ต่อค่าา
:: ต้นว่าน ::
จากนั้นผมก็ลาเพื่อนในกลุ่มทั้งสี่คนก่อนจะเดินตามหลังคนอายุมากกว่าไปโดยไม่พูดอะไรจนไปถึงรถยนต์คันสีบรอนซ์ทองที่ไม่ต้องดูยี่ห้อก็พอรู้ว่าราคาสูงลิ่วแน่นอน ระหว่างที่พี่ใบไผ่กำลังขับรถผมก็ลอบมองหน้าอีกฝ่ายเป็นระยะ การกระทำของพี่เขาทำให้ความรู้สึกที่มีต่อพวกคนรวยของผมเปลี่ยนไปมาก
ไม่เคยคิดว่าจะได้รับทั้งคำขอโทษและก้มหัวให้เหมือนอย่างวันนี้...
ก็อย่างที่เห็นว่านักศึกษารวยๆ หลายคนไม่ค่อยชอบผมเท่าไรนัก ถึงจะเรียนดี เล่นกีฬาเก่ง หรือหน้าหล่อตามที่เพื่อนๆ ยกยอ แต่ด้วยฐานะที่ไม่ค่อยดีเลยมักถูกกันให้ไม่สามารถเข้ากลุ่มได้ในบางครั้ง ผมเข้าใจถึงความแตกต่างของฐานะดีจึงไม่ได้ว่าอะไร แต่ถึงจะบอกว่าเข้าใจแต่การถูกด่าทออย่างวันนี้เป็นเรื่องที่ทำให้โมโหที่สุด ถ้าไม่ถูกเจ้าของรถคันนี้ห้ามไว้ก็คงมีเรื่องไปแล้ว
ถ้ามีการทะเลาะกันเรื่องต้องถึงหูฝ่ายปกครองเป็นแน่ และก็คงถูกพักการเรียน ซ้ำยังโดนหักคะแนน ทุนการศึกษาที่จะได้ก็คงหายวับไปเช่นกัน
“ขอบคุณนะครับ” ผมบอกกับคนที่กำลังขับรถเบาๆ พอสงบสติอารมณ์ได้ก็เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงเข้ามาห้ามไว้ทั้งๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันแถมยังถูกด่าว่าอีก
พี่เขาคงรู้ว่าถ้าไม่มาห้ามจะเกิดอะไรขึ้น...
“ขอบคุณพี่เหรอ” เสียงนุ่มๆ ของคนขับรถถามกลับ ผมจึงพยักหน้าส่งไปให้ “ไม่เป็นไร...แต่คราวหน้าใจเย็นหน่อยก็ดีนะ”
“พี่เองก็ใจเย็นใช่ย่อยนี่”
ภาษาอังกฤษสำเนียงไพเราะนั่นมีความหมายที่ไม่เข้ากับน้ำเสียงซะเลย
“ก็มีบ้าง นานๆ ทีจะถูกด่า แถมยังบอกว่าพี่เป็นกระเทย ถึงจะไม่หล่อเหมือนเราแต่หน้าตาก็ไม่ได้หวานขนาดนั้นสักหน่อย”
พอถูกชมอย่างไม่ตั้งตัวเลยหันไปมองคนข้างกายอย่างงงๆ
“ผมหล่อ?” สาบานได้ว่าไม่ได้คิดกวนแม้แต่น้อย
“เราควรส่องกระจกหน่อยนะ แล้วก็พูดว่ากระจกวิเศษเอ๋ย จงบอกข้าเถิดใครหล่อเลิศในปฐพี กระจกวิเศษก็จะตอบกลับมาว่าต้นว่านนั่นไง”
“ฮึ...” ผมหลุดขำออกมาเพราะเสียงนุ่มๆ ที่ดัดเป็นเป็นทั้งแม่มดและกระจกวิเศษ
“นั่นแหละๆ ยิ้มเยอะๆ เราเพิ่งจะอายุเท่านี้เองอย่าเพิ่งไปเครียดกับทุกอย่างรอบตัวเลย” ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจนเกือบทองที่หันมาสบพร้อมรอยยิ้มนั่นทำเอาหัวใจที่สงบนิ่งเต้นเร็วขึ้นมาเล็กน้อย
“แปลกคน”
แปลกคนจริงๆ ทั้งที่ถูกตะโกนใส่ไปขนาดนั้นแต่ก็ยังตามมาขอโทษทั้งที่ไม่จำเป็นสักนิด
“บอกพี่?”
“แล้วแต่พี่จะคิดเลย” พูดจบก็ส่งยิ้มบางๆ กลับไปบ้าง
ใช้เวลาไม่กี่นาทีรถก็มาจอดบริเวณหน้าบ้านหลังเดิม เจ้าของรถดับเครื่องแล้วลงไปหยิบถุงบางอย่างด้านหลังคนขับ ผมที่นั่งมาด้วยก็ได้แต่ลงไปรออีกฝ่ายที่หน้าประตูเงียบๆ ที่พามานี่ก็พอจะเดาเหตุผลได้อยู่
จำได้ว่าพี่เขากลัวสุนัขนี่นะ... คงจะไม่กล้าให้อาหารเองแน่ๆ
“เอาล่ะ เราช่วยเอาอาหารให้มะนาวหน่อยสิ”
ถึงคำพูดเหมือนจะดูเป็นคำสั่ง แต่ด้วยร่างกายที่เริ่มสั่นเมื่อเข้าใกล้ประตูรั้วก็ทำเอาผมที่มองอยู่หลุดยิ้มออกมา พี่ใบไผ่เหมือนเจ้าชายที่อยู่ในนิทานเพียงแต่ตอนนี้กำลังขาสั่นไม่ใช่เพราะต้องเจอกับมังกรพ่นไฟแต่เพราะต้องเจอกับสุนัขตัวใหญ่อย่างมะนาวต่างหาก
“วิ๊ว!”
ด้วยความอยากแกล้งผมจึงผิวปากเรียกมะนาวให้ออกมาหา เสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้และทันทีที่เห็นคนหน้าคุ้นอย่างผมมะนาวก็กระโจนใส่รั้วหมายจะเล่นด้วยเหมือนอย่างทุกที
บรู๊ววว~
ลักษณะของสุนัขสายพันธุ์นี้จะเหมือนหมาป่าที่มักจะไม่ส่งเสียงเห่าแต่จะหอนแทน ตามสัญชาติญานแล้วพวกมันจะค่อนข้างดุและไม่ยอมใครง่ายๆ แถมยังเป็นสุนัขที่มีพลังงานมาก และต้องได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม แต่กับมะนาวนั้นความก้าวร้าวหรือดุดันแทบจะไม่มีให้เห็นเลย นิสัยของมะนาวทั้งน่ารักและเฉลียวฉลาดเหมือนสุนัขพันธุ์ไซบีเรียน ฮักกี้เสียมากกว่า อาจเพราะได้รับการดูแลและพาออกสังคมตั้งแต่ยังเด็กเลยไม่คิดว่ามนุษย์เป็นศัตรู
ถึงการกระโดดพร้อมเสียงหอนจะเป็นสิ่งที่ผมเห็นเป็นประจำจนชินแต่กับคนพึ่งมาเจอกับตัวใกล้ๆ อย่างพี่ใบไผ่ก็ถึงกลับหน้าถอดสีทรุดตัวลงไปกับพื้นอย่างหมดท่า
ผมได้แต่แอบยิ้มกับท่าทางที่เห็น ใจจริงก็อยากจะหัวเราะออกมาดังๆ แต่ก็กลัวว่าจะเป็นการเสียมารยาทเกินไป
บอกไปแบบนั้นก็จริงแต่...
“ฮึ...” ผมหลุดขำจนต้องรีบเอามือทั้งสองข้างปิดปากตัวเอง
เจ้าของบ้านคนใหม่หันขวับมามองอย่างเคืองๆ “...ขะ...ขอบอกไว้ก่อนนะว่าพี่ไม่ได้กลัวแค่ตกใจเฉยๆ ”
คำพูดติดๆ ขัดๆ นั่นแค่มองก็รู้แล้วว่าโกหกเห็นๆ
“ครับๆ ”
“เสียงแบบนั้นไม่เชื่อกันนี่” หนุ่มลูกครึ่งที่ทรุดตัวอยู่บนพื้นพูดต่อ
“เชื่อสิครับ”
“พูดจริงใช่ไหม”
“แน่นอนครับ” ผมไม่ได้โกหกนะแต่นี่เพื่อความสบายใจของพี่ใบไผ่ล้วนๆ
“งั้นก็เอานี่ให้มะนาวด้วย”
พูดจบถุงสีขาวขุ่นก็ถูกยื่นมา พอเปิดดูภายในก็เจออาหารสำเร็จรูปแบบถาดสำหรับสุนัขหลายสิบอัน ยี่ห้อของอาหารที่ปรากฏต่อสายตาทำเอาผมตาเบิกกว้างขึ้น
ก็อาหารสำเร็จรูปยี่ห้อนี้เพียงอันเดียวแพงกว่าค่าอาหารทั้งวันของผมเองเสียอีก
“พี่ไม่ให้เองเหรอ… ครับ” เป็นอีกครั้งที่ผมเผลอพูดแบบไม่มีหางเสียง
“ไม่ต้องกังวลเรื่องมารยาทหรอก จะเติมครับหรือไม่ก็ได้ ตามใจเลย”
“แต่...” แบบนั้นมันก็ดูไม่ดีน่ะสิ
“บอกแล้วไงว่าพี่ไม่ถือ...นะ”
คำว่า ‘นะ’ ทำให้ผมเผลอกำมือแน่นอย่างไม่ทันตั้งตัว
“...ครับ”
“งั้นก็ฝากด้วยนะ”
ผมเดินไปหยิบชามใส่อาหารที่อยู่ตรงประตูเล็กด้านข้างไปทำความสะอาด ก่อนจะเดินกลับมายังหน้าประตูรั้วซึ่งมีเจ้าของบ้านยืนรออยู่ เพียงแต่ระยะห่างของคนกับรั้วดูจะมากขึ้นกว่าตอนแรกซะอีก
“มะนาวไม่กัดพี่หรอกนะ”
“...ก็ไม่ได้กลัวนี่” ปากก็พูดแบบนั้นแต่ขาดันก้าวถอยห่างออกไปอีกนิด
“ครับๆ พี่จะให้รสไหนดีล่ะ” ผมถามต่อโดยที่กางถุงสีขาวขุ่นให้อีกฝ่ายดูอาหารสำเร็จรูปที่อยู่ภายใน
“แล้วแต่เลย”
ได้ยินแบบนั้นคนถือถุงแบบผมก็ได้แต่ทำตาม ผมหยิบอาหารสำเร็จรูปออกมาสามอันแต่หนึ่งในนั้นทำเอาผมจ้องจนคิ้วขมวดเข้าหากันแน่นก่อนจะจัดการเอาอาหารทั้งหมดที่อยู่ในถุงออกมาเรียง
“ทำอะไรเหรอต้นว่าน” คนข้างหลังเอ่ยถามก่อนจะเดินเข้ามาหาอย่างสนใจ
“พี่ได้อ่านฉลากก่อนซื้อรึเปล่า”
“อ่านสิ”
“งั้นซื้ออาหารสำหรับลูกหมามาทำไม” ผมถามพร้อมกับชูหลักฐานขึ้นมาให้ดู แถมไม่ใช่แค่อันเดียวแต่มีถึงสามอัน
คนซื้อได้แต่ก้มหน้าลง คงรู้สึกแย่ที่แค่เลือกอาหารสุนัขก็ยังทำผิด
“ผมไม่ได้ว่าสักหน่อย อย่าก้มหน้าแบบนั้นสิ” แค่คนตรงหน้าก้มลงก็นึกได้ว่าตัวเองพูดอะไรไม่ดีออกไป
“...”
“พี่ใบไผ่...” ผมเรียกคนตรงหน้าอีกครั้งแต่อีกฝ่ายยังคงเงียบ
ผมวางมือจากอาหารที่ถือแล้วเปลี่ยนไปสัมผัสใบหน้าของพี่ใบไผ่ให้เชิดขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าที่แดงระเรื่อเพราะความอายทำเอาผมเบิกตากว้างขึ้นด้วยความตะลึง...
ผมเคยเจอผู้ชายหน้าแดงมาก็มาก แต่ก็เพิ่งเคยเจอคนที่หน้าแดงได้น่ารักก็ครั้งนี้แหละ
“พี่ไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้...คราวหน้าจะดูดีๆ ละกัน” เสียงนุ่มพึมพำกลับมา
“ครับ”
ประโยคที่อีกฝ่ายพูดมาแทบไม่เข้าหัวเลย รู้เพียงแค่ใบหน้าแดงๆ นั่น ...น่ามองชะมัด
“ไม่ให้ต่อล่ะ...หรือว่าไม่ควรเอาของหมาเด็กให้มะนาวกิน?”
“เปล่าครับ ให้กินได้เดี๋ยวผมจัดการให้” ผมละมือที่สัมผัสใบหน้าขาวออกก่อนจะหันมาจัดการอาหารตรงหน้าอย่างจริงจัง
“ขอบคุณนะ”
“ไม่เป็นไรครับ แต่พี่ควรจะเป็นคนให้อาหารมะนาวเองนะ สุนัขน่ะจะสัมผัสกลิ่นที่คลุกลงไปในอาหารได้ทำให้เกิดความใกล้ชิดกันมากขึ้น” ระหว่างที่จัดการแกะอาหารสำเร็จรูปใส่ชาม ผมก็บอกเจ้าของบ้านไปด้วย
“ไม่ไหวหรอก”
“พี่บอกว่าไม่กลัวนี่?” ครั้งนี้ผมสวนกลับบ้าง
“เอ่อ...”
“ผมอยากให้พี่บอกความจริงมา ถ้ายอมบอก ผมอาจช่วยพี่ได้นะ”
คนถูกถามเม้มปากแน่นอย่างชั่งใจว่าควรจะบอกความจริงไปดี หรือจะโกหกต่อไปทั้งๆ แบบนี้
“เสร็จล่ะ มากินเร็วสาวสวย”
ชามอาหารถูกสอดเข้าไปด้านใต้ของรั้วที่มีช่องว่างพอจะให้สอดเข้าไปได้ สุนัขตัวใหญ่กระดิกหางไปมาอย่างดีใจที่จะได้อาหาร ผมสั่งให้มะนาวนั่ง มันเป็นการฝึกอย่างที่ทำประจำก่อนจะสั่งให้กินได้ เพียงพริบตาอาหารสำเร็จรูปก็หมดลง
“ต้นว่าน”
“ครับ?”
“อื้ม...”
“ครับ?” ผมกระพริบตาติดๆ กันอย่างไม่เข้าสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ
“พี่กลัวหมา เพราะงั้นช่วยพี่หน่อย...นะ”
คำตอบที่ได้ยินเรียกรอยยิ้มบางๆ ออกมาอย่างไม่ตั้งใจ
“ผมช่วยได้ แต่พี่ต้องพยายามด้วยนะ”
“หมายความว่าไง” ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจนเกือบทองเลื่อนขึ้นมาสบพร้อมเอียงหัวเล็กน้อย ท่าทางเหมือนเด็กๆ ที่เห็นนั้นทำให้รอยยิ้มที่หายไปกลับมาอีกครั้ง
“ผมจะทำให้พี่เลิกกลัวหมา”
“ฮะ?!”
................................................................................
สวัสดีค่ะ
ก่อนอื่นต้องบอกว่าประโยคภาษาอังกฤษที่ใช้นั้นเราหามาจากเน็ตนะคะเพราะเราไม่ค่อยเก่งอังกฤษนัก555
เรื่องนี้จะแต่งเป็นเหมือนเรื่องสั้นที่ออกจะยาวหน่อย
จากที่วางไว้คิดว่าไม่ยาวเท่าเรื่องอื่นแน่ๆ
เขียนแนวแฟนตาซีมาซะนานเลยอยากกลับมาเขียนแนวธรรมดาแบบนี้บ้าง
ขอบคุณสำหรับทุกๆคอมเม้นท์และทุกๆกำลังใจนะคะ
ไว้เจอกันใหม่ในตอนหน้าค่ะ
มาดูกันว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะพัฒนาไปยังไง
บ๊ายบาย
Rewrite >> หากมีใครสังเกตจะมีการเปลี่ยนชื่อเรื่องจาก Find Love พบรัก มาเป็น When we found love ▪พบรัก▪ แทนนะคะเพื่อให้เหมาะสมกับเนื้อเรื่องมากขึ้นค่ะ
nicedog
♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪