Fallen and Destined 17
เพราะร้องไห้จนเหนื่อย กว่าเขาจะตื่นก็เป็นเวลาเกือบสิบโมงเช้าของวันรุ่งขึ้น ลุกขึ้นมานั่งงงๆ ตรงริมเตียง คิดถึงที่ทำงานก่อนอื่น แต่ป่านนี้แล้ว...ช่างมันสักครั้งในชีวิตก็แล้วกัน
หลังจากอาบน้ำจนค่อยรู้สึกตัวตื่นเต็มที่ ขอบฟ้าเพิ่งสังเกตเห็นโพสอิทสีสดแปะอยู่ที่ตู้เสื้อผ้า
“บนโต๊ะมีของกินอยู่ กินให้หมดด้วย” อ่านลายมือหวัดๆ แล้วมองไปที่โต๊ะ จึงเห็นถุงร้านสะดวกซื้อวางอยู่ ภายในถุงมีขนมปัง ชอคโกแล็ต นมกล่องกับน้ำเปล่า
ท้องร้องดังจ๊อก เขาแกะชอคโกแล็ตกินก่อนอื่นเพราะอยากได้ของหวานๆ พอหมดชิ้นแล้วค่อยหยิบขนมปังกับนมมากินตามหลัง พอท้องอิ่ม ขอบฟ้าค่อยเริ่มมีเรี่ยวแรงสำหรับสิ่งที่ต้องทำ เขาเสียเวลาไปมากพอแล้ว
จัดการเก็บที่นอน หยิบกระเป๋าเสื้อผ้า สำรวจความเรียบร้อยของห้องเป็นครั้งสุดท้ายก่อนงับประตูปิด
ภายในห้องแทบไม่มีสิ่งเปลี่ยนแปลงอันใด นอกเสียจากโพสอิทแผ่นเล็กที่แปะอยู่ที่เดิมกับข้อความต่อท้าย
.......
บนโต๊ะมีของกินอยู่ กินให้หมดด้วย
ขอบคุณครับ ผมไม่เป็นไรแล้วล่ะ
.......
++++++++++
จากตอนแรกที่ตั้งใจจะกลับบ้าน ขอบฟ้าเปลี่ยนใจกลับไปห้องของกรแทน
ไม่มีวี่แววของเจ้าของห้อง คิดว่าเมื่อคืนกรคงไม่ได้ย้อนกลับมา
เขาเปลี่ยนเสื้อผ้า เลือกชุดที่ดีที่สุด ยิ้มให้กำลังใจคนในกระจก ร้องหาความกล้าหาญสักครั้งในชีวิต
ถ้าไหนๆ จะต้องจากกันแล้ว เขาก็อยากให้กรจดจำส่วนดีๆ ไว้ อยากบอกให้รู้ถึงความในใจ ไม่ว่าผลสุดท้ายจะเป็นยังไง แต่อย่างน้อยที่สุด เขาคงได้บอกกรตรงๆ สักทีว่าชายหนุ่มมีความหมายกับเขามากแค่ไหน
กระนั้นถึงจะพอมีกำลังใจแล้ว แต่ขอบฟ้าไม่รู้ว่าตอนนี้กรอยู่ที่ไหน โทรศัพท์ฝ่ายนั้นก็ให้เอาแต่ฝากข้อความ ลังเลนิดหน่อยก่อนตัดสินใจโทรหาปวินแทน
ฟังเสียงรอสายได้ไม่กี่วินาที อีกฝ่ายก็กดรับ “ครับ คุณฟ้า”
“ขอโทษที่รบกวนนะครับ คุณปั้นยุ่งอยู่หรือเปล่า”
“นิดหน่อยแต่คุยได้ครับ ไม่ทราบว่ามีเรื่องด่วนอะไรครับ มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นหรือ...”
“ไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ แค่อยากรู้ว่าตอนนี้พี่กรอยู่ไหน” กลืนน้ำลายเอื้อกและเอ่ยอย่างลังเล “พอจะบอกได้ไหมครับ”
“เอ่อ... คุณกรเหรอครับ” เงียบไปชั่วครู่กว่าปวินจะค่อยๆ กล่าว “คุณกรติดธุระอยู่นิดหน่อย ถ้ามีเรื่องด่วน บอกผมไว้ก่อนก็ได้นะครับ”
“ผมแค่...” จะให้ฝากบอกว่ารักนะงั้นเหรอ มันคงดูตลกพิลึก “เผื่อหลังจากนี้ผมอาจไม่อยู่ เลยแค่อยาก...”
“คุณฟ้าจะไม่อยู่ คุณคิดจะไปไหน แล้วบอกคุณกรหรือยัง” ปวินถามรวดเดียวเร็วปรื๋อ “ข้อความแบบนี้ผมไม่รับฝากนะ บอกไว้ก่อน”
ต่างคนต่างเงียบไปอึดใจ ก่อนปวินจะถอนหายใจเฮือกยาว
“ตอนนี้ผมกับคุณกรอยู่สนามบิน พอดีแวะมารับคนแล้วคงต้องแวะเข้าไปที่บริษัทแป๊บนึง ไว้เสร็จธุระเมื่อไหร่ ผมจะติดต่อกลับไปนะครับ”
ปลายสายวางไปแล้วแต่ในหัวขอบฟ้ายังได้ยินประโยคที่ว่ากรไปรับคนที่สนามบินวนเวียนอยู่
ไม่รู้สิ เขาไม่เคยยุ่งเรื่องงานหรือแม้แต่เรื่องส่วนตัวของกรมาก่อน ดังนั้นคนที่ไปรับนี้อาจจะเป็นได้ทั้งญาติ ทั้งลูกค้า ทั้งเพื่อนในแวดวงธุรกิจก็ได้ทั้งนั้น
แต่ทำไมเขากลับคิดว่ากรคงไปรับว่าที่คู่หมั้นคนสวยมากกว่า
ทั้งที่อยู่ใกล้กันมานาน กลับไม่ยอมบอกออกไป ทำไมถึงต้องรอจนให้ถึงนาทีสุดท้าย เขาถึงเพิ่งคิดจะบอก
ความในใจของเขายังเป็นเรื่องจำเป็นอยู่อีกหรือ ในเมื่อข้างกายฝ่ายนั้นมีคนสำคัญอยู่แล้ว
แม้จะยังไม่ได้คำตอบ ขอบฟ้าก็ยังเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเตรียมตัวไปพบกับฝ่ายนั้นเป็นครั้งสุดท้าย
++++++++++
คงเป็นเพราะเมื่อวานนอนน้อยแถมใช้งานขามากกว่าปกติ กว่าจะถึงบริษัท ขอบฟ้าจึงแทบทรุด ยาที่กินก่อนออกจากห้องแทบไม่ได้ช่วยอะไร ถึงแม้จะไม่อยากยอมรับ แต่คิดว่าหลังจากนี้คงต้องแวะไปโรงพยาบาลจริงๆ เสียที
เขานิ่วหน้าเมื่อทุกย่างก้าวกลายเป็นเรื่องยากเย็นและเจ็บปวด เกือบชั่วโมงแล้วจากที่ออกจากห้องมาแต่ยังไม่มีการติดต่อจากปวิน ขอบฟ้าจึงคิดจะขึ้นไปพบหัวหน้าเพื่อขอลาออกให้จบเรื่องจบราว
ส่วนหลังจากนี้ แม้จะยังไม่รู้อนาคต แต่เขาเหนื่อยเกินกว่าจะคิดถึง แม้อาจดูเหมือนเป็นการไปตายเอาดาบหน้า ทว่าเขาแค่อยากไปให้ไกล ไปให้พ้นจากเรื่องในอดีตก็พอ
หากความว่างเปล่าในแผนกทำให้เขายืนงง ครั้นเดินไปถามแม่บ้านประจำชั้น ถึงได้คำตอบว่าวันนี้เป็นวันจัดงานเลี้ยงสังสรรค์พนักงานประจำปี ดังนั้นพนักงานส่วนใหญ่จึงไปรวมตัวกันอยู่ในห้องประชุมใหญ่ที่ใช้จัดงานนั่นเอง
อาจเพราะวันๆ เอาแต่ทำงานโดยไม่ได้สนใจเรื่องอื่น ขอบฟ้าจึงคุ้นๆ แค่ว่าเคยได้ยินใครสักคนในแผนกพูด เพิ่งมารู้ว่าวันจัดงานเป็นวันนี้
ยืนลังเลก่อนตัดสินใจกดลิฟต์ขึ้นไปยังชั้นจัดงาน เสียงพูดคุยครึกครื้นรวมถึงเสียงเพลงดังแว่วจากห้องประชุมขนาดใหญ่ชัดเจน ภายนอกมีผู้คนยืนอยู่ประปราย สีหน้าแววตาล้วนแล้วแต่เปี่ยมรอยยิ้มและเสียงหัวเราะซึ่งล้วนแล้วแต่ยิ่งทำให้ขอบฟ้ารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นสิ่งแปลกปลอมขึ้นทุกขณะ
บานประตูเปิดกว้างให้เห็นสภาพห้องประชุมที่ถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นสถานที่จัดงาน เขาเดินเข้าไปช้าๆ พร้อมเหลียวซ้ายแลขวาพยายามมองหาใครสักคนที่พอรู้จัก แต่คนเยอะจัดจนตาลาย ขณะคิดจะถอยไปหามุมเงียบๆ เพื่อตั้งตัว เสียงฮือฮาจากด้านหน้าก็เรียกความสนใจจากเขาไปเสียก่อน
แม้จะมองเห็นไม่ชัด แต่เขากลับจดจำร่างสูงในชุดสูทภูมิฐานนั่นได้ในทันที คนที่ห้อมล้อมหน้าหลังไม่เด่ชัดสะดุดตาเท่าร่างเพรียวระหงในชุดสีแดงสดที่เกี่ยวแขนควงคู่กันอยู่ ในสายตาพร่ามัว ทั้งคู่ยังดูเหมาะสมกันยิ่งนัก เป็นภาพที่สวยงามเสียจนไม่น่าเชื่อ
ยิ่งยามที่ร่างสูงโอบเอวหญิงสาวเข้าใกล้แล้วก้มหน้าลงกระซิบบางอย่างข้างหูก่อนหัวเราะกันเบาๆ แค่สองคน ขอบฟ้ายิ่งรู้สึกว่าพื้นที่ยืนอยู่ยุบหายกลายเป็นหุบเหวลึกที่พร้อมจะดูดเขาลงไปทุกเมื่อ
“นับว่าเป็นเกียรติมากนะคะที่คุณกรควงว่าที่คู่หมั้นคนสวยมาเปิดตัวให้เราดูกันเป็นขวัญตา ขอบอกว่าสมกันมากถึงมากที่สุดค่ะคุณขา” เสียงพิธีกรดังจากลำโพงก้องในหูราวกับคนพูดกำลังตะโกนใส่หน้า “สาวๆ ซับน้ำตากันหน่อยจ๊ะ บิดผ้าเช็ดหน้าแล้วซับต่อด่วน ส่วนพวกหนุ่มๆ ทั้งหลายกรุณาหุบปากที่อ้าอยู่ด้วย เดี๋ยวเผลอทำน้ำลายหก นอกจากขายขี้หน้าแล้วจะโดนเจ้านายหมายหัวไม่รู้ตัวนะจ๊ะ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน”
เขายืนมอง รับฟังสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนคนโง่ สูดหายใจลึก เสียใจแต่ไม่ยักมีน้ำตาสักหยด ถึงจะเตรียมใจมาก่อนแต่พอมาเห็นความจริงตรงหน้าก็อดรู้สึกช็อคไม่ได้อยู่ดี
โทรศัพท์ดังและถูกยกรับโดยอัตโนมัติ “คุณฟ้ายังอยู่ที่ห้องใช่ไหมครับ ผมกับคุณกรใกล้เสร็จธุระแล้ว ถ้ายังไง...”
“ผมอยู่ในห้องจัดงาน”
ปลายสายเงียบไปแบบอึ้งๆ ก่อนถามซ้ำ “อยู่ไหนนะครับ ผมฟังไม่ค่อยถนัดเลย ตรงนี้เสียงดังมาก”
เสียงดัง ก็คงใช่ เพราะเขาคิดว่าตนกับปวินคงอยู่ไม่ไกลกันเท่าไหร่หรอก “ผมมาถึงบริษัทแล้ว อยู่ในห้องประชุมที่จัดงานกันอยู่”
“อยู่ตรงไหนครับ” คราวนี้ ปวินไม่ถามซ้ำอีกนอกจากเอ่ยเสียงรีบร้อน “ผมกำลังเดินไปหา คุณฟ้ายืนอยู่ตรงไหน”
ทีแรกคิดว่าไม่เป็นไรแล้ว ธุระของเขาคงไม่จำเป็นอีกแต่พอโดนเร่งเร้าจากปลายสายเขาก็บอกไปว่ายืนอยู่ใกล้ประตูด้านข้าง อึดใจต่อมา ปวินก็เดินแทรกมาถึงตัวด้วยหน้าตื่นๆ
“คุณฟ้ามาได้ยังไง มานานหรือยัง แล้วคุณกรรู้หรือเปล่า...”
“ไม่เป็นไรหรอก คุณปั้น เพราะผมจะไปแล้ว ฝากบอกคุณกรด้วยแล้วกันนะครับว่า...” ความอาลัยรังแต่จะทำให้ยิ่งรู้สึกแย่ จู่ๆ เขาก็อยากไปจากที่นี่จนแทบทนไม่ได้ “ช่างมันเถอะครับ ขอโทษที่รบกวนตอนยุ่งๆ”
แค่หันหลัง ต้นแขนเขาก็โดนปวินคว้าหมับ “เดี๋ยวๆ แล้วนี่จะไปไหนครับ จะกลับห้องเหรอ งั้นผมไปส่ง”
“คุณปั้นยังมีงานอยู่นี่ ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมกลับเองได้” ตั้งท่าจะเดินต่อ แต่ฝ่ายที่ร้อนใจออกแรงดึงจนเขาเสียหลัก ขาปัดเป๋ หน้าเสียด้วยความเจ็บ
หากดูท่าปวินจะช็อคกว่าเพราะรีบปล่อยมือแทบไม่ทัน “คุณฟ้า ผมขอโทษ โอ๊ย ให้ตาย ผมขอโทษจริงๆ”
“ไม่เป็นไร ขอตัวก่อนดีกว่า ผม...” เสียงรื่นเริงรอบด้าน ใบหน้าทุกคนมีแต่รอยยิ้ม แต่หัวใจเขาแทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ “แต่ผมไม่ไหวแล้วจริงๆ”
ราวกับจะรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร ปวินไม่ขัดขวางอีกแต่เลือกจะเดินประคองเขาตรงไปยังทางออก “ผมจะลงไปส่ง”
พวกเขาเพิ่งเดินออกมาพ้นห้องจัดเลี้ยงได้ไม่กี่ก้าวกลับได้ยินเสียงตวาดห้วนดังลั่น
“พวกนายกำลังจะไปไหน!”
หันขวับกลับไปเจอร่างสูงที่ยืนอยู่บนเวทีจนถึงเมื่อครู่กำลังยืนจังก้าอยู่ด้วยสีหน้ากระด้างจัด โดยไม่ต้องรู้จักหรือสนิทสนมกัน ใครเห็นต่างก็รู้ว่ากรกำลังโกรธ ชั่วขณะที่ขอบฟ้ากำลังจะอ้าปากพูด กลับเห็นหญิงสาวในชุดแดงเดินเร็วๆ มาหยุดอยู่ข้างชายหนุ่มตรงหน้า
ไม่เพียงเท่านั้น ทางด้านหลังมีกลุ่มคนที่ล้วนต่างมองมาทางพวกเขา ซึ่งคงกำลังสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น
ปวินเห็นท่าไม่ดีจึงพยายามเอ่ยตอบเจ้านายด้วยน้ำเสียงปกติ “เพื่อนผมเขาไม่ค่อยสบายครับเลยจะพากลับบ้าน ไม่มีอะไรหรอกครับ คุณกรไม่ต้องเป็นห่วง...”
“ปล่อยมือ” คนสั่งเสียงต่ำไม่เจาะจงว่าสั่งใคร หากปวินก็ปล่อยมือตามคำสั่งและก้าวถอยไปสองสามก้าว
เมื่อต้องยืนโดดเดี่ยวตามลำพัง ขอบฟ้าก็เริ่มเงอะงะ ประหม่ากับสายตาใคร่รู้รอบข้างถึงกับวางมือวางไม้ไม่ถูก
“นายคิดจะทำอะไรกันแน่” กรโกรธ เขารู้ แต่ไม่รู้โกรธเรื่องอะไร เขาต่างหากที่น่าจะเป็นคนโกรธ โกรธคนตรงหน้าที่แย่งชิงทุกสิ่งทุกอย่างไปแม้แต่หัวใจ ทว่าเขากลับโกรธไม่ลง ที่สำคัญคือขอบฟ้าเริ่มกลัวว่าความโกรธของกรกำลังจะทำให้ชายหนุ่มขาดสติและโพล่งเรื่องที่ไม่ควรพูดออกมาต่อหน้าทุกคน
“คุณกร เอ่อ ผมขอตัว...” ขณะคิดจะตัดบทเดินหนีเอาตัวรอด เสียงตะโกนไล่หลังกลับไม่ยอมปล่อยเขาไปง่ายๆ
“นายก็ดีแต่หนีตลอด พูดออกมาสิว่าต้องการอะไร พูดออกมาสิ!”
ยิ่งกว่าการแสดงจำอวด เขาจำต้องหันกลับมาจ้องหน้าอีกฝ่ายทั้งที่อยากวิ่งหนีไปให้ไกล พูดเหรอ กรอยากให้พูดอะไร จะให้พนักงานต๊อกต๋อยสั่งเจ้าของบริษัทว่า อย่าแต่งงานต่อหน้าคนเป็นร้อยเนี่ยนะ กรต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ
“ผม...” ขาก็ปวด หัวก็แทบจะระเบิด เหงื่อเขาแตกพลั่กๆ อย่างกับเปิดก๊อก สายตาเริ่มมองไม่เห็นว่าใครเป็นใครนอกจากกร รู้สึกหมิ่นเหม่เหมือนยืนอยู่ขอบเหว ขอบฟ้ากัดฟันมองผู้ชายตัวสูงที่ยืนจ้องเขาตาเขม็ง สูดหายใจลึกก่อนพูดออกไป “ผมรักคุณ”
เขารู้สึกราวกับเพิ่งทิ้งตัวจากขอบผาลงสู่มหาสมุทรเย็นฉ่ำ
++++++++++
เจ้าสิงโตปอดแหก บทจะกล้าขึ้นมาก็กล้าได้ไม่ดูตาม้าตาเรือเอาเสียเลย
สารภาพกันตรงๆ เลยว่าประมาณแปดสิบเปอร์เซนต์ ขอบฟ้าคิดว่ากรคงแกล้งทำเป็นไม่รู้จักไอ้บ้าที่กล้าบอกรักผู้ชายด้วยกันต่อหน้าคนมากมายแน่ๆ
อีกสิบห้าเปอร์เซนต์ กรอาจบอกให้ไปคุยที่อื่น ต่อเนื่องมาที่สี่เปอร์เซนต์คือลากเขาออกไปจากตรงนั้น แต่กรกลับทำตามความน่าจะเป็นในอีกหนึ่งเปอร์เซนต์เล็กๆ ที่เหลือ คือเดินเข้ามากอดเขาดื้อๆ
กอดแบบกอดจริงๆ คือรวบตัวเขาเข้าไปซุกในอกแล้วโอบรัดไว้ทั้งตัว รัดแน่นมากด้วย แน่นเสียจนยอมให้กอดได้ไม่นานก็ต้องร้องประท้วง “เจ็บ พี่กร ผมเจ็บ”
แทนที่จะปล่อย กรกลับพูดอู้อี้อยู่เหนือศีรษะ “พูดให้ฟังอีกทีได้ไหม นะ...นะครับ”
เสียงอ้อนๆ ทำให้เขินจนทำอะไรไม่ถูก หากยังไม่ทันได้ทำตามคำขอ เสียงกระแอมไอดังๆ เหมือนมีควายติดคอก็ดังขึ้นจนเขานึกออกว่ายืนอยู่ตรงไหน
ดันร่างสูงมือพัลวันโดยไม่สนด้วยว่าอีกฝ่ายจะเริ่มขมวดคิ้วหงุดหงิดกับท่าทีของเขา ขอบฟ้าเหลือบเห็นปวินที่คงเป็นคนกระแอมเตือนเมื่อครู่ใกล้ๆ แล้วรีบส่งสายตาขอความช่วยเหลือ
“คุณฟ้าเจ็บขาอยู่นี่ครับ” ปวินโพล่งขึ้น เรียกสายตาพวกเขาให้หันไปมองได้พร้อมกัน
“เอ่อ...ใช่ๆ เจ็บขา” เพราะมัวแต่ตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนทำให้เขาแทบลืมความเจ็บปวดที่ขา พอพูดถึงตอนนี้ก็เริ่มปวดตุบๆ จนเผลอเกร็งตัว จิกมือลงกับต้นแขนชายหนุ่ม
กรเพ่งมองหน้าเขาที่ออกอาการเจ็บจริง ไม่ได้เล่นละครแล้วจึงสูดหายใจลึก ความเครียด ความโกรธฉายชัดบนใบหน้าแม้เจ้าตัวจะยังพยายามเก็บอาการ หันไปสั่งเลขาเสียงเรียบ “ไปเตรียมรถ”
“ได้ครับ” เลขาหนุ่มรีบรับคำและหันไปบอกคนรอบๆ “ไม่ต้องห่วงครับ เดี๋ยวเราจะพาคนเจ็บไปหาหมอเอง มาเถอะ คุณลิน ทางนี้ให้เขาจัดการกันต่อเองได้”
แม้จะไม่ได้หันไปมองหน้าหญิงสาว แต่ขอบฟ้ากลับเผลอยึดเสื้อสูทกรไว้แน่น แน่นกว่าตอนที่เขาบอกว่าเจ็บเมื่อครู่เสียอีก หากพอกรเหลียวกลับมาจ้องตรงที่โดนเขาขยำจนสูทยับ ขอบฟ้าก็รีบปล่อยทันที นึกหาคำพูดดีๆ สักประโยค
“ไม่มีอะไร ไม่ต้องห่วง” กลายเป็นกรที่เอ่ยพร้อมย่อตัวทำท่าจะช้อนเขาขึ้นอุ้ม พอขอบฟ้าขืนตัวโย้ก็ชักสีหน้าใส่ “เจ็บขาไม่ใช่เหรอ ไม่ให้อุ้มแล้วจะคลานไปหรือไง”
สุดท้ายปวินก็ต้องย้อนกลับมาหย่าศึกให้ ประคองหิ้วปีกกันมาคนละด้านโดยมีกรคอยออกคำสั่งกำกับเป็นระยะซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องไร้สาระ
“ปั้น จับแขน ไม่ต้องจับเอว”
“ชิดเกินไปแล้ว ถอยหน่อย ห่างๆ”
“จะทิ้งตัวก็ทิ้งมาทางนี้สิวะ อะไรนะ เจ็บขาด้านนั้น เฮ้ย ปั้นๆ เปลี่ยนข้างกัน...”
“คุณกร!”
“พี่กร!”
สองเสียงหลังนั่น ขอบฟ้ากับปวินแหวขึ้นอย่างเหลืออดพร้อมกัน ชายหนุ่มทำหน้าบึ้งแต่ก็ยอมเงียบไป มีแค่หญิงสาวที่ยังหัวเราะคิกทำเอาขอบฟ้าตีหน้ากระอักกระอ่วน ยิ่งพอมาถึงรถ ว่าที่คู่หมั้นคนสวยกลับเอ่ยง่ายดาย
“ลินกลับแท็กซี่เองได้ค่ะ สบายมาก” เว้นช่วงไปนิดก่อนกล่าวต่อ “กรพาคุณเขาไปหาหมอเถอะ ให้ปั้นขับรถให้นะคะ สภาพกรไม่พร้อมจะขับรถเองหรอก ลินเป็นห่วง”
แสนดี นี่คือคำนิยามที่ขอบฟ้ามีให้กับสาวลินดาคนสวย ทำไมถึงไม่ร้าย ไม่เหวี่ยง ไม่วีนเขาเลยล่ะ อย่างน้อยเขาจะได้หาข้ออ้างบ้างว่าช่วยให้กรไม่ต้องแต่งงานกับผู้หญิงขี้วีน แต่แสนดีแบบนี้เขาจะมีเหตุผลอะไรให้อ้างได้อีก นอกจากความจริงล้วนๆ ว่าทนไม่ได้หากต้องเห็นกรไปมีคนอื่น
ตลอดทางไปโรงพยาบาล ขอบฟ้าไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว เช่นเดียวกับกรที่ไม่ได้ปล่อยมือจากเขา กระทั่งพอถึงจุดหมาย บุรุษพยาบาลเอารถเข็นมาจ่อรอ ปัญหาก็เกิดขึ้นเมื่อกรยังไม่ยอมปล่อยมือ
“คุณกรครับ วางได้แล้วครับ” ปวินเป็นหน่วยกล้าตายชี้ไปยังรถเข็น “คุณกร ได้ยินไหมครับ”
ร่างสูงอุ้มคนในอ้อมแขนติดมือทำหน้าเครียดแล้วส่ายหัว “ไม่ล่ะ ไม่ต้อง อุ้มไปแบบนี้ก็ได้”
ปวินขึงตาใส่เจ้านาย พูดเน้นหนัก “วางคุณฟ้าลงบนรถเข็นครับ คุณกร คิดจะอุ้มเขาไปหาหมอทั้งแบบนี้หรือไง ถึงคุณจะหน้าด้านไม่แคร์สายตาคนอื่นแต่...”
“ปั้น! อย่าให้มันล้ำเส้นมากไปนัก” เห็นท่ากรพร้อมจะเหวี่ยงใส่เลขาทั้งที่ยังกระเตงเขาติดอยู่ ขอบฟ้าก็รีบตบบ่ากว้าง
“วางผมลงก่อน พี่กร” ชายหนุ่มชะงักแต่ยังไม่ยอมทำตาม เขาเลยตบบ่าปุๆ “ได้ยินที่ผมบอกหรือเปล่า วางก่อน”
ตาขวางๆ สะบัดกลับมาจ้องเขาแทน แต่ขอบฟ้าก็จ้องตอบ เรียกชื่อชัดๆ ทีละคำ “พี่-กร”
แม้จะหน้าบูดสุดขีด หากยังวางเขาลงบนเก้าอี้อย่างเบามือ ก่อนกรจะหันไปแย่งงานบุรุษพยาบาลโดยเบียดฝ่ายนั้นเสียกระเด็นพร้อมกล่าวห้วนๆ “นำทางไปก็พอ ผมเข็นเอง”
ระหว่างที่รอพบหมอ กรยังทำท่าร้อนใจตลอดเวลา หวิดจะลุกไปโวยก็หลายหนแต่ขอบฟ้าก็คว้าไว้ได้ทัน สุดท้ายเขาเลยต้องคอยยึดแขนฝ่ายนั้นไว้ตลอดเวลา
เมื่อได้พบหน้าหมอและตรวจดูอาการ เขาก็ได้รับการฉีดยาแก้ปวดหนึ่งเข็ม ทว่าพอเริ่มซักประวัติอาการบาดเจ็บ เขาก็เริ่มอ้ำอึ้ง “ปกติก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ ยกเว้นเวลาที่เดินเยอะไปหน่อยหรือยืนนานไปนิด มันก็จะปวดบ้างเป็นบางครั้ง”
“เคสของคุณเป็นอาการบาดเจ็บเรื้อรัง ฉะนั้นต้องระวังให้มากๆ เพราะนับจากเวลาที่เกิดอุบัติเหตุผ่านมาหลายปี แสดงว่าสภาพร่างกายคุณฟื้นตัวเท่าที่จะสามารถทำได้แล้วและจะไม่ดีขึ้นไปกว่านี้ มีแต่ทรงตัวกับแย่ลงเท่านั้น” คุณหมออธิบายด้วยสีหน้าจริงจัง “อย่านิ่งนอนใจว่านิดหน่อยคงไม่เป็นไร กินยาก็หาย เพราะลองถ้ามันเสียไปหรือกำเริบหนักกว่าเดิม อาจต้องทำการผ่าตัดซ้ำ ถ้าโชคดีก็อาจกลับมาเดินได้ในระดับตอนนี้แต่ถ้าโชคร้าย...”
หยุดถอนหายใจใส่คนไข้แล้วเอ่ยสรุป
“คุณยังอายุน้อย คงไม่อยากต้องใช้ไม้เท้าช่วยเดินไปตลอดชีวิตที่เหลือหรอกนะ”
แม้ไม่ได้หันไปมองร่างสูงที่ยืนกอดอกคุมเชิงอยู่ทางด้านหลัง ขอบฟ้าก็ยังได้ยินเสียงสูดหายใจเฮือก “ไม่อยากหรอกครับ ผมจะระวังให้มากกว่านี้”
“สองวันนี้ งดใช้งานขาหนักๆ ก่อนนะครับ ถ้าหยุดงานได้ก็จะดี”
เขายกมือไหว้คุณหมอแล้วนั่งแช่เฉยๆ รอปวินที่เพิ่งจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายเสร็จวนรถมารับด้านหน้า เหตุที่ปวินต้องวิ่งไปมาอยู่คนเดียวเพราะกรยืนยันที่จะเกาะรถเข็นเขาแน่นแบบไม่ยอมปล่อย ทำอย่างกับกลัวว่าเขาจะแอบไถรถเข็นกลับบ้านเองอย่างงั้นล่ะ
“เราต้องคุยกันเรื่องนี้” จู่ๆ กรก็เอ่ยขึ้นขณะที่เขากำลังนั่งพลิกดูซองยาบนตัก ร่างสูงก้มลงสบตาเขาที่เอี้ยวตัวไปมอง บนใบหน้าไม่มีรอยยิ้มนอกจากความเครียดล้วนๆ “คุยกันยาวๆ เลยล่ะ”
เขาเชื่อว่ายาวๆ ของกรคงถึงขั้นนั่งจับเข่าคุยกันข้ามวันข้ามคืนแน่ ดังนั้นขอบฟ้าจึงอาศัยช่วงเวลานี้เตรียมตัวรวมถึงคิดหาคำพูดไว้ล่วงหน้าในใจ
เรื่องอาการบาดเจ็บเรื้อรัง เขาไม่เคยคิดจะบอกกรหลังอุบัติเหตุเพราะคิดว่าถ้าบอกไป ปัญหาคงตามมาอีกเยอะ ส่วนหนึ่งเขาก็คิดว่าทำตัวเองด้วย กรขอร้องให้เขาวิ่งเข้าไปช่วยเหรอ ก็เปล่า…
เขาไม่ได้พิการ แค่ขาไม่ดีนิดหน่อยเท่านั้นเอง แถมเป็นแค่ข้างซ้ายข้างเดียวด้วย โชคดีที่เขาเป็นคนถนัดขวา...
อีกอย่าง ที่อาการดันกำเริบหนัก เพราะเมื่อคืนดันซ่าออกไปเดินเหม่อเฮิร์ตเป็นกิโลๆ ต่างหาก
คิดเรื่อยเปื่อยแล้วต้องถอนหายใจ เขาไม่อยาก...เป็นตัวภาระ ยอมรับว่าสมัยนั้นเขามองหาคุณค่าในตัวเองไม่ค่อยเจอ อาจเพราะโดนมารดาบอก โดนทิวหมอกย้ำใส่หัวมาตลอดว่าให้หัดทำตัวมีประโยชน์ อย่าสร้างปัญหา กลไกในหัวจึงตีความออกมาโดยอัตโนมัติว่าขาเสียเท่ากับภาระ
ที่สำคัญ เขาไม่ได้อยากให้กรต้องมารับภาระทั้งที่ไม่ได้คิดอะไรด้วยเป็นพิเศษ
หวังว่ากรจะเข้าใจจุดนี้บ้างนะ เขาเป็นคนขาดความมั่นใจมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ถึงปัจจุบันจะดีขึ้น แต่มันก็ไม่ได้มากมาย ยิ่งในเรื่องของความรู้สึก ความรัก ถึงจะค่อนข้างแน่ใจว่ากรคงคิดอะไรกับเขาบ้างไม่มากก็น้อยในเวลานี้ก็ตาม
หลังจากถกเถียงกันเล็กน้อยเรื่องกรสั่งให้ปวินแวะซื้อรถเข็นคนป่วย ขอบฟ้าเป็นฝ่ายชนะด้วยการเน้นคำพูดช้าๆ ทีละคำ
“ผม-ไม่-ได้-พิ-การ” ในใจคนพูดเดือดปุดๆ ความจริงอยากหาอะไรมาทุบหัวชายหนุ่มระหว่างเน้นเสียงทีละคำด้วยซ้ำ “ถ้า-ผม-เห็น-เก้า-อี้-นั่น-ที่-บ้าน ผมจะ...”
“เออ ไม่เอาก็ไม่เอาสิวะ แค่นี้ก็ต้องขู่” กรสะบัดเสียงสูงใส่ “เอะอะโมโหใส่กูตลอดนะมึงอ่ะ กินของหวานเยอะไปเปล่าวะหมู่นี้”
เขาว่าเขาชินกับปากคอผู้ชายคนนี้แล้วนะ แต่บางครั้งมันก็ยังทำให้ฉุนได้อยู่ดี “ใครกันแน่ มีแต่พี่กรนั่นล่ะที่ชอบดุ ชอบตะคอก...”
รู้สึกเหมือนยิ่งเถียง ยิ่งเสียพลังงาน ขอบฟ้าปิดปาก ทิ้งตัวลงพิงเบาะรถ ตัดสินใจกลับไปใช้ความคิดเตรียมตัวรับมือสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นดีกว่า
ขบคิดพลางลอบชำเลืองมองคนข้างๆ ไปพลาง ดูท่าฝ่ายนั้นก็คงกำลังใช้ความคิดหนักไม่แพ้เขา เพราะเดี๋ยวก็ขมวดคิ้วมุ่น เดี๋ยวก็เม้มปากแน่น แต่ที่แปลกคือมุมปากกรยกยิ้มเป็นระยะ เมื่อกลับมาถึงที่พัก กรก็หิ้วปีกเขาลงมาและขอบฟ้าพบว่ายาแก้ปวดออกฤทธิ์ดีมากจนพอให้เขาเขยกเดินเองได้ด้วยซ้ำ ปวินจึงรีบขอตัวชิ่งไปทันที ทิ้งให้พวกเขาไปคุยกันยาวๆ แบบตัวใครตัวมัน
ถึงห้องปุ๊บ กรสามารถทำกิริยาที่เรียกว่ากึ่งประคอง กึ่งสะบัดทิ้งตัวเขาลงบนโซฟาได้อย่างน่าอัศจรรย์ หันไปลากเก้าอี้มานั่งประจัญหน้าแบบจะๆ ไม่เว้นระยะห่างให้คลายเครียดสักนิด
“พูดมา” กรกอดอกสั่งเสียงเย็น ตวัดขาขึ้นไขว่ห้างแบบกะว่าถ้าตอบไม่ถูกใจก็คงยกเสยคางเขาได้ทันทีนั่นล่ะ
เงยหน้าสบตาคมๆ แบบตรงๆ แล้วขอบฟ้าก็ตอบอย่างที่คิดมาตลอด ติดจะหงุดหงิดด้วยซ้ำ “ผมพูดของผมไปแล้ว พี่นั่นล่ะที่ยังไม่ได้พูดอะไรเลย”
“หืม พูดไปแล้ว อ๋อ ใช่ที่มึงรักกูมากจนทนเก็บไว้ในใจคนเดียวไม่ได้ เลยต้องประกาศความรักล้นอกออกมาต่อหน้าผู้คนใช่ไหม” พยักหน้าหงึกหงักคล้ายเข้าอกเข้าใจแล้วกรก็ยิ้มกว้าง “มึงทำกูประหลาดใจเลยนะนั่น บอกตรงๆ กูคิดว่ามึงจะไล่ให้กูไปตายซะอีก”
ฟังแล้วเขาก็อดหัวเราะไม่ได้ “เออ นั่นสิ ทำไมตอนนั้นนึกไม่ออกก็ไม่รู้”
หลังจากน้น พวกเขาก็มองหน้ากันนิ่งๆ พักใหญ่ก่อนกรจะถอนหายใจยาว
“เอาล่ะ ถึงตากูใช่ไหม”
++++++++++