ตอนที่ 3 แสงและเงา
แม้ล่วงเลยมาจนเข้าสู่ปีที่สามหากแต่ภาพของอีกฝ่ายกลับมิได้เลือนหายไปในกาลเวลา ตรงข้าม...เหตุการณ์ครั้งนั้นยังคงแจ่มชัดอยู่ในห้วงแห่งความทรงจำของกุมารแพทย์หนุ่ม เอกรงค์จ้องหน้าคนตัวสูงที่เพิ่งเดินผ่านกรอบประตูเข้ามาไม่วางตา แม้ผมยาวจะถูกตัดจนสั้น หนวดเคราถูกโกนจนเหี้ยน ร่างกายไม่ได้ผอมแห้งเหมือนเมื่อครั้งที่บังเอิญพบกันที่ต่างแดน
ว่าไปแล้วทุกสิ่งดูเปลี่ยนแปลงไปจนหมดสิ้น เหลือก็แต่ดวงตาคู่นั้นที่ยังคงไว้ซึ่งแรงดึงดูดไม่เสื่อมคลาย อันที่จริงเขาพอจะรู้เรื่องราวความเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายอยู่บ้างนับจากบอกลากันคราวนั้น ทั้งหมดคงต้องยกความดีความชอบให้แก่เพื่อนสนิทสมัยเรียนมัธยมซึ่งทำงานอยู่ในสถานทูตไทยประจำประเทศญี่ปุ่น แต่น่าเสียดายที่หลังจากสำเร็จการศึกษาแล้วเขาก็ไม่มีโอกาสได้รู้ข่าวคราวของนักเรียนทุนคนนี้อีกเลย
“ขอโทษครับที่ทำให้ตกใจ” แต่ดูเหมือนฝ่ายที่ตกใจจะเป็นคนพูดเสียมากกว่าทันทีที่เห็นหน้ากันชัด ๆ “พ...พอดีเห็นว่าคุณหายเข้ามานานแล้ว แล้วแกลเลอรีของเราก็กำลังจะปิด ผมเลยเข้ามาดู เผื่อว่าจะมีอะไรให้ช่วย”
“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ได้ขวัญอ่อนขนาดนั้น” เอกรงค์คลี่ยิ้ม หารู้ไม่ว่ารอยยิ้มของตนเองกำลังทำให้หัวใจคนมองปั่นป่วน “แต่ถ้าจะช่วยละก็ ช่วยปิดที่นี่ให้ช้าลงแล้วพาผมเดินชมภาพในนี้สักหน่อยจะได้ไหมครับ ไหน ๆ ก็ตั้งใจมาแล้ว ไม่อยากให้เสียเที่ยว”
“ค...ครับ ช...เชิญทางนี้” เจ้าของแกลเลอรีรับคำก่อนจะเดินนำคู่สนทนาออกมายังห้องโถงด้านนอก
แม้ตำแหน่งการเดินจะเหลื่อมกันอยู่ แต่นั่นก็ไม่ใช่อุปสรรคในการที่คุณหมอจะลอบสำรวจเสี้ยวหน้าของชายที่ความสูงพอ ๆ กันได้ ตาคมมองเลยไปยังเด็กหนุ่มในชุดนักเรียนมัธยมปลายที่กำลังยืนรออยู่ กำลังจะอ้าปากอีกฝ่ายก็ตะโกนลั่น
“พ่อ! ทำไมเข้าห้องน้ำนานจัง พี่เขาจะปิดบ้านแล้ว”
ถ้อยคำนั้นทำเอาคนเดินนำชะงัก ศุกลหยุดก่อนจะได้ยินประโยคสวนกลับแว่วมาจากด้านหลัง
“ใครพ่อนาย พี่เว้ย! เรียกให้มันถูก” ว่าแล้วก็สาวเท้ามาหยุดข้าง ๆ รีบแก้ตัวด้วยเกรงว่าอีกคนที่เพิ่งพบกันจะเข้าใจผิด “น...นี่ลูกชายเพื่อนผม”
“อะไรวะ ยอมให้เรียกพ่อมาได้ตั้งนานสองนาน วันนี้เกิดอยากจะเป็นพี่ขึ้นมาเสียอย่างนั้น” เด็กหนุ่มเกาหัวแกรก
“เออ วันนี้ขอเป็นพี่สักวันนะนอฟ แล้วก็...อ...เอ้อ พี่ขอเวลาสิบห้านาที นายจะไปรอที่รถก็ไปก่อนเลย”
“อ้าวพ่อ!” นภธรณ์ร้องเสียงหลง
“พี่!”
“เออ ๆ พี่ก็พี่” คนอ่อนวัยสุดในที่นั้นถอนใจเฮือก “ผมยังไม่ได้บอกพี่โมสักคำว่าอยากไปรอที่รถ”
“บอก!”
“บอกตอนไหน”
“ก็ตอนนี้ไง พี่บอกให้นายไปรอที่รถ” ว่าแล้วก็โยนกุญแจให้เป็นครั้งที่สอง
“โอเค กระจ่าง” นภธรณ์คว้ากุญแจรถยนต์ที่กำลังลอยคว้างอยู่กลางอากาศได้ก็เดินบ่นกระปอดกระแปดออกไป
ยังไม่ทันที่เด็กหนุ่มจะลับสายตา ศุกลก็เอ่ยขึ้นเนื่องจากกลัวว่าจะกินเวลาที่อีกฝ่ายได้กำหนดไว้เมื่อสักครู่ “เริ่มจากภาพนี้เลยก็แล้วกันนะครับ จะไม่ได้ไม่เสียเวลาของคุณ” กล่าวพลางผายมือไปยังภาพเขียนสีน้ำมันที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด
“ผมอยากดูภาพนั้นมากกว่า” กุมารแพทย์หนุ่มตอบแบบไม่มีหางเสียงก่อนจะเดินมุ่งไปยังผนังฝั่งตรงข้าม เขาหยุดยืนอยู่ตรงนั้นรอจนกระทั่งเสียงฝีเท้าเงียบลงจึงถามขึ้น “คุณวาดภาพนี้หรือเปล่า”
“ครับ”
“คอนเซ็ปต์คืออะไรเหรอ”
“คอนเซ็ปต์ของนิทรรศการครั้งนี้ก็คือความประทับใจเมื่อได้เจอเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตครับ” ศิลปินหนุ่มเลือกที่จะตอบเช่นนั้น ทั้งที่มีแต่เขาคนเดียวที่แม่นยำในคอนเซ็ปต์ของผลงานตนเองที่สุด
“ไม่เอาทั้งงานสิครับ ผมอยากรู้แค่ภาพนี้” เอกรงค์ยังไม่ละความพยายาม
“ก็ตามชื่อภาพนั่นละครับ”
คนฟังถอนใจเบา ๆ พลางก้มลงมองป้ายที่ติดอยู่ข้าง ๆ ซึ่งแสดงรายละเอียดของภาพ “อืม...รอยยิ้มวันแรกเจอ” ริมฝีปากสวยพึมพำเบา ๆ จากนั้นก็หันกลับมาสบตาเจ้าของภาพ “ที่จริงผมไม่ค่อยเข้าใจในศิลปะสักเท่าไรหรอก แล้วก็ไม่คิดว่าจะมีโอกาสเข้ามาในแกลเลอรีด้วย แต่ที่มาวันนี้เพราะมีคนบอกผมว่ารูปที่คุณวาดเหมือนผม ก็เลยมาดูให้แน่ว่าจริงหรือเปล่า”
เมื่อเห็นท่าทางอึกอักของอีกฝ่ายคุณหมอหนุ่มจึงค่อย ๆ สืบเท้าเข้ามาใกล้ “ช่วยถ่ายรูปให้ผมดูหน่อยได้ไหม”
“ค...ครับ ขอโทรศัพท์ด้วย”
เอกรงค์โคลงหัวน้อย ๆ “ผมลืมไว้ในรถน่ะ คงต้องรบกวนคุณแล้วละ”
“ครับ” เจ้าของแกลเลอรีรับคำแล้วจึงดึงโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋ากางเกง ตั้งท่าเตรียมพร้อมแล้วมองอีกฝ่ายผ่านหน้าจอในมือ
“บอกผมด้วยนะว่ามุมมันได้แล้วหรือยัง” ว่าพลางก้มหน้าลงเป็นมุมเดียวกับในภาพแล้วยิ้มน้อย ๆ
“แค่นั้นละครับพอแล้ว อยู่นิ่ง ๆ นะครับ” พูดจบศุกลก็แตะปลายนิ้วลงบนระนาบสัมผัสเพื่อบันทึกภาพ
“เหมือนไหม” อีกฝ่ายก้าวเข้าหาพร้อมกับยื่นหน้าดูภาพที่ถ่ายได้ มันใกล้เสียจนศุกลเองไม่กล้าหายใจเพราะกลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ นั่นช่างมีผลต่ออัตราการเต้นของหัวใจเหลือเกิน
“เหมือนสิ มันจะไม่เหมือนได้ยังไง ก็...”
“ก็เพราะคุณวาดรูปผม” ต้นแบบของรอยยิ้มในภาพชิงตอบก่อน “เจอกันแค่ครั้งเดียวแต่วาดเหมือนขนาดนี้มีนัยอะไรหรือเปล่า”
ศุกลยังคงวางหน้านิ่งทอดตามองเจ้าของแก้มบุ๋มที่ยืนอยู่ตรงหน้า ไม่คิดเลยว่าคำพูดของเขาในวันนั้นจะเป็นจริงในอีกสามปีให้หลัง ขณะสมองกำลังทบทวนเหตุการณ์แต่หนหลัง ดวงตาก็ยังไม่ละจากรอยยิ้มนั้น และมันก็ค่อย ๆ กว้างขึ้น
“ไม่แกล้งแล้ว” เอกรงค์หัวเราะในลำคอเบา ๆ “กลับดีกว่าครบสิบห้านาทีพอดี ไว้ค่อยมาใหม่ รู้แล้วว่าอยู่ที่นี่” ยังไม่ทันจบประโยคดีก็เดินผ่านร่างของคนที่กำลังอยู่ในอาการงุนงงไปยังประตู
จิตรกรหนุ่มเดินตามแขกผู้มาเยือนกระทั่งพ้นชายคาอาคารสองชั้น เห็นไฟท้ายรถคาดิลแลคที่จอดติดเครื่องอยู่ใกล้กับโรงรถ เกรงว่าเมื่อไปถึงตรงนั้นแล้วจะไม่มีโอกาสได้ถามอีกจึงเอ่ยขึ้น “เดี๋ยวครับ ที่บอกว่าเป็นหมอดูน่ะจริงหรือเปล่า”
“ทำนายแม่นขนาดนี้ยังไม่เชื่ออีกเหรอ” คนถูกถามยิ้มขัน ๆ มองอีกฝ่ายที่กำลังพยักหน้าไม่ประสา
“ก็แค่คิดว่ามันไม่น่าเชื่อ”
“ถ้าอย่างนั้นผมจะทำนายต่ออีกเรื่อง เผื่อคุณจะเชื่อ” ปากสวยยังคงยิ้มส่งผลให้ผิวเนื้อที่ข้างแก้มด้านขวาบุ๋มลึกลงจนแต่เมื่อรวมกับองค์ประกอบอื่น ๆ บนใบหน้าแล้วกลับเป็นสิ่งชวนมองยิ่งนัก “ผมทำนายว่าคุณจะได้พบผมอีกจนเบื่อหน้ากันไปเลย คอยดูแล้วกันว่าจะแม่นไหม” เพื่อไม่ให้เป็นการออกตัวแบบล้อฟรีกุมารแพทย์หนุ่มจึงกล่าวต่อ “ผมจะพาน้องชายมาเรียนศิลปะน่ะ อยากให้คุณช่วยแนะนำคอร์สที่น่าจะเหมาะกับคนวาดรูปไม่เอาไหนแบบมันหน่อย ปิดเทอมแล้วไม่อยากให้อยู่บ้านเปล่า ๆ เอาไว้ผมจะไปขออนุญาตพ่อมันแล้วกลับมาใหม่ก็แล้วกัน”
“ค...ครับ”
“อย่าลืมส่งรูปให้ผมด้วยนะ” พูดยังไม่ทันขาดคำก็แบมือรอ
“อะไรครับ” ศุกลมุ่นคิ้ว มองกิริยาท่าทางของอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ
“โทรศัพท์คุณไง ยังไม่มีเบอร์กันแล้วจะส่งรูปให้ผมได้ยังไง เอามาสิ” เอกรงค์กลั้นยิ้ม ดวงตาติดอยู่กับคนที่กำลังหยิบอุปกรณ์สื่อสารออกจากกระเป๋า ดูงงก ๆ เงิ่น ๆ จนเขาต้องรีบคว้าโทรศัพท์จากมือมากดหมายเลขพร้อมบันทึกชื่อของตนเองเสร็จสรรพก่อนจะกดโทรออก รอกระทั่งไอ้แสบที่นั่งรออยู่ในรถลดกระจกตะโกนขึ้นท่ามกลางไฟสลัว ‘พ่อโม มีคนโทรมาคร้าบบบ!!!’ ถึงจะขัดใจกับคำนำหน้าชื่ออยู่บ้าง แต่ก็พอใจกับภาพรวมที่เกิดขึ้นมากกว่า คุณหมอยกยิ้มน้อย ๆ พลางคืนโทรศัพท์ให้ในขณะที่ดวงตาสองคู่ยังสบกันนิ่ง แต่แล้วรอยยิ้มบนหน้าของเอกรงค์ก็จางหาย นัยน์ตาขี้เล่นถูกแทนที่ด้วยแววจริงจังก่อนจะกล่าว
“คราวนี้คงไม่ต้องพูดว่าลาก่อนแล้วนะ” สิ้นสุดถ้อยคำนั้นรอยยิ้มก็จุดขึ้นบนใบน้าอีกครั้ง “แล้วเจอกันครับ” พูดจบก็เปิดประตูเข้าไปนั่งในรถก่อนจะขับออกไป...
....
ฝนที่ตกอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปลายสัปดาห์ก่อนทำให้การจราจรในกรุงเทพฯ แทบเป็นอัมพาต ในตรอกซอกซอยมีแต่น้ำท่วมขัง Light & Shade เองก็ได้รับผลกระทบนั้น หลายวันมาแล้วศุกลตัดสินใจปิดบ้านเพื่อรอให้ทุกอย่างคืนสู่สภาวะปกติ กระทั่งเมื่อวันก่อนฝนกระหน่ำตกลงมาอีกครั้งอย่างกับจะสั่งลาเดือนสุดท้ายของช่วงปลายฝนต้นหนาว อดคิดถึงคำพ่อไม่ได้ว่า ‘นั่นคือฝนสั่งฟ้า และอีกไม่นานลมหนาวก็จะมา’
เห็นทีจะจริงเพราะในหน้าจอโทรศัพท์มือถือ ณ ตอนนั้นเต็มไปด้วยข่าวประกาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาที่เพื่อน ๆ ต่างส่งต่อให้กัน ในเนื้อข่าวแจ้งว่าประเทศไทยได้เข้าสู่ฤดูหนาวแล้วตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคม และนี่ก็เพิ่งขึ้นเดือนใหม่มาได้เพียงไม่กี่วัน ในที่สุด Light & Shade ก็เปิดทำการอีกครั้ง ศุกลโผล่หน้าเข้าไปในห้องเรียนศิลปะเด็กที่ภาดลรับอาสามาสอนให้ในช่วงวันหยุดซึ่งคลาดเคลื่อนไปจากกำหนดการเดิมเพราะสภาพอากาศที่แปรปรวน
ชายหนุ่มยิ้มน้อย ๆ เพราะเด็กโข่งที่กำลังนั่งเท้าคางทำหน้ายู่อยู่ที่หลังห้อง ไม่รู้ว่าผู้ปกครองนภธรณ์คิดอย่างไรกันจึงได้ส่งเด็กหนุ่มมาเรียนในสิ่งที่เจ้าตัวบอกว่าไม่ถนัด ซ้ำเจ้าตัวยังบอกอีกว่าหากไม่ยอมมาเรียนก็จะถูกตัดค่าขนม ตัวเขาในสถานะของผู้สอนก็ช่วยได้เพียงแค่จัดคอร์สที่เหมาะสมและไม่ยากจนเกินไปให้เท่านั้น
“เด็ก ๆ ลองมองไปรอบ ๆ ตัวซิครับว่าเราเห็นอะไรบ้าง” คุณครูดลที่ยืนอยู่หน้าห้องเริ่มนำเข้าสู่บทเรียน
“ต้นไม้ครับ” ธีร์ธรยืดตัวตะโกนสุดเสียง
“แล้วต้นไม้ของน้องธรเป็นสีอะไรครับ”
“สีเขียวครับ” เด็กชายตอบฉะฉาน
“หนูเห็นท้องฟ้าค่ะครูดล” อีกคนแทรกขึ้น
“ท้องฟ้าของแป้งหอมสีอะไรคะ บอกครูดลได้ไหม”
“ตอนเช้าเป็นสี...สีฟ้าค่ะ บางวันมีก้อนเมฆสีขาว ตอนเย็น ๆ ก็เปลี่ยนเป็นสีส้ม แล้วก็ดำจนมองไม่เห็นอะไรเลย”
“เก่งมากครับ” เจ้าของคำถามกล่าวอย่างพอใจ “เห็นไหมครับเด็ก ๆ ว่ารอบตัวของเราเต็มไปด้วยสี เมื่อกี้ที่ธรบอกว่าต้นไม้เป็นสีเขียว เราลองมาดูกันดีกว่าว่ามันเขียนจริงไหม” ว่าแล้วชายหนุ่มก็หยิบกิ่งโมกที่เสียบเอาไว้ในตะกร้าขึ้นมาชูให้เด็ก ๆ ดู
“ข้างบนสีเขียวอ่อนครับครู” เด็กชายที่สวมแว่นสายตาหนาเตอะเอ่ยขึ้น
“ข้างล่างเขียวเข้มค่ะ” อีกคนเสริม
“เก่งมาก เห็นไหมว่าแค่กิ่งไม้กิ่งเดียวยังประกอบไปด้วยใบไม้สีไม่เหมือนกันเลย แถมเมื่ออยู่ท่ามกลางแสงจ้า ๆ เราอาจจะเห็นเป็นสีหนึ่ง ในขณะที่ถ้าเมฆลอยมาบังดวงอาทิตย์เราก็อาจจะเห็นใบไม้เป็นอีกสี เพราะฉะนั้นถ้าเราจะวาดภาพให้สวยเราก็ต้องเรียนรู้เรื่องสีกันก่อน วันนี้ครูดลจะชวนเด็ก ๆ มาช่วยกันผสมสี ก่อนอื่นเราต้องรู้จักแม่สีก่อน เด็ก ๆ รู้ไหมว่าแม่สีมีสีอะไรบ้าง” ภาดลยืดคอมองคนนั่งข้างหลังสุด “น้องนอฟตอบได้ไหมครับ”
เจ้าของชื่อลอบถอนหายใจเบา ๆ ขยับปากตอบทั้งที่มือยังเท้าคาง เสียงที่ได้ยินจึงอู้อี้แต่ก็ยังจับใจความได้ “สีแดง เหลือง น้ำเงินครับ”
“เยี่ยมครับ ถ้าอย่างนั้นนอฟก็น่าจะตอบได้ว่าเมื่อเราเอาแม่สีแต่ละสีมาผสมกันจะได้สีอะไรบ้าง”
“สีแดงผสมกับสีเหลืองได้สีส้ม สีเหลืองผสมกับสีน้ำเงินได้สีเขียว สีน้ำเงินผสมกับสีแดงได้สีม่วงคร้าบบบ” ตอบอย่างเสียไม่ได้กระนั้นก็ยังได้ยินเสียงชื่นชมจากคนถามและเสียงอื้ออึงของพวกเด็ก ๆ ราวกับสิ่งที่พูดออกไปเมื่อครู่เป็นความรู้ใหม่ที่เพิ่งถูกค้นพบสุดยอดจิตรกรเอกของโลกก็ไม่ปาน
“พี่นอฟสุดยอด” เด็กชายหัวโจกประจำห้องยกนิ้วหัวแม่มือให้ก่อนจะย้ายข้าวของเดินมานั่งลงข้าง ๆ กัน
“ถามสักคำไหมว่าฉันอยากนั่งกับนายหรือเปล่า” นภธรณ์พูดพลางทอดถอนใจ อดนึกต่อว่าเอกรงค์ไม่ได้ ไม่รู้ไปหว่านล้อมท่าไหนปรเมษฐ์พ่อของเขาจึงอนุญาตให้มาเรียนศิลปะที่นี่ ทั้งที่ตั้งใจว่าปิดเทอมนอนเล่นเกมอยู่ที่บ้านให้สบายใจเสียหน่อยหลังจากต้องอดทนติวหนังสือมานาน
“พี่ติ๊นช่วยดูงานให้ผมหน่อยได้ไหมครับ” เสียงของธีร์ทัศน์ดังขึ้นจากด้านหลังส่งผลให้เจ้าของบ้านต้องละสายตาจากกลุ่มของเด็ก ๆ ในห้อง
“ได้สิ ถ้าอย่างนั้นไปนั่งที่ม้านั่งนั่นก็แล้วกัน” พูดจบก็เดินนำเด็กหนุ่มไปยังม้านั่งสีขาวใต้ต้นจำปีต้นใหญ่ที่พ่อปลูกเอาไว้
“นี่ครับ” ธีร์ทัศน์นั่งลงพร้อมกับส่งกระดานให้ครูสอนวาดเส้นของเขาดูภาพที่ร่างด้วยดินสอบนกระดาษปอนด์ซึ่งถูกหนีบด้วยตัวหนีบ
“ฝีมือดีนี่ การบ้านเหรอ”
“เปล่าครับ ผมกะว่าจะวาดประกวด แต่กติกาของเขาคือให้ใช้สีโมโนโครม ลองหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตแล้วแต่ผมก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร”
“อืม...ถ้าให้อธิบายตอนนี้ สีโมโนโครมหรือสีเอกรงค์ก็คือการใช้สีหลักหรือสีที่เด่นเพียงสีเดียวแต่มีหลายค่าน้ำหนัก”
“มันทำยังไงเหรอครับพี่ติ๊น”
“การใช้สีเอกรงค์*...สมมติถ้าเราเอาสีน้ำเงินเป็นสีหลัก เอาง่าย ๆ ก็ลองผสมขาวลงไปนี่แหละ “จำได้ไหมที่พี่เคยสอนว่า ขาวกับดำไม่ใช่สี มันคือแสงและเงา” รอจนอีกฝ่ายพยักหน้าจึงอธิบายต่อ "ดังนั้นผสมสีน้ำเงินกับขาวจะได้ค่าน้ำหนักของสีที่อ่อนลงหรือสว่างขึ้นเรียกว่า ‘Tint’ แต่ถ้าผสมด้วยดำ ค่าน้ำหนักสีจะเข้มขึ้น เรียกว่า ‘Shade’ เล่าให้ฟังแบบนี้พอเห็นภาพไหม”
“เข้าใจขึ้นตั้งเยอะเลยครับพี่ติ๊น” ธีร์ทัศน์ยิ้มกว้าง “อืม...ชื่อของพี่ติ๊นต้องมาจาก ‘Tint’ แน่ ๆ”
“ไม่รู้สิ ต้องไปถามพ่อดู เอาไว้ได้เจอกับพ่อเมื่อไรแล้วพี่จะกลับมาบอกนะ”
“ม...ไม่ต้องกลับก็ได้ครับ ถึงตอนนั้นพี่ก็อยู่กับพ่อเถอะ” คนอายุน้อยกว่าหัวเราะแหะ ๆ
“ล้อเล่นน่า เอาเป็นว่าเดี๋ยวพี่หาหนังสือที่มีภาพประกอบมาให้อ่านก็แล้วกันนะ”
“ขอบคุณครับพี่ติ๊น เสร็จเมื่อไรจะเอามาให้พี่ติ๊นดูเป็นคนแรกเลย ถึงตอนนั้นจะถามว่าฝีมือแบบนี้พอจะไปเป็นรุ่นน้องพี่ติ๊นที่ KUAD** ได้หรือเปล่า”
“ก็ต้องฝึกให้มาก ๆ สิ แต่ว่าถ้าได้ไปจริง ๆ ล่ะก็พี่จะบินไปส่งถึงหัวกระไดมหาวิทยาลัยเลยดีไหม”
“พี่สัญญาแล้วนะ” เด็กหนุ่มยื่นมือให้จับ
“สัญญา” พูดจบศุกลก็ประกบมือลงไปก่อนจะเขย่าเบา ๆ ย้ำคำสัญญาลูกผู้ชาย
เสียงกระแอมเบา ๆ เป็นผลให้มือที่กุมกันแน่นต้องคลายออก เมื่อสองคนหันกลับไปมองตามทิศทางของเสียงก็พบร่างสูงของใครคนหนึ่งกำลังเดินมาหยุดอยู่ใกล้ ๆ
“สวัสดีครับหมอโม” เป็นธีร์ทัศน์ที่เอ่ยขึ้นและไม่ลืมที่จะยกมือไหว้
“สวัสดีครับทัศน์”
“มารับนอฟเหรอครับ” ว่าพลางก้มมองนาฬิกาข้อมือ “เดี๋ยวก็คงเลิกแล้วละครับ ผมก็มารอรับน้องกลับเหมือนกัน”
กุมารแพทย์หนุ่มไม่ได้ว่าอย่างไร อันที่จริงเขาจะปล่อยให้นภธรณ์กลับเองก็ได้ เพราะรายนั้นชอบความอิสระอยู่แล้ว หากแต่อีกฝ่ายเป็นเหตุผลให้เขาสามารถมาที่นี่ได้บ่อย ๆ มารับหน่อยจะเป็นไรไป
“ถ้าอย่างนั้นหมอโมนั่งรอตรงนี้ก็ได้ครับ เดี๋ยวผมจะเข้าไปข้างในแล้ว” พูดจบหนุ่มม.ปลายก็ลุกขึ้นก่อนจะหันไปกล่าวกับอีกคน “ผมไปข้างในก่อนนะครับพี่ติ๊น”
ศุกลเพียงพยักหน้าน้อย ๆ แล้วเงยขึ้นมองคนที่พักนี้ได้เจอกันบ่อยจริงตามที่เขาได้ทำนายเอาไว้ ที่จะไม่แม่นอยู่อย่างเดียวเห็นจะเป็นเรื่องที่ว่า ‘เห็นหน้าจนเบื่อ’ เพราะนี่ก็เกือบเดือนแล้วความรู้สึกนั้นกลับยังไม่ผุดขึ้นในใจเลยสักนิด
“ขอนั่งด้วยคนนะครับพี่ติ๊น” ไม่ต้องรอให้เชิญเอกรงค์ก็นั่งลง
“แน่ใจเหรอว่าคุณต้องเรียกผมแบบนี้”
“ก็เรียกแทนเด็ก ๆ ไง ทำไมต้องทำซีเรียสด้วย แค่เรียกพี่ติ๊นเอง” กุมารแพทย์หนุ่มกล่าวอย่างสบายอารมณ์
“ถ้าอย่างนั้นผมเรียกคุณพ่อน้องนอฟก็คงไม่เป็นไรใช่ไหม”
“บอกไงแล้วว่าเจ้านอฟไม่ใช่ลูกผม” คนพูดมุ่นคิ้วน้อย ๆ เมื่อถูกขัดใจ
“รู้แล้ว บอกหลายรอบแล้ว” เจ้าของบ้านกล่าวก่อนจะทอดตามองถัดขึ้นไปจากเรือนกระจกซึ่งเขาใช้เป็นสตูดิโอสำหรับเขียนภาพ ซึ่งปกติไม่ได้อนุญาตให้ใครขึ้นไปง่าย ๆ เนื่องจากต้องการจำกัดไว้เป็นพื้นที่ส่วนตัวอีกทั้งยังเป็นห้องที่เก็บอุปกรณ์ต่าง ๆ ของพ่ออีกด้วย หน้าต่างบานกระทุ้งถูกเปิดเอาไว้จึงได้ยินบทเพลงพระราชนิพนธ์ลมหนาวจากเครื่องเล่นซีดีแว่วอยู่ไกล ๆ อากาศเริ่มเย็นลงแบบนี้ทีไรก็ห้ามใจไม่ให้คิดถึงเสียงฮัมเพลงของพ่อไม่ได้เลย
“รู้แล้วก็ไม่ควรเรียกแบบนี้ ฟังดูห่างเหินยังไงไม่รู้”
ศุกลเหลียวมองด้วยหางตาก่อนจะถาม “แล้วจะให้เรียกว่าอะไร”
“ไม่บอก คุณคิดเอาเองสิ” เจ้าของแก้มบุ๋มยิ้มพลางต่อเองในใจ ‘แต่ถ้าจะเรียกที่รักก็ไม่ว่าอะไร’
“คุณนี่ทำตัวเป็นเด็ก”
“ส่วนคุณ...” เอกรงค์ทำท่าครุ่นคิด “ก็ทำตัวแก่เกินวัย พวกศิลปินเขาเป็นแบบนี้กันทุกคนไหมนะ นิ่ง ๆ ขรึม ๆ คาดเดายากจัง ผมนึกว่าจะบ้า ๆ บอ ๆ พูดไม่รู้เรื่องเสียอีก”
ศุกลดึงสายตากลับมายังคนข้าง ๆ “ผมก็นึกว่าเป็นหมอจะต้องภูมิฐานน่าเชื่อถือ พูดจามีหลักการกว่านี้”
“เป็นเด็ก แต่เถียงคำไม่ตกฟาก”
“ถ้ารู้ตัวว่าอายุมากกว่าก็เลิกเรียกผมว่าพี่ติ๊นได้แล้ว”
“เอาไว้ตอนที่คุณรู้ว่าควรจะเรียกผมว่าอะไร ผมจะเลิกเรียกก็แล้วกัน แต่ผมรู้ว่ากว่าจะถึงวันนั้นก็คงอีกนาน” ตั้งใจลากเสียงเพื่อเน้นความหมายของคำสุดท้าย
“รู้ไปหมดทุกอย่าง” ศุกลบ่นงึมงำ
“ผมไม่ได้รู้ไปหมดทุกอย่าง แต่ผมพยายามจะรู้ให้ได้ทุกอย่างเกี่ยวกับคนที่ผมชอบต่างหาก แล้วคุณล่ะ รู้อะไรเกี่ยวกับคนที่คุณชอบบ้างหรือเปล่า เอาแค่เรื่องง่าย ๆ ก่อนก็ได้ อย่างเช่นรู้หรือยังว่าตัวเองชอบใคร”
เหมือนโดนซัดด้วยหมัดตรงเข้ากลางหน้า ในหัวมึนงงไปหมดจนไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ในขณะที่เอกรงค์เองมองคนหน้านิ่งแล้วทำผิวปากไม่ใส่ใจ ต่างคนต่างไม่รู้เลยว่าการสนทนาของพวกเขากำลังอยู่ในสายตาอีกสองคู่
“คิดไว้ไม่มีผิดว่าพ่อโมต้องมีแผนการ ยังแปลกใจไม่หายว่าทำถึงได้อยากให้เรามาเรียนที่นี่นัก ฮึ่ย!”
“เราก็คิด คิดว่าผมเราต้องหลุดเป็นกำแน่ นายช่วยเอามือออกจากหัวของเราก่อนได้ไหม แสบไปหมดแล้ว” ธีร์ทัศน์เอ่ยขึ้นกับคนที่กำลังเอามือจิกผมของเขาอยู่
“อุ้ย! โทษ ๆ ลืมตัว” นภธรณ์กล่าวพร้อมกับรีบปล่อยมือจากเส้นผมของอีกฝ่ายทันที
“เราว่าหมอโมต้องชอบพี่ติ๊นแน่ ๆ หรือนายว่ายังไง”
“แน่เสียยิ่งกว่าแน่ ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นจะมองใครด้วยสายตาแบบนั้น คุยกับใครไม่เกินสิบประโยคมั้ง ถึงจะเป็นคนไข้ก็เถอะ...”
“พี่ทัศน์ พี่นอฟ ดูอะไรกันอยู่ครับ” ธีร์ธรร้องขึ้นเมื่อเห็นพี่ชายทั้งสองคนกำลังเกาะหุ่นปูนปลาสเตอร์รูปดาวิด*** ที่มีเพียงส่วนหัวลงมาถึงลำคอซึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะที่ริมหน้าต่าง ท่าทางลับล่อชวนให้สงสัยนัก เด็กชายไม่รอช้าทำท่าจะปีนขึ้นไปยืนบนโต๊ะจนพี่ชายต้องรีบคว้าตัวไว้
“อ๋อ แอบดูหมอโมกับพี่ติ๊นคุยกันนี่เอง”
นภธรณ์ส่งเสียงชู่ “เงียบน่า ไม่ใช่เรื่องของเด็ก” จากนั้นก็พยักหน้าเป็นสัญญาณให้ธีร์ทัศน์นั่งลง
ทั้งหมดลงมานั่งสุมหัวอยู่กับพื้นห้องเรียนวาดเส้นที่ขณะนี้เหลือเพียงพวกเขาสามคน
“แล้วนายจะเอายังไงต่อ จะเชียร์หรือจะขัดขวาง แต่ถ้าเป็นเราเราเชียร์ เพราะมันจะเป็นการดีต่อตัวหมอโม” ธีร์ทัศน์ออกความเห็น
“ทำไมนายถึงคิดว่ามันจะดีต่อพ่อโมล่ะ” นภธรณ์ถาม
“หมอน่ะคงอายุไม่ใช่น้อย ๆ แล้วน่ะสิ”
“อืม...ก็ถ้าเป็นเพื่อนพ่อตั้งแต่สมัยเรียน...” คนพูดกลอกตาขึ้นพลางใช้ความคิด “เออ มันก็จริง”
“เชียร์สิพี่ ต้องเชียร์” ธีร์ธรกล่าวพลางตีมือแปะ ๆ
“รู้เหรอว่าเขาพูดเรื่องอะไรกัน” นภธรณ์เอ่ยขึ้น
“รู้ ก็เชียร์ให้หมอโมจีบพี่ติ๊นไง ธรพูดถูกใช่ไหมล่ะ”
“นายให้น้องกินอะไรวะถึงได้แสนรู้แบบนี้” คนที่ดูเจ้าแผนการที่สุดในกลุ่มทอดถอนใจ
“กินเหมือนที่พ่อนายให้กินนั่นแหละ” ธีร์ทัศน์สวนกลับ
“อ๋อ! กระดูก” เด็กชายตัวจ้อยเอ่ยขึ้นก่อนจะหันไปตีมือกับพี่ชายเพื่อแสดงให้รู้ถึงความเป็นพวกเดียวกัน
“ไม่ใช่เว้ย!” นภธรณ์ส่ายหัวหน่าย ๆ ไม่รู้ว่าคิดถูกหรือคิดผิดที่มาร่วมหัวจมท้ายกับสองพี่น้องนี่...
พอย่างเข้าหน้าหนาวฟ้าก็มืดเร็วกว่าปกติ ทั้งที่เลยหกโมงเย็นมาไม่ถึงยี่สิบนาทีแต่บรรยากาศรอบ ๆ กลับดูราวกับนั่นคือเวลาเลิกงานของดวงอาทิตย์ ทั่วบริเวณเงียบเชียบอาจด้วยเพราะเป็นวันศุกร์สิ้นเดือน บรรดาผู้ใหญ่ที่เคยมานั่งเขียนรูปแทบจะไม่มีให้เห็น เวลานี้หลายคนคงนั่งดื่มกินสังสรรค์ฉลองเงินเดือนออกกันอยู่ที่ร้านบรรยากาศน่านั่งที่ไหนสักแห่งในกรุงเทพฯ ศุกลเดินมาส่งเด็ก ๆ ที่รถคาดิลแลคสีดำ ไม่ลืมกล่าวขอบคุณเจ้าของรถที่รับอาสาไปส่งพี่น้อง ‘สองที’ ให้ เจ้าของบ้านมองตามรถหรูที่ค่อย ๆ เคลื่อนพ้นแนวกำแพงปูนเปลือย ในใจครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรจึงจะรู้เกี่ยวกับชายหนุ่มเจ้าของรถมากกว่านี้โดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว
“ทำไงดีวะ”
...ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ...
สวัสดีค่ะ
เรื่องนี้สนุกตรงที่เวลาคนหนึ่งเขียนตอนของตัวเองเสร็จจะรีบส่งให้อีกคนเพราะอยากรู้ว่าเขาจะเขียนอะไรต่อ
ส่วนอีกคนก็รีบเขียน เพราะอยากรู้ตอนต่อไป แก้ปัญหาเฉพาะหน้าเป็นตอน ๆ ไป จนได้ออกมาเป็นแบบนี้
ทำลายทุกกฎ 100 หน้ากว่าจะเจอกัน นิยายมีล้านตอนหรือไง ปาไปครึ่งเล่มแล้วยังไม่เจอกัน
เรื่องนี้เจอกันแล้วนะคะ หวังว่าคนอ่านจะยิ้มไปกับพวกเราค่ะ
สำหรับตอนที่ 4 คงต้องฝาก leGGy ให้ช่วยดูแลค่ะ
หมายเหตุ * ตัวอย่างการใช้สีเอกรงค์ http://www.1freewallpapers.com/magic-blue-iceberg/ja
** KUAD คือ KYOTO UNIVERSITY OF ART & DESIGN
*** ประติมากรรม ดาวิด (David) สร้างโดยมิเกลันเจโล (Michelangelo) ดาวิด เป็นกษัตริย์องค์ที่ 2 ของอิสราเอล
ดาวิด (อ่านตามพระคัมภีร์ภาษาไทย) แปลว่า ที่รัก ค่ะ ดูรูปและเรื่องราวได้ที่ https://mrvop.wordpress.com/2010/08/16/david/ นะคะ