเมื่อรู้ตัวว่าระริกระรี้เกินเหตุ ไม่รู้ทำไมถึงดีใจเหมือนหมาเจอเจ้านายเลย

“รอรถเมล์เหรอ จะไปไหน”

“เปล่าครับ ไม่ได้ไปไหน นั่งเฉยๆ”

“ประหลาดคน”

“แล้วพี่อะ จะไปไหนเหรอ”

“ไปหาอะไรกินมา” เขาว่าแล้วนั่งลงข้างๆ ผม

“แล้วพี่เป็นไงบ้าง เรื่องน้องสาวพี่” ผมพูดเบาๆ ตอนที่สีหน้าของเขาหม่นลงทันทีที่ผมถามถึง

“ก็ยังทำใจไม่ได้หรอก แต่ก็ดีขึ้นแล้ว ว่าแต่มึงมานั่งทำอะไรตรงนี้เนี่ย”

“โดนไล่ออกจากบ้านมาครับ เลยกำลังคิดอยู่ว่าจะไปนอนไหนดี”

“ทะเลาะกับพ่อแม่มาเหรอ ไอ้ลูกทรพี!”

ผมหันขวับไปมองคนข้างๆ ที่แสดงปฏิกิริยาตอบรับเสียงดังเกินกว่าเหตุ เมื่อถูกผมมองตาขวางคนข้างๆ ก็ยิ้มแห้งๆ ใส่

“เออ ทะเลาะอะไรกับพ่อแม่มาล่ะ”

“เปล่า ไม่ใช่พ่อแม่ครับ”

“อ้าว”

“แต่เป็นป้าครับ ผมอาศัยบ้านเขาอยู่แล้วเขาก็ไม่ชอบผมเท่าไร ทะเลาะกันทีไรเขาก็ไล่ผมออกมาทุกที วันนี้ป้าก็โกรธผมอีกแล้ว” ผมร่ายยาว เล่าเรื่องของตัวเองให้เขาฟังอย่างไม่ได้รู้สึกอาย

“แล้วมึงจะไปนอนที่ไหน”

“ก็คิดอยู่นี่ไงครับ”

“หน้าเซเว่นไหม สว่างดี มีหมาเป็นเพื่อนด้วย”

“ถ้าไม่ช่วยก็อย่ากวนตีนดิพี่”

“โห นี่ด่าเหรอ”

“อือ”

“พอออกจากปากมึงนี่ไม่เหมือนโดนด่าเลยนะ ไม่มีความหยาบอะไรทั้งสิ้น”

ผมขมวดคิ้วนิดๆ

“หมีแพนด้ามันด่าไม่เจ็บเนอะ”

“พี่แม่ง...”

“ไปนอนบ้านกูไหมล่ะ”

“ไปครับ” ผมตอบรับแล้วลุกพรวดขึ้นทันที แต่ถูกอีกคนยกมือเบรกเอาไว้

“เดี๋ยว มึงจะไม่คิดอะไรสักนิดเหรอ”

“ผมไม่มีทางเลือก”

“หลอกไปขายง่ายๆ เลยนะมึงเนี่ย”

“ผมรู้ว่าพี่ไม่เอาผมไปขายหรอก”

“ขายก็ไม่ได้กี่ตังค์หรอกมึงอะ ตัวเท่าหางหมา...”

“ตกลงจะให้ไปนอนไหมเนี่ย”

“เออๆ ไปดิไป แล้วมึงหิวไหมเนี่ย บ้านกูไม่มีอะไรให้กินนะ”

“ไม่หิวครับ กินลูกชิ้นไปแล้ว”

“ไส้กรอกอสุจิปะ”

“พี่ น่าเกลียด!”

“ไร้เดียงสาจริงๆ เลยมึงเนี่ย โตแล้วก็หัดจังไรหน่อยดิ”

“จังไรแบบพี่เหรอ”

“อะ เดี๋ยวกูไล่ไปนอนหน้าเซเว่นนะ”

“ขอโทษครับพี่ บ้านพี่อยู่ไหนอะ ไปทางไหน ทางนี้เหรอ” ผมชี้ไปมั่วซั่ว ก่อนเขาจะดึงมือผมให้เดินตามไปอีกทาง

เดินคุยกันมาเรื่อยๆ พี่อิสก็พาผมมายังหมู่บ้านใกล้ๆ นั่น ผมเลื่อนสายตามองบ้านชั้นเดียวสีขาวสะอาดขนาดกำลังพอดี พี่อิสก้มลงหยิบรองเท้าผ้าใบหน้าบ้านขึ้นมาล้วงกุญแจจากในนั้นเพื่อไขเข้าบ้าน

“ดีนะมึงมาตอนบ้านกูไม่รก เข้ามา” เขาเดินนำเข้าไปก่อนเพื่อเปิดไฟ ทันทีที่ไฟกลางห้องติดขึ้นผมก็ได้เห็นสภาพของบ้านที่เจ้าของบอกว่าไม่รก มาตรฐานความรกของเขาคงแตกต่างจากผมพอสมควร...เอาง่ายๆ ตรงไหนบ้างที่ไม่รก   

ผมกวาดตามองไปรอบๆ กลางบ้านมีโต๊ะวาดภาพขนาดใหญ่กับกองกระดาษที่อาจเรียกว่ากองขยะได้ บนพื้นมีโมเดลตึกสองสามชิ้นวางอยู่ กระดาษม้วนใหญ่ๆ สี่ห้าม้วนวางอยู่บนโซฟาหน้าทีวี อุปกรณ์เขียนแบบอะไรทำนองนั้นวางระเกะระกะไปทุกทิศทาง

“พี่เรียนสถาปัตย์เหรอ”

คนข้างๆ หลุดหัวเราะ ขณะที่ผมขมวดคิ้วยุ่ง

“ขำไร”

“หน้ากูเหมือนนักศึกษาไหม”

“ก็เหมือน...” นักศึกษาที่เรียนไม่จบสักทีทั้งๆ ที่อายุเยอะแล้ว...ผมไม่ได้ถามเพราะหน้าพี่เขาสักหน่อย ถามเพราะข้าวของที่มองเห็นนี่ต่างหาก

“ถึงหน้ากูจะหล่อเหลาอ่อนเยาว์เสมอแบบนี้ แต่จริงๆ กูเรียนจบแล้ว”

“แล้วของพวกนี้...?” ผมเว้นวรรคพลางชี้ไปยังของที่สุมอยู่บนพื้น

“ของไอ้พวกรุ่นน้องที่ชอบมาสุมหัวที่นี่อะ อย่าไปขยับของมันเชียวนะ เดี๋ยวมันหาอะไรไม่เจอมันจะด่าเอา”

“แล้วพี่ทำงานอะไรเหรอ”

“เป็นฟรีแลนซ์ วาดภาพประกอบไรงี้อะ แต่ก็ไม่ค่อยมีงานหรอก เลยไม่ค่อยจะมีแดก”

ผมเม้มปากกลั้นขำแล้วพยักหน้ารับ

“ตรงนั้นกูยกให้พวกน้องๆ มันใช้ทำงานกัน ส่วนตรงนี้พื้นที่ของกู” พี่อิสชี้ไปที่อีกมุมห้อง เป็นมุมเล็กๆ ที่มีคอมตั้งโต๊ะยี่ห้อที่เป็นรูปแอปเปิลวางอยู่สองเครื่องบนโต๊ะทำงานที่ดูสะอาดสะอ้านกว่าตรงนี้ ใกล้ๆ กันมีโซฟาตัวยาวอีกตัวหนึ่ง

“มานั่งนี่ได้” เขาเรียกให้ผมเข้าไปนั่งที่โซฟาตัวนั้น สายตาเอาแต่กวาดมองไปข้างหน้าไม่ทันระวังเท้าจึงไปเตะเข้ากับจานอะไรสักอย่างซึ่งวางอยู่ที่พื้น ในจานมีอาหารเม็ดเหมือนอาหารแมวที่กินเหลืออยู่ ผมเงยหน้าถาม

“อาหารแมวเหรอพี่”

“อย่ายุ่ง!”

ผมชะงักกึกตอนที่กำลังจะหยิบจานนั้นหลีก หันมองอีกคนที่กำลังพูดต่อ

“นั่นเป็นอาหารจานสุดท้ายที่น้องสาวกูกินเหลือเอาไว้ กูอยากเก็บเอาไว้ดูเป็นครั้งสุดท้าย”

อาหารจานสุดท้ายของน้องสาว?

ผมทบทวนทุกคำพูดประโยคนั้นแล้วหันไปเห็นถุงอาหารยี่ห้อหนึ่งที่วางอยู่ไม่ไกลกันจึงชัดเจนว่าเป็นอาหารแมว

“น้องสาวพี่นี่คือ...”

เขาชี้นิ้วไปยังรูปหนึ่งที่แปะไว้เหนือคอมพิวเตอร์

“บังเอิญ น้องสาวกู”

ผมก้าวเท้าเข้าไปใกล้ๆ เพื่อมองรูปแมวรูปใหญ่และตัวอักษรที่เขียนทับลงไปบนรูปถ่ายนั่น

 

R.I.P. บังเอิญ น้องสาวสุดที่รัก

 

“พี่มีน้องสาวเป็นแมวเหรอ”

“มันไม่ใช่แมว มันคือบังเอิญ แก้วตาดวงใจของพี่” เขาทำหน้าคร่ำครวญแล้วยื่นมือไปลูบแมวในภาพนั่นเบาๆ เมื่อวานที่บอกว่าน้องสาวตายนี่คือแมว ผมเสียน้ำตาให้คนพรรค์นี้ไปได้ไงเนี่ย ตอนนี้อยากได้คำปลอบใจรสขนมปังไส้กรอกคืนมากเลย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปเพราะดูอาการแล้วพี่เขาคงรักแมวตัวนี้มากจริงๆ นั่นแหละ

“วาสนาน้องมันน้อยนัก เลยต้องมาด่วนจากพี่ไปก่อน บังเอิญเอ๋ย ชาติหน้ามีจริงเราคงได้เกิดมาเป็นพี่น้องกันอีก...”

“ให้ผมนอนไหนเหรอ”

ผมพูดแทรกตอนที่เขากำลังคร่ำครวญ คนถูกขัดหันขวับมามอง แยกเขี้ยวใส่ทีหนึ่งก่อนจะตอบ

“จริงๆ มันมีห้องอยู่ แต่มันไม่ได้ทำความสะอาดอะ นอนห้องกูไปก่อนแล้วกัน”

“แล้วพี่อะ”

“กูมีงาน จะได้นอนเปล่าไม่รู้ จะอาบน้ำไหม แต่เสื้อผ้ากูมึงคงใส่ไม่ได้อะ เตี้ยหมาตื่นขนาดนี้”

ผมเงยหน้าไปมองเขาเคืองๆ กล้าที่จะออกปากเถียงขึ้นมาเฉยๆ

“เตี้ยแล้วหนักหัวพี่เหรอ”

“เล่นหัวพี่เลยเหรอ อันนี้แรงนะไอ้หลินปิง!” เขาตะโกนเสียงดังแล้วเข้ามาล็อกคอผม ก่อนดึงเชือกที่หมวกเสื้อฮู้ดรูดปิดหน้าผม แค่ขนาดแขนที่ล็อกคอผมอยู่ก็แทบจะใหญ่กว่าสองแขนผมรวมกันแล้ว เรี่ยวแรงแค่ปลายนิ้วของเขามากมายกว่าจนผมขัดขืนอะไรไม่ได้นอกจากออกปากขอโทษไปรัวๆ

“โอ๊ยๆๆ ปิงขอโทษๆๆ!”

“ขอโทษดังๆ!”

“ขอโทษครับ! ปิงขอโทษ!”

“เออ ดีมาก”

“ปิงขอโทษ ปิงไม่ได้ตั้งใจ” ผมดึงเชือกจากหมวกฮู้ดที่ถูกรูดปิดหน้าออก หันมองคนข้างๆ ที่อยู่ๆ ก็ยกมุมปากขึ้นยิ้มแล้วพูดขำๆ 

“แทนตัวเองว่าปิง น่ารักดี”

หือ? ผมไม่ทันรู้ตัวว่าเมื่อกี้เรียกแทนตัวเองด้วยชื่อแบบที่มักพูดกับผู้ใหญ่คนอื่น แต่ให้พูดกับพี่อิสคงไม่เหมาะ ไม่รู้เหมือนกันว่าผมตัดสินด้วยอะไรแต่ใจมันบอกว่าไม่เหมาะอะ

“พูดกับกูแบบนั้นดิ”

“ไม่เอาอะ”

“ไรวะ”

“งั้นพี่ก็แทนตัวเองว่าพี่ดิ”

“ไม่” ปฏิเสธได้ชัดถ้อยชัดคำ

“ทำไมอะ”

“กูเป็นคนหยาบ หยาบทั้งกายและใจ”

“เชื่อ”

“ไปนอนไป!” เขาว่าแล้วเดินนำเข้าไปในห้องนอน ห้องนอนที่ดูเรียบๆ โล่งๆ ไม่มีเตียง มีเพียงที่นอนวางอยู่กับพื้น เดาจากสายตาน่าจะประมาณห้าฟุต ชั้นวางของใกล้ๆ เตียงและตู้เสื้อผ้าตรงมุมหนึ่ง ผนังห้องฝั่งหนึ่งมีรูปวาดใหญ่ๆ เป็นรูปดอกไม้ที่ผมไม่รู้ว่ามันชื่อดอกอะไร แบบที่ดอกเป็นพุ่มกลมๆ พอเป่ามันจะปลิวออกไป ในภาพก็มีเกสรบางส่วนคล้ายปลิดปลิวตามลมไป

“แดนดิไลออน” คงเพราะเดาได้จากสายตาผมที่จ้องรูปนั้นอยู่นาน พี่อิสเลยเอ่ยชื่อดอกไม้ออกมา เพิ่งรู้วันนี้ว่ามันชื่อว่าดอกแดนดิไลออน

“พี่วาดเองเหรอ”

“อือ กูชอบ”

“สวยดีครับ”

“ตกลงจะอาบน้ำไหม”

“ไม่เป็นไร ผมเพิ่งอาบมาตอนเย็น นอนชุดนี้ก็ได้”

“ตามใจ งั้นกูจะได้อาบ” เขาว่าแล้วถอดเสื้อออก ที่จริงก็เคยเห็นเขาถอดเสื้อต่อหน้ามาแล้ว แต่ครั้งนี้ได้สังเกตใกล้ๆ หน่อย ถึงจะไม่ได้ขาวมากแต่ผิวพรรณก็เนียนละเอียด สีผิวเสมอกันทุกส่วน ไม่มีซิกแพ็กหรือกล้ามล่ำๆ แต่รูปร่างก็ดูกระชับพอดีตัว ไม่ได้อ้วนหรือผอมเกินไป

“มองไร”

“พี่อิสไม่เห็นมีซิกแพ็กเลย”

“มีทำไม กินได้เหรอ มีพุงนี่น่ารักจะตาย”

“แล้วพุงพี่กินได้เหรอ”

“ฟัดได้นะ มาดิ เข้ามาฟัดดิ”

“อื้อ! ไม่เอา ปล่อย”

ผมขัดขืนพี่อิสที่กำลังดึงหัวผมให้เข้าไปซุกพุงเขา ด้วยการกำมือแล้วทุบๆ ดันๆ เขาออกไป

“เฮ้ย ปิง มือมึงเลือดออกอะ” เขาปล่อยผมออกแล้วดึงมือผมไปดู แผลที่ได้จากเศษแก้วก่อนหน้านี้มีเลือดซึมออกมาอีก คงเพราะเมื่อครู่เผลอกำมือแน่นไปหน่อย

“โดนอะไรมา”

“แก้วบาดครับ”

“มานี่ ทำแผลให้”

เขาลากผมไปที่ห้องน้ำ เปิดก๊อกที่อ่างล้างหน้าให้น้ำไหลผ่านมือ แล้วก็ลากออกมาข้างนอก ดึงทิชชูเช็ดให้แห้ง ก่อนจะเอาปลาสเตอร์ยาแบบผ้าแปะให้สองแผ่นต่อกันเป็นอันเสร็จพิธี ทำไมถึงเรียกไอ้ที่ทำเมื่อกี้ว่าการทำแผลให้ ในเมื่อพี่แกฉีกทุกกฎของการปฐมพยาบาล

“เจ็บเปล่า”

“ไม่ครับ มันไม่ลึก”

เขาพยักหน้ารับแล้วลุกเอาเศษปลาสเตอร์ยาไปทิ้ง

“เออปิง กูเห็นกี่ทีๆ มึงก็ใส่แต่เสื้อแบบเนี้ย แฟชั่นห่าอะไรของมึงไม่แคร์สภาพอากาศบ้านเมืองเลย ประเทศนี้มันหนาวมากมั้ง”

“ผมชินอะ” ผมชอบใส่เสื้อคลุมที่มีหมวกฮู้ด เวลาหลบอยู่ในฮู้ดมันปลอดภัย ตอนที่ผมต้องการหลีกหนีจากอะไร บางครั้งมันก็ช่วยผมได้ รู้สึกเหมือน...เหมือนเต่าอยู่ในกระดองอะไรแบบนั้น

“ร้อนตายห่า เปิดแอร์ไหม”

“ไม่เป็นไรพี่ ถอดเสื้อง่ายกว่า” ผมว่าแล้วรูดซิปถอดเสื้อคลุมออก

“หลินปิง”

“ครับ?”

ผมขานรับโดยอัตโนมัติทั้งๆ ที่ถูกเรียกด้วยชื่อหมีแพนด้า

“โดนตีมาเหรอ”

ผมก้มมองร่างกายตัวเองที่เป็นรอยช้ำ บางรอยเล็ก บางรอยใหญ่ แต่ก็คงดูออกง่ายๆ ว่าได้รอยนั้นมาจากการถูกตี

“เขาตีมึงเหรอ”

ผมพยักหน้ารับ

“เลว”

“...”

“เป็นบ้าอะไรต้องมาตีเด็กขนาดนี้ ไม่เลวเกินไปหน่อยเหรอ”

“พี่ นั่นป้าผม”

“ป้ามึงไม่ใช่แม่กู! กูด่าไม่ได้หรือไง แล้วมึงเจ็บไหมเนี่ย”

“ไม่เจ็บ”

“อย่ามาโกหก”

“ไม่เจ็บจริงๆ พี่ ผมขาวไง โดนอะไรนิดหน่อยก็ช้ำง่าย แต่ไม่เจ็บหรอก” อย่างที่บอกว่าผมซุกตัวอยู่ในเสื้อคลุมแทบจะตลอดเวลาในทุกฤดู ผิวผมเลยไม่ค่อยได้สัมผัสแดดเท่าไร มันก็เลยขาวอย่างที่เห็นและเป็นรอยได้ง่ายๆ

“มึงจะอวดว่าตัวเองขาวใช่มะ”

“อื้อ โอโม่ไหมล่ะ”

“แดกแฟ้บเข้าไปหรือไง รออยู่นี่ กูไปซื้อยาให้”

“ไม่เป็นไรพี่ ไม่เป็นไรจริงๆ” เมื่อผมปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำอีก พี่อิสจึงยอมที่จะไม่ออกไปซื้อยาให้

“ตามใจ แต่จะมาช้ำในตายบ้านกูไม่ได้นะ หลอนตายห่า”

“ตายก็สิงอยู่นี่แหละ” ผมพูดขำๆ

“นอนเหอะ กูไม่รู้วันนี้มึงเจออะไรมาบ้างแล้วก็ขี้เกียจฟัง เพราะกูไม่ชอบเรื่องดราม่า”

“ไม่เล่าหรอกน่า”

“กูไปอาบน้ำละ นอนเองได้ไหมเนี่ย ต้องเล่านิทานก่อนนอนไหมหรือต้องกล่อม”

“บ้าดิพี่ ไม่ใช่เด็กๆ”

“กูจะไปรู้เหรอเห็นตัวเล็กเหมือนหมา” เขาว่าก่อนที่จะหันไปหยิบผ้าขนหนูเดินเข้าห้องน้ำ ผมได้แต่แยกเขี้ยวใส่ลับหลังแล้วล้มตัวลงบนที่นอนเขา ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุม กะพริบตามองเพดานโล่งๆ นั่น ผมกำลังนอนอยู่ในบ้านของคนที่เพิ่งรู้จักกันแค่ไม่กี่วัน แถมคนคนนั้นก็ยังนิสัยแปลกประหลาดสุดๆ แต่ก็คงไม่เป็นไรหรอก สิ่งเดียวที่ผมคิดในตอนนี้คืออย่างน้อยๆ วันนี้ผมก็มีที่นอนแล้ว...แค่นั้นแหละที่สบายใจ

...

 

เช้าวันถัดมา ผมตื่นสายนิดหน่อยเพราะไม่มีนาฬิกาปลุก วันนี้รู้สึกปวดเนื้อปวดตัวนิดหน่อยจากการที่ถูกตีเมื่อวาน บางจุดบวมช้ำขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ตอนที่ผมเดินออกไปนอกห้อง เจ้าของบ้านยังนั่งจดจ่ออยู่ที่หน้าคอม เขาคงไม่เห็นว่าผมยืนมองอยู่ พี่อิสน่าจะไม่ได้นอนตั้งแต่เมื่อคืน ดูจากแก้วกาแฟ เครื่องดื่มชูกำลังสองขวด และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปถ้วยหนึ่งซึ่งวางอยู่ใกล้ๆ

 

“หนูมาลีมีลูกแมวเหมียว ลูกแมวเหมียว ลูกแมวเหมียว...”

 

ผมหลุดหัวเราะเบาๆ เมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ของเขาเป็นเสียงเพลงหนูมาลี คนคนนี้คงจะชอบแมวมากจริงๆ

“โหล” พี่อิสรับโทรศัพท์ด้วยเสียงเนือยๆ ก่อนจะโพล่งพรวดขึ้นมาจนผมแอบสะดุ้ง

“เสร็จเหี้ยอะไรล่ะ! กูเพิ่งลงสีใหม่ ยังไม่ได้นอนเลยเนี่ย มึงจะเร่งอะไรนักหนา เออ! กูขอครึ่งชั่วโมง ไอ้ฉิบหาย!” เขาโยนมือถือทิ้งลงบนโต๊ะแล้วหันไปหยิบเมาส์ปากกาทำงานต่อ ปากก็บ่นไปด้วยไม่หยุด

“งานอะเร่งจริง ทีเงินนี่รอเป็นชาติ สั่งวันนี้จะเอาพรุ่งนี้ คิดว่าพวกกูมีเวทมนตร์หรือไง อยากได้เหี้ยอะไรก็เสกๆ เอา ฉิบหาย ต้องมาอดหลับอดนอน ตายขึ้นมาใครจะรับผิดชอบชีวิตกูวะเนี่ย เทดีไหมเนี่ย ไม่ทำดีไหมเนี่ย!”

เขาโยนปากกาทิ้ง แต่อึดใจเดียวก็หยิบมันขึ้นมาวาดต่อ

“ไม่ทำก็ไม่มีแดก! โว้ย!”

ผมหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่คิดจะเข้าไปกวน จึงเดินกลับเข้ามาในห้องนอน ผ่านไปเกือบๆ ชั่วโมง ก็ได้ยินเสียงเฮลั่นห้องของคนข้างนอกที่บ่งบอกว่างานเสร็จแล้ว ผมจึงเดินออกไป พี่อิสทิ้งตัวลงบนโซฟาตัวยาวแล้วคว้าหมอนที่หล่นอยู่กับพื้นขึ้นมาหนุน จังหวะนั้นก็หันมาเห็นผมพอดี

“อ้าว หลินปิง นึกว่าตายคาห้องกูไปแล้ว”

“ตื่นนานแล้วเหอะ แต่เห็นพี่ทำงานอยู่เลยไม่อยากกวน”

“มานั่งนี่ดิ๊” เขาเขยิบตัวเข้าไปชิดพนักพิงโซฟาเพื่อให้ผมเข้าไปนั่ง ผมจึงเดินไปนั่งตามคำสั่ง ปลายนิ้วของเขาแตะตามลำตัวในจุดที่เป็นรอยเขียวช้ำ

“เจ็บปะเนี่ย”

ผมพยักหน้าแทนคำตอบ ให้บอกว่าไม่เจ็บก็คงจะโกหก

“ไปซื้อยามาทาไป หรือจะให้กูไปซื้อให้?”

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวซื้อเอง”

“กูตื่นมาต้องเห็นยานะ ไม่งั้นกูจะฟาดมึงซ้ำ”

“ครับ เดี๋ยวออกไปซื้อเลย”

“เออ เดี๋ยวช้ำในตายไม่รู้ตัวนะมึง”

“ครับ แล้วนี่พี่เพิ่งได้นอนเหรอ”

“เออ ง่วงมากเลย”

“ทำไมไม่ไปนอนในห้องล่ะพี่” ผมว่าพลางลุกออกมาจากโซฟา

“ขี้เกียจพาร่างไป กูจะหลับกลางอากาศละเนี่ย มึงก็หาอะไรทำไปละกัน คอมตัวซ้ายเปิดเล่นได้ แต่ตัวขวาห้ามยุ่ง แล้วอย่าเสือกเข้าโฟลเดอร์ที่ชื่อแปลกๆ หนังโป๊กูเยอะ ทีวีเปิดดูได้แต่หารีโมตเอาเอง ถ้าหิวก็มีมาม่า ทำกินเอาเอง โตแล้วต้องช่วยตัวเองนะจ๊ะ นอนละ ฝันดี” พี่อิสร่ายยาวแล้วสะบัดผ้าห่มลายคิตตี้สีชมพูที่ผืนสั้นกว่าตัวขึ้นคลุม...เคยมีใครบอกไหมว่าหน้าตาพี่ขัดกับการห่มผ้าลายคิตตี้มากเลย

ความง่วงของเขาคงถึงขีดสุดแล้วจริงๆ แค่หลับตาลงครู่เดียวก็ดูเหมือนจะหลับไปเลย ผมปล่อยให้เขานอนแล้วเดินออกมาจากตรงนั้น ในส่วนของห้องนั่งเล่นที่ดูสกปรกนั่น ผมก็อยากช่วยทำความสะอาดแต่ถูกสั่งห้ามไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ไม่กล้าหยิบจับอะไรในบ้านเขาเพราะถ้ามันเปลี่ยนที่เปลี่ยนทางขึ้นมา หาไม่เจอจะโดนโวยวายเอาได้

ผมนั่งเงียบๆ อยู่ในบ้านพี่อิสโดยไม่มีอะไรทำ ก่อนจะออกมาเดินเล่นข้างนอก วันนี้ผมก็ไม่ต้องทำงาน ร้านไม่ได้ปิดแต่ตารางงานพาร์ตไทม์ของผมมีแค่จันทร์ถึงศุกร์เท่านั้น ใกล้ๆ บ้านพี่อิสมีสวนสาธารณะและสนามเด็กเล่น ผมเข้าไปนั่งที่ชิงช้าริมสนามและแกว่งมันเบาๆ ในใจก็คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ถอนใจออกมาเบาๆ เพราะหนึ่งในความคิดนั้น...วันนี้ผมคงต้องกลับบ้าน

มีหลายเหตุผลที่ผมต้องกลับไป พรุ่งนี้ผมต้องไปโรงเรียน ผมอยู่บ้านพี่อิสไปตลอดไม่ได้ และตอนนี้ป้าคงหายโกรธและใจเย็นลงแล้ว มันไม่ใช่ครั้งแรกที่ถูกไล่มานอนนอกบ้าน ตอนที่เดินกลับเข้าบ้านไปมันก็เลยไม่ต้องเคอะเขิน ไม่ใช่อารมณ์ที่ว่าเป็นเด็กจองหองเดินออกจากบ้านอย่างกล้าหาญแล้วก็ต้องกลับไปตายรัง แบบนั้นคงน่าอาย แต่ผมชินแล้ว เดินกลับเข้าบ้านทุกคนก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เพราะผมต้องการจะหลบเลี่ยงการเจอหน้าพวกเขาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เลยคิดจะกลับเข้าไปตอนที่ทุกคนนอนหมดแล้วก็น่าจะดีกว่า

ผมเดินออกมาหาอะไรกินแถวๆ บ้านพี่อิส ตอนที่เดินผ่านร้านขายยาก็นึกถึงคำพูดของเขาที่กำชับให้ผมซื้อยา จึงถอยหลังกลับมาแล้วเปิดประตูร้านเข้าไป

กริ๊ง!

เสียงกริ่งหน้าประตูทำให้คนที่อยู่ในนั้นหันขวับมา แต่กลายเป็นผมที่ต้องตกใจ

“ช็อก?”

“อ้าว ปิง”

ผมได้แต่ยิ้มแห้งๆ แล้วยกมือขึ้นทักทายอย่างดูเก้ๆ กังๆ

“มาซื้อยาเหรอ”

ผมพยักหน้าหงึกๆ ก่อนที่ช็อกจะตะโกนเข้าไปเรียกคนข้างใน

“พ่อ มีคนมาซื้อยา” ผมเลยเข้าใจว่าที่นี่คงจะเป็นร้านยาของพ่อเขา สิ้นเสียงเรียกของช็อก คนข้างในก็เดินออกมา ชายที่สวมเสื้อกาวน์มีสถานะเป็นเภสัชกรและเป็นพ่อของช็อกที่เจ้าตัวกำลังแนะนำ

“ปิง นี่พ่อเรา พ่อ นี่เพื่อนผม”

“สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้พ่อช็อกที่ตอบรับด้วยรอยยิ้มใจดี

“ปิงเป็นอะไรอะ ไม่สบายเหรอ”

“เปล่าๆ สบายดี แค่มาซื้อยา ยาทาแก้ฟกช้ำ”

“ช้ำอะไร ช้ำใจเหรอ” ช็อกพูดแล้วหัวเราะออกมา ทั้งผมและพ่อของเขาหันไปมองนิ่งๆ จนคนเล่นมุกฝืดรู้ตัวจึงหยุดหัวเราะไปเอง

“เออ ไม่ตลกก็ได้”

“ยาแก้ช้ำเหรอ เอาแบบไหนดีลูก” พ่อของเขาว่าพลางร่ายยาวถึงประเภทของยาให้ผมฟัง

“แบบไหนก็ได้ครับ”

“ใช้เองไหมลูก”

ผมพยักหน้ารับ

“งั้นขอดูแผลได้ไหม จะได้รู้ว่าควรทายาแบบไหน”

“แผล...มันอยู่ในเสื้ออะครับ”

“ก็ถอดสิ”

ผมกะพริบตาปริบๆ มองช็อกที่พูดอย่างนั้น

“ถอดเลย จะได้ให้พ่อดูแผล งั้นเดี๋ยวถอดให้”

“เฮ้ย!” ผมร้องลั่นเมื่อช็อกตรงเข้ามารูดซิปเสื้อคลุมผมออก

“อายอะไรวะ แค่นี้เอง ถอดเลย”

“อย่าแกล้งเพื่อนสิช็อก”

“ก็เพื่อนมันน่าแกล้ง” ช็อกหัวเราะหน่อยๆ แล้วถอดเสื้อคลุมผมออกได้สำเร็จ ก่อนรอยยิ้มหุบลงช้าๆ หัวคิ้วเขาขมวดเข้าหากันเล็กน้อยตอนที่เห็นรอยช้ำบนตัวผม

“เฮ้ย ไปโดนอะไรมาเนี่ย” เขาไล่สายตามองไปทั่วร่างกายแล้วดึงเสื้อยืดตัวในผมขึ้น ผมอายนิดหน่อยที่ถูกดึงเสื้อขึ้นแถมสายตานั่นยังเลื่อนไปทั่วร่างอีก ได้แต่ฝืนยิ้มเคอะๆ เขินๆ   

“โดนพวกเพื่อนแกล้งเหรอ ไอ้พวกที่มันชอบแกล้งอะ ชื่ออะไรนะ”

“เปล่าๆ ไม่ใช่”

“แล้วไปโดนอะไรมา”

“โดนไม้เรียว”

“ทำไมมันเยอะแบบนี้อะ”

“เพราะเราดื้อไง”

“หน้าตาอย่างนี้อะนะ”

“หน้าอย่างเรา...ทำไมเหรอ”

“จ๋องไง”

ผมกะพริบตาปริบมองคนที่พูดอย่างจริงจัง

“จ๋องอย่างนี้ดื้อเป็นด้วย”

“อย่าว่าเพื่อนสิช็อก”

“โธ่พ่อ เพื่อนกัน” ช็อกพูดขำๆ แล้วยกมือขึ้นกอดไหล่ผมให้เขยิบเข้าไปข้างๆ ผมเผลอตัวแข็งทื่อเมื่อถูกกอดไหล่อยู่อย่างนั้น มันแบบโอ้โฮ...ช็อกระยะประชิด

“งั้นเอายาตัวนี้ไปนะ บางจุดนี่เหมือนจะบวมด้วย กลับไปถึงบ้านทายาเลยนะ”

ผมพยักหน้า ผละตัวออกจากกอดของช็อกแล้วขยับไปรับยาจากพ่อของเขา

“ใช้ทานะห้ามกิน แล้วก็อาบน้ำแล้วค่อยทา ไม่ใช่ทาแล้วไปอาบน้ำนะ” ช็อกพูดไปขำไปอยู่คนเดียว มุกฝืดของเขาทำให้ผมได้แต่หัวเราะแห้งๆ แล้วเปลี่ยนเรื่องไปถามราคากับพ่อของเขา

“อันนี้เท่าไรครับ”

“ไม่เป็นไรลูก เพื่อนช็อก พ่อไม่คิดตังค์”

“แต่ว่า...”

“เอาไปเหอะน่า” ช็อกว่าแล้วหยิบยาในมือยัดเข้ากระเป๋าเสื้อคลุมของผม

“ขอบคุณมากครับ”

“ไม่เป็นไรครับ”

“งั้นเรา...เราไปก่อนนะ”

“อือ แล้วถ้าทายาไม่หาย ต้องไปหาหมอนะ”

ผมพยักหน้ารับอีกที ก่อนจะหันไปยกมือไหว้พ่อช็อกแล้วเดินไปที่ประตู เสียงของช็อกเอ่ยเรียกผมเอาไว้ก่อน

“ปิง”

“หือ?”

“แล้วมาบอกด้วยนะว่าหายหรือไม่หาย เจอกันที่โรงเรียน”

“อื้อ” ผมตอบรับแล้วเปิดประตูออกมา มุมปากขยับเป็นรอยยิ้มเมื่อเดินออกมาได้ระยะหนึ่ง เพิ่งเคยได้คุยกับช็อกนานๆ เพิ่งเข้าใจว่าทำไมคนค่อนโรงเรียนถึงชอบช็อก เพราะเขาเป็นแบบนี้นี่เอง...แบบน่ารักเนอะ

To be continued.

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-05-2021 18:39:44 โดย เต้าหู้ไข่ »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: ►รักอิสระ◄ [ตอนที่ 3] 26-01-17
«ตอบ #9 เมื่อ27-01-2017 00:30:09 »

ถึงปิงจะบอกว่าช็อกน่ารัก แต่เราว่าพี่อิสระน่ารักกว่า (?)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ►รักอิสระ◄ [ตอนที่ 3] 26-01-17
« ตอบ #9 เมื่อ: 27-01-2017 00:30:09 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ TR

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
Re: ►รักอิสระ◄ [ตอนที่ 3] 26-01-17
«ตอบ #10 เมื่อ27-01-2017 00:47:07 »

เห็นชื่อคนแต่งแล้วรีบกดเข้ามาโดยไม่ลังเล ติดใจตั้งแต่บูรพากับน้องเหนือ ;)
ไม่ผิดหวังจริงๆค่ะ แค่3ตอนก็ติดแล้ว
ชอบพี่อิสคนประหลาดจังเลย มีความเพี้ยนสูงดี
ชีวิตหลินปิงนี่เหมือนจะรันทด แต่ชอบที่ปิงไม่ทำมองตัวเองว่ารันทดเบอร์นั้น
หรืออาจจะเป็นอย่างที่ช็อกว่า ว่าปิงมันเอ๋อ
รอตอนต่อไปค่ะ ^^

ออฟไลน์ kautumn

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
Re: ►รักอิสระ◄ [ตอนที่ 3] 26-01-17
«ตอบ #11 เมื่อ27-01-2017 20:20:45 »

ออกมาจากบ้านนั้นเถอะหลินปิง ชีวิตรันทดค่อดๆ

ออฟไลน์ 205arr

  • เราคงอยู่ไกลกันเป็นพันหมื่นลี้
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 748
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
Re: ►รักอิสระ◄ [ตอนที่ 3] 26-01-17
«ตอบ #12 เมื่อ27-01-2017 23:36:05 »

ชอบน้องปิงจังเลยค่ะ ชอบความคิด การมองโลกของน้อง
แต่อ่านแล้วอยากร้องให้จริงๆ นะ  :mew4:
ชอบค่ะ รอติดตามนะคะ
คนเขียนสู้ๆ นะคะ
 :L1: :L1:

ออฟไลน์ momonuke

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 753
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
Re: ►รักอิสระ◄ [ตอนที่ 3] 26-01-17
«ตอบ #13 เมื่อ27-01-2017 23:37:47 »

ชอบช็อกเบาๆ 555555555555555555

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
Re: ►รักอิสระ◄ [ตอนที่ 3] 26-01-17
«ตอบ #14 เมื่อ28-01-2017 00:12:56 »

อย่าอยู่เลยปิง บ้านแบบนี้  :katai1:

ออฟไลน์ เต้าหู้ไข่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +279/-5
    • twitter
Re: ►รักอิสระ◄ [ตอนที่ 4] 28-01-17
«ตอบ #15 เมื่อ28-01-2017 00:27:05 »

ตอนที่ 4

เหล้าจ๋า

 

ผมเดินกลับเข้ามาในบ้านพี่อิส เจ้าของบ้านยังนอนอยู่ที่เดิม ผมก็เลยเข้าไปนั่งเงียบๆ ที่หน้าทีวี นั่งมองเข็มนาฬิกาที่ขยับไปทีละวินาที ไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นเรื่องสนุก แต่ตอนนี้เป็นกิจกรรมที่เพลินที่สุดเลย

“เฮ้ย”

สะดุ้งโหยงเพราะเสียงเรียกที่ดังมาจากข้างหลัง ผมเงยหน้ามองพี่อิสด้วยสภาพที่เพิ่งลุกออกมาจากที่นอนยังดูสะลึมสะลือ ผมเผ้าไม่เป็นทรง และใบหน้ายับๆ เหมือนยังนอนไม่เต็มอิ่ม อ้าปากหาวจนกรามขยับเสียงดังกร๊อบ

“ตื่นแล้วเหรอพี่”

“นั่งทำไรเนี่ย” เขาถามขณะนั่งลงข้างๆ ผม

“ก็แค่นั่ง...นั่งเฉยๆ ครับ”

“นั่งเฉยๆ กูนึกว่าผ้าขี้ริ้ว”

ผมหันไปมองเคืองๆ จนอีกฝ่ายหัวเราะออกมาเบาๆ

“ไม่มีใครเล่นด้วยเหรอ”

“ผมไม่ได้อยากเล่นกับใครสักหน่อย”

“กินไรยังอะ”

“กินแล้วครับ แล้วพี่หิวเปล่า”

“หิวดิ หิวตาลายละเนี่ย มึงนี่กินได้ไหม จับแดกแม่ง” แกล้งพูดพลางยกมือจับหัวผมโยกเข้าไปหา

“อื้อ! กินไม่ได้! ผมซื้อข้าวมาให้พี่แล้ว เดี๋ยวไปเอาให้”

“เออ รู้หน้าที่ มีประโยชน์นะมึงเนี่ย”

เพราะว่าเขาใจดีให้ผมมานอนที่บ้าน ผมก็เลยอยากตอบแทนเขาบ้าง เดินไปหยิบกล่องข้าวที่ซื้อมา มองหาจานแต่ไม่เห็นว่าอยู่ตรงไหนก็เลยตะโกนถาม

“พี่อิส จานอยู่ตรงไหนอะ”

“ตู้ข้างบนอะ”

ผมเงยหน้ามองตู้เก็บของที่อยู่เหนือหัวผม ยืดสุดแขนไปเปิดตู้ได้แต่หยิบจานข้างในไม่ถึง ตอนติดตั้งเฟอร์นิเจอร์นี่คำนวณส่วนสูงจากเจ้าของบ้านคนเดียวเลยใช่ไหม ผมถอนใจนิดหน่อยแล้วหยิบช้อนมาคันหนึ่งก่อนเดินกลับไปหาพี่อิส

“ไหนจานอะ”

“เอาไม่ถึง”

“แคระเอ๊ย!”

“ตู้มันสูงเหอะ กินในกล่องนี่แหละจะได้ไม่ต้องล้างจาน”

เขาพยักหน้าขำๆ แล้วเปิดกล่องข้าวกิน ยังไม่ทันจะเอาเข้าปากก็ต้องหยุดชะงัก ทั้งผมและเขาสะดุ้งเฮือกเพราะเสียงปึงปังจากด้านนอก

ปังๆๆๆ!

ผมหันไปมองเสียงทุบประตูด้านนอกแล้วหันไปมองหน้าเขาอย่างงงๆ

“พวกเหี้ยบุกบ้านกูอีกละ ปิงไปเปิดให้หน่อยดิ”

ผมลุกตามคำสั่ง ไปเปิดประตูให้คนที่ยังเคาะไม่หยุดอยู่ที่หน้าบ้าน

“โย่ว! พี่อิส! อ้าว ไม่ใช่ว่ะ”

ผมเปิดประตูไปเจอผู้ชายสามคนด้านนอกนั่น พวกเขามองผมงงๆ ขณะที่เดินเข้ามาในบ้าน จนเดินไปถึงพี่อิสก็ยังมองไม่ละสายตา ผมก็เก้ๆ กังๆ ไม่รู้ว่าจะวางตัวเองไว้ส่วนไหนของบ้านดี

“ใครอะ เด็กพี่เหรอ”

“เออ เก็บมาเลี้ยง” พี่อิสว่าแล้วกวักมือเรียกผมเข้าไปหา ผมจึงเดินไปยืนข้างๆ เขา

“ไหนพี่บอกอยากได้แมวใหม่ แล้วนี่ไปเอาตัวอะไรมาเลี้ยง”

“หมีแพนด้า”

ทั้งสามคนขมวดคิ้วมองผมอีกที

“มันก็เหมือนแมวดีไม่ใช่เหรอวะ ดูหน้ามันดิเนี่ย” พี่อิสว่าแล้วยื่นมือมาเกาคางผม ผมได้แต่สะบัดหน้าหนี เกือบเคลิ้มไง

“เอาดีๆ ตกลงว่าใคร”

“นี่หลินปิง”

“ปิงเฉยๆ ครับ” ผมเอ่ยปากแทรก

“เด็กดื้อโดนไล่ออกจากบ้าน กูสงสารเลยให้มานอนนี่”

“หลอกเด็กมาเย่ปะเนี่ยพี่”

“เย่ห่าอะไรล่ะ นี่มัธยม ฟันน้ำนมหมดปากยังก็ไม่รู้ กูไม่อยากเสี่ยงคุกเสี่ยงตะราง”

พวกเขาหัวเราะครืน พี่อิสเองก็ยิ้มบางๆ คงจะมีผมคนเดียวที่ยืนขมวดคิ้วยุ่งๆ  ไม่เข้าใจอะ เย่คืออะไร หันมองหน้าพี่อิส แต่ไม่ทันจะได้ถามเขาก็เปลี่ยนเรื่องไปแนะนำทั้งสามคนให้ผมรู้จัก

“นี่พวกรุ่นน้องที่มหาลัยอะ กูเรียนจบแล้วแต่สลัดพวกมันไม่หลุด พวกสายรหัสจัญไร นี่ไอ้ปอนด์” พี่อิสชี้ไปที่ผู้ชายหน้าตี๋ผมยาวประบ่า มาดเซอร์ในแบบฉบับผู้ชายสายอาร์ต

“นี่ไอ้โอม” อีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ลักษณะคล้ายๆ กัน แต่คนนี้ดูคมเข้มกว่า ทรงผมไถข้างแต่ด้านบนยาวและถูกมัดเอาไว้แบบเท่ๆ มีหนวดเครานิดหน่อย

“นี่ไอ้ปรินซ์” คนนี้แปลกหน่อยตรงที่ไม่ดูเซอร์ ใบหน้าเกลี้ยงเกลา ทรงผมสุภาพดูเรียบร้อย และมีลักยิ้มที่ข้างแก้มทั้งสองข้างตอนที่กำลังยิ้มให้ผมอยู่

“สวัสดีครับ” ผมยกมือขึ้นไหว้ แต่พี่อิสปัดมือผมลง

“ไม่ต้องไหว้พวกมันหรอก ไม่น่าเคารพ”

“นี่พี่ครับ น้องมันมีมารยาทก็ดีแล้วไง อย่าให้ทรามเหมือนพี่เลย”

“มึงออกจากบ้านกูไปเลย”

“โด่! ใจน้อย ยิ่งแก่ยิ่งใจน้อย”

“ตกลงมาทำไมเนี่ย”

“ผมกับไอ้โอมมาเก็บงาน ส่วนไอ้ปรินซ์มาทำเวร”

“เออ มาพอดีแม่บ้าน กวาดไอ้พวกนี้ทิ้งให้หมดทีดิ๊ เกะกะฉิบหาย”

“เฮ้ยๆ อย่ายุ่งกับผลงานพวกกูนะโว้ย” พี่ปอนด์กับพี่โอมเข้าไปในกองเศษกระดาษพวกนั้นแล้วจัดการกับโมเดลที่วางเอาไว้ ส่วนพี่ปรินซ์ที่บอกว่าเป็นแม่บ้านคือเป็นแม่บ้านจริงๆ  พี่อิสบอกให้ฟังว่าพี่ปรินซ์ขอให้พี่อิสช่วยทำโปรเจกต์คราวที่แล้วแลกกับการทำความสะอาดบ้านให้สองเดือน ทุกๆ วันอาทิตย์พี่ปรินซ์เลยต้องมาทำเวร ทำความสะอาดทุกซอกทุกมุม นั่นคงเป็นเหตุผลที่พี่อิสไม่ให้ผมแตะงานบ้าน เพราะมีแม่บ้านประจำตำแหน่งอยู่แล้ว คนที่กำลังเก็บกวาดบ้านชี้ไปยังจานข้าวแมวซึ่งยังวางอยู่ที่เดิมขึ้นมาแล้วเอ่ยปากถาม

“พี่อิส อาหารบังเอิญนี่ทิ้ง...”

“อย่ายุ่ง! อาหารจานสุดท้ายของมัน กูเก็บไว้ดูต่างหน้า”

พี่ปรินซ์พยักหน้ารับแล้วเดินข้ามจานข้าวของน้องสาวพี่อิสไป คงจะทิ้งเอาไว้ให้เหี่ยวแห้งกลายเป็นฟอสซิลอาหารแมวเลยมั้ง

“หลินปิง”

“ครับ”

“กลับบ้านเลยเปล่า”

“อีกแป๊บหนึ่งได้ไหมอะครับ อยากให้ดึกกว่านี้ ให้เขานอนกันให้หมดก่อน”

“เออ จะอยู่ก็อยู่ ไม่ได้ว่าอะไร แค่กลัวจะรำคาญไอ้พวกนี้อะ”

“ไม่เป็นไรครับ”

“งั้นไปนั่งดูทีวีกัน”

พื้นที่หน้าทีวีถูกพี่โอมกับพี่ปอนด์ครองไปแล้ว โซฟาหน้าทีวีก็ถูกสุมไปด้วยข้าวของและอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำงานของพวกเขา

“หลบดิ กูจะดูทีวี”

“แหวกเอาสิพี่”

พี่อิสเอาเท้าเขี่ยของที่พื้นหลบไปข้างๆ เพื่อแหวกทางให้เดินเข้าไปถึงโซฟา หยิบของบนโซฟาโยนลงพื้นเพื่อเคลียร์พื้นที่ หย่อนตัวลงนั่งก่อนแล้วตบแปะๆ ลงข้างตัวเขาเป็นเชิงเรียกให้ผมเข้าไปนั่งด้วย

“นี่ปิง”

“ครับ?” ผมหันไปหาพี่โอมที่เรียก

“มาอยู่กับพี่อิสไม่กลัวเหรอ”

“กลัวอะไรเหรอครับ”

“พี่เขาจะจับปล้ำเอาอะดิ”

ผมหันขวับไปหาพี่อิส เขาได้แต่กลอกตามองบน

“มึงคิดว่ากูจะกล้าไหม ตัวเท่าหางหมา ทำอะไรรุนแรงได้ไหมเนี่ย มึงดูแขนมันเล็กกว่านิ้วโป้งตีนกูอีกมั้ง” พี่อิสว่าแล้วจับแขนผมโบกไปโบกมา

“ไม่ต้องกลัวหรอกปิง พี่รู้จักพี่อิสมายังไม่เคยเห็นพี่แกปล้ำใครเลย”

“เออ ไม่เคยเห็นเหมือนกัน ทำเป็นหรือเปล่าก็ไม่รู้”

“สงสัยจู๋เล็ก”

“ไอ้พวกเหี้ย! เดี๋ยวกูถีบ!”

“เสื่อมสมรรถภาพทางเพศไปแล้วมั้ง ต้องหาคนมาปลุกนกเขาให้ผงาดขึ้นมาขัน”

“ไอ้สันดานนี่! มึงพูดอะไร เห็นไหมเด็กนั่งอยู่นี่เนี่ย!”

“โทษทีๆ”

ผมไม่เป็นอันได้ดูทีวีเพราะถูกพี่โอมและพี่ปอนด์ชวนคุยไม่หยุด ขณะที่พี่ปรินซ์ก็ปัดกวาดเช็ดถูบ้านไปเรื่อยๆ  ระหว่างพูดคุยผมก็ได้แต่หัวเราะไปกับคำพูดทะลึ่งตึงตังของพวกเขา ก่อนที่สายตาจะไปสบเข้ากับพี่อิสที่มองมาพอดี

“มองอะไรครับ” ผมถามเบาๆ

“เวลาหัวเราะก็ต้องหน้าแดงด้วยเหรอ”

“ก็ขาวไง” ผมว่าแล้วยกมือนาบหน้า ผมเป็นพวกหน้าแดงง่ายมาก ไม่ใช่แค่ตอนเขิน แต่ตอนที่เหนื่อย กระทั่งอากาศร้อนหรือหนาว ใบหน้าผมก็จะเปลี่ยนสีง่ายมาก

“แหม ไอ้หนูกลูต้า ขาวจนกูหมั่นไส้ละเนี่ย”

ผมได้แต่หัวเราะตอนที่พี่อิสยกมือผลักหัวผมเบาๆ

“วันนี้มึงหัวเราะมากกว่าทุกวันนะ”

“ก็พวกพี่ตลก ปกติไม่ได้ขำแบบนี้หรอก”

“กัญชาไหม ขำทั้งวันแน่นอน”

ผมหันขวับไปมองด้วยหางตา

“อ๋อ โทษๆ ลืมไปว่าเด็กน้อย” พี่อิสพูดขำๆ แล้วยกมือขยี้หัวผมอีกที ก่อนที่พี่โอมจะเงยหน้าขึ้นมาเรียก

“พี่ กินเหล้ากันปะ”

“กูอะแดกได้ แต่พวกมึงไม่มีเรียนกันหรือไง”

“ไม่มี”

“มึงไปซื้อน้ำแข็งมาเลย เหล้ายังเหลือ”

พี่โอมกับพี่ปอนด์ละจากงานออกไปซื้อของ สักพักหนึ่งก็กลับเข้ามา คนหนึ่งเดินไปหยิบแก้วและขวดเหล้าในครัว อีกคนหาพื้นที่ตั้งวง

“เอาตรงไหนเนี่ยพี่ จะเลอะงานปะ”

“ของพวกมึงอะเกะกะ มาตรงนี้มา” พี่อิสขยับวงเหล้าไปใกล้ๆ กับมุมทำงานของเขา เอาเท้าเขี่ยจานข้าวบังเอิญหลบไปอีกทาง ไหนห้ามคนอื่นยุ่ง ไหนบอกอาหารจานสุดท้ายเอาไว้ดูต่างหน้า เขี่ยทิ้งเป็นกองขี้แมวเลย

เมื่อวงเหล้าพร้อม คนก็พร้อม พี่อิสเรียกผมไปนั่งใกล้ๆ แล้วโยนขนมขบเคี้ยวที่พี่โอมกับพี่ปอนด์ซื้อมาให้

“เด็กน้อย นั่งกินขนมไปนะหนู”

“ปรินซ์โว้ย ปรินซ์!”

คนถูกเรียกเดินออกมาจากห้องนอนพร้อมผ้าถูพื้นในมือ

“พอแล้ว มาแดกเหล้า”

คนตรงนั้นพยักหน้ารับ วางผ้าถูลงกับพื้น เดินไปล้างมือในครัวก่อนจะเดินเข้ามาร่วมวงด้วย พี่ปรินซ์นั่งลงข้างๆ ผมแล้วก็ยิ้มให้ ก่อนเปลี่ยนสีหน้าอ่อนโยนไปพูดจาขึงขังกับเพื่อนที่เหลือ 

“แดกกันทุกอาทิตย์ เมื่อไรงานพวกมึงจะเสร็จเนี่ย”

“เออน่า พวกกูทำเรื่อยๆ”

“แล้วของมึงอะเสร็จยัง” พี่อิสหันไปถามพี่ปรินซ์

“เสร็จแล้ว ไม่ต้องห่วง”

“ห่วงดิ เดี๋ยวก็มาอ้อนให้กูช่วยอีก”

“ครั้งนั้นมันสุดวิสัยเหอะ ผมไม่สบายไงเลยทำไม่ทัน”

“ไม่รู้แหละ กูเบื่อจะช่วยงานพวกมึงแล้ว”

“แหม ช่วยน้องหน่อยมันจะเป็นอะไรไป คุณอิสระสุดหล่อเกาหลีลีมินโฮสุดๆ” พี่อิสหลุดยิ้มเขินๆ กับคำเยินยอของคนข้างๆ ก่อนรีบปรับสีหน้าพูดจาดุๆ หน่อยเป็นเชิงสั่งสอน 

“เออ แต่ก็หัดรับผิดชอบมั่ง โตๆ กันแล้ว กูไม่ได้มีเวลาว่างมาช่วยงานพวกมึงตลอดนะ พวกมึงก็รู้ว่ากูนี่ฟรีแลนซ์คิวทอง”

“มีงานเดือนละงานสองงานเนี่ยนะ”

“แดก!” พี่อิสชูแก้วเหล้าขึ้นเปลี่ยนเรื่อง

“เออพี่ ผมมีอะไรมาให้ด้วย” พี่โอมว่าแล้วหยิบขวดเครื่องดื่มชูกำลังออกมาสองขวดแต่ไม่มีฉลากแปะเอาไว้

“ไรวะ”

“ยาดอง”

“เชี่ย! ฟีลไหนเนี่ย”

“โด่ไม่รู้ล้ม อะ จัดไปเลย ไอ้ที่ล้มๆ จะได้โด่ขึ้นมา”

“แล้วถ้ามันโด่แล้วไม่ล้มล่ะ”

“ฉิบหายแน่นอน”

ทั้งสามคนหัวเราะลั่นกับการตบมุกกันไปมา ส่วนพี่อิสหันมามองผมแล้วหันไปปรามรุ่นน้องของตัวเอง

“นี่ๆ พวกมึง ต่อไปนี้เล่นมุกอะไรมึงกรองหน่อยนะ บ้านกูมีเยาวชนเห็นไหมเนี่ย” เขาว่าพลางยกมือมาเคาะหัวผมสองสามที

“แล้วไอ้ที่มานั่งกินเหล้าต่อหน้าเยาวชนเนี่ยตัวอย่างที่ดีมากเลยดิ” พี่ปรินซ์ว่า

“ไม่เป็นไรครับ กินเลยๆ” ผมรีบบอก

“แล้วกินเหล้าเป็นปะเนี่ย”

ผมส่ายหน้าปฏิเสธ อย่าว่าแต่กินเลย เพิ่งเคยเห็นเหล้าใกล้ๆ ก็วันนี้แหละ

“แลบลิ้นดิ”

“ครับ?”

“แลบลิ้น”

ผมแลบลิ้นออกตามคำสั่งของพี่อิส ก่อนเขาจะใช้นิ้วจุ่มลงไปในแก้วเหล้าแล้วแตะเข้ามาที่ลิ้นผม

“อื้อ!”

ผมขมวดคิ้วแน่น เหล้าเพียวๆ แค่หยดเดียวก็ทำให้ผมหน้าเหยเกเพราะรสชาติแปลกๆ ของมัน ผมยกน้ำเปล่าขึ้นดื่มเพื่อล้างรสชาติที่ติดอยู่ที่ลิ้น พี่อิสได้แต่หัวเราะเบาๆ ที่ได้แกล้งผม

“เด็กน้อยเอ๊ย ลองมะ กูชงอ่อนๆ ให้”

“พี่ จะมอมเมาเยาวชนหรือไง น้องมันกินไม่เป็นน่ะดีแล้ว ไม่ต้องสอนอะไรเหี้ยๆ ให้หรอก”

“เหี้ยยังไง เขาก็กินกันทั้งโลกอะ มันโตแล้ว นี่ม.หกแล้ว กินให้รู้เว้ย” พี่อิสพูดพลางเทเหล้าใส่แก้วแล้วผสมด้วยน้ำอัดลมยื่นมาให้ผม

“ลองดู”

ผมลังเลนิดหน่อย ผมไม่เคยคิดแตะของพวกนี้เลย เพราะถูกบ่มเพาะมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยว่ามันเป็นอบายมุขอะไรเทือกนั้น แต่โตแล้วก็อยากลองดู เอาให้รู้อย่างที่พี่อิสบอก แค่อยากชิมว่ารสชาติมันเป็นยังไงจึงยื่นมือไปรับแก้วนั้นจิบเข้าปากไปหนึ่งที พวกพี่ทั้งหมดมองมากันแบบลุ้นๆ

“เป็นไง”

“รสชาติเหมือนโคล่าอะ”

“ก็มันโคล่าไง เหล้ามันผสมอยู่ ไม่ได้รสชาติเลยเหรอ”

ผมสั่นหน้ายิ้มๆ ไม่รู้อะ...มันเหมือนน้ำอัดลมเฉยๆ เลย

“เอาอีกไหม”

“นี่พี่ สาบานว่าไม่ได้คิดจะหลอกมอมเหล้าแล้วลากเข้าห้องอะ”

“พวกมึงนี่สันดานต่ำตมจริงๆ กูสอนมันกินเหล้าเฉยๆ เว้ย”

“งั้นเอาโด่ไม่รู้ล้มไปซัดก่อน เผื่อเปลี่ยนใจอยากลากเข้าห้องแล้วมันจะไม่โด่”

“ไอ้เหี้ย! กูบอกให้กรองมุกไง กรองมุก!”

ผมนั่งร่วมวงกับพวกพี่ๆ จนเวลาล่วงเลยไปไม่รู้ตัว เหล้าที่ชงบางๆ แก้วแล้วแก้วเล่าส่งมาให้ผมดื่ม พอดื่มไปสักพักมันก็หยุดไม่ได้แล้ว พูดคุยกันไปด้วย ดื่มกันไปด้วย เป็นการสังสรรค์ที่ผมเพิ่งเข้าใจว่ามันสนุกยังไง รู้ตัวอีกทีผมก็เห็นพี่อิสแยกร่างได้แล้วอะ

“โอ๊ะ! พี่อิสมีคู่แฝด”

“ฮะ?”

“เมาแล้วแยกร่างได้เหรอ เจ๋งว่ะ!”

“หลินปิง มึงเมาแล้วใช่ไหมเนี่ย”

“เมาต้องเป็นยังไงอะ”

“ก็เป็นแบบเนี้ย”

“ต้องแยกร่างได้เหรอ” ผมถามเบาๆ ยกนิ้วชี้พี่อิสสองคนสลับกันไปมา

“กลับบ้านไหม กูไปส่ง”

“ไม่เอา! ไม่กลับ!” ผมโวยวาย เผลอสะบัดมือพี่อิสที่เข้ามาจับ

“เชี่ย เมาจริง”

“ไงล่ะ มอมเหล้าน้องอะ”

“หลินปิง กลับบ้านกัน”

“ผมไม่อยากกลับ ผมไม่ชอบบ้าน ผมไม่ชอบคนที่บ้าน” ผมพูดพลางส่ายหน้ารัว

“ทำไมอะ”

“ป้าชอบด่าผม ผมโดนตีบ่อยมากทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรผิดเลย ผมไม่ควรเล่าใช่ไหมอะ พี่อิสไม่ชอบฟังเรื่องดราม่าใช่ไหม”

“อยากเล่าก็เล่ามาเหอะ”

ผมเห็นน้ำตาตัวเองที่ร่วงแหมะลงมาบนหลังมือ เมาแล้วแน่ๆ ผมรู้ตัวในตอนที่ความดราม่าพุ่งเข้าชนแบบหยุดเล่าความขมขื่นในชีวิตตัวเองไม่ได้เลย ทั้งที่ความจริงผมไม่เคยคิดจะเล่าเรื่องในบ้านให้ใครฟัง ไม่ค่อยร้องไห้ให้ใครเห็น เคยคิดว่าใจมันด้านชาจนไม่มีความรู้สึก แต่จริงๆ ไม่ใช่ ผมรู้สึกแต่แค่เก็บมันไว้ เมื่อได้โอกาสแสดงความรู้สึกนั้นมันก็ไหลทะลักออกมาไม่หยุด ผมบังคับตัวเองไม่ให้ฟูมฟายไม่ได้เลย

“ผมเจ็บมาก แล้วก็เหนื่อยมาก ผมคิดถึงพ่อกับแม่ด้วย”

“ไม่เอา ไม่ร้อง”

“ผมไม่ไหวแล้ว”

“มาโอ๋มา”

ผมซุกตัวเข้าไปในอกของพี่อิส นอกจากรู้ว่าเขาชื่ออิสระและเป็นนักวาดภาพประกอบฟรีแลนซ์ นอกจากนั้นผมก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาอีกเลย รู้จักกันได้ไม่นานแต่ผมชอบเวลาอยู่กับเขา ผมได้พูดมากกว่าที่เคย ได้หัวเราะมากกว่าทุกครั้ง และตอนนี้ผมรู้แล้วว่าเหล้ามันดียังไง มันทำให้ความรู้สึกของผมเป็นอิสระอย่างไม่ต้องกักเก็บเอาไว้...ผมคิดว่าผมเริ่มชอบแล้วละ...หมายถึงเหล้านะ

To be continued.

 



คำเตือน
สุรา เป็นเหตุก่อมะเร็งได้
สุรา เป็นเหตุให้เซ็กส์เสื่อมได้
สุรา เป็นเหตุให้พิการและเสียชีวิตได้
สุรา เป็นเหตุทะเลาะวิวาทและอาชญากรรมได้
สุรา ทำร้ายครอบครัว ทำลายสังคมได้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-05-2021 18:40:22 โดย เต้าหู้ไข่ »

ออฟไลน์ 205arr

  • เราคงอยู่ไกลกันเป็นพันหมื่นลี้
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 748
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
Re: ►รักอิสระ◄ [ตอนที่ 4] 28-01-17
«ตอบ #16 เมื่อ28-01-2017 08:22:08 »

น้องปิง สร่างเมาแล้วกลับไปขนของมาอยู่บ้านของพี่อิสเลย
ยังไงหนูก็ทำงานเลี้ยงตัวเองอยู่แล้วนี่
ชีวิตเป็นของเรา ไม่มีความสุขก็อย่าทน
//อารมณ์มาเต็ม ฮ่า
รอตอนต่อไปนะคะ
 :L1: :pig4: :กอด1:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7515
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: ►รักอิสระ◄ [ตอนที่ 4] 28-01-17
«ตอบ #17 เมื่อ28-01-2017 09:31:23 »

ปิง อยู่ให้เขาตีทั้งแม่ทั้งลูก มานานแล้ว
พอเหอะ บ้านป้าน่ะ ออกมาอยู่ข้างนอกได้และ
อยู่อย่างอิสระ ดีกับร่างกายและจิตใจปิง
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
Re: ►รักอิสระ◄ [ตอนที่ 4] 28-01-17
«ตอบ #18 เมื่อ28-01-2017 16:38:38 »

พี่อิสรับน้องมาเลี้ยงเลย สงสารน้องงงง  :katai1:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: ►รักอิสระ◄ [ตอนที่ 4] 28-01-17
«ตอบ #19 เมื่อ28-01-2017 18:48:52 »

แกล้งมอมน้อง ดราม่าเอย น้ำตาเอยมาเลยไหม

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ►รักอิสระ◄ [ตอนที่ 4] 28-01-17
« ตอบ #19 เมื่อ: 28-01-2017 18:48:52 »





ออฟไลน์ ppreaww

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: ►รักอิสระ◄ [ตอนที่ 4] 28-01-17
«ตอบ #20 เมื่อ28-01-2017 20:41:42 »

ชอบจังเลยค่ะ ตัวละครมีเสน่ห์ทุกตัวเลย เนื้อเรื่องก็อ่านเพลิน ดีงาม

ออฟไลน์ milky way

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 495
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-1
Re: ►รักอิสระ◄ [ตอนที่ 4] 28-01-17
«ตอบ #21 เมื่อ28-01-2017 21:45:17 »

ทีมพี่อิส
ขอเชียร์พี่อิสนะ ตลก น่ารัก เก็บหลินปิงมาเลี้ยงด้วย

ออฟไลน์ เต้าหู้ไข่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +279/-5
    • twitter
Re: ►รักอิสระ◄ [ตอนที่ 5] 29-01-17
«ตอบ #22 เมื่อ29-01-2017 21:10:16 »

 

ตอนที่ 5

เมาค้าง

 

เช้านี้ผมถูกปลุกด้วยเสียงพูดคุยที่ดังลอดเข้ามาในห้อง กะพริบตาถี่ๆ เพื่อปรับแสงจากด้านนอกที่สาดเข้ามา เมื่อสายตาขยายได้เต็มที่แล้วกวาดตามองไปรอบๆ ก็เด้งพรวดขึ้นมาจากเตียงเพราะเช้านี้ผมยังอยู่ในห้องนอนของพี่อิส ทำไมยังอยู่ห้องพี่อิส!

ถึงจะพยายามคิดแต่สมองไม่ประมวลผลเลย ผมบอกอาการตอนนี้ไม่ถูก ทั้งๆ ที่ตื่นนอนแล้วแต่ยังรู้สึกง่วงอยู่ ทั้งมึน ทั้งปวดหัวตุบๆ  เป็นความทรมานบทใหม่ในชีวิตที่เดาว่ามันคืออาการเมาค้าง เรียกว่าเมาค้างแน่ๆ

“ไงแพนด้า”

ผมหันไปมองพี่อิสที่เดินเข้ามาทักแล้วพูดต่อ 

“กูนึกว่าตายไปแล้ว เรียกก็ไม่ตื่น กะว่าเข้ามาดูอีกทีไม่ตื่นกูจะโทรเรียกมูลนิธิมาเก็บศพละนะ”

“ตื่นแล้วนี่ไง แต่ไปโรงเรียนไม่ทันแล้วอะ” ประโยคหลังพูดเสียงแผ่วตอนที่รู้ตัวว่าตอนนี้คงจะสายมากแล้ว

“เออดิ แล้วไหวปะเนี่ย”

“มึนหัว” ผมตอบหน้ายุ่ง

“หัดเมาก็ต้องหัดแฮงค์ ไปอาบน้ำไป เดี๋ยวออกมากินข้าว”

ผมพยักหน้ารับแล้วลุกออกจากเตียง ก่อนถอดเสื้อออกแล้วเดินเข้าห้องน้ำ แต่ก็ต้องชะงักกึก ยกมือเกาะขอบประตูเอาไว้แป๊บหนึ่ง

งือ...บ้านหมุนได้

ความรู้สึกเหมือนตอนเล่นเรือไวกิ้งแล้วต้องรีบวิ่งไปอ้วกอะ ผมรีบพุ่งพรวดเข้าห้องน้ำ อะไรก็ตามที่กินและดื่มเข้าไปเมื่อคืนไหลกลับทางเดิมพุ่งลงชักโครกอย่างน่าอนาถ เมื่อคืนผมหลงรักเหล้ามาก รสชาติดี ดื่มเพลิน มีความสุขตอนดื่ม แต่หลังจากนั้นคือความบรรลัย ไม่โอเค หักสิบคะแนนเลย!

หลังจากอาบน้ำเสร็จก็สดชื่นขึ้นมานิดหน่อย อาการมึนหัวทุเลาลงไปเยอะ ผมเดินออกมาที่หน้าประตูห้อง เห็นพี่โอมกับพี่ปอนด์กำลังนั่งทำโมเดลกันต่อ พี่ปรินซ์กำลังจัดการเศษซากความเละเทะจากวงเหล้าเมื่อคืน พี่อิสนอนสบายๆ ดูทีวีอยู่ที่โซฟาตัวยาว ผมก้าวเท้าเข้าไปเรียกเบาๆ

“พี่อิสครับ”

“เฮ้ย หลินปิง!”

อีกคนตอบกลับเสียงดังจนเผลอสะดุ้งเฮือก คนที่เรียกผมลั่นลุกพรวดขึ้นมา ก่อนจะดันตัวผมกลับเข้าไปในห้องนอน

“อะไรเนี่ยพี่”

“มาแก้ผ้าให้คนอื่นดูได้ไง ไม่อายคนบ้างเหรอ”

“ผมแค่ถอดเสื้อเองนะ ไม่ได้แก้ผ้า”

“เออ นั่นแหละ ผู้ชายเต็มบ้านจะมายืนเปลือยอยู่งี้ได้ไงฮะ” เขาว่าแล้วคว้าผ้าขนหนูมาพันตัวให้ นี่ผมเมาหรือเขายังไม่สร่างวะเนี่ย

“ผมก็เป็นผู้ชายนะพี่”

“มันไม่เหมือนกัน”

“ไม่เหมือนยังไงอะ ผมก็มีทุกอย่างแบบที่พี่มีแหละ”

“มีเหมือนที่พี่มี แต่มีไม่เท่าพี่แน่นอน” เขาพูดด้วยน้ำเสียงทะเล้น แล้วหรี่ตามองผมหัวจดเท้า

“ตลกละ”

“เออ อย่าไปถอดเสื้อให้ใครเห็นอีก พวกนั้นมันจังไรไว้ใจได้เหรอ แล้วเมื่อกี้ไปเรียกทำไม”

“ผมจะยืมเสื้อผ้าอะ ใส่ตัวเก่าไม่ไหวแล้ว เน่ามาก”

“อ๋อ เออ เดี๋ยวหาให้” เขาว่าแล้วเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า ผมกวาดตามองเสื้อผ้าในตู้ของเขาที่มีไม่มาก แถมยังเป็นโทนสีเดียวกันหมด ไม่ขาวก็ดำ มีน้ำเงินเข้มและเทาแทรกมาสองสามตัว

“ทำไมเหมือนกันหมดเลยอะ”

“ซื้อยกโหลมาไง ถูกดี และมึงรู้ไหมข้อดีของการมีเสื้อสีเดียวคืออะไร”

“อะไรครับ”

“ใส่ซ้ำได้ไม่มีใครรู้ไง มึงก็อ้างว่ามีหลายตัว”

“ดูสกปรกอะ พี่ทำบ่อยเหรอ”

“ก็บางทีกูก็ไม่รู้ตัวไหนใส่แล้ว ตัวไหนยังไม่ใส่ไง แม่งเหมือนกันหมด เอานี่ เล็กสุดเท่าที่มีละ” เขาส่งเสื้อยืดสีขาวตัวหนึ่งกับกางเกงบอลให้ผม

“ตัวนี้ซักแล้วใช่ไหม”

“ซักแล้วโว้ย ไม่ซักมันจะอยู่ในตู้ไหม”

“ไม่ไว้ใจ”

“อย่างกูไม่ซักเสื้อก็หอมเว้ย”

“ทฤษฎีไหนอะ”

“ไม่เชื่อมึงดม ตัวนี้กูใส่มาสองวันละเนี่ย”

“อื้อ! ไม่เอา!” ผมโวยวายตอนที่เขาคว้าหัวผมแล้วเปิดเสื้อขึ้นก่อนจะยัดหัวผมเข้าไปในนั้น

“หอมไหม”

“ไม่หอม ปล่อย!”

“ไรวะ หอมจะตาย” เขาปล่อยผมออกแล้วดึงเสื้อตัวเองขึ้นมาดม จริงๆ ก็มีกลิ่นหอมอ่อนๆ น่าจะจากน้ำยาปรับผ้านุ่ม แต่ประสาทสัมผัสของผมยังแฮงค์อยู่ ได้กลิ่นอะไรตอนนี้ก็จะอ้วกละเนี่ย

ผมเดินกลับออกมาข้างนอกอีกที พี่ปรินซ์อุ่นโจ๊กที่ซื้อมาตั้งแต่เช้าแล้วยกมาให้ผมที่โซฟาหน้าทีวี บริการให้อย่างดีจนผมเกรงใจได้แต่ยกมือไหว้ขอบคุณ

“ขอบคุณครับ”

“ทำไมของหลินปิงมีกุ้งด้วยอะ” พี่อิสที่นั่งอยู่ข้างๆ ยื่นหน้ามาถาม

“ก็ผมซื้อแบบพิเศษมาให้น้อง” พี่ปรินซ์หันมาตอบ

“ไอ้ปรินซ์ทรพี ทีของกูไม่มีนะ”

พี่ปรินซ์ได้แต่ยักไหล่หน่อยๆ แล้วเดินเข้าครัวไป ผมกำลังจะตักโจ๊กใส่ปากแต่ก็หันไปเห็นคนข้างๆ ที่หันมามองด้วยหางตา

“มีอะไรครับ”

“เมื่อคืนสร้างความวุ่นวาย เช้ามายังเสือกได้กินกุ้งอีก”

“เมื่อคืน...ผมทำอะไรเหรอ” ผมถามเบาๆ ความทรงจำเป็นศูนย์ตั้งแต่เหล้าเข้าปากไปสองสามแก้วแรก

“จำอะไรไม่ได้เลยเหรอ”

“จำไม่ได้ ภาพตัด แหะๆ”

“เฮอะ อย่าให้กูเล่า เดี๋ยวมึงจะต้องซุกหน้าลงหมอนไปด้วยความอับอายแน่นอน”

“แย่มากเลยเหรอ”

“ไม่แย่หรอกปิง ก็แค่เมาเป็นลูกหมา เล่าเรื่องที่บ้านซ้ำไปซ้ำมาสิบกว่ารอบ ร้องห่มร้องไห้ฟูมฟายจนเกือบสำลักน้ำตาตาย อ้วกใส่หน้าพี่อิส แล้วก็จูบปากไอ้ปรินซ์แค่นั้นเอง” พี่ปอนด์เป็นคนรายงานสถานการณ์เมื่อคืนให้ผมฟัง ผมตัวแข็งเหมือนถูกฟรีซแล้วนึกไปถึงเรื่องเมื่อคืนที่ยังหลงเหลืออยู่ในสมองรางๆ

 

“ผมจะกินอีก ไม่เอา ไม่พอ เอ้าโชน!”

“ผมเกลียดป้า ป้าตีผมบ่อยมากเลย ม่าย ยังเล่าไม่จบ ฟัง! ต้องฟัง!”

“พี่อิส! อยากอ้วกอะ!”

“ผมไม่เคยมีแฟน ไม่เคยจูบใคร มาพี่ปรินซ์มาจูบกัน มาจูบกาน!”

 

ผมหันขวับไปมองพี่ปรินซ์ซึ่งยังคงมอบรอยยิ้มอ่อนโยนขณะที่ผมได้แต่สบถคำหยาบลั่นอยู่ในใจ...ฉิบหาย

สุดท้ายต้องซุกหน้าลงไปบนหมอนด้วยความอับอายอย่างที่พี่อิสบอก ได้ยินเสียงหัวเราะชอบใจของคนรอบข้างจนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาอีกเลย

“ไม่ต้องซุก ลุกขึ้นมาแดกโจ๊ก เดี๋ยวเย็นหมด” พี่อิสเคาะหัวผมเบาๆ  ผมขยับหน้าเงยขึ้นมาอย่างเขินๆ  ผมเปลี่ยนใจไม่ชอบเหล้าแล้ว ให้คะแนนติดลบเลย เพราะผลพวงที่ตามมานี่วิปโยคน่าดู

“ผมเมานะ ไม่นับเนอะ”

“กินๆ เข้าไป จะได้กลับบ้าน”

“อะไร พี่จะให้ปิงกลับบ้านเหรอ” พี่ปรินซ์ละจากการทำความสะอาดแล้วเดินเข้ามาถาม

“เออดิ จะให้มันอยู่ที่นี่ตลอดไปหรือไง”

“พี่ได้ยินปิงเล่าเรื่องที่บ้านทั้งคืน ยังจะให้ปิงกลับไปที่แบบนั้นอีกเหรอ” พี่ปอนด์หันมาพูด

“เมื่อคืนพี่ยังร้องไห้เพราะสงสารปิงอยู่เลยนะ” พี่โอมเสริม

“ใครร้อง มั่ว!”

“ก็เห็นน้ำตาซึมอะ”

ผมหันไปมองเขา คนถูกมองคงแถไม่ได้ก็เลยยอมรับเสียงอ่อย

“ก็เรื่องมึงดราม่าฉิบหาย แต่ไม่รู้แหละ ยังไงมึงก็ต้องกลับบ้าน”

“พี่จะไล่ปิงไปเหรอ”

“กูไม่ได้ไล่โว้ย แต่มึงเข้าใจไหมว่าปิงมันเป็นเด็ก มันมีบ้าน มีผู้ปกครอง จะมาอยู่กับกูตลอดได้ไง”

“พี่ไม่สงสารปิงเหรอ” พี่ปรินซ์ว่าแล้วนั่งลงข้างๆ ผม

“ไอ้ปรินซ์ มึงโดนมันจูบไปทีเดียว ตกเป็นทาสมันเลยนะ เข้าข้างมันทุกเรื่องเลยเนี่ย”

“ไม่เกี่ยวกับจูบเลย แต่ผมไม่อยากให้ปิงกลับไปที่นั่น พี่ดูรอยช้ำยังไม่หายเลยเนี่ย ถ้าไปถูกตีซ้ำจะทำยังไง”

“งั้นให้กูไปกระทืบป้ามัน เอาไหม”

“ไม่เอานะพี่” ผมแย้ง

“พี่อิสแม่งไม่มีหัวใจ” พี่ปรินซ์พูดแค่นั้นแล้วสะบัดหน้าหนีเดินเข้าครัวไป

“เอ้า ไอ้นี่ มาเหวี่ยงกูอีก”

“พี่ไม่ห่วงปิงหรือไง”

“ถ้าปิงโดนตีอีก จำไว้เลยว่าเป็นความผิดพี่!”

“ไอ้เหี้ยพวกนี้ กูผิดอะไรนักหนาเนี่ย เออ! กูมันคนไม่มีหัวใจ ห่วงใครไม่เป็นโว้ย พวกมึงก็ไสหัวออกไปจากบ้านคนไม่มีหัวใจอย่างกูเลย ไอ้พวกเวร ไปพร้อมไอ้ปิงมันเลย ไป๊!”

ผมได้แต่หัวเราะเบาๆ ที่จริงก็ตั้งใจจะกลับบ้านอยู่แล้ว เพราะจริงอย่างเขาว่า ผมอยู่กับเขาที่นี่ตลอดไปไม่ได้หรอก...ถึงจะอยากให้เป็นอย่างนั้นก็เถอะ

“งั้นผมขออยู่ถึงตอนเย็นนะ เดี๋ยวออกไปทำงานแล้วก็กลับบ้านเลย”

“เออ แล้วอยากมาที่นี่เมื่อไรก็มาได้ ว่างๆ ก็แวะมา”

ผมพยักหน้าหงึกๆ ก่อนพี่อิสจะหันไปบ่นพวกพี่ทั้งสามคนต่อ

“รีบๆ ทำให้เสร็จเลยนะพวกมึงอะ แล้วก็เก็บของไปให้หมดเลย อย่าให้เหลือแม้แต่เศษกระดาษสักเสี้ยวเดียว ไม่งั้นกูตามเตะยันบ้านเลย”

“โห่ พี่อิสขี้น้อยใจอะ โอ๋นะๆ”

“ไม่ต้องมาโอ๋กู กูมันคนไม่มีหัวใจไง”

แต่ผมคิดว่าพี่อิสมีหัวใจนะ...เป็นหัวใจที่ดีกับผมมากๆ เลยด้วย

.

.

.

วันนี้ผมยังต้องทำงานจนถึงเที่ยงคืนเพราะพี่อีมขอลา อย่างที่บอกว่าผมชอบทำงาน ยิ่งชั่วโมงทำงานเพิ่ม เงินก็เพิ่มไปด้วย สิ้นเดือนนี้ผมคงได้เงินเยอะกว่าทุกครั้ง ผมออกมาทิ้งขยะที่หลังร้าน เห็นพี่พิงค์นั่งจิ้มมือถือยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ตรงนั้นเลยเข้าไปทัก

“พี่พิงค์”

“เฮ้ย!”

“ผมเอง”

“ตกใจหมด”

“เห็นพี่พิงค์ยิ้มอะไรคนเดียว แอบมาเขินอะไรตรงนี้”

“บ้า ไม่ได้เขิน” ปฏิเสธทั้งที่ยังยิ้มกว้าง

“เหรอ เห็นยิ้มแก้มแตกเชียว”

“อย่ามาแซวว่ะ” เขาว่าแล้วโบกมือปัดๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังหุบยิ้มไม่ได้เลย

“คุยกับแฟนเหรอ แฟนเด็กที่พวกพี่เขาพูดถึงกันเหรอ”

“โอ๊ย ปิงขี้แซวว่ะ กลับไปทำงานเลย ไปๆๆ”

“เนี่ย เขาเรียกว่าเขินนะ”

“ไล่ออก!”

ผมแลบลิ้นให้พี่พิงค์อย่างทะเล้นๆ ก่อนจะกลับเข้ามาในร้าน ปล่อยให้พี่พิงค์ยิ้มคนเดียวต่อไป ที่ไม่เข้ามานั่งเล่นข้างในคงเพราะแอบไปเขินอยู่แน่ๆ  พวกพี่ๆ เคยพูดถึงแฟนพี่พิงค์ที่เป็นเด็กมัธยมแต่ผมยังไม่เคยเห็นเลย ได้ยินว่าหน้าตาดีมาก ก็คงจะเหมาะกับคนที่ทั้งหล่อและน่ารักอย่างพี่พิงค์อยู่แล้ว

วันนี้ร้านค่อนข้างเงียบ มีแค่นักศึกษาสองคนนั่งติวหนังสืออยู่ที่ชั้นสอง ผมนั่งเฉยๆ ไม่มีงานทำเวลาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว เผลอแป๊บเดียวก็ได้เวลาเลิกงานแล้ว ผมเดินออกจากร้านพร้อมขนมปังฟรีที่ได้มากินเหมือนเดิม อากาศข้างนอกหนาวชื้นๆ เพราะฝนตกลงมาปรอยๆ ก็เลยดึงหมวกฮู้ดขึ้นมาสวม หดเข้ากระดองแล้วแกะขนมปังกิน เหลือไส้กรอกไว้กินตอนสุดท้ายและขณะที่กำลังจะกัดไส้กรอกกินก็ต้องหันขวับไปมองเสียงเอะอะจากข้างหลัง

“แพนด้า! หลินปิง!”

ผมกระโดดหลบจักรยานของพี่อิสที่พุ่งเข้ามา เพราะมันไม่มีเบรกเขาเลยใช้เท้าไถไปกับพื้นเพื่อหยุดรถ

“พี่มาทำอะไรเนี่ย”

“มากินไส้กรอก”

“ฮะ?”

ขณะที่กำลังงงกับคำพูดเขา พี่อิสก็โน้มหน้าเข้ามากัดไส้กรอกในมือผม

“พี่!”

“อร่อยอะ ชอบ”

“ชอบก็ไปซื้อกินเองดิ มาแย่งทำไมเนี่ย!”

“แย่งกินนี่แหละอร่อยดี”

“พี่อะ!”

“อะๆ เดี๋ยววันหลังซื้อมาคืน”

“แล้วตกลงพี่มาทำไมเนี่ย” ผมถามซ้ำก่อนที่เขาจะล้วงเข้าไปในกระเป๋าผ้าที่วางอยู่ในตะกร้าจักรยาน หยิบบางอย่างในนั้นยื่นให้ผม เมื่อเห็นว่ามันคือโทรศัพท์มือถือกับที่ชาร์จแบตหัวคิ้วผมก็ขมวดมุ่นแล้วเงยหน้าไปถาม

“อะไรครับ”

“เฮ้ย นี่มึงข้ามภพมาจากศักราชไหน ไม่รู้จักมือถือเหรอ”

“รู้ว่าเป็นมือถือ แล้วมาให้ผมทำไม”

“กูเกลียดเวลาติดต่อใครไม่ได้อะ แล้วไอ้พวกเวรนั่นมันก็กดดันกู บอกให้กูซื้อให้มึง”

“ซื้อให้ผม?”

“เออ เอาไป”

“แต่มันแพง...”

“เออแพง รู้ไหมเครื่องหนึ่งซื้อมาม่าได้กี่ลัง แต่กูซื้อมาแล้วไง ก็เอาไปเหอะน่า ไม่สบายใจก็คิดว่ายืมก็ได้ แล้วเดี๋ยวค่อยเอามาคืนกู” เขาร่ายยาวขณะยัดมันใส่มือผมที่ยังสับสน พูดอะไรไม่ออกนอกจากคำว่าขอบคุณที่คิดได้เพียงอย่างเดียว

“ขอบคุณ...”

“ไม่ต้องขอบคุณ กูไม่ได้เต็มใจ ตังค์ก็ไม่ค่อยจะมี ต้องมาเปย์เด็กอีก”

กลืนคำขอบคุณลงคอแล้วเหลือบตามองเขาเคืองๆ

“มึงจะใช้เป็นปะเนี่ย”

“ก็แค่จิ้มๆ ใช่ไหมอะ”

“เออ ก็หัดๆ ใช้ไป มีอะไรด่วนก็โทรหากู แต่เฉพาะเรื่องด่วนเท่านั้นนะโว้ย ไม่ต้องโทรมาพร่ำเพรื่อ กูไม่ได้มีเวลาว่างมารับโทรศัพท์ตลอดเวลาหรอกนะ เข้าใจ๊?”

“แล้วแบบไหนถึงเรียกว่าเรื่องด่วนเหรอครับ”

“ก็แบบเวลาโดนตีหรืออะไรแบบนั้น ก็โทรมาละกัน เดี๋ยวกูมารับ”

ผมหลุดยิ้มออกมา คำพูดจากน้ำเสียงเรียบๆ และใบหน้านิ่งๆ ที่ดูไม่มีอะไรนั่นมันทำให้ใจผมรู้สึกดีอย่างประหลาด

“กลับบ้านได้ละ เดี๋ยวกูไปส่ง”

“จักรยานเนี่ยนะ”

“เออ ดีกว่าเดินละกัน ขึ้นมา”

“เบรกก็ไม่มี” ผมว่าแล้วก้าวขาขึ้นไปซ้อนท้ายจักรยานพี่อิส ที่บอกว่าจักรยานไม่มีเบรกคือไม่ใช่พวกจักรยานฟิกเกียร์ที่มันไม่มีเบรกอะไรแบบนั้นนะ แต่เป็นจักรยานญี่ปุ่นแบบที่แม่บ้านเอาไว้ไปจ่ายตลาด สายเบรกขาด ตะกร้าบิดเบี้ยว เก่าแก่ผุพัง เป็นจักรยานที่ดูน่าอนาถใจ

“บ่นจังเลยเว้ย ขอโทษที่พี่คนนี้มันไม่ได้เกิดมารวยล้นฟ้า ไม่มีปัญญาขับบีเอ็มมารับ”

“พี่ไม่มีมอเตอร์ไซค์เหรอ”

“ไม่มี”

“ซื้อสิ”

“แหม ค่าไฟเดือนนี้กูยังไม่ได้จ่าย จะเอาตังค์ที่ไหนไปซื้อมอไซค์”

ผมคุยกับพี่อิสมาตลอดทาง สักพักก็ปั่นจักรยานมาถึงที่หน้าบ้าน

“หลังนั้นแหละพี่”

เขาชะลอความเร็วลงและใช้เท้าหยุดรถ ผมก้าวเท้าลงจากจักรยานของเขาแล้วหันไปกล่าวคำขอบคุณ

“ขอบคุณนะครับที่มาส่ง”

“เออ แลกกับไส้กรอกที่มึงหวงมากเมื่อกี้ไง แล้วนี่เขานอนกันหมดแล้วเหรอ” พูดประโยคหลังพลางพยักพเยิดเข้าไปในบ้านที่ปิดไฟหมดแล้ว

“น่าจะนอนหมดแล้วครับ”

“เออ เข้าไปเหอะ รีบนอน พรุ่งนี้ไปเรียนใช่ปะ กูไปละ”

ผมพยักหน้าหงึกๆ แล้วโบกมือให้ตอนที่พี่อิสปั่นจักรยานออกไป ผมเดินเข้าบ้านแล้วตรงเข้าห้องตัวเอง ก็ดีที่ไม่เจอหน้าใคร เพราะครั้งนี้ผมหายไปถึงสองคืน กลับเข้ามาแบบนี้ก็ไม่รู้ว่าต้องทำหน้ายังไงตอนเจอคนในบ้าน

ผมถอดเสื้อคลุมออกแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือที่พี่อิสให้มา มันกลายเป็นวัตถุแปลกปลอมที่ผมไม่เคยมีก็เลยงงๆ อยู่กับมัน ปัดหน้าจอเพื่อปลดล็อกแล้วก็กดเข้าตรงนั้นตรงนี้อย่างสนใจ ในสมุดรายชื่อมีชื่อเดียวที่ถูกบันทึกเอาไว้

 

พี่อิสระ♥

 

ผมหลุดยิ้มตอนที่เห็นตัวอีโมจิหลังชื่อนั่น...ใส่หัวใจมาทำไมเนี่ยพี่


To be continued.

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-05-2021 18:40:55 โดย เต้าหู้ไข่ »

ออฟไลน์ lek2512

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 44
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: ►รักอิสระ◄ [ตอนที่ 5] 29-01-17
«ตอบ #23 เมื่อ29-01-2017 21:29:40 »

อ่านแล้วสงสารปิงอะ  ป้ากับพวกญาติใจร้ายเกินไปแหละ ปิงมาอยู่กับอิสระเหอะ

ออฟไลน์ 205arr

  • เราคงอยู่ไกลกันเป็นพันหมื่นลี้
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 748
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
Re: ►รักอิสระ◄ [ตอนที่ 5] 29-01-17
«ตอบ #24 เมื่อ29-01-2017 21:50:53 »

กลัวปิงโดนไล่ออกจากบ้านอีกรอบจัง
แบบโดนลูกป้าใส่ร้ายว่าหายไปนอนกับแฟนงี้
 :katai1:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: ►รักอิสระ◄ [ตอนที่ 5] 29-01-17
«ตอบ #25 เมื่อ29-01-2017 21:51:02 »

แหม ทำไมคิดว่าพี่อิสน่ารัก มีความมุ้งมิ้งอ่ะ อา

ออฟไลน์ kyungploy

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 335
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
Re: ►รักอิสระ◄ [ตอนที่ 5] 29-01-17
«ตอบ #26 เมื่อ29-01-2017 22:01:10 »

น้องปิงน่ารัก โคตรน่ารักกกกกกกกกกกกกกก
ส่วนแฟนพี่พิ้งค์นี่แอบคิดว่าเป็นช็อกแฮะ 555555555555555555555555555

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
Re: ►รักอิสระ◄ [ตอนที่ 5] 29-01-17
«ตอบ #27 เมื่อ30-01-2017 00:04:38 »

อะนะ รักเด็กหลงเด็กจมอยู่ในความขาวของน้องละสิ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7515
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: ►รักอิสระ◄ [ตอนที่ 5] 29-01-17
«ตอบ #28 เมื่อ30-01-2017 06:16:20 »

กลัวปิงโดนไล่ออกจากบ้านอีกรอบจัง
แบบโดนลูกป้าใส่ร้ายว่าหายไปนอนกับแฟนงี้
 :katai1:
คิดเหมือนกันเลย
ไม่มีเรื่อง ยังทำให้เป็นเรื่องมาแล้ว
เด็กบ้า กวน......จริงๆ
แล้วแทนที่จะบอกว่าตัวเองผิดเอง ก็ไม่พูด
ทำให้คนอื่นเข้าใจผิด เดือดร้อนปิง
ถูกโมโห ถูกตี นี่เลย อยูดีๆก็เจ็บตัวเฉยเลย
        :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
     

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
Re: ►รักอิสระ◄ [ตอนที่ 5] 29-01-17
«ตอบ #29 เมื่อ30-01-2017 16:25:22 »

พี่อิสมาสู่ขอน้องไปเลี้ยงอย่างเป็นทางการเถอะน้าาาาาา  :L2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด