-Rewrite- When we found love พบรัก ▪×พบรักพิเศษ×▪ P.9 5/06/61
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: -Rewrite- When we found love พบรัก ▪×พบรักพิเศษ×▪ P.9 5/06/61  (อ่าน 107636 ครั้ง)

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับ

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น 

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้   

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว  ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


**********************************************


สวัสดีค่ะ

วันนนี้มาเปิดนิยายเรื่องใหม่

เรื่องนี้เป็นแนวรักโรแมนติกที่อยากลองแต่งดูสักครั้ง

หวังว่านักอ่านจะชอบกันนะคะ^^


*ผลงานที่ผ่านมา*

   ✉ CorrespondencE สื่อรักทางจดหมาย!✉

    ◣♥◥ Precinct ►◄ อาณาเขตรักของหัวใจ ◣♥◥

   ✥ Jurassic Heart ✥ดวงใจ กลายพันธุ์รัก


   ✣Jurassic Confidant✣ คู่หู กลายพันธุ์รัก


   ❣Secret heart❣ หัวใจ แอบรัก



สามารถติดตามความเคลื่อนไหวของนิยายได้ในเพจนะคะ>>nicedog<<

ขอบคุณทุกนที่ติดตามค่ะ

*นิยายเรื่องนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้แต่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบุคคล สถาบันหรือสถานที่ใดทั้งสิ้น*


สารบัญ

◇เกริ่นนำ◆◣◢พบรัก ▪×วันที่1×▪
พบรัก ▪×วันที่2×▪◣◢พบรัก ▪×วันที่3×▪
พบรัก ▪×วันที่4×▪◣◢พบรัก ▪×วันที่5×▪
พบรัก ▪×วันที่6×▪◣◢พบรัก ▪×วันที่7×▪
พบรัก ▪×วันที่8×▪◣◢พบรัก ▪×วันที่9×▪
พบรัก ▪×วันที่10×▪◣◢พบรัก ▪×วันที่11×▪
พบรัก ▪×วันที่12×▪◣◢พบรัก ▪×วันที่13×▪
พบรัก ▪×วันสุดท้าย×▪◣◢พบรัก ▪×ส่งท้าย×▪
พบรักพิเศษ ▪×พิเศษส่งท้าย×▪



nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-06-2018 17:40:23 โดย nicedog »

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0

◇เกริ่นนำ◆



ครอบครัวเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นใครต่างก็มีครอบครัวเป็นของตัวเองทั้งนั้น แม้อาจมีหลายคนที่ต้องพลัดพราก แยกจาก หรือสูญเสียครอบครัวไป ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็มีแต่ต้องเดินหน้าเพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้...


ไม่มีใครที่จะอยู่คนเดียวไปทั้งชีวิต


แต่ก็ไม่มีใครที่จะอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิตด้วย


ครอบครัวเองเช่นกัน


แม้วันนี้อาจอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาแต่ไม่แน่ว่าในวันพรุ่งนี้อาจต้องเสียใครสักคนไปด้วยเหตุการณ์บางอย่างที่ไม่เคยคาดคิดว่าจะเกิดได้ เหมือนอย่างผมที่เพิ่งจะผ่านงานศพของครอบครัวไปเมื่อวันก่อน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันรวดเร็วมากจนไม่อาจทำความเข้าใจได้ในทันที…


ตัวผม กิตติพิชญ์ ศิริวัฒนิวงศ์ หรือใบไผ่เติบโตมาในครอบครัวที่มีฐานะค่อนข้างดีเรียกว่ารวยก็ไม่ผิดนัก เพราะแบบนั้นจึงได้ไปศึกษาที่ต่างประเทศตั้งแต่เด็กจนจบมหาวิทยาลัยที่มีชื่อของอังกฤษก่อนจะกลับมาสืบทอดกิจการของที่บ้าน แต่ถึงจะกลับมาที่ประเทศไทยผมก็ไม่ได้กลับไปอยู่กับครอบครัวที่บ้านเพราะซื้อคอนโดหรูติดกับที่ทำงานแทน และการที่ทางบ้านไม่คัดค้านอะไรก็อาจด้วยความที่มีเชื้อของคนอังกฤษอยู่ครึ่งหนึ่งจึงไม่แปลกที่ทางครอบครัวจะมีวิธีการเลี้ยงดูแบบปล่อยให้ใช้ชีวิตเอง


ทุกๆ วันที่ผ่านมานั้นผมใช้ชีวิตผ่านไปเหมือนปกติ จนกระทั่งคืนหนึ่งมีโทรศัพท์จากคุณตำรวจที่คาดว่าน่าจะเป็นคนในพื้นที่นั้นโทรมาแจ้งว่าพ่อและแม่ของผมได้เสียชีวิตแล้วเนื่องจากอุบัติเหตุเรือล่มขณะที่กำลังออกไปเที่ยวพักผ่อนที่เกาะทางตอนใต้แห่งหนึ่ง ตอนที่ผมได้ยินอย่างนั้น มันเหมือนกับโลกหยุดหมุนไปในทันที ทั้งที่อยากจะร้องไห้แต่กลับไม่มีน้ำตา เหมือนคนที่กำลังช็อคกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสุดๆ


แต่พอสติเริ่มกลับมา น้ำตากลับไหลมากกว่าที่คิดไว้เสียอีก


ครอบครัวของผมมีกันแค่สามคน เพราะแบบนั้นเลยได้รับความรักจากคนทั้งคู่มาเต็มๆ โดยไม่ต้องแบ่งให้เหล่าพี่น้องเหมือนครอบครัวอื่น ก็จริงที่ได้รับความรักมามากมายแต่พอตอนไม่เหลือใครก็อดคิดไม่ได้ว่าอยากมีพี่น้องสักคนสองคนอยู่เคียงข้าง
ทรัพย์สมบัติทั้งหมดของพ่อและแม่ถูกยกมาให้ผมที่เป็นลูกชายเพียงคนเดียวตามคาด แต่นอกจากจะได้ทรัพย์สมบัติที่ใช้ทั้งชีวิตก็ไม่มีทางหมดแล้ว ยังมีจดหมายฉบับหนึ่งถูกส่งตามมาด้วย


ตราแสตมป์บนจนหมายระบุว่ามันถูกส่งก่อนวันที่จะเกิดอุบัติเหตุ อันที่จริงผมรับมันมาหลายวันแล้ว แต่เพราะยุ่งกับอะไรหลายๆ อย่างเลยไม่มีเวลาได้เปิดอ่าน อีกทั้งชื่อผู้ส่งบนหลังซองทำให้ความรู้สึกเศร้าและเสียใจวนกลับมา วันนี้เป็นวันที่ผมเริ่มเข้มแข็งขึ้นและพร้อมที่จะก้าวต่อไป จึงเป็นวันที่สมควรแก่การอ่านมันสักที…




ถึงใบไผ่

คงแปลกใจล่ะสิที่ได้รับจดหมายในยุคดิจิทัลแบบนี้ ความจริงจะส่งให้ลูกทางเมลก็ได้แต่คิดว่าแบบนี้มันน่าสนุกกว่าเป็นไหนๆ พ่อกับแม่คงเที่ยวต่ออีกหลายวัน ถ้าลูกยังไม่ลืมทางกลับบ้านแม่ไปเสียก่อน ก็ช่วยกลับไปดูแลให้หน่อยนะจ๊ะ

ฝากด้วยนะลูกรัก
ป.ล. รักลูกใบไผ่นะ


ข้อความที่ได้อ่านในจดหมายเพียงสี่ถึงห้าบรรทัดทำให้ความรู้สึกเศร้าเสียใจเข้ามาโจมตีอีกครั้งจนต้องเงยหน้าขึ้นเพื่อไม่ให้น้ำตาหยดลงบนกระดาษที่มีลายมือสุดท้ายที่แม่เขียนไว้ แม้จะทำใจได้ยากกับการสูญเสีย แต่ผมก็ต้องสู้และมีชีวิตต่อไปเพื่อทดแทนในส่วนของพ่อแม่ด้วย




วันรุ่งขึ้นผมเดินทางไปยังบ้านเดี่ยวขนาดกลางที่พ่อและแม่อาศัยอยู่ในปัจจุบัน สำหรับตระกูลดังอย่างบ้านผม การมีบ้านหลายหลังถือเป็นเรื่องปกติเพราะพ่อกับแม่เป็นคนที่ชอบเปลี่ยนบรรยากาศอยู่เรื่อยๆ แค่ในประเทศก็มีบ้านอยู่ประมาณ 6 หลังได้


ถึงจะเป็นบอกว่ามีเยอะแต่ก็เป็นบ้านจริงๆ บ้านที่ไม่ใช่คฤหาสน์ขนาดกว้างใหญ่ หรือมีพื้นที่มากมายเหมือนอย่างในละคร ส่วนมากบ้านทุกหลังที่กระจายอยู่ตามจังหวัดต่างๆ ก็มีขนาดเหมือนบ้านคนปกติทั่วไป สองชั้นบ้าง ชั้นเดียวบ้าง บางทีก็มีเป็นบ้านแฝด หากหลังไหนเริ่มโทรม ไม่ได้ไปบ่อย หรือพ่อแม่เริ่มเบื่อก็จะปล่อยให้คนเช่าหรือไม่ก็ขายต่อในราคาราคาสมเหตุสมผล


หลังจากที่ใช้เวลาเดินทางประมาณหนึ่งชั่วโมง รถยนต์คันสีบรอนซ์ทองก็มาหยุดอยู่หน้ารั้วเหล็กที่สูงกว่าสองเมตร เพียงแค่เห็นรั้วบ้านขนาดใหญ่ ดวงตาเรียวสีน้ำตาลอ่อนจนเกือบทองของผมก็หรี่ลงพร้อมกับความรู้สึกแปลกๆ ที่แล่นเข้ามาในหัว คล้ายสัญชาตญาณกำลังร้องเตือนถึงอันตรายบางอย่าง ปกติพ่อกับแม่จะชอบบ้านที่มีรั้วค่อนข้างเตี้ยเพราะสามารถมองเห็นภายนอกได้ชัด แต่บ้านหลังนี้กลับแปลกกว่าบ้านหลังอื่นที่เคยไป ก่อนหน้านี้ผมเคยไปหาพ่อกับแม่ที่บ้านหลังอื่นอยู่บ้าง แต่สำหรับหลังนี้ ถึงพ่อกับแม่จะซื้อมาได้สามปีแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้มาเยือน


ผมหยิบกุญแจที่อยู่ในกระเป๋าออกมาไขประตูเหล็กสีเงินก่อนจะค่อยๆ ก้าวเข้าไปเหยียบพื้นหินด้านหน้าโดยที่ดวงตาก็หันไปมองดูสนามหญ้าขนาดใหญ่ที่ขนาบทั้งสองข้างของทางเดิน...


ฟุบ!


เสียงอะไรบางอย่างที่ได้ยินจากที่ไกลๆ ทำเอาผมรีบหันขวับไปมองอย่างหวาดระแวง แต่สิ่งที่พบก็มีแค่พุ่มไม้ที่ขยับไปมาเนื่องจากแรงลมที่พัดมา ...จะว่าไปวันนี้ก็ลมแรงอยู่ไม่น้อย


“หูฝาดสินะ” ผมบอกกับตัวเอง


ทั้งที่ปากบอกว่าไม่กลัว แต่ขาทั้งสองข้างกลับก้าวไปยังประตูบ้านที่อยู่ถัดไปไม่ไกลอย่างรวดเร็ว จนเมื่อถึงระยะที่สามารถเอื้อมมือไปจับลูกบิดประตูได้ จังหวะนั้นเองร่างอันปราดเปรียวของสิ่งมีชีวิตสี่ขาก็โผล่ออกมาจากพุ่มไม้ด้านข้าง


เจ้าตัวที่มีรูปร่างที่คล้ายหมาป่าแต่ว่าขนมีสามสี ทั้งขาว ดำ และน้ำตาล ค่อยย่างกรายออกมาให้เห็นอย่างเชื่องช้า ดวงตาสีน้ำตาลของมันจับจ้องมาราวกับกำลังวิเคราะห์ว่าคนที่ยืนอยู่นี่คือใครกัน


ถ้าเป็นคนอื่นอาจยิ้มรับและรอให้มันเดินเข้ามาทักทาย แต่ไม่ใช่กับผมที่กลัวสุนัขทุกชนิดเข้าขั้นรุนแรง ผมได้แต่ยืนตัวแข็ง ดวงตาทั้งสองข้างและปากเบิกกว้างอย่างคนทำอะไรไม่ถูก ใบหน้าตอนนี้เริ่มมีเหงื่อไหลลงมาด้วยความหวาดกลัว


“ยะ...” เสียงที่ส่งออกไปเพียงเล็กน้อยทำให้สุนัขตรงหน้าหยุดขาที่กำลังก้าวเข้ามา หัวของมันเอียงเล็กน้อยเหมือนกำลังสงสัยในสิ่งที่พูดค้างไว้


แต่นั่นก็เพียงแป๊บเดียวเท่านั้น


บรู๊ววว~


“อย่าเข้ามานะ!”


เจ้าของบ้านคนใหม่อย่างผมร้องเสียงหลงอย่างหมดภาพลักษณ์เมื่อถูกสุนัขตัวใหญ่ตรงหน้าหอนพร้อมกับวิ่งเข้าใส่


ตอนนี้ในหัวคิดอะไรไม่ออกแล้ว ที่รู้คือต้องหนีให้เร็วที่สุดเท่านั้น...


“อย่าตามมาสิ!” คนถูกไล่ตะโกนระหว่างวิ่งหนีสุดกำลัง


แกร็ก!


ตึง!


ทันทีที่ถึงรั้ว ประตูเหล็กก็ถูกปิดอย่างรุนแรงพร้อมกับแรงกระแทกของสุนัขที่กระโจนใส่จากทางด้านใน


โชคยังดีที่ประตูเป็นแบบออโต้ล็อกทำให้ไม่สามารถเปิดได้ด้วยแรงกระแทก ผมทรุดตัวลงอย่างไม่อายผู้คนที่เดินผ่านทาง ขาทั้งสองข้างที่เพิ่งวิ่งเต็มสปีดยังคงสั่นไม่หยุด ถ้าคนอื่นมาเห็นคงจะคิดว่าผมกำลังหนีสัตว์ป่าที่หลุดออกมาจากสวนสัตว์เป็นแน่


ความจริงสุนัขตรงหน้านี่ก็สัตว์ป่าชัดๆ


ไม่ว่าดูยังไงก็หมาป่าเห็นๆ


ถ้าหนีไม่ทันคงได้กลายเป็นอาหารว่างแน่


ว่าแต่ทำไมพ่อแม่ถึงเลี้ยงสุนัขโดยไม่บอกกันก่อนเล่า!


ทั้งๆ ที่พ่อกับแม่ก็รู้อยู่ว่าอาการกลัวสุนัขของผมนั้นเรียกว่าเข้าขั้นวิกฤต ไม่ว่าจะเป็นสุนัขพันธุ์เล็กอย่างชิวาว่า ชิสุ ปอม หรืออะไรก็ตามแต่ ถ้าเข้าพวกนั้นวิ่งเข้ามาใกล้ก็ขอวิ่งก่อนล่ะ


ตัวผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงได้กลัวสุนัขนักหนา ทั้งที่ไม่ได้มีความทรงจำแย่ๆ อย่างถูกกัดหรือถูกขย้ำ


ช่วงที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ เสียงบางอย่างก็เรียกผมให้เงยหน้าขึ้นไปมองยังอีกฝั่งของรั้วด้วยหัวใจที่เต้นแรง และก็เป็นอย่างตามคาดเมื่อเจอสุนัขตัวเดิมนั่งจ้องอยู่หน้ารั้วโดยที่ปากเรียวของมันกำลังหอบอยู่เล็กน้อย


“...ไม่ต้องมามองหน้า” ผมพูดเสียงแข็งทั้งที่เริ่มขยับตัวไปด้านหลังอีกหน่อย


ห้ามแสดงออกว่ากลัวเด็ดขาด เพราะถ้าเป็นแบบนั้นสุนัขจะรับรู้ได้


ทฤษฎีทุกอย่างผมรู้หมด เพียงแต่ร่างกายมันไม่ยอมทำตาม


บรู๊ววว~


“เฮ้ย!” ผมที่ทรุดตัวนั่งอยู่บนพื้นถึงกลับหงายหลังเมื่อสุนัขตัวใหญ่ตรงหน้าหอนพร้อมกับกระโจนใส่รั้วเหล็กจนเกิดเสียงดังลั่น
ไม่เอาแล้ว


น่ากลัวชะมัด


ขอหนีก่อนละกัน


สิ่งที่คิดในหัวตรงข้ามกับสิ่งที่ตะโกนบอกกับสุนัขตรงหน้าด้วยขาสั่นๆ อย่างสิ้นเชิง...


“ที่กลับก่อนนี่ไม่ได้กลัวนะ...ไม่ได้กลัวจริงๆ นะ”

.....................................................................

กลับมารีไรท์ในรอบ 2 ปี

หวังว่าจะทำให้ทุกคนอ่านได้ลื่นไหนขึ้นนะคะ

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-05-2018 20:33:40 โดย nicedog »

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4062
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
กราบบบบบ

ปูพรมแดง คิดถึงคุณ nicedog นะค้าาาาาาา

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
-Rewrite- พบรัก ▪×วันที่1×▪


แสงยามเช้าที่เล็ดลอดเข้ามาภายในห้องของคอนโดหรูบนชั้นสูงสุดทำให้เจ้าของห้องอย่างผมที่ตาค้างอยู่ค่อยๆ ลุกขึ้นมานั่งบนเตียงสีขาวสะอาดด้วยความง่วงสุดขีดเพราะไม่ได้นอนเลยสักงีบเดียว


ถ้าถามว่าทำไมถึงไม่นอน ก็บอกได้เลยว่าเพราะเอาแต่คิดถึงสุนัขตัวใหญ่ที่อยู่ในบ้านของพ่อกับแม่เมื่อวานนี้… ตั้งแต่กลับมาถึงคอนโดเมื่อเย็นก็เอาแต่คิดอยู่ตลอดว่ามันเป็นยังไงบ้าง วันที่พ่อกับแม่ไปเที่ยวคือเมื่อสองอาทิตย์ก่อน และเวลาที่ใช้จัดงานศพก็อีกอาทิตย์นั่นแปลว่าสุนัขตัวนั้นไม่มีใครให้อาหารมามากกว่าสามอาทิตย์แล้ว


พอคิดได้แบบนั้นก็พานทำให้นอนไม่หลับ


เอาตรงๆ คือรู้สึกผิดที่ไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้ตั้งแต่ตอนอยู่บ้านหลังนั้น อย่างน้อยถ้านึกได้ก็จะได้โยนอะไรเข้าไปให้กินบ้าง จริงอยู่ที่ผมกลัวสุนัขมากแต่ก็ไม่ได้มากถึงขั้นจะปล่อยให้หนึ่งชีวิตต้องเสียไปหรอกนะ


ขอแค่อย่าเข้ามาใกล้ก็พอ...


เมื่อคิดได้แบบนั้นผมจึงลุกไปจัดการตัวเองให้เรียบร้อยก่อนจะขับรถไปยังบ้านหลังเดิมอีกครั้ง ระหว่างทางก็แวะเข้าไปซื้ออาหารสุนัขในร้านสะดวกซื้อ โซนของอาหารสัตว์แม้จะไม่กว้างมากนักแต่ก็มีให้เลือกอยู่หลากหลายแบบ


“...อันนี้รสปลาแซลมอน ส่วนนี่รสไก่งวง...” ผมพึมพำเบาๆ  ในมือทั้งสองข้างตอนนี้กำลังถืออาหารสำเร็จรูปแบบถาดของสุนัขอยู่


เชื่อไหมว่าผมยืนเลือกมาได้เกือบ 20 นาทีแล้ว ไม่รู้ว่าทำไมอาหารสุนัขถึงได้มีให้เลือกเยอะมากขนาดนี้ นอกจากอาหารเปียกแบบถาดที่ถืออยู่แล้วยังมีทั้งอาหารเม็ด อาหารกระป๋อง อาหารเสริม หรือแม้แต่พวกวิตามินสำหรับสัตว์เลี้ยง แค่ชนิดของมันก็มากจนไม่รู้ว่าจะเลือกหยิบอะไร แต่พอเลือกชนิดได้แล้วยังต้องมากลุ้มกับรสชาติของแต่ละอันอีก


อย่างอาหารสำเร็จรูปของสุนัขแบบถาดที่ถืออยู่นี่ก็มีทั้งรสไก่ ไก่งวง เนื้อวัว ตับ เป็ด ปลาทูน่า ปลาแซลมอน ปลาเนื้อขาว รวมทั้งยังมีแบบรสผสมพวก ไก่กับผัก เนื้อกับตับ ปลากับผัก ไก่กับเนยแข็ง และอีกมากมายนับไม่ถ้วนตามแต่ยี่ห้อนั้นๆ


ผมหรี่ตามองอาหารสำเร็จรูปสองอันที่อยู่ในมือพร้อมตัดสินใจว่าจะเลือกซื้อทั้งคู่ แต่ก่อนจะเดินไปจ่ายเงินก็ต้องชะงักเมื่อนึกถึงภาพของสุนัขตัวใหญ่ในความทรงจำ...


“...จะพอกินไหมเนี่ย”


ดูจากขนาดตัวกับอาหารที่อยู่ในมือแค่ 2 อันแล้วไม่น่าจะพอ


พอคิดได้แบบนั้นก็วกกลับไปยังชั้นวางอาหารสุนัขอีกครั้ง โดยที่ครั้งนี้อาหารสำเร็จรูปแบบถาดทุกรสถูกหยิบใส่ตะกร้ารสละอันโดยไม่สนใจราคาที่แพงลิ่ว ทันทีที่คิดเงินเสร็จรถคันสีบรอนซ์ทองก็ตรงไปยังบ้านของพ่อแม่ที่ตอนนี้ได้กลายเป็นของผมอย่างไม่รีบร้อน



ปกติในช่วงเช้าก่อนแปดโมง หลายๆ คนต้องเร่งรีบเพื่อจะไปทำงานให้ทันเวลา แต่สำหรับคนที่เป็นประธานบริษัทศิริวัฒนิวงศ์อย่างผมไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีก้าวหน้าขึ้นมากจนไม่จำเป็นต้องไปนั่งเซ็นเอกสารเหมือนอย่างเมื่อก่อน ถ้ามีเอกสารที่ต้องการให้เซ็น ทางเลขาส่วนตัวจะส่งมาให้ผ่านระบบใหม่ของทางบริษัท สิ่งที่ประธานอย่างผมต้องทำมีเพียงเซ็นเอกสารผ่านทางระบบนั้นเท่านั้น และเพราะแบบนั้นผมจึงสามารถทำอะไรก็ได้ตามที่ต้องการโดยไม่ต้องกังวลเรื่องบริษัท แต่ถึงจะว่าแบบนั้นก็มีบ้างที่ต้องเข้าไปนั่งประชุมแต่แค่อาทิตย์ละวันสองวัน หรือถ้ามากหน่อยก็สักสี่วันต่อสัปดาห์


ใช้เวลาไม่ถึง 20 นาทีรถก็มาจอดอยู่หน้าประตูรั้วเหล็กอีกครั้ง ผมใช้เวลาทำใจอยู่สักพักก่อนจะลงจากรถแล้วเดินไปยังรั้วตรงหน้าอย่างเกร็งๆ แค่คิดว่ามีสุนัขอยู่ข้างใน ขาที่ก้าวก็เริ่มสั่นทีละน้อย


ผมเดินย่องไปย่องมาหน้าประตูพลางชะโงกเข้าไปดูว่าสุนัขตัวเมื่อวานอยู่ที่ไหนแต่หลังจากที่มองหาสักพักก็ไม่มีวี่แวว เมื่อเป็นแบบนั้นผมเลยตัดสินใจเดินหารอบๆ บ้านแทน


รอบๆ รั้วบ้านเต็มไปด้วยต้นไม้ปลูกที่เรียงรายตั้งแต่หน้าบ้านยันหลังบ้าน พูดให้ถูกก็คือนอกจากบ้านจะถูกล้อมด้วยรั้วแล้วยังถูกล้อมด้วยพืชผักสวนครัวหลากหลายชนิด เท่าที่รู้ก็มีพวกมะนาว มะเขือเทศ กะเพรา และอีกหลายอย่างที่ไม่รู้จัก


“ไปอยู่ไหนนะ” ผมพึมพำด้วยน้ำเสียงที่แสดงความเป็นห่วงเล็กน้อย และกำลังจะวกกลับไปยังประตูรั้วด้านหน้าอีกครั้งโดยที่ยังไม่เจอสุนัขตัวใหญ่นั่นเลย


คงไม่ได้ตายไปแล้วหรอกนะ?


ยิ่งคิดแบบนั้นตาผมก็หรี่ลงอย่างครุ่นคิด ทว่าก่อนที่จะคิดอะไรได้ก็พลันได้ยินเสียงเหมือนโลหะดังกระทบกันดังขึ้นในรัศมีใกล้ๆ ผมเดินตามเสียงนั้นไปจนเจอประตูทางเข้าขนาดเล็กที่อยู่ด้านข้างของบ้าน เท่านั้นยังไม่พอสุนัขที่กำลังตามหายืนอยู่หน้าประตูรั้วเหล็กโดยที่หัวของมันกำลังก้มกินอะไรบางอย่างในชามอาหารสีเงินบนพื้น


“กินอะไรน่ะ” ผมถามออกไปทั้งที่รู้ว่าไม่มีทางได้คำตอบแน่ๆ


ถ้าได้คำตอบจริง ผมนี่แหละที่จะวิ่งหนี แล้วไม่กลับมาที่นี่อีกเลย


สุนัขที่เหมือนหมาป่าตรงหน้าเงยหน้าขึ้นมามองตามเสียงเรียกอย่างรวดเร็วราวกับว่าเข้าใจสิ่งที่ถามไป ดวงตาสีน้ำตาลคมที่จ้องมาทำเอาผมซึ่งไม่ถูกกับสุนัขต้องก้าวถอยหลังไปเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่วายก้มลงไปมองในชามสีเงินที่มีข้าวคลุกกับอะไรบางอย่างใส่ไว้อยู่


น่าแปลก… ข้าวยังดูใหม่อยู่ทั้งที่ไม่น่าจะมีใครให้อาหารมาตั้งสองอาทิตย์แล้ว


“อย่าบอกนะว่า...” ผมพูดขึ้นเมื่อคิดอะไรบางอย่างได้


การที่สุนัขด้านในยังมีชีวิตอยู่ได้ทั้งที่ไม่มีคนให้อาหารมาตั้งสองอาทิตย์ สิ่งที่คิดได้ก็มีแค่...มีคนคอยให้อาหารมัน?!


ความจริงที่คิดได้ทำเอาผมหรี่ตาลงด้วยความสงสัยเพราะรู้ว่าพ่อกับแม่ไม่เคยจ้างแม่บ้านมาดูแลทำความสะอาดเป็นประจำ ถ้าจะจ้างก็เป็นครั้งคราวเท่านั้น พ่อกับแม่เป็นคนที่ชอบทำความสะอาดทั้งคู่ แม้จะอายุมากขึ้นแล้วก็ยังคงทำความสะอาดบ้านเองอยู่เป็นนิตย์ ดังนั้นการจะจ้างแม่บ้านตัดไปได้เลย หรือจะคิดว่าเป็นญาติของพ่อกับแม่ก็ไม่ใช่อีก เพราะปัจจุบันทั้งพ่อและแม่ต่างก็ไม่เหลือญาติที่ไหนแล้ว ล่าสุดคุณน้าที่เป็นน้องสาวแม่ก็เพิ่งจะเสียไปเมื่อครึ่งปีก่อนทำให้ญาติคนสุดท้ายที่มีไม่มีอีกต่อไปแล้ว ถ้าจะให้เดาต่อก็อาจเป็นเพื่อนบ้านแถวนี้มากกว่า แต่การเดานี้ยังไม่มีหลักฐานอะไรจึงไม่สามารถเอามาใช้ตัดสินได้


ทางเดียวที่จะรู้คือต้องอยู่รอพบสินะ...


จะว่าไปตรงนี้ถือเป็นมุมดีในการให้อาหารเลยแฮะ


อย่างที่เคยบอกไปว่าบ้านหลังนี้ถูกล้อมรอบด้วยรั้วเหล็กที่สูงกว่าสองเมตรโดยรั้วนั้นถูกทำให้มีระยะห่างมากพอที่จะยื่นมือเข้าไปได้ คนที่ให้คงจะเอาชามสีเงินเข้าไปก่อนจะใส่อาหารตามเพื่อจะได้สะดวกต่อการให้สินะ


“...ถือเป็นความโชคดีของนายที่มีคนใจดีมาให้อาหารนะ” ผมบอกกับสุนัขที่จัดการอาหารตรงหน้าจนไม่เหลือแม้แต่ข้าวสักเม็ด
“แบบนี้คงกินนี่ไม่ไหวแล้วสิ” พูดจบผมก็ชูถุงที่เต็มไปด้วยอาหารสำเร็จรูปขึ้น


สุนัขตัวใหญ่ตรงหน้าเหมือนจะรับรู้ได้ด้วยอะไรสักอย่าง ดวงตาสีน้ำตาลของมันไม่ได้จ้องมายังผมแต่เป็นถุงสีขาวที่เป็นไปด้วยอาหารสำเร็จรูปหลายสิบอัน  ไม่เพียงแค่จ้องแต่สุนัขตรงหน้ายังนั่งลงเรียบร้อยราวกับเคยถูกฝึกสอนมาอย่างดี แต่ถึงจะสอนดียังไงก็คงห้ามน้ำลายที่ค่อยๆ ไหลลงมาไม่ได้


“คิกๆ...” ผมหลุดขำให้กับท่าทางของมัน


“อยากกินใช่ไหม”


บรู๊ววว~


“เฮ้ย!”


ผมถอยกรูดจนแผ่นหลังไปติดกับกำแพงบ้านข้างๆ เมื่อสุนัขที่นั่งเรียบร้อยเมื่อครู่เปลี่ยนมากระโจนใส่รั้วเหล็กจนเกิดเสียงดังก้อง ความรู้สึกผ่อนคลายเมื่อเห็นน้ำลายยืดๆ นั่นหายไปโดยมีความหวาดกลัวเข้ามาแทนที่อย่างรวดเร็ว


ไม่เอาแล้ว!


น่ากลัว...


ใบหน้าเริ่มมีเหงื่อซึมออกมาด้วยความกลัว ผมเริ่มขยับเดินไปยังรถที่จอดเอาไว้โดยที่สายตายังคงจับจ้องไปทางสุนัขที่เดินตามมาด้วยความหวาดระแวง


โดนกระโจนใส่ขนาดนั้นใครจะกล้าเข้าไปใกล้กัน


สุดท้ายเจ้าของบ้านคนใหม่อย่างผมก็พาตัวเองกลับขึ้นมาอยู่บนรถได้สำเร็จ ใจหนึ่งก็อยากจะกลับบ้านเลยแต่อีกใจก็อยากจะพบกับคนที่คอยมาให้อาหารสุนัขของพ่อกับแม่สักหน่อย เผื่อจะได้ขอบคุณที่ช่วยเหลือ ดีไม่ดีอาจจะจ้างอีกฝ่ายให้มาช่วยดูแลสุนัขตัวใหญ่นี่ก็ได้


ยังไงก็ขอเห็นหน้าก่อนจะตัดสินใจอะไรละกัน...


เมื่อคิดได้แบบนั้นผมก็นั่งรออยู่ในรถตั้งแต่ช่วงสายยาวไปจนถึงช่วงบ่าย แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่เห็นใครที่น่าจะเป็นคนที่ใช่เลยสักคนเดียว...


“หรือมาให้แค่วันละครั้ง?”


ความคิดนี้มีความเป็นไปได้สูงเหมือนกัน จะมีสักกี่คนที่มาให้อาหารสุนัขของคนอื่นโดยที่ไม่ได้อะไรตอบแทน… หรืออาจได้นะ? ไม่แน่ว่าพ่อกับแม่อาจจะจ้างมาก็ได้


เดี๋ยวสิ... พ่อกับแม่วางแผนจะไปเที่ยวแค่อาทิตย์เดียวแปลว่าถ้าจ้างจริงก็คงจะจ้างแค่อาทิตย์เดียวเท่านั้น และตอนนี้คงหมดสัญญาจ้างแล้ว


“ยังไงกันแน่เนี่ย” ผมยกมือขึ้นขยี้เส้นผมสีน้ำตาลของตัวเองจนยุ่งไปหมด


นิสัยของผมก็เป็นแบบนี้แหละ... เป็นคนที่ไม่ชอบให้มีอะไรค้างคาใจ รวมถึงไม่ชอบให้มีเรื่องที่ไม่รู้ว่าคืออะไรติดอยู่ในหัว ด้วยความที่นั่งอยู่ในรถมานานเกือบ 5 ชั่วโมงทำให้กล้ามเนื้อรู้สึกตึงๆ จนต้องออกมาเดินข้างนอกบ้าง แต่แล้วเสียงท้องร้องก็ดังประท้วงเมื่อไม่มีอะไรตกถึงท้องมาตั้งแต่ช่วงเช้า


ผมสอดส่ายสายตามองหาร้านอาหารที่อยู่ใกล้ๆ แถวนี้แต่กลับพบเพียงบ้านเดี่ยวที่อยู่ติดๆ กันหลายสิบหลังยาวไปเรื่อยๆ ตามถนน ผมขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิดว่าจะทำยังกับสถานการณ์ตอนนี้ดี ถ้าขับรถไปหาอะไรกินก็อาจจะคลาดกับคนคนนั้นแต่ถ้าเลือกที่อยู่ต่อก็ต้องอดข้าวไปอีกมื้อ ด้วยความหิวที่เริ่มรุนแรงขึ้นทำให้ผมตัดสินออกไปหาอะไรกินก่อนจะรีบกลับมาให้เร็วที่สุด


ถือเป็นโชคดีที่พอขับรถออกมาได้ไม่นานก็เจอกับตึกแถวที่เต็มไปด้วยร้านอาหารมากมาย คงเพราะฝั่งตรงข้ามมีมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่เปิดอยู่จึงไม่แปลกเลยที่มีร้านค้าเรียงรายเต็มไปหมด


“มหาวิทยาลัยนั้นมัน...” ผมพึมพำระหว่างจัดการมื้อเช้าควบกลางวันของตัวเอง


ถ้าจำไม่ผิดชื่อของมหาวิทยาลัยที่อยู่ฝั่งตรงข้ามนี่ดูคุ้นหูอยู่เหมือนกัน...รู้สึกจะเป็นมหาวิทยาลัยชื่อดังของที่นี่เลย


อยากรู้จังว่าจะเรียนเหมือนที่อังกฤษไหมนะ?


ไม่สิ...ไม่มีเวลามาคิดอะไรแล้วต้องรีบกลับไปบ้านไปรอเจอคนคนนั้นให้ได้


ผมบอกตัวเองพร้อมจัดการอาหารตรงหน้าในพริบตา


ผมกลับมายังบ้านสองชั้นหลังสีขาวสะอาดตาอีกครั้ง คราวนี้ผมเลือกจอดรถไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ถัดไปไม่ไกล ช่วงบ่ายๆ แถมยังแดดแรงแบบนี้ ผมไม่อยากจอดรถตากแดด


“วิ๊ว!”


เสียงผิวปากดังขึ้นขณะที่ผมเพิ่งกดรีโมตล็อกรถเสร็จ พอหันไปดูก็เจอใครบางคนยืนอยู่หน้าประตูรั้วบ้านพร้อมกับชูถุงในมือขึ้นแกว่งไปมา จากที่เห็นด้านหลังคงบอกได้แค่ว่าเป็นผู้ชายผมสั้นสีดำเหมือนที่พบเห็นได้ทั่วไป และที่รู้อีกอย่างก็คือผู้ชายคนนั้นน่าจะอายุน้อยกว่าผมอยู่พอสมควร อย่างต่ำๆ ก็น่าจะน้อยกว่า 5 ปีเพราะอีกฝ่ายใส่ชุดนักศึกษาอยู่


นี่พ่อกับแม่จ้างเด็กคนนั้นให้มาดูแลสุนัขหรือ?


ผมถอนหายใจทันทีที่นึกได้ ทั้งที่พวกแม่บ้านหรือพ่อบ้านก็มีให้จ้างอยู่เยอะแยะแต่ทำไมถึงต้องไปจ้างเด็กด้วยนะ


“มะนาว!”


เสียงทุ้มที่ตะโกนเรียกทำเอาขาผมที่กำลังก้าวเข้าไปใกล้ชะงัก ...มะนาว? ใครกัน?


บรู๊วว~


ไม่ต้องคิดให้เสียเวลาเพราะไม่กี่วินาทีหลังเสียงหอนดังขึ้นร่างของสุนัขตัวใหญ่ก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า ผมร้อง ‘อ๋อ’ ในลำคอเบาๆ เมื่อรู้ว่ามะนาวที่ว่าหมายถึงสุนัขตัวใหญ่ที่อยู่ในบ้านนั่นเอง


ตึง!


สุนัขตัวใหญ่ที่พึ่งรู้ว่าชื่อมะนาวกระโจนใส่รั้วจนเกิดเสียงดังก้อง ทว่าเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่กลับไม่แสดงออกว่ากลัวเหมือนผมที่ตอนนี้ก้าวถอยหลังออกไปสองก้าวแล้ว


“อะไร หิวแล้วเหรอ” เด็กหนุ่มตรงหน้ายังคงพูดคุยกับสิ่งมีชีวิตที่อีกฟากรั้วโดยไม่กลัวมันกัดเลยสักนิด


หงิ๋ง~


“เจ้าของเธอยังไม่กลับมาสักทีเนอะ อาหารที่ฝากไว้ก็หมดแล้วเลยต้องให้ข้าวแทน ยังดีที่ไม่เลือกกิน”


เธอ? หมายความว่าสุนัขตัวนั้นเป็นตัวเมีย?


เห็นหน้าตาดุๆ แบบนั้นนึกว่าเป็นตัวผู้ซะอีก


“เอ่อ...สวัสดี!”


ผมตะโกนทักทายคนที่เด็กกว่าโดยที่ยังยืนอยู่ด้านหลังอีกฝ่าย แถมยังไกลจากหน้ารั้วอยู่ไม่น้อย


ผมไม่กล้าเข้าไปใกล้หรอก ก็ดูหน้าสุนัขที่กระโจนเกาะรั้วอยู่นั่นสิ ...น่ากลัวชะมัด!


“...” ผู้ชายผมดำตรงหน้าหันมามองตามเสียงตะโกนเรียก


ผมเบิกตากว้างด้วยความตะลึงเมื่อเห็นใบหน้านั้นชัดๆ ขนาดไปอยู่ที่ประเทศอังกฤษมาเกือบครึ่งชีวิตและพบเจอผู้คนหรือดาราที่มีหน้าตาหล่อเหลามากมาย ก็ยังไม่เคยมีคนไทยในต่างแดนคนไหนที่เรียกว่าหล่อได้


แต่กับเด็กที่ยืนอยู่นี่...ผมกล้าใช้คำว่าหล่อออกมาได้อย่างเต็มปาก


ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างสมส่วนที่พอเดินเข้าไปใกล้แล้วคงจะสูงเท่าๆ กัน หรือใบหน้าคมเข้มและผิวสีแทนตามแบบฉบับคนไทยที่ดูเป็นจุดเด่นทันทีที่เห็น ทรงผมที่ดูออกแนวเซอร์นิดๆ แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่เด็กมหาลัย ทว่าหน้าตานั้นเทียบได้กับระดับพระเอกเลยทีเดียว


อืม...จะเรียกว่าเด็กได้ไหมนะ เอาเถอะถ้าอายุน้อยกว่าก็ขอเรียกว่าเด็กต่อไปละกัน


ดวงตาคมสีน้ำตาลมองมายังผมก่อนจะหรี่ตาลงอย่างสงสัย


“สวัสดี ผมชื่อใบไผ่” ผมรีบแนะนำตัว


“อืม”


คำตอบสั้นๆ ทำเอาผมถึงกับไปไม่เป็น


“พี่เป็นใคร?”


ผมยิ้มเมื่อเด็กตรงหน้าดูจะเป็นมิตรกว่าที่คิดไว้


“ยิ้มทำไม”


“เปล่าๆ”


“ก็เห็นอยู่ว่ายิ้ม”


“แค่ดีใจนิดหน่อย” ผมบอกไปตามตรง


“ดีใจ?”


“ก็ตอนแรกที่เราตอบพี่นึกว่าเราไม่อยากจะคุยกับพี่ซะแล้ว” ในเมื่อผมอายุมากกว่าคงไม่ผิดถ้าจะแทนตัวเองว่าพี่


“เป็นใครก็ต้องสงสัยคนที่ตะโกนเรียกตัวเองทั้งนั้นนี่”


คำตอบที่ได้รับทำให้ผมคิ้วขมวดเข้าหากันอย่างครุ่นคิด


ก็คงจริงอย่างที่อีกฝ่ายว่า ถ้ากลับกันผมเป็นคนที่ถูกตะโกนเรียกก็คงจะระแวงสงสัยเหมือนกัน


“ก็จริง โทษทีนะ”


“แล้วพี่จะยืนอยู่ตรงนั้นอีกนานไหมเข้ามาใกล้ๆ ก็ได้ผมไม่กัดหรอกนะ” อีกฝ่ายพูดพลางมองมายังผมที่ไม่กล้าเดินเข้าไปใกล้


“เราน่ะไม่กัดหรอก แต่...” ผมเหลือบไปมองสุนัขตัวใหญ่ที่ชะโงกหน้ามาดูด้วยสายตาหวั่นๆ


“กลัวเหรอ”


เฮือก!


“พะ...พูดอะไรน่ะ” ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงสั่นๆ


ทำไมถึงรู้ได้ล่ะ?


“ตัวสั่นไปหมดแล้วนะ”


“คิดไปเองน่า”


“งั้นถ้าไม่กลัวก็ขยับมาคุยกันดีๆ สิพี่”


ดูเหมือนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากค่อยๆ ก้าวขาสั่นๆ ไปหาเด็กหนุ่มคนนั้นและสุนัขตัวใหญ่ที่อยู่อีกฟากหนึ่งของรั้วเหล็กอย่างเชื่องช้า


“แล้วมีอะไรล่ะ”


“คนที่ถามควรจะเป็นผมไหม”


คำถามที่สวนกลับมาทำเอาผมหน้าแดงเล็กน้อยที่ทำตัวป้ำๆเป๋อๆ ให้อีกฝ่ายเห็น


...เพราะมีเจ้าสี่ขาอยู่ใกล้ๆ นี่แหละทำเอาคิดอะไรไม่ออกเลย


“เอ่อ หมาตัวนี้ชื่อมะนาวเหรอ”


“ใช่ แต่ไม่ใช่ของผมหรอกนะ เจ้าของบ้านเขาบอกว่าให้ช่วยดูแลในระหว่างที่ไปเที่ยวหน่อย แต่จนป่านนี้ก็ยังไม่เห็นกลับมาเลย”


“ขอบคุณที่ช่วยดูแลมาจนถึงตอนนี้นะ” ผมพูดพร้อมกับก้มหัวลงเล็กน้อยเพื่อแสดงความขอบคุณจากใจที่อีกฝ่ายช่วยดูแลสุนัขของพ่อกับแม่


“พี่จะขอบคุณผมทำไม”


“เจ้าของหมาตัวนี้ไม่อยู่แล้วล่ะ”


ดวงตาคนเอ่ยถามหรี่ลงอย่างไม่เข้าใจ “ไม่อยู่แล้ว...หมายถึงย้ายบ้าน?”


“ไม่ใช่ พวกเขาเสียแล้วน่ะ” ผมเลือกที่จะบอกความจริงไปตามตรง


“...”


ดูเหมือนอีกฝ่ายจะอึ้งกับสิ่งที่ได้ยินไปพอดูเลย


“พี่เป็นลูกชายของเจ้าของบ้านชื่อใบไผ่ แล้วเราล่ะ”


ผมไม่รู้ว่าเด็กตรงหน้าสนิทกับพ่อแม่ตัวเองมากแค่ไหนแต่จากที่เห็นแววตาเศร้าๆ นั่นก็พอเดาได้ว่าสนิทอยู่พอสมควร


:: ต้นว่าน ::


“ต้นว่าน...เรียกผมว่าว่านก็ได้” ผมตอบกลับคนที่ยืนอยู่ด้านข้างด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ


ผมชื่อต้นว่าน หรือ ธนภักษ์ มั่งมีทรัพย์ เป็นนักศึกษาปีสี่ สาขาบริหารของมหาวิทยาลัยชื่อดังในละแวกนี้ ด้วยความที่ครอบครัวค่อนข้างยากจนเลยต้องทำงานพิเศษเพื่อเป็นค่าเทอมและช่วยค่าใช้จ่ายของทางบ้านที่ต้องเลี้ยงน้องอีกสองคน


เมื่อสามปีก่อน ตอนที่เดินผ่านบ้านหลงนี้ก็ได้เจอกับสามีภรรยาคู่หนึ่งที่เพิ่งจะย้ายมาอยู่ใหม่พร้อมกับลูกสุนัขตัวเล็กสายพันธุ์เชคโกสโลวัคเกี้ยน วูล์ฟด็อก ด้วยความที่ผมชอบสุนัขมากจึงรู้ได้ทันทีว่าสุนัขสายพันธุ์นี้มีมูลมหาศาลอย่างที่สายพันธุ์อื่นเทียบไม่ติด แถมในประเทศไทยก็มีสุนัขพันธุ์นี้อยู่เพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น ไม่ต้องถามก็บอกได้ว่าสามีภรรยาคู่นี้เป็นมหาเศรษฐีอย่างแน่นอน


และนอกจากราคาของสุนัขพันธุ์นี้จะมหาศาลแล้ว มันยังไม่มีวางขายตามท้องตลาดทั่วไป คนที่ต้องการจะครอบครองต้องได้รับการทดสอบว่าเหมาะสมหรือไม่ ผมไม่รู้ว่าพวกเขาใช้วิธีไหนจึงได้มันมาครอบครองและได้นำมันกลับมาเลี้ยงที่นี่ แต่ที่รู้คือพวกเขาคงไม่ได้มันง่ายๆ อย่างแน่นอน


สำหรับผมคนรวยทุกคนที่เคยเห็นมักจะดูถูกคนจนๆ อย่างผมเสมอ แต่สามีภรรยาคู่นี้กลับต่างออกไป พวกเขาพูดคุยกับผมด้วยท่าทีปกติ ไม่มีการพูดจาหยาบคาย เสียดสีหรืออะไรทั้งสิ้น นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมรู้สึกดีที่ได้พูดคุยกับคนทั้งคู่


หลังจากรู้จักกันมาหลายเดือน ท่านทั้งสองต่างก็ต้อนรับผมอย่างดี แถมเมื่อรู้ว่าผมชอบสุนัขมากแต่ด้วยฐานะทางครอบครัวที่ค่อนข้างยากจนเลยไม่สามารถเลี้ยงสุนัขได้ก็ยังยอมให้มาเล่นกับสุนัขที่ราคาสูงลิ่วอย่างมะนาวด้วยรอยยิ้มและเต็มใจ นับจากวันนั้นการมาดูแลเจ้ามะนาวก็เป็นหน้าที่ประจำของผมไปเสียแล้ว


ผมยังจำบทสนทนาของคู่สามีภรรยาอารมณ์ดีเมื่อสองอาทิตย์ก่อนได้อยู่เลย พวกเขาบอกว่าจะไปเที่ยวสักพัก ฝากดูแลมะนาวระหว่างนั้นด้วย ในตอนนั้นผมก็ไม่ได้คิดอะไร เลยตอบรับไปก่อนจะมาดูแลมะนาวให้ทุกวันจนอาหารที่ฝากไว้หมดลง ด้วยยี่ห้อของอาหารซึ่งมีราคาสูงกว่าของคนอยู่มากทำให้ผมไม่สามารถซื้ออาหารเม็ดที่ว่ามาให้ได้ เลยใช้ข้าวคลุกกับพวกปลาโอมาให้แทน


ทั้งที่คิดว่าอีกไม่นานทั้งคู่ก็จะกลับมา…


แต่ไม่คิดเลยว่าคนจิตใจดีขนาดนั้นจะไม่กลับมาอีกแล้ว


“ต้นว่าน...เราคงสนิทกับพ่อแม่พี่ใช่ไหม” เสียงทุ้มแต่ออกนุ่มเอ่ยถามพร้อมกับนัยน์ตาที่จ้องประสานมา


ชายหนุ่มตรงหน้าคือลูกชายของเจ้าของมะนาว เพียงแว้บแรกที่เห็นก็สัมผัสได้ถึงความแตกต่างของฐานะอย่างชัดเจน อีกฝ่ายมีใบหน้าเรียว ผิวสีขาวอมชมพู ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจนเกือบทอง และเส้นผมสีน้ำตาลซอยระกับต้นคอแสดงให้เห็นถึงความเป็นลูกครึ่งที่ลงตัวสุดๆ เรียกว่าชายตรงหน้าเหมือนเจ้าชายในฝันของเจ้าหญิงหลายๆ คนเลยก็ว่าได้


ขนาดตอนสั่นๆ ยังน่าดู ถ้าผู้หญิงมาเห็นคงจะกรี๊ดลั่นแน่


“ผมไม่ได้สนิทขนาดนั้น ก็แค่คุยกันบ้าง” ผมตอบไปตามตรง


“ยังไงก็ขอบคุณที่ช่วยดูแลมะนาวนะ พี่ไม่รู้ว่าจะตอบแทนยังไงดี” ชายหนุ่มบอกพลางขมวดคิ้วสีน้ำตาลจนเป็นปมแสดงให้เห็นว่ากำลังคิดหนักอยู่จริงๆ


“ไม่ต้องหรอก...เอ่อ...ครับ ผมไม่ได้ทำอะไรมากมายเลย”


อยู่ๆ ก็นึกขึ้นมาได้ว่าคนตรงหน้ามีอายุมากกว่าอยู่พอสมควรจึงไม่ควรเสียมารยาท


“พูดที่ถนัดเถอะพี่ไม่ถือ อ้อ...มีของที่ต้องให้นี่นา รอนี่แป๊บนะ” พอพูดจบอีกฝ่ายก็วิ่งกลับไป ทิ้งให้ผมยืนสงสัยอยู่คนเดียว


ใช้เวลาไม่นานเจ้าของบ้านตัวจริงก็เดินกลับมาพร้อมกับยื่นกระดาษบางอย่างมาให้


ผมรับกระดาษมาอย่างงงๆ แต่พอก้มลงไปอ่านผมถึงกับกำมือแน่นจนกระดาษที่ว่ายับยู่ยี่อย่างรวดเร็ว


สิ่งที่อยู่ในมือของผมคือเช็คหนึ่งใบที่ไม่ได้ระบุตัวเลขไว้ภายใน มีเพียงลายเซ็นจากผู้เป็นเจ้าของเท่านั้น ผมเงยหน้าขึ้นไปจ้องชายหนุ่มตรงหน้าอย่างเอาเรื่อง และคนถูกจ้องก็เหมือนจะรู้ถึงความผิดปกติ


“เอ่อ...ไม่พอใจอะไรพี่”


“...ก็เป็นแบบนี้กันหมด”


“...อะไร”


“พวกคนรวยก็เป็นแบบนี้กันหมด! ไม่ว่าจะอะไรก็เอาแต่ใช้เงิน เงิน และเงิน เอาแต่ดูถูกคนที่ด้อยกว่า! ผมมันจนแล้วไงล่ะ ถึงจะแบบนั้นผมก็ไม่ต้องการให้ใครมาสงสารหรอกนะ!!” ผมตะโกนออกไปอย่างหมดความอดทน


กระดาษที่ได้มาถูกฉีกก่อนจะโยนลงพื้นด้วยความโกรธที่ปะทุจนถึงขีดสุด


ทั้งที่คิดว่าลูกของพวกเขาจะไม่เป็นเหมือนคนรวยคนอื่นๆ แล้วเชียว แต่สุดท้ายก็เอาเงินมาฟาดหัวกันจนได้


“เอ่อ...พี่ไม่ได้...”


“ผมไม่อยากจะฟังอะไรทั้งนั้น!” พอพูดจบผมก็เดินออกมาทันทีโดยไม่สนใจเสียงที่ตะโกนเรียกตามหลังมา


ถ้าขืนยังอยู่ต่อคงได้เผลอชกอีกฝ่ายออกไปแน่ และถ้าเป็นแบบนั้นเรื่องคงไม่จบง่ายๆ


ให้มันจบตรงนี้เถอะ


หวังว่าจะไม่ได้เจอกันอีกนะ!

..........................................................................

รีไรท์อีกสักตอน

พอได้กลับมาอ่านแล้วปรับแก้สำนวนใหม่แล้วรู้สึกเลยว่าตัวเองเมื่อก่อนนี่ฝีมือในการแต่งไม่ค่อยดีเลย ทั้งสำนวน ทั้งคำพูด ทั้งการใช้ภาษา

จากนี้จะปรับปรุงการแต่งให้ดียิ่งๆ ขึ้นไปนะคะ

nicedog


♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-05-2018 20:33:56 โดย nicedog »

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
 :mc4:    ใจเย็นๆก่อนนนนน
ขอบคุณค่ะรอตอนต่อไป

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4062
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
 :hao5:

อีกอย่างที่คุณ nicedog ชอบเขียนนอกจากมีน้องหมาในเรื่องแล้วคือ "ตัวเอกอาภัพ เหลือตัวคนเดียว"

 :hao5:

รอตอนต่อปายยยยยยย  :กอด1:

ออฟไลน์ MSeraph

  • This too shall pass
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1751
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-3
เห็นชื่อคนแต่งก้กดเลยค่ะ5555
ว่านโกรธซะแล้ววว
ไผ่จะทำไงดีเนี่ย ไงก้ต้องง้อนะ
ไม่งั้นต้องมาดูแลหมาเอง555555
รอค่าาา

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
อ้าว ผิดใจกันซะแล้ว
ให้กำลังใจคนเขียนค่ะ

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
มะนาวเหรอ ชื่อน่ารักแหะ

ออฟไลน์ boonpa

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-9
 :hao4: เจอกันก็ทะเลาะกันซะแระ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ monetacaffeine

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 681
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-5
เจิมมมมค่ะ >____<
เริ่มมาก็เข้าใจผิดซะแล้ว โธ่ถัง รอปรับความเข้าใจกันนะคะ ~

ออฟไลน์ เป็ดอนุบาล

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
ในที่สุดก็มาแล้วดีใจมากกก :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4982
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
ว่านโกรธซะแล้ว

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
 :pig4:

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
-Rewrite-พบรัก ▪×วันที่2×▪



ในคืนแรกสาเหตุที่ผมนอนไม่หลับอาจเป็นเพราะคิดถึงเรื่องของสุนัขตัวใหญ่ที่อาจจะไม่ได้กินอาหาร ทว่าคืนต่อมาหรือก็คือคืนนี้กลับเป็นเรื่องของเด็กหนุ่มผมดำที่ชื่อว่าต้นว่าน ด้วยท่าทางที่แสดงออกอย่างชัดเจนถึงความโกรธนั่นทำให้ผมไม่กล้าจะพูดหรือถามอะไรออกไปในตอนนั้น


แค่ยื่นเช็คให้ก็ทำให้โกรธขนาดนั้นเลยเหรอ?


แต่พอดูจากคำพูดที่อีกฝ่ายตะโกนก็พอจะทำให้รู้อะไรได้มากขึ้น อาจเป็นไปได้ว่าต้นว่านมีฐานะทางครอบครัวไม่ค่อยดีนัก และคงจะโดนดูถูกจากพวกที่ชอบทำตัวเหนือกว่าอยู่บ่อยๆ เลยพาลให้เหมารวมคนรวยเป็นคนไม่ดีไปซะหมด


ผมไม่ปฏิเสธในสิ่งที่ต้นว่านพูดเพราะมันเป็นความจริง ในสังคมปัจจุบันหลายคนอาจคิดว่ามันเสมอภาค แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เลย เพราะคนที่อยู่ในฐานะสูงกว่ามักจะมองคนที่ด้อยกว่าด้วยสายตาเหยียดหยามอย่างชัดเจน ที่ผมรู้เพราะผมก็เคยสัมผัสมันมาด้วยตัวเอง จริงอยู่ผมเกิดมาในตระกูลที่เรียกได้ว่ามหาเศรษฐีแต่พ่อและแม่ต่างก็ไม่เคยดูถูกคนอื่น แถมยังสอนให้ผมรู้ถึงหัวอกของคนไม่มีอะไรโดยการให้ลองอยู่ด้วยตัวเอง


ระยะเวลาตลอดหนึ่งปีที่ผมต้องไปทำงานพิเศษ ผมเป็นทั้งพนักงานขายไอศกรีม พนักงานเสิร์ฟ หรือแม้แต่พนักงานล้างจาน งานที่เลือกทำเป็นงานที่ให้เงินแบบวันต่อวัน มาเมื่อไหร่ก็ได้เมื่อนั้นจึงเหมาะสำหรับคนทำงานไปด้วยเรียนมหาวิทยาลัยไปด้วยแบบผม แต่เพราะการทำงานแบบนี้ทำให้มีเพื่อนหลายคนในมหาวิทยาลัยมาเห็นแล้วต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าผมเป็นคนขี้โกหกที่บอกว่าตัวเองเป็นลูกคนมีเงินทั้งที่จริงๆ ต้องทำงานแทบทุกนาทีที่ว่างจากการเรียน


เพื่อนที่ผมคิดว่าสนิทนั้นพูดจาทำร้ายเรามากกว่าคนที่ไม่รู้จักซะอีก


ผมได้ล่วงรู้ถึงความจริงก็วันนั้นแหละ...


ตั้งแต่ได้เรียนรู้เรื่องเหล่านั้น ก็ไม่เคยมีครั้งไหนที่ผมดูถูกคนที่ด้อยกว่าไม่ว่าจะเป็นหน้าตา ฐานะหรืออะไรก็ตามเลยสักครั้งเดียว อย่างเรื่องของต้นว่านเองก็เช่นกัน การที่ผมให้เช็คไปไม่ใช่เพราะคิดดูถูกอย่างที่เจ้าตัวว่า แต่เป็นเพราะในกระเป๋าเงินตอนนั้นเหลือเงินอยู่เพียงแค่ 200 บาทเนื่องจากผมลืมไปกดเงิน และที่ไม่ได้เขียนตัวเลขลงไปก็เพราะไม่รู้ว่าค่าอาหารทั้งหมดมันเท่าไหร่กันแน่


อย่างที่บอกว่าผมไม่ชอบสุนัขเลยไม่รู้ว่าอาหารแต่ละมื้อมันหมดไปเท่าไหร่ แต่จากที่ไปซื้อมาวันนี้ก็รู้ว่าคงไม่ใช่น้อยๆ แน่ ซึ่งนั่นทำให้ผมตัดสินใจไม่ใส่จำนวนเงินลงไป


ก็จริงอยู่ที่การให้เงินอาจไม่ใช่วิธีการขอบคุณที่ถูกต้องนัก แต่ขอบอกไว้ก่อนว่าผมไม่ได้คิดจะขอบคุณด้วยการให้เงิน… เงินที่ให้นี่เป็นแค่ค่าอาหารเท่านั้น ในเมื่อมะนาวเป็นสุนัขของพ่อกับแม่ก็แปลว่าเป็นสุนัขของผมด้วย เพราะแบบนั้นการที่จะออกค่าอาหารอาหารสัตว์เลี้ยงตัวเองมันผิดตรงไหนกัน แถมยังไม่ทันได้อธิบายอะไร คนตรงหน้าก็ใส่อารมณ์กลับมาเพราะคิดแต่ว่าผมต้องการเอาเงินฟาดหัวอย่างเดียว ยิ่งดวงตาคมสีน้ำตาลเข้มที่มองมาเต็มไปด้วยความโกรธที่ใกล้ปะทุเต็มที  เกรงว่าถ้าเข้าไปใกล้อาจถูกชกกลับมาก็เป็นได้...


“โอ้ย เครียด!” ผมถึงกลับลุกขึ้นมานั่งทึ้งหัวตัวเองเพื่อระบายความเครียดที่มีอยู่ให้ออกไป


จะทำยังไงกับเรื่องนี้ดีเนี่ย!


ผมหันไปมองนาฬิกาดิจิตอลที่บอกเวลาตี 5 กว่าอย่างครุ่นคิด สุดท้ายก็เลือกที่จะลุกขึ้นไปจัดการตัวเองก่อนตัดสินใจไปบ้านอีกหลังเผื่อจะได้เจอกับเด็กคนนั้นอีกครั้ง สิ่งที่อยากทำคือขอโทษและอธิบายทุกอย่างให้อีกฝ่ายเข้าใจว่าผมไม่ได้ตั้งใจที่จะทำให้คิดแบบนั้น


ผมมาจอดรถรออยู่ที่เดิมตั้งแต่หกโมงเช้า ระหว่างนั้นก็คอยเซ็นเอกสารที่ถูกส่งมาทางระบบของบริษัทพลางมองไปยังถนนเผื่อจะเจอคนคุ้นตาเดินมา แต่รอเท่าไรเด็กคนเมื่อวานก็ไม่โผล่มาสักที จนเวลาล่วงเลยมาถึงบ่ายสองของวันความอดทนที่มีก็เริ่มหมดลง แม้แต่เอกสารด่วนที่ต้องเซ็นก็ถูกเปิดคาไว้ทั้งๆ แบบนั้น


การที่รอนานขนาดนี้แล้วยังไม่เจอมีสามอย่าง...


อย่างแรก คือต้นว่านไม่มีเรียนเลยไม่ออกมาเหมือนอย่างทุกวัน


อย่างที่สอง คือมีเรียนแต่ยังไม่เลิกเรียน และตอนที่ต้นว่านออกไปอาจจะเป็นช่วงที่ผมละสายตามาอ่านรายงานบนจอพอดี
หรืออย่างสุดท้าย ก็คือต้นว่านเลี่ยงที่จะไม่มาบ้านนี้อีก


คิ้วสีน้ำตาลของผมขมวดเข้าหากันแน่นเมื่อข้อสรุปสุดท้ายผุดเข้ามาในหัว เพราะการกระทำที่ไม่คิดของตัวเองแท้ๆ ถึงทำให้เรื่องมันเลยเถิดมาได้ขนาดนี้


“หิวจัง...” ผมเอ่ยเบาๆ โดยใช้มือข้างหนึ่งลูบท้องตัวเองไปมา


จะว่าไปมะนาวก็ยังไม่ได้กินอะไรเลยนี่นะ แต่จะให้ผมให้อาหารสุนัขงั้นเหรอ?


ไม่! ไม่! ไม่! ไม่มีทาง… แค่จะหยิบชามข้าวออกมาก็ทำไม่ได้แล้ว


เดี๋ยวนะ...หิวข้าวงั้นเหรอ


ความทรงจำของเมื่อวานที่ไปนั่งกินข้าวพรั่งพรูออกมาพร้อมกับภาพของชุดนักศึกษาที่ต้นว่านใส่อยู่ ถ้าจำไม่ผิดมหาวิทยาลัยนั้นเป็นที่เดียวกับตราที่ติดอยู่บนเนคไทของต้นว่านนี่นา...


หรืออาจจำผิด… แต่ก็ไม่น่าจะผิดนะ


“เอาไงเอากันสิ” ผมบอกกับตัวเองก่อนจะขับรถไปตามทางที่เคยออกไปหาอะไรกินเมื่อวาน



ถนนช่วงบ่ายสองมีรถไม่มากจึงสามารถขับไปจอดเรียบฟุตบาทหน้ามหาวิทยาลัยได้ง่ายๆ ผมดับเครื่องพลางเปิดหน้าต่างเล็กน้อยเพื่อรับลม สายตามองไปยังประตูรั้วของมหาวิทยาลัยตรงหน้า


หวังว่าจะได้เจอกันนะ… ต้นว่าน


ผมนั่งมองเหล่านักศึกษาที่พากันเดินออกมาเรื่อยๆ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่พบคนที่ต้องการพบ ด้วยความที่ดับเครื่องยนต์ไปแล้วจึงทำให้อากาศภายในเริ่มอบอ้าวจนเหงื่อเริ่มออก ผมลงจากรถแล้วตัดสินใจเดินเข้าไปในรั้วของมหาวิทยาลัยแทน


ภายในมหาวิทยาลัยก็ไม่ต่างจากที่คิดเอาไว้สักเท่าไหร่นัก ตึกสูงมากมายเรียงรายกันจนแทบมองไม่ออกว่ามีทั้งหมดกี่ตึกกันแน่ แต่ที่รู้คือที่นี่สมเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อจริงๆ ไม่ใช่แค่สถานที่ที่พร้อมสำหรับการฝึกสอน แต่นักศึกษายังดูเป็นคนสุภาพมากด้วย เพราะทุกก้าวที่ผมเดินผ่านก็จะมีนักศึกษายกมือไหว้พร้อมเอ่ยทักทายเกือบตลอดทาง


หรือพวกเขาคิดว่าผมเป็นอาจารย์หรือรุ่นพี่ของที่นี่กันนะ...


“เฮ้ยๆ พวกมึงดูไอ้พวกคนจนสิวะ ผิวดำอย่างกับพวกคนใช้เลยว่ะ!”


ขณะที่กำลังเดินผ่านกลุ่มนักศึกษาที่อยู่แถวนั้นก็พลันได้ยินเสียงตะโกนที่ไม่ค่อยสุภาพขึ้นมา ผมหันไปมองอย่างสนใจทันทีที่ได้ยินคำว่า “พวกคนจน” และเห็นว่ามีนักศึกษาสองกลุ่มกำลังยืนเผชิญหน้ากันอยู่


แค่ฟังน้ำเสียงเหยียดหยาม และดูจากท่าทางยียวนแถมยังยิ้มเหยียดราวกับเจอสิ่งที่น่าขยะแขยงนั้นก็พอเดาได้ว่าคนกลุ่มแรกคือกลุ่มของนักศึกษาที่มีอันจะกินและอวดรวย ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งที่ถูกแซวว่าเป็นพวกคนจนนั้นดูจะเป็นแค่นักศึกษาธรรมดาที่รวมกลุ่มกันอยู่ประมาณ 5 คน


และหนึ่งในกลุ่มนั้นทำเอาผมถึงกับขมวดคิ้วเข้าหากันในทันทีที่เห็น...


“ต้นว่าน” ผมพึมพำชื่อนั้นออกมาเบาๆ


“จนแล้วมันหนักหัวพวกแกรึไง!” เสียงของเด็กหนุ่มผิวคล้ำคนหนึ่งตะโกนกลับอย่างไม่สบอารมณ์


“หนักดิ หนักมากเลยด้วยที่ต้องมานั่งเรียนกับพวกไม่เอาไหนแบบนี้” กลุ่มเด็กรวยตอบกลับ


“พวกที่ไม่เอาไหนคือพวกแกมากกว่ามั้ง”


“ว่าไงนะ?!”


“คะแนนสอบสู้ว่านไม่ได้ก็อย่ามาหาเรื่องกันสิ” เด็กอีกกลุ่มสวนกลับ


‘ว่าน’ ที่พูดถึงนี่คือต้นว่านสินะ ...แปลว่าเก่งใช้ได้เลยนี่


“เหอะ เก่งแล้วไง เก่งแต่จน ยังไงก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากรับจ้างไปวันๆ คนอย่างพวกแกไม่มีทางได้ขึ้นตำแหน่งสูงๆ หรอกเว้ย”
เสียงด่านั่นทำเอาเด็กหนุ่มผมดำที่เงียบมาตลอดทนไม่ไหว และเดินก้าวไปหาคนพูดจาหยาบคายด้วยแววตาคุกกรุ่น


เมื่อผมเห็นแบบนั้นจึงรีบวิ่งเข้าไปหาพร้อมกับเอามือกดที่หัวไหล่อีกฝ่ายเอาไว้เพื่อเป็นการห้ามไม่ให้เข้าไปหาเรื่องมากไปกว่านี้ ผมรู้ว่าถ้าเกิดเรื่องกันขึ้นมาจริงๆ คนที่จะหมอบกลับไปก่อนต้องเป็นพวกเด็กปากไม่ดีพวกนั้นแน่ๆ แต่หลังจากที่เรื่องถึงหูผู้ปกครองของพวกมัน ต้นว่านอาจจะต้องถูกพักการเรียนหรือไม่ก็โดนตัดคะแนนแน่นอน และจากที่ฟังมาก็พอรู้ว่าอีกฝ่ายเรียนดี แปลว่าต้นว่านอาจได้ทุนการศึกษาด้วย ถ้าขืนปล่อยให้มีเรื่องกัน ทุนฯ ที่ควรจะได้ก็จะพลอยไม่ได้กันพอดี


“ต้นว่าน” ผมเรียกเด็กชายตรงหน้า


“...พี่...มานี่ได้ไง” ดูเหมือนคนถูกเรียกจะยังงุนงงพอสมควร


“อยากเจอเรานี่ เมื่อวานเรายังคุยกันไม่รู้เรื่องเลย”


“ผมไม่มีอะไรต้องพูดกับพี่” ถึงน้ำเสียงจะแข็งกร้าวแต่คำพูดก็ดูเหมือนจะอ่อนลงกว่าเมื่อวาน


“แต่พี่มี”


“อะไรๆ ผู้ชายคนนี้เป็นใครวะ อย่าบอกนะว่าแกขายตัวด้วยน่ะ ว่าแต่พี่ก็หล่อดีนะ แต่ตาต่ำไปหน่อยมั้งที่เลือกหมอนี่น่ะ เอ๊ะ...หรือว่าไอ้ว่านจะลีลาดีทำให้พี่ครางเสียงหวานเลยต้องมาซื้อมันอีกรอบน่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า”


“แก...” ทันทีที่คำหยาบคายหลุดออกมาจากปากคนพวกนั้น ต้นว่านก็วิ่งเข้าไปหมายจะชกอีกฝ่าย แต่ผมใช้แขนกันไม่ให้อีกฝ่ายได้ไป


นานแล้วที่ไม่ได้ถูกดูถูกแบบนี้…


ไหนๆ ก็ไหนๆ นี่เนอะ


“Low intelligence being”


“ฮะ? พูดอะไรของแกน่ะ?”


แค่ประโยคสั้นที่ผมพูดออกไปก็ทำเอากลุ่มเด็กรวยอุทานออกมาพร้อมกัน


“Scumbag!” ผมยังคงใช้ภาษาอังกฤษพูดต่อด้วยรอยยิ้มเมื่อเห็นใบหน้าเอ๋อๆ ของกลุ่มเด็กที่ฟังไม่รู้เรื่อง


“...พูดบ้าอะไร?”


“คำง่ายๆ แบบนี้ยังไม่รู้ เรียนมหาวิทยาลัยมาได้ยังไงนะ” ผมไม่ตอบแต่ถามกลับไปแทน


“นี่แก!”


“ทางมหาลัยไม่ได้สอนให้เคารพผู้ใหญ่เหรอ”


“เหอะ ผู้ใหญ่แล้วไงรู้ไหมว่าฉันลูกใคร?!”


นี่คงเป็นประโยคคลาสสิคของลูกคนรวยสินะ ดูท่าทางหยิ่งๆ ก็พอเดาได้ละว่าพ่อแม่คงจะใหญ่พอดู


“ไม่รู้สิ พี่ไม่ได้จำนามสกุลใครได้หมดทั้งประเทศหรอกนะ”


“นี่จะบอกว่าไม่รู้จักตระกูลเพชรเกษมศักดิ์ เจ้าของร้านสะดวกซื้อที่เปิดหลายสาขาทั่วประเทศรึไงกัน”


เพชรเกษมศักดิ์? อ้อ...จะว่าคุ้นก็คุ้น แต่ก็ยังไม่รู้จักอยู่ดี


ในประเทศนี้ ถ้าเป็นคนที่มีฐานะจริงๆ ส่วนมากผมรู้จักทั้งนั้นเพราะเคยไปร่วมงานเลี้ยงดังๆ มาตั้งมาก แถมด้วยฐานะที่เป็นประธานบริษัทก็ต้องรู้จักคนที่มีประโยชน์ต่อเราไว้ แต่คิดยังไงก็จำไม่ได้ว่าเคยรู้จักนามสกุลนี้ แปลว่าคงจะไม่ได้เด่นดังอะไรมากนัก


“ขอโทษด้วยนะที่นึกไม่ออก”


“แก!”


“ขอบอกหน่อยว่าพี่อายุ 28 แล้วห่างจากพวกเรามาก เพราะงั้นควรจะให้ความเคารพกันหน่อย ถ้าขืนปล่อยให้โตมาทั้งๆ ที่ยังเป็นแบบนี้...เดี๋ยวจะแย่เอานะ” ผมบอกไปตรงๆ


ถ้าผมคิดจะจัดการเด็กพวกนี้คงไม่อยากอะไร แต่นอกเหนือจากการจัดการคือต้องทำให้พวกเขารู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่… ขืนขึ้นไปบริหารบริษัททั้งที่ยังเป็นแบบนี้คงไม่รอดแน่


โลกนี้น่ะอยู่ไม่ได้หรอกนะถ้าไม่รู้จักมีมารยาทต่อผู้ใหญ่


“ไม่ต้องมาสั่งสอนฉัน! พอทีเบื่อจะคุยกับพวกกระเทยแล้ว ไปกันเถอะ!” พูดจบทั้งกลุ่มก็เดินออกไปโดยที่ไม่หันกลับมาสนใจอีก


“กระเทยเลยเหรอ แรงนะเนี่ย”


เพิ่งเคยโดนคนด่าว่าเป็นกระเทยก็ครั้งนี้ แหม… โกรธนิดๆ เหมือนกันแฮะ


“...พี่ใบไผ่”


“ฮืม?” ผมหันไปตามเสียงเรียก


“ทำไมต้องมาช่วยผมด้วย?” อีกฝ่ายถามกลับ ดวงตาคมเข้มจ้องมาอย่างคาดคั้น


“บอกแล้วไงว่าพี่มีเรื่องจะคุยกับเรา”


“พี่ตอบไม่ตรงคำถามนะรู้ไหม”


“ก็นะ… ก่อนจะพูดเรื่องนั้นพี่ขอพูดอะไรสักหน่อยได้รึเปล่า”


“จะมาเอาเรื่องผมสินะ”


“ไม่นี่” ผมขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ


“งั้นทำไม...”


“พี่มาขอโทษเรื่องเมื่อวาน เรื่องเช็คอาจทำให้ต้นว่านรู้สึกไม่ดี ซึ่งพี่เองก็คิดเรื่องนี้อยู่ทั้งคืน ต้นว่านอาจเข้าใจว่าพี่ใช้เงินฟาดหัวเราแต่ความจริงมันไม่ใช่ เช็คที่พี่ให้คือค่าอาหารที่เราช่วยดูแลมะนาวเท่านั้น”


“แต่พี่ไม่ได้ใส่จำนวนเงิน...”


“นั่นเพราะพี่ไม่รู้ว่าค่าอาหารทั้งหมดมันเท่าไหร่ ถ้าใส่เยอะไปอาจเป็นการดูถูกเราก็ได้ พี่เลยต้องเว้นว่างไว้แบบนั้น” ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายพูดจบผมรีบจัดการอธิบายออกไปทันที


“...”


“พี่ขอโทษที่ทำให้เรารู้สึกไม่ดี… ขอโทษจริงๆ พี่อยากให้เรารู้ว่าถึงพี่จะมีเงินแต่ก็ไม่เคยใช้เงินในการขอบคุณหรือขอโทษใคร สิ่งที่พี่ทำมันผิดที่ไม่อธิบายให้ต้นว่านเข้าใจจนทำให้เข้าใจผิดกันแบบนี้ พี่ต้องขอโทษด้วยจริงๆ นะ”


ผมพูดสิ่งที่คิดอยู่ออกมาทั้งหมดพร้อมก้มหัวขอโทษคนอายุน้อยกว่าตรงหน้าท่ามกลางสายตาของนักศึกษาหลายคนที่มองมา แต่ถึงจะมองผมก็ไม่รู้สึกอายอะไร การขอโทษไม่ทำให้ผมรู้สึกอายเท่าการที่ทำความรู้สึกดีๆ ของต้นว่านที่มีต่อพ่อกับแม่ของผมเปลี่ยนไป การที่ต้นว่านสนิทกับพ่อและแม่ทั้งที่ไม่ชอบคนรวยคงเป็นเพราะพ่อกับแม่มักจะใจดีกับคนรอบข้างเสมอๆ และไม่สนว่าอีกฝ่ายจะมีฐานะดีหรือไม่ หรือนิสัยเป็นยังไง ทว่าการกระทำของผมอาจทำให้ต้นว่านมองพ่อกับแม่ไปในทางที่ไม่ดีทั้งที่ความจริงแล้วมันไม่ใช่


“พี่ใบไผ่...”


ผมยังคงนิ่งอยู่ในท่าก้มหัวให้อีกฝ่ายต่อไปโดยไม่มีคำพูดใดๆ


“พอเถอะ ผมไม่โกรธแล้ว พี่อย่าทำแบบนี้เลยเดี๋ยวคนอื่นจะมองพี่ไม่ดีนะที่มาก้มหัวให้คนแบบผม”


“จะคนแบบไหนต่อให้ได้ชื่อว่าเป็นคน ทุกคนก็ต่างเท่าเทียม ไม่มีคำว่าฐานะทางสังคมหรือฐานะทางครอบครัวทั้งนั้น เมื่อทำผิดก็เป็นธรรมดาที่ต้องขอโทษ”


“ผมเข้าใจแล้ว พี่เงยหน้าถึงเถอะ”


“ไม่โกรธกันนะ” ผมถามกลับหลังจากที่เงยหน้าขึ้นมา


“ครับ ไม่โกรธแล้ว ผมเองก็มีอะไรอยากบอกพี่เหมือนกัน”


“อะไรล่ะ”


“ขอโทษที่ตะหวาดใส่เมื่อวานนะครับ ถ้าผมหยุดแล้วฟังพี่อธิบายคงไม่เกิดเรื่องแบบนี้...ขอโทษครับ” ครั้งนี้เป็นต้นว่านที่ก้มหัวขอโทษด้วยความสำนึกผิด


“ถือว่าหายกันเนอะ” ผมบอกด้วยรอยยิ้มเมื่อจัดการเรื่องเครียดลงได้สำเร็จ


“ครับ”


“เอ่อ...ว่าน นี่ใครวะ”


หลังจากคุยกันอยู่นานเพื่อนๆ ที่อยู่ด้านหลังต่างก็สะกิดถามกันเสียงเบา สายตาทั้งสี่คู่จับจ้องมายังผมเป็นตาเดียว


“ก็… คนรู้จักน่ะ” ต้นว่านหันไปตอบเพื่อน


“พี่ชื่อใบไผ่ เรียกพี่ไผ่ก็ได้ พวกเราเป็นเพื่อนของต้นว่านสินะ คราวหน้าช่วยดึงเขาไว้ด้วยล่ะถ้าขืนมีเรื่องขึ้นมาจะถูกพักการเรียนเอา” ผมหันไปคุยกับเพื่อนของต้นว่านอย่างเป็นมิตรและไม่ถือตัว ทำให้เพื่อนทั้งสี่คนกล้าเข้ามาพูดคุยด้วยความเป็นมิตรไม่แพ้กัน...


“โหยพี่ พวกเราห้ามไอ้ว่านไม่ได้หรอก ดูมันดิตัวก็สูงแรงก็เยอะ สะบัดทีพวกผมก็ปลิวแล้ว” คนบอกนี่ชื่อบอล บอลเป็นคนที่มีสีผิวคล้ำแดด และตัดผมจนสั้นเกรียน


“เว่อร์แล้วบอล” ต้นว่านกระทุ้งข้อศอกใส่เพื่อนตัวเองเบาๆ


“อั๊ก! โอ๊ย! กระดูกผมหักแล้ว พี่ไผ่ช่วยพาผมไปส่งโรงพยาบาลที” อีกฝ่ายว่าพร้อมกับเซมาเตรียมจะกอดเอวคนอายุมากสุดอย่างผมแต่กลับถูกเพื่อนรู้ทันคว้าคอเสื้อไว้แล้วเหวี่ยงไปหากลุ่มเพื่อนที่เหลือแทน


“เลิกเล่นน่า”


“เป็นเพื่อนที่ดีเลยนี่” สนิทกันมากแถมยังดูจะเข้ากันได้ดีอีก


“เพื่อนที่ชอบกวนน่ะสิ”


“เราต้องไปทำอะไรต่อรึเปล่า” ใบไผ่ถามต่อ


“ผมมีงานพิเศษที่ต้องทำแต่ยังเหลือเวลาอยู่ประมาณชั่วโมง พี่มีอะไรเหรอครับ”


“ไปด้วยกันหน่อยได้ไหม” ผมไม่ตอบแต่ส่งยิ้มบางๆ กลับไปให้แทน


“อืม… ก็ได้ครับ”




มีต่อนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-05-2018 20:34:22 โดย nicedog »

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
ต่อค่าา


:: ต้นว่าน ::

จากนั้นผมก็ลาเพื่อนในกลุ่มทั้งสี่คนก่อนจะเดินตามหลังคนอายุมากกว่าไปโดยไม่พูดอะไรจนไปถึงรถยนต์คันสีบรอนซ์ทองที่ไม่ต้องดูยี่ห้อก็พอรู้ว่าราคาสูงลิ่วแน่นอน ระหว่างที่พี่ใบไผ่กำลังขับรถผมก็ลอบมองหน้าอีกฝ่ายเป็นระยะ การกระทำของพี่เขาทำให้ความรู้สึกที่มีต่อพวกคนรวยของผมเปลี่ยนไปมาก


ไม่เคยคิดว่าจะได้รับทั้งคำขอโทษและก้มหัวให้เหมือนอย่างวันนี้...


ก็อย่างที่เห็นว่านักศึกษารวยๆ หลายคนไม่ค่อยชอบผมเท่าไรนัก ถึงจะเรียนดี เล่นกีฬาเก่ง หรือหน้าหล่อตามที่เพื่อนๆ ยกยอ แต่ด้วยฐานะที่ไม่ค่อยดีเลยมักถูกกันให้ไม่สามารถเข้ากลุ่มได้ในบางครั้ง ผมเข้าใจถึงความแตกต่างของฐานะดีจึงไม่ได้ว่าอะไร แต่ถึงจะบอกว่าเข้าใจแต่การถูกด่าทออย่างวันนี้เป็นเรื่องที่ทำให้โมโหที่สุด ถ้าไม่ถูกเจ้าของรถคันนี้ห้ามไว้ก็คงมีเรื่องไปแล้ว


ถ้ามีการทะเลาะกันเรื่องต้องถึงหูฝ่ายปกครองเป็นแน่ และก็คงถูกพักการเรียน ซ้ำยังโดนหักคะแนน ทุนการศึกษาที่จะได้ก็คงหายวับไปเช่นกัน


“ขอบคุณนะครับ” ผมบอกกับคนที่กำลังขับรถเบาๆ พอสงบสติอารมณ์ได้ก็เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงเข้ามาห้ามไว้ทั้งๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันแถมยังถูกด่าว่าอีก


พี่เขาคงรู้ว่าถ้าไม่มาห้ามจะเกิดอะไรขึ้น...


“ขอบคุณพี่เหรอ” เสียงนุ่มๆ ของคนขับรถถามกลับ ผมจึงพยักหน้าส่งไปให้ “ไม่เป็นไร...แต่คราวหน้าใจเย็นหน่อยก็ดีนะ”


“พี่เองก็ใจเย็นใช่ย่อยนี่”


ภาษาอังกฤษสำเนียงไพเราะนั่นมีความหมายที่ไม่เข้ากับน้ำเสียงซะเลย


“ก็มีบ้าง นานๆ ทีจะถูกด่า แถมยังบอกว่าพี่เป็นกระเทย ถึงจะไม่หล่อเหมือนเราแต่หน้าตาก็ไม่ได้หวานขนาดนั้นสักหน่อย”


พอถูกชมอย่างไม่ตั้งตัวเลยหันไปมองคนข้างกายอย่างงงๆ


“ผมหล่อ?” สาบานได้ว่าไม่ได้คิดกวนแม้แต่น้อย


“เราควรส่องกระจกหน่อยนะ แล้วก็พูดว่ากระจกวิเศษเอ๋ย จงบอกข้าเถิดใครหล่อเลิศในปฐพี กระจกวิเศษก็จะตอบกลับมาว่าต้นว่านนั่นไง”


“ฮึ...” ผมหลุดขำออกมาเพราะเสียงนุ่มๆ ที่ดัดเป็นเป็นทั้งแม่มดและกระจกวิเศษ


“นั่นแหละๆ ยิ้มเยอะๆ เราเพิ่งจะอายุเท่านี้เองอย่าเพิ่งไปเครียดกับทุกอย่างรอบตัวเลย” ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจนเกือบทองที่หันมาสบพร้อมรอยยิ้มนั่นทำเอาหัวใจที่สงบนิ่งเต้นเร็วขึ้นมาเล็กน้อย


“แปลกคน”


แปลกคนจริงๆ ทั้งที่ถูกตะโกนใส่ไปขนาดนั้นแต่ก็ยังตามมาขอโทษทั้งที่ไม่จำเป็นสักนิด


“บอกพี่?”


“แล้วแต่พี่จะคิดเลย” พูดจบก็ส่งยิ้มบางๆ กลับไปบ้าง


ใช้เวลาไม่กี่นาทีรถก็มาจอดบริเวณหน้าบ้านหลังเดิม เจ้าของรถดับเครื่องแล้วลงไปหยิบถุงบางอย่างด้านหลังคนขับ ผมที่นั่งมาด้วยก็ได้แต่ลงไปรออีกฝ่ายที่หน้าประตูเงียบๆ ที่พามานี่ก็พอจะเดาเหตุผลได้อยู่


จำได้ว่าพี่เขากลัวสุนัขนี่นะ... คงจะไม่กล้าให้อาหารเองแน่ๆ


“เอาล่ะ เราช่วยเอาอาหารให้มะนาวหน่อยสิ”


ถึงคำพูดเหมือนจะดูเป็นคำสั่ง แต่ด้วยร่างกายที่เริ่มสั่นเมื่อเข้าใกล้ประตูรั้วก็ทำเอาผมที่มองอยู่หลุดยิ้มออกมา พี่ใบไผ่เหมือนเจ้าชายที่อยู่ในนิทานเพียงแต่ตอนนี้กำลังขาสั่นไม่ใช่เพราะต้องเจอกับมังกรพ่นไฟแต่เพราะต้องเจอกับสุนัขตัวใหญ่อย่างมะนาวต่างหาก


“วิ๊ว!”


ด้วยความอยากแกล้งผมจึงผิวปากเรียกมะนาวให้ออกมาหา เสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้และทันทีที่เห็นคนหน้าคุ้นอย่างผมมะนาวก็กระโจนใส่รั้วหมายจะเล่นด้วยเหมือนอย่างทุกที


บรู๊ววว~


ลักษณะของสุนัขสายพันธุ์นี้จะเหมือนหมาป่าที่มักจะไม่ส่งเสียงเห่าแต่จะหอนแทน ตามสัญชาติญานแล้วพวกมันจะค่อนข้างดุและไม่ยอมใครง่ายๆ แถมยังเป็นสุนัขที่มีพลังงานมาก และต้องได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม แต่กับมะนาวนั้นความก้าวร้าวหรือดุดันแทบจะไม่มีให้เห็นเลย นิสัยของมะนาวทั้งน่ารักและเฉลียวฉลาดเหมือนสุนัขพันธุ์ไซบีเรียน ฮักกี้เสียมากกว่า อาจเพราะได้รับการดูแลและพาออกสังคมตั้งแต่ยังเด็กเลยไม่คิดว่ามนุษย์เป็นศัตรู


ถึงการกระโดดพร้อมเสียงหอนจะเป็นสิ่งที่ผมเห็นเป็นประจำจนชินแต่กับคนพึ่งมาเจอกับตัวใกล้ๆ อย่างพี่ใบไผ่ก็ถึงกลับหน้าถอดสีทรุดตัวลงไปกับพื้นอย่างหมดท่า


ผมได้แต่แอบยิ้มกับท่าทางที่เห็น ใจจริงก็อยากจะหัวเราะออกมาดังๆ แต่ก็กลัวว่าจะเป็นการเสียมารยาทเกินไป


บอกไปแบบนั้นก็จริงแต่...


“ฮึ...” ผมหลุดขำจนต้องรีบเอามือทั้งสองข้างปิดปากตัวเอง


เจ้าของบ้านคนใหม่หันขวับมามองอย่างเคืองๆ “...ขะ...ขอบอกไว้ก่อนนะว่าพี่ไม่ได้กลัวแค่ตกใจเฉยๆ ”


คำพูดติดๆ ขัดๆ นั่นแค่มองก็รู้แล้วว่าโกหกเห็นๆ


“ครับๆ ”


“เสียงแบบนั้นไม่เชื่อกันนี่” หนุ่มลูกครึ่งที่ทรุดตัวอยู่บนพื้นพูดต่อ


“เชื่อสิครับ”


“พูดจริงใช่ไหม”


“แน่นอนครับ” ผมไม่ได้โกหกนะแต่นี่เพื่อความสบายใจของพี่ใบไผ่ล้วนๆ


“งั้นก็เอานี่ให้มะนาวด้วย”


พูดจบถุงสีขาวขุ่นก็ถูกยื่นมา พอเปิดดูภายในก็เจออาหารสำเร็จรูปแบบถาดสำหรับสุนัขหลายสิบอัน ยี่ห้อของอาหารที่ปรากฏต่อสายตาทำเอาผมตาเบิกกว้างขึ้น


ก็อาหารสำเร็จรูปยี่ห้อนี้เพียงอันเดียวแพงกว่าค่าอาหารทั้งวันของผมเองเสียอีก


“พี่ไม่ให้เองเหรอ… ครับ” เป็นอีกครั้งที่ผมเผลอพูดแบบไม่มีหางเสียง


“ไม่ต้องกังวลเรื่องมารยาทหรอก จะเติมครับหรือไม่ก็ได้ ตามใจเลย”


“แต่...” แบบนั้นมันก็ดูไม่ดีน่ะสิ


“บอกแล้วไงว่าพี่ไม่ถือ...นะ”


คำว่า ‘นะ’ ทำให้ผมเผลอกำมือแน่นอย่างไม่ทันตั้งตัว


“...ครับ”


“งั้นก็ฝากด้วยนะ”


ผมเดินไปหยิบชามใส่อาหารที่อยู่ตรงประตูเล็กด้านข้างไปทำความสะอาด ก่อนจะเดินกลับมายังหน้าประตูรั้วซึ่งมีเจ้าของบ้านยืนรออยู่ เพียงแต่ระยะห่างของคนกับรั้วดูจะมากขึ้นกว่าตอนแรกซะอีก


“มะนาวไม่กัดพี่หรอกนะ”


“...ก็ไม่ได้กลัวนี่” ปากก็พูดแบบนั้นแต่ขาดันก้าวถอยห่างออกไปอีกนิด


“ครับๆ พี่จะให้รสไหนดีล่ะ” ผมถามต่อโดยที่กางถุงสีขาวขุ่นให้อีกฝ่ายดูอาหารสำเร็จรูปที่อยู่ภายใน


“แล้วแต่เลย”


ได้ยินแบบนั้นคนถือถุงแบบผมก็ได้แต่ทำตาม ผมหยิบอาหารสำเร็จรูปออกมาสามอันแต่หนึ่งในนั้นทำเอาผมจ้องจนคิ้วขมวดเข้าหากันแน่นก่อนจะจัดการเอาอาหารทั้งหมดที่อยู่ในถุงออกมาเรียง


“ทำอะไรเหรอต้นว่าน” คนข้างหลังเอ่ยถามก่อนจะเดินเข้ามาหาอย่างสนใจ


“พี่ได้อ่านฉลากก่อนซื้อรึเปล่า”


“อ่านสิ”


“งั้นซื้ออาหารสำหรับลูกหมามาทำไม” ผมถามพร้อมกับชูหลักฐานขึ้นมาให้ดู แถมไม่ใช่แค่อันเดียวแต่มีถึงสามอัน


คนซื้อได้แต่ก้มหน้าลง คงรู้สึกแย่ที่แค่เลือกอาหารสุนัขก็ยังทำผิด


“ผมไม่ได้ว่าสักหน่อย อย่าก้มหน้าแบบนั้นสิ” แค่คนตรงหน้าก้มลงก็นึกได้ว่าตัวเองพูดอะไรไม่ดีออกไป


“...”


“พี่ใบไผ่...” ผมเรียกคนตรงหน้าอีกครั้งแต่อีกฝ่ายยังคงเงียบ


ผมวางมือจากอาหารที่ถือแล้วเปลี่ยนไปสัมผัสใบหน้าของพี่ใบไผ่ให้เชิดขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าที่แดงระเรื่อเพราะความอายทำเอาผมเบิกตากว้างขึ้นด้วยความตะลึง...


ผมเคยเจอผู้ชายหน้าแดงมาก็มาก แต่ก็เพิ่งเคยเจอคนที่หน้าแดงได้น่ารักก็ครั้งนี้แหละ


“พี่ไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้...คราวหน้าจะดูดีๆ ละกัน” เสียงนุ่มพึมพำกลับมา


“ครับ”


ประโยคที่อีกฝ่ายพูดมาแทบไม่เข้าหัวเลย รู้เพียงแค่ใบหน้าแดงๆ นั่น ...น่ามองชะมัด


“ไม่ให้ต่อล่ะ...หรือว่าไม่ควรเอาของหมาเด็กให้มะนาวกิน?”


“เปล่าครับ ให้กินได้เดี๋ยวผมจัดการให้” ผมละมือที่สัมผัสใบหน้าขาวออกก่อนจะหันมาจัดการอาหารตรงหน้าอย่างจริงจัง


“ขอบคุณนะ”


“ไม่เป็นไรครับ แต่พี่ควรจะเป็นคนให้อาหารมะนาวเองนะ สุนัขน่ะจะสัมผัสกลิ่นที่คลุกลงไปในอาหารได้ทำให้เกิดความใกล้ชิดกันมากขึ้น” ระหว่างที่จัดการแกะอาหารสำเร็จรูปใส่ชาม ผมก็บอกเจ้าของบ้านไปด้วย


“ไม่ไหวหรอก”


“พี่บอกว่าไม่กลัวนี่?” ครั้งนี้ผมสวนกลับบ้าง


“เอ่อ...”


“ผมอยากให้พี่บอกความจริงมา ถ้ายอมบอก ผมอาจช่วยพี่ได้นะ”


คนถูกถามเม้มปากแน่นอย่างชั่งใจว่าควรจะบอกความจริงไปดี หรือจะโกหกต่อไปทั้งๆ แบบนี้


“เสร็จล่ะ มากินเร็วสาวสวย”

 
ชามอาหารถูกสอดเข้าไปด้านใต้ของรั้วที่มีช่องว่างพอจะให้สอดเข้าไปได้ สุนัขตัวใหญ่กระดิกหางไปมาอย่างดีใจที่จะได้อาหาร ผมสั่งให้มะนาวนั่ง มันเป็นการฝึกอย่างที่ทำประจำก่อนจะสั่งให้กินได้ เพียงพริบตาอาหารสำเร็จรูปก็หมดลง


“ต้นว่าน”


“ครับ?”


“อื้ม...”


“ครับ?” ผมกระพริบตาติดๆ กันอย่างไม่เข้าสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ


“พี่กลัวหมา เพราะงั้นช่วยพี่หน่อย...นะ”


คำตอบที่ได้ยินเรียกรอยยิ้มบางๆ ออกมาอย่างไม่ตั้งใจ


“ผมช่วยได้ แต่พี่ต้องพยายามด้วยนะ”


“หมายความว่าไง” ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจนเกือบทองเลื่อนขึ้นมาสบพร้อมเอียงหัวเล็กน้อย ท่าทางเหมือนเด็กๆ ที่เห็นนั้นทำให้รอยยิ้มที่หายไปกลับมาอีกครั้ง


“ผมจะทำให้พี่เลิกกลัวหมา”


“ฮะ?!”

................................................................................

สวัสดีค่ะ

ก่อนอื่นต้องบอกว่าประโยคภาษาอังกฤษที่ใช้นั้นเราหามาจากเน็ตนะคะเพราะเราไม่ค่อยเก่งอังกฤษนัก555

เรื่องนี้จะแต่งเป็นเหมือนเรื่องสั้นที่ออกจะยาวหน่อย

จากที่วางไว้คิดว่าไม่ยาวเท่าเรื่องอื่นแน่ๆ

เขียนแนวแฟนตาซีมาซะนานเลยอยากกลับมาเขียนแนวธรรมดาแบบนี้บ้าง

ขอบคุณสำหรับทุกๆคอมเม้นท์และทุกๆกำลังใจนะคะ

ไว้เจอกันใหม่ในตอนหน้าค่ะ

มาดูกันว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะพัฒนาไปยังไง

บ๊ายบาย :mew1:

Rewrite >> หากมีใครสังเกตจะมีการเปลี่ยนชื่อเรื่องจาก Find Love พบรัก มาเป็น When we found love ▪พบรัก▪​ แทนนะคะเพื่อให้เหมาะสมกับเนื้อเรื่องมากขึ้นค่ะ

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-05-2018 20:34:40 โดย nicedog »

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
สุดยอดไปเลย. พวกเด็กที่โตมาด้วยเงินอย่างเดียวนี่น่าสงสารและสมเพชในเวลาเดียวกันนะ.
แปลว่าตัวเองไม่มีอะไรดีเลยสินะ จ้องแต่จะดูถูกคนอื่นเพื่อจะได้รู้สึกมีตัวตน

ต้นว่านกับน้องมะนาวคนสวยช่วยพี่ไผ่ด้วยนะ. ว่าแต่มะนาว ไผ่ ว่าน คนละตระกูลเลยนะแต่มาลงเอยกันได้ อิอิ
ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8891
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ เป็ดอนุบาล

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
 :katai2-1: :katai2-1:เอาจริงๆนะตอนแรกนึกว่าแฟนตาซีซะอีก
นึกว่าหมาจะกลายร่างเป็นคนอะไรเทือกๆนั้น555ยังอินกับไดนเสาร์กลายร่างได้อยู่ไงอิอิ
แต่แบบนี้ก็ละมุนดีได้อารมณ์ประมาณอาณาเขตรักดีชอบ...ส่วนตัวชอบแแนวๆนึ้มันดูละมุนดีมีหมาเป็นตัวเชื่อมน่ารักไปอีก
รอติดตามนะจร๊ะ :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4062
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
ละมุน ละไม~

ทั้งสองคนนี้คืนดีกันแล้ว แล้วพี่ใบไผ่จะโดนน้องล่อลวงแล้วเหรอคะ  :m20: ไวไปม้ายยยยยยยย

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
อยากจิได้มะนาวววว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ใบไผ่น่ารักจังเลย
(มะนาวก็น่ารักนะ ฮา)

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4982
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
พี่ใบไผ่หน้าแดงแล้วน่ารักในสายตาต้นว่าน :-[ :-[

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6
ตอนแรกนึกว่าจะแฟนตาซี
คืดว่ามะนาวจะกลายเป็นคน
55555555
ติดตามต่อค่ะ

 :L2: :L2:

ออฟไลน์ MSeraph

  • This too shall pass
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1751
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-3
มีเขินมีชมน่ารัก วรั้ยยย
ไม่รอดแล้วละค่ะทั้งคู่

ออฟไลน์ imvodka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 252
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-4
 :L2: เรื่องสนุกต้องปักไว้

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
พบรัก ▪×วันที่3×▪



การต้องเข้าประชุมในช่วงเช้าสูบพลังงานคนนอนน้อยอย่างผมสุดๆ หัวข้อของการประชุมครั้งนี้คือการขยายสินค้าที่จะทำการขนส่งให้มีขอบเขตกว้างกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ทุกคนต่างรู้กันว่าบริษัทศิริวัฒนิวงศ์ของผมเป็นที่รู้จักในวงกว้าง ผู้ประกอบการที่ต้องการนำสินค้าเข้ามาในประเทศหรือส่งออกสินค้าไปต่างประเทศต้องนึกถึงบริษัทผมทั้งนั้น พูดง่ายๆ ก็คือบริษัทนี้เป็นบริษัทขนส่งสินค้าที่ได้รับความนิยมและติดอันดับหนึ่งของประเทศ


เหล่าผู้ประกอบการต่างไว้วางใจการขนส่งสินค้าของเราว่าจะไปถึงจุดหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพและว่องไว แต่ในปัจจุบันบริษัทของเรานั้นเน้นการขนส่งสินค้าขนาดใหญ่อย่างเช่น เฟอร์นิเจอร์ รถยนต์ หรือพวกส่วนประกอบของตึก ในการประชุมวันนี้จึงมีการเสนอให้เพิ่มการขนส่งสินค้าขนาดเล็กลงมาอย่างพวกอาหารสำเร็จรูป ขนมขบเคี้ยว หรือแม้แต่พวกอาหารแช่แข็งตามฤดูกาล


ความจริงก็ถือเป็นเรื่องดีที่บริษัทมีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องเพราะจะทำให้ชื่อเสียงที่มีอยู่สะสมมากขึ้นไปเรื่อยๆ ดังนั้นผลของการประชุมจึงอนุมัติให้ทำตามนั้นได้


หลังจากจบการประชุมที่ยาวนานกว่าสามชั่วโมงผมก็จัดการเอกสารด้วยตัวเองอีกเล็กน้อยก่อนจะขับรถออกจากบริษัท จุดหมายปลายทางก็คือบ้านสองชั้นหลังเดิมตามที่นัดกับต้นว่านไว้เมื่อวาน


‘ผมจะทำให้พี่เลิกกลัวหมา’


ต้นว่านพูดไว้แบบนั้นแล้วก็นัดวันเอาเองเสร็จสับ แต่ถึงอย่างไรประธานบริษัทอย่างผมก็ว่างอยู่แล้ว ...แม้จะมาสายกว่าที่นัดไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมงก็ตาม


“ขอโทษที่มาสายนะ” ผมวิ่งเหยาะๆ ไปหาต้นว่านที่รออยู่หน้าประตูด้วยความรู้สึกผิด


ไม่น่าเผลอไปจัดการเอกสารเลย… กินเวลาไปเสียนาน


ทั้งที่ความจริงคนขอความช่วยเหลืออย่างผมควรจะมาถึงก่อน ไม่ใช่ให้เขามารอแบบนี้ แล้วนี่ก็ไม่รู้ว่ามายืนรอนานเท่าไรแล้ว ถ้าให้เดาคงไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมงเป็นแน่


“ไม่เป็นไรครับ ผมเองก็ลืมถามว่าพี่ว่างไหม พี่คงไม่ได้ลางานมาหรอกนะ”


คำถามที่ได้ยินทำเอาผมตอบไม่ถูก จะว่าลางานก็คงใช่ แต่อีกแง่มันก็ไม่ใช่


“ก็ไม่นะ”


สุดท้ายผมก็ตัดสินใจบอกตามความจริงว่านี่ไม่ใช่การลางาน ยังไงผมก็เข้าบริษัทเพียงไม่กี่วันต่อสัปดาห์เท่านั้น อีกอย่างต่อให้ผมเข้าบริษัทตอนเช้า พอช่วงบ่ายหากไม่มีงานอะไรผมก็ตรงกลับห้องก่อนอยู่ดี ผมชินกับการทำงานข้างนอกมากกว่าในห้องประธานซะอีก


“แปลว่าพี่หยุดสินะ”


“จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ผิดหรอก… ว่าแต่เราไม่มีเรียนเหรอ” ผมถามกลับไปบ้าง


“ผมมีเรียนแค่สามวัน”


“เรียนน้อยจังนะ”


“ก็ปีสุดท้ายแล้วนี่”


“ปีสุดท้ายแล้ว? งั้นเดี๋ยววันรับปริญญาพี่จะเอาดอกไม้ไปให้ละกัน”


“ไม่ต้องหรอกพี่” เด็กหนุ่มตรงหน้าปฏิเสธแทบจะทันที


“พี่ไปไม่ได้สินะ ก็อย่างว่าแหละเราเพิ่งรู้จักกันเองนี่เนอะ” ผมพยายามบีบเสียงตัวเองให้เศร้าพลางก้มหน้าลงมองพื้นช้าๆ เหมือนกับว่ากำลังจะร้องไห้


รางวัลตุ๊กตาทองอยู่ไหน? 


อยู่ที่ผมนี่ไง!


“พี่... เอ่อ...ผมไม่ได้หมายความแบบนั้นนะ คือ...”


ยิ่งได้ฟังน้ำเสียงร้อนรนปนทำตัวไม่ถูก ผมที่แกล้งเศร้าถึงกลับต้องกลั้นยิ้มไว้อย่างสุดความสามารถ


ต้นว่านเป็นคนที่ดูภายนอกเหมือนจะแข็งๆ แต่พอได้รู้จักกลับอ่อนโยนอย่างคาดไม่ถึง แค่แกล้งทำหน้าเศร้าใส่นิดหน่อยก็ทำตัวไม่ถูกเลยทีเดียว


งั้นถ้าเปลี่ยนจากเศร้าเป็นอ้อนดูจะเป็นยังไงนะ...


“งั้นให้พี่ไปได้ไหม” คราวนี้ผมลองเปลี่ยนจากเสียงโทนเศร้ามมาเป็นเสียงอ้อนๆ แทน


“เอ่อ...”


อีกฝ่ายหน้าขึ้นสีทันทีที่เห็นท่าทางออดอ้อนจากผม แปลว่าอายุขนาดนี้ก็ยังพออ้อนได้สินะ


“ให้พี่ไปนะต้นว่าน… นะ”


“ครับ”


“เยส!” ผมกระโดดตัวลอยเมื่อลูกอ้อนของตัวเองใช้ได้ผล


“นี่พี่… แกล้งผมสินะ”


เสียงทุ้มที่ดังขึ้นทำเอาผมที่กระโดดโลดเต้นเมื่อครู่หันไปส่งยิ้มแฮะๆ ให้


“เปล่านะ พี่อยากไปงานรับปริญญาเราจริงๆ ”


เรื่องนี้ไม่ได้โกหกนะ ที่ผมทำทั้งหมดก็เพราะอยากไปงานรับปริญญาของต้นว่าน


“พี่ใช้วิธีนี้กับทุกคนเลยเหรอ”


“วิธีนี้?”


“ก็พูดด้วยน้ำเสียงอ้อนๆ น่ะ” ต้นว่านพูดเสียงเบาคล้ายไม่อยากจะพูดสักเท่าไหร่


“อ้อ… พึ่งลองกันต้นว่านครั้งแรก อายุขนาดนี้จะให้ไปอ้อนใครเหมือนเด็กๆ ก็คงไม่ได้หรอก แค่นี้ก็อายอายุตัวเองแล้ว” ทั้งการบีบเสียง ทั้งการพูดอ้อนเหมือนเด็กอายุ 7 ขวบนั่นอีก


“ถ้าพี่อยากอ้อน...จะอ้อนผมก็ได้นะ” เด็กตรงหน้าบอก


“เอาจริง?”


“ครับ”


“คิกๆ ไม่ต้องจริงจังขนาดนั้นน่า” ผมบอกพลางตบไหล่ต้นว่านเบาๆ


“เราจะเข้าไปข้างในกันเลยไหม”


“เข้าไปเลยเหรอ”


บรรยากาศสนุกๆ หายไปทันควันเมื่อได้ยินว่าต้องเข้าไปในบ้าน ถ้าเป็นบ้านธรรมดาคงไม่มีอะไรต้องกลัว แต่ในบ้านหลังนี้มันมีสิ่งมีชีวิตที่ผมกลัวที่สุดอาศัยอยู่


สิ่งมีชีวิตสี่ขาที่ชื่อว่า ‘สุนัข’


แค่นึกว่าต้องเข้าไปเจอกับอะไร ใบหน้าผมก็เริ่มซีดลงเรื่อยๆ ผมสัมผัสได้ว่าเลือดที่กำลังไหลเวียนอยู่ทั่วใบหน้าบัดนี้กลับไหลลงไปส่วนอื่นกันหมด


“ถ้าไม่เข้าไปแล้วพี่จะเลิกกลัวได้ยังไงล่ะ”


“เฮ้ย!”


คนกลัวสุนัขอย่างผมร้องเสียงหลงเมื่อเด็กหนุ่มตรงหน้าทำท่าจะเปิดประตู ดวงตาของผมเบิกตากว้าง ร่างกายตั้งท่าพร้อมถอยหนีจนแผ่นหลังชนเข้ากับกระโปงหน้ารถด้วยหัวใจที่เต้นรัวขึ้นจากความกลัว


“พี่ร้องทำไม” ต้นว่านก็สะดุ้งกับเสียงร้องผมเหมือนกัน


“ก็เราเปิดประตูโดยไม่บอกกันก่อนนี่” ไม่วิ่งเข้ารถก็ถือว่าดีเท่าไหร่แล้ว


“พี่ใบไผ่” คนได้ยินคำตอบก็ยกมือเท้าเอวทั้งสองข้างพร้อมส่งสายตาเอือมๆ มาให้


“อะไร” ทำไมต้องทำหน้าเอือมขนาดนั้นด้วย


“นี่มันบ้านพี่นะ”


“อืม” ก็รู้… แล้วไง?


“ผมจะมีกุญแจบ้านพี่ได้ยังไงกัน”


คำตอบที่ได้ยินทำเอาผมอยากจะหายตัวไปจากแผ่นดินไทยมันซะเดี๋ยวนี้เลย นี่กลัวมากจนคิดเรื่องง่ายๆ ไม่ออกได้ยังไง


อับอาย ขายหน้า!


ถ้าหาอะไรมาคลุมหัวได้คงทำไปแล้ว!


“พี่เคยมีอดีตไม่ดีกับหมาเหรอ”


“ก็เปล่า...มั้ง” ผมนึกระหว่างตอบ


รู้แค่ว่าพอเห็นสุนัขเดินเข้ามาใกล้ร่างกายมันจะเกร็งไปเอง ยิ่งถูกมองด้วยดวงตาคมนั่นยิ่งส่งผมให้ผมอยากหนีไปไกลๆ ซะให้รู้แล้วรู้รอด


“เคยถูกกัดหรือถูกข่วนไหม”


“ไม่นะ” ถ้าจะมีก็แค่เห่าหรือวิ่งไล่ อ้อ… มีที่เคยถูกกระโดดใส่เหมือนกัน


“งั้นถูกวิ่งไล่ล่ะ” อีกฝ่ายยังคงถามต่อ


“ก็มะนาวแหละที่วิ่งไล่ตอนพี่เข้าไปในบ้าน”


ความทรงจำเมื่อวันก่อนผุดย้อนมาอย่างรวดเร็ว ภาพของสุนัขคล้ายหมาป่าวิ่งไล่จนแทบเอาตัวไม่รอดยังเป็นภาพติดตาอยู่จนถึงทุกวันนี้


“พี่วิ่งก่อน หรือมะนาววิ่งก่อน?”


“...คิดว่าเป็นมะนาวนะ” ตอนนั้นมันกลัวจนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง


“มะนาวเป็นหมาที่เป็นมิตรมากจึงไม่แปลกที่จะวิ่งเข้าหาคน แต่ถ้าเป็นสายพันธุ์เดียวกันแต่เป็นตัวอื่นที่ไม่ใช่มะนาวคงไม่ได้วิ่งมาเพราะความเป็นมิตรแน่”


แม้ต้นว่านจะพึมพำประโยคสุดท้ายกับตัวเองแต่ผมก็ยังได้ยินชัดเจนเต็มสองหู แปลว่าผมโชคดีที่มะนาวเป็นสุนัขแสนเป็นมิตรสินะ ถึงอย่างนั้นจะห้ามไม่ให้กลัวได้ที่ไหนกัน


“แต่มะนาวมันจะกัดพี่นะ” ผมเถียงขาดใจ เขี้ยวแหลมๆ นั่นดูยังไงก็น่ากลัวสุดๆ


“จะกัดแน่เหรอ เชคโกสโลวัคเกี้ยน วูล์ฟด็อกถึงจะมีรูปร่างคล้ายหมาป่าแถมยังนิสัยดุอยู่สักหน่อยก็จริง แต่มะนาวไม่เหมือนกับตัวอื่นๆ มันไม่ทำร้ายคนแน่นอน ผมว่ามะนาวน่าจะอยากเล่นกับพี่มากกว่า” เด็กหนุ่มวิเคราะห์ออกมาอย่างมีเหตุผล


“เชคโกสโลวัคเกี้ยน วูล์ฟด็อก?”


อะไรน่ะ...ชื่อสายพันธุ์?


“นี่พี่ไม่รู้เหรอ ว่าพ่อแม่ตัวเองเลี้ยงหมาพันธ์อะไร”


คำพูดนี้เหมือนกำลังโดนด่าว่าโง่อยู่กลายๆ


“ไม่รู้… พึ่งมารู้ว่าเลี้ยงก็วันแรกที่มานั่นแหละ”


ถ้ารู้ว่าในบ้านมีสุนัขอยู่ผมคงไม่กล้าเปิดประตูเข้าไปหรอก


“เอาเถอะ อย่างที่พี่ได้ยินมะนาวเป็นสุนัขพันธุ์เชคโกสโลวัคเกี้ยน วูล์ฟด็อก …พูดอย่างนี้พี่คงจะไม่รู้สินะว่าสายพันธุ์นี้น่ะสุดยอดขนาดไหน”


“อ่า… ไม่รู้”


ต่อให้ชื่อสายพันธุ์จะยาวกว่านี้สักสิบบรรทัดผมก็ไม่รู้หรอกว่าหมายถึงอะไร แล้วนี่ไม่ใช่ว่าอยากได้ก็ไปหาซื้อตามตลาด หรือสั่งทางเว็บเหมือนสายพันธุ์อื่นรึไง


“เฮ้อ สำหรับพี่อาจจะไม่ใช่เรื่องที่น่าตกใจก็ได้นะ แต่พี่รู้ไหมว่าราคาของสุนัขพันธุ์นี้อยู่ที่เท่าไหร่” ต้นว่านพูดต่อ


คำถามที่ได้ยินเริ่มทำให้ผมขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างครุ่นคิด ถ้าพูดถึงราคาสุนัขก็มีให้เห็นตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักล้าน เคยได้ยินมาเหมือนกันว่ามีสุนัขบางตัวที่มีเพียงมหาเศรษฐีเท่านั้นจึงจะสามารถเลี้ยงได้ แต่ดูจากลักษณะของมะนาวก็คล้ายๆ บางแก้วของไทย แสดงว่าราคาคงไม่สูงมากขนาดนั้น ถึงอย่างนั้นพ่อแม่คงไม่เลือกสุนัขเกรดธรรมดามาเลี้ยงหรอกมั้ง


“สักแสนนึงมั้ง” ผมตอบหลังจากคิดอยู่สักพัก


ดวงตาคมเข้มที่หรี่มองมาคล้ายกับเอือมระอาเต็มทีทำเอาผมที่ไม่ค่อยรู้เรื่องสุนัขมากนักถึงกับไปไม่ถูก


“เอ่อ...ผิดสินะ”


“จะว่าผิดก็ไม่ผิดหรอกครับ”


“แปลว่าถูกสินะ” ได้ยินแบบนั้นก็เริ่มมีความหวังขึ้นมาว่ามันจะถูก


“เชคโกสโลวัคเกี้ยน วูล์ฟด็อกเป็นสุนัขที่ไม่สามารถวัดราคาได้”


“พูดเป็นเล่น” เพียงประโยคเดียวก็ทำเอาผมเหงื่อตกเพราะเข้าใจความหมายของประโยคนั้นเป็นอย่างดี


ไม่สามารถวัดราคาได้ ตีความหมายออกมาได้ว่าคนที่จะสามารถครอบครองสุนัขสายพันธุ์นี้ได้ต้องผ่านการประมูลซึ่งจะมีราคาเริ่มต้นแตกต่างกันไปตามมูลค่าของสินค้า ในทางธุรกิจ การประมูลถือเป็นการค้าที่ทำกำไรได้อย่างมหาศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าสินค้านั้นมีคนต้องการมาก


นี่จะบอกว่ามีสุนัขที่ต้องใช้การประมูลเพื่อซื้อ?


“ผมไม่รู้หรอกว่าพ่อแม่พี่ซื้อมะนาวมาเท่าไหร่แต่จากที่คาดมันคงไม่ต่ำกว่าหลักล้าน”


ฟังมาถึงตรงนี้ ผมก็ยกมือขึ้นมาก่ายหน้าผากอย่างเครียดๆ สุนัขราคากว่าหกหลักถูกเลี้ยงอยู่ในบ้านเดี่ยวสองชั้นอันแสนธรรมดา แถมตอนนี้เจ้าของมันดันเป็นคนที่กลัวสุนัขขั้นรุนแรงอย่างผมด้วย


“อ้อ… ผมลืมบอกไปว่าหมาพันธุ์นี้มีอยู่ในประเทศไทยเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้นนะ”


“พอเถอะต้นว่าน” ตอนนี้ผมที่กลายเป็นเจ้าของสุนัขหมาดๆ กำลังทำใจกับสิ่งที่เพิ่งรู้อยู่


“เข้าบ้านกันได้แล้วพี่”


“ต้นว่านเข้าไปคนเดียวได้ไหม” ผมต่อรอง


“ไม่ครับ เร็วๆ เลยพี่ผมต้องไปทำงานพิเศษอีกนะ”


เสียงต้นว่านที่เร่งมาทำให้ผมจำต้องหยิบกุญแจบ้านขึ้นมาไขด้วยมือสั่นๆ จากที่มองเข้าไปยังไม่เห็นมะนาวอยู่แถวๆ นี้ เป็นไปได้ว่าอาจนอนอยู่ที่อื่น


ถ้าเป็นแบบนั้นก็รีบเดินให้ถึงตัวบ้านจะได้ไม่ต้องเจอมะนาวก็ได้สินะ...


“ผมลืมบอกอีกแล้ว พ่อแม่พี่เลี้ยงมะนาวในบ้านด้วยนะ”


“อึก...” ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากเมื่อได้ยิน


ทำไมผมต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย ที่หนีก็ไม่มีเลยสักที่… ฮือออ


“ผมจะเข้าไปก่อน พี่ตามผมมานะ”


“อืม” พยักหน้าเสร็จก็ถอยออกมาให้ต้นว่านเปิดประตูรั้วเข้าไป ผมรีบเดินเข้าประชิดตัวต้นว่านที่เดินนำหน้าอยู่ในทันทีที่ประตูรั้วถูกปิดลง


ความจริงอยากจะกอดแขนอีกฝ่ายด้วยซ้ำแต่ก็กลัวจะเสียมารยาทเกินไป...


ฟุบ!


“เฮ้ย!”


สติแทบลอยไปกับสายลมเมื่อได้เสียงดังขึ้นพร้อมกับสุนัขตัวโตที่โผล่ออกมาจากหลังพุ่มไม้ด้านข้าง สองมือของผมคว้าเอวของต้นว่านมากอดไว้แน่นด้วยร่างกายสั่นเทา


ตอนนี้ผมไม่กังวลเรื่องมารยาทอะไรทั้งสิ้น...วินาทีนี้รู้เพียงว่าตัวเองไม่ไหวแล้วจริงๆ


“ต้นว่าน ต้นว่านไม่เอานะ” ผมพร่ำเรียกชื่อของเด็กหนุ่มครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยความกลัวและหวังว่าอีกฝ่ายจะเห็นใจกันบ้าง





(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-05-2018 20:48:43 โดย nicedog »

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
(ต่อนะคะ)


:: ต้นว่าน ::



ภาพของสุนัขตัวโตที่โผล่ออกมาจากพุ่มไม้ด้านข้างไม่ได้ทำให้ผมตกใจ ทว่าการถูกสวมกอดจากเจ้าบ้านอย่างพี่ใบไผ่นี่สิ ...ทำเอาผมถึงกับสติหลุด  ร่างกายที่ขยับเข้ามาชิดอย่างรวดเร็วทำให้สัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยมาจากด้านหลัง ไม่เพียงแค่นั้นมือทั้งสองข้างที่กระชับเอวผมแน่นยังสร้างความปั่นป่วนจนสติกระเจิงไปหมดแล้ว


บรู๊ววว~


มะนาวหอนพร้อมกับวิ่งตรงเข้ามาหาคนคุ้นเคยอย่างผม เท้าหน้าใหญ่ๆ ทั้งสองข้างประทับเข้าบริเวณแผ่นอกทันทีที่มันกระโจนใส่พร้อมแลบลิ้นออกมาเลียจนหน้าผมเต็มไปด้วยคราบน้ำลาย


“อย่าน่ามะนาว มันอึดอัด” ผมบ่นเล็กน้อย


“ตะ...ต้นว่าน เอามะนาวออกไปก่อน...พี่ไม่ไหว”


เสียงสั่นๆ ของพี่ใบไผ่เรียกความสนใจของมะนาวให้หันไปดมตามเท้าและขึ้นมาจนถึงเอว คนที่ไม่ชอบสุนัขอย่างพี่ใบไผ่เกร็งร่างกายอย่างชัดเจนจนผมสัมผัสได้ แม้แต่แขนที่กอดเอวผมอยู่ยังพลอยเกร็งไปด้วยเลย


“ใจเย็นๆ พี่ใบไผ่ มะนาวไม่กัดหรอก” ผมพยายามปลอบโดยการหันไปลูบไหล่ที่สั่นไม่หยุดของอีกฝ่าย


“ตะ...แต่ว่า...มะนาวจะกัดพี่” คนด้านหลังหลับตาปี๋เหมือนไม่อยากเห็นสุนัขที่กำลังดมตัวเองอยู่ตอนนี้


“ไม่กัดหรอกครับ ไม่ต้องห่วง...ไม่เป็นไร”


พี่ใบไผ่ที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้แต่เม้มปากแน่นแล้วขยับเข้าประชิดตัวผมมากกว่าเดิม


ดูท่าจะกลัวมากกว่าที่คิด...


“มะนาว...นั่งลง” ผมสั่งสุนัขตรงหน้า มะนาวเองก็ทำตามที่สั่งในทันที ร่างของมันนั่งลงอยู่ด้านข้างพี่ใบไผ่


“รอก่อนนะ...รอก่อน พี่ใบไผ่ค่อยๆ ลืมตาสิครับ” พอสั่งสุนัขตรงหน้าเสร็จก็หันไปบอกคนด้านหลัง


“...อื้อ” พี่เขาครางรับก่อนจะลืมตาคู่สวยขึ้นมอง


“มันไม่เข้ามากัดพี่ใช่ไหมล่ะ”


“ก็ใช่...แต่...”


“พี่สั่งมันได้นะ”


“ไม่ไหวหรอก ไม่ไหวจริงๆ” พี่ใบไผ่สะบัดเส้นผมสีน้ำตาลไปมาหลายครั้งเพื่อย้ำคำพูดตัวเอง


“ไม่ยากหรอกพี่ แค่พูดว่า ‘นั่งลง’ กับ ‘รอก่อน’ เท่านั้น” ก็รู้ว่าอีกฝ่ายคงกลัวจนคิดอะไรไม่ออก แต่ถ้าไม่ทำอะไรเลยมันก็เหมือนไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงน่ะสิ


“แค่นั้นมันจะฟังใช่ไหม”ดวงตาคู่เดินเงยขึ้นมาสบ


“ครับ ลองดูนะครับ”


“อืม...นั่งลง” เสียงนุ่มพูดเสียงเบาโดยที่ยังจ้องไปยังสุนัขตรงหน้าด้วยสายตาหวั่นๆ


“มันก็นั่งอยู่แล้วไงครับ”


“แล้วจะให้ทำยังไงล่ะ”


“ก็ลองเดินดูสิครับ”


ถ้าลองเดิน มะนาวต้องลุกตามแน่ แบบนั้นจะได้สั่งให้นั่งหรือรอได้


“ไม่เอา แบบนั้นก็โดนไล่สิ” พี่ใบไผ่ยังคงสะบัดหัวไปมาอยู่อย่างเดียว


“งั้นผมจะทำให้ดู ปล่อยผมก่อนพี่ใบไผ่”


การทำให้ดูก่อนคงจะทำให้อีกฝ่ายผ่อนคลายลงได้บ้าง


“ถ้าพี่ปล่อยเราแล้วมะนาวเข้ามากัดพี่ล่ะ” คนด้านหลังยังคงไม่ยอมปล่อย แถมยังดึงเสื้อผมไว้แน่นกว่าเดิมอีก


“ไม่กัดแน่นอนครับ เดี๋ยวผมจะกันไว้ให้ โอเคนะครับ”


“...ก็ได้ แต่ห้ามไปไกลนะ”


“ครับ” ตอบเสร็จผมจึงค่อยๆ เดินแยกกับพี่ใบไผ่ที่ยื่นมองมาด้วยแววตากังวล


“มะนาว...มานี่” สุนัขตัวใหญ่วิ่งตรงมาแทบจะทันทีที่เรียกชื่อ


“นั่งลง รอก่อนนะ...รอก่อน”


เมื่อมะนาวนั่งลงตามที่สั่งก็บอกให้มันรอก่อน แล้วค่อยหันไปมองหน้าของพี่ใบไผ่ที่ไม่สั่นเหมือนในตอนแรกแล้ว


รู้สึกว่าพี่เขาจะผ่อนคลายขึ้นนิดหน่อย


“ลองดูสิพี่”


“...ต้นว่าน” อีกฝ่ายเรียกชื่อผมแทนที่จะเป็นชื่อมะนาวที่นั่งรออยู่


“พี่ทำได้ ผมจะอยู่กับพี่เพราะงั้นไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้นแค่ลองทำดูเท่านั้น” ผมบอกกลับไป


“ก็ได้แต่...ต้นว่านมายืนข้างๆ พี่ได้ไหม”


“ครับ” ไม่จำเป็นต้องปฏิเสธคำขอนี่


พอเดินมาอยู่ข้างๆ พี่ใบไผ่ มะนาวที่เห็นแบบนั้นก็เลยคิดจะเดินตามมาด้วยนั่นทำให้พี่ใบไผ่เกร็งร่างกายขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับไม่เหมือนตอนแรกที่ร้องลั่นแล้ววิ่งเข้ามากอดผมซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดี พี่ใบไผ่มองไปยังสุนัขตัวใหญ่ตรงหน้าเหมือนกำลังพยายามที่จะต่อสู้กับความกลัวของตัวเองอยู่ ซึ่งคนที่ยืนอยู่ข้างๆ อย่างผมก็ทำได้เพียงส่งกำลังใจไปให้เท่านั้น


“...มะนาว...นั่งลง”


“ดังอีกหน่อยครับพี่” ผมบอกเมื่อเสียงที่ได้ยินนั้นเบาหวิวจนแทบไม่ได้ยิน


“มะนาว...นั่งลง!” ครั้งนี้เสียงสั่งดังขึ้นกว่าเดิมมากทำให้มะนาวที่ได้ยินนั่งลงตามที่สั่งได้สำเร็จ


“นั่นไง… ทำได้แล้วนะครับ”


“ทำได้ พี่สั่งมะนาวได้ล่ะ!” ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบประโยคพี่ใบไผ่ก็ตะโกนขึ้นด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มก่อนจะหันมากระโดดกอดผมเต็มแรงจนเกือบหงายหลัง


“พี่...ใบไผ่”


คนถูกกอดอย่างผมถึงกับทำอะไรไม่ถูก เพราะกอดในครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อนที่กอดจากด้านหลัง การถูกกอดจากด้านหน้าทำให้สามารถได้กลิ่นของคนตรงหน้าได้ชัดเจนขึ้นและยังสัมผัสถึงความอบอุ่นได้อย่างชัดเจน...ความอบอุ่นที่เคยสัมผัสเมื่อนานมาแล้ว


ครอบครัวผมที่มีฐานะไม่ค่อยดีเลยจำเป็นต้องออกไปช่วยกันทำงานรับค่าจ้างรายวัน จึงไม่เคยมีเวลาที่จะได้แสดงความรักมากนัก ครั้งล่าสุดที่จำได้คือตอนที่จบปีสุดท้ายของชั้นมัธยมปลาย


ถึงจะนานมากแล้วแต่ก็ยังจดจำสัมผัสนั้นได้อย่างแม่นยำ...


เพียงแต่ความอบอุ่นในตอนนี้กลับมีมากกว่าครั้งไหนๆ ที่เคยสัมผัส


จะเป็นไรไหมนะ...ถ้าผมจะตอบรับสัมผัสนี้


เหมือนร่างกายตอบสนองก่อนที่สมองจะสั่งการทำให้พอรู้ตัวผมก็ยกแขนขึ้นกอดตอบพี่ใบไผ่ไปซะแล้ว


“สุดยอดเลย ครั้งแรกเลยนะที่ทำแบบนี้ได้ ต้นว่านสุดยอดเลย” พี่ใบไผ่พึมพำเบาๆข้างหูด้วยความดีใจ


“ผมไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย” แค่บอกว่าควรจะทำยังไงเท่านั้นเอง


มะนาวเป็นสุนัขที่ฉลาดจึงเรียนรู้เร็วกว่าสุนัขตัวอื่นมาก ขนาดไม่เคยเอาไปฝึกยังเก่งขนาดนี้ถ้าเอาไปเข้ารับการฝึกจะเก่งขนาดไหนกันนะ


“ทำสิ ต้นว่านทำให้พี่มีความกล้า แถมยังคอยให้กำลังใจอีก ถ้าไม่มีต้นว่านพี่คงทำไม่ได้หรอก”


“ขอบคุณครับ”


“พี่สิที่ต้องบอกขอบคุณ ขอบคุณนะ”


“แบบนี้พี่ก็ไม่กลัวแล้วใช่ไหม”


“เอ่อ...ก็ยังกลัวอยู่” พี่เขาตอบกลับเสียงอ่อย


“ค่อยเป็นค่อยไปดีกว่า วันนี้ได้ขนาดนี้ก็สุดยอดแล้ว” ผมเอ่ยชม


สำหรับคนที่แค่เห็นสุนัขยังขาสั่นกลับสามารถเข้ามายืนในรั้วเดียวกันได้แถมยังสามารถสั่งได้อีก คงต้องบอกว่าสุดยอดแล้วสำหรับการพยายามครั้งแรก


“อืม เอ่อ...ขอโทษที่เผลอกอดนะ” พี่ใบไผ่บอกก่อนจะคลายแขนที่กอดไว้ออกไป


“ไม่เป็นไรครับ”


“งั้นพี่เข้าบ้านได้รึเปล่า” อีกฝ่ายเปลี่ยนเรื่องคุย


“นี่บ้านพี่นะครับ พี่จะถามผมทำไม”


“อ่า...นั่นสิ งั้นช่วยกันมะนาวไว้ก่อนนะ” พี่เขาบอกพลางเกาเส้นผมสีน้ำตาลแก้เขิน


“ผมไม่ช่วยหรอก พี่สั่งให้มะนาวรอสิ” ในเมื่อสั่งนั่งได้ก็ต้องสั่งรอได้เหมือนกัน


“จะลองดู มะนาวรอก่อนนะ...รอก่อน” พี่ใบไผ่บอกมานาวระหว่างหยิบกุญหยิบกุญแจบ้านขึ้นมาไขประตูบานสีขาวให้เปิดออก
ภายในบ้านเหมือนกับข้างนอกที่ผนังถูกทาไว้ด้วยสีขาวสะอาดตา ไม่ใช่แค่ผนังแต่พื้นพรมที่ปูอยู่ก็เป็นสีขาวเช่นเดียวกัน แต่บางที่บนพื้นขาวกลับมีรอยเท้าสีดำๆ ของมะนาวประทับไว้ ผมเคยเข้ามาในนี้หลายครั้งเลยพอรู้ว่าอะไรอยู่ตรงไหน แต่พี่ใบไผ่เหมือนจะเพิ่งเข้ามาครั้งแรก...


ใบหน้าขาวๆ ของพี่เขามองไปยังรอบๆ ห้องรับแขกที่มีโซฟากับโต๊ะสีน้ำตาลอยู่ติดกับประตูเลื่อนทางด้านข้างทำให้เวลานั่งสามารถมองเห็นวิวของสวนด้านนอกได้ ถัดออกไปด้านข้างโซฟาก็มีทั้งชั้นวางหนังสือและตู้กระจกที่อยู่ตรงข้ามกับโทรทัศน์สีดำขนาดใหญ่ พี่ใบไผ่ยืนมองสิ่งที่อยู่ในตู้กระจกค่อนข้างนานเสียจนผมสงสัย แต่พอจะเข้าไปหาพี่เขากลับเดินไปทางประตูห้องนอนแทน


“พี่ขอ...อยู่คนเดียวสักพักนะ ขอโทษด้วย” พี่ใบไผ่บอกด้วยน้ำเสียงสั่นเครือแล้วเดินเข้าไปในห้องด้านข้างโดยที่ไม่ยอมหันมาหากัน


ถึงจะไม่ได้มองหน้า แต่แค่ฟังน้ำเสียงแบบนั้นก็พอรู้แล้วว่าอีกฝ่ายกำลังกลั้นน้ำตาอยู่


ผมยืนนิ่งสักพักแล้วเดินเข้าไปใกล้ประตูห้องนอนที่พี่เขาเพิ่งก้าวเข้าไป ก่อนจะแนบหูลงกับบานประตูสีครีมตรงหน้า และสิ่งที่ตัวเองคิดก็ถูกต้อง...


ภายในห้องมีเสียงสะอื้นดังออกมาเป็นระยะๆ การเข้ามาในบ้านหลังนี้คงทำให้ความทรงจำที่มีต่อพ่อแม่พรั่งพรูเข้ามาไม่ว่าจะเป็นความสุขหรือความทุกข์ก็ตาม


ผมไม่รู้ว่าความรู้สึกของคนที่ต้องสูญเสียคนในครอบครัวอันเป็นที่รักไปมันเป็นอย่างไร เพราะครอบครัวผมยังอยู่กันพร้อมหน้า แต่จากที่ได้ยินเสียงของคนที่อยู่อีกฝั่งของประตูนี่ก็เริ่มเข้าใจ มันคงทั้งเจ็บปวดและทรมานจนยากจะทนไหว ยิ่งพี่เขาเป็นลูกคนเดียวยิ่งแล้วใหญ่ คนที่เคยปลอบโยนเวลาเสียใจหรือร้องไห้คงจะไม่มีอีกแล้ว


ผมไม่รู้ว่าพี่ใบไผ่ผ่านอะไรมาบ้าง แต่ที่รู้แน่ๆ คืออีกฝ่ายไม่อยากให้ใครเห็นความอ่อนแอของตัวเอง ขนาดเรื่องที่กลัวสุนัขกว่าจะยอมบอกก็ใช้เวลาไปนานพอดู


อยากจะช่วยอะไรได้บ้าง...


แต่คงไม่มีอะไรที่ผมสามารถทำเพื่อพี่ใบไผ่ได้


ผมยังไม่โตพอที่จะเป็นที่ปรึกษาที่ดีและยังไม่กล้าพอที่จะเดินเข้าไปปลอบ


สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้คงมีแค่ทาบมือของตัวเองลงไปบนบานประตูสีครีมโดยพึมพำประโยคบางอย่างออกไปเบาๆ โดยหวังว่าคนที่อยู่อีกฝากจะได้ยินมัน...


“ผมจะอยู่ตรงนี้...จะอยู่จนกว่าพี่จะหยุดร้อง”


ผมยืนรอเจ้าของบ้านอยู่กว่าสองชั่วโมงที่หน้าบานประตูสีครีม จากที่ฟังเสียงคนด้านในคงจะหยุดร้องแล้วแต่คงไม่กล้าออกมาเพราะกลัวตาแดงๆ นั่นจะเป็นที่สังเกตเห็น ผมอยากบอกเหลือเกินว่าพี่ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น ผมรู้อยู่แล้วว่าพี่ร้องไห้ถึงพี่ใบไผ่จะพยายามกลั้นเสียงให้เบาที่สุดก็ตาม


แกร็ก!


เสียงลูกบิดประตูที่ดังขึ้นทำเอาผมที่ยืนอยู่หน้าประตูต้องรีบก้าวขายาวๆ ไปยังโซฟาที่อยู่ไม่ไกลพร้อมหย่อนก้นลงนั่งราวกับอยู่ตรงนี้มาหลายชั่วโมงแทน ส่วนมะนาวเองก็นอนอยู่ข้างๆ โซฟาอยู่แล้วเลยยิ่งเพิ่มความน่าเชื่อถือเข้าไปอีก


“ต้นว่าน...”


“ครับพี่”


“ขอโทษนะ คือพี่...”


“ไม่เป็นไรครับพี่ ไม่ต้องบอกอะไรผมหรอก” ไม่ต้องพยายามแก้ตัวอะไรเพราะผมเข้าใจดีว่าพี่กำลังทุกข์ขนาดไหนที่เข้ามาอยู่ในบ้านที่มีทั้งกลิ่น สัมผัส หรืออะไรหลายๆ อย่างของพ่อกับแม่ซึ่งยังหลงเหลืออยู่


มันอาจไม่เรียกว่าทุกข์...แต่คงเป็นความคิดถึงที่มากจนทนแทบไม่ไหว


ถ้าผมโตกว่านี้จะช่วยปลอบพี่ได้ไหมนะ? น่าแปลกที่ผมรู้สึกอยากจะปลอบใครสักคนแบบนี้ คงเป็นเพราะพี่ใบไผ่ดูภายนอกเหมือนเจ้าชายที่ทั้งสง่างามและเข้มแข็งแต่ภายในกลับขี้กลัวและอ่อนแอ เหมือนเจ้าหญิงที่อยู่ในคราบเจ้าชายมากกว่า


“เราไม่ได้ยินอะไรใช่รึเปล่า”


คำถามนั้นดังขึ้นพร้อมกับแววตาที่จ้องมองมาด้วยความกังวลอยู่ไม่น้อย เหมือนพี่ใบไผ่จะพอเดาได้ว่าผมรู้เรื่องที่เกิดขึ้น


“ครับ” ผมเลือกที่จะโกหกทั้งๆ ที่จะบอกความจริงไปก็ได้


“ขอบคุณนะต้นว่าน” พี่ใบไผ่พึมพำพร้อมรอยยิ้ม


เจ้าของบ้านคงเดาได้ว่าผมโกหกสินะ...


“ผมไม่รู้ว่าพี่ขอบคุณผมทำไม” แต่ผมยังเลือกที่จะทำเป็นไม่รู้เรื่องเพื่อความสบายใจของคนตรงหน้า


“อ่า...นั่นสินะ”


“เรามาให้อาหารมะนาวกันดีกว่าพี่”


“อืม เราเอาถุงที่พี่ให้เมื่อวานมาไหม”


“อยู่ที่รั้วหน้าบ้านครับ เดี๋ยวผมไปเอาให้” ถุงที่พี่ใบไผ่หมายถึงคงไม่พ้นถุงใส่อาหารสำเร็จที่ซื้อมาเมื่อวันก่อน


การให้อาหารมะนาวผ่านไปได้ดีกว่าที่คิดไว้มาก แรกๆ พี่ใบไผ่ยังแสดงอาการกลัวถึงขนาดกับโยนชามใส่อาหารลงพื้นจนต้องให้ทำใหม่หลายๆ รอบ แต่ในที่สุดพี่เขาก็สามารถวางกับพื้นใกล้ๆ มะนาวได้ ถึงแม้มือที่จับชามจะสั่นเป็นเจ้าเข้าเลยก็ตาม


“พี่ต้องฝึกแบบนี้ทุกวัน รับรองเลยว่าเดี๋ยวพี่ต้องหายกลัวแน่” ผมบอกอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มก่อนจะก้มดูเวลา ตอนนี้เกือบเย็นแล้ว เหลือเวลาอีกไม่เท่าไหร่ก็ต้องออกไปทำงานพิเศษ


“ทุกวัน? แบบนั้นไม่ไหว...”


“วันนี้พี่ก็บอกว่าไม่ไหวๆ แต่สุดท้ายพี่ก็สั่งให้มะนาวทั้งนั่งและคอยได้ แถมยังให้อาหารได้อีก พี่ทำได้อยู่แล้วอย่าพึ่งกลัวก่อนจะลงมือทำสิพี่ ตอนที่พี่ทำงานในบริษัทพี่กลัวแบบนี้รึเปล่า” ผมถามกลับไป


จากที่ฟังๆ ดูพี่ใบไผ่มักจะพูดว่าทำไม่ได้หรือทำไม่ไหวอยู่เสมอ ไม่รู้ว่าเป็นคำพูดที่ติดมาตอนทำงานไหม


“ไม่กลัวนะ ไม่เลยสักนิด”


น้ำเสียงที่ได้ยินไม่มีความลังเลสักนิดที่จะตอบทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายพูดจริง


“งั้นที่พี่กลัวก็เพราะมีสุนัขสินะ” นี่เป็นสิ่งเดียวที่คิดออก


“อืม...ก็มันน่ากลัว เอ่อ...ต้นว่าน”


“ครับ?”


“ถ้าจะให้พี่ฝึกก็ได้อยู่ แต่...”


“แต่?” ผมพูดทวนเมื่ออยู่ๆ อีกฝ่ายก็เงียบไป


“แต่พี่อยากให้เราอยู่ด้วยได้ไหม”


คำพูดธรรมดาที่ได้ยินทำให้หัวใจรู้สึกอุ่นขึ้นมาอย่างอย่างประหลาด มันรู้สึกดีใจที่มีคนต้องการเราแบบนี้ ความจริงแค่คนที่มาอยู่เป็นเพื่อนสำหรับพี่ใบไผ่คงมีมากมายแต่กลับเลือกคนธรรมดาอย่างผม


“ได้สิครับ”


“ขอบคุณนะ งั้นขอเบอร์หน่อยสิพี่จะได้ติดต่อเราไปว่าจะมาเมื่อไหร่หรือยังไง” พี่ใบไผ่บอกพร้อมกับหยิบโทรศัพท์สีดำที่แค่มองก็รู้ว่ายังไม่มีวางขายในไทย


“ได้ครับ”


จากนั้นพวกเราก็แลกเบอร์กันก่อนที่ผมจะขอตัวไปทำงานพิเศษที่ร้านอาหารใกล้ๆ ความจริงแล้วงานพิเศษที่ผมทำไม่ได้มีแค่ร้านอาหารแต่ยังมีร้านสะดวกซื้อและที่อื่นอีก


ตอนแรกพี่ใบไผ่จะขับรถไปส่งแต่ผมปฏิเสธในทันที ผมไม่อยากรบกวนต่อให้รู้ว่าพี่ใบไผ่ไม่ได้คิดอะไรก็ตามที ถ้ามีการรบกวนครั้งที่หนึ่งก็มั่นใจว่าจะมีครั้งที่สองตามมา พี่ใบไผ่เป็นคนใจดีและอ่อนโยนมาก...มากจนกลัวว่าตัวเองจะพึ่งพิงมันมากเกินไป

......................................................................................

มาอัพแล้วค่ะะะะ

ช่วงนี้ฝนตกบ่อยทำเอาเราป่วยเลย ป่วยทีไรเป็นต้องถูกห้ามไม่ให้เล่นคอมนานตลอด

แต่งนิยายแต่ละตอนแค่ชั่วโมง2ชั่วโมงแต่งไม่จบหรอกนะ(ตะโกนเสียงดัง)

ตอนนี้ดีขึ้นค่อนข้างมากแล้วค่ะ

สำหรับตอนนี้ถือเป็นการพัฒนาไปอีกขั้น

พี่ใบไผ่นี่ให้ความรู้สึกน่ารักมากมาย...ชอบจัง 55

มารอดูว่าตอนหน้าจะเป็นยังไงนะคะ

มีหลายคนอยากให้แต่งแนวแฟนตาซีอีก

เรื่องหน้ากะว่าจะแต่งแฟนตาซีดูค่ะ(ขอเรื่องนี้ให้จบก่อนนะ)

ขอบคุณทุกๆคอมเม้นท์และทุกๆกำลังใจนะคะ

บ๊ายบาย

-Rewrite- >> รีไรท์แบบรัวๆ 16/05/61

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-05-2018 20:50:01 โดย nicedog »

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4982
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
อยากให้พี่ใบไผ่เข้ากับมะนาวได้เร็วๆ เผื่อจะได้ย้ายมาอยู่กับมะนาว
ให้มะนาวอยู่บ้านตัวเดียวเหงาแย่เลย :mew6: :mew6:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ meeoldly

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 161
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0

ออฟไลน์ darksnow

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 160
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ต้นว่าน ต่างคนต่างพึงพิงงายย ช่วยดูแลพี่ใบไผ่ กับมะนาวด้วย

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด