รัก...ไม่ได้ออกแบบ by zero
- 26 -
แขกผู้มาเยือนทั้งสองคนถูกเชื้อเชิญให้เข้ามานั่งในห้องนั่งเล่น โดยมีไอ้พายเป็นคนต้อนรับขับสู้ ไอ้ธันว์ ไอ้คิมก็เข้าไปร่วมวงสนทนาคุยกันอย่างออกรส ส่วนผมต้องพาตัวเองมาตั้งหลักในครัวพร้อมกับข้าวของมากมายที่ขนซื้อมาจากดอนหวาย พยายามหยิบจับนั่นนี่มาใส่จานแต่ใจมันก็ไม่สามารถจดจ่ออยู่กับสิ่งที่กำลังทำได้เลย ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำต้องรู้สึกอย่างนี้ มันอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ครั้งสุดท้ายที่เจอกันก็ไม่ได้ทะเลาะกัน แต่ทำไมถึงได้รู้สึกไม่ดี เมื่ออีกฝ่ายเอามองมาแต่ไม่พูดอะไร ไม่ทักทายหรือแม้กระทั่งส่งยิ้มมาให้ หรือนี่อาจจะเป็นสัญญาณที่ดีที่อีกฝ่ายจะเลิกวุ่นวายกับผมแล้ว มันก็ดีแล้วไม่ใช่หรือไง แต่อาการใจหายแบบนี้มันหมายความว่ายังไงกันวะ
‘กลัวอะไรอยู่’ คำถามนั้นยังคงวนเวียนอยู่ในความคิด ไม่หลุดออกไปไหน แต่ผมไม่เคยคิดจะหาคำตอบจริงจัง แม้กระทั่งตอนที่ไอ้เต้ได้พูดทำนองเดียวกันว่าผมกำลังกลัว ผมก็พยายามปัดมันออกไป และเฝ้าบอกว่าไม่ได้กลัว ไม่มีอะไรที่น่ากลัวและต้องกลัว
“น้ำน่าน!”
“เฮ้ย!”
เพล้ง!
“โอ๊ย!”
“เห้ย! เป็นไรมั้ย เลือดด้วยอ่า พี่ขอโทษน้า”
“พี่อย่าเพิ่งเดินมาครับ”ผมรีบร้องบอกคนน่ารักกลัวจะมาเหยียบเศษจานที่แตก สีหน้าพี่เฟิร์สไม่สู้ดีเมื่อเห็นเลือดที่ไหลจากฝ่าเท้า ผมมัวแต่เหม่อเลยตกใจที่ถูกเรียกเลยเผลอทำจานหลุดมือ ซ้ำยังโง่เหยียบเศษจานที่แตกอีก คนมันจะซวยเอาอะไรมาฉุดก็ไม่อยู่จริงๆ
“พี่ขอโทษที่ทำให้ตกใจ”
“ไม่เป็นไรครับ พี่ไม่ต้องร้องนะ”ผมแหย่ขำๆ เพราะพี่เฟิร์สทำท่าจะเบะปากร้องเต็มที น่ารักว่ะ
“ไม่ตลกนะเนี่ย”
ผมพยายามพาตัวเองมานั่งที่เก้าอี้ เดินหลบหลีกเศษจานที่เกลื่อนพื้นเพราะกลัวจะได้อีกแผล มองเลือดหยดลงบนพื้นแล้วก็ใจไม่ค่อยดีเพราะมันเยอะมาก เหมือนจะไหลไม่หยุด พอยกเท้าดูก็หน้ามืดคล้ายจะเป็นลม เศษจานที่เหยียบมันใหญ่พอสมควรแล้วก็ฝังอยู่ที่ฝ่าเท้า พอเห็นแผลก็รู้สึกปวดขึ้นมาทันที ทั้งที่เมื่อกี้ยังชาอยู่เลย
“เกิดอะไรขึ้น เห้ย! มึงเป็นไรเนี่ย”ไอ้พายร้องทักตาโตเมื่อเห็นเลือดบนพื้นแล้วมองเลยมาที่ฝ่าเท้าผม
“กูทำจานแตกแล้วก็เหยียบเข้าว่ะ”
“โง่จริงมึง”เจ็บแล้วยังโดนด่าซ้ำอีก
“พี่เฟิร์สออกไปรอข้างนอกก่อนดีกว่า เดี๋ยวผมจัดการตรงนี้เอง”
“แต่พาน่านไปหาหมอก่อนมั้ย เลือดไหลไม่หยุดเลย”หน้าพี่เฟิร์สยิ่งเสียตามปริมาณเลือดที่ไหลออกมา นี่มันจำลองน้ำตกมาชัดๆ อะไรจะไหลขนาดนี้วะ
“เออจริง งั้นผมฝากพี่ไปบอกไอ้สองตัวนั้นให้มาหามไอ้โง่นี่ไปหาหมอหน่อย”
“ห่าด่ากูจัง”โง่แล้วโง่อีก ทีเดียวก็รู้เรื่องแล้ว แต่ว่าแผลแม่งจะปวดรุนแรงไปแล้ว ผมไม่กล้าจะดึงออกด้วยกลัวเลือดแม่งพุ่งปรี๊ดออกมา ไปหาหมอคงดีที่สุด
“โอเค รอแป๊บนะ”พี่เฟิร์สวิ่งออกไปทันที ไอ้พายไปหยิบหยิบผ้าก๊อซในตู้ยาโยนมาให้ผมใช้ซับเลือด ก่อนจะไปหยิบไม้กวาดกับที่โกยผงมาจัดเศษจานที่แตก เสร็จแล้วก็มานั่งพิจารณาแผลที่เท้าผม
“ต้องปฐมพยาบาลยังไงก่อนวะ เลือดขนาดนี้ โอ๊ย ห่า โคตรใหญ่”มันเห็นเศษจานที่ฝังอยู่ก็เบ้หน้า เหมือนเป็นคนโดนซะเอง
“ต้องตัดขาออกมั้ย”
“เว่อร์ละไอ้สัด โดนบาดไม่ใช่เหยียบระเบิด”แต่ผมใจหวิวๆแล้วตอนนี้
“ทำไมไม่ห้ามเลือดก่อน”เสียงแข็งๆดังขึ้นจากประตูห้องครัว ไอ้พี่เดียวเดินหน้านิ่งเข้ามาแล้วนั่งคุกเข่าลงที่ปลายเท้าผม แล้วยกขึ้นมาสำรวจดูบาดแผลโดยไม่สนใจสายตาอีกสี่คู่ที่มองมา ผมเจ็บมากแต่ก็ร้องไม่ออกตอนมันพยายามเอาผ้าก๊อซซับเลือด ก็พอรู้มาบ้างนะว่าจะห้ามเลือดต้องกดที่บาดแผลแต่ยังมีเศษจานคาอยู่แบบนี้ถ้ากดลงไปผมคงต้องตัดขาจริงๆ
“พันไว้แบบนี้ก่อนแล้วกัน รีบไปหาหมอ หน้าซีดแล้วเนี่ย”ไอ้พี่เดียวคงเห็นว่าทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้
“เห้ย พี่ทำไรวะ”ผมร้องตกใจ เมื่อมันจะเข้ามาช้อนตัวผม
“เดินไปไหวหรือไง”
“เดินได้”ไม่ไหวก็จะเดิน ใครจะยอมให้อุ้มวะ โดยเฉพาะต่อหน้าไอ้พวกนี้ ดูสาวแตกฉิบหาย
“ไอ้ธันว์มึงมาช่วยกูดิ”แต่ไอ้ธันว์ยังไม่ทันจะเดินมาถึง ไอ้พี่เดียวก็จัดการเข้ามาประคองผมเรียบร้อย ตัวมันสูงหนาเป็นหลักที่แข็งแรงเพียงพอที่จะเป็นขาอีกข้างของผมได้สบายๆ ไอ้ธันว์เลยชะงักอยู่กับที่
“เดี๋ยวผมไปเปิดประตูรถให้แล้วกัน”ไอ้ธันว์ว่าแล้วเดินนำไป กว่าจะมาถึงรถก็ทุลักทุเลพอสมควรก็คนมันไม่เคยเดินขาเดียว ถึงจะมีคนคอยประคองอยู่ก็ตาม ยังไงมันก็ไม่ถนัด แล้วผมก็รู้สึกหวิวๆตลอดเมื่อเห็นเลือดหยดลงบนพื้นตามทางที่เดินมา
“อย่าไปก้มมองสิ มองไปข้างหน้า”เสียงทุ้มพูดอยู่ข้างหู
“อืม”
X
ไอ้พี่เดียวพาผมไปโรงพยาบาลใกล้ๆ ตอนแรกว่าจะให้พาไปแค่คลินิกแต่คนขับไม่ยอมพาผมมาโรงพยาบาลเฉยเลย ห้องฉุกเฉินดูวุ่นวาย พยาบาลวิ่งเข้าวิ่งออก เพื่อดูคนไข้หลายราย ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น พยาบาลมาสอบถามประวัตินั่นนี่ ถามอาการดูแผลอะไรหลายอย่าง มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ลืมตาขึ้นมาในห้องพักฟื้นแล้ว
ผมถูกจับแอดมิดหนึ่งคืน หลังจากหมดสติเพราะเสียเลือดไปพอสมควร ร่างกายอ่อนเพลียเลยต้องให้น้ำเกลือ พอรู้สึกตัวความปวดระบมก็เข้าจู่โจมทันที
“ปวดแผลมั้ย”คนที่ควรจะกลับไปนอนก็ยังคงนั่งอยู่ข้างเตียง จับมือผมจนชื้นเหงื่อ ทำเหมือนผมประสบอุบัติเหตุร้ายแรงที่อาการโคม่า ทั้งที่แค่ถูกเศษจานบาดที่เท้า ใครรู้ถึงไหนอายถึงท่าน ดูใจเสาะบอบบางจริงๆ แค่นี้ถึงกับต้องแอดมิด
“ปวด”
“งั้นกินยา”
“หิวข้าวอ่ะ”หลังจากมื้อกลางวันผมยังไม่ได้กินอะไรอีกเลย ตั้งใจจะกลับมากินบ้านแต่ก็เกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน
“รอเดี๋ยว”คนพูดลุกขึ้นไปทำอะไรก๊อกแก๊กอยู่ตรงมุมห้องไม่รู้ ผมขยับตัวขึ้นนั่งพิงกับหัวเตียงเอาหมอนรองหลัง ได้กลิ่นอาหารลอยเข้าจมูก ตอนนี้สี่ทุ่มกว่าแล้วไม่ใช่เวลาทานอาหารตามเวลาของโรงพยาบาล แต่ช่างมันเถอะครับผมหิว ผมจะกิน
“รู้ว่าต้องหิวเลยไปซื้อมาไว้ให้”
“ขอบคุณนะ”มันอุ่นๆที่ใจ อย่างบอกไม่ถูกจนเผลอจ้องหน้ามันนานไปหน่อย มันเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ แล้วพยักหน้ามาทางกล่องข้างตรงหน้าผม
“กินได้เนอะ?”
“อื้ม”ข้าวผัดหมูอยู่ในกล่องพลาสติกดูน่ากิน ปริมาณมันเยอะมากแต่ผมจัดการได้ไม่มีปัญหา แค่ได้กลิ่นตอนนี้น้ำย่อยก็ทำงานแล้ว ผมลงมือกินข้าวมื้อดึก ไอ้พี่เดียวนั่งเฝ้าอยู่ข้างๆจ้องผมทุกอิริยาบท
“พวกนั้นอ่ะ”ไอ้เพื่อนชั่วมันไม่คิดจะมาดูดำดูดีเลยหรือไง อยากจะโทรไปด่าติดตรงที่มาแต่ตัว กระเป๋าตังค์ โทรศัพท์อะไรได้เอามาสักอย่าง
“พี่บอกให้อยู่บ้าน ส่วนเฟิร์สให้พายไปส่งบ้านแล้ว”
“แล้วไมพี่ยังอยู่ ไม่กลับไปนอนอ่ะ”
“ไปแล้วใครจะเฝ้า”
“อยู่คนเดียวได้”แต่ถ้ามีคนอยู่ด้วยก็คงจะดีละมั้ง ก็ขาเจ็บนี่หว่าเดินไม่สะดวก แต่ก็ไม่อยากรับกวนมันไง ครั้งสุดท้ายที่เจอกันก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แล้วจะให้มันมาเฝ้าอีกก็จะแปลกๆเกินไป
“อยากอยู่ด้วย”แม่ง...ทำไมต้องมองผมด้วยสายตาแบบนั้นด้วย ทำเอาผมทำตัวไม่ถูกเลย มือไม้มันดูเกะกะเก้งก้างไปหมด สายตาอ่อนโยนนั่นมันอะไรกันวะ ทั้งที่พูดไปขนาดนั้นแล้วยังไม่ตัดใจอีกหรือไง
“แล้วหายไปไหนมา”อยากรู้ นึกว่าที่หายไปจะไม่มายุ่งด้วยแล้ว เพราะไม่มีการติดต่อมาสักทาง
“กลับไปตั้งหลัก”มันตอบ อมยิ้มนิดๆ ดูดีไปนะบางที
“แล้วตั้งได้แล้ว?”
“อืม”
“....”อยากถามต่อแต่ผมกลัวว่าคำตอบที่ได้รับจะยิ่งทำให้รู้สึกไม่ดียิ่งกว่าก่อนหน้านี้
“หึหึ เด็กขี้กลัว”มืออุ่นขยี้ลงบนผมทำราวกับว่าผมเป็นเด็กเล็กๆ ผมขยับหัวหนีแต่อีกฝ่ายก็ขยับมือตาม จิ๊ นี่หัวคนนะเว้ยไม่ใช่ตุ๊กตาจะได้จับโยกจับโคลง
“กินข้าวต่อซะ จะได้กินยา ปวดแผลอยู่ไม่ใช่เหรอ”
“ก็เอามืออกไปดิ”
“ครับๆ”
ข้าวผัดกล่องใหญ่หมดเกลี้ยงลงภายในไม่กี่นาที พี่เดียวให้ผมพักครู่หนึ่งก่อนจะให้กินยาแก้ปวดตามเข้าไป แล้วเก็บกล่องไปทิ้งขยะให้
“ง่วงยัง?”
“ยัง”
“ดูทีวีมั้ย?”พี่เดียวบุ้ยใบ้ไปทางทีวีที่ปิดอยู่ เพิ่งสังเกตว่ามีด้วย
“ก็ดี”
พี่เดียวมันเปิดทีวีช่องสารคดีสัตว์โลก ผมก็ดูไปงั้นๆ ใจจริงก็ไม่ได้อยากจะดูอะไร แค่ไม่รู้จะทำอะไรแล้วก็ไม่อยากให้ห้องเงียบเท่านั้นเอง ไอ้พี่เดียวมันก็ก้มหน้าก้มตาไถเมียไอแพด ปล่อยให้ผมดูสิงโตผสมพันธุ์กัน เอ้อ กูนอนดีกว่ามั้ยเนี่ย!
“จะไปไหน?”พอผมทำท่าจะขยับตัว คนที่นั่งข้างเตียงก็หันขวับมาถามทันที
“เข้าห้องน้ำ”
“เดี๋ยวพาไป หยุด ห้ามเถียง”แม่ม โหดไปแล้วครับพี่ ยังไม่ทันจะพูดอะไรเลย แล้วก็ไม่ได้คิดจะไปเองด้วย แค่จะบอกว่าให้ช่วยถือขวดน้ำเกลือให้หน่อย ดุทำไมเนี่ย!
พอพาเข้ามาในห้องน้ำเสร็จแทนที่จะออกไปก็ยืนจ้องผมจากด้านหลัง กดดันแบบนี้ใครจะไปฉี่ออกวะ
“ออกไปได้แล้ว”ผมหันไปบอก
“นึกว่าจะให้ช่วยประคองอย่างอื่นด้วย”พูดอย่างเดียวไม่พอ ยังทำตาวิบวับอีก อยากจกตามาเตะเล่น
“ไม่ต้อง!”
“อ้อ ลืมไป ไม่ได้ใหญ่อะไรมากเอานิ้วก้อยเกี่ยวยังไหว”
“ไอ้!...ออกไปเลย!”ผมเอี้ยวตัวไปผลักมันเลยเสียหลักลืมตัวเอาเท้าที่เจ็บยันพื้น เลยได้เรื่องเลย
“โอ๊ย!”
“เป็นไงล่ะ”มันถลาเข้ามารับผมไว้ก่อนจะหงายหลังไปกองกับพื้น พอเงยหน้าขึ้นมาจมูกผมก็กระแทกกับคางมันอีก เจ็บล่างเจ็บบนเลยทีนี้ แต่มันกลับหัวเราะชอบใจ
“ก็เพราะใครล่ะ แม่ง ออกไปเลย ปวดฉี่จะราดแล้วโว้ย”
“แล้วยืนไหวหรือไง”
“ไหว!”
“หึหึ เสร็จแล้วเรียกแล้วกัน”มันประคองผมให้ยืนประจำที่ก่อนจะปล่อยมือ
“อือ”
ไอ้พี่เดียวมันยอมปล่อยผมให้ทำธุระแต่โดยดี ถ้าออกไปตั้งแต่แรกผมจะเจ็บตัวซ้ำซ้อนอย่างนี้มั้ย ทำไมต้องมาทำให้หงุดหงิดเสียอารมณ์ก่อนทุกที ไม่เข้าใจจริงๆ เป็นโรคจิตหรือเปล่าวะ
พอจัดการตัวเองเสร็จก็เรียกคนด้านนอกให้มาพากลับไปนอน พี่เดียวมันจัดการให้ผมทุกอย่าง ตั้งแต่ปรับเตียง จัดหมอน ห่มผ้า ปรับแอร์ ก่อนจะปิดไฟแล้วมานอนที่โซฟาข้างเตียง
“ความจริงพี่ไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้นะ”ผมพูดขึ้นในความมืด รู้ว่าอีกฝ่ายยังไม่หลับ ไม่มีความจำเป็นเลยที่ต้องมาดูแลผมแบบนี้
“แบบไหน ที่ดูแลน่ะเหรอ”
“อืม”
“ไม่เป็นไร อยากทำ”
“.....”
“.....”
“ถามจริง ที่ขอคบเพราะพี่ชอบผมเหรอ”เอาจริงๆผมก็จำไม่ได้นะว่าพี่เดียวมันเคยบอกชอบผมหรือเปล่า เคยได้ยินแต่คำว่าหวง แล้วคำนี้มันมีความรู้สึกอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยมั้ย ที่ขอคบเพราะอะไรกัน
“ใช่”
“ใช่คือ?”
“ชอบ”
ยอมรับตรงๆเลยแหะ นึกว่าจะมีมาดปากแข็งอะไรทำนองนั้น แต่พอมันยอมรับง่ายๆก็ทำให้ผมทำตัวไม่ค่อยถูก กับคนอื่นๆที่เข้าหา ที่บอกว่าชอบมันให้ความรู้สึกต่างกัน
“ชอบผมตรงไหน”คือถ้าเป็นผู้หญิงมาชอบผมก็พอจะนึกออกละนะว่าชอบเพราะอะไรบ้าง หน้าตา เงิน หรืออาจจะติดใจเรื่องบนเตียง แต่ที่ชอบเพราะนิสัยนี่แทบจะไม่มี เพราะผมไม่ได้ให้ความสนิทสนมกับผู้หญิงคนไหนเป็นพิเศษจนมารู้จักนิสัยใจคอกัน และมั่นใจว่าถ้าใครรู้จักนิสัยจริงๆของผมคงถอยห่างกันทั้งนั้น
“ไม่รู้”
“เอ้า!”อะไรของมันวะ
“หึหึ นอนได้แล้ว”
“ขี้โกง”ทำเป็นหลีกเลี่ยงไม่พูดถึง ที่ว่าชอบแสดงว่าโกหกสินะ
“ใครขี้โกง”มันมานั่งอยู่ข้างเตียงตั้งแต่ตอนไหนวะ ถึงจะมืดแต่ตอนนี้สายตาเริ่มชินแล้ว เลยพอมองเห็นว่าอะไรเป็นอะไร หน้ามันใกล้ผมมาก ฟันขาวๆที่เห็นรำไรบอกให้รู้ว่ามันกำลังยิ้มอยู่
“ใครกันแน่ที่ขี้โกง ความรู้สึกของตัวเองยังไม่รู้ ไม่ยอมรับเลย แล้วจะให้คนอื่นเขาพูด”
“แล้วใครเป็นคนขอคบก่อนวะ นี่ก็มีสิทธิ์จะรู้ไม่ใช่หรือไง”
“หึหึ นี่ น้ำน่าน อยากเลิกกลัวมั้ย?”
“.....”ปากอยากจะเถียงว่าไม่ได้กลัว แต่ผมกลับนิ่งเพื่อรอฟังมันพูดต่อ
“อยากรู้จักสิ่งที่กำลังวิ่งหนีหรือเปล่า?”
“.....”
“อยากรู้มั้ยว่าพี่ไปตั้งหลักแล้วพี่คิดอะไรได้”
“อะไร?”
“สักวันจะรู้เอง”
X
ผมออกจากโรงพยาบาลในวันรุ่งขึ้น แต่แทนที่จะได้กลับบ้านก็ต้องมาติดแหง็กอยู่ที่ห้องไอ้พี่เดียว มันไม่ยอมพาผมไปส่งบ้าน อ้างเหตุผลว่าที่บ้านไม่มีใครอยู่ ไม่มีคนดูแล พอผมไลน์เข้าไปในกลุ่มสี่คน ทุกคนก็พร้อมใจกันให้ผมพักอยู่กับพี่เดียวจนกว่าจะหาย แต่ละคนดีๆทั้งนั้น ไม่รู้ไอ้ธันว์กับไอ้คิมมันจินตนาการกันไปถึงไหนแล้ว
“อยากอาบน้ำ”ไม่ได้อาบมาหนึ่งวันกับอีกหนึ่งคืน กลัวตัวเองจะเน่า ตัวเหนียวเหนอะหนะไปหมด
“ได้ มาถอดเสื้อผ้าออกก่อน”
“ไม่ต้องๆ ถอดเองได้”ผมขยับตัวหนีแทบไม่ทัน ไอ้พี่เดียวตรงดิ่งมาเหมือนจะกระชากเสื้อผ้าออกจากตัวผม ดูโคตรโรคจิต
“ถอดเองจะถนัดหรือไง”
“เจ็บเท้าอย่าเดียว ส่วนอื่นไม่ได้พิการ แค่พาไปห้องน้ำก็พอแล้ว”
“หึหึ งั้นก็ไป”
ไม้เท้าก็มีนะแต่ผมใช้ไม่ถนัดหน้าจะทิ่มตลอด ไอ้พี่เดียวเลยจับมันโยนไว้ข้างนอก เลยต้องกระเตงๆกันไปแบบนี้
“นั่งลงก่อน”
“จะทำอะไร”มันพาผมมานั่งที่ขอบอ่าง
“แผลห้ามโดนน้ำ เดี๋ยวเอาถุงพลาสติกห่อก่อน นั่งรอแป๊บ”ไอ้พี่เดียวหายออกไปครู่หนึ่งก่อนจะกลับมาพร้อมกับถุงพลาสติกใบไม่เล็กไม่ใหญ่กับเทปใส มันคุกเข่าลงกับพื้นแล้วจับเท้าผมวางลยบนหน้าขา
“เห้ย พี่ไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้ เดี๋ยวทำเอง”ผมจะชักเท้าหนีแต่มันก็ดึงไว้
“ทำเองจะถนัดหรือไง นั่งเฉยๆเดี๋ยวพี่ทำให้”
‘เดี๋ยวพี่ทำให้’ ฟังกี่ครั้งก็รู้สึกดี ตั้งแต่ผมเจ็บ มันพูดคำนี้หลายครั้งมาก ผมมองพี่เดียวที่กำลังเอาเทปใสพันปากถุงที่สวมเท้าผมอย่างตั้งอกตั้งใจ
“ทำไมถึงเป็นผมวะพี่”คนอย่างไอ้พี่เดียวจะหาดีกว่าผมสักกี่คนก็ได้ คนที่มีความเหมาะสมในทุกด้านคงมีมาให้เลือกไม่หวาดไม่ไหว ทำไมถึงต้องมาสนใจคนอย่างผม หรือเพราะเรื่องวันนั้นเลยทำให้ต้องยึดติดกับผมอยู่อย่างนี้
“ถ้าพี่ทำเพราะเรื่องวันนั้น พี่ก็เลิกเถอะ”
มือที่กำลังพันเทปหยุดชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะขยับทำหน้าที่ของมันต่ออย่างเบามือ ความอุ่นของฝ่ามือแทรกมาตามผิวหนังที่ถูกสัมผัส อุ่นที่หัวใจ ความรู้สึกแบบนี้ผมเคยสัมผัสเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก ตอนที่จักรยานล้มหัวเข่าเป็นแผลเหวอะ พ่อก็ดูแลผมแบบนี้
“ไม่ใช่เพราะเหตุผลนั้นเหตุผลเดียวหรอก อ่ะ เสร็จแล้วอาบน้ำได้”
“.....”
“น้ำน่าน เป็นอะไร ทำไมมองพี่แบบนี้”
“ขอบคุณนะ”
“พี่เต็มใจ”
X
“นอนเลยนะ”
“อือ”ใครจะว่าผมว่านอนสอนง่ายหรืออะไรก็ว่าไป มันปวดแผลเกินกว่าจะดื้อดึงต่อไปได้ กินยาแล้วก็อยากจะหลับๆไปเสียทันทีเพื่อที่จะได้ไม่ต้องทรมานปวดแผล แต่การที่มีไอ้พี่เดียวอยู่ก็สบายไปล้านแปด กินอยู่อย่างราชามีคนรองมือรองเท้า อยากได้อะไรก็มีคนหยิบทำให้ ถ้าให้ผมอยู่กับมันนานๆต้องนิสัยเสีย หยิบจับอะไรไม่เป็นแน่ๆ
“อื้อ ทำไร”กำลังเคลิ้มๆก็มีคนมายกขาผมขึ้น ไอ้พี่เดียวกำลังเอาหมอนสอดใต้ขาผม
“รองไว้ จะได้ไม่เผลอไปโดนแผลตัวเองตอนหลับ น่าจะช่วยให้ไม่ปวดด้วย”
ผมดันตัวขึ้นเพื่อมองคนที่วุ่นวายอยู่ตรงปลายเท้า ทุกครั้งที่พี่เดียวมันทำอะไรให้ผม สีหน้าของมันบ่งบอกได้ว่าตั้งอกตั้งใจทำให้มากๆ ทำไมต้องมาทำดีกับผมขนาดนี้ด้วยวะ มาทำให้ผมต้องสับสนทำไม
“ขอบคุณนะ”
“พี่เต็มใจ”
อีกแล้ว...มันจะรู้มั้ยว่าคำนี้มีอิทธิพลต่อความรู้สึกผมขนาดไหน การกลับมาของมันครั้งนี้จะว่าเหมือนเดิมก็ไม่ใช่ จะว่าเปลี่ยนไปก็ไม่เชิง
“นอนซะ น้ำอยู่ตรงนี้นะ พี่วางไว้ตรงนี้จะได้หยิบถึงแต่ถ้าอยากเข้าห้องน้ำก็เรียกพี่ เดี๋ยวจะนั่งทำงานอยู่ข้างนอก ไม่ได้ปิดห้องนะเวลาเรียกจะได้ได้ยิน”
“อืม”ผมทำได้แค่รับคำเบาๆ พูดอะไรไม่ออก ความรู้สึกมากมายมันอัดแน่นอยู่ในอก มองเจ้าของแผ่นหลังกว้างเดินออกไปจากห้อง เวลาสามทุ่มไม่ใช่เวลาปกติที่ผมจะเข้านอน แต่ถ้าหากหลับไปแล้วจะช่วยให้ผมหยุดคิด หยุดรู้สึกได้ผมก็อยากจะหลับไปทันทีที่หลับตาลง ผมพลิกตัวไปมาอยู่นานพอจะเคลิ้มๆก็ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาตลอด แต่ครั้งนี้ได้ยินเสียงคนพูดแว่วๆดังมาจากนอกห้องนอน ผมลุกขึ้นนั่งมึนๆ
“โอ๊ย!”แต่พอก้าวเท้าลงจากเตียงเท่านั้นหายมึนเลย ไอ้เหี้ยยยย นี่กูโง่หรือกูโง่วะเนี่ย ผมเจ็บน้ำตาเล็ดมันจี๊ดตั้งแต่ฝ่าเท้าไปยันก้านสมอง เสียการทรงตัวกลิ้งลงไปนอนอยู่ข้างเตียงเป็นที่น่าอเนจอนาถ ครวญครางเหมือนถูกรถทับขา มันเจ็บจริงๆนะ
“น่าน!”มันร้องเรียกผม ไฟในห้องสว่างขึ้นมาจนผมต้องหยีตา ก่อนจะได้ยินมันพ่นภาษาต่างดาวใส่โทรศัพท์ แล้วเข้ามาประคองผมให้ลุกขึ้นนั่งบนเตียง
“จะเอาไร ทำไมไม่เรียกเนี่ย เป็นไงมั่ง”
“เจ็บแผลอ่ะ เมื่อกี้เอาเท้านั้นลง”ผมบอกอย่างไม่มีฟอร์มใดๆ ก็คนมันเจ็บนะเว้ย
“แล้วจะเอาไร”
“เปล่า แค่จะออกไปดูว่าคุยกับใคร แต่มันลืมตัวนี่หว่าว่ามีแผลอยู่”
“เห้อ”
“อย่ามาถอนหายใจใส่นะ”
“นอน ไป เลย”ไอ้เหี้ยพี่เดียวมันจิ้มหน้าผากผมจึ้กๆตามคำพูด ไม่แรงมากแต่ก็พอให้หงายเงิบลงบนหมอนได้
“นอนไม่หลับ”
“หลับตาไปเดี๋ยวก็หลับเองนั่นแหละ”มันว่าแล้วห็หายออกไปจากห้อง ผมคิดว่ามันคงไปทำงานต่อแต่แค่ครู่เดียวมันก็กลับมาพร้อมกับกล่องปฐมพยาบาล
“ทำไร”
“ทำกับข้าวมั้ง แผลเลือดออกเนี่ย เมื่อกี้คงเหยียบพื้นเต็มแรงเลยสินะ”เออสิ แบบเต็มเท้าแนบสนิทลงไปกับพื้นเลย แต่เลือดเลยเหรอวะ
“อักเสบแน่ๆ”มันว่าพร้อมกับค่อยๆแกะผ้าพันแผลอันเดิมออก ผมพยายามจะดันตัวขึ้นมาดูก็ถูกมันทำตาดุใส่แล้วผลักให้นอนลงไปตามเดิม
“จิ๊ อยู่นิ่งๆสิ”
“เออๆ”
ไอ้พี่เดียวมันทำทุกอย่างเบามือมาก แต่จะบอกว่าไม่รู้สึกเจ็บก็คงไม่ได้แต่มันไม่ได้ คืนนี้ได้นอนทรมานไปทั้งคืนแน่ๆ
“เอ้า เสร็จแล้ว เดี๋ยวกินยาด้วย”มันส่งยากับแก้วน้ำให้
“ยาไรอีก”
“แก้ปวดไง ยังไงคืนนี้ปวดแน่ๆ หาเรื่องเจ็บตัวซ้ำซากจริง”
“อย่าบ่นได้มั้ย ยิ่งบ่นยิ่งเจ็บ”มันมองผมตาขวาง ผมรับยามากินแล้วส่งแก้วน้ำคืน ไม่อยากขยับตัวไปไหนเลย เข็ด
“เอ้า ไม่ทำงานต่อแล้วเหรอ”ผมถามเมื่อมันปิดไฟหลักของห้อง เหลือเพียงไฟส้มมุมห้อง
“ไม่อ่ะ นอนดีกว่า จะนอนฝ้าเด็กด้วยเดี๋ยวหาเรื่องใส่ตัวอีก”
“ไม่ใช่เด็กเล็กๆนะ”
“เหรอออ นอนได้แล้ว”แล้วไฟทั้งหมดก็ดับลง ห้องมืดสนิท
“อื้อ อะไรวะ มากอดทำไมเนี่ย”จู่ๆตัวผมก็ถูกรั้งเข้าไปกอดทั้งที่ยังนอนหงายอยู่ แถมขาข้างที่ปกติดียังถูกก่ายทับจนกระดิกไม่ได้
“ป้องกันไว้ก่อน เดี๋ยวจะนอนดิ้นไปโดนแผลตัวเองอีก”ลมหายใจอุ่นๆรินรดอยู่แถวซอกคอทำให้รู้สึกจั๊กจี้ ขนลุกไปทั้งตัว
“ไม่ได้โง่ขนาดนั้นป่ะวะ”
“ก็ไม่แน่”
“ไอ้!...เออ แม่ง เอาที่สบายใจเลยครับพี่ครับ”ผมหมดคำพูดจริงๆ เพราะไม่ว่าจะพูดอะไรมันก็หาเหตุผลมาลบล้างได้จนหมด ไอ้คนข้างๆก็นอนหัวเราะถูกใจ
“นี่ ไม่ต้องแน่นขนาดนี้ก็ได้ มันอึดอัด”ผมใช้ศอกกระทุงหน้าท้องมันไป ไอ้คนกอดก็หัวเราะสองหึแต่ก็ยอมคลายวงแขนออกให้ได้หายใจหายคอคล่องขึ้น
“ตัวอุ่นๆนะ ไข้มาแน่ๆ”
“อือ”ผมได้แต่อือออกลับไปเพราะรู้สึกหนังตาหนักๆ ก็มันเกือบจะเที่ยงคืนแล้ว เจ้าของเตียงมันพูดอะไรอีกก็ไม่รู้ผมไม่ได้สนใจ จากนั้นทุกอย่างก็เงียบไปพร้อมกับแผลที่ปวดตุบๆ และสัมผัสอุ่นๆที่หน้าผาก
------------------------------
เอาเด็กขี้กลัวมาส่งค่าาาา
คิดถึงกันม้ายยยยยย เค้าคิดถึงทุกคนนะ แล้วจะรีบมาต่อนะคะ