นิยายเรื่องนี้ ผู้เขียนมีสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียว ตามพ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ 2537
ไม่อนุญาตให้ผู้ใดนำไปโพสที่อื่น ยกเว้นตัวคนเขียนเองเท่านั้น
หากพบว่ามีการละเมิดลิขสิทธิ์ คนเขียนจะแจ้งดำเนินคดีตามกฏหมายทันที จะไม่แจ้งให้ทราบล่วงหน้า
เพราะได้แจ้งไว้ ณ ที่นี้แล้ว
อิงแอบ....แนบชิด
1
ในมุมหนึ่งซึ่งค่อนข้างลับตาของหอสมุดชั้น3 ของมหาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง อันที่จริงจะเรียกว่าลับตาเสียทีเดียวก็ไม่ได้
แต่เพราะในส่วนนี้ค่อนข้างไร้ผู้คนหรือนักศึกษามาใช้บริการเท่าที่ควร อาจจะเป็นเพราะเสียงลือเสียงเล่าอ้างเล่าขานสืบกันมารุ่นต่อรุ่นก็เป็นได้ ว่าอาถรรพ์ในโซนนี้แรงเหลือเกิน
แต่คงยกเว้น เด็กหนุ่มร่างสูงเพรียวที่เพิ่งพ้นวัยมัธยมปลายมาได้ไม่ถึงปีคนหนึ่ง ซึ่งยึดที่ตรงที่ว่านี้เป็นฐานลับในการแอบมองใครสักคนจากมุมนี้
โดยที่อีกฝ่ายไม่เคยรู้ตัวเลยสักนิด ว่ามีใครได้เฝ้ามองอย่างนี้มาได้ระยะหนึ่งแล้ว
หากมุมนี้จากชั้น1 กับชั้น2 จะมองไม่เห็นตำแหน่งนี้ที่เขาบังเอิญได้มันมา
ในครั้งแรกเขาเพียงต้องการมุมเงียบๆสงบๆสักมุมหนึ่งเป็นของตัวเอง เพื่ออ่านหนังสือ ทำการบ้าน รายงาน ทบทวนบทเรียนและหลบหลีกจากความวุ่นวายต่างๆนาๆหรืออะไรก็แล้วแต่
ซึ่งตรงส่วนนี้ รองรับความต้องการของเขาได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว
มือเรียวเสียบหูฟังสีขาวที่เข้ากันกับสมาร์ทโฟนสีเดียวกันกับใบหูทั้งสองข้าง หยิบหนังสือที่ต้องการอ่านทบทวนขึ้นมาเปิดหาหน้าที่ต้องการ
รวบรวมสมาธิแล้วตั้งใจกับการฟังเสียงบรรยายของอาจารย์ที่เจ้าตัวได้บันทึกมันมา ปลายนิ้วค่อยไล่ไปตามตัวอักษรในหน้าหนังสือเพื่อเพิ่มความเข้าใจ
และเพื่อรอเวลา ใช่...เวลา
ที่อีก2ชม.นับจากนี้ ที่ตึกเยื้องกันออกไปไม่มากนัก ตั้งอยู่ทางด้านหลังของหอสมุดแห่งนี้ ซึ่งเป็นที่ปฏิบัติการของเหล่านักศึกษา คณะวิศวกรรมศาสตร์สาขายานยนต์ หรือที่นิยมเรียกกันว่า ช็อปวิศวะ
ปรกติวันพุธอย่างในเวลานี้ ร่างเพรียวคงกำลังนั่งในคลาสเรียน หากแต่เพราะว่าวันนี้อาจารย์ผู้สอนท่านได้ยกเลิกคลาสเพราะความจำเป็น นั่นจึงเป็นสาเหตุให้เขาว่างในตอนนี้และตลอดช่วงบ่ายของวัน
อย่างที่บอกว่าจากตำแหน่งนี้ของชั้น1กับ2 จะมองไม่เห็นตำแหน่งอีกตึกที่ว่าเพราะไม่มีหน้าต่าง เพื่อป้องกันเสียงรบกวนจากตึกข้างๆ
ชั้น3เองแม้มีหน้าต่างอยู่บ้าง แต่หากปิดบานเลื่อนแล้วก็ไร้เสียงรบกวนลงได้เช่นกัน
แต่คนแอบมองเลือกที่จะเปิดมันไว้ เพื่อที่จะได้ยินเสียงของคนที่ตนเฝ้าแอบมองอย่างเงียบๆ ตรงนี้บ้าง
แม้จะมีความเป็นไปได้น้อยเต็มที เพราะอีกคนช่างเงียบขรึมเหลือเกิน
“ ติ๊ดๆ”
เสียงเตือนจากมือถือเมื่อได้เวลาที่ตั้งไว้ พับเก็บหนังสือที่เพิ่งอ่านไป ปรับเปลี่ยนเสียงบรรยายเป็นเสียงเพลงบรรเลง ที่ฟังแล้วเบาสบายและรื่นหู แนบศีรษะกับขอบหน้าต่าง
กระจกบานเลื่อนที่คนภายในมองเห็นภายนอกชัดเจน แต่คนภายนอกกลับมองเห็นแค่เงาสะท้อนเท่านั้น
มันจึงช่วยบดบังการซ่อนตัวของเขาได้เป็นอย่างดีทีเดียว
จดจ้องไปยังกลุ่มนักศึกษา ที่กำลังทยอยเข้าไปยังสถานปฏิบัติการนั้น
คิ้วสีเข้มหากเรียวได้รูปขมวดมุ่นนิดๆ เผลอเม้มขบริมฝีปากล่างเบาๆอย่างไม่รู้ตัว เมื่ออาจารย์เรียกรวมกลุ่มนักศึกษา แต่คนที่เขามองหากลับไม่อยู่ในคนกลุ่มใหญ่นั้น
“ ไปไหนกันนะ?”
พลางขบคิดในใจมองอาจารย์ร่างท้วม ที่ถือใบรายชื่อไล่เช็คชื่อนักศึกษาไปทีละคน จนเกือบหมด
พลันคิ้วที่ขมวดมุ่นกับริมฝีปากที่ขบเม้มกันอยู่นั้นก็คลายออก แล้วเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะเบาๆแทน
เมื่อมองเห็นคนที่คอยเฝ้ามอง วิ่งกระหือกระหอบมากับเพื่อนสนิทอีกสองคน
เสียงหัวเราะของคนแอบมองยิ่งเพิ่มขึ้นอีกนิด...
เมื่อเห็น3หนุ่มยกมือไหว้ขอโทษอาจารย์ประจำวิชาแต่โดนด้ามปากกาจากมืออูมๆเคาะหัวไปกันคนละทีสองที ที่แสดงถึงความสนิทสนมของอาจารย์กับลูกศิษย์ได้เป็นอย่างดี
จากตำแหน่งนี้แล้วหากฟังจากเสียงที่พูดคุยกันจะไม่ค่อยได้ยินเท่าไหร่นัก เว้นแต่กรณีที่จะตะโกนคุยกันเพียงเท่านั้น
การมองเห็นถึงจะไม่ชัดเจนเหมือนอยู่ต่อหน้า แต่ใช่ว่าจะต้องเพ่งมองจนปวดตา ระยะห่างจากตึกเพียงแค่10เมตรโดยประมาณ ทำให้ยังมองเห็นรูปลักษณ์ของแต่ละคนได้ชัดพอสมควร
แต่นั่นก็เพราะเขา เคยเห็นคนที่แอบมองมาก่อนในระยะประชิดด้วยเช่นกัน
จึงจดจำรายละเอียดของอีกคนได้อย่างแจ่มชัด
ไม่ว่าจะเป็นร่างกายที่สูงใหญ่ กับน้ำหนักที่ค่อนข้างมาก แต่กลับสมส่วน แขนขาและลำตัวอัดแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อเครียดตึงของชายวัยฉกรรจ์
บวกกับใบหน้าคมคร้าม สันจมูกโด่งได้รูปสวยอย่างบุรุษ คิ้วหนาเข้ม ริมฝีปากกับคางที่รับกับสันกรามอย่างพอเหมาะพอดี เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบทั้งหน้าตาและมันสมองก็ว่าได้
ที่ทั้งหมดนี้เขาคนนั้นกับเพื่อนสนิทในกลุ่มมีมันครบทุกอย่าง ความมีเสน่ห์ของชายหนุ่มกลุ่มนี้ได้รับความนิยมชมชอบจากคนในและนอกคณะตัวเองเป็นอย่างมาก
เว้นเสียแต่ว่า..นิสัยของเขาคนนั้น จะค่อนข้างตรงและดุดันไปสักหน่อย จนบางทียังได้ยินมาว่ารุ่นน้องคณะนั้นพากันพูดถึงความโหดดุและเอาจริงของเขาคนนั้นอยู่เนืองๆ
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีคนกล้าเข้าหาเขาคนนั้นไม่ขาดสาย มองตามแผ่นหลังกว้างที่ขยับตามการเคลื่อนไหวของเจ้าตัว ที่ซ่อนอยู่ภายใต้เสื้อช็อปสีน้ำเงินเข้ม ปักตัวอักษรสีกรมขนาดใหญ่พอที่จะอ่านได้ว่า
“ เครื่องยนต์ ”
มีรหัสนักศึกษาขนาดเล็กกว่าปักอยู่ด้านบน ส่วนด้านหน้าที่อกซ้ายเหนือกระเป๋าเสื้อ ปักรหัสนักศึกษาที่อยู่เหนือนามสกุลและชื่อย่อเป็นภาษาอังกฤษอีกทีหนึ่ง ที่เขาจดจำมันได้อย่างขึ้นใจ
อีกทั้งรหัสยังเป็นรหัสเดียวกับรหัสผ่านของโทรศัพท์ เอทีเอ็ม แอคเคาท์ต่างๆ แม้กระทั่งกุญแจห้องพักแบบหมุนรหัส ซึ่งรหัสทั้ง6ตัวนั้นถูกปรับใช้ตามความเหมาะสมในแต่ละสถานะที่ต่างกันออกไป
อาจมีบางคนจะมองว่าการกระทำของเขาช่างขลาดเขลา แต่เขากลับมีความสุขและพอใจที่แค่ได้เฝ้ามองอยู่อย่างนี้มากกว่า
พวกเขาต่างกันเกินไปในความคิดของคนเฝ้ามอง รูปร่างหน้าตาของเขาที่จัดว่าอยู่ในระดับกลางๆทั้งหัวสมองก็ไม่ได้เป็นที่โดดเด่นอะไรมากนัก อาศัยความขยันอ่านขยันทบทวนเอาฐานะก็กลางๆ
พ่อแม่ทำงานบริษัทไม่ได้ขาดความอบอุ่นอะไร ถูกเลี้ยงมาอย่างดีได้รับทั้งความรักความเข้าใจ พ่อแม่พี่น้องยอมรับในสิ่งที่เป็น เพื่อนฝูงก็พอมี ไม่มากมายแต่ก็หลายคนอยู่ ไม่ได้มีจนเหลือเฟือแต่ก็ไม่เคยขาดแคลนสิ่งใด
ส่วนอีกคนน่ะหรือ จะให้บอกว่ายังไงดี หน้าตารูปร่างดีมาก ฐานะดี ได้ยินมาว่าที่บ้านประกอบธุรกิจของตัวเอง
การเรียนก็อยู่ในระดับท็อปของชั้นปี เป็นที่ชื่นชอบของคนมากมาย เพื่อนฝูงรายล้อมตัว เป็นคนดังของมหาลัย โดดเด่นด้วยการสร้างชื่อให้กับมหาลัยในการแข่งขันในสาขาที่เรียน
และที่สำคัญ ความจริงที่ว่า... เขาคนนั้นไม่ได้รักชอบเพศเดียวกันอย่างเขา
ด้วยข้อสุดท้ายนี้จึงเป็นเหตุให้เขายังหลบอยู่ในมุมเงียบๆอย่างนี้ เพราะถึงแม้จะไม่ใช่คนที่มั่นใจอะไรในตัวเองมากนักแต่ก็ใช่ว่าจะขาดความมั่นใจในตัวเองไปเสียทีเดียว
ยังจำครั้งแรกที่เจอกับเขาคนนั้นได้...
ตอนข้ามถนนเพื่อมามหาลัย ขณะที่รอจังหวะเพื่อจะข้ามอยู่นั้น เขาโดนกระเป๋าถือใบใหญ่ของผู้หญิงคนหนึ่ง เหวี่ยงกระทบแผ่นหลังตอนเธอหันไปคุยกับเพื่อนที่เดินมาด้วยกัน
กระเป๋าใบหนักที่นักศึกษาสาวคนนั้นสะพายคล้องหัวไหล่อยู่ ผลักเขาให้เซไปข้างหน้าอย่างเสียหลัก บนเกาะกลางถนนที่ยานยนต์วิ่งกันขวักไขว่
เขาหลับตาทันที่เตรียมรับแรงกระแทก ที่คิดว่าจะถูกชนอย่างแน่นอน แต่ก่อนที่ตัวเขาจะคะมำลงไปนั้น กลับมีเรียวแขนแข็งแรงของใครสักคน เกี่ยวลำตัวของเขาไว้ได้ทันอย่างหวุดหวิด
จำได้ว่าหัวใจแทบหยุดเต้นในช่วงความเป็นความตายในเพียงแค่เสี้ยวเวลาระทึกขวัญอย่างนั้น
“ ระวังหน่อยสิคุณ! ”
เขาเงยหน้ามองเจ้าของอ้อมแขนทันที เสียงเข้มดุนั้นกลับไม่ได้ว่ากล่าวเขาอย่างที่เข้าใจ มองตามสายตาคมที่ตำหนิเธอคนที่ชนเขา
ใบหน้าสวยนั้นทั้งเจื่อนทั้งซีดเผือดจนแทบจะร้องไห้ กล่าวขอโทษเขายกใหญ่ จะเอาเรื่องก็ช่างกระไรอยู่ เพราะเธอเองก็ไม่ได้ตั้งใจ
เลยได้แต่บอกว่าไม่เป็นไร ทั้งที่ยังไม่หายตกใจ ขวัญยังปลิวว่อนอยู่ที่ไหนสักแห่ง และยังอยู่ในอ้อมกอดของอีกคนทั้งอย่างนั้น
ก่อนจะอ้อมแอ้มเอ่ยขอบคุณอีกฝ่าย เจ้าของแขนแกร่งผละออกไปแล้ว บอกไม่เป็นไร แล้วคว้ามือเขาพาข้ามทางม้าลายที่คนเดินต้องหลบรถเอาเอง
พอถึงอีกฝั่งแล้วเขากล่าวขอบคุณอีกคนอีกหลายครั้งที่ช่วยชีวิตเขาในครั้งนี้ บอกว่าอยากตอบแทนบุญคุณในครั้งนี้... แต่คนช่วยบอกดุๆว่า
“ ไม่ต้องการ ”
ร่างสูงใหญ่บอกอย่างนั้นแล้วเดินแยกจากไปอีกทาง ปล่อยให้เขามองตามรหัสที่ปักอยู่เหนือสาขาที่เรียนบนเสื้อช็อปตัวนั้น และจดจำมันอย่างขึ้นใจ
ก่อนจะหมุนตัวเดินไปทางคณะของตัวเอง กับความประทับใจอีกฝ่ายมาตั้งแต่ตอนนั้น