ริมสองฝั่งคลองเต็มไปด้วยชาวบ้านที่ออกมาช่วยกันแต่งประดับสองข้างทางด้วยแสงไฟและใบจากที่ถูกแต่งเป็นซุ้มไม้สวยๆ คนหนุ่มที่ยังพอมีกำลังต่างช่วยกันลงมือลงแรงทำงานจนเหงื่อโทรมกายในขณะที่ผู้หญิงและเด็กที่โตพอจะถือของได้เป็นฝ่ายคอยส่งเสบียงและน้ำเติมกำลังให้กับทุกคน
รัตติกาลยิ้มให้กับภาพตรงหน้าก่อนจะหันไปมองอารัณย์ที่รับน้ำจากเด็กสาวผมเปียตัวน้อยที่ยืนแก้มแดงแต่ก็ยังหาเรื่องมาเป็นหัวข้อพูดคุยกับชายหนุ่มไม่ยอมหยุด อารัณย์หัวเราะก่อนจะลูบผมที่ถูกทักอย่างประณีตเบาๆ ไม่เหลือเค้าของคนที่ครั้งหนึ่งเคยผ่านเรื่องราวโหดร้ายมายิ่งกว่าตัวเขาซะอีก
“กาล มาช่วยตรงนี้หน่อยสิ”
ร่างโปร่งเดินไปตามเสียงเรียกของพี่เลี้ยงหนุ่มก่อนจะทำหน้าที่ส่งตะปูตัวยาวให้อีกฝ่ายใช้ค้อนยึดมันเข้ากับโครงไม้ที่เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง รัตติกาลดีใจที่หลังจากคืนนั้นอารัณย์ยังสามารถยิ้มได้ในขณะที่เขาเซื่องซึมอยู่พักใหญ่เพราะเรื่องราวเหล่านั้นยังดังก้องอยู่ในหัว
รัตติกาลเคยคิดว่าตัวเองคือคนที่โชคร้ายที่สุดในโลก เหตุเพราะโดนคนที่รักหักหลังแล้วทิ้งตนไว้เพียงลำพัง แต่พอได้ฟังเรื่องราวของอารัณย์แล้วส่วนหนึ่งในหัวใจกลับมีความยินดีตีตื้นขึ้นมาพร้อมกับความทรงจำวัยเด็กอันแสนอบอุ่นที่เขาเคยใช้มันร่วมกับพ่อและแม่ที่ถึงแม้วันนี้จะอยู่แล้วก็ยังคงหลงเหลือความดีไว้ให้คิดถึงกัน
แต่กับอารัณย์นั้นไม่ใช่ รัตติกาลไม่อาจจินตนาการได้เลยว่า อารัณย์ตัวน้อยในตอนนั้นสามารถก้าวข้ามความอัปยศทุกอย่างมาได้อย่างไร ความเกลียดชังและไม่เป็นที่ต้องการแม้แต่กระทั่งจากผู้ให้กำเนิดทำร้ายคนคนนี้มามากแค่ไหน อารัณย์จะรู้สึกยังไงเมื่อต้องโดนขอร้องให้หายไป เขาไม่รู้เลย...ในขณะที่รพีคงเป็นคนที่เข้าใจอารัณย์มากที่สุด
“คิดอะไรอยู่กาล”
เสียงของร่างสูงปลุกเขาจากภวังค์ ตอนนี้ทั้งสองคนกลับมายังห้องพักเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะกลับไปรวมกับชาวบ้านเพื่อเข้าร่วมพิธีขอขมาพระแม่คงคาตามที่ตกลงกันไว้
“เปล่า พอดีคิดอะไรนิดหน่อยน่ะ”
“คิดอะไรหื้ม? ไปอาบน้ำไปทำงานมาทั้งวัน ตัวเหม็นป่าวไหนดมดิ”
จมูกโด่งของอารัณย์ซุกลงบนซอกคอก่อนจะสูดความหอมเข้าปอดเสียเฮือกใหญ่ รัตติกาลหัวเราะคลอเบาๆแล้วผลักหัวอีกฝ่ายออกไปพลางทำหน้าดุใส่
“เล่นอะไรเนี่ย เหม็นเหงื่อจะตาย”
“ไม่เห็นเหม็นเลย หอมจะตาย ขอดมอีกรอบนะ”
“ไม่ต้องเลย ไปอาบน้ำก่อนไป เดี๋ยวผมจะไปหายายพิศสักหน่อย”
“ยายพิศ? มีอะไรรึเปล่ากาล”
“ยายบอกทำกระทงไว้ให้เราสองคนแล้วจะได้ไม่ต้องเสียเวลาออกไปซื้อ”
อารัณย์มองเสี้ยวหน้าของรัตติกาลที่กำลังควานหาโทรศัพท์ด้วยความชอบใจ เขามีความสุขทุกครั้งที่รัตติกาลเลือกใช้คำว่าเราเพื่อแทนตัวตนของเขาทั้งสองคน ร่างสูงไม่อยากเชื่อว่าตัวเองสามารถเล่าถึงความทรงจำโหดร้ายที่ถูกฝั่งลึกลงไปได้จนจบ เขาคงไม่สามารถควบคุมตัวเองได้หากวันนั้นไม่มีรัตติกาลอยู่เคียงข้าง คนที่ทรมานไม่ต่างกันร้องไห้ออกมาแทนพลางโอบกอดเขาไว้แล้วพร่ำบอกว่าไม่เป็นไร ไม่เป็นไร จนกระทั่งทั้งคู่ตกลงห้วงนิทราในเวลาไล่เลี่ยกัน
“กาล”
“หื้ม?”
“อยากฟังคำนั้นรึยัง...”
ทั้งคู่หันมาสบตากัน อารัณย์มองรัตติกาลด้วยรอยยิ้มให้ขณะที่อีกคนทำหน้าเหรอหราได้อย่างน่าเอ็นดูแม้อายุจะเกือบจะล่วงเข้าเลขสามแล้วก็ตาม รัตติกาลทำหน้าปั้นยากอยู่สักครู่ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้อารัณย์ที่รอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ
“หลับตาหน่อย”
อารัณย์ยิ้มกว้างก่อนจะหลับตาลงรอรับสัมผัสของรัตติกาลโดยที่คาดไม่ถึง ร่างโปร่งลูบเบาๆตรงข้างแก้มที่เขาเพิ่งโกนหนวดให้อีกฝ่ายไปเมื่อเช้า เขาค่อยๆเคลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้ก่อนจะกระซิบเบาๆตรงข้างหูด้วยน้ำเสียงหวิวๆเหมือนที่ชอบทำสมัยเกี้ยวเด็กหนุ่มตามผับบาร์เวลาเที่ยว
“รัณย์...”
“ครับ”
“ถ้ายังไม่เลิกฝัน...ก็ไปเอาน้ำออกแล้วนอนซะ!!!”
รัตติกาลตะโกนสุดเสียงก่อนจะบีบเข้าที่จมูกโด่งแล้วโยกไปมาจนอารัณย์ร้องโอดครวญไม่หยุด ร่างโปร่งยอมปล่อยมือออกเมื่อได้รังแกพี่เลี้ยงหนุ่มจนสาแก่ใจ เขาตบปั้นท้ายของอารัณย์ทิ้งทวนเบาๆแล้วเดินออกจากบ้านไปโดยไม่อยู่ฟังเสียงโวยวายจากคนตัวโตที่ประกาศกร้าวคาดโทษรัตติกาลแต่หัววัน
“คืนนี้โดนแน่กาล เนื้อๆเน้นๆเลย!!!”
แต่มีหรอที่รัตติกาลจะกลัว?
“คืนนี้กลับไปนอนห้องตัวเองซะนะ”
“เห้ย ได้ไงอะ!”
อารัณย์รู้สึกว่าวันนี้ตัวเองร้องโวยวายมากกว่าทุกครั้ง ยายพิศที่นั่งอยู่ด้านหน้าหันมามองชายหนุ่มอย่างปรามๆเมื่ออารัณย์พูดโพล่งออกมาขณะที่ชาวบ้านกำลังทำพิธีขอขมากันอยู่
ร่างสูงยกมือขอโทษพร้อมกับยิ้มแหยๆให้ชาวบ้านที่ต่างก็หันมามองเขากันหมด ยกเว้นคนก่อเรื่องที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ฟังเสียงพระสวดไปเรื่อยโดยไม่หันกลับมามองเขาแม้แต่น้อย
“อะไรอะกาล ทำแบบนี้ไม่แฟร์นะ”
“ทำไมจะไม่แฟร์ นี้มันห้องผมนะ ห้องคุณก็เสร็จแล้วก็กลับไปห้องตัวเองสิ ผมอยากจะอยู่แบบเป็นส่วนตัวบ้าง”
“ก็อยู่มาได้เป็นอาทิตย์แล้ว ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย”
“ก็เพราะอยู่มาเป็นอาทิตย์แล้วนี่ไง ถึงได้อยากมีเวลาส่วนตัวบ้าง”
“เวลาส่วนตัวกาลก็ใช้มันกับผมไง”
“ตกภาษาไทยหรอ ‘ส่วนตัว’ กับ ‘ส่วนเกิน’ มันคนละคำกันนะคุณ”
“โห พูดโคตรแรงอะ”
อารัณย์ทำหน้าบึ้งแล้วหันหนีไปอีกทางเมื่อโดนรัตติกาลพูดแบบนั้นใส่ จนคนแกล้งเองเริ่มรู้สึกตัวว่าเผลอพูดไม่ถนอมน้ำใจอีกฝ่ายไปซะแล้ว
“รัณย์...โกรธหรอ”
“...”
“ตัวก็ออกจะใหญ่ ใจอันเล็กนิดเดียวเอง”
รัตติกาลแกล้งพูดยั่วเข้าไปอีกแต่อีกคนก็ยังไม่สะทกสะท้าน หลังจากพระสวดขอขมาเสร็จตัวแทนชายหญิงจากหมู่บ้านที่แต่งตัวด้วยชุดไทยเดิมสวยสง่าต่างก็เดินออกมาพร้อมกับประคองกระทงที่ถูกทำขึ้นอย่างประณีตตามแบบดั่งเดิมไว้ พร้อมกับนำไปลอยน้ำเพื่อเป็นการเริ่มต้นประเพณีวันลอยกระทงตามกลางเสียงโห่ร้องของชาวบ้านและนักท่องเที่ยวที่แวะเวียนมาหนาตากว่าทุกครั้ง
อารัณย์ลุกขึ้นพร้อมกับถือกระทงของตนไว้ในมือ ร่างสูงเดินแหวกฝูงชนออกไปทางท่าน้ำโดยไม่คิดรัตติกาลที่ยังคงพูดคุยกับชาวบ้านที่เดินมาทักทายเหมือนเช่นทุกครั้ง ร่างโปร่งยืนคุยอยู่พักหนึ่งด้วยความรู้สึกเป็นกังวล พอได้จังหวะก็บอกลาป้าที่เคยเอาขนมให้กินตอนไปงมหอยแล้วรีบเดินไปตามทางที่อารัณย์เพิ่งเดินไปเมื่อครู่
“หายไปไหนของเขานะ”
แต่เหมือนว่าช้าไป รัตติกาลไม่เห็นแผ่นหลังกว้างของอารัณย์อีกแล้ว ร่างโปร่งเผลอกำมือแน่น อดตำหนิตัวเองไม่ได้ว่าพูดแรงเกินไปทั้งที่รู้ดีว่าลึกๆแล้วอารัณย์เป็นคนอ่อนไหวไม่น้อย รัตติกาลหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาหวังจะโทรออก แต่ก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าพวกเขามีโทรศัพท์แค่เครื่องเดียวคือเครื่องที่ฤทธิชาติทิ้งไว้ให้ใช้ติดต่อยามฉุกเฉิน
“อ๊ะ ขอโทษครับ!”
รัตติกาลพูดโพลงออกมาเมื่อเขาเอาแต่จ้องมองมือถือตัวเองเผลอเดินชนคนในงานเข้าเต็มแรง ชายหนุ่มรีบสำรวจความเสียหายกระทงของตนเองก็พบว่ากลีบใบตองที่ถูกจับไว้สวยงามเบี้ยวไปเล็กน้อยแต่ก็พอซ่อมแซมได้ไม่น่าเกลียดอะไร รัตติกาลหันไปเพื่อจะขอโทษนักท่องเที่ยวคนนั้นอีกครั้ง แต่ก็ต้องอ้าปากค้างเมื่อพบว่ากระทงของอีกฝ่ายกลับลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้นแทน
“กะ กระทง...ขอโทษนะครับ ผมผิดเอง ขอโทษจริงๆ”
ร่างโปร่งขอโทษอีกฝ่ายไม่หยุดพร้อมกับโค้งให้เพื่อแสดงความสำนึกผิด แต่คู่กรณีกลับหัวเราะออกมาพร้อมกับโบกไม้โบกมือบอกรัตติกาลว่าไม่เป็นไร ร่างโปร่งเงยหน้าขึ้นมองชายตรงหน้า รูปร่างสมส่วนสูงกว่าเขาเล็กน้อยยืนอยู่ใกล้เสียจนรัตติกาลเผลอผงะ ดวงตาเรียวเล็กแบบคนจีนบวกกับผิวขาวเกลี้ยงเกลาทำให้เขาอดยอมรับไม่ได้ว่าคนคนนี้เข้าข่ายหน้าตาดีชนิดหาตัวจับยาก
“ผมต้องขอโทษจริงๆนะครับ เดี๋ยวผมจะชดใช้ให้”
“ไม่เป็นไรครับ ผมเองก็เดินไม่ดูทางเหมือนกัน เอาแต่มองหาของกินเลยบังเอิญชนกับคุณเขา”
ชายคนนั้นยิ้มกว้างให้ก่อนจะก้มลงเก็บซากกระทงที่เละแทะไม่เหลือเค้าเดิมให้เห็น รัตติกาลเองพอเห็นดังนั้นก็วางกระทงของตนลงบนม้านั่งใกล้ๆแล้วรีบลงไปช่วยอีกฝ่ายเก็บกวาดด้วยอีกแรง แม้ว่าจะนำกลับมาใช้ไม่ได้อีกแต่ก็ยังดีกว่าให้สิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยมีค่าถูกเหยียบย้ำลงไปให้ช้ำกว่าเดิม
“อ่า เสียดายจังเลย”
ดวงตาเรียวเล็กนั้นมองกองดอกไม้อย่างเสียดายจนรัตติกาลยิ่งรู้สึกผิดมากกว่าเดิม แต่ในตอนนั้นเอง ชายคนนั้นก็เริ่มหยิบเอาเอกกุหลาบและดาวเรืองที่ยังพอใช้ได้มามัดรวมเป็นช่อไว้ด้วยใบจากที่แอบเด็ดเอาจากซุ้มประดับที่รัตติกาลเพิ่งช่วยชาวบ้านทำไปเมื่อบ่าย มือที่ใหญ่โตกลับจับสิ่งบอบบางพวกนั้นได้อย่างอ่อนโยนเหมือนเวทย์มนต์ที่เนรมิตบุพผาโรยราเหล่านั้นให้กลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง
“สวยจัง”
รัตติกาลเผลอครวญออกมาด้วยความพอใจเมื่อสุดท้ายช่อดอกไม้สดเล็กๆช่อหนึ่งกำลังเบ่งบานอีกครั้งอยู่ในมือของชายคนนั้น ริมฝีปากหยักได้รูปยกยิ้มอ่อนโยนให้รัตติกาลก่อนที่ชายแปลกหน้าจะวางมันลงบนมือของรัตติกาลแทน
“ผมให้ครับ”
“เอ่อ ไม่ดีมั้งครับ”
ร่างโปร่งปฏิเสธเพราะความเกรงใจ แต่อีกฝ่ายกลับยืนยันด้วยการใช้สองมือประคองมือของรัตติกาลไว้พร้อมกับช่อดอกไม้ที่อยู่ระหว่างทั้งสองคน
“รับไปเถอะครับ แต่ผมขอแลกกับ...”
ชายคนนั้นยิ้มกว้างกว่าเดิมก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนร่างโปร่งสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่เป่ารดให้รู้สึก แต่ก่อนที่รัตติกาลจะได้ผลักเขาออกไป อีกฝ่ายก็ชี้ไปยังกระทงที่ยายพิศทำให้ไว้แล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูตื่นเต้นเหมือนเด็กๆ
“ขอแลกกับกระทงของคุณ ได้ไหมครับ!”
“กระทงผม?”
ใบหน้าหล่อเหล่าพยักขึ้นลงอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย ผิดกับรัตติกาลที่ไม่กล้าตัดสินใจทั้งที่เขาควรจะตอบรับคำขอของอีกฝ่าย ไม่ใช่ว่าเขาจะหาซื้อกระทงใบใหม่ไม่ได้ แต่น้ำใจที่ยายพิศทำมันให้กับเขาและอารัณย์ทำให้รัตติกาลไม่กล้าตบปากรับคำที่จะมองมันให้กับใครง่ายๆ
“คือ ให้ผมซื้อใบใหม่ให้ดีกว่า ตอนที่ชนใบนั้นก็เสียไปนิดหน่อยเหมือนกัน”
“ไม่เป็นไรครับผมไม่ถือ เอาใบนี้แหละ”
“แต่...”
“ยกให้ผมเถอะครับ พอดีผมค่อนข้างเชื่อเรื่องโชคชะตามากพอตัวเลยทีเดียว”
“โชคชะตา?”
รัตติกาลขมวดคิ้วแต่กลับโดนอีกฝ่ายใช้นิ้วคลายปมที่อยู่บนหน้าผากออกไปโดยที่เขาเองก็ไม่ทันตั้งตัว
“ครับ โชคชะตา...การที่เราสองคนเดินชนกัน มันต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ๆ”
พอได้ฟังดังนั้นความชื่นชมในตัวอีกฝ่ายก็แทบจะหายไปหมด รัตติกาลเปลี่ยนสีหน้าเป็นเรียบเฉยแล้วลุกขึ้นยืนโดยไม่สนว่าอีกฝ่ายจะหาว่าเขาไม่มีมารยาท
“ขอโทษนะครับ แต่ผมคงให้กระทงใบนี้กับคุณไม่ได้ ยังไงผมจะหากระทงใบใหม่ให้คุณแล้วกัน”
“แต่คุณเป็นคนเดินชนผม ผมมีสิทธิเรียกร้องไม่ใช่หรอครับ”
ร่างโปร่งเริ่มมองอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจเมื่อโดนเล่นลิ้นใส่จากคนที่ยังคงยิ้มให้อย่างมีไมตรี รัตติกาลถอนหายใจ ใจหนึ่งเขาก็อยากให้กระทงไปเพื่อจะให้เรื่องจบแต่อีกใจก็ไม่อยากทำอย่างนั้นเพราะนั่นคือสิ่งที่ชายคนนี้หวังไว้ แล้วในตอนนั้นเอง มือที่รัตติกาลเคยคิดว่ามันช่างเต็มไปด้วยพรสวรรค์ก็จับเข้าที่ข้อมือของร่างโปร่งจนทำให้เขาเผลอปล่อยช่อดอกไม้นั่นลงกับพื้น
“ทำอะไรน่ะ!!”
รัตติกาลรู้ว่านั่นไม่ใช่เสียงของเขา ทันทีที่เสียงตะคอกนั้นดังขึ้นร่างของรัตติกาลก็ถูกดังเข้าไปปะทะเข้ากับแผ่นอกของอารัณย์ที่ชุ่มเหงื่อเสียจนเขาอดสงสัยไม่ได้ว่าร่างสูงไปทำอะไรมา ถึงแม้แต่อยากจะถาม ถึงแม้อยากจะขอโทษแต่จากสีหน้าของอารัณย์ตอนนี้ทำให้รัตติกาลเองก็ไม่กล้าปริปากอะไรออกไปเหมือนกัน
“กาลเป็นอะไรรึเปล่า!”
“ปะ เปล่า ไม่เป็นอะไร”
“แน่ใจนะ”
อารัณย์ถามย้ำเพราะไม่อยากจะปักใจเชื่อ ทันทีที่พิธีเริ่มเขาก็รีบเดินออกมาเพื่อมองหาน้ำดื่มมาใช้คลายอารมณ์ที่คุหน่อยของตนให้เย็นลงไปบ้าง เขารู้ดีว่ารัตติกาลแค่ปากไว ไม่ได้ตั้งใจจะหมายความว่าตนเป็นส่วนเกินอย่างที่ว่าแต่มันก็อดน้อยใจนิดๆไม่ได้เลยนั่งเช่อยู่คอสะพานไม่ยอมตามหาอีกฝ่าย จนกระทั่งเวลาผ่านไปพอสมควรอารัณย์ก็ยังคงไม่เห็นว่ารัตติกาลจะเดินมาทางนี้ ทั้งที่หากจะกลับไปที่บ้านพักพวกเขาจะต้องเดินผ่านสะพานนี่เท่านั้น
อารัณย์ยอมทิ้งทิฐิที่เคยมีทิ้งแล้วหารัตติกาลจนเหงื่อชุ่ม เขาถามชาวบ้านทุกคนที่รู้จักว่ามีใครเห็นรัตติกาลบ้านใหม่ จนกระทั่งเขาเจอเข้ากับป้าคนหนึ่งที่เคยคุยกันตอนไปป่าชายเลนชี้บอกเขาว่ารัตติกาลได้เดินไปแถวท่าน้ำที่เปิดให้นักท่องเที่ยวใช้ลอยกระทงเป็นจุดๆไป ร่างสูงไปตามทางเรื่อยๆก่อนจะสะดุดเข้ากับภาพที่ชายแปลกหน้าคนหนึ่งกำลังลวนลามรัตติกาลจนเขาต้องรีบพุ่งเข้าไปหาโดยไม่คิด
“มึงเป็นใครวะ!”
“ใจเย็นๆสิครับ ผมเป็นนักท่องเที่ยวที่บังเอิญผ่านมาเท่านั้นเอง”
“แล้วมาจับมือกาลทำไม หาเรื่องหรอวะ!”
“ฮ่าๆ คุณนี่ดุดีจังเลยนะครับ ตลกด้วย”
“กูเพื่อนเล่นมึงหรอห๊ะ!”
“รัณย์ อย่า!”
รัตติกาลรีบดึงอารัณย์ที่ทำท่าจะปรี่ไปหาเรื่องชายแปลกหน้าคนนั้นที่ยังคงยืนยิ้มไม่รู้ร้อนรู้หนาว หนำซ้ำยังหัวเราะออกมาอีกยิ่งยั่วให้อารัณย์อารมณ์ขึ้นไปกันใหญ่
“ฮ่าๆ ผมเองก็จะไม่ได้นะว่าเคยมีเพื่อนแบบคุณ”
“หยุดพูดยั่วให้มันโมโหสักทีสิวะ! รัณย์ใจเย็นๆ ผมไปเดินชนกระทงเขาพังเองไม่ได้มีเรื่องอะไรกันทั้งนั้น ชดใช้ให้เสร็จก็จะไปแล้ว”
ร่างโปร่งหันไปเหวใส่ชายคนนั้นด้วยสีหน้าโกรธขึงจนอารัณย์แอบตกใจ ก่อนจะยอมพยักหน้ายอมรับแต่โดนดีเพราะเห็นแล้วว่ารัตติกาลไม่ได้มีทีท่าว่าจะเล่นด้วยเลยแม้แต่น้อย
“ถ้าจะชดใช้ผมขอยืนยันว่าต้องเป็นกระทงอันนั้นนะครับ”
ชายหนุ่มคนนั้นยังคงยืนยันเจตนารมณ์ของตัวเองแล้วชี้ไปยังกระทงใบตองที่วางนิ่งอยู่บนม้านั่ง อารัณย์มองมันอย่างไม่เข้าใจ ไม่ใช่ว่ากระทงของยายพิศจะสวยมากมายขนาดว่าหาไม่ได้อีกแล้ว มันติดออกจะธรรมดาด้วยซ้ำ ดอกไม้ประดับก็ไม่ได้มากมายอะไร ยายแก่เลือกใช้ใบไม้สีแปลกที่หาได้ในสวยหลังบ้านมาม้วนเป็นดอกแล้วประดับไว้แทน หรืออาจจะเป็นไปได้ว่าชายตาตี่คนนี้จะชอบมันเพราะแบบนั้น
“ถ้าอยากได้เอาอันนี้ไปแทน มันเหมือนกัน!”
อารัณย์ยัดกระทงในมือของตนใส่มือของอีกฝ่ายแทนโดยไม่ฟังคำโต้แย้งใดๆ เขาสาวเท้าเข้าไปหยิบกระทงของรัตติกาลมาแล้วคว้ามือของร่างโปร่งมาจับไว้แน่นก่อนจะพาเดินไปด้วยกันโดยไม่คิดจะบอกลาชายแปลกหน้าคนนั้นเลยแม้แต่น้อย
รัตติกาลก้าวเท้าให้ไวขึ้นเพื่อตามจังหวะการเดินของอารัณย์ให้ทัน แต่ก่อนที่เขาจะเดินพ้นไปจากตรงนั้น ร่างโปร่งก็หันกลับไปมองทางม้านั่งอีกครั้ง และสิ่งที่เขาเห็นก็คือชายคนนั้นถือกระทงของอารัณย์ไว้แล้วยิ้มอย่างพึงใจก่อนจะโบกมือให้รัตติกาลเพื่อบอกลา
“รัณย์ จะเดินไปไหน”
“ไปให้พ้นหน้ามัน แม่ง กวนประสาทพอๆกับไอ้ชาติเลย!”
“นี่ก็พ้นแล้ว ไม่เห็นเขาแล้ว”
อารัณย์หยุดเดินทันทีแล้วหันกลับไปมองด้านหลัง ใบหน้าที่บึ้งตึงเปลี่ยนเป็นพอใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกลับไปเป็นแบบเดิมอีกครั้งเมื่อร่างสูงเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้
“กาลมองตามมันหรอ”
“...เฮ้อ”
รัตติกาลนิ่งอึ้งไปพักหนึ่งก่อนจะถอนหายใจออกมา เขาคว้ามือของอารัณย์มาจับไว้แทนแล้วจูงอีกฝ่ายให้เดินตามกันจนไปถึงมุมหนึ่งของสะพานที่ไร้ผู้คน
“พองานเริ่มเดินหายไปไหนมา”
“...หาอะไรกิน”
“หิว?”
“...โกรธมากกว่า”
“...”
“ขอโทษ”
ร่างโปร่งยิ้มให้คนตัวโตที่เอ่ยคำขอโทษด้วยน้ำเสียงสลดจนเขาอดที่จะเอ็นดูไม่ได้ รัตติกาลดึงมือให้อารัณย์นั่งลงเคียงคู่กันบนท่าน้ำเล็กๆที่พอจะให้หย่อนขาลงไปได้โดยอารัณย์วางกระทงที่เบี้ยวไปเล็กน้อยของรัตติกาลลงตรงกลางระหว่างเขาทั้งสอง
“ขอโทษทำไม ไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย”
“ผิดดิ...ผิดที่ทิ้งกาลมา”
“...”
“ต่อให้โกรธกาลแค่ไหน ผมก็ไม่ควรทิ้งกาลไว้คนเดียว”
อารัณย์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังจนคนฟังใจสั่น รัตติกาลกลั้นรอยยิ้มที่แทบจะระเบิดออกมาไม่ได้จนกลายเป็นร่างสูงที่อึ้งไปเมื่อเห็นรอยยิ้มกว้างของรัตติกาลเป็นครั้งแรก
“กาล...ยิ้ม”
“อืม ก็ยิ้มไง ทำไมหรอ”
“สวย...”
ร่างสูงชมออกไปตรงๆด้วยใบหน้าที่แดกเถือก เขาไม่ได้คิดจะชมว่ารัตติกาลเหมือนผู้หญิง หากแต่เป็นรอยยิ้มนั้นต่างหากที่มันสวยเสียจนตาพร่า
“เป็นผู้ชายต้องชมว่าหล่อสิ หึ ขอมือหน่อย”
รัตติกาลพูดขอก่อนจะยื่นมือออกไปแล้วอารัณย์ก็วางมือของตนตามมาทันที
“ทำอะไรน่ะกาล”
“ตัดเล็บ”
กรรไกรอันเล็กถูกหยิบออกมาจากกระเป๋ากางเกงของร่างโปร่ง รัตติกาลค่อยๆใช้มันเล็มไปตามขอบเล็บที่ยาวเลยมาจนครบทั้งสิบนิ้วแล้วใส่มันลงในกระทงโดยมีอารัณย์จ้องมองอยู่ทุกอิริยาบถ
“ผมตัดให้”
“...อย่าให้ลึกเกินไปล่ะ”
รัตติกาลยอมยื่นมือไปให้อารัณย์ทำแบบเดียวกัน เขาสัมผัสได้ถึงความทะนุถนอมที่อีกฝ่ายปฏิบัติกับเขาเสียจนนึกสงสัยว่าอารัณย์มองว่าเขาอ่อนแอหรืออย่างไร รัตติกาลไม่ได้ตุ้งติ้ง ติดจะห่ามๆด้วยซ้ำในบางทีโดยเฉพาะเวลาอยู่กับเพื่อนฝูง เขาจึงไม่เข้าใจว่าทำไมผู้ชายที่ไม่เคยหลงใหลเพศเดียวกันอย่างอารัณย์ถึงหันมาสนใจเขาได้
“จะไม่เปลี่ยนใจจริงๆใช่ไหม”
จู่ๆรัตติกาลก็ถามขึ้นท่ามกลางเสียงเพลงครื้นเครงที่ลอยมาจากไกลๆ อารัณย์เงยหน้าขึ้นจากการจดจ่ออยู่กับเรียวนิ้วของร่างโปร่ง เขาสบตาอีกฝ่ายที่มองมาอยู่ก่อนแล้วด้วยความจริงใจเหมือนเช่นทุกครั้ง
“ไม่เปลี่ยนใจ จะถามอีกกี่รอบก็จะตอบว่าอย่างนั้น”
“...นทีก็เคยบอกผมอย่างนั้น แต่สุดท้ายเขาก็กลับไปหาผู้หญิงคนอื่น”
อารัณย์ชะงักกึกในขณะที่หัวใจของรัตติกาลเต้นรัวด้วยความกลัว แต่ไม่ใช่ความกลัวที่จะเปิดเผยเรื่องราวของนทีให้คนอื่นรู้ หากแต่เป็นความกลัวว่าอารัณย์จะรับไม่ได้หากรู้ว่าส่วนหนึ่งของหัวใจเขายังมีชายอีกคนฝั่งรากลึกอยู่ในนั้น
“ผมเป็นผู้ชายคนแรกและคนสุดท้ายของเขา...แต่กลับไม่ใช่คนสุดท้ายที่เขาเลือกจะใช้ชีวิตด้วย”
“แม่งเหี้ย...”
“จริง...แต่ก็นะ มันคงไม่แปลกอะไร เพราะสุดท้ายต่อให้รักแค่ไหน ผมก็มอบสิ่งที่เขาต้องการให้ไม่ได้”
“...”
“รพี...คือลูกของเขา”
น้ำตาของรัตติกาลหยดลงบนหลังมือของอารัณย์ที่กอบกุมมือของตนเองอยู่ ร่างสูงคว้าใบหน้าเปียกปอนของรัตติกาลให้ซบลงตรงบ่าของตัวเองแล้วปล่อยให้เสียงสะอื้นเบาๆนั้นลอยไปตามลม
“ผมรับมันไม่ไหวเข้าใจไหมอารัณย์ ถ้าคุณเป็นเหมือนเขา...ถ้าผมต้องเจอฝันร้ายแบบนั้นอีก ผมก็ไม่รู้ว่าจะใช้ชีวิตต่อไปยังไง”
“...”
“ถ้าคุณไม่รักผม...ได้โปรด อย่าทำให้ผมฝันอีกเลย”
อารัณย์ผละออกจากรัตติกาลก่อนจะคว้าท้ายทอยของอีกฝ่ายไว้แน่น ทั้งสองคนมองตากันอยู่อย่างนั้น แววตาที่หวาดกลัวของรัตติกาลค่อยๆสงบลงเมื่อสัมผัสได้ถึงความมั่นคงที่อารัณย์สื่อออกมาให้รู้สึก
“กูรักมึง”
ริมฝีปากของทั้งคู่โผเข้าหากันทันทีที่สิ้นคำนั้น ต่างฝ่ายต่างดูดดึงเรียวลิ้นของอีกคนอย่างไม่มีใครยอมใครจนสุดท้ายรัตติกาลก็ผ่อนแรงยอมให้อารัณย์เป็นฝ่ายคุมเกม ฝ่ามือร้อนไล้ไปตามสาบเสื้อแล้วจบลงบริเวณหน้าอกตรงตำแหน่งเดียวกับหัวใจ ร่างสูงมอบจุมพิตไล่มาตั้งแต่ริมฝีปากผ่านปลายคางและลำคอก่อนจะจบลงที่ตำแหน่งนั้น รัตติกาลสะดุ้งน้อยๆเมื่อรู้สึกได้ถึงฟันคมที่ขบเบาๆบนยอดอกผ่านเนื้อผ้า ร่างสูงจะจูบย้ำอยู่อย่างนั้นจนพอใจก่อนจะผละออกมาแล้วหอมแก้มที่ขึ้นสีของรัตติกาลเบาๆ
“ผมคืออารัณย์...ไม่ใช่นที เพราะฉะนั้นผมจะไม่มีวันทำอย่างเขา”
“...”
“ทิ้งไอ้เหี้ยนั่นไปซะ แล้วมาเป็นของผมนะกาล”
อารัณย์จูบรัตติกาลหนักๆอีกครั้งก่อนจะกอดเอาไว้แน่น ร่างโปร่งพูดไม่ออก ไม่สิ ไม่รู้จะพูดอะไรออกไปด้วยซ้ำในสถานการณ์แบบนี้ แต่สุดท้ายอารัณย์ก็ไม่คาดคั้นให้รัตติกาลตอบรับ ทั้งคู่ยกกระทงใบตองที่จดไฟเรียบร้อยขึ้นมาอธิษฐานในใจโดยที่ไม่มีใครล่วงรู้ได้ว่าอีกฝ่ายจะคิดเหมือนตัวเองรึเปล่า
ทั้งคู่ค่อยๆหย่อนกระทงลงไปในคลองที่น้ำขึ้นสูงมากกว่าทุกวัน ร่างสูงออกแรงวักน้ำจนมันค่อยๆลอยออกไปไกล ส่องสว่างแต่เพียงลำพังบนลำน้ำที่มืดสนิท
“ผมไม่เสียใจนะ ที่รักกาล และจะไม่มีวันเสียใจด้วย”
“...”
“เพราะผมมีความสุขมากจริงๆที่มีกาลอยู่ด้วย...แล้วกาลล่ะมีความสุขไหม”
อารัณย์ยิ้มออกมาแล้วลุกขึ้นก่อนจะยื่นมือไปหารัตติกาลที่มองฝ่ามือนั้นด้วยความรู้สึกตื้นตันและดีใจที่ตัวเองมีโอกาสได้รับความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่จากชายคนหนึ่งที่ถึงแม้จะธรรมดาแต่ก็พิเศษกว่าใคร
“ผม...มีความสุขมาก”
รัตติกาลยิ้มกว้างออกมา เป็นรอยยิ้มเดียวกันกับที่อารัณย์ชอบ ร่างโปร่งจับมือของอารัณย์ไว้แล้วพยุงตัวเองขึ้นยืนเคียงข้างกับคนที่เขาคิดว่าสักวันตัวเองคงจะสามารถมอบคำพูดเดียวกันนั้นกลับไปให้ได้
“กลับบ้านเรากันนะ”
ร่างสูงว่าดังนั้นก่อนจะเดินนำไปทิ้งไว้เพียงรัตติกาลที่มองแผ่นหลังกว้างนั้นด้วยความรู้สึกที่พองโตอยู่ในอก เขาวางมือลงบนสัมผัสที่อารัณย์ทิ้งไว้แล้วนึกถึงจังหวะที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วในยามนั้น รัตติกาลนึกถึงคำอธิษฐานของตัวเองต่อพระแม่คงคาแล้วบอกกับตัวเองว่าไม่มีอะไรต้องลังเลอีกแล้ว
‘ผมขอให้รพี อารัณย์ และตัวผมมีความสุข’ รัตติกาลเงยหน้าขึ้นมองดวงจันทร์ก่อนจะก้าวเดินออกไปอีกครั้ง แต่ในเสี้ยววินาทีนั้นเขาก็รู้สึกถึงได้สัมผัสเย็นเฉียบแล่นริ้วขึ้นมาจากข้อเท้า
“กาล...กาล...”
รัตติกาลเบิกตาโพลง ใบหน้าที่มีรอยยิ้มเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนกทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกมาจากพื้นน้ำเบื้องล่างพร้อมกับแรงบีบที่ข้อเท้าซึ่งแรงขึ้นทุกๆที ร่างโปร่งพยายามไม่คิดว่ามันคือสิ่งนั้น เขากลั้นใจหันหลังกับไปมองความมืดมิดที่ทอเป็นสายนั้นและมือขาวซีดของใครบางคนที่จับข้อเท้าของเขาไว้อยู่
“กาลอย่าทิ้งพี่...อย่าทิ้งพี่...”
“พี่ที...”
ตู้ม!!!
แล้วเขาก็ไม่รับรู้อะไรอีกเลย...
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!
ชื่อตอนออกสื่อคือ Happiness แต่ชื่อตอนจริงๆคือ นมอวดผีใช่ไหมมมมมมม
รัณย์แอบกัดนมพี่กาล >//////////< แล้วผีพี่ทีโผล่มาจากไหน TTT^TTT
นี่คือผลข้างเคียงของการฟังเดอะช็อคไปเขียนนิยายไปคับ...
ไปช่วงศูนย์บรรเทาทุกข์ผี เอ้ย ผัวกันไหมรัณย์ ตอนนี้ก็ยังไม่ได้ฟาดกาลสักที 5555555555555
ปูลู ขอบคุณทุกเม้นต์ทุกโหวตนะคับ พี่กาลแอบฝากมาตอบเม้นต์ด้วย ที่มีคนบอกว่าตอนที่แล้วพี่กาลสาวแตก
พี่กาล : มันก็แตกมานานแล้วไม่ใช่หรอ -_-
รักพี่กาลจังเลยยยยยย สุดท้ายโปรดฟังคำประกาศจาก ววช.
ตอนหน้ากรุณาเตรียมหมอนมาอย่างต่ำสองใบ โปรดฟังอีกครั้ง...
ตอนหน้ากรุณาเตรียมถึงยางอนามัยมาอย่างต่ำสองกล่อง อ๊ะ ไม่ช่ายยยยยยย =w= ฮี่ๆๆๆๆ
เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน~~~ สองสามวันเท่านั้นเองงงงงงง <3 <3 <3