Rough and Tender 20
วันต่อมากว่าเขาจะตื่นนอน ทิวหมอกก็ออกไปทำงานแล้ว รอยบนลำคอดูน่ากลัวอยู่บ้างแต่เขาก็แก้ปัญหาโดยการรูปซิปเสื้อคลุมปิดถึงคอ ถึงจะดูผิดฤดูไปบ้างแต่ก็ไม่ถึงกับขัดตาอะไรมากมาย
อาการป่วยของมารดาทุเลาลงมากจนอยากลุกมาทำขนมขายหลังจากหยุดไปหลายวัน หากพวกเขาขอร้องให้พักต่อจนหายดีก่อน มารดาจึงยอมนอนพักอยู่กับบ้านเฉยๆ ต่ออีกวัน
ทุกอย่างเหมือนจะดีขึ้น ยกเว้นอยู่เรื่องเดียวคือรถของกรยังจอดอยู่ที่เดิม ท่าเดิมเหมือนเมื่อวานเป๊ะ จนขอบฟ้ากลัวว่าขืนปล่อยทิ้งไว้อาจพบศพในรถแทนก็เป็นได้
ปลายฝนยืนเกาะประตูบ้าน ยังพยายามคัดค้านเขา “จะดีเหรอ พี่ฟ้า ฝนว่าปล่อยไว้แบบนั้นก็ดีแล้ว ในเมื่อเจ้าตัวเขาอยากนั่งจนเน่าตายในรถก็ช่างเขาเถอะ”
“ไม่ดีหรอก พี่ยังไม่อยากให้เขาตาย” ขอบฟ้านิ่วหน้า “ขืนมาตายอยู่ตรงนี้ เฮี้ยนแย่เลย”
เขาจดๆ จ้องๆ ย่องๆ ไปเคาะกระจกด้านคนขับ รอจนกระจกลดลงจึงค่อยเห็นคนหน้าบูดแถมบวมจากแผลโดนต่อยตวัดตามอง ถามเสียงเขียว “มีธุระอะไร”
เอ่อ หรือที่กรมาจอดรถนอนอยู่หน้าบ้านเขาจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญ แบบขับๆ รถมาแล้วเกิดง่วงนอน เลยง่วงไม่ขับ จอดรถนอนดีกว่า “ก็...ไม่มีธุระอะไรเป็นพิเศษหรอกครับ”
“เออ ดี แต่กูมี” กรเปิดประตูพรวด กระโดดลงจากรถมาคว้าข้อมือเขาไว้ขณะที่เขามัวแต่ยืนเซ่อ “มึงจะกลับบ้านเมื่อไหร่”
“บ้านผมอยู่ที่นี่” คนอธิบายหน้าตื่น
“อย่ามาตีหน้าโง่! กูหมายถึงบ้านกู ห้องกู ห้องผัวมึงอ่ะ จะกลับเมื่อไหร่” ชายหนุ่มออกอาการพื้นเสียหงุดหงิดด้วยคำพูดรุนแรงจนขอบฟ้าผงะ หน้าซีดเผือดทันตา
“ไม่กลับ ผมจะไม่กลับไปที่นั่นอีกแล้ว” ใครมันจะบ้ากลับไปให้โดนล่ามโซ่อีก ไม่มีทาง
“กล้าเถียงกูฉอดๆ แบบนี้แสดงว่าไม่กลัวเจ็บตัวใช่ไหม” กรบีบข้อมือเขาแรงขึ้น แต่อาจจะเพราะชินแล้วจากเมื่อวาน ขอบฟ้าจึงแค่เม้มปาก รวบรวมความกล้าและเอ่ยเรียบๆ
“ถึงพี่จะตีผมให้ตาย ผมก็ไม่กลับ”
เขาได้ยินกรสูดหายใจเลยเตรียมรอรับแรงฟาดที่อาจมีมาได้ทุกเมื่อ หากหลังจากหลับตาเกร็งอยู่พักใหญ่ กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น พอสบตากัน กรก็สะบัดข้อมือเขาทิ้ง ตวาดด้วยท่าทางโกรธจัด
“มึงเป็นเหี้ยอะไร! เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วยังคิดว่าไอ้พลจะกลับมาหามึงอีกเหรอ” ชายหนุ่มใช้นิ้วชี้จิ้มหน้าผากเขาแรงๆ “มีหัวก็หัดคิดบ้างสิวะ! กูล่ะอยากจะเปิดกะโหลกมึงออกมาดูนักว่าข้างในแม่งมีแต่ขี้เลื่อยหรือปล่อย ทิ้งไว้กลวงๆ ถึงได้ทู่ซี้ยึดติดอะไรไม่เข้าท่า...”
“ผมไม่ได้รอพี่พล เราเลิกกันแล้ว เขาจะกลับมาหาผมอีกทำไม” ขอบฟ้าคร้านจะฟังคำด่ายาวๆ เลยตัดบทขึ้น ซึ่งก็ได้ผลดีเพราะอีกฝ่ายชะงักคำพูดที่เหลือหายไปหมด “อยากรู้แค่นี้ใช่ไหม พี่กรรู้แล้วก็กลับบ้านไปเถอะ”
เป็นอีกครั้งที่คำพูดประสงค์ดีของเขาโดนเข้าใจผิด ร่างสูงซึ่งหายจากอาการแปลกใจจึงขึงตาใส่ “ถนนนี้พ่อมึงสร้างหรือไง ถ้ากูอยากอยู่ กูก็จะอยู่ มึงจะทำไม”
ถอนหายใจยาวเหยียด มองคนฟาดหัวฟาดหางไม่เลิก ทั้งๆ ที่ฟาดเท่าไหร่ก็โดนตัวเอง คนอะไรชอบหาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ “ก็ไม่ทำไมหรอก แต่พี่กรอยู่แต่ในรถแล้วไม่เมื่อยเหรอ แล้วนี่ได้กินข้าวบ้างไหม ...อาบน้ำบ้างหรือเปล่า”
ประโยคหลังเขาถามเพราะชักได้กลิ่นไม่ค่อยพึงประสงค์ แต่คนจะเหวี่ยง ยังไงก็เหวี่ยงไม่เลิก
“เรื่องของกู”
“ครับๆ มันเรื่องของพี่” ขอบฟ้าพยักหน้าเออออ “ถ้ายังไงเข้าไปหาอะไรกินในบ้านผมก่อนไหม หรืออยากอาบน้ำด้วยก็ตามใจ”
กรชายตามองหน้าหาแววประชดประชันแต่พอเห็นแค่กิริยายืนนิ่งรอคำตอบ ชายหนุ่มจึงค่อยเอ่ย “...ก็ได้”
เขาเดินนำกรกลับไปทั้งที่ชักไม่ค่อยแน่ใจ เห็นปลายฝนทำตาโตเท่าไข่ห่านแล้วต้องพึมพำขอโทษ หากน้องสาวตัวดีก็ยังรี่เข้ามาดึงแขนเขาลากไปคุยด้านหนึ่ง
“พี่ฟ้า! ฝนคิดว่าพี่ฟ้าจะออกไปไล่หมอนั่นกลับบ้านเสียอีก แล้วนี่ทำไมชวนเขาเข้าบ้านเฉยเลย!”
“พี่บอกเขาแล้วแต่เขาไม่ยอมกลับนี่ จะให้พี่ทำยังไง” ขอบฟ้าตอบอุบอิบ ติดจะเกรงๆ “อีกอย่าง ขืนทิ้งไว้ตรงนั้น เกิดอดตายขึ้นมา พี่คงบาปแย่”
ระหว่างที่มัวแต่ยืนแก้ตัวอยู่ มารดาซึ่งลุกมาเข้าห้องน้ำก็กำลังรับไหว้ชายหนุ่มแปลกหน้า “ไหว้พระเถอะ พ่อหนุ่ม เป็นเพื่อนเจ้าฟ้ามันเหรอ แล้ว...หน้านั่นไปโดนอะไรมา”
“พอดีผมชอบเข้ายิมชกมวยเป็นงานอดิเรกน่ะครับ บางครั้งก็มีลูกหลงมาแบบนี้” ตอบคล่องแคล่วจริงจังจนนี่ถ้าไม่รู้จักกันมาก่อน ขอบฟ้าก็คงเชื่อ แต่จะว่าโกหกทั้งหมดก็คงไม่ได้ เพราะยิมซ้อมมวยของคนพูดมักอยู่กลางแจ้งเสมอ
กว่าทั้งขอบฟ้าและปลายฝนจะหันไปเห็น มารดาพวกเขาก็พยักเพยิดหน้าให้ “หนุ่มๆ เดี๋ยวนี้ตัวทั้งสูงทั้งใหญ่กันจริง แล้วนี่กินข้าวกินปลากันมาหรือยัง รอเดี๋ยวนะ เดี๋ยวม้าจะทำอะไรเพิ่มให้ ที่มีอยู่เราคงกินไม่อิ่มหรอก ปกติบ้านนี้เขากินกันแค่นิดๆ หน่อยๆ เลยไม่อยากทำเยอะ เหลือแล้วมันเสียดายของน่ะ”
“ขอบคุณมากครับ คุณป้า”
ลับหลังมารดาเท่านั้น กรก็หันมายักคิ้วอย่างคนชนะ ปลายฝนยืนกลอกตา สะบัดหน้ากลับไปนั่งดูโทรทัศน์ต่ออย่างฉุนๆ ส่วนเขาก็ตามไปชะโงกหน้าบอกในครัว ที่ซึ่งมารดากำลังเปิดตู้เย็นหาวัตถุดิบให้ง่วน “ม้า ผมพาพี่กรไปอาบน้ำก่อนนะ”
“เออๆ อาบน้ำอาบท่าเสร็จแล้วลงมาน่าจะเสร็จพอดี อ้อ แล้วอย่าลืมหาหยูกหายาทาให้พี่เขาด้วยล่ะ”
การเห็นกรมายืนตัวโตคับห้องให้ความรู้สึกประหลาด แม้แต่พลชนะ เขายังไม่เคยชักชวนให้ขึ้นมาถึงห้องสักครั้ง หรือเขาจะการ์ดต่ำไปจริงๆ นะ
“ห้องมึงเล็กกว่าห้องน้ำบ้านกูอีก” คำวิจารณ์มาจากปากร่างสูงที่เพิ่งทิ้งตัวลงบนเตียง “เตียงสั้นไปเปล่าวะ”
“เตียงผมปกติ เตียงบ้านพี่ต่างหากที่ใหญ่เกิน” ขอบฟ้ารีบคุ้ยหาผ้าเช็ดตัว คว้าเสื้อผ้ามาส่งๆ “ลุกเร็วเข้า รีบไปอาบน้ำ”
กว่าจะฉุดลาก ดันหลังเข้าห้องน้ำได้เล่นเอาเหงื่อแตก ขอบฟ้ารีบกลับมาเก็บห้องแบบลวกๆ อะไรไม่อยากให้อีกฝ่ายเห็นหรือวิจารณ์ก็รีบยัดเข้าลิ้นชักให้หมดจนแทบปิดไม่ลง
ตอนกรเปิดประตูผางออกมา เขาเพิ่งยัดรายงานเทอมก่อนที่ได้เกรดซีลบเข้าตู้เสื้อผ้า “เสร็จแล้วใช่...”
หากพอเหลียวไปมองก็พบว่าร่างสูงไม่ได้แต่งตัวออกมาให้เรียบร้อย ตรงกันข้าม กรพันแค่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียวรอบเอวแล้วปาเสื้อผ้าใส่หน้าเขา “เสื้อแบบนี้กูไม่ใส่ หามาใหม่”
พอเห็นเขามัวแต่งกๆ เงิ่นๆ กรก็เดินมาดันหัวเขาออกให้พ้นจากบริเวณหน้าตู้เสื้อผ้า “หลีก กูหาเอง”
ครั้นเปิดตู้ สิ่งแรกที่กรหยิบออกมาคือรายงานซีลบ ดูเหมือนชายหนุ่มจะสนใจพอควร เพราะเลิกสนใจจะแต่งตัวให้เรียบร้อยและถอยไปนั่งบนเตียงพร้อมพลิกดูรายงานในมือไปด้วย “อ่อนว่ะมึง”
พยายามจะเข้าไปคว้าคืน กรก็ยันหัวเขาไว้ “อาจารย์มึงยังปรานีนะ นี่ถ้าเป็นกู กูให้ด๊อกไปแล้ว อ้าว มีสะกดผิดอีก มึงนี่ฮาว่ะ”
ว่าแล้วกรก็หัวเราะเอาๆ ซึ่งเขาไม่เห็นว่ามันจะน่าขำตรงไหน ก็เพราะเขาไม่มีคอมพิวเตอร์ไว้คอยตรวจคอยแก้นี่นา เวลาจะพิมพ์รายงานแต่ละครั้ง ถ้าไม่ได้ใช้ศูนย์คอมพิวเตอร์ที่มหาวิทยาลัย ก็ต้องไปตามพวกร้านคอมพิวเตอร์ละแวกนี้เอา ถึงทิวหมอกจะเคยเปรยมาหลายครั้งว่าจะดูๆ ให้ แต่เอาเข้าจริงก็มักจะมีเรื่องด่วนให้ต้องใช้เงินก่อนอยู่ร่ำไป เขาเองก็ไม่ได้คิดว่าเป็นการยากลำบากอะไรนักจนกระทั่งถึงตอนนี้
“เอาคืนมาแล้วรีบๆ ไปแต่งตัว ป่านนี้แม่ผมคงทำกับข้าวเสร็จแล้ว” เขารับรายงานที่ถูกชำแหละจนหมดความสนใจแล้ว มองตามกรที่กำลังเดินอาดๆ ไปเลือกเสื้อผ้าจากในตู้ “จะรื้อแค่ไหนมันก็ไม่มีแบบแพงๆ หรอก ไม่หิวหรือไง”
“กูหิวจนจะแดกควายได้ทั้งตัวอยู่แล้ว” ไม่รู้ทำไมตอนพูดประโยคดังกล่าว กรต้องหันมาจ้องเขาด้วย เขาไม่ใช่ควายนะ “เออ ตัวนี้พอดูได้ เดี๋ยวกูใส่กางเกงตัวเดิมดีกว่า ของมึงแม่งท่าจะสั้นเกิน”
กรสวมเสื้อยืดสีดำเรียบๆ กับกางเกงตัวเก่า แต่เพราะผ่านการอาบน้ำมาแล้ว ชายหนุ่มจึงดูสดชื่นและสะอาดสะอ้านดี
“ผมทายาให้” ขอบฟ้าเรียกอีกฝ่ายไว้และหันไปคว้าหลอดยาตรงหัวนอน ป้ายยาให้ร่างสูงที่นั่งรอบนเตียงเงียบๆ ซึ่งอาการเงียบเป็นเด็กดีไม่ชินตาทำให้เขาพูดออกไปทื่อๆ หลังทายาบนรอยบวมๆ สีเขียวอมม่วง “แบบนี้เขาเรียกว่าหน้ามีสี”
ตาคมๆ ตวัดมองหน้าคนพูด “นี่กูต้องขำไหม”
ขอบฟ้าส่ายหน้าและออกปากเร่งให้รีบลงไปกินข้าวแทน เมื่อพวกเขาลงมาชั้นล่างก็เห็นมารดากับปลายฝนเตรียมตัวออกจากบ้าน
“ม้าอยากไปซื้อของมาเตรียมทำขนมพรุ่งนี้ ฟ้ากับเพื่อนอยากได้อะไรที่ตลาดไหม”
“งั้นเดี๋ยวผมขับรถไปส่ง” กรเสนอตัวก่อนที่ขอบฟ้าจะพูดว่าเขาไปเอง ซึ่งมารดาก็รีบโบกไม้โบกมือพัลวัน
“ไม่ต้องหรอก พ่อหนุ่ม ใกล้ๆ แค่นี้เอง” ปฏิเสธพลางรีบชี้อาหารบนโต๊ะซึ่งยังขึ้นควันกรุ่น “ม้าทำไว้ให้เพิ่งเสร็จ รีบกินตอนร้อนๆ ดีกว่า ม้าไปแล้ว”
ว่าแล้วก็ผลุนผลันจากไป ทิ้งให้พวกเขายืนมองหน้ากันเอง ขอบฟ้าจึงหยิบจานไปตักข้าวให้และชวนให้กรนั่งลง ระหว่างที่เขากินแบบเลาะเล็มเพราะยังไม่หิว กรก็ฟาดทุกอย่างเหมือนพายุลง ...ดูท่าจะหิวมากอย่างที่บอก
“จะเปิดเทอมแล้วใช่ไหม”
ขอบฟ้าเงยหน้าจากการนับเมล็ดข้าวในช้อน สบตาผู้ถาม “ก็...เปิดจันทร์ที่จะถึง”
“แล้วซื้อหนังสือครบหรือยัง”
“เกือบครบ... พอดีมีเทกซ์บางเรื่องที่ต้องรอหนังสือ” ถึงความจริงคือเขาเจียดเบี้ยเลี้ยงเดือนนี้ไปซื้อหนังสือเรียนเล่มที่จำเป็นก่อนจนหมดแล้วและต้องรอเบี้ยเลี้ยงเดือนหน้าออกก่อนก็เถอะ แต่เขาคิดว่าจะไปยืมหนังสือจากห้องสมุดมาใช้ก็น่าจะไม่มีปัญหา
“เรื่องอะไร”
บอกชื่อไป กรก็พยักหน้า “เล่มนั้นกูมี เดี๋ยวพรุ่งนี้เอามาให้”
หา พรุ่งนี้ก็จะมาอีกเหรอ ไม่ไหวมั้ง “เอ่อ ไม่ต้องก็ได้ คือ...ผมหมายถึงไว้วันหลังดีกว่าไหม หรือจะให้ผมแวะไปเอา หรือพี่จะส่งไปรษณีย์...”
“ไม่อยากให้กูมาขนาดนั้น” จากน้ำเสียงรวนๆ เขาไม่อยากรนหาที่เสียด้วย
“เปล่า แต่พรุ่งนี้ผมคงต้องช่วยม้าทำขนม ตอนเย็นก็ต้องไปช่วยขาย ไม่ว่างคอยดูแลพี่หรอก”
“ถ้ากูต้องรอให้คนอย่างมึงมาดูแลก็คงอาการโคม่าแล้วล่ะ”
เพราะพื้นฐานนิสัยไม่ใช่คนชอบลำเลิก ขอบฟ้าจึงไม่พูดถึงตอนเขาเฝ้าไข้กรเมื่อครั้งก่อนขึ้นมา ถึงจะไม่ใช่โคม่า แต่ทิ้งไว้ก็อาจตายไปนานแล้วก็ได้ใครจะรู้
“สรุปว่าพรุ่งนี้กูเอาหนังสือมาให้ เลิกเถียงได้แล้ว”
หลังอาหาร กรยืนกอดอกมองเขาล้างจานโดยไม่คิดจะเสนอตัวช่วยซึ่งเขาก็ไม่คิดจะร้องขอ เห็นชายหนุ่มยืนทำหน้าง่วงๆ อ้าปากหาว บิดขี้เกียจก่อนกล่าวว่า “กูกลับก่อนดีกว่าว่ะ ง่วงชิบหาย”
เขาเช็ดมือเปียกๆ กับเสื้อพลางพยักหน้ารับ ทั้งๆ ที่แอบตะโกนโห่ร้องยินดีในใจ แต่ต้องเกือบสะดุ้งเมื่อจู่ๆ กรก็คว้าตัวไว้และค่อยๆ รูดซิปเสื้อคลุมของเขาลง ขณะที่ขอบฟ้ายืนตัวแข็งทื่อ กลัวว่าอีกฝ่ายคิดจะฉวยโอกาสทำอะไรนั้น กรกลับแหวกคอเสื้อออก ดูรอยช้ำบนลำคอพร้อมกับใช้ปลายนิ้วลูบเบาๆ
“เจ็บมากไหม” เสียงต่ำพึมพำถาม เขาส่ายหน้าตอบเสียงเบาพอกัน
“ไม่เจ็บเท่าไหร่แล้ว”
“แล้ว...มันทำอะไรอื่นด้วยหรือเปล่า”
ขอบฟ้าชะงัก แว่บแรกเขาเผยอปากคล้ายจะตอบแต่กลับเปลี่ยนใจ ย้อนถามแทน “มันสำคัญกับพี่ไหม”
พวกเขาสองคนยืนสบตากันเงียบๆ โดยไม่มีใครเอ่ยคำใดและขอบฟ้าก็ต้องเป็นฝ่ายที่ตกใจเกินคาดหมายเมื่อคำตอบกลับกลายเป็นการที่ชายหนุ่มอ้าแขนโอบกอดเขาไว้ทั้งตัวด้วยกิริยาทะนุถนอมเหมือนกลัวว่าเขาจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ก่อนริมฝีปากร้อนจะกดแนบลงกับผิวเนื้ออ่อนๆ ข้างลำคอ ขอบฟ้าได้ยินเสียงทุ้มแหบพร่ากระซิบอู้อี้
“ขอโทษที่ช่วยอะไรไม่ได้เลย”
ถึงจะยังตกใจอยู่ แต่ความรู้สึกบางอย่างก็อุ่นอวลขึ้นจนอดพูดไม่ได้ว่า “...ผมไม่เป็นไรหรอก”
ริมฝีปากกับลมหายใจอุ่นๆ เลื่อนลงมาบริเวณใบหน้า เขาไม่กล้าขยับเขยื้อนเพราะรู้ว่าถ้าขัดขืนคงเรื่องยาว โชคดีที่กรไม่คิดจะเรียกร้องมากกว่านั้น เมื่อชายหนุ่มกดจูบลงบนศีรษะและปล่อยเขาเป็นอิสระในที่สุด
“ไว้เจอกันพรุ่งนี้” กล่าวทิ้งท้ายไว้แล้วกรก็ขยี้หัวเขาอีกทีก่อนกลับ ขอบฟ้ายืนกุมหัวตัวเอง รู้สึกเหมือนสัมผัสเมื่อครู่ยังตกค้างอยู่และต้องถอนหายใจ
ในเมื่อเขาเลิกกับพลชนะแล้ว เลยนึกไม่ออกจริงๆ ว่ากรจะมีเหตุผลอันใดอีกที่ยังเข้ามาพัวพันในชีวิต บางที...คำว่า ‘อยู่ที่นี่’ ของกรคงมีความหมายลึกซึ้งกว่าที่เขาเข้าใจเสียแล้ว
ไม่รู้ว่าเขาทำให้กรเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า เขาไม่พร้อมจะเริ่ม... ไม่คิดจะสานสัมพันธ์กับใครในตอนนี้ โดยเฉพาะถ้าใครคนนั้นคือต้นเหตุของความวุ่นวายทั้งหมดอย่างกรด้วยแล้ว... มันเป็นไปไม่ได้
ถ้าบอกไปตามตรง กรจะยอมรับฟังไหม หรือจะลากไปขังเขาไว้อีกหรือเปล่า ตอนนี้เขาไม่อยากก่อปัญหาอะไรให้ที่บ้านมากไปกว่านี้อีก แต่ถ้าปล่อยทิ้งเอาไว้ มันจะนำพาเขาไปสู่อนาคตหรือจุดจบแบบไหน ขอบฟ้าเองก็ได้นึกหวังว่าขออย่าให้มันเลวร้ายมากนักก็พอใจแล้ว
+++++++++
วันต่อมา ช่วงที่เขากับปลายฝนกำลังยุ่งวุ่นวายกับการเป็นลูกมือมารดาทำขนม แขกที่เชิญตัวเองมาอย่างกรก็โผล่หน้ามาหาพร้อมของฝากเป็นตะกร้าผลไม้ ดูหน้าตาแล้วคงราคาสูงเอาการ
“ซื้อมาทำไมเนี่ย ผลไม้หน้าตาแปลกๆ ทั้งนั้น บ้านผมกินกันไม่เป็นหรอก” ทั้งตะกร้า ขอบฟ้ารู้จักแค่แอปเปิ้ลกับองุ่น “พี่กรเอากลับไปเถอะ”
คนอุตส่าห์หอบหิ้วมาฝากเงื้อมือเตรียมเอาตะกร้าฟาดหัวเขาอยู่แล้ว แต่เกิดชะงักเพราะนึกได้ว่ายังมีผู้อาวุโสเมียงๆ มองๆ อยู่ไม่ไกล จึงจำต้องลดมือลงมาบีบบ่าอีกฝ่ายแทน “อย่าปฏิเสธแบบนี้สิ ฟ้า ผลไม้พวกนี้ทั้งอร่อย ทั้งมีประโยชน์มากนะ ลองให้คุณป้ากินดูก่อน อาจจะถูกปากมากกว่าที่คิดก็ได้”
ถึงปากกรจะยิ้ม แต่คนอยู่ใกล้แบบเขาก็เห็นดวงตาคมดุที่จ้องตรงมาซึ่งถ้าพูดได้ มันคงบอกว่า ‘หรือมึงจะเอา’ อะไรประมาณนั้น
“ขอบใจมากนะ แต่วันหลังไม่ต้องลำบากเอามาฝากหรอก” มารดาเขาชะโงกหน้าจากในครัวมาบอกยิ้มๆ “แล้วนี่กินข้าวกินปลามาหรือยัง หิวไหม เดี๋ยวม้าทำอะไรให้กิน”
“เรียบร้อยมาแล้วครับ ขอบคุณมาก”
“งั้นฟ้าแกก็นั่งปั้นเม็ดบัวลอยอยู่ข้างนอกนั่นล่ะ จะได้นั่งคุยกันสะดวกหน่อย” สั่งเพียงแค่นั้น มารดาก็ผลุบหายกลับไปด้านใน ทิ้งให้เขาหิ้วกาละมังใส่แป้งมานั่งบนเตียงไม้ขนาดใหญ่ เตรียมลงมือปั้นแป้งเป็นเม็ดกลมๆ ตามคำสั่ง แต่แล้วก็ต้องครางอู้เมื่อโดนกรเอาสันหนังสือเคาะหัว
“นี่ของมึง”
“ขอบคุณ” ลูบหัวป้อยๆ ขณะรับหนังสือในถุงพลาสติกมาเปิดดู และพบข้อผิดสังเกตมากๆ “ทำไมมันใหม่จัง นี่หนังสือเก่าของพี่ไม่ใช่เหรอ”
“กูหาเล่มเก่าไม่เจอ เลยซื้อให้ใหม่ ทำไม...มันหนักหัวมึงหรือไง”
ไม่หนัก แต่เจ็บเอาการ... “ความจริงหาไม่เจอก็ไม่เป็นไรหรอก ไว้ผมไปซื้อเองก็ได้”
“วันนี้มึงเป็นอะไร หาเรื่องให้กูหงุดหงิดมาสองรอบแล้วนะ ของซื้อมาแล้วถ้านึกรังเกียจมากนักก็โยนทิ้งไป”
มองคนเหวี่ยงสลับกับมองหนังสือในมือ สีหน้ากรบอกชัดว่าถ้าเขาโยนทิ้งจริงมีหวังโดนโบกติดผนังแน่ๆ และที่สำคัญ หนังสือภาษาอังกฤษเล่มนี้ก็ไม่ใช่ถูกๆ ไว้เขาจะรวมยอดเข้าไปในยอดค้างเก่าแล้วกัน “พี่กรอุตส่าห์ซื้อมา ผมจะกล้าทิ้งได้ยังไง ขอบคุณมากครับ”
“ดีมาก ต่อมาก็นี่” นี่ของกรคือโทรศัพท์เครื่องบาง สวย ทันสมัย แต่ขอบฟ้าเห็นแล้วหน้าเสียกะทันหัน “เครื่องก่อนไอ้พลให้มึงใช่ไหม เอาไปปาหัวหมาได้เลย กูอนุญาต”
“ผมไม่...” พอดีเหลือบเห็นสีหน้าคนให้ก่อน ประโยคปฏิเสธจึงลดลงเหลือแค่ประโยคคำถาม “ผมไม่รับไว้...ได้ไหมครับ”
“ไม่ได้หรอก เพราะนี่ไม่ใช่โทรศัพท์ธรรมดา แต่เป็นเครื่องติดตามตัวระยะไกล” หา แบบในหนังสายลับน่ะเหรอ “ไม่ว่ามึงจะไปขดหัวซ่อนหางอยู่ตรงไหนของมุมโลก กูเช็คได้หมด ไม่ว่ามึงจะอยู่คนเดียวหรือมีกิ๊กยืนอยู่ข้างๆ กูรู้หมด ฉะนั้น อย่าหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัว รู้ไหม”
เขาไม่ค่อยรู้เรื่องเทคโนโลยีทันสมัยอะไรมากนักนอกจากข่าวทั่วๆ ไปที่เห็นตามโทรทัศน์หรือหน้าหนังสือพิมพ์ซึ่งพักหลัง เขาก็ไม่มีเวลาว่างมานั่งดูนั่งอ่านมากนัก ไม่แน่ว่ามันอาจไปถึงขั้นที่กรบอกแล้วก็เป็นได้ แต่แล้วไงล่ะ เพราะต่อให้ไม่เชื่อ ไอ้ประโยคสุดท้ายที่ได้ยินก็บ่งบอกชัดเจนว่าถ้าเขาทำตัวมีปัญหาตั้งแต่การปฏิเสธ วันนี้อาจจบลงแบบไม่สวยนักก็เป็นได้
“ครับ”
กรค่อยยิ้มออกและเปิดคอมพิวเตอร์โน้ตบุคที่ถือติดมาแล้วเลิกสนใจเขา ขอบฟ้าจึงนั่งปั้นเม็ดบัวลอยไปเงียบๆ โดยไม่คิดจะรบกวนหรือชวนคุย จนกระทั่งคนนั่งพิมพ์งานเอ่ยขึ้น
“วันจันทร์กับวันพุธกูเลิกเรียนช้ากว่ามึง คงไปรับไม่ได้”
เขาพยักหน้ารับ ลังเล “...ครับ”
“แต่วันอังคารกับพฤหัสกูไปได้ แล้วทุกวันศุกร์ มึงเตรียมของมาค้างห้องกูด้วยแล้วกัน”
บัวลอยในมือเม็ดเล็กลงเรื่อยๆ เหมือนใจเขา “ทำไมต้องไปค้างด้วย ขืนไปทุกอาทิตย์ ม้าด่าผมหูชาแน่”
ดวงตาคมเหลือบมองมาเหนือขอบจอโน้ตบุคก่อนเจ้าตัวจะถามห้วน “หรือมึงจะให้กูมาค้าง เลือกเอา”
“ไม่...ไม่เอา” ส่ายหน้าพรืด “ผมไปค้างดีกว่า”
“แล้วบอกแม่มึงว่ากูติวหนังสือให้ล่ะ” พูดพลางหันกลับไปสนใจหน้าจอ ทว่าปากยังไม่วายบ่นพึม “เห็นเกรดมึงแล้วแม่งอ่อนซะกูปวดตับ”
ให้กรติว...ก็น่าจะดีเหมือนกัน เพราะปกติเวลาเขาไม่เข้าใจเนื้อหาการเรียน นอกจากถามอาจารย์ช่วงท้ายชั่วโมงแล้วก็ไม่รู้จะถามใครได้อีก ทิวหมอกก็งานยุ่งเสียจนเจอหน้ากันยังยาก เพื่อนจะให้โทรถามก็ไม่มี
ขอบฟ้าพยักหน้ากับตัวเองแล้วตั้งใจปั้นเม็ดบัวลอยต่อ บัวลอยเม็ดใหญ่ขึ้นเหมือนใจที่เริ่มชื้น จนกระทั่งเสร็จ เขาจึงลุกไปช่วยในครัวต่อจนใกล้เสร็จ เตรียมขนย้ายหม้อขนมไปขาย กรถึงค่อยปิดโน้ตบุค บอกสั้นๆ ง่ายๆ แต่เล่นเอาเขาที่เตรียมเอ่ยคำลาถึงกับช็อคตาตั้ง
“กูไปด้วย”
นั่นล่ะ สิ่งที่กรคิด สิ่งที่กรตัดสินใจแล้ว เทวดาหน้าไหนก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ประโยค ‘กูไปด้วย’ จึงไม่ใช่แม้แต่ประโยคบอกเล่า หากแต่เป็นประโยคคำสั่ง ดังนั้นในตลาดขนาดย่อมซึ่งมักจะมีชาวบ้านที่อาศัยอยู่แถวนี้มาเดินกันให้คึกคักจึงได้มีโอกาสต้อนรับชายหนุ่มตัวสูง หน้าตาที่แม้จะบูดบึ้งไปนิดแต่ก็ยังพูดได้ว่าหล่อระเบิดมานั่งเป็นประธานที่รถเข็นขายขนมหวาน
ตอนที่พลชนะมา ยังไม่ดูขัดตาเท่านี้เลย เพราะอย่างน้อยรายนั้นก็พยายามทำตัวกลมกลืน ผิดกับรายนี้...นั่งหน้าบึ้งไม่รับแขกหน้าไหน แต่จะโทษก็ไม่ได้ อากาศร้อนอบอ้าวขนาดนี้ คนเคยชินแบบพวกเขายังเหงื่อตก คนเคยอยู่แต่ห้องแอร์มาตอนนี้มีแค่กระดาษแข็งแผ่นเดียวพัดให้ความเย็นจะหงุดหงิดไปบ้างก็ไม่แปลก
ปลายฝนกลับบ้านไปได้พักใหญ่แล้ว ตอนนี้หน้าร้านมีแต่คนเดินผ่านกับคนแอบชำเลืองมอง ขอบฟ้าก็ยืนนิ่งๆ ติดจะเกร็งๆ รู้สึกได้ว่าเส้นความอดทนของกรกำลังบางลงๆๆ...
“เฮ้ย”
เสียงเรียกสั้นห้วนทำเอาเขาสะดุ้งโหยง หันขวับมารีบพูด “ผมไม่ว่างพัดให้พี่หรอกนะ ต้องขายของ!”
มือใหญ่ที่กำลังโบกกระดาษพัดเข้าหาตัวอย่างเอาเป็นเอาตายชะงักกึก กรหรี่ตาลง ท่าทางอันตรายกว่าเดิม
“...หมู่นี้กวนตีนนะมึง” พูดเน้นๆ ทีละคำก่อนลุกพรวดเต็มความสูง ค้ำหัวขอบฟ้าที่พลันรู้สึกเหมือนเตี้ยลงแบบฉับพลัน
“กูจะกลับบ้านก่อน แม่งร้อนไม่ไหวแล้ว” กรยื่นมือมาหา ขอบฟ้าไม่คิดว่าอีกฝ่ายอยากได้ทัพพีตักขนม เขาจึงรีบเช็ดมือกับเสื้อตัวเองก่อนวางแปะลงไป ชายหนุ่มมองกิริยาเชื่องๆ แล้วยิ้มพลางกระชับมือแน่น “ไว้จะมาหานะ แล้วนั่งขายขนมอย่างเดียวล่ะ ห้ามคุยเล่นกับลูกค้า ไม่งั้นกูจะถือว่ามึงมีกี๊ก เข้าใจไหม”
รอจนเขาพยักหน้ารับแบบมึนๆ กรจึงค่อยหันหลังจากไป ขอบฟ้านั่งเหม่อมองมือพร้อมคิดอะไรในใจด้วยความว้าวุ่น จนกระทั่งมีคนเดินมาซื้อขนมนั่นล่ะ เขาถึงได้สติและรีบปัดเรื่องยุ่งเหยิงในหัวทิ้งไป กลับมาสนใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้าและเรื่องเปิดเทอมในวันรุ่งขึ้นแทนได้ในที่สุด
++++++++++