-16-
สัปดาห์สอบกลางภาคมาถึงไวกว่าที่คิด อาทิตย์ก่อนเพิ่งไปเที่ยวมาแท้ๆ แต่พอกลับมาทุกคนก็ดูจะหัวหมุนกับการสอบไปหมดรวมถึงผมเองด้วย ที่แย่คือผมต้องทำงานพิเศษทำให้มีเวลาน้อยกว่าคนอื่นก็เลยต้องทุ่มเทมากกว่าใคร ส่วนโซโล่เองก็ดูจะซ้อมหนักไม่น้อย เขาบอกว่าสอบของเขาส่วนใหญ่เป็นปฏิบัติทั้งนั้น จากที่เคยมีเวลามานั่งเฝ้าผมทำงานก็กลายเป็นต้องซ้อมดึกดื่น พอเลิกแล้วค่อยมารับกลับพร้อมกัน
กิ๊ง…
ผมหันไปส่งยิ้มให้คนที่เพิ่งมาแล้วถือแก้วนมเข้าไปหาเหมือนทุกครั้ง โซโล่เหลือบมองแวบเดียวแล้วก็ยื่นมือมาหยิบแก้วไปจากมือผมโดยไม่ยอมสบตาหรือพูดอะไรสักคำ
นี่ขนาดผมทำเป็นไม่รู้เรื่องแล้วเอานมให้ทุกวันเหมือนเดิมก็ยังไม่หายงอนอีก
ผ่านมาเป็นอาทิตย์แล้วที่เรากลับมาจากทะเล แต่เจ้าหมานี่ก็ยังทำหน้านิ่งไม่ยอมคุยกับผมเสียที ถามอะไรก็ตอบสั้นๆไม่ยอมมองหน้า ยิ้มให้ก็หันหน้าหนีตลอด แต่เพราะเขายังทำทุกอย่างเหมือนเดิมไม่ว่าจะไปรับไปส่งหรือรอกินนม ผมเลยมองว่ามันเป็นการงอนที่น่ารักจนไม่อยากง้อ
เหตุผลที่เจ้าหมานี่งอนก็เพราะวันนั้นที่ทะเลผมหนีไปนอนห้องเพื่อนจริงๆ อีกคนร้องเรียกเท่าไหร่ก็ไม่เปิดประตูให้ พอวันต่อมาก็ต้องมานั่งรู้สึกผิดเมื่อเห็นหน้าตาเหมือนคนไม่ได้นอนของเขา แถมตอนขึ้นรถเตรียมกลับคนที่นั่งข้างๆผมก็หันหน้าหนีไม่ยอมคุยด้วยแล้วฟุบหัวไปกับหน้าต่างอีก ผมบอกให้พิงไหล่ก็ไม่ฟังจนต้องเป็นฝ่ายดันหัวนั่นมาพิงไหล่ด้วยตัวเอง ตอนแรกเจ้าหมาก็ทำท่าจะขยับออกอยู่หรอก แต่พอโดนทำหน้าดุเข้าหน่อยก็หงอยจนหูลู่ยอมนอนแต่โดยดี
ขนาดงอนก็ยังเชื่อฟังอยู่…ผมถึงได้บอกว่าน่ารัก
โซโล่ลุกขึ้น ถือแก้วนมไปล้างที่อ่างล้างจานเหมือนทุกวันที่ผ่านมา พอล้างเสร็จก็หยิบกระเป๋าผมกับกุญแจร้านจากบนเคาน์เตอร์แล้วออกไปยืนรอข้างนอก รอจนผมเดินตามออกไปแล้วเขาก็เข้าไปไขกุญแจปิดร้าน
หมาหน้านิ่งยัดกุญแจใส่กระเป๋าผมแล้วเหลือบมองโดยไม่พูดอะไร พอผมส่งยิ้มไปให้ก็รีบหันหน้าหนีแล้วเดินนำไปที่รถเหมือนเดิม
สงสัยคงต้องพอแค่นี้…
ถึงท่าทางนั่นจะน่ารักขนาดไหน แต่ดูเหมือนถ้ายังปล่อยไปนานกว่านี้แล้วเจ้าหมานี่งอนจริงจังขึ้นมาผมคงไม่รู้ว่าจะง้อยังไง
“โซครับ”เจ้าของชื่อไม่แม้แต่จะหันมามอง ยังคงตั้งหน้าตั้งตาขับรถ ทำเหมือนไม่ได้ยินจนผมต้องยื่นมือไปสะกิดเบาๆถึงได้เหลือบตามามองสองวิ
ถือว่ายังดี
“อ่านหนังสือด้วยกันไหม”ผมอมยิ้มเมื่อเห็นว่าหน้านิ่งๆเริ่มมีปฏิกิริยา “พี่อ่านที่หอก็ร้อน…ถ้าเอาไปอ่านกับโซได้ไหมครับ”
“…”ยังเงียบแต่ตาเริ่มเป็นประกาย มุมปากยกน้อยๆ และที่สำคัญคือหูเริ่มกระดิก
“ไม่ได้เหรอครับ…”ผมแสร้งทำเสียงอ่อนแล้วถอนหายใจเบาๆ “ไม่เป็นไร พี่ไม่…”
“ใครบอกไม่ได้!”โซโล่แทรกอย่างรวดเร็ว ผมรีบเบือนหน้าไปนอกหน้าต่างเพื่อกลั้นเสียงหัวเราะ
“ก็ถ้าโซยังไม่หายโกรธพี่ไม่ไปดีกว่า…พี่ไม่อยากให้โซอึดอัด”
“หาย…”
“อะไรนะครับ”
“หายก็ได้”
“หายแน่นะ ไม่กลับมาโกรธแล้วนะ”
“ไม่โกรธแล้ว”สิ้นคำนั้นผมก็หันกลับมาหัวเราะเสียงดัง เจ้าหมามองมาอย่างงงๆก่อนใบหน้าจะเริ่มบูดบึ้งขึ้นเรื่อยๆ
“โซรับปากแล้วนะ ห้ามคืนคำ”ผมรีบย้ำ
“กีตาร์นิสัยไม่ดี”ปากก็ว่าแต่เขากลับส่งยิ้มบางๆมาให้
“ก็พี่ไม่รู้จะง้อยังไงดี”
“รับปากแล้วห้ามคืนคำนะ”เจ้าหมาหรี่ตามอง ใบหน้าจริงจังเหมือนจะบอกว่าถ้าไม่ยอมไปแต่โดยดีก็จะลากไปให้ได้
“ครับผม!”ผมพยักหน้าแข็งขันจนเกินจริง จากนั้นก็มองภาพเจ้าหมาหัวเราะด้วยรอยยิ้ม
เขารู้ตัวหรือเปล่านะว่าตัวเองแสดงอารมณ์มากขึ้น…ทั้งยิ้มทั้งหัวเราะเลย
“กีตาร์…”โซโล่ขมวดคิ้ว ทำหน้าครุ่นคิดอยู่สักพักก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเหมือนไม่เต็มใจเท่าไหร่ “ผมเองก็ต้องซ้อม แล้วกีตาร์จะอ่านหนังสือได้เหรอ อยู่อ่านที่หอดีกว่าไหม”
ถึงจะไม่พอใจแต่ก็ยังรู้จักเป็นห่วงกันอีก เจ้าหมานี่น่าเอ็นดูจริงๆ
“ห้องโซก็ออกจะกว้าง เสียงคงไม่ได้ดังไปทั่วหรอกครับ”ผมพูดตามความจริง และทันทีที่พูดจบโซโล่ก็ยื่นมือมาจับมือผมไว้ ผมบีบมือเขากลับเบาๆก่อนจะหันไปเปิดประตู แต่กลายเป็นโดนรั้งมือไว้ไม่ยอมปล่อย
เจ้าหมานี่นะ…
ผมดึงมือออกช้าๆ ใช้เวลาอยู่สักพักถึงจะเป็นอิสระ พอลงมาแล้วโซโล่ก็เปิดประตูรถตามมาแล้วยืนพิงรถรอเหมือนทุกที
เห็นจนน่าจะชินได้แล้วแต่มองกี่ทีผมก็รู้สึกหมั่นไส้ไอ้ท่าทางดูดีทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจนั่นเหลือเกิน นี่ถ้าไม่ได้รู้จักกันผมคงมองว่าเดือนมหา’ลัยปีนี้เป็นคนสมบูรณ์แบบไปหมด ทั้งหน้าตา ท่าทาง แค่ยืนเฉยๆยังดูดีได้ แต่พอรู้จักกันแล้ว…
ไม่พูดถึงแล้วกัน…
ผมหยิบเอกสารกับหนังสือที่จะใช้อ่านแล้วก็เสื้อผ้านักศึกษากับชุดนอนอีกชุดใส่กระเป๋าก่อนจะลงมาข้างล่าง โซโล่ยังยืนอยู่ท่าเดิมเหมือนหุ่นขี้ผึ้ง หน้านิ่งๆก็ยังนิ่งเหมือนเดิมจนผมอดคิดไม่ได้ว่าถ้ามีแมลงวันเกาะหน้า เจ้าหมานี่จะปัดออกหรือจะยืนให้มันเกาะ
คิดแล้วก็ขำจนคนที่ผมกำลังนินทาในใจหันมาเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
ผมไม่ตอบอะไรแต่เดินอมยิ้มไปขึ้นรถ เวลาเห็นโซโล่ทำหน้าเป็นหมาฮัสกี้แล้วแสดงอาการออกมาทางสีหน้าทีไรรู้สึกอารมณ์ดีทุกที
ห้องกว้างที่ไม่ได้มาเหยียบเป็นอาทิตย์ยังดูสะอาดเหมือนเคย ผมวางหนังสือกองไว้ตรงโซฟากลางห้องเพราะมุมที่ผมชอบเจ้าหมาน่าจะใช้เป็นที่ซ้อม
“กีตาร์”โซโล่เรียกแล้วกวักมือให้เดินไปทางห้องนอน
“ครับ”
“ของขวัญวันเกิด”
“ของขวัญ…”ผมตาโตมองคนพูดด้วยความแปลกใจ เพราะคิดมาตลอดว่าของขวัญคือเพลงที่เขาร้องให้ฟังบนเวที “ทำไมถึงมาให้พี่วันนี้ครับ”
“มันขนไปไม่ได้”โซโล่ยิ้มน้อยๆแล้วพาผมเดินไปหน้าตู้เสื้อผ้า
“ถึงขนาดขนไม่ได้เลยเหรอ”ผมยิ้มกว้าง รู้สึกตื่นเต้นหน่อยๆเพราะไม่ได้ของขวัญอะไรมานานมากแล้ว
ว่าแต่ทำไมต้องใส่ไว้ในตู้เสื้อผ้าทั้งที่เจ้าตัวก็พามาเอง…ไม่ได้คิดจะเซอร์ไพรส์อยู่แล้วไม่ใช่หรือไง
“เปิดเลย”
ผมเปิดประตูตู้ตามคำบอกโดยตัดความสงสัยทิ้งไป หัวใจเต้นรัวเพราะลุ้นจนตัวโก่ง
“กีตาร์เหมือนเด็กเลย”โซโล่พึมพำขำๆ แต่ตอนนี้ความอยากรู้ของผมมันแลดูจะมีมากกว่าเลยไม่ได้ตอบอะไร ผมรีบสอดส่องสายตาหาของขวัญในตู้อย่างรวดเร็ว
ไม่เห็นมีอะไร…นอกจากเสื้อผ้าที่ดูเยอะขึ้น
เดี๋ยวนะ
จำได้ว่าครั้งก่อนที่มาเสื้อผ้าโซโล่ไม่ได้เต็มตู้ขนาดนี้
ผมเปิดดูทุกส่วนของตู้เสื้อผ้า นอกจากเสื้อผ้าที่แขวนอยู่แล้ว เสื้อผ้าลำลองหรือแม้แต่บ็อกเซอร์ก็มีเยอะขึ้นด้วย
อย่าบอกนะ…
ผมหันกลับไปหาคนที่กำลังยืนยิ้ม พอเห็นหน้าตาเหมือนคาดหวังนั่นแล้วก็พูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
“โซซื้อเสื้อผ้าให้พี่เหรอครับ”
จะให้เสื้อผ้าก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก แต่ไม่เห็นต้องเยอะขนาดนี้เลย แถมยังดูมีราคาทั้งนั้น…
“ใช่”โซโล่พยักหน้าหงึกหงัก
“ไม่เห็นต้องซื้อเยอะขนาดนี้เลยครับ แค่เสื้อตัวเดียวก็พอแล้ว”
“ถ้าไม่ซื้อเยอะ…”โซโล่ขมวดคิ้วเหมือนไม่เข้าใจ “แล้วกีตาร์จะใส่อะไรอยู่ที่นี่”
“โซหมายความว่า…”
“ผมซื้อเสื้อผ้าให้กีตาร์ไว้ใช้อยู่ที่นี่ จริงๆก็ไม่ใช่แค่เสื้อผ้า ในครัวมีแก้วคู่ด้วยนะ”
ในขณะที่ผมกระพริบตาปริบๆและพยายามเรียบเรียงเรื่องในหัว โซโล่ก็ยิ้มกว้างแล้วจูงผมที่กำลังงงสุดขีดให้เดินตามไปที่ครัว
นี่ผมไปบอกตอนไหนว่าจะมาอยู่ที่นี่ ที่ซื้อของครบขนาดนี้มันหมายถึงให้มาอยู่ด้วยกันใช่ไหม
“กีตาร์…”
ผมหันไปมองเจ้าของเสียงแล้วก็หลุดขำออกมาเสียงดัง
เจ้าหมาฮัสกี้ชูแก้วน้ำสองใบไว้แนบแก้ม แต่ละใบเป็นรูปหมาหันข้างแล้วยื่นปากเหมือนจะจูบกัน พอเขาเอามาแนบแก้มแบบนี้มันเลยเหมือนหมาที่แก้วกำลังจูบแก้มเขาอยู่
น่ารักจนอยากถ่ายรูปเก็บไว้…
“โซอยู่แบบนี้ก่อนนะครับ”ผมบอกแล้วเดินไปหยิบโทรศัพท์ที่โซฟา โซโล่ทำหน้างงแต่ก็ยอมยืนนิ่งๆให้ถ่ายรูปแต่โดยดี
เอาไว้ตั้งเป็นภาพโทรเข้าก็แล้วกัน
“น่ารักไหม”
ผมพยักหน้าให้คำถามนั้น รู้ดีว่าเขาไม่ได้หมายถึงตัวเองแต่หมายถึงแก้ว แต่ที่พยักหน้าไปจริงๆผมหมายถึงเขาต่างหาก
“นี่ของผม…นี่ของกีตาร์”โซโล่ว่าแล้วยื่นแก้วที่เป็นหมาใส่ปลอกคอสีชมพูมาให้ ส่วนที่เขายังถืออยู่เป็นหมาใส่ปลอกคอสีฟ้า
ผมรับแก้วมาถือไว้ด้วยรอยยิ้ม มองใบหน้ามีความสุขของเขาแล้วก็รู้สึกดีไปด้วย
แต่ว่า…
“แล้วพี่บอกโซตอนไหนครับว่าจะมาอยู่ที่นี่”
ทันทีที่คำถามหลุดออกไปใบหน้ามีความสุขก็เปลี่ยนเป็นหน้าอมทุกข์อย่างรวดเร็วจนผมเกือบจะยกมือตบปากตัวเอง
รู้สึกผิดจนลืมสงสัยไปเลยว่าทำไมเจ้าฮัสกี้ถึงได้เปลี่ยนสีหน้าไวนักอย่างกับเตรียมไว้แล้ว
“ผม…เอากลับไปไว้ห้องกีตาร์ให้ก็ได้”โซโล่วางแก้วที่ถือไว้ลงบนโต๊ะแล้วส่งยิ้มจางมาให้ก่อนจะเดินผ่านหน้าผมไป
ผมมองแก้วหมาที่อยู่บนโต๊ะสับกับที่ตัวเองถืออยู่แล้วก็รู้สึกเหมือนหมาในแก้วกำลังทำหน้าเสียใจใส่
อยู่ๆก็ใจแป้วแถมยังตาลายมองแก้วมีชีวิต…
“คือพี่หมายถึงจะให้มาอยู่ด้วยตลอดเลยคงไม่ดีมั้งครับ…รบกวนโซด้วย”ผมพูดโดยไม่หันไปมอง รู้สึกว่าเสียงฝีเท้าด้านหลังเงียบไปแล้ว “คือเรา…ก็ยังไม่ได้เป็นอะไรกัน”
“เป็น…”เสียงตอบรับดังขึ้นพร้อมกับความอบอุ่นจากแผ่นอกของคนที่เดินมากอดผมจากทางด้านหลัง
“เป็น?”
แขนที่โอบรอบเอวผมกระชับแน่นขึ้น ความอบอุ่นจากร่างกายและลมหายใจร้อนๆของคนที่วางคางไว้บนไหล่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนร่างกายร้อนไปหมด ผมไม่กล้าหันไปมองเพราะแค่นี้ก็รู้สึกเหมือนหัวใจเต้นตึกตักจนแทบจะทะลุออกมาอยู่แล้ว
“เป็นคนพิเศษของกันและกัน”
นั่นมันคำพูดผมไม่ใช่เหรอ…
รู้สึกเหมือนโดนตีกลางแสกหน้า
ทำไมตอนตัวเองพูดก็ไม่ได้รู้สึกเขินเท่าไหร่ แต่พอเจ้าหมานี่พูดแล้วมันต่างกันแบบนี้…
ผมถือแก้วไว้ด้วยสองมือที่สั่นเทาโดยไร้สาเหตุ พยายามเพ่งสมาธิไปกับการจับแก้วให้แน่นเพราะกลัวว่าถ้าเผลอไปนิดเดียวจะทำมันตกแตก
“กีตาร์ไม่ได้รบกวน…ผมอยากอยู่ใกล้ๆเพราะรู้ว่าไม่ค่อยมีเวลาเจอกัน อีกไม่นานกีตาร์ก็ต้องไปฝึกงานแล้วด้วย มาอยู่ใกล้ๆผมนะ ได้เจอตอนนอนทุกวันก็ยังดี”
ผมพยายามไม่สนใจอ้อมกอดอบอุ่นแล้วเพ่งความสนใจไปที่คำพูดของเขา
“แต่หอพี่…”แล้วเสียงจะสั่นทำไม…
เจ้าหมาได้ทีหัวเราะเบาๆแล้วขยับหน้าเข้ามาจนแนบกับแก้มผม
“ทิ้งไว้แบบนั้น…ไม่สิ ย้ายออกเลยดีกว่า”
“คือพี่ว่า…”
“นะครับ”
“…”
[สวัสดีค่ะ]
“นี่กีล์นะครับป้า คือผมจะย้ายออกจากหอพรุ่งนี้นะครับ”
[อ้าว…แล้วกีล์จะไปอยู่ที่ไหนล่ะลูก]
“คือผมจะไปอยู่กับเพื่อน…เอ่อ…กับคนพิเศษครับ”
[ตายแล้ว…น้องกีล์ของป้ามีคนพิเศษแล้วเหรอเนี่ย]
“…ครับ”
[งั้นก็โชคดีนะ ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกป้าได้นะลูก]
“ขอบคุณมากครับป้า”
ผมถอนหายใจขณะมองโทรศัพท์ที่เพิ่งวางไป ไม่รู้เลยว่าชีวิตจากนี้จะเป็นแบบไหน ผมรู้สึกเหมือนแคร์เจ้าหมานี่มากขึ้นทุกวัน ขนาดคุยโทรศัพท์แล้วจะบอกว่าเป็นเพื่อนยังต้องแก้ใหม่เพราะกลัวอีกคนจะได้ยินแล้วเก็บไปคิดมาก ทั้งที่เจ้าตัวยังไม่ได้หันมามองเลยด้วยซ้ำ
โซโล่ไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอก แต่ตัวผมเองนี่ล่ะท่าทางจะเป็นเอามาก…
“กีตาร์น่ารัก”
นั่นไง…ว่าแล้วว่าต้องฟังอยู่
ผมทำทีเป็นไม่สนใจแล้วก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือต่อ ถึงจะมีเสียงกีตาร์แทรกมาก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ปกติผมก็เป็นคนอ่านหนังสือไปฟังเพลงไปอยู่แล้ว แถมโซโล่ยังเล่นเบามากจนแทบไม่ได้ยินเหมือนต้องการจะให้ผมมีสมาธิด้วย ผมเลยไม่คิดจะย้ายเข้าไปอ่านในห้องนอนหรือที่อื่น
ก็อยู่ใกล้ๆมันรู้สึกดีกว่านี่นะ…
ครืด ครืด
ผมมองโทรศัพท์เครื่องใหม่ของโซโล่ที่เจ้าตัวไปซื้อหลังกลับจากทะเลด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ ช่วงนี้เห็นโทรศัพท์เขาสั่นทีไรภาพอารมณ์แปรปรวนวันนั้นฉายเข้ามาในสมองทุกที
“โซครับ โทรศัพท์”ผมหันไปเรียกคนที่ยังนั่งดีดกีตาร์ไม่เลิก
“ใคร”โซโล่ถามโดยไม่หันกลับมามอง
“ไม่ได้เมมไว้ครับ”
“เก้ามั้ง…มันบอกจะโทรมา กีตาร์รับเลย”
“รับทราบครับคุณโซ”ผมหัวเราะแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับตามคำสั่ง
“สวัสดีครับ”
[…]
“สวัสดีครับ ได้ยินไหม”ผมย้ำ ไม่ได้ยินเสียงอะไรดังกลับมาแม้แต่นิดเดียว…หรือเพราะสัญญาณไม่ดี
[สวัสดีครับ]
ผมหันไปมองแผ่นหลังของคนที่นั่งเล่นกีตาร์ทันทีที่ได้ยินเสียงปลายสาย
ไม่ใช่เก้า…
“เอ่อ…ไม่ทราบใครโทรมาครับ ผมจะบอกโซโล่ให้”
[ไม่ต้องหรอกครับ…เดี๋ยวเขาจะขว้างโทรศัพท์ทิ้งอีก]
ผมชะงักแทบจะทันที ความรู้สึกแปลกๆเกิดขึ้นในใจ
ผมมั่นใจว่าเหตุการณ์นั้นมีแค่ผมกับโซโล่ที่รู้เรื่อง แล้วเขารู้ได้ยังไง…
หรือโซโล่จะบอก? แต่ถ้าโซโล่บอกจริงอีกคนจะกลัวโดนขว้างโทรศัพท์ทิ้งทำไม
“ถ้างั้น…”
[ไม่ทราบว่าคุณคือคุณเก้าหรือคุณเจไดครับ]
ผมเม้มปากแน่นเพื่อกลั้นอาการสั่นไหวจากภายใน ไม่รู้ทำไมเสียงเรียบนิ่งของอีกฝ่ายถึงทำให้ผมรู้สึกกังวลโดยไร้สาเหตุ
“ไม่ใช่ครับ…”
[คุณกีล์?]
เขา…รู้ได้ยังไง
“ครับ…”ผมกลั้นหายใจตอบเสียงแผ่ว รู้สึกใจสั่นแปลกๆ ความรู้สึกไม่ดีตีรวนอยู่ในอกทั้งที่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร
[แบบนี้นี่เอง…]
“…”
[รบกวนคุณช่วยบอกคุณชายทีนะครับ…]
“…ครับ”
[ถ้ายังเห็นแก่เพื่อนคนนี้บ้าง โปรดอย่าขัดคำสั่งคุณท่านอีก…]
“…”
[อะไรที่รู้ว่าไม่ควรก็หยุดตั้งแต่ตอนนี้]
“…”
[แล้วก็…]
“…”
[คุณท่านบอกว่าถ้ายังไม่ยอมติดต่อกลับไปเอง ท่านจะเดินทางไปหาคุณชายถึงที่]
“ผม…จะบอกให้ครับ”
[ขอบคุณครับ]
ผมมองโทรศัพท์ในมือนิ่งงันด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก ที่ชัดเจนที่สุดคงเป็นความกังวลแปลกๆที่อยู่ข้างในจิตใจ
คนในสายคือคนของพ่อโซโล่
ที่เขาพูดมา…มันเหมือนเขาจะบอกว่าคุณท่านคนนั้นเฝ้าดูโซโล่อยู่ตลอดเวลา
“กีตาร์…”
ผมมองมือที่สั่นเทาของตัวเอง ไม่เข้าใจว่ามันเกิดจากอะไร
กลัว?
“กีตาร์…”
ผมเงยหน้ามองเจ้าของมือที่จับมือผมไว้แน่น ใบหน้าที่มักนิ่งเฉยฉายแววเป็นห่วงเหมือนต้องการถามว่าเป็นอะไร
“ไม่สบายเหรอ”โซโล่วางมือข้างหนึ่งลงบนหน้าผากผมแล้วขมวดคิ้วกังวล ในขณะที่ผมทำได้เพียงมองหน้าเขาไม่ละสายตา
“โซ…”
“ครับ”
“ยิ้มให้พี่หน่อย”
โซโล่ทำหน้างงแต่ก็เผยรอยยิ้มบางเบาที่เต็มไปด้วยความจริงใจออกมา ผมมองมือตัวเองที่อีกคนดึงไปจูบเบาๆแล้วก็รู้สึกเหมือนหัวใจที่สั่นไหวได้รับการเยียวยา
ผมเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองไม่เคยรู้เรื่องของโซโล่เลยแม้แต่นิดเดียว…แต่ตอนนี้ผมกำลังก้าวเข้าไปในโลกของเขาทีละนิด
ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าเรื่องที่ทำให้โซโล่โมโหทุกครั้งที่รับโทรศัพท์คืออะไร
ถึงจะยังไม่รู้รายละเอียดนัก แต่มันต้องเป็นเรื่องพ่อของเขาแน่นอน และผมก็ไม่ได้โง่พอที่จะไม่รู้ว่าท่านคือสิ่งที่ทำให้โซโล่กังวลเกี่ยวกับเรื่องของเรา
ทันทีที่เห็นรอยยิ้มอ่อนโยนของเขาผมก็เข้าใจ…
ที่ใจสั่น มือสั่น หรือความรู้สึกกังวลเมื่อครู่ มันไม่ได้เกิดจากความกลัวที่จะต้องเผชิญกับอะไร
ไม่ได้เกิดจากความกลัวพ่อของเขาหรือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ไม่ได้เกิดจากความกลัวที่รู้ว่าคนๆนั้นเฝ้าดูและรู้เรื่องทุกอย่าง
แต่มันคือความกลัว…
กลัวว่าผมจะเสียเขาไป
-----------------------------------