Rough and Tender 16
ผ่านไปอีกกี่ชั่วโมง ขอบฟ้าก็ไม่แน่ใจ แต่เมื่อประตูเปิดออกอีกครั้ง เขากำลังนั่งทรุดตัวงออยู่บนพื้นข้างเตียง ครั้นเงยหน้าเจอร่างสูงยืนกอดอกมองมาจากประตูจึงร้องเรียกละล่ำละลัก
“พี่กร! ไขกุญแจให้หน่อย ผม...ผมอยากเข้าห้องน้ำ”
“หืม ได้สิ” กรยิ้ม “ตกลงจะยอมอยู่ที่นี่แล้วใช่ไหม”
“ปล่อยผมก่อนแล้วเราค่อยมาพูดกัน”
“ไม่เอา” ส่ายหน้าแล้วกรก็พยักเพยิด “ปวดมากนักก็ปล่อยมันตรงนั้นก็ได้ เดี๋ยวกูเรียกแม่บ้านมาทำความสะอาดเอง อ้อ แต่มึงต้องอธิบายให้เขาฟังล่ะนะว่าทำไมโตป่านนี้แล้วยังฉี่รดที่นอนอยู่”
คนอยากเข้าห้องน้ำจนตัวสั่นมองฝ่ายที่ให้คำแนะนำอย่างไม่อยากจะเชื่อ ไม่รู้ว่ากรจะอะไรกันนักกันหนากับเรื่องให้เขาอยู่ที่นี่ “ใครมันจะบ้าปล่อยเรี่ยราดกันเล่า พี่กร ผมขอร้องล่ะ ปล่อยผมเถอะ”
“ถ้ากูปล่อย มึงก็ไปสิ”
แค่จะไม่ให้ไปเข้าห้องน้ำ ถึงกับต้องใส่กุญแจมือไว้เลยเหรอไง ขอบฟ้าปวดท้องน้อยจนต้องกำหมัดทุบพื้นป้าบๆ “พี่กร!”
“แค่รับปากง่ายๆ ว่าจะอยู่ที่นี่กับกูมันยากมากหรือไง หา มึงกลัวอะไร กลัวกูปล้ำเหรอไง มึงคิดว่าตัวเองมีเสน่ห์เหลือหลายจนกูหน้ามืด ต้องกระโจนเข้าใส่ทุกครั้งหรือไง” ชายหนุ่มใส่เป็นชุด ยืนค้ำหัวคนนั่งคุดคู้ตรงข้างเตียง “รังเกียจอะไรกูนักหนา! กูไม่ดีตรงไหน! มึงรู้ไหมว่ามีคนอื่นเขาเสนอตัวให้กูฟรีๆ ตั้งเท่าไหร่ ไม่มีใครจะกล้าเล่นตัวท่ามากแบบมึงสักคน หรือมึงอยากได้อะไร กูสัญญาว่าจะซื้อให้ทุกอย่าง ว่าไง ถึงขนาดนี้แล้ว มึงจะยอมตกลงได้หรือยัง”
อาจเพราะเขาปวดฉี่มากจนคิดอะไรไม่ออกหรือจำเพาะกรต้องมาพูดอะไรยาวๆ ยากๆ เข้าพอดีก็ไม่รู้ ขอบฟ้าเลยเงยหน้ามองคนที่ยืนจังก้าค้ำหัวด้วยสีหน้าเดือดๆ ก่อนเอ่ยเสียงแห้ง
“จะให้ทุกอย่าง...จริงเหรอ” เขาเริ่มเห็นหน้ากรเหมือนโถปัสสาวะเข้าไปทุกที
นิ่งคิดไปครู่ กรก็พยักหน้ารับ “ใช่...ทุกอย่าง ขอแค่มึงยอมพยักหน้า ตอนนี้...เดี๋ยวนี้”
อารมณ์ปวดกระเพาะปัสสาวะพุ่งถึงขีดสุดจนไม่รับรู้อะไรแล้ว รู้สึกเหมือนฉี่มันจะไหลขึ้นไปถึงสมองแล้วด้วยซ้ำ “ก็ได้”
ความเครียดหายไปจากสีหน้ากรและแทนที่ด้วยความยินดีอย่างเห็นได้ชัด ร่างสูงทรุดตัวลงนั่งในระดับเดียวกับเขาแล้วดึงเข้าไปกอด “อืม น่ารักมาก”
กรก้มลงกดจูบลงบนซอกคอและอารมณ์ดีถึงขนาดไม่กัดหัวเขาตอนโดนผลักออก
“ไขกุญแจ เข้าห้องน้ำ” พูดได้แบบไม่เป็นประโยคแล้วนาทีนี้
“ได้สิ” ทันทีที่เป็นอิสระ ขอบฟ้าก็ถลาเข้าห้องน้ำ เริ่มต้นจัดการธุระส่วนตัวพร้อมถอนหายใจโล่งอก รู้สึกราวกับเพิ่งรอดตายมาแบบฉิวเฉียด ในขณะที่ล้างหน้าล้างตาอยู่ก็ได้ยินเสียงร้องบอกจากด้านนอก
“มึงอาบน้ำเลยก็ได้ มีผ้าเช็ดตัวกับแปรงสีฟันอยู่ในตู้ด้านบน หาเจอไหม” ขอบฟ้าค้นกุกกักครู่หนึ่งก็เจอ “รีบๆ อาบล่ะ จะรอกินข้าว”
อาบน้ำไป ขอบฟ้าก็นิ่วหน้าไป รู้สึกเหมือนกรจะไม่ใช่กรยังไงก็ไม่รู้ ถามว่าดูอ่อนโยนขึ้นไหมก็คงไม่ใช่ แต่ถามว่าน่ากลัวขึ้นหรือเปล่า เขาตอบได้เลยว่าเท่าเดิม แล้วอะไรล่ะที่มันแปลก
“อาบเสร็จยังวะ กูหิวแล้วนะ” เสียงตะโกนด้วยความหงุดหงิดทำให้เขาไม่มีเวลาคิดหาเหตุผลอันใดต่อ นอกจากรีบแต่งตัวและเดินออกมาเจอเจ้าของห้องกำลังนั่งหน้าบูดรออยู่ บนโต๊ะมีอาหารคาวหวานอยู่ห้าหกจานแต่ดูก็รู้ว่ากรไม่ได้เฮี้ยนถึงขนาดลุกขึ้นมาทำเอง
“มานั่งเร็วๆ หิวแล้ว” คนบ่นหิวแต่ไม่ยักยอมกินก่อน ต้องรอจนเขานั่งลง หยิบช้อนส้อมขึ้นมาถือนั่นล่ะ กรถึงเริ่มลงมือจัดการอาหารตรงหน้าอย่างรวดเร็ว
เขาไม่ใช่เจ้าของที่สั่งให้คอยสักหน่อย ไม่รู้จะนั่งรอน้ำลายยืดตรงหน้าจานข้าวทำไม
“กินผักเข้าไปเยอะๆ จะได้โตกับเขามั่ง” ผักใบเขียวถูกตักใส่จาน ขอบฟ้าก้มหน้าก้มตากินไปสักพัก
“ปลาช่วยบำรุงสมอง เผื่อมึงจะฉลาดขึ้นมาบ้าง” เนื้อปลาโปะลงบนข้าว ทำให้เขาต้องรีบจัดการโดยด่วน “เขี่ยต้นหอมออกทำซากอะไร แดกเข้าไปเลย”
“ทีพี่กรยังไม่ยอมกินหัวหอม แล้วเรื่องอะไรมาบังคับผม” เถียงอย่างไม่พอใจนิดๆ เพราะเห็นในจานอีกคนมีกองหัวหอมเล็กๆ อยู่
“มึงจะรู้อะไร” ถลึงตา ทำเสียงดุเข้าข่มแล้วกรก็พูดว่า “กูแพ้หัวหอม แดกไม่ได้”
ไม่ใช่หมาสักหน่อยถึงจะกินหัวหอมไม่ได้ ฟังคำแก้ตัวน้ำขุ่นๆ แถไปแบบหน้าด้านๆ แล้วเขาก็ขี้เกียจจะเถียงให้มากความ ได้แต่นั่งขมวดคิ้วกินข้าวตามยถากรรมจนอิ่ม จึงจัดแจงลำเลียงจานชามไปล้าง เหลือบดูนาฬิกาแล้วก็เริ่มกระสับกระส่าย ไม่รู้ป่านนี้ที่บ้านจะวุ่นวายแค่ไหนถ้ารู้ว่าเขาหายไปจากบ้าน
หลังจากเรียงจานใบสุดท้ายลงบนที่พัก ขอบฟ้าก็หันไปเอ่ยกับคนที่นั่งเอกเขนกดูโทรทัศน์สลับกับเหลียวมามองเขาเป็นพักๆ เหมือนกำลังดูเขาตีเทนนิสกับคนในจอยังไงยังงั้น “ขอโทรศัพท์หน่อยได้ไหมครับ”
เห็นสายตาที่หันมาจ้องเขาแบบเต็มตัวแล้วก็ต้องรีบอธิบาย “ผมไม่ได้เอาโทรศัพท์มือถือมาด้วย แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมลงไปโทรจากตู้ข้างล่างก็ได้”
ชั่วขณะที่หันไปล้วงหาเศษเหรียญในกระเป๋าเงิน หันกลับมาอีกทีก็เจอแผ่นอกกว้างอยู่ในระยะประชิดจนแทบจะชนจมูก ขอบฟ้าสะดุ้งถอยหลังกรูดๆ ไปหลายก้าวจนชนเข้ากับโต๊ะเตี้ยและคงหงายท้องตีลังกาไปแล้วถ้าไม่โดนคว้าต้นแขนไว้
“จะโทรไปไหน โทรหาไอ้พลเหรอ มึงบอกกูไว้ว่าไง ไหนบอกว่าจะอยู่ที่นี่!” ก่อนจะโดนสายตาคู่นั้นเผาเหลือแต่ขี้เถ้า เขาจึงรีบพูดละล่ำละลัก
“เปล่า ผะ...ผมจะโทรกลับบ้าน” หลงคิดไปว่าเริ่มเป็นผู้เป็นคนกับเขาบ้าง ที่แท้กรยังคงเป็นเวอร์ชั่นเก่าที่พร้อมจะขย้ำหัวเขาได้ทุกเวลาเหมือนเดิม “ผมกลัวที่บ้านเป็นห่วง”
“โทรกลับบ้าน” กรนิ่วหน้าทวนคำ “กูคิดว่ามึงหนีออกจากบ้านอยู่เสียอีก นี่สรุปว่ามึงแค่อยากมาอยู่ที่นี่กับกูแค่นั้น”
เขาจำไม่ได้...ว่าเคยอยากมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ถ้าเป็นโดนลาก โดนกระชากถูลู่ถูกังแทบจะกลิ้งมากับพื้นถนนนั่นล่ะก็พอจะจำได้ หรืออันที่จริง เขาจะไม่ได้หนีออกจากบ้าน แต่โดนลักพาตัวมาเสียมากกว่า
“ผมแค่...”
“ได้ ถ้ามึงอยากโทรนัก กูจะให้ยืมโทรศัพท์” ควักโทรศัพท์มือถือเครื่องบางเฉียบยื่นส่งให้แต่พอปลายนิ้วเขากำลังจะแตะโดน กรกลับเอ่ยต่อ “คิดค่าโทรครั้งละห้าพัน”
หดมือกลับมาแทบไม่ทัน ค่าโทรครั้งละห้าพัน เขาไม่ได้จะโทรไปดาวอังคารสักหน่อย!
“ถือเสียว่าเป็นการใช้หนี้ไปด้วยในตัว กูใจดีมากเลยนะเนี่ย ให้มึงผ่อนได้ครั้งละห้าพัน แถมไม่คิดดอก ว่าไง เอาเงินให้กูห้าพันแล้วมึงจะโทรทั้งวันเลยก็ได้”
ขอบฟ้ารู้แน่ชัดนาทีนี้แล้วว่าเขาไม่ได้หนีออกจากบ้านจริงๆ นั่นล่ะ แต่โดนลักพาตัวเรียกค่าไถ่ต่างหาก
“ผม... ตอนนี้ ผมมีแค่ห้าร้อย” รีบควักเงินในกระเป๋าออกมาดู แต่ยิ่งต้องลนลานหนัก “อ๊ะ มีไม่ถึงนี่นา เหลือแค่สี่ร้อย เอ่อ พี่กรลดหน่อยได้ไหม”
คนต่อราคาจากห้าพันเหลือสี่ร้อยยืนหูตกกำเงินแน่นไว้ในมือชื้นเหงื่อ ซึ่งกรเพียงแค่เหลือบตามองดูหน้าตาตื่นๆ แล้วปฏิเสธเลือดเย็น
“เสียใจ ไม่มีเงินก็ห้ามโทร” ปากว่าพร้อมฉวยมืออีกฝ่ายมางัดเอาเงินออก จัดการริบไปจนหมด “เอากระเป๋าเงินมึงมาฝากไว้ที่กู อยู่นี่มึงไม่ต้องใช้เงินสักบาท อยากได้อะไรเดี๋ยวกูซื้อให้เอง”
ขณะที่มัวแต่ยืนงง กระเป๋าเงินก็โดนคว้าไปแล้ว คิดจะโผไปคว้ากลับมา กรก็แกล้งยกชูสุดมือ ทำให้เขาต้องเขย่งตะเกียกตะกายวนอยู่รอบๆ จนท้อใจ ...เออ อยากได้นักก็เอาไปเลย ถือว่าใช้หนี้บางส่วนก็ได้
ขอบฟ้าขมวดคิ้วมองใบหน้ายิ้มกริ่มที่คงเห็นว่าการกระทำของเขาเป็นแค่เรื่องตลกแล้วชักหงุดหงิด จึงหันหลังกลับไปนั่งคิดอะไรเงียบๆ ที่มุมโซฟาแทน
“หึ หึ” สงบสุขได้ไม่เกินห้านาที ยังประมวลความคิดไปได้ไม่ถึงไหน เสียงทุ้มๆ ก็ตามมากระซิบที่ข้างหู “งอนเหรอมึง ไม่เอาน่า อุดอู้อยู่ในนี้นานๆ คงเบื่อสินะ เราออกไปข้างนอกกันดีกว่า”
ความรู้สึกที่ได้ยินคำว่าเราจากปากกรเป็นครั้งแรกนี่มันพูดไม่ออก บอกไม่ถูกจริงๆ เหมือนกำลังฝันอยู่ แล้วไม่สามารถจำแนกได้ว่าเป็นฝันดีหรือฝันร้ายกันแน่ รู้แค่ตกใจมากๆ เท่านั้น
ในขณะที่มัวแต่ยืนตะลึง อีกฝ่ายที่ไม่คิดจะรอคำตอบรับหรือปฏิเสธก็ลากเขาหลุนๆ ออกจากห้องโดยไม่ทันตั้งตัว เรียกว่ากว่าจะรู้ตัวขอบฟ้าก็พบว่าตัวเองนั่งอยู่ในรถแล้ว ในสภาพเสื้อยืดเก่า กางเกงยีนเปื่อยๆ กับรองเท้าแตะใส่สบายอีกคู่
เฮ้อ เอาเถอะ มีรองเท้าติดมาได้ก็นับว่าบุญโขแล้ว... คิดในแง่ดีแล้วเขาก็คร้านจะใส่ใจกับการนึกหาเหตุผลในการกระทำของชายหนุ่ม เพราะต่อให้คิดจนหัวแตก ก็ไม่ได้เข้าใจอะไรมากขึ้นเลยสักนิดเดียว
พวกเขามาถึงห้างสรรพสินค้าใจกลางกรุงในช่วงเวลาเลิกงานพอดี ผู้คนจำนวนมากกำลังจับจ่ายใช้สอยของกินของใช้กันอยู่อย่างหนาตา ร่างสูงเดินนำหน้าลิ่วตัวปลิวในขณะที่คนตามหลังเดินชนคนจนล้าหลัง เงยหน้าดูอีกที กรก็หายไปไหนแล้วก็ไม่รู้
จนใจที่ไม่มีเงินสักบาทติดตัว เขาไม่รู้หรอกว่าควรจะทำยังไง จึงหาที่นั่งลงนั่งพัก พยายามตั้งต้นใช้ความคิด นั่งไปสักพักก็เริ่มหิว พอกระเพาะเรียกร้อง สมองเลยยิ่งไม่ค่อยเดินเข้าไปใหญ่
นั่งมองคนเดินผ่านไปมา ล้วนมีท่าทางเร่งรีบและไม่มีใครสนใจใคร เป็นครั้งแรกที่ขอบฟ้าคิดว่าตัวตนของเขาไม่มีความหมายใดเป็นพิเศษเหมือนกับคนอื่นๆ นั่นล่ะ ทุกคนเป็นเหมือนกับมดงานที่ต่างก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่ของตัวเองให้ผ่านพ้นลุล่วง เพียงเพื่อวันรุ่งขึ้นจะเริ่มต้นใหม่อีกรอบ
ขณะมองภาพตรงหน้าเพลินๆ เขาก็ได้ความคิดสุดวิเศษว่าทำไมเขาไม่กลับไปรอกรที่รถนะ ต่อให้กรจะไปกิน ไปซื้อของอะไรจนพอใจ สุดท้ายก็ต้องกลับไปที่รถอยู่ดี
คิดได้แล้วขอบฟ้าจึงรีบลุกขึ้นยืน แต่เพิ่งเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ต้องชะงักกึก
~~เรียนท่านผู้มีอุปการะคุณ ใครพบเห็นเด็กชายขอบฟ้า อายุประมาณสิบขวบ สวมเสื้อยืดสีขาว กางเกงยีน กรุณานำตัวส่งผู้ปกครองที่ประชาสัมพันธ์ชั้นหนึ่งด้วยค่ะ~~
วิ่งหน้าตั้งไปยังประชาสัมพันธ์ก่อนจะยั้งตัวหยุดมองอยู่ไกลๆ เห็นร่างสูงยืนกอดอกหน้าบึ้งแล้วชะงัก กำลังจะกลับหันหลังหนีไปตั้งหลัก ก็พอดีว่าฝ่ายนั้นเหลียวมาเห็นเข้า จึงสาวเท้ายาวๆ เดินดุ่มมาคว้าแขนเขาหมับ
“หายไปไหนมา! กูเดินหาตั้งนาน” ภายในห้างสรรพสินค้าติดแอร์เย็นฉ่ำ บนหน้าผากชายหนุ่มกลับชื้นเหงื่อ “ละสายตาไม่ได้เลยใช่ไหม หา ถ้าอยากโดนล่ามโซ่ใส่กุญแจมากนักก็ได้ กูจะ...”
“พี่กรเดินเร็ว ผมตามไม่ทัน” เขาพยายามกระตุกแขนออกแต่แรงบีบกลับมากขึ้นจึงขมวดคิ้วแสดงความไม่พอใจ แต่อีกฝ่ายนอกจากไม่สะทกสะท้านแล้วยังเหลือบมองขาของเขาก่อนวิจารณ์
“หึ ขาสั้น”
อยู่กับกรนอกจากปวดหัวแล้วยังลามปวดไปถึงตับ ม้าม ไต เครื่องในทุกอย่าง
“เดินตามหามึงทำให้กูหิว” กำลังคิดว่ากรคงชวนไปหาข้าวกินที่ร้านไหนสักแห่ง จึงตั้งตัวแทบไม่ทันเมื่อได้ยิน “รีบไปซื้อของเอากลับไปทำเองที่บ้านดิวะ”
ว่าแล้วท่านผู้นำก็ลากเขาหลุนๆ ตรงดิ่งไปทางแผนกซุปเปอร์มาร์เกตโดยไม่คิดจะไถ่ถามขอความเห็น ทำไมนะ กรถึงไม่คิดถึงเรื่องสำคัญที่สุดก่อนจะไปซื้อของสด
“ใครจะทำน่ะ พี่กรทำกับข้าวเป็นเหรอ”
กรหยุดเดินเพื่อหันมาทำหน้าแบบ ‘ถามอะไรโง่ๆ’ ใส่เขา “ก็มึงไง”
หา ถึงแม่ของเขาจะทำกับข้าวเก่งก็จริงแต่เรื่องแบบนี้มันไม่ได้ถ่ายทอดทางพันธุกรรมนะ ข้าวต้มสุดสยองคราวก่อนนั่นยังใช้เป็นหลักฐานไม่พอหรือไง “แต่ผมทำไม่เป็น”
“กูรู้แล้ว กูจำข้าวต้มนรกแตกของมึงได้” ว่าพลางใช้นิ้วชี้จิ้มใส่หน้าผากเขาแรงๆ จนหน้าหงาย “หัดใช้ตรงนี้บ้างสิวะ ทำไม่เป็นก็หัดทำ เดี๋ยวกูซื้อตำราทำอาหารให้มึงสิบเล่มเลย”
สั่งสอนเสร็จ กรก็ลากเขาต่อจนถึงที่หมาย คว้ารถเข็นได้ก็ตรงดิ่งไปเลือกของสดทันที เห็นชายหนุ่มคว้าเอาๆ แบบไม่คิดมาก เหลือแต่ขอบฟ้าที่ยืนขมวดคิ้วเกาะรถเข็น
“เดี๋ยวผมทำไม่อร่อยก็ด่าอีก”
“ถึงด่าแต่กูก็กินแล้วกัน” นี่อีก วิธีแก้ปัญหาแบบไม่ตรงจุดของกร “รีบเลือกเข้า อยากกินอะไรก็เอามา”
แต่ดูจากของในรถเข็นคงพอกินไปอีกเดือน ขอบฟ้าเลยไม่หยิบอะไรเพิ่มนอกจากเข็นรถตามเงียบๆ จนกระทั่งถึงแผนกขายของใช้จิปาถะ กรจึงหันมาบอก “ไม่อยากซื้ออะไรเพิ่มเหรอ ของในกระเป๋ามีครบหรือไง แชมพู สบู่...”
“ผมใช้ของพี่กรได้ ...ถ้าพี่ไม่ว่าอะไรที่ผมไปขอใช้ด้วยน่ะนะ” รีบเสริมประโยคหลังเมื่อสายตาคมเหลียวมาจ้องหน้า
“ตามใจ ทำอย่างกับกูเคยว่าอะไรมึง”
...นี่ถ้าไม่กลัวตาย เขาคงหัวร่อฟันหักไปแล้ว
++++++++++++
เขาเคยสังเกตมานานแล้วว่าเชฟชื่อดังส่วนใหญ่มักจะเป็นผู้ชาย ดังนั้นจึงพอจะคาดหวังไว้ว่าถ้าตั้งใจจริง ผู้ชายคนไหนก็คงทำอาหารได้
แต่หลังจากโดนมีดบาดเลือดไหลจ๊อกๆ ตอนหั่นหมู เขาก็โดนกรไสหัวออกจากหน้าเขียง เรียกว่ายังไม่ทันได้ลงมือพิสูจน์ความตั้งใจจริงก็โดนด่าแล้ว
ทว่ากลิ่นหอมๆ ที่ลอยโชยมาก็ทำให้ขอบฟ้านั่งสูดจมูกฟุดฟิด กระเพาะเริ่มร้องโครกคราก นั่งมองชายหนุ่มซึ่งกางตำราทำอาหารได้แค่แป๊บเดียวก่อนโยนทิ้ง แถมบ่นอีก “แม่ง สั่งอะไรกูนักหนาวะ ให้หั่นหนาครึ่งนิ้ว ควายเหอะ ใครจะมานั่งวัดให้มึง”
ว่าแล้วกรก็ลงมือมั่วเอง ถ้าไม่ได้นั่งดูอยู่ข้างๆ ตลอด เขาคงคิดว่ากรใช้เวทมนตร์เสกออกมา เพราะอาหารที่ทำออกมาแม้จะหน้าตาไม่สวยงาม แต่เรื่องรสชาตินั้นไม่แพ้อาหารที่เสิร์ฟตามร้านเลย
“พี่กรน่าจะไปเป็นเชฟนะ” เขาเอ่ยชมอย่างจริงใจขณะมองดูจานเปล่าๆ เรียงรายตรงหน้า โดยอาหารทั้งหมดลงไปอยู่ในกระเพาะพวกเขาทั้งคู่เรียบร้อย
“เรื่องอะไรกูต้องลดตัวลงไปทำกับข้าวให้คนแปลกหน้ากินด้วย” กรสามารถเปลี่ยนให้เชฟกลายเป็นคนน่าสงสารได้ในคำพูดประโยคเดียว “คนที่มีบุญได้กินกับข้าวฝีมือกู นอกจากตัวกูเองแล้วก็มีแค่มึงนี่ล่ะ จงสำนึกในความโชคดีของมึงซะ”
บางครั้ง... ก็แค่บางครั้งอ่ะนะ เขาก็รู้สึกว่ากรตลกดี ขอบฟ้าอดยิ้มไม่ได้ขณะเริ่มลงมือทยอยเก็บจานชาม
“พี่กรจะเอากาแฟ...” เงยหน้าขึ้นถามแล้วต้องชะงักเมื่อเห็นดวงตาคมจ้องเขาเขม็งแบบไม่ให้คลาดสายตา จ้องแบบงูพร้อมจะกระเดือกกบชะตาขาด “เอ่อ มีอะไรเหรอ”
เขาคงไม่แปลกใจถ้าอยู่ๆ กรจะลุกขึ้นคว่ำโต๊ะโดยไม่มีเหตุผล เพราะนั่นดูสมกับนิสัยของชายหนุ่ม แต่ขอบฟ้าแปลกใจจนถึงขั้นประหลาดใจเมื่ออีกฝ่ายกระแอมไอและเบือนหน้าหนีแทนที่จะถลึงตา ย้อนด้วยคำพูดเจ็บๆ
ถึงจะไม่เข้าใจ แต่เขาไม่เก็บเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มาคิดนาน ตอนนี้เขาอยากโทรศัพท์กลับบ้านมากกว่า หลังขอบฟ้าอาบน้ำ ทำธุระส่วนตัวเรียบร้อยแล้วจึงเริ่มเจรจา “ค่าโทรศัพท์ครั้งละห้าพันที่ว่า ขอผมผ่อนได้ไหม”
“นี่มึงยังไม่เลิกคิดอีกหรือไง” ถามดุๆ แล้วกรก็วางหนังสือลงบนโต๊ะข้างเตียง “เลิกคิดเรื่องไร้สาระแล้วคิดถึงแต่เรื่องกูได้แล้ว มานี่”
“มันไม่ใช่เรื่องไร้สาระนะ ผมแค่อยากโทรกลับบ้าน” เขายืนนิ่งเหมือนมีรากงอก “ไม่ได้บอกว่าจะกลับสักหน่อย”
“กูบอกให้มานี่” ครั้นเห็นเขายังยืนตัวแข็งทื่อ ชายหนุ่มก็ชักหงุดหงิดจนเริ่มขึ้นเสียง “เรียกดีๆ ไม่มา เดี๋ยวกูจับปล้ำซะเลยดีไหม”
พอขอบฟ้าก้าวเกร็งๆ มาในระยะเอื้อมถึง มือแข็งก็คว้าแขน ลากคนยืนทื่อขึ้นเตียงไปนอนกอดไว้ทั้งตัว พอร่างในอ้อมแขนเริ่มดิ้น กรก็เพิ่มแรงกอดรัดมากขึ้นจนได้ยินเสียงครางด้วยความเจ็บปวดจึงค่อยคลายอ้อมแขนเล็กน้อย ซึ่งพอถึงตอนนี้ขอบฟ้าก็ยอมแพ้ ยอมนอนนิ่งๆ ให้กอดเพราะไม่อยากเจ็บตัวอีก
“อยู่ที่นี่ไม่มีความสุขเหรอ”
เสียงทุ้มที่จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้ตอนแรกขอบฟ้านึกว่าหูฝาด
“บอกแล้วไงว่าอยากได้อะไรจะให้ แล้วทำไมยังดื้อ ทำไมจ้องแต่จะไปท่าเดียว” ปลายนิ้วคนถามเกลี่ยข้างแก้มอีกฝ่ายเล่นและลูบเรื่อยลงมาถึงซอกคอ “ถ้าไม่คอยจับเอาไว้ก็จะหนีไปสินะ”
ร่างกายที่อุ่นจัดบดเบียดเสียจนร่างคนที่โดนกอดแทบจะจมหายไปในอ้อมอก แนบชิดเสียจนได้เสียงหัวใจเต้นหนักหน่วง
ขอบฟ้าถอนหายใจด้วยความอึดอัด แต่ไม่อยากจะดิ้นรนขัดขืนเพราะกลัวว่าจะทำให้อะไรๆ แย่ขึ้นไปกว่านี้ เขานอนนิ่งอย่างว่าง่าย นึกทดท้อรอแล้วรอเล่า ทั้งที่เขาก็เชื่องถึงขนาดนี้แล้วแท้ๆ ทำไมกรถึงยังไม่ยอมเลิก
เขาไม่อยากคุ้นเคย ไม่อยากจดจำไออุ่นหรือสัมผัสที่แนบชิด ไม่อยากให้เหลือความทรงจำว่าเคยมีคนนอนกอดเขาไว้แนบอก ไม่อยากรู้ว่าครั้งหนึ่ง ตัวตนเขาเคยจำเป็นต่อใครบางคน
ใครบางคนที่กอดเขาไว้เพราะกลัวว่าเขาจะหนีหายไป
ใครบางคนที่ไม่เคยเห็นใครหน้าไหนในสายตา
ใครบางคนที่ไม่ควรเข้าไปผูกพันด้วยแม้แต่น้อย
ไม่แน่ใจหรอกว่าการที่กรมานอนกอดเขาไว้ คอยจ้องแบบไม่คลาดสายตาจะสามารถเรียกว่าโชคดีได้หรือไม่ ยิ่งในเมื่อความสัมพันธ์ของพวกเขาเกิดขึ้นในลักษณะข่มขู่แบบไม่เหมือนชาวบ้าน
นอนคิดนิ่งๆ พักใหญ่แล้วขอบฟ้าก็กระถดตัวออกมานิดหนึ่งเพราะทั้งเมื่อย ทั้งอึดอัด ผลลัพธ์คือเสียงคำรามต่ำจากคนที่คิดว่าหลับไปแล้วพร้อมโดนจับพลิกตัวหันกลับไปและกดหัวเขาลงไว้กับอก อึดอัดกว่าเดิมเป็นสองเท่า
สรุปแล้วเขาโชคร้ายจริงๆ นั่นล่ะ
+++++++++++