Nightmare อยากให้คืนนี้ไม่ต้องฝันร้าย (END) #ตอนพิเศษ...คืนของรัณย์กาล...
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Nightmare อยากให้คืนนี้ไม่ต้องฝันร้าย (END) #ตอนพิเศษ...คืนของรัณย์กาล...  (อ่าน 139940 ครั้ง)

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7524
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
โอ่โอ้ววววว!! รักหวานที่ริมคลอง

ออฟไลน์ imymild

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
ว๊ายยยยยยยย รุกๆๆๆ  :hao6:

ออฟไลน์ kanomjeeb

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 101
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
กาลน่ารักอะ ร้องไห้ด้วย :ling1: ควมมมุ้งมิ้งที่รอมานาน

ออฟไลน์ kanomjeeb

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 101
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :ruready เข้ามาช่วยดันค่ะ รอๆ

ออฟไลน์ kungka

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 6
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
มารอค่ะ ค้างมากกกกกก

ออฟไลน์ Kaewkaew

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 525
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1

29th Night

…Thank you...


 

“ได้โปรด...ไปจากชีวิตผมสักที”

 

ในหัวของเขามีเพียงคำพูดเหล่านี้วนเวียนอยู่พร้อมกับความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย อารัณย์เอนกายที่เริ่มปวดหนึบลงบนโซฟาตัวย่อมภายในห้องพักของตัวเองที่ปล่อยให้ว่างเปล่ามานาน โซฟาขนาดกลางที่เขาเคยคิดว่านุ่มพอดีกลับไม่สบายเท่าตัวที่อยู่ในห้องทำงานของรัตติกาลซึ่งเขาใช้มันอาศัยหลับนอนตลอดช่วงเวลาที่ได้อาศัยอยู่กับเจ้าของมัน ที่เขาเองก็ไม่เคยคิดว่าจะเป็นไปได้

 

ชายหนุ่มคิดถึงช่วงเวลาที่เขามักจะลอบมองอีกคนที่ก้มหน้าก้มตาทำงานจากโซฟาตัวนั้น คิดถึงใบหน้าที่แสนพอใจกับรสชาติราวกับเด็กๆเวลาได้กินของอร่อย คิดถึงแผ่นหลังกว้างที่คุดคู้ลงราวกับว่ากำลังแบกรับโลกเอาไว้ทั้งใบแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงเดินต่อไปทั้งที่เกินจะรับไว้

 

อารัณย์นึกขันที่เขาสามารถจดจำรายละเอียดตลอดช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันได้ถึงแม้มันจะแสนสั้น แต่ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตัวเองนั้นกลับเด่นชัดจนอารัณย์เองยังนึกแปลกใจ ความใกล้ชิดที่เกิดขึ้นค่อยๆทักทอกลายเป็นความเคยชินที่เพิ่มพูนในทุกๆวัน การที่ได้ดูแลรัตติกาลตั้งแต่เช้าจรดค่ำทำให้เขาได้เห็นร่างโปร่งในมุมมองที่ต่างออกไป เป็นความรู้สึกตื่นเต้นราวกับเด็กๆยามได้เห็นของเล่นที่หลบซ่อนอยู่ในหีบของเล่นใบใหญ่ มันช่างน่าตื่นเต้นและน่าค้นหาเสียจนกว่าจะรู้ตัวเขาก็ละสายตาจากร่างโปร่งไปไม่ได้

 

“ทำหน้าประหลาด”

 

เสียงของแขกผู้มาเยือนทำให้เขาได้สติ อารัณย์หันกลับไปเห็นนิลที่ยืนมองเขาด้วยสีหน้าเรียบนิ่งไม่แพ้ผู้เป็นเพื่อนรักซึ่งอยู่เคียงข้างกับนายตำรวจหนุ่มที่ยังคงมีรอยยิ้มไม่น่าไว้ใจนั้นประดับใบหน้าอยู่เช่นเดิม

 

แขกทั้งสองถือวิสาสะนั่งลงบนโซฟาอีกด้านโดยไม่คิดจะขออนุญาตใดๆ ทันทีที่หย่อนกายเสร็จ ฤทธิชาติก็จัดแจงกางเอกสารและรูปถ่ายจากกล้องวงจรปิดบางส่วนลงบนโต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็กที่เจ้าตัวลากมาวางไว้ตรงหน้าพวกเขาทั้งสามคน

 

“เพิ่งรู้นะเนี่ยว่ามึงอยู่หอเดียวกับเด็กไอ้กาล”

 

นิลพูดทักขึ้นขณะที่คนข้างๆกำลังสำรวจเอกสารต่างๆอย่างตั้งใจ อารัณย์เงยหน้าขึ้นมองคนพูดพลางขมวดคิ้ว ใบหน้าขาวใสของเด็กคนนั้นผุดขึ้นมาทันทีทั้งที่เขาไม่อยากจดจำเท่าไหร่ แต่เพราะอีกฝ่ายอาศัยอยู่ห้องตรงข้ามทำให้หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากันไม่ได้

 

“เด็ก? แฟนคุณกาลหรอนิล”

 

ฤทธิชาติเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเหมือนต้องการกระทบกระแทกมากกว่าสงสัย ดวงตาเจ้าเล่ห์นั้นเหลือบมองไฟยังพี่เลี้ยงหนุ่มที่กำลังให้ความสนใจกับรูปภาพมากมายบนโต๊ะด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ

 

“อย่าแกล้งโง่ถามในสิ่งที่รู้อยู่แล้ว”

 

“อ้าว ก็ผมไม่รู้จริงๆ”

 

นิลส่ายหน้าอย่างระอาให้คนที่แกล้งพูดจาหวังกระทบอารัณย์แล้วหันไปมองชายหนุ่มที่ทำท่าหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม ยอมรับว่าเขาเองก็แปลกใจกับการเปลี่ยนแปลงของรัตติกาลที่เกิดขึ้นตั้งแต่มีอารัณย์เข้ามาในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการยอมให้คนที่เกลียดมาวนเวียนอยู่ใกล้ๆ หรือความห่วงใยที่แสดงออกมาในทุกๆการกระทำให้นิลคิดถึงรัตติกาลคนเก่าที่ยังคงซื่อสัตย์กับตัวเอง...อย่างน้อยก็มากกว่าตอนนี้

 

“ไม่ตามไปจะดีหรอ”

 

นักเขียนหนุ่มถามขึ้นตามที่ใจคิด อารัณย์ละสายตาจากรูปบนโต๊ะขึ้นมามองนิลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันหน้าออกไปมองผ้าม่านที่พลิ้วไหวอยู่ไกลๆราวกับว่าไม่อยากให้ใครเห็นสิ่งที่สะท้อนอยู่ในดวงตาคู่นั้น

 

“ตามไปกูก็ช่วยอะไรไม่ได้”

 

“มึงน้อยใจ?”

 

“...เปล่า”

 

อารัณย์ไม่อยากเรียกความรู้สึกที่เกิดขึ้นว่าความน้อยใจ เขารับรู้ถึงความห่วงใยที่รัตติกาลมีต่อเขาดีไม่ใช่แค่เพราะคำพูดของร่างโปร่งที่เขาได้ยินก่อนหมดสติไป แต่เพราะการกระทำ สายตาและทุกๆอย่างรวมไปถึงการพยายามตัดเขาออกจากเรื่องวุ่นวายทั้งหมดนั้นชัดเจนอยู่แล้วว่ารัตติกาลไม่ต้องการให้เขาต้องมาเดือดเนื้อร้อนใจกับเรื่องที่เขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง

 

แม้จะเจ็บแผลแต่อารัณย์ก็ยังคงใช้มือข้างที่ถูกยิงกำมันเสียจนแน่น ในวินาทีที่รัตติกาลไล่เขาออกไปจากชีวิต อารัณย์ไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยปากขอให้อีกฝ่ายทบทวนดูใหม่ อยากจะบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วง อยากจะถามว่าคิดจะแบกรับเรื่องทั้งหมดไว้จนถึงเมื่อไหร่ แต่เมื่อได้สบตาที่เต็มไปด้วยความไม่มั่นใจในตัวเขาคู่นั้น อารัณย์ก็รู้สึกตัวว่าสำหรับรัตติกาลแล้ว...เขามันช่างไร้พลัง

 

 “หึ กูจะพยายามเชื่อก็แล้วกัน”

 

อารัณย์ถอนหายใจเมื่อนิลพูดออกมาแบบนั้น เขาพยายามให้ความสนใจกับรูปถ่ายมากมายตรงหน้า ภาพจากกล้องวงจรปิดของร้านสะดวกซื้อตรงหน้าปากซอยและของบ้านเรือนแถวนั้นถูกวางอยู่เรียงราย รูปที่รัตติกาลกำลังซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์ที่มีเขาเป็นคนขับถูกมาร์คเวลาไว้ในขณะที่อีกรูปหนึ่งได้มาจากกล้องวงจรปิดจากร้านริมถนนอีกฝั่งที่ถ่ายขณะที่เขาทั้งคู่กำลังหนีตายจากคนร้าย

 

“หลังจากที่ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่าได้ยินเสียงปืนทางตำรวจก็ออกตั้งด่านรอบหมู่บ้านแต่ก็ไม่พบผู้ต้องสงสัย เหมือนกับภาพที่ถูกบันทึกทางกล้องวงจรปิดเราก็ยังไม่เจอทั้งรถและคนที่มีรูปพรรณสัณฐานเหมือนกับที่คุณว่าไป กล้องตัวสุดท้ายที่จับภาพคนร้ายได้อยู่ห่างจากบ้านของกาลไปประมานห้าร้อยเมตร แต่หลังจากนั้นไปก็ไม่มีกล้องตัวไหนบันทึกภาพคนร้ายไว้ได้อีกเลย”

 

ทั้งอารัณย์และนิลมีสีหน้าเครียดขึ้นอีกเมื่อได้ฟังดังนั้น ความหวังว่าจะตามตัวคนร้ายให้ได้ไวที่สุดขนาดว่าฤทธิชาติลงทุนทำหนังสือขอความร่วมมือกับชาวบ้านเรื่องกล้องวงจรปิด เพื่อใช้เป็นเบาะแสในการสืบสวนแต่กลายเป็นว่ามันก็ยังใช้ไม่ได้อยู่ดี นักเขียนหนุ่มพยายามข่มความหงุดหงิดในใจให้ทุเลาลงก่อนจะถามฤทธิชาติถึงทางเลือกอื่นที่พวกเขาจะสามารถเข้าถึงตัวคนร้ายได้

 

“แล้วตอนที่คนร้ายขับรถเข้ามาล่ะ อย่างน้อยก็น่าจะจับภาพไว้ได้นิ”

 

“เราตรวจกล้องวงจรปิดย้อนหลังไปสองวันแต่ก็ไม่เห็นผู้ต้องสงสัยเหมือนกัน ผมให้ยามของหมู่บ้านเข้ามาให้ปากคำด้วยเขาก็ยืนยันว่าทุกคนที่เข้าออกที่นั่นล้วนแต่เป็นคนที่เขาเคยเห็นหน้าทั้งนั้น แล้วที่สำคัญรถทุกคันจะต้องผ่านการตรวจบัตรก่อนถึงจะเข้าไปได้ เขายืนยันมาว่าอย่างนั้น”

 

“งั้นมึงจะบอกว่าไอ้เวรสองคนนั่นมันเป็นผีรึไง ตอนมาก็ไม่มีคนเห็น ขนาดขับรถไล่ยิงคนเสียงดังสนั่นก็ยังหายตัวไปดื้อๆขนาดว่าตำรวจทั้งกองยังหาไม่เจอ หึ ความปลอดภัยของคนประเทศนี้อยู่ที่ไหนวะ”

 

นิลพูดประชดขึ้นเมื่อมันเป็นอีกครั้งที่เขาได้รับคำตอบที่ไม่น่าพอใจจากคดีความทั้งหลายที่เกิดขึ้น ตั้งแต่เรื่องวุ่นวายในบริษัทที่แม้ว่าจะได้รับความช่วยเหลือจากตำรวจมือฉมังแต่จนป่านนี้ก็ยังไม่สามารถสาวไปถึงตัวคนร้ายได้ แล้วนี่ถึงขนาดมีคนเอาปืนมาไล่ยิงเพื่อนของเขากลางหมู่บ้าน แต่กลายเป็นว่ามือปืนดันหายตัวไปเฉยๆทั้งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้

 

“ทางตำรวจเองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ส่วนตัวผมก็ไม่อยากให้เกิดอันตรายขึ้นกับคุณกาลเหมือนกัน”

 

ฤทธิชาติไม่ได้พูดประชดแต่กลับเป็นนิลเสียเองที่หน้าเสียไปเมื่อร่างสูงพูดออกมาแบบนั้น ชายหนุ่มถอนหายใจก่อนจะขอโทษออกมาเมื่อรู้ตัวว่าพูดแรงเกินไปทั้งที่เขาเองนั่นแหละเป็นคนที่รู้ดีที่สุดว่าตำรวจกำลังทำงานกันหนักขนาดไหนเพื่อที่จะคลี่คลายเรื่องราวยุ่งเหยิงทั้งหมดนี่

 

“ถ้าอย่างนั้น...คนร้ายอยู่ที่ไหน”

 

อารัณย์จุดประเด็นขึ้นทำให้อีกสองคนกลับมาโฟกัสกับคดีตรงหน้า ร่างสูงไม่อยากด่วนสรุปว่าการลอบยิงครั้งนี้เกี่ยวกับการลักลอบขายข้อมูลของบริษัท แต่เขาก็ไม่เห็นว่ามันสามารถเบี่ยงไปที่ประเด็นอื่นได้อีก อารัณย์คิดถึงเรื่องราวของนทีที่รัตติกาลเล่าให้เขาฟัง เขาเชื่อว่ามันน่าจะมีประโยชน์ในแง่ของการเปิดมุมมองการสืบสวนใหม่ๆแต่อีกใจชายหนุ่มก็ไม่อยากนำเรื่องที่รัตติกาลไว้ใจเล่าให้เขาฟังไปบอกให้คนอื่นรู้ต่อโดยที่เจ้าตัวไม่อนุญาตเช่นกัน

 

“มันอาจจะไม่ได้ ‘หายไป’ อย่างที่เราว่าก็ได้”

 

ผู้หมวดหนุ่มทำลายความเงียบหลังจากครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ เขาประสานมือทั้งสองข้างไว้ตรงใต้คางพลางพินิจไปยังตัวเลขระบุวันที่เวลาบนภาพทุกใบ

 

 “หมายความว่ายังไง?”

 

“ถ้าไม่มีใครเห็นตอนมันออกมา...ก็อาจแปลได้ว่าพวกมันยังอยู่ที่นั่น”

 

“...!!!”

 

ร่างสูงกำลังร่ายเรียงลำดับเหตุการณ์ต่างๆตั้งแต่คำบอกเล่าของยามที่ยืนยันว่าไม่มีคนนอกเข้ามาในหมู่บ้านในช่วงสองวันก่อนเรื่อยไปจนถึงการหายตัวไปอย่างลึกลับทันทีที่เสียงปืนนัดสุดท้ายดังขึ้น

 

อารัณย์ขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างเคร่งเครียด ถ้าเป็นอย่างที่ฤทธิชาติสันนิษฐานก็แสดงว่าคนพวกนั้นคงวางแผนมาเป็นอย่างดีและเป็นไปได้ว่าพวกมันอาจจะมีแหล่งกบดานอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากบ้านพัฒนเดชาของรัตติกาล

 

“คนที่บ้านของรัตติกาลกำลังตกอยู่ในอันตราย”

 

นิลและฤทธิชาติพยักหน้ารับกับคำพูดของอารัณย์ นักเขียนหนุ่มขอตัวลุกไปโทรศัพท์เพื่อกำชับกับคนที่บ้านของรัตติกาลว่าห้ามออกไปไหนจนกว่าจะมีคนเข้าไปดูแล ในขณะที่ฤทธิชาติได้ติดต่อไปยังสถานีตำรวจเพื่อขอกำลังคนไปเฝ้าสังเกตการณ์รอบๆบริเวณบ้านและให้อีกส่วนสืบหาสถานที่หลบซ่อนของคนร้ายที่มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน

 

“ตั้งแต่พรุ่งนี้กูจะไปรับส่งรพีที่โรงเรียน”

 

อารัณย์พูดขึ้นทันทีที่อีกสองคนกลับมานั่งประจำที่ของตนเอง ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนหวังจะเข้าไปเตรียมความพร้อมก่อนการเปิดภาคเรียนใหม่ที่เขาสมควรได้ทำมันตั้งแต่ช่วงหัวค่ำทันทีที่กลับจากส่งรัตติกาลเสร็จแต่ดันเกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน นิลมองการกระทำและสีหน้าของอารัณย์อย่างไม่ชอบใจเล็กๆ

 

“แน่ใจหรอว่าอยากทำแบบนั้น”

 

“...!”

 

“กูว่ามึงรู้ดีอยู่แล้วนะรัณย์ ว่าสิ่งที่มึงอยากทำและที่ที่มึงอยากไปคือที่ไหน”

 

นิลพูดออกมาตรงๆไม่เล่นลิ้นอย่างเคยเมื่อเรื่องราวทำท่าจะรุนแรงกว่าที่เขาคิดมาก ความปลอดภัยของรพีเป็นสิ่งสำคัญ และเพราะว่าเป็นอย่างนั้นเขาจึงไม่อยากฝากชีวิตหลานไว้กับคนที่ไม่พุ่งความสนใจทั้งหมดมาที่รพี

 

อารัณย์นิ่งไปพลางเม้มปากเข้าหากันแน่น ความรู้สึกเป็นห่วงรพีไม่ใช่เรื่องโกหก แต่ภาพที่ปรากฏอยู่ในหัวกลับเป็นใบหน้าตื่นตระหนกของรัตติกาลยามที่เสียงปืนดังไล่เข้ามาใกล้ขึ้นทุกที แรงบีบรัดจากทางด้านหลังเหมือนกับว่าไม่คลายหายไปไหนจนอารัณย์เผลอจับสาบเสื้อของตัวเองที่รัตติกาลกำไว้แน่นขณะที่ซ้อนมอเตอร์ไซด์ของเขาอยู่ รวมไปถึงคำพูดที่อารัณย์ใช้ปลอบโยนรัตติกาลยังคงก้องอยู่ในหัว คำสัญญาที่ว่ามันจะไม่เป็นไร เราทั้งคู่จะต้องปลอดภัย...

 

“แต่กู...ทิ้งรพีไม่ได้”

 

“หลานคนเดียวกูดูแลได้ไม่ต้องห่วง แต่กูอยากถามอะไรสักอย่าง”

 

“...”

 

“มึงมั่นใจในความรู้สึกของตัวเองแค่ไหนอารัณย์”

 

ร่างสูงขมวดคิ้วเมื่อได้ฟังคำถามของนักเขียนหนุ่มที่กำลังมองตาเขาด้วยดวงตาแววโรจน์คู่นั้น นิลไม่ได้โกรธเพียงแค่กำลังเผยตัวตนที่แท้จริงออกมาเพื่อเป็นสัญญาณบอกให้อารัณย์ตอบคำถามนั้นด้วยความจริงใจไม่แพ้กัน

 

“กาลมันไม่ใช่คนที่พร้อมจะลุกขึ้นใหม่ทุกครั้งที่ล้มลง ไม่ว่ามึงจะรัก สงสาร หรือเกลียดมัน กูก็ไม่มีปัญหาอะไรทั้งนั้น แต่กูขอแค่อย่างเดียว ถ้ามึงรู้สึกดีกับมันก็พยุงให้มันลุกขึ้นใหม่แล้วอย่าทำให้มันล้มลงอีก แต่ถ้าไม่...ก็ปล่อยมันไว้แบบนั้น ต่อให้มันร้องไห้คร่ำครวญแค่ไหนก็อย่ายื่นมือเข้ามาช่วย”

 

“...”

 

“อย่าทำอะไรครึ่งๆกลางๆ ถ้ามึงทำไม่ได้...ก็ไปจากชีวิตมันซะ”

 

นิลลุกออกจากห้องไปโดยไม่อยู่ฟังคำตอบแม้ว่าอยากจะรู้แค่ไหน แต่ชายหนุ่มก็ไม่อยากบีบคั้นอารัณย์ให้ตอบคำถามทั้งๆที่สีหน้ายังเต็มไปด้วยความสับสนเหมือนอย่างตอนนี้

 

 “ทำให้นิลพูดเยอะขนาดนี้ได้ เก่งจังเลยนะครับ”

 

ฤทธิชาติหันมายิ้มให้คนที่นิ่งไปราวกับว่าถูกสาป อารัณย์ไม่แม้แต่จะเปรยตามองคนพูด เขาเดินกลับมาที่โซฟาก่อนจะทรุดตัวลงนั่งพลางกุมใบหน้าที่ร้อนผ่าวแล้วคิดถึงคำถามที่นิลทิ้งไว้ให้คิด

 

“พูดมากเกินไปแล้วต่างหาก”

 

“เอาน่า นิลก็แค่เป็นห่วงทุกคน ว่าแต่...เริ่มรู้สึกดีๆกับกาลเข้าแล้วหรอครับ”

 

อารัณย์หันกลับไปมองคนถามด้วยสีหน้าลำบากใจ ฤทธิชาติเห็นดังนั้นก็ไม่อยากจะกดดันเขาจึงถือวิสาสะลุกขึ้นไปชงกาแฟร้อนๆให้กับตัวเองและคนที่ยังสับสนแม้ว่ามันจะไม่เหมาะกับคนป่วยที่ต้องการพักผ่อนก็ตาม

 

“นิลอาจจะขอคุณมากไปสักหน่อย ถ้ายังทำไม่ได้ก็ไม่จำเป็นต้องกดดันตัวเองขนาดนั้นหรอกครับ”

 

“กูก็อยากทำให้ได้...แต่เพราะอะไรหลายๆอย่างกูถึงยังไม่กล้าตัดสินใจ”

 

“อะไรที่ว่านั่นคืออะไรล่ะครับ เรื่องอดีตของกาล...หรือใจของคุณเอง”

 

นายตำรวจหนุ่มว่าดังนั้นก่อนจะยกแก้วของตัวเองขึ้นดื่มด้วยท่าทางสบายใจต่างกับอารัณย์ที่แม้แต่น้ำรสขมของโปรดนี่ก็ไม่สามารถทำสงบจิตใจของตัวเองได้

 

“ทั้งสองอย่าง”

 

“อืม...ครึ่งๆกลางๆสินะ”

 

ฤทธิชาติหัวเราะร่วนแล้วเปิดทีวีดูข่าวในของเช้าวันใหม่ที่โลกภายนอกก็ยังคงวุ่นวายเหมือนเช่นที่เคยเป็น นายตำรวจหนุ่มหยุดฟังข่าวการกวาดล้างผู้ค้าไม้เถื่อนในหลายจังหวัดทางภาคเหนือด้วยความสนใจ ก่อนที่อารัณย์จะพูดขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่มั่นใจจนคนฟังสัมผัสได้

 

“กูเคยเกลียดรัตติกาลเพราะสิ่งที่มันทำกับรพี “

 

“ผมนึกว่าเราคุยกันรู้เรื่องไปแล้วซะอีก”

 

“กูไม่ใช่คนมองโลกในแง่ดีอย่างมึง”

 

“ผมไม่เคยมองโลกในแง่ดี เพราะโลกนี้มันไม่ได้มีแต่ด้านดีๆสักหน่อย”

 

ฤทธิชาติยิ้มเย็นออกมาจนคนข้างๆสัมผัสได้ อารัณย์ยกกาแฟขึ้นดื่ม ปล่อยให้รสขมขืนบาดไปทั่วทั้งลำคอ

 

“การเอาความแค้นมาลงที่เด็ก ยังไงมันก็ไม่ถูกต้อง”

 

“ทุกการกระทำมีเหตุผลที่มา คุณอาจจะไม่ชอบใจมันแต่ก็ไม่มีใครสามารถตัดสินคนอื่นได้หรอกครับว่าสิ่งที่เขาทำมันถูกหรือผิด ทุกคนก็แค่คิดไปเองว่าตัวเราเองมีสิทธิที่จะทำแบบนั้น”

 

อารัณย์พูดไม่ออก เป็นจริงอย่างที่ฤทธิชาติว่านับวันเขายิ่งรู้สึกสงสัยในเหตุผลที่รัตติกาลฝืนทำตัวร้ายกาจกับรพีทั้งที่เจ้าตัวก็ไม่ได้มีความสุขจากการกระทำนั้นเลยแม้แต่น้อย ยิ่งในระยะหลังที่ร่างโปร่งแสดงด้านอ่อนโยนกับรพีออกมามากขึ้นและดูเป็นธรรมชาติจนเขาเกือบลืมไปแล้วว่ารัตติกาลเคยประกาศกร้าวเอาไว้ว่าจะทำร้ายจิตใจของเด็กคนนั้น

 

ในขณะที่อารัณย์กำลังคิดหาเหตุผลให้การกระทำนั้น นายตำรวจหนุ่มก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงขี้เล่นจนคนฟังเปลี่ยนอารมณ์ไม่ทัน

 

“เมื่อกี้คุณพูดว่า ‘เคยเกลียด’ คุณกาล”

 

“...กะ ก็ใช่”

 

“แล้วตอนนี้ล่ะครับรู้สึกยังไง”

 

“ก็ไม่ได้เกลียดอะไรแล้ว...ถ้ากูเกลียดคงไม่ทำให้ขนาดนี้”

 

“งั้นผมขอถามใหม่”

 

“...?”

 

 

 

“คุณ รัก รัตติกาลรึเปล่า”

 

 

 

 อารัณย์แทบจะสำลักกาแฟที่เพิ่งกินไปเมื่อได้ยินคำถามที่ชวนให้หัวใจกระตุกวูบ ชายหนุ่มยกมือขึ้นเช็ดมุมปากที่น้ำรสขมไหลเลอะออกมาโดยมีสายตาของผู้หมวดหนุ่มมองมาอย่างล้อๆจนเขาต้องหลบตาแล้วหันไปมองดินมองฟ้าปิดบังความเขินอายไม่ให้ใครเห็น

 

“ถามเหี้ยอะไรของมึง มันผู้ชายนะเว้ย”

 

“ผู้ชายแล้วยังไงครับ คุณนิลก็เป็นผู้ชายผมยังจีบได้เลย”

 

“ก็นั่นมันมึง!”

 

“เอาน่า จูบก็จูบมาแล้วไม่เห็นว่าจะมีปัญหาอะไรเลย”

 

“ไอ้สัสชาติ! กูไม่ได้เล่าให้มึงเอามาล้อกูที่หลังนะเว้ย”

 

ร่างสูงชกเข้าที่แขนล่ำของเพื่อนที่หัวเราะร่าจนอารัณย์คิดว่าห้องข้างๆคงกำลังด่าพ่อล่อแม่เขาอยู่เป็นแน่ ฤทธิชาติชูมือทั้งสองข้างขึ้นสูงเพื่อขอยอมแพ้แต่กว่าร่างสูงจะยอมหยุดนายตำรวจหนุ่มก็รู้สึกเจ็บแปลบๆที่ต้นแขนพอสมควรเลย

 

“เอาเป็นว่าคุณยกเรื่องเพศมาอ้างกันผมไม่ได้ คร่าวนี้จะตอบผมได้รึยังว่ารู้สึกยังไงกับกาลกันแน่”

 

“กู...กูไม่รู้ว่ะ”

 

อารัณย์เกาท้ายทอยเก้อๆ เขาหันไปมองทีวีที่เปิดทิ้งไว้หวังสงบหัวใจที่กำลังเต้นรัวยามที่ได้ฟังคำว่ารักที่ฤทธิชาตพูดถึง ไม่ใช่ว่าไม่เคยถามตัวเองว่าเขาคิดยังไงกับรัตติกาล เพียงแต่ทุกครั้งที่นึกถึงคำนี้ เขาก็มักจะเลิกคิดถึงมันเพราะลึกๆแล้วอารัณย์เองก็ยังไม่มีความมั่นใจในอะไรหลายๆอย่าง แล้วก็เพราะว่ามันทำให้เขารู้สึกว่ากำลังควบคุมตัวเองไม่ได้เหมือนอย่างเคย

 

“กาลมันไม่ได้เป็นคนอย่างที่กูเคยคิดไว้เลย ร้ายกาจ...แต่บางครั้งกูก็รู้สึกเหมือนว่ามันพยายามจะทำตัวเองให้ดูเป็นอย่างนั้น ทั้งที่ความจริงมันก็เป็นคนธรรมดาติดออกจะมีลูกบ้าหน่อยๆด้วยซ้ำ กูมีความสุขนะที่เห็นมันเป็นแบบนั้น จนบางทีกูก็คิดว่ากูแม่งเหมือนคนบ้า ชอบแกล้งให้มันอารมณ์เสียแล้วค่อยทำให้อะไรให้มันอารมณ์ดีที่หลัง มันเอือมกูจะแย่แต่กูก็ชอบที่จะทำแบบนั้นอยู่ดี”

 

“อืม...บ้าจริงๆด้วย”

 

อารัณย์ตวัดตาขึ้นมองฤทธิชาติอย่างไม่พอใจที่โดนขัด จนอีกคนหัวเราะเบาๆออกมาเพราะเห็นสีแก้มที่แดงระเรื่อของชายหนุ่ม

 

“...กูหงุดหงิดเวลามันพูดถึงคนอื่นต่อหน้ากู แล้วกูก็หงุดหงิดยิ่งกว่าเดิมตอนที่กาลมันทำเหมือนไม่แคร์เลยว่ากูจะรู้สึกยังไง”

 

“...”

 

“น่าขำใช่ไหม ทั้งที่เคยบอกว่าเกลียดมันแต่ตอนนี้กูเป็นห่วงมันแทบบ้า อยากปกป้อง อยากเป็นที่พึ่งให้มันได้บ้างแต่ก็ไม่เคยมีสักครั้งที่มันจะยอมลงให้กูอย่างที่มันลงให้คนอื่น บางทีกูก็คิดว่าถ้าเรากลับไปเกลียดกันอย่างเก่ามันคงดีกว่า ต่อให้เขาไล่ ต่อให้บอกว่ากูเป็นคนนอก...กูคงไม่รู้สึกเสียใจอย่างนี้”

 

“ เราต่างก็เป็นคนนอกสำหรับคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเองกันทั้งนั้นแหละครับ แต่แล้วยังไงล่ะ สุดท้ายมันก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะหยุดอยู่ตรงเส้นที่กาลเขาขีดขั้นไว้ หรือจะก้าวข้ามไปหาเขาด้วยตัวเอง”

 

ฤทธิชาติยกยิ้มจริงใจให้พลางตบลงบนบ่าข้างที่โดนยิงของอารัณย์จนเจ้าตัวสะดุ้งโหย่ง ชายหนุ่มหัวเราะกับอาการนั้นก่อนจะลุกขึ้นยืนพร้อมกับหยิบเอาแก้วกาแฟทั้งสองใบที่ว่างเปล่ามาถือไว้แล้วพูดกับอารัณย์ในขณะที่ล้างมันไปด้วย

 

“ถ้าสิ่งที่ทำให้คุณลังเลคืออดีตของกาลและใจของคุณเอง ทำไมไม่ลองเลือกแค่อย่างเดียวแล้วคิดทบทวนดูใหม่อีกครั้งล่ะครับ”

 

“เลือก...มึงจะให้กูเลือกระหว่างรพีกับรัตติกาลหรอวะ”

 

“ก็ไม่ใช่ว่าจะให้ไม่ดูดำดูดีกันเลยหรอกครับ ผมแค่อยากให้คุณให้โอกาสตัวเองบ้างเท่านั้น คุณไม่ใช่ฮีโร่นะอารัณย์...ถ้าแบกมันไม่ไหวบางครั้งก็ต้องตัดใจทิ้งมันไปซะบ้าง”

 

“...”

 

“ไม่จำเป็นต้องเลือกสิ่งที่คิดว่าสำคัญหรือดีกว่า แค่เลือกสิ่งที่ทำให้คุณมีความสุขที่สุดก็พอ เพราะสุดท้ายแล้วเมื่อเรามีความสุข...นั่นแหละคือสิ่งที่ดีที่สุด”

 

“ความสุข...งั้นหรอ”

 

อารัณย์หวนคิดถึงคำพูดที่เขาเคยบอกกับรพีไว้เรื่องความสุขของตัวเองแต่ช่างน่าขันที่กลายเป็นว่าเขากลับลืมมันไปซะได้

 

ชายหนุ่มก้มมองฝ่ามือทั้งสองข้างอยู่ครู่หนึ่ง เขานึกถึงใบหน้าเปื้อนยิ้มของรพี และรอยยิ้มที่หายไปของรัตติกาลที่เขาปรารถนาจะทำให้มันเบ่งบานขึ้นอีกครั้ง เขาไม่รู้ว่าตัวเองจะสามารถทำมันได้ดีแค่ไหน เขาไม่ได้เก่งกาจขนาดว่าสามารถเปลี่ยนใจใครได้เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นมันคงเปลี่ยนไปนานแล้ว

 

ถ้าเกิดเขาทิ้งรัตติกาลแล้วเลือกที่จะปกป้องรพี รัตติกาลก็คงทำตามแผนที่วางไว้แล้วทำลายเราทั้งหมดไปพร้อมๆกับความแค้นที่ไม่มีวันมอดดับลง แต่ถ้าเกิดเขาเลือกรัตติกาลและทอดทิ้งให้รพีรับมือกับสิ่งที่ไม่ได้ก่อเพียงลำพังอนาคตของเด็กคนนั้นจะเลวร้ายแค่ไหนเขาก็ไม่อาจจินตนาการได้

 

ภาพของตัวเขาในอดีตซ้อนทับขึ้นมาจนรู้สึกเจ็บแปลบทั้งหัวใจ อารัณย์ยังคงจำคำสาปแช่งของมารดาที่มอบมันให้กับเขาได้เหมือนว่าเรื่องทั้งหมดเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน เขาหลับตาลงพยายามเก็บความทรงจำเลวร้ายนั้นไว้ให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ วินาทีนี้อารัณย์ไม่รู้เลยว่าเขาควรเลือกใคร สิ่งเดียวที่เขารู้คือเขาอยากจะเห็นรอยยิ้มของคนทั้งคู่...นั่นคือสิ่งเดียวที่เขามั่นใจ

 

“กูเลือกไม่ได้ว่ะ...ไม่ว่าจะรพี หรือรัตติกาล กูไม่อยากทิ้งใครไปทั้งนั้น”

 

“ก็นะ คิดอยู่แล้วว่าคุณต้องเลือกแบบนี้”

 

นายตำรวจหนุ่มยักไหล่ทำท่าราวกับว่ารู้คำตอบของอารัณย์อยู่แล้ว

 

“...กูตัดสินใจแล้ว”

 

“หืม?”

 

“ถ้าแค่คนใดคนหนึ่งมีความสุข กูคงไม่สามารถเรียกมันว่าความสุขจริงๆได้เพราะฉะนั้นกูจะทำทุกอย่างเพื่อให้ทั้งรัตติกาลและรพีมีความสุข เพื่อที่สักวันหนึ่ง...กูจะมีความสุขไปพร้อมๆกับสองคนนั้น”

 

“...ครับ”

 

“การที่กูเลือกแบบนี้...มันผิดไหมวะ”

 

ฤทธิชาติระบายยิ้มแล้วเดินไปหยิบกุญแจรถโฟล์คที่อยู่ในกระเป๋าเป้ของอารัณย์ยื่นให้ผู้เป็นเจ้าของพร้อมกับกระดาษแผ่นเล็กที่เขียนแผนที่และเบอร์โทรศัพท์ติดต่อของบ้านพักที่เขาจัดการให้รัตติกาลไปซ่อนตัวอยู่ในเวลานี้

 

“อย่างที่เคยบอกไม่มีใครมีสิทธิตัดสินคนอื่นได้หรอกครับว่าสิ่งที่เขาทำมันผิดหรือว่าถูกต้อง สิ่งที่เดียวที่ผมพอจะทำได้ คืออวยพรขอให้คุณและพวกเขาได้พบความสุขที่แท้จริงอย่างที่หวังนะครับ”

 

อารัณย์รับมันมาด้วยสีหน้าที่ดีกว่าเดิม หัวใจเขาเต้นสงบขึ้น พายุที่วิ่งวุ่นอยู่ข้างในค่อยๆคลายตัวลงกลายเป็นสายลมพลิ้วไหวที่ทำให้เขาอยากจะไปอยู่ในที่ที่หัวใจเรียกร้องอย่างที่นิลว่า

 

“ฝากบอกนิลด้วย...ว่ากูจะไปหากาล ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับรพีหรืออยากให้ช่วยอะไรก็โทรตามกูได้ทันที”

 

“ครับ ผมจะบอกให้”

 

“ส่วนมึงก็พยายามเข้าล่ะ ทั้งเรื่องมือปืนกับเรื่องที่บริษัท...จับตัวคนที่จ้องจะทำร้ายรัตติกาลออกมาให้ได้”

 

“แหม พอเริ่มรู้ใจตัวเองเข้าหน่อยนี่ออกโรงปกป้องกันเต็มที่เลยนะครับ”

 

“ไม่ต้องมาแซวกูเลย เอาเรื่องตัวเองให้รอดก่อนเถอะ ไอ้นิลมันยังไม่ตอบตกลงคบมึงเป็นแฟนไม่ใช่รึไง”

 

“อีกไม่นานหรอกครับ ไม่ต้องห่วงผมหรอก ห่วงตัวเองดีกว่า เมื่อกี้นิลกระซิบบอกผมว่าเด็กของกาลที่อยู่หอนี้น่ารักใช่ย่อยเลย”

 

“ห่า เลิกพูดเรื่องไอ้เด็กนั่นเลย”

 

“ฮ่าๆ คิดยังไงแสดงออกทางสีหน้าหมดเลยนะครับ”

 

ฤทธิชาติหัวเราะร่าเมื่อเห็นสีหน้าบึ้งตึงของอารัณย์ยามพูดถึงคู่แข่งอีกคนที่สร้างความหวั่นใจให้ร่างสูงไม่น้อย พี่เลี้ยงหนุ่มส่ายหัว เขาเข้าไปจัดกระเป๋าเดินทางใบใหม่ก่อนจะเดินออกมาโดยถือโทรศัพท์ไว้ในมือ

 

“กูไปแล้วนะ จะออกไปเมื่อไหร่ก็ล็อคห้องให้ด้วยแล้วกัน”

 

“ครับ ว่าแต่จะตรงไปหากาลเลยรึเปล่า”

 

“อืม แต่ก่อนอื่น...กูต้องจัดการเรื่องนั้นก่อน”

 

อารัณย์กระชับกระเป๋าในมือแล้วเดินจากไปพร้อมกับเป้าหมายใหม่ที่ทำให้หัวใจเต้นรัว เบอร์โทรศัพท์สิบหลักถูกกรอกลงไปก่อนที่เขาจะกดต่อสาย ชายหนุ่มฟังเสียงสัญญาณอยู่สักพักก่อนอีกฝ่ายจะกดรับในจังหวะเดียวกับที่เขากำลังก้าวขึ้นรถแท็กซี่โดยจุดหมายปลายทางอยู่ที่บ้านไม้ริมคลองซึ่งมีรัตติกาลผู้กำลังสนุกสนานกับวิถีชีวิตชาวบ้านอาศัยอยู่



:t3:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :t3:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-08-2015 00:24:54 โดย vivacestory »

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
 

“กินเยอะๆนะพ่อรัณย์ หอยนี่กาลเขาไปเก็บมาเองเชียวนะ สดๆทั้งนั้น”

 

“จริงหรอยาย งั้นผมขอเติมข้าวอีกหน่อยแล้วกัน”

 

รัตติกาลมองคนที่ใช้มือเพียงข้างเดียวพยายามตักข้าวใส่จานด้วยท่าทางทุลักทุเลเสียจนยายพิศทนมองไม่ได้ต้องเข้ามาช่วย อารัณย์ยิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้มเล็กๆตรงมุมแก้ม ชายหนุ่มพยายามยกมือขอบคุณแต่ก็โดนยายแก่บอกปัดเสียยกใหญ่ ตาไทยที่นั่งจิบเหล้าขาวอยู่ใกล้ก็หัวเราะร่าออกมาก่อนจะอัดยาเส้นหอมเข้าปอด

 

ร่างโปร่งเห็นรอยยิ้มของทั้งสามคนในที่นี่แล้วรู้สึกสงบใจกว่าที่คิดทั้งๆที่หนึ่งในนั้นเพิ่งทำให้เขาเสียน้ำตาโดยไม่ได้ตั้งใจ รัตติกาลตักแกงแดงเข้าปากแล้วหันไปมองวิวโดยรอบไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในวงสนทนาแต่อย่างใด จนคนที่พยายามเอาใจคนแก่อยู่อย่างอารัณย์อยากจะลุกข้ามฝั่งมาหาแต่ติดที่ว่าทำอย่างนั้นไม่ได้

 

“แล้วนี่พ่อรัณย์จะค้างถึงวันไหนจ๊ะ ยายจะได้เตรียมข้าวให้ถูก”

 

“จัดการให้ผมเหมือนกาลเลยยาย...เขากลับเมื่อไหร่ผมก็กลับ”

 

“อ้าว นี่รู้จักกันหรอ ถึงว่าเดินออกไปคุยกันเสียนาน”

 

หญิงแก่พูดด้วยน้ำเสียงแปลกใจเช่นเดียวกับรัตติกาลที่ตวัดสายตาขึ้นมองคนขี้ตู่อย่างไม่ชอบใจนัก ร่างโปร่งพยายามเคี้ยวข้าวในปากให้หมดเพื่อปฏิเสธคำกล่าวอ้างของอารัณย์ แต่ร่างสูงก็ชิงพูดขึ้นก่อนเพราะรู้ดีว่ารัตติกาลกำลังจะทำอะไร

 

“ครับ เห็นกาลบอกว่าที่นี่บรรยากาศดีมากผมเลยขอมาเที่ยวด้วย”

 

“จริงหรอจ๊ะ แหม ขอบใจมากเลยนะพ่อกาล ถ้ารู้ก่อนยายจะได้เตรียมตัวต้อนรับให้ดีกว่านี้”

 

“มะ ไม่เป็นไรครับ”

 

รัตติกาลรับคำอย่างเสียไม่ได้เมื่อเห็นสีหน้าดีใจของยายพิศที่เข้าใจไปว่าได้ลูกค้าเพิ่มเพราะการบอกต่อของรัตติกาล ร่างโปร่งหันไปจ้องอารัณย์ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเขม็ง ฝ่ายร่างสูงเองเมื่อเห็นสายตาที่รัตติกาลมองมาก็ยิ้มอ่อนอย่างชอบใจ เป็นอย่างที่บอกฤทธิชาตินั่นแหละ...เขามันเหมือนคนบ้าจริงๆ

 

“ถ้ารู้จักกันก็ดีแล้ว คืนนี้นอนด้วยกันจะได้ไม่ลำบากใจ”

 

“อะไรนะครับ!?”

 

ทั้งสองคนตะโกนออกมาพร้อมกันแต่สีหน้าต่างกันสิ้นเชิงเสียจนตาไทยที่เป็นคนจุดประเด็นได้แต่ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย รัตติกาลพยายามเก็บสีหน้าไม่พอใจทันทีที่รู้สึกตัวว่าเผลอแสดงท่าทางไม่สมควรออกไปขณะที่อารัณย์ยังคงยิ้มค้างอยู่อย่างนั้นเมื่อโอกาสที่จะได้พูดจาปรับความเข้าใจกับรัตติกาลมาถึงเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ

 

ร่างโปร่งมองคนที่ไม่คิดจะเก็บอาการอย่างนึกหมั่นไส้ เขาตัดสินใจยื่นมือเข้าไปใต้โต๊ะแล้วหยิกลงบนผิวเนื้อต้นขาแข็งๆเพื่อให้อีกคนเก็บอาการ แต่กลายเป็นว่าอารัณย์กลับยิ้มกว้างกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ ชายหนุ่มเพียงแค่โอดครวญเบาๆไม่ได้นึกโกรธเคืองแต่อย่างใด

 

“อู้ย... เออ คือ มีปัญหาอะไรหรอครับ”

 

“พื้นอีกห้องมันไม่ค่อยดีน่ะ ตาเองก็ลืมไปเลยยังไม่ได้ซ่อม ขอให้เจ้ารัณย์ไปนอนด้วยสักคืนได้รึเปล่า เดี๋ยวพรุ่งนี้ตาจะตามเด็กมันมาซ่อมให้”

 

ตาเฒ่าพูดตอบอารัณย์ก่อนจะหันไปถามรัตติกาลในท้ายประโยคแต่ร่างโปร่งกลับทำสีหน้าลำบากใจเมื่อได้ยินคำขอที่เขาไม่กล้าปฏิเสธเช่นนั้น จนอารัณย์ที่ลอบมองอยู่ต้องพูดขัดขึ้น

 

“ผมไม่มีปัญหาอะไรหรอกตา ให้ข้างล่างก็ยังไหว ติดก็แค่เกรงใจกาลเขา”

 

อารัณย์หมายความตามที่พูด ถึงแม้จะดีใจแต่เขาก็นึกเกรงใจร่างโปร่งอยู่ไม่น้อย วินาทีแรกที่เห็นรัตติกาลกำลังก้มลงล้างหอยแครงอย่างขะมักเขม้นทำให้อารัณย์ยิ้มออกมาเป็นครั้งแรกตั้งแต่เดินทางมาถึงที่นี่

 

รัตติกาลดูมีความสุขอยู่กับสถานที่และช่วงเวลาหยุดนิ่งต่างจากความเป็นจริงที่ความวุ่นวายกำลังทำลายความสงบสุขของพวกเขาอย่างช้าๆ เรื่องของมือปืนที่ไม่มีความคืบหน้าทำให้อารัณย์กังวลไม่น้อย เพราะอย่างนั้นเขาจึงอยากให้รัตติกาลมีความสุขมากที่สุดในช่วงเวลาที่ยังยิ้มออกได้ ก่อนที่พายุร้ายลูกนั้นจะหวนกลับมาทำร้ายทุกคนอีกครั้ง

 

ร่างโปร่งพินิจมองกริยาของอารัณย์ที่กำลังตอบผู้เฒ่าทั้งสองด้วยท่าทางติดจะเกรงใจจริงๆไม่ได้ทำประชดแต่อย่างใด เรื่องพื้นไม้อีกห้องที่พุพังเขาก็เห็นมันเองกับตาในตอนที่เข้าไปทำความสะอาดภายในบ้านจึงแน่ใจได้ว่าไม่ใช่แผนการของร่างสูงที่หวังจะทำตัวรุ่มร่ามกับเขาอีก

 

พอคิดถึงตรงนี้รัตติกาลก็รีบหยิกแขนของตัวเองด้วยเพราะตกใจกับความคิดที่คาดการณ์ไปไกลเกินกว่าจะเป็นจริง แม้ความอบอุ่นที่อารัณย์มอบให้ในชั่ววินาทีนั้นยังคงสร้างแรงสั่นไหวในหัวใจเขาได้อยู่แต่รัตติกาลก็ไม่อยากเก็บมันมาคิดมากไปกว่านี้ เหมือนกับในอดีตที่เคยเป็นมา

 

“ให้เขานอนห้องผมสักคืนก็ได้ครับ...ยังไงก็ผู้ชายเหมือนกันอยู่แล้ว”

 

รัตติกาลตอบตาไทยกลับไปก่อนจะก้มหน้าก้มตากินข้าวของตัวเองต่อแม้รสชาติมันจะไม่อร่อยอย่างเคยแล้วก็ตาม อารัณย์มองคนที่ตอบรับคำขอนั้นด้วยสีหน้าอ่านยากอย่างไม่เข้าใจ รัตติกาลที่ดูผ่อนคลายกลายเป็นเงียบขรึมขึ้นอีกจนแม้แต่ตายายทั้งสองยังรู้สึกได้ถึงท่าทางที่เปลี่ยนแปลงไปแต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา

 

อารัณย์วางกระเป๋าเป้ใบเขื่องของตัวเองลงตรงมุมห้องขนาดกลางที่มีเตียงไม้สักถูกครอบอยู่ใต้มุ้งสีขาวหลังใหญ่ที่เขาเห็นมันครั้งสุดท้ายตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็กๆ เขาเดินไปเปิดหน้าต่างปล่อยให้ลมทะเลพัดพากลิ่นเกลืออ่อนๆเข้ามาพอทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้ ไม่นานนักรัตติกาลก็เดินเข้ามาในห้องก่อนจะหยิบของใช้จำเป็นและเสื้อผ้าตัวใหม่ออกไปโดยไม่หันมาพูดกับร่างสูงสักคำ

 

ฝ่ายรัตติกาลเองเมื่อได้สิ่งของที่ต้องการแล้วก็ลงมือขัดเนื้อขัดตัวล้างดินเลนที่ยังมีติดอยู่ตามตัวออกไปอย่างไม่รีบร้อน ด้วยหวังสงบความคิดที่วิ่งวุ่นอยู่ในหัวให้บรรเทาลงก่อนจะต้องกลับไปใช้ห้องร่วมกับอารัณย์จริงๆเป็นครั้งแรก ตลอดสองอาทิตย์ที่ผ่านมา มีเพียงแค่เขาเท่านั้นที่ใช้ห้องนอนซึ่งอยู่ในห้องทำงานของบริษัทโดยที่อารัณย์อาศัยโซฟารับแขกในห้องทำงานหลับนอนเท่านั้น

 

เขาไม่ได้ไร้เดียงสาขนาดจะมารู้สึกเขินกับความใกล้ชิดแบบนี้ แต่เพราะกำลังรู้สึกกังวลกับคำพูดและการกระทำของอีกฝ่ายที่ทิ้งไว้ให้ต่างหากที่ทำให้รัตติกาลต้องจัดการกับจุดยืนและความรู้สึกของตัวเองให้ชัดเจนก่อนที่อะไรๆจะสายเกินแก้ เสื้อยืดตัวบางและกางเกงเลสีเขียวแก่ถูกผูกลงบนเอวบางอย่างแน่นหนา ร่างโปร่งเดินออกมาจากห้องน้ำก่อนจะนำเสื้อผ้าที่สวมใส่แล้วไปแช่ใส่กะละมังไว้รอเวลาที่จะลงมาซักมันในตอนเช้าของอีกวัน

 

ชายหนุ่มเดินกลับไปยังห้องนอนที่อารัณย์กำลังจัดแจงสัมภาระของตัวเองอย่างเก้กังๆเพราะแขนที่เจ็บจนรัตติกาลอดที่จะถอนหายใจแล้วถามออกไปไม่ได้

 

“ให้ช่วยไหม”

 

“ไม่เป็นไร กาลนอนเถอะ เห็นยายเล่าว่าลงไปงมหอยมาทั้งวัน”

 

“...จะกลับไปพูดเหมือนเดิมก็ได้นะ ถึงจะเคยพูดว่าอยากให้เปลี่ยนแต่จริงๆแล้วมันก็ไม่จำเป็นขนาดนั้น ผมไม่ได้ถืออะไร”

 

“จำเป็นสิ อย่างน้อยก็กับผม”

 

“...”

 

“เข้านอนซะ ไม่ต้องห่วงผมจะนอนพื้นข้างล่างเอง”

 

“ฝืนตัวเองเกินไปแล้วอารัณย์ คุณไม่ควรทำตัวแบบนี้”

 

“...”

 

“มันไม่มีประโยชน์หรอก”

 

“ไม่มีประโยชน์...งั้นสินะ”

 

รัตติกาลมองรอยยิ้มแกนๆของอารัณย์ก่อนจะเบนหน้าหนีไปทางอื่นจนกระทั่งเสียงปิดประตูไม้ดังขึ้นเขาจึงย้ายร่างของตัวเองมานั่งลงบนเตียงหลังใหญ่ที่ต่อให้มีอารัณย์มานอนด้วยก็ไม่ได้ลำบากอะไรนัก

 

“ไอ้นิลมันต้องรู้เรื่องนี้แน่ๆ”

 

ร่างโปร่งหยิบเอาโทรศัพท์มือถือเครื่องเล็กที่ไร้เทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อให้ยากแก่การตามตัวที่ฤทธิชาติจัดการหาไว้ให้ต่อสายถึงเบอร์โทรศัพท์เบอร์ใหม่ของนิลที่เปิดใช้เพื่อการนี้เช่นเดียวกัน เขารอสายอยู่สักพักก่อนที่เสียงของเพื่อนรักเคล้าด้วยดนตรีบรรเลงแผ่วๆจะดังขึ้นให้ได้ยิน

 

“ว่าไงไอ้กาล”

 

“ทำไมอารัณย์ถึงมาที่นี่ได้”

 

“มันถึงแล้วหรอวะ เร็วดีเหมือนกันนี่”

 

“นิล...กูซีเรียส ไหนเราตกลงกันแล้วว่าจะไม่ให้อารัณย์เข้ามาเอี่ยวอีก”

 

“มึงกับชาติต่างหากที่ตกลงกันเองไม่เกี่ยวกับกู”

 

“...กูไม่สนว่าความผิดใคร แต่พวกมึงต้องมาพามันกลับไปซะ”

 

“มันมาของมันเองก็ให้มันหาทางกลับเองสิวะ อีกอย่างมึงก็น่าจะรู้อยู่แล้วนะกาล ว่ามันไปที่นั่นเพราะอะไร”

 

“...ก็เพราะรู้ไงถึงต้องให้กลับ”

 

นิลได้ยินเสียงถอนหายใจดังออกมาจากปลายสายจนเขาสามารถจินตนาการสีหน้าลำบากใจของเพื่อนตัวเองได้ไม่ยากนัก หนึ่งเรื่องที่เขาไม่ได้บอกกับอารัณย์คือความใจแข็งของรัตติกาลที่แม้แต่ตัวเขาก็ไม่มีความมั่นใจเลยว่าสามารถพูดให้ร่างโปร่งเปลี่ยนใจได้ และก็ดูเหมือนว่ารัตติกาลจะตั้งกำแพงที่กั้นระหว่างตัวเองและอารัณย์ไว้สูงโข แค่คิดก็เหนื่อยแทน

 

“เอาน่ะ มันอยากทำอะไรก็ให้มันทำ กูเป็นห่วงไม่อยากให้มึงอยู่คนเดียวเลยยุมันไปนิดหน่อย ไม่ใช่ว่ากูคิดจะประเคนมันใส่พานไปถวายมึงสักหน่อย”

 

“ถ้าเป็นห่วงจริงขอเป็นปืนสักกระบอกก็พอ ส่งคนเจ็บมาจะช่วยอะไรได้”

 

“อย่างน้อยมึงก็มีที่ระบาย ด่ามันไปเยอะๆเดี๋ยวก็กลับไปเองแหละ”

 

“หึ ถ้าเป็นได้แบบนั้นก็ดี”

 

“ว่าแต่โทรมาเหวี่ยงกูแบบนี้แสดงว่ามันทำอะไรให้มึงอารมณ์เสียอีกแล้วสิ”

 

“...”

 

“ไม่ตอบแสดงว่าทำจริง มันปล้ำมึง?”

 

“ปล้ำเหี้ยอะไรล่ะ แม่ง...แค่นี้นะกูจะนอนแล้ว”

 

“ฮ่าๆ รักษาเนื้อรักษาตัวให้ดีนะเพื่อน อย่าเสียรู้เด็กไปซะก่อนล่ะ”

 

“เด็กบ้าอะไรมันยี่สิบเจ็ดแล้วเหอะ”

 

“อ้าวหรอวะ...เออๆช่างแม่ง เรื่องคดีถ้ามีอะไรคืบหน้าเดี๋ยวกูติดต่อไปอีกที”

 

“อืม ขอบใจมาก งานถ้าทำไม่ไหวก็ส่งให้กูทำที่นี่แล้วกัน”

 

“พักผ่อนไปเหอะสัด ขาดทุนบ้างจะเป็นไรไป แค่นี้นะ”

 

รัตติกาลส่ายหัวกับคำพูดคนปลายสายในจังหวะเดียวกันนั้น ประตูไม้ก็เปิดขึ้นพร้อมกับการกลับมาของอารัณย์ที่มีสภาพดูไม่จืดต่างจากตอนที่เดินออกไป ผมสีดำขลับเปียกชุ่มจนเสื้อยืดสีขาวนวลลู่ลงจนเห็นแผงอกสมชาย เช่นเดียวกับผ้าพันแผลตรงต้นแขนข้างขวาที่โดนน้ำจนเสียรูปร่างทำเอารัตติกาลอยากหันไปด่าคนที่ไม่รู้จักระวังตัวเอง

 

“ยังไม่นอนอีกหรอ”

 

“ไฟเปิดโร่ขนาดนี้ผมคงหลับลงมั้ง”

 

“อ่า...ขอโทษที ขอทำแผลแปปเดียวเดี๋ยวดับไฟให้”

 

อารัณย์ว่าดังนั้นก่อนจะเดินไปที่มุมห้องแล้วเริ่มจัดการแผลด้วยตัวเองอย่างที่ปากว่า รัตติกาลมองท่าทางเร่งรีบนั้นอย่างไม่ชอบใจมากนัก ทันทีที่ร่างสูงดึงผ้าก็อตที่ใช้ปิดแผลออกเขาก็เห็นเนื้อแดงๆที่มีรอยช้ำเขียวอยู่รอบๆ

 

“อูยยย”

 

ร่างสูงครวญครางอยู่คนเดียวเพราะเผลอลงแรงมือมากไปจนต้องสะดุ้งสุดตัว แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ทำแผลต่อสำลีในมือก็ถูกแย่งไปพร้อมกับเสียงถอนหายใจของรัตติกาลที่ดังขึ้นจากทางด้านหลัง

 

“พอเลย ผมทำให้เอง”

 

“แต่...”

 

“นั่งไปเฉยๆ”

 

อารัณย์นั่งนิ่งเพราะเสียงที่คล้ายกับจะออกคำสั่ง เขาพินิจใบหน้าของคนที่ทำให้ใจเต้นรัวใกล้ๆ ไม่สนใจแม้แต่ความรู้สึกแสบยิบๆยามที่ยาล้างแผลถูกป้ายลงไปอย่างระมัดระวัง รัตติกาลเงยหน้าขึ้นสบตากับอารัณย์อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกันไปให้ความสนใจกับแผลต่อพยายามไม่นึกภาพและความทรงจำหวานอมขมที่อีกฝ่ายมอบไว้ให้ที่ริมน้ำนั้น ร่างโปร่งจึงไม่ทันเห็นว่าคนที่ทำให้เขาต้องว้าวุ่นใจถึงเพียงนี้กำลังระบายยิ้มอ่อนเมื่อสังเกตเห็นริ้วแดงบนผิวแก้มของรัตติกาล

 

“โตจนป่านนี้ไม่รู้รึไงว่าไม่ควรให้แผลโดนน้ำ”

 

“ไม่ทันระวังน่ะ ใช้มือซ้ายตักอาบมันไม่ถนัด”

 

“ถ้าอย่างนั้นจะมาลำบากที่นี่อยู่ทำไม กลับไปเถอะ ผมดูแลตัวเองได้”

 

“ไม่ล่ะ...ผมก็ดูแลตัวเองได้เหมือนกัน”

 

มือที่กำลังควานหาผ้าพันแผลถูกคว้าไว้ด้วยมืออีกข้างของอารัณย์ที่มองมาด้วยสายตาตัดพ้อจนรัตติกาลใจสั่น

 

“ถ้าอยากจะทำดีด้วยเพื่อให้ผมกลับไปก็ไม่ต้อง ผมทำเองได้”

 

“...อย่ามางี่เง่านะอารัณย์”

 

“ผมก็คงงี่เง่าอย่างที่กาลว่า เพราะอย่างนั้นก็ทำใจไว้ได้เลย ว่าต่อให้กาลใช้วิธีไหนผมก็จะไปกลับถ้าเกิดไม่มีกาลกลับไปด้วย”

 

“...”

 

“ผมจะไม่ทิ้งกาลไว้ที่นี่คนเดียว”

 

อารัณย์คลายมือของรัตติกาลที่เขากอบกุมไว้ลงก่อนจะหยิบผ้าขึ้นมาเตรียมพันแผลด้วยตัวเอง เขาพยายามยึดชายผ้าด้านหนึ่งเอาไว้ด้วยคางก่อนจะพันมันไปรอบๆอย่างเก้กังๆโดนแผลบ้างไม่โดนแผลบ้างจนรัตติกาลต้องกลายเป็นฝ่ายคว้ามือของอารัณย์มาจับไว้เพื่อให้ชายหนุ่มหยุดการกระทำนั้น

 

“พอ ให้ผมทำแผลให้คุณจนกว่าจะเสร็จเถอะ”

 

“ไม่ต้อง”

 

“ไม่ได้จะไล่...แต่คุณได้แผลนี้มาก็เพราะผม”

 

“...ป่าวเลยกาล ผมได้แผลนี้มาเพราะคนร้ายพวกนั้นต่างหากไม่ใช่คุณ”

 

“...”

 

“เลิกโทษตัวเองซะ ผมไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น แล้วผมก็ยังไม่ตาย...ผมยังหายใจอยู่กาล”

 

ร่างสูงยอมนั่งนิ่งให้รัตติกาลทำแผลให้แต่โดยดี แม้มีเรื่องมากมายอยากจะพูดแต่คนทั้งสองก็ปล่อยให้ความเงียบเป็นสิ่งที่ปกคลุมอยู่รอบๆตัวพวกเขา อารัณย์หลับตาลงพยายามรวบรวมความคิดที่วิ่งวุ่นอยู่ในหัวเพื่อหาคำพูดที่ดีที่สุดในสถานการณ์ตอนนี้แต่ก็ดูเหมือนว่าเขาจะช้ากว่า

 

 

 

“ขอบคุณนะ”

 

 

 

“...!”

 

 

 

“ที่ปกป้องผม...ขอบคุณจริงๆ”

 

 

 

รัตติกาลนั่งนิ่งแม้ว่าเขาจะจัดการบาดแผลของอารัณย์เสร็จแล้ว ใบหน้าที่เคยติดจะเย็นชาหันหนีไปทางอื่นปล่อยให้อีกคนจ้องมองตัวเขาด้วยสีหน้าเปี่ยมสุขที่เห็นได้ทางหางตา อารัณย์กำลังยิ้ม ชายหนุ่มหัวเราะออกมาเบาๆก่อนจะใช้มือข้างที่เจ็บยกขึ้นลูบเบาๆบนกลุ่มผมนิ่มนั้นแล้วตอบรับคำของรัตติกาลด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่นยิ่งกว่าแสงจันทร์ที่สะท้อนอยู่บนผิวน้ำ

 

 

“ไม่เป็นไร...ผมยินดีเสมอ”

 

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

คุยกับเช่!!

หายไปหลายวัน โดนทวงบานเลย หุหุ (รู้สึกดีมีคนรอเราด้วย) :hao5: มาอัพให้แต่เช้า ตื่นมาเขียนตอนตีสามเพิ่งเสร็จคับ งานเยอะมาก กำลังจะกลับชลบุรีแล้ววันนี้ ตอนต่อไปมาเมื่อไหร่จะบอกนะคับ ส่วนตอนนี้อาจจะปวงๆไปบ้างขอโทษด้วย (มันปวงตามคนเขียน) :hao7:

ขอบคุณทุกเม้นต์ทุกโหวตนะคับ พอเขาเริ่มหวานกันเลยมีคนดี๊ด๊ามากขึ้นเช่ก็ดีใจ^^ (ทอล์คสั้นเพราะเช่ง่วง) :t3:



ออฟไลน์ kanomjeeb

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 101
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
มาแล้ว ปักๆๆๆ เย็นนี้มาอ่านต่อจ๊ะ :katai2-1:

ออฟไลน์ imymild

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
หวานกันแบบเบาๆ  :o8:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Kaewkaew

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 525
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
เหมือนกาลกำลังจะใจอ่อน แต่ก็ไม่น่า...
จากคำที่นิลทิ้งท้ายไว้ แต่ก็ไม่แน่

 :hao3: มาจิ้มคุณคนเขียน
ขอให้เดินทางปลอดภัยค่ะ ^^
แล้วจะรอติดตามชมตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ kanomjeeb

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 101
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
อ่านแล้วจ้า หวานกันเบาๆ โมเม้นทำแผลอารัณย์ขี้งอนได้อีก ขอหวานอีกเยอะๆให้สมกับที่ช้ำกันมานานนะค่ะ
ทั้งเรื่องงานเรื่องนิยาย เราเป็นกำลังใจให้

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7524
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
มันจะดีขึ้นเรื่อยๆสินะ

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1


30th Night

…Begin again...

 

 

รัตติกาลชอบทำอาหาร...แต่เกลียดการจ่ายตลาด

 

 

ใบหน้าหวานคมที่ปกติติดจะเฉยชากลับบูดบึ้งมากกว่าทุกครั้ง ผู้คนที่เดินสวนกันไปมาบนทางเดินไม้แคบๆซึ่ง ตลอดสองข้างทางเต็มไปด้วยร้านรวงที่ตั้งอยู่บนโต๊ะไม้ บ้างก็วางอยู่กับพื้นทำให้เขาต้องระวังไม่เผลอไปเหยียบของของชาวบ้านเข้าแม้ว่ามันจะทำได้ยากก็ตามที

 

“กาล ไหวไหม”

 

เสียงทุ้มของอารัณย์ดังขึ้นจากทางด้านหลัง ผิวกายกร้านแดดเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อกาฬทำให้รัตติกาลอดเป็นกังวลไม่ได้ว่าคนเจ็บจะเป็นลมไปเสียก่อนเพราะแม้แต่เขาเองก็แทบแย่แล้วเหมือนกัน

 

 พี่เลี้ยงหนุ่มมองรัตติกาลด้วยความสงสัยเมื่อเห็นอีกฝ่ายมองเขานิ่งๆ แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไร คนที่เหมือนจะเพิ่งรู้ตัวว่าเผลอจ้องอารัณย์นานเกินไปก็พยักหน้าแทนคำตอบก่อนจะเดินต่อไปข้างหน้าโดยมีชายหนุ่มผู้ที่แขนข้างขวามีผ้าสีขาวพันเอาไว้อย่างเรียบร้อยเดิมหลังไปอย่างเงียบๆ

 

“มา ผมถือให้”

 

อารัณย์พูดพร้อมกับชี้ไปยังตะกร้าหวายใบใหญ่ที่มีเนื้อหมูและผักบางชนิดอยู่ในนั้น รัตติกาลมองตะกร้าที่ยังหนักไม่มากสลับกับแขนข้างที่เจ็บของร่างสูงแล้วส่ายหัวอย่างระอาในความดื้อดึงของอารัณย์ที่ขยันหาเรื่องลำบากใส่ตัวทั้งที่ยังเจ็บอยู่

 

“ไม่เป็นไร มันไม่ได้หนักมาก”

 

ร่างสูงพยักหน้ายอมรับในคำปฏิเสธนั้น ถึงแม้จะยอมรับว่าตัวเอง สนใจ รัตติกาลแต่เขากลับไม่เคยมองว่าอีกฝ่ายเหมือนผู้หญิงจนต้องออกตัวเทคแคร์ทุกอย่างเหมือนที่คนอื่นทำ

 

ชายหนุ่มเหลือบมองเสี้ยวหน้าชื้นเหงื่อของรัตติกาลพลางพิจารณาถึงข้อแตกต่างระหว่างร่างโปร่งและผู้ชายคนอื่นที่อยู่รอบตัวเขา แต่เขากลับหามันไม่เจอ แม้จะมีใบหน้าที่ติดออกหวานแต่มันกลับทำไม่ทำให้รัตติกาลดูตุ้งติ้งแต่อย่างใด อีกทั้งการวางตัวที่ดูน่าภูมิฐานยิ่งเสริมให้อีกฝ่ายดูดีเสียจนชาวบ้านและนักท่องเที่ยวที่เดินผ่านมาหันมามองกันเป็นแถว

 

“ผมว่าจะทำไข่พะโล้ไปเยี่ยมตาไทยซะหน่อย”

 

รัตติกาลพูดขึ้นขณะนึกถึงสาเหตุที่ทำให้ตนเองต้องมาเดินในตลาดที่คลาคล่ำด้วยผู้คนชวนให้เวียนหัว เมื่อเช้าหลังจากตื่นนอนได้ไม่นาน ‘เข้ม’ เด็กที่อยู่บ้านติดกับยายพิศได้เดินมาหาเขาที่บ้านพร้อมกับตะกร้าหวายใบนี้และคำขอโทษจากหญิงที่ไม่สามารถจัดการเรื่องอาหารการกินให้อย่างที่เคยรับปากเอาไว้

 

“ตาลื่นในห้องน้ำเมื่อเช้า ยายเลยต้องพาไปโรงพยาบาล”


 

ร่างโปร่งเบิกตากว้างทันทีที่ได้ยิน ณ เวลานั้นเขาลืมเรื่องปากท้องของตัวเองไปจนหมดสิ้น พยายามถามอาการและทางไปโรงพยาบาลกับเด็กชายตัวเล็กที่ถึงแม้จะอยู่ในวัยที่โตกว่ารพีแต่ร่างกายกับแคระแกรนจนทำให้ขนาดตัวไม่ต่างกันมาก

 

เข้มพยายามบอกให้รัตติกาลใจเย็นลงพอดีกับที่อารัณย์เดินลงมาจากชั้นสองร่างสูงจึงได้โอกาสเข้ามาปลอบรัตติกาลให้ใจเย็นลงแล้วรับฟังเรื่องราวที่เหลือจากปากของเด็กชายซึ่งยืนยันว่าตาไทยไม่ได้อาการหนักเพราะก่อนจะล้มลงไปแกคว้าขอบโอ่งไว้ได้ทันจึงไม่ทำให้หัวฟาดพื้น

 

แต่เพราะความเป็นห่วงยายพิศจึงบังคับสามีให้ไปตรวจอาการที่โรงพยาบาล ด้วยเหตุนี้รัตติกาลจึงสงบใจลงได้แต่ก็ไหว้วานเด็กชายให้รีบมาบอกเขาทันทีหากสองเฒ่านั้นเดินทางกลับมาจากโรงพยาบาล

 

“ก็ดีนะ ไข่ช่วยบำรุงร่างกายได้”

 

อารัณย์พยักหน้าอย่างเห็นด้วย ก่อนจะคิดถึงบรรดาเมนูไข่ที่เขาเคยจัดสรรให้รัตติกาลกินตลอดช่วงเวลาสองอาทิตย์ที่อยู่ด้วยกัน รัตติกาลหันกลับมามองคนที่เดินตามหลังอย่างสงสัยเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆดังคลอมา มุมปากกยกได้รูปเสริมให้ใบหน้าคมเข้มดูอ่อนโยนขึ้นถนัดตา อารัณย์เลิ่กคิ้วมองอีกฝ่ายแทนคำถามว่าหันมาทำไม แต่รัตติกาลไม่ตอบแถมยังพูดเรื่องที่เถียงกันตั้งแต่ตอนอยู่ที่บ้านออกมาแทน

 

“ความจริงคุณไม่ต้องมาด้วยก็ได้”

 

 “ก็ไม่เป็นไร เดินตลาดแค่นี้เอง”

 

“แต่แผลคุณยังไม่หายดี มาเดินในที่แบบนี้เดี๋ยวก็ติดเชื้อเข้าหรอก”

 

“คุณพันแผลให้ผมดีกว่าพยาบาลอีก อย่าว่าแต่เชื้อโรคเลย อากาศยังเข้าไปไม่ได้เลยมั้ง”

 

อารัณย์แกล้งพูดแซวออกมาจนรัตติกาลเผลอคิ้วกระตุกด้วยความไม่ชอบใจ อันที่จริงมันก็ไม่ได้แย่มากนัก ติดแค่ที่ว่ารัตติกาลพันผ้าให้เขาเสียแน่นจนดูเหมือนอารัณย์มีแผลฉกรรจ์ทั้งที่ความจริงแล้วแผลโดนปืนถากก็ไม่ได้รุนแรงมาก ไม่ต้องเย็บแผลเลยด้วยซ้ำ

 

ชายหนุ่มมองใบหน้าบูดบึ้งนั้นอย่างเอ็นดูถึงแม้อีกฝ่ายจะอายุมากกว่าก็ตาม ฝ่ามืออุ่นยกขึ้นขยี้กลุ่มผมนั้นเบาๆตามที่ใจคิด แต่ก็โดนรัตติกาลปัดมันออกแทบจะทันทีจนอารัณย์ต้องหัวเราะออกมาอีกครั้ง

 

“ฮ่าๆ เอาน่า ยังไงผมก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว”

 

ถึงอารัณย์จะตอบไปแบบนั้นแต่ความจริงนั้นเป็นเพราะยังกังวลเรื่องความปลอดภัยของรัตติกาลอยู่ไม่น้อย เมื่อคืนขณะที่เขากำลังจะไปอาบน้ำ ฤทธิชาติได้ส่งข้อความบอกความคืบหน้าสั้นๆมาให้ว่าทางตำรวจกำลังจะตรวจสอบกล้องวงจรปิดในหมู่บ้านย้อนหลังเพิ่มเติม แต่นั่นก็ยังทำให้เขาไม่สามารถวางใจได้อยู่ดี

 

“แล้วงานคุณล่ะ วันนี้เปิดเทอมแล้วไม่ใช่หรอ”

 

“อืม แต่แขนเป็นอย่างนี้ยังไงก็กลับไปทำงานไม่ได้อยู่ดี”

 

อารณย์ยกแขนข้างที่เจ็บขึ้นให้รัตติกาลดู

 

“...ผมขอโทษด้วยแล้วกัน ถ้ากลับไปผมจะเข้าไปคุยกับทางโรงเรียนให้”

 

ร่างสูงมองรัตติกาลที่มีสีหน้ากังวลอยู่ไม่น้อย เขาถอนหายใจก่อนจะระบายยิ้มอ่อนออกมาเมื่อสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนของรัตติกาล ที่เจ้าตัวมักจะเผลอแสดงมันออกมาเสมอโดยไม่ได้ตั้งใจ

 

“ไม่เป็นไร ได้อู้แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”

 

อารัณย์ว่าดังนั้นก่อนจะปล่อยให้รัตติกาลเดินซื้อของต่อไปเรื่อยๆโดยไม่ได้ขัดอะไร จนกระทั้งร่างโปร่งเดินมาหยุดตรงร้านขายไข่ที่แม่ค้าซึ่งเป็นยายแก่ๆกำลังคุยเรื่องละครหลังข่าวอยู่กับคนขายผักแผงข้างๆอย่างถึงพริกถึงขิงเสียจนรัตติกาลต้องเป็นฝ่ายเอ่ยทักขึ้นก่อนแทน

 

“ยายครับ ไข่พวกนี้ขายยังไงครับ”

 

“อ้าว แปปนึงนะลูก...ไหนๆ...อ่อ ไข่เป็ดขายตะกร้าละร้อยยี่สิบจ๊ะ”

 

ยายแก่ที่กำลังคุยอยู่อย่างสนุกสนานรีบหันกลับมาบอกราคาก่อนจะยิ้มให้ลูกค้าคนหนุ่มทั้งสองเสียจนเห็นฟันที่เปลี่ยนเป็นสีดำเพราะยางของหมาก

 

“งั้นผมเอาตะกร้านึงครับ เก็บไว้ได้นานไหมยาย”

 

“นานลูก เป็ดไก่พวกนี้หลานยายมันเลี้ยงไว้เองไม่ได้รับมาจากเจ้าอื่น ไข่นี่ก็เพิ่งเก็บมาเมื่อเช้า ไม่ต้องใส่ตู้เย็นก็เก็บได้เป็นอาทิตย์”

 

รัตติกาลพยักหน้าอย่างพอใจก่อนจะยื่นตะกร้าหวายที่ยายพิศทิ้งไว้ให้อีกฝ่ายลำเลียงไข่พวกนั้นลงไปแทนการใช้ทุกพลาสติก แม้จะเป็นลูกค้าแต่รัตติกาลก็ทรุดตัวนั่งยองๆกับพื้นแล้วช่วยหยิบไข่ใส่ตะกร้าด้วยเช่นกัน อารัณย์ที่มองรัตติกาลอยู่ก่อนจากทางด้านหลังจึงตัดสินใจลงมาช่วยบ้างทั้งที่ใช้มือไม่ถนัดเลยโดนร่างโปร่งหันมามองหน้าอย่างตำหนิ แต่อารัณย์ก็ทำทีเป็นไม่ใส่ใจ

 

“เดี๋ยวผมทำเอง”

 

“ไม่เป็นไร ผมอยากช่วย”

 

“แต่...”

 

 “เอาน่า หิวแล้ว จะได้เสร็จเร็วๆไง”

 

 “มาเที่ยวกันหรอลูก ยายไม่เคยเห็นหน้าเลย”

 

ยายแก่ถามขัดขึ้นขณะที่มองดูรัตติกาลและอารัณย์เถียงกันไปแย่งงานของเธอทำไปด้วยความรู้สึกเอ็นดู พี่เลี้ยงหนุ่มเงยหน้าขึ้นยิ้มตอบพลางพูดด้วยน้ำเสียงติดจะอ้อนๆเหมือนกับที่ใช้คุยกับยายพิศ

 

“ครับ มาพักอยู่บ้านยายพิศตรงฝั่งนู้น”

 

“อ่อ ถึงว่าไม่คุ้นหน้าเลย แล้วนี่จะมาพักกันกี่วันละลูกถึงซื้อไข่ไปเยอะเชียว”

 

“ยังไม่แน่ใจครับ ขอพักให้เหนื่อยก่อนแล้วค่อยกลับ”

 

“แล้วมาเที่ยวกันสองคนหรอลูก หรือมากับเมีย”

 

รัตติกาลที่นั่งฟังอารัณย์พูดคุยกับยายคนนั้นอยู่เงียบๆเงยหน้าขึ้นมามองทันทีที่ได้ยินขณะที่ร่างสูงกลับหัวเราะออกมาเสียงดังอย่างชอบใจเสียจนแม่ค้าแถวนั้นหันมามองกันเป็นแถบ

 

“หัวเราะทำไมลูก มีอะไรรึเปล่า”

 

“ฮ่าๆ เปล่าครับๆ แล้วก็...ผมยังไม่มีเมียนะครับ แต่คนนี้มีแล้ว”

 

อารัณย์ตอบพลางชี้ไปยังรัตติกาลที่ยังนั่งงงอยู่ให้งงมากขึ้นไปอีก ร่างสูงนำนิ้วชี้มาวางไว้ตรงริมฝีปากเพื่อขอให้รัตติกาลยังไม่ต้องพูดอะไร โดยที่แม่ค้าขายไข่เมื่อได้ยินดังนั้นก็ยิ้มร่าออกมาด้วยความพอใจ

 

“จริงหรอ แล้วอยากมีเมียไหม หลานสาวยายมันเพิ่งจะจบปวช.มา งานบ้านทำได้ทุกอย่าง สวยเหมือนยายสมัยสาวๆเลยนะ สนใจไหมล่ะ”

 

ยายแก่เสนอขึ้นเพราะพอใจในรูปลักษณ์และบุคลิกท่าทางของอารัณย์อยู่ไม่น้อย นึกเสียดายก็แต่พ่อรูปหล่ออีกคนที่ดันมีเมียไปก่อนแล้วแต่นั่นก็ทำให้เธอยิ้มออกมาอย่างพึงใจได้อยู่ดี โดยไม่รู้เลยว่าพี่เลี้ยงหนุ่มคาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่ามันต้องเป็นอีหรอบนี้ จึงชิงตัดสะพานไม่ให้ยายสาวไปถึงรัตติกาลได้เสียก่อน

 

“สวยเหมือนยายเลยหรอ อืม...”

 

รัตติกาลหันมามองร่างสูงที่ทำหน้าคิดหนักสงสัยว่าอารัณย์คิดจะเล่นพิเรนทร์อะไรอีก โดยที่เขาเองก็เผลอระบายยิ้มอ่อนๆออกมาอย่างชอบใจ

 

“น่าสนใจนะครับ แต่...ผมมีคนที่กำลังตาม จีบ อยู่ คงจะดองกับยายไม่ได้”

 

ร่างสูงหันมาสบตากับรัตติกาลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันไปยิ้มให้ยายเฒ่าที่ทำสีหน้าเสียดายอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่อีกคนหุบยิ้มทันทีที่ได้สบกับนัยน์ตาดำขลับคู่นั้น

 

“น่าเสียดายจริง แต่เอ๊ะ...บอกว่าจีบแสดงว่ายังไม่ได้เป็น ผัวเมีย กันใช่ไหม”

 

เธอทักขึ้นทันทีที่นึกขึ้นได้ สีหน้าผิดหวังเมื่อครู่ดูมีประกายความหวังขึ้นอีกครั้งแต่เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น อารัณย์ก็ดับฝันของหญิงแก่ลงอีก

 

“ครับ...แต่อีกไม่นานหรอก”

 

“แต่มันก็ไม่แน่ไม่ใช่หรอ มาเอาหลานยายดีกว่าไม่ต้องจีบ เอาไปได้เลย”

 

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ของแบบนี้บังคับกันไม่ได้ ผมว่าหลานยายเองก็คงอยากอยู่กับคนที่ตัวเองรัก...ผมเองก็เหมือนกัน”

 

ยายแก่ยิ้มออกมาเมื่อได้ยินดังนั้นแล้วไม่คิดจะตอแยอะไรอีก เธอแถมไข่ให้ทั้งคู่อีกจำนวนหนึ่งก่อนจะบอกลากัน ขากลับจากตลาดอารัณย์เป็นฝ่ายถือตะกร้าที่มีของใส่อยู่เต็มผิดกับตอนขามาโดยที่รัตติกาลไม่แม้แต่จะห้ามหรือพูดอะไรออกมาสักคำหลังจากที่เขาบอกกับแม่ค้าขายไข่ไปอย่างนั้น

 

“เป็นอะไรรึเปล่า”

 

พี่เลี้ยงหนุ่มถามขึ้นขณะที่เขาสองคนเดินไปถึงตีนสะพานข้ามคลองที่มีผู้คนอยู่ไม่มากนัก รัตติกาลไม่ตอบ อีกฝ่ายแค่เดินช้าลงจนอารัณย์เดินตามมาทันทำให้ร่างสูงสามารถเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่มั่นใจของรัตติกาลได้

 

“อย่าพูดแบบนั้นอีกนะ”

 

จู่ๆก่อนที่พวกเขาจะก้าวขึ้นบันไดไม้ไปรัตติกาลก็พูดขึ้นพร้อมกับหันมาสบตากับอารัณย์อย่างขอร้อง ถ้าเป็นเมื่อก่อนร่างสูงคงรู้สึกสนุกที่ตัวเองสามารถทำให้ภูเขาน้ำแข็งอย่างรัตติกาลสั่นไหวได้แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าเขาเองนั่นแหละที่กลัวคำพูดของรัตติกาลเหลือเกิน

 

“พูดอะไร”

 

“อย่าแกล้งทำเป็นไม่รู้...ผมบอกแล้วใช่ไหมว่ามันไม่ตลก”

 

“...ผมเองก็บอกแล้วว่าไม่ตลกเหมือนกัน”

 

รัตติกาลถอนหายใจ ไม่ชอบใจทั้งสถานการณ์ตอนนี้และตัวเองที่หวั่นไหวไม่เข้าเรื่อง ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าไม่รู้สึกดีที่อีกฝ่ายทำดีด้วย ยิ่งกับอารัณย์ที่ครั้งหนึ่งเคยชิงชังกันถึงขั้นเกือบเป็นศัตรูพอสงบศึกกันได้มันทำให้เขาพอใจอยู่ไม่น้อย เขายังจำได้ดีว่าหัวใจที่เจ็บปวดดวงนี้มันเต้นแรงแค่ไหนตอนที่ถูกปกป้อง แต่มันก็ไม่มากเท่ากับการเอาใจใส่เล็กๆน้อยๆที่ร่างสูงทำให้จนรัตติกาลรู้สึกตัวว่าเคยชินกับมันไปเสียแล้ว

 

และมันก็ไม่ใช่เรื่องดีเลย...

 

“ผมว่าคุณกำลังสับสน เราคงใกล้ชิดกันมากเกินไปเพราะเรื่องคดี...แต่มันก็แค่นั้น มันไม่มีอะไรเลยอารัณย์...คุณก็แค่คิดไปเองว่าสนใจผม”

 

ร่างโปร่งตัดสินใจพูดออกมาตรงๆโดยไม่กลัวว่าอีกฝ่ายจะกล่าวหาว่าเขาหลงตัวเอง รัตติกาลไม่ใช่เด็กอมมือที่จะดูไม่ออกว่าสิ่งที่อารัณย์พูดกับยายแก่คนนั้นหมายถึงเขา แน่นอนว่าหัวใจของเขาเต้นแรงแต่ในขณะเดียวกันมันก็อึดอัดเสียจนเขาทนเก็บมันต่อไปไม่ไหวแล้ว

 

อารัณย์มองดูสีหน้าลำบากใจของรัตติกาลด้วยหัวใจที่ปวดแปลบ รู้อยู่แล้วว่ามันคงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำลายกำแพงหนานั้นเข้าไปแต่พอวิ่งชนมันเข้าจังๆเขาก็เจ็บจนแทบอยากจะถอยหลังกลับมาเหมือนกัน เพราะสำหรับเขา...การยอมรับความรู้สึกตัวเองก็ไม่ใช่เรื่องง่ายพอๆกับการทำให้คนตรงหน้าเชื่อใจเขา

 

“ถ้าผมบอกไปกาลจะเชื่อรึเปล่าล่ะ...ความรู้สึกของผมน่ะ”

 

“...!”

 

“ผมรู้ว่ากาลคงไม่เชื่อ เพราะผมเองก็แทบไม่อยากเชื่อตัวเองเหมือนกัน”

 

ชายหนุ่มยิ้มให้คนที่มองมายังตนเองด้วยความตะลึงงัน เขายื่นตะกร้าไปให้รัตติกาลถือไว้ก่อนจะใช้แขนข้างที่ไม่เจ็บออกแรงดึงให้รัตติกาลเดินตามกันมายังอีกฝั่งของสะพานไม้ที่ไร้ผู้คน มีเพียงแค่แมวจรจัดสองสามตัวที่นอนขดอยู่ตามกระถางต้นไม้อย่างเกียจคร้านเท่านั้น

 

“ผมไม่เคยชอบผู้ชายมาก่อน”

 

อารัณย์เปิดประเด็นขึ้นอีกครั้งทันทีที่แผ่นหลังของทั้งคู่เอนลงบนม้านั่งตัวยาวที่ตั้งอยู่ไม่ไกล ร่างสูงมองไปยังคลองสายเล็กที่อีกฝากฝั่งเต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา แต่ช่างน่าแปลกใจที่คนที่เขากำลังนั่งอยู่ข้างกายเขาตอนนี้กลับกลายเป็นคนที่ครั้งหนึ่งเคยชิงชังกันจนน่าขัน...คนที่เขาไม่เคยคิดเลยว่าสักวันหนึ่งจะกลายมาเป็นคนที่เขาปรารถนาจะมอบความรู้สึกที่บีบรัดอยู่ในอกนี้ให้

 

“ผมไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับความรักแบบนี้ ต่อให้ถามคนอื่นมันก็เหมือนนิทานที่ผมเข้าไม่ถึง ผมเคยสงสัยนะ ว่าผู้ชายอย่างเราเราจะรักกันเองได้ยังไงในเมื่ออีกคนมีทุกสิ่งเหมือนเราหมดทุกอย่าง สิ่งที่ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อกันและกันน่ะ...ผมไม่เคยเชื่อว่ามันจะเป็นไปได้”

 

“...”

 

“เอาจริงๆผมก็มองไม่ออกหรอกว่ากาลแตกต่างจากผู้ชายคนอื่นตรงไหน กาลไม่ได้เหมือนผู้หญิง ไม่มีแม้แต่จริตจะก้านที่น่าจะทำให้ผมหวั่นไหวได้เลยด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่...ที่ผมเริ่มรู้สึกดีกับการที่มีกาลอยู่ใกล้ๆ”

 

“ความรักกับความรู้สึกดี...ไม่เหมือนกันหรอกนะ”

 

รัตติกาลเค้นยิ้ม เขาอ้างถึงคำพูดที่เคยมอบมันให้กับนทีเมื่อนานมาแล้ว และมันก็เป็นสิ่งที่เขาจะไม่มีวันลืมอีกเป็นครั้งที่สอง เพราะถ้ารัตติกาลลืมมันคงซ้ำรอยเดิมกับการที่เขาหลอกตัวเองว่าการทำดีของนที...คือความรัก

 

“นั่นสินะ...แต่ความรักมันก็รู้สึกดีไม่ใช่หรอ”

 

“...!”

 

“มันอาจจะใช่ความรัก...หรือไม่ใช่อย่างที่กาลว่า แต่อย่างน้อยตราบเท่าที่ความรู้สึกนี้ทำให้เราทั้งคู่รู้สึกดี มันก็ดีแล้วไม่ใช่หรอ”

 

“....”

 

“ถึงวันนี้กาลอาจจะยังไม่เชื่อผม แต่สักวันหนึ่งเราทั้งคู่จะรู้ว่าแท้จริงแล้วความรู้สึกนี้คืออะไร...มาพิสูจน์ไปด้วยกันได้รึเปล่า”

 

อารัณย์คว้ามือของรัตติกาลมากุมไว้พร้อมกับจ้องเข้าไปในดวงตาดำวาวคู่นั้นอย่างสื่อความหมาย อยากทำให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงสิ่งที่ลอยฟุ้งอยู่ในหัวใจของเขา เหมือนกับที่เขาอยากจะแน่ใจกับความรู้สึกของตัวเองเช่นกัน

 

ใบหน้าคมเข้มของอารัณย์เคลื่อนเข้าไปมาใกล้จนรัตติกาลสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆที่เป่ารดอยู่บนผิวแก้ม ร่างโปร่งเห็นเงาของตัวเองสะท้อนอยู่ในตาคู่นั้น ในยามนี้รัตติกาลช่างดูอ่อนไหว ภาพตัวเขาในตอนนี้เป็นภาพที่ไม่เคยเกิดขึ้นมานานแล้ว ร่างโปร่งยกมือขึ้นคว้าชายเสื้อของอีกฝ่ายมากำไว้ อยากจะผลักออก แต่ใจเจ้ากรรมกลับไม่ยอมฟังคำเตือนจากอดีตอันเลวร้ายที่บอกให้ล่าถอยออกมา

 

อย่าฟังเขานะกาล...คำพูดพวกนั้นก็แค่คำโกหก

 

อย่ามองเขานะกาล...ความอ่อนโยนพวกนั้นก็แค่การแสแสร้ง

 

อย่าเชื่อเขานะกาล...ถ้าเรารักเขา...สุดท้ายเราก็ต้องเจ็บอีกครั้ง

 

 

 

ดวงตาของรัตติกาลสั่นไหวอย่างรุนแรง เขาปกปิดความรู้สึกกลัวเอาไว้ไม่ไหวอีกต่อไปจนอารัณย์ที่มองอยู่ยังรู้สึกได้

 

“คุณทำแบบนี้...เพราะรพีใช่ไหม”

 

“...!!”

 

“คุณกลัวว่าผมจะทำลายลูก คุณกลัวว่ารพีจะไม่มีความสุข คุณไม่ได้...!!”

 

อารัณย์ปิดปากที่กำลังเอ่ยสิ่งที่ไม่น่าฟังลงด้วยปากของตัวเอง รัตติกาลพยายามขัดขืนแต่แรงบีบทีท้ายทอยกลับทำให้เขาขยับศีรษะได้ไม่มากเท่าที่ใจคิด อารัณย์ไม่ได้หลับตาลงเช่นเดียวกับรัตติกาล ดวงตาคู่นั้นมันช่างดุดันและปวดร้าวในคราวเดียวกันจนร่างโปร่งไม่อาจทนมองมันได้ เขาหลับตาลงแล้วรองรับสัมผัสจาบจ้วงจากคนที่โกรธฉุนด้วยความไม่เต็มใจ แต่ถึงอย่างนั้นร่างโปร่งก็ยังนึกสังเวชตัวเองไม่น้อยเพราะเขาก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเขาไม่ได้รู้สึกดีกับมัน

 

ร่างสูงผละริมฝีปากของตัวเองออกมาก่อนจะกลับเข้าไปใหม่พร้อมกับปลายลิ้นหยุ่นที่แทรกเข้าไปเกี่ยวรัดก่อนเนื้อนุ่มของรัตติกาลเป็นจังหวะ เขาลูบไปตามผิวกายที่แดงระเรื่อเพราะไอแดดและอุณหภูมิร่างกายที่เพิ่มสูงขึ้น ฟันคมขบกัดเบาๆไปตามกลีบปากสีชาดจนเจ้าของมันสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจแต่อารัณย์ก็ไม่คิดที่จะหยุดมัน

 

“อือ อารัณย์ ปล่อย!”

 

“อย่าพูดแบบนี้อีก!”

 

“หยุดนะ ผมเจ็บ!”

 

“ผมเจ็บกว่าคุณอีกกาล รู้บ้างรึเปล่า!”

 

รัตติกาลพยายามหลบตาที่มองมายังตนอย่างตัดพ้อ นั่นเป็นเพราะเขาเองก็รู้ว่าตัวเองได้ดูถูกความรู้สึกของอารัณย์ไปอย่างไม่น่าให้อภัย แต่เพราะความกลัวที่ส่งเสียงเตือนอยู่ในหัวทำให้เขาเลือกที่จะดักทางอีกฝ่ายออกไปแบบนั้นแม้รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ฉลาดนัก

 

“ผมเป็นห่วงรพีก็จริง แต่ผมจะไม่มีวันใช้คุณเป็นเครื่องมือแบบนั้น!”

 

“...”

 

“ผมจะปกป้องรพี และผมก็จะปกป้องคุณด้วย ผมเลือกคุณทั้งคู่ ทั้งคุณและลูกของคุณ...ผมจะไม่ทิ้งใครไปทั้งนั้น”

 

“แต่คุณจะรักผมได้ยังไง...ในเมื่อผมเองที่ทำเลวแบบนั้น”

 

“...!”

 

“คนที่ใช้รพีเป็นเครื่องมือแบบผมน่ะ คุณรักไม่ลงหรอก”

 

รอยยิ้มของรัตติกาลตอนนี้มันไม่น่าดูสักนิด รอยยิ้มที่เย้อหยันตัวเองพร้อมกับน้ำตาที่รินไหลทำให้อารัณย์ต้องตะกรองกอดอีกฝ่ายไว้แน่น แม้แผลที่ต้นแขนจะเจ็บจนเหมือนกับว่ากำลังจะปริแตก

 

ร่างสูงลูบเบาๆไปบนแผ่นหลังที่สั่นน้อยๆของรัตติกาล เขาทำเป็นมองไม่เห็นสายตาของผู้คนที่เริ่มมองมายังเขาทั้งคู่ด้วยความสงสัย ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าคนพวกนั้นจะเรียกสิ่งที่พวกเขากำลังทำว่าอะไร คนเดียวที่เขากำลังให้ความสำคัญคือคนที่พยายามร้ายกาจอย่างถึงที่สุด แต่ตอนนี้รัตติกาลที่แสนเย็นชาคนนั้นกลับกำลังร่ำไห้เงียบๆ มีเพียงแค่ร่างที่สั่นและสัมผัสเปียกชื้นบนบ่าเท่านั้นที่ทำให้อารัณย์รู้ว่ารัตติกาลอ่อนแอแค่ไหน

 

“คุณทำผิด แต่คุณไม่ได้เป็นคนเลว”

 

“...!”

 

“ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามที่สั่งให้คุณทำร้ายรพีแบบนั้น แต่ผมเชื่อว่าจริงๆแล้วคุณรู้ดีว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันผิด...แก้ไขมันนะกาล คุณเข้มแข็งมากที่สามารถยอมรับความผิดของตัวเองได้ ขอแค่เข้มแข็งอีกนิดแล้วเปลี่ยนมันซะ”

 

“...”

 

“ผมเชื่อว่าคุณทำได้...เริ่มต้นกันใหม่นะกาล”



:hao7:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :hao7:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-09-2015 19:22:27 โดย vivacestory »

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
 

“ขอบใจมากนะจ๊ะ จริงๆไม่ต้องลำบากทำมาให้ก็ได้”

 

ยายพิศหันมาขอบอกขอบใจแขกทั้งสองเสียยกใหญ่ทันทีที่รัตติกาลเดินถือหม้อใบโตเข้ามาพร้อมกับอารัณย์มีขนมหวานเล็กๆน้อยๆที่ซื้อจากตลาดอยู่ในมือ ร่างสูงแยกตัวไปพูดคุยกับตาไทยในมุมหนึ่งตามประสาคนเจ็บด้วยกัน จึงมีเพียงยายพิศและรัตติกาลเท่านั้นที่กำลังจัดแจงอาหารต่างๆอยู่ในครัว

 

“ยายไปพักสักหน่อยก็ดีนะครับ เดี๋ยวกาลทำให้เอง”

 

“ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะ ช่วยกันนี่แหละจะได้เสร็จเร็วๆ อยากชิมพะโล้ฝีมือพ่อกาลจะแย่แล้ว”

 

ยายแก่พูดไปยิ้มไปจนรัตติกาลต้องอมยิ้มตามอย่างอดไม่ได้

 

“ไม่รู้ว่าจะพอกินได้รึเปล่านะครับ ไม่ได้ทำนานแล้วเหมือนกัน”

 

“แค่นี้ก็เก่งแล้วล่ะจ๊ะ หลานยายไม่มีใครทำเป็นสักคนแม้แต่ผู้หญิงก็เถอะ เขาบอกว่ามันทำยาก เอะอะก็ซื้อกินข้างนอกเอาไม่เสียเวลา”

 

“กาลเองก็ไม่ค่อยได้ทำหรอกครับ แต่ตอนเด็กๆคุณป้าที่บ้านชอบให้ฝึกมือบ่อยๆ กลัวผมจะได้กินของไม่ถูกปากถ้าต้องอยู่คนเดียว”

 

“ดีแล้วแหละพ่อกาล มีเสน่ห์ปลายจวักแบบนี้สาวๆเขาชอบกันนักนะ”

 

ยายพิศพูดแซวคนหนุ่มให้ได้เขินโดยไม่รู้เลยว่าตัวเองได้เหยียบกับระเบิดเข้าอย่างจัง ผิวหน้าของรัตติกาลร้อนผ่าว ภาพความทรงจำตรงม้านั่งริมสะพานย้อนกลับมาในหัว ร่างโปร่งนึกตำหนิตัวเองที่ร้องไห้ไม่ยอมหยุดเมื่อได้ปลดปล่อยความอัดอั้นตันใจออกไปให้อารัณย์ได้ฟัง

 

ชายหนุ่มกอดเขาไว้แน่นโดยไม่พูดอะไรอีกจวบจนมีเสียงนักท่องเที่ยวกำลังเดินผ่านสะพานมานั่นแหละพวกเขาทั้งคู่ถึงได้รู้สึกตัวแล้วพากันกลับมายังบ้านเช่าท่ามกลางอากาศร้อนจัดและมือที่จับกันไว้ไม่คลายลงไป

 

“พะโล้พ่อกาลนี่รสกลมกล่อมใช้ได้เลยนะ ไม่หวานไปไม่เค็มไป”

 

รัตติกาลได้สติเมื่อหญิงแก่พูดขึ้นหลังจากที่ตักน้ำพะโล้ที่เขาทำขึ้นมาชิมเสียช้อนใหญ่ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยยิ้มอ่อนอย่างพอใจจนพลอยทำให้รัตติกาลยิ้มกว้างภูมิใจในฝีมือตนเอง

 

“ตากับยายแก่แล้วน่ะครับ ผมกับอารัณย์เลยไม่อยากทำรสจัดมาก”

 

“กำลังดีเลยจ๊ะ ดีแล้วแหละที่ทำแบบนี้ นี่หมอก็บอกให้เพลาๆเค็มหวานลงหน่อยเหมือนกัน ความดันชักจะสูงขึ้นทุกที”

 

ร่างโปร่งยืนยิ้มฟังยายพิศพูดไปเรื่อยทำให้นึกถึงตอนที่เขาลงมือต้มพะโล้เมื่อบ่าย ผิดกับหญิงแก่ อารัณย์ไม่ได้พูดมากตอนที่เขากำลังเข้าครัว ร่างสูงทำเพียงแค่คอยป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆเสียจนเขาหยิบจับอะไรไม่ถนัด สุดท้ายก็ทนไม่ไหวอารัณย์เลยโดนเขาไล่ให้ไปนั่งปอกเปลือกไข่อยู่อีกมุมขณะที่รัตติกาลเป็นคนจัดการใส่เครื่องเทศต่างๆลงในหม้อที่มีหมูสามชั้นถูกหั่นเป็นชิ้นหนาลอยอยู่เต็มไปหมด

 

รัตติกาลไม่รู้ว่าควรตอบรับคำพูดของอารัณย์ยังไง ความรู้สึกที่ถูกเหมือนโดนอ่านออกอย่างทะลุปรุโปร่งทำให้เขาไม่คุ้นชินเลยสักนิด ทั้งที่คิดมาตลอดว่าอีกฝ่ายเป็นแค่เด็กที่ทำทุกอย่างไปตามอารมณ์ แต่วันนี้ความคิดความอ่านหลายอย่างของอารัณย์กลับทำให้เขานิ่งอึ้งไปได้เหมือนกันโดยเฉพาะเรื่องของรพี

 

ในตอนที่เขาทยอยนำไข่เป็นต้มสุกใส่ลงในหม้อพะโล้ อารัณย์ก็ส่งโทรศัพท์ให้เขาคุย ตอนแรกรัตติกาลคิดว่าเป็นนิลที่โทรมาเรื่องคดีไม่ก็เรื่องที่ทำงานแต่ทันทีที่โทรศัพท์แนบหู เสียงฮึดฮัดน้อยๆของรพีก็ดังมาตามสายให้ได้ยิน

 

“พ่อกาลอยู่ไหน...”

 

รัตติกาลยิ้มไม่ออก เสียงที่ติดจะน้อยใจเอามากๆของเจ้าตัวป้อมทำเอาใจที่พองฟูเมื่อครู่หายไปจนหมด อารัณย์เดินมาแย่งทัพพีในมือเขามาถือไว้เองแล้วจัดการพะโล้หม้อใหญ่แทนรัตติกาลโดยไม่พูดอะไรออกมา

 

“รพี...”

 

“ไหนพ่อกาลบอกว่าจะกลับมาอยู่กับพีแล้วไง”

 

“พ่อ...ขอโทษครับ”

 

เขาหลับตาลงไม่อยากให้น้ำตาไหลออกมา แต่เสียงที่สั่นน้อยๆของรัตติกาลก็ทำให้อารัณย์ต้องละมือมาโอบไหล่กว้างของร่างโปร่งไว้พร้อมกับจูบเบาๆตรงกลางกะหม่อมโดยที่รัตติกาลอ่อนแอจนไม่สามารถปฏิเสธสัมผัสนั้นได้

 

“...แล้วเมื่อไหร่พ่อการจะกลับบ้าน พีเหงา พีคิดถึงพ่อ”

 

“พ่อไม่รู้ครับ...ไม่รู้จริงๆ”

 

ไม่ใช่ว่าไม่อยากกลับ รัตติกาลเองก็เหนื่อยล้ากับเรื่องวุ่นวายทั้งหมดเสียจนอยากใช้ชีวิตเงียบๆเหมือนกับเมื่อก่อนสมัยที่ไม่ต้องมารับผิดชอบอะไรมากมายแบบนี้ เขาอยากกลับบ้านที่ครั้งหนึ่งเคยมีพ่อและแม่รออยู่แม้ว่าวันนี้จะไม่มีแล้วก็ตาม

 

“พีครับ นี่น้ารัณย์นะ”

 

อารัณย์แย่งโทรศัพท์มาคุยเองเลยทำให้จำเป็นต้องปล่อยมือที่โอบรัตติกาลไว้ไปแทน แต่ร่างสูงก็ยังคงอยู่ใกล้ๆคนที่เอาแต่ก้มหน้าอย่างไร้หนทาง

 

“น้ารัณย์หรอฮะ ทำไมน้ารัณย์อยู่กับพ่อกาลล่ะ!?”

 

“รพีใจเย็นๆนะ ฟังน้าพูดก่อนนะครับ”

 

“...ฮะ”

 

“ตอนนี้มีคนรอจะทำร้ายพ่อของพีอยู่ ทำให้น้ากับพ่อเรากลับไปตอนนี้ไม่ได้”

 

รัตติกาลเงยหน้าขึ้นสบตากับอารัณย์ทันทีที่อีกฝ่ายตัดสินใจบอกรพีไปตรงๆแบบนั้น ร่างโปร่งสับสน เขาไม่อยากให้รพีรู้แม้ว่าร่างป้อมจะยังเด็กมากจนไม่เข้าใจคำพูดของอารัณย์เลยก็ตาม

 

“ทำร้ายพ่อกาล? มีคนจะแกล้งพ่อหรอฮะ?”

 

เด็กชายพยายามประติดประต่อเรื่องราวในแบบที่ตัวเองเข้าใจซึ่งนั่นก็ทำให้อารัณย์ยิ้มออกมาอย่างพอใจในความฉลาดของรพี

 

“ครับ คนไม่ดีพวกนั้นจ้องจะแกล้งพ่อกาลของพีอยู่”

 

“ใครฮะ พีจะไปฟ้องคุณครู!”

 

“น้าก็ไม่รู้ครับ แต่น้าฟ้องอาชาติไปแล้ว อาชาติเป็นตำรวจอีกไม่นานเขาต้องจับคนไม่ดีพวกนั้นได้แน่ๆ”

 

ร่างสูงพูดออกมาด้วยเสียงอันหนักแน่นเสียจนรพีที่กำลังจะโวยวายยอมสงบลงทันทีเช่นเดียวกับรัตติกาลที่รู้สึกได้เช่นกันว่าคำพูดของอารัณย์นั้นกำลังปลอบโยนจิตใจที่สั่นไหวของเขาอยู่

 

“...แล้วพีต้องรอไปถึงเมื่อไหร่ พีคิดถึงพ่อ”

 

“อีกไม่นานหรอกครับ พีต้องอดทนนะ พ่อกาลของพีเองก็กำลังอดทน”

 

“...”

 

“ลูกผู้ชายต้องเข้มแข็ง พีทำเพื่อพ่อกาลได้ไหมครับ”

 

อารัณย์ไม่รอฟังคำตอบ เขายื่นมันให้กับคนที่สมควรได้รับฟังคำนั้นมาถือไว้แทน รัตติกาลรับโทรศัพท์มาอย่างไม่ค่อยเข้าใจแต่ก็ยอมยกมาไว้แนบหู เขาฟังความเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่น้ำเสียงหนักแน่นของรพีที่เขาไม่เคยได้ยินมันมาก่อนจะดังขึ้น

 

“ครับ พีจะเข้มแข็งเพื่อพ่อกาล พีจะรอ”

 

รัตติกาลไม่รู้ตัวเลยว่าตอนได้ฟังคำนั้นเขาร้องไห้หนักหรือยิ้มกว้างแค่ไหน ความรู้สึกผิดที่ทรมานเขาอยู่ค่อยๆทุเลาลงไปจนร่างโปร่งยอมให้คนตัวสูงกว่าโอบกอดเขาไว้แล้วโยกตัวไปมาราวกับเด็กๆ อารัณย์ปลอบโยนเขาพร้อมกับลูบเบาๆบนแผ่นหลังพาลทำให้รู้สึกดีจนไม่อยากผละออกไป แต่รัตติกาลก็ต้องถอยออกมา...เพื่อการเดินต่อไปข้างหน้าอีกครั้ง

 

มื้ออาหารเย็นวันนี้เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยของทั้งสี่คนผิดกับเมื่อวาน ยายพิศบ่นเกี่ยวกับสุขภาพของสามีให้แขกทั้งสองฟังยาวเหยียดเสียจนตาไทยแทบจะอยากตักข้าวคำโตใส่ปากให้อีกฝ่ายหยุดพูดแต่ก็ไม่กล้าทำอยู่ดี อารัณย์มองรัตติกาลที่กำลังยิ้ม แม้จะไม่สดใสมากแต่มันก็ทำให้ใบหน้าที่เคยเย็นชาดูดีขึ้นมากจนใจเขาสั่น ร่างสูงแอบหยิกต้นขาของตัวเองเพื่อดึงสติที่หลุดลอยกลับมา อารัณย์ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า วันที่เขามองรัตติกาลว่าน่ารักจะมาถึง

 

“พ่อรัณย์ ร้อนหรอจ๊ะ หน้าแดงเชียว”

 

“ปะ เปล่าครับ”

 

อารัณย์ปฏิเสธเสียงตะกุกตะกักเมื่อยายพิศทักขึ้นแบบนั้น รัตติกาลหันไปมองร่างสูงที่เกาท้ายทอยแก้เก้อด้วยท่าทางเงอะงะอย่างที่ไม่เคยเป็นพลางสังเกตสีหน้าของอีกฝ่ายก่อนจะเห็นว่าผิวกร้านของอารัณย์ขึ้นสีแดงระเรื่ออย่างที่ยายแก่ว่า

 

“ผม...เผ็ดน่ะครับ ผัดกบนี่เผ็ดมากเลย ฮ่าๆๆ”

 

ร่างสูงชี้ไปยังผัดเผ็ดกบจานใหญ่ที่เจ้าบ้านลงมือทำมาให้กินคู่กับไข่พะโล้ฝีมือรัตติกาล มันอร่อยเสียจนเขาตักไปหลายช้อน รสเค็มเผ็ดกลมกล่อมกำลังดีแต่ตอนนี้ก็ต้องขอโบ้ยความผิดไปให้มันก่อนแล้วกัน

 

“เผ็ด? เคี้ยวโดนพริกเข้าหรอ”

 

ตาไทยถามขึ้นเพราะตัวเองก็สังเกตเห็นพ่อหนุ่มคนนี้ดูท่าจะติดใจผัดกบจนกินข้าวได้เยอะกว่าปกติ แล้วทำไมถึงได้มาบ่นเผ็ดเอาได้ตอนข้าวเกือบจะหมดจาน

 

“คะ ครับ เต็มๆเลย...”

 

อารัณย์พูดรับพลางเหลือบมองไปยังรัตติกาลที่ทำหน้านิ่งแต่แท้จริงแล้วกำลังกลั้นขำแทบตาย หากตอนนี้มีใครก้มลงเก็บของคงจะได้เห็นคนมีมาดกำลังหยิกขาของตัวเองยิกๆเพื่อสงบสติอารมณ์ของตัวเองเป็นแน่

 

“ว่าแต่แย่เลยนะ ตามาปวดหลังแบบนี้เลยไม่ได้ซ่อมพื้นบ้านให้สักที แล้วพ่อรัณย์จะทำยังไงล่ะจ๊ะ”

 

“ผมลงมานอนข้างล่างก็ได้ครับ ไม่ได้ลำบากอะไร ลมก็พัดโกรกดี”

 

อารัณย์ยืนยันกับอีกฝ่ายไปแบบนั้นเพราะเขาเองก็ไม่อยากรบกวนความเป็นส่วนตัวของรัตติกาลไปมากกว่านี้ อีกทั้งถ้าต้องนอนบนเสื่ออย่างเมื่อคืนจะนอนชั้นสองหรือชั้นล่างคงไม่ต่างกันเท่าไหร่ รัตติกาลมองร่างสูงที่ลงมือกินข้าวต่ออยู่ครู่หนึ่งแล้วทำท่าครุ่นคิดอยู่สักพักก่อนจะเอ่ยขึ้น

 

“ให้เขานอนห้องผมเหมือนเดิมก่อนก็ได้ครับ”

 

“ได้หรอจ๊ะพ่อกาล ไม่ลำบากแน่นะ”

 

“ครับ...ไม่ได้ลำบากอะไรหรอก มุ้งก็ออกจะกว้าง”

 

“ดีเลยจ๊ะ ขอบใจนะ เดี๋ยวถ้าตาดีขึ้นแล้วจะยายจะรีบให้คนมาจัดการให้ ตกลงคืนนี้นอนห้องเดิมนะพ่อรัณย์ อ้าว แล้วนี่เป็นอะไร เผลอเคี้ยวพริกเข้าอีกแล้วหรอ”

 

ยายแก่คุยกับรัตติกาลก่อนจะหันมาพูดกับอารัณย์ในท้ายประโยค แต่เธอกลับต้องทำหน้าประหลาดใจเมื่อผิวแก้มของอารัณย์ขึ้นสีแดงจัดยิ่งกว่าเมื่อครู่เสียอีก

 

“คะ ครับ”

 

“...”

 

“เม็ดใหญ่เลย”

 

 

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

คุยกับเช่!!

บอกคำเดียวเลย...เขินนนนนนนนนนน  :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ ตอนนี้ช้าไม่ต้องสงสัยนะคับ เช่เขียนไปดิ้นไปอยู่บนเตียงนั่นแหละ บอกแล้วว่าเขียนหวานๆไม่เก่ง มันก๊าวอะ  :hao5: เขียนไปพักทุกห้านาที มันเลยได้แค่นี้จริงๆ (ไม่อยากคิดถึงฉากอัศจรรย์เลยแม่เจ้า เช่จะตายไหม) เห็นป้อจายมุ้งมิ้งใส่กันบ้างเช่ก็ดีใจ หวานอีกๆ ฉากอัศจรรย์ยังไม่มาเราต้องสุมน้ำตาลใส่เรื่องนี้ให้มากกว่านี้อีก!!!

ขอบคุณทุกเม้นต์ทุกโหวตเลยนะคับ ฝ่าความดาร์กกับเช่มาถึงขนาดนี้แล้วขอให้ได้ฟินกันทั่วหน้า แล้วสุดท้าย...จัดหน้าA5ตอนนี้ทะลุ560หน้าไปแล้ว หนังสือคงหนาว๊ากกก เตรียมตังกันๆ  :mew1:  :katai4:

ออฟไลน์ PK13

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 149
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เดี๋ยวๆ...ใครทำน้ำตาลหกแถวนี้รึป่าวววววววว  55555
มุ้งมิ้งมากอ่ะ~ ฟินนนน

ออฟไลน์ kanomjeeb

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 101
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
อ๊ากกกกกกกกกกก ฟินๆๆๆๆๆๆๆๆ
อารัณย์โมเอะะะะะ ทำเป็นเขินแต่แกก็มือปลาหมึกนะยะ :hao7:

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
 

31st Night

…Sand Castle...

 

 

 

 

 

“กำลังหวังอะไรอยู่รึเปล่า?”

 

 

รัตติกาลเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ นัยน์ตาสีท้องฟ้ายามราตรีเปรยมองอารัณย์ที่นั่งจ่อมอยู่บนพื้นขณะที่มือก็กำลังสะบัดผ้าห่มผืนบางไปด้วย ชายหนุ่มที่อ่อนวัยกว่าไม่ตอบ ดวงตาคมคู่นั้นหันไปมองรัตติกาลสลับกับมุ้งกันยุงหลังใหญ่จริงอย่างที่อีกคนว่า ใหญ่จนสามารถกินพื้นที่ข้างๆเตียงทำให้ร่างโปร่งสามารถนอนบนพื้นได้โดยไม่ต้องกังวลว่ายุงจะกัดอย่างเมื่อคืน

 

 

“เจ้าเล่ห์...”

 

 

อารัณย์บ่นอุบอิบเบาๆแล้วทรุดตัวลงนอนไปทั้งๆที่ยังไม่ให้รัตติกาลทำแผลให้ ชายหนุ่มซ่อนใบหน้าที่สะท้อนความผิดหวังและอับอายของตัวเองไว้ใต้ผ้าห่มผืนนั้นพร้อมกรนด่าตนในใจว่าทำไมถึงกล้าคิดอะไรเลยเถิดทั้งๆที่ก็รู้นิสัยของรัตติกาลอยู่แล้ว

 

 

ว่าแล้วใบหน้าคมเข้มก็ขึ้นสีแดงอ่อนๆ ตอนที่รัตติกาลเอ่ยปากให้เขานอนด้วยอีกคืนสมองช่างจินตนาการของเขาก็ดันคิดไปถึงอะไรต่อมิอะไรที่คนปกติมักอยากจะทำกับคนที่ตัวเองชอบอยู่แล้ว พี่เลี้ยงหนุ่มเลยได้ตั้งคำถามกับตัวเองในใจ

 

 

แล้วเขาล่ะ....อยากทำมันกับรัตติกาลรึเปล่า?

 

 

 

“ลุกมาทำแผลก่อนอารัณย์”

 

 

คนนอนเตียงสะกิดคนนอนพื้นเบาๆพลางเอ่ยเรียก ใจหนึ่งอารัณย์ยังไม่อยากจะโผล่ออกไปเจอหน้ารัตติกาลเพราะความคิดสัปดนที่ติดอยู่ในหัวแต่อีกใจก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าอยากจะสัมผัสความอ่อนโยนยามที่รัตติกาลทำแผลให้เหมือนทุกๆครั้ง จนสุดท้ายเขาก็ทนไม่ไหว คนตัวโตยอมโผล่หน้าออกมาจากผ้าห่มสีกะปิแต่ใบหน้าบูดบึ้งก็ยังไม่คลายไปจนร่างโปร่งต้องจุดยิ้มที่มุมปาก

 

 

“ทำหน้าบึ้งแบบนี้ไม่เมื่อยบ้างรึไง”

 

 

“แล้วกาลล่ะ ทำหน้านิ่งแบบนี้ไม่เมื่อยบ้างหรอ”

 

 

“ไม่ ทำมานานชินแล้ว”

 

 

“ถ้ากาลไม่ผมก็ไม่ ต้องฝึกไว้ให้ชิน...เพราะต้องตามจีบคนใจร้าย”

 

 

“ไม่มีใครบังคับสักหน่อย”

 

 

รัตติกาลส่ายหัวอย่างอ่อนใจขณะที่ปลดผ้าพันแผลผืนเก่าทิ้งลงในถังขยะ เขาสำรวจรอยช้ำที่เริ่มขึ้นเป็นสีม่วงขณะที่ปากแผลเริ่มที่จะแห้งแล้วเพราะฤทธิ์ยาที่หมอให้มา ชายหนุ่มลงมือเช็ดรอบๆมันอย่างพิถีพิถันโดยมีคนเจ็บจ้องมองขนตายาวของรัตติกาลอย่างตั้งใจ

 

 

“ผม...เอาจริงนะ”

 

 

อารัณย์ยืนยันเจตนารมณ์ของตัวเองอีกครั้ง รัตติกาลเงยหน้าขึ้นสบกับร่างสูงที่จ้องมาอยู่ก่อนพอดีแล้วตอบกลับไปด้วยเสียงที่จริงจังไม่แพ้กัน

 

 

“คิดให้ดีๆก่อนเถอะ คุณเข้าใจรึเปล่าว่าการจีบผู้ชายหมายความว่ายังไง”

 

 

“มันหมายความว่าอย่างอื่นได้ด้วยหรอ? ผมแค่ชอ...อุ๊บ!”

 

 

ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดคำคำนั้นออกไปรัตติกาลก็ใช้มือข้างที่วางอยู่ปิดเข้าที่ริมฝีปากหนาคู่นั้นจนอารัณย์ไม่สามารถพูดอะไรได้ พี่เลี้ยงหนุ่มมองคนข้างกายอย่างไม่เข้าใจในขณะที่รัตติกาลยังคงมองอารัณย์อยู่ด้วยสายตาเช่นเดิม

 

 

“ตอนนั้นคุณถามว่าถ้าคุณพูดผมพร้อมที่จะฟังมันไหม...คำตอบคือไม่”

 

 

“...”

 

 

“ขอเวลาผมหน่อย เหมือนกับที่คุณควรให้เวลากับตัวเอง”

 

 

รัตติกาลยอมปล่อยมือออกมาแต่อารัณย์กลับคว้ามือข้างนั้นมากุมไว้เองไม่ปล่อยคืนให้เจ้าของ ซึ่งร่างโปร่งก็ไม่ได้แสดงอาการขัดขืนแต่อย่างใด

 

 

“ทำไม...ไม่อยากฟัง”

 

 

“ผมไม่พร้อม”

 

 

“กำลังหนีอะไรอยู่”

 

 

“...”

 

 

“ถ้ากาลไม่ชอบผม กาลคงไม่แคร์ด้วยซ้ำว่าผมจะพูดยังไง แต่นี่กาลไม่ยอมให้ผมบอกความรู้สึกของตัวเอง...ผมว่ามันต้องมีเหตุผล”

 

 

“...ผมก็คงกำลังหนีอย่างที่คุณว่า”

 

 

ร่างโปร่งขืนมือของตัวเองออกแล้วลงมือทำแผลให้อารัณย์ต่ออีกครั้ง ทั้งคู่เงียบไปพักหนึ่งจนรัตติกาลพันผ้าผืนสุดท้ายแล้วยึดมันเป็นปมบางๆอย่างที่เคยทำ เขาจัดการนำทุกอย่างไปวางไว้ตรงมุมห้องก่อนจะกลับเข้ามาในมุ้งโดยเลือกที่จะนั่งลงบนพื้นข้างอารัณย์แทนที่จะเป็นเตียงอุ่นๆของตน รัตติกาลคว้ามือของอารัณย์มากุมไว้เองเป็นครั้งแรกจนคนโดนจู่โจมเบิกตากว้างหัวใจเต้นระรัวด้วยความตื่นเต้น

 

 

“ผมไม่คิดจะมีความรักอีกครั้ง”

 

 

“...!!!”

 

 

ใจที่พองโตเป็นลูกโป่งเมื่อครู่ฟีบลงทันทีที่รัตติกาลเอ่ยปาก รอยยิ้มของอารัณย์หายไปในขณะที่รัตติกาลเผยรอยยิ้มแสนเศร้าขึ้นมาแทน

 

 

“รู้ใช่ไหมว่าผมว่ายน้ำไม่เก่ง”

 

 

“...อืม”

 

 

“เป็นอย่างที่คุณว่า ผมเคยเกือบจบน้ำมาก่อน ตอนนั้นพ่อกับแม่พาผมไปเที่ยวแถวกระบี่ เพิ่งหัดว่ายน้ำได้ไม่นานก็คิดว่าตัวเองแน่เลยหนีไปเล่นคนเดียว แล้วก็เกือบจมไปโชคดีที่มีคนแถวนั้นเห็นเลยมาช่วยไว้ได้ทัน...แล้วหลังจากนั้นผมก็ไม่คิดอยากจะว่ายน้ำอีกเลย”

 

 

รัตติกาลหันมามองหน้าอารัณย์พร้อมกับรอยยิ้มหม่นๆเช่นเดิม ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงความเวิ้งว้างในดวงตาคู่นั้น รัตติกาลกลัวการว่ายน้ำจริงๆ ไม่ใช่ว่าว่ายไม่ได้...แต่เขาไม่คิดจะทำมันอีก

 

 

“ไม่ใช่แค่ว่ายน้ำ ถ้าผมได้ทำอะไรแล้วต้องเจอเรื่องแย่ๆ ผมจะไม่อยากทำมันอีกเป็นครั้งที่สอง...ถึงแม้ผมจะเคยชอบมันมากก็ตาม”

 

 

“หนีมาตลอดเลยสินะ”

 

 

“จะเรียกแบบนั้นก็ได้ แต่จริงๆแล้วผมแค่ไม่ชอบเรื่องเจ็บตัวน่ะ ไม่มีใครหรอกที่พร้อมจะรับความเจ็บปวดได้ตลอดไป ถ้าอดทนหน่อยก็อาจจะทำมันได้สำเร็จ แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกความพยายามจะได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า”

 

 

“...”

 

 

“ผมเหนื่อยกับมันมามากแล้วอารัณย์...ความรักน่ะ”

 

 

ร่างสูงถอนหายใจ เขาเสยผมที่ปรกหน้าตัวเองออกไปเพราะไม่รู้จะระบายความอัดอั้นนี้ยังไง เลยได้แต่ทำท่าหงุดหงิดงุ่นง่านจนรัตติกาลแอบเอ็นดูในท่าทางแบบนั้นของอารัณย์

 

 

“นี่เป็นครั้งแรกที่กาลเปิดใจเล่าเรื่องในอดีตให้ผมฟัง แต่แม่ง!...ทำไมต้องเป็นเรื่องแบบนี้ด้วย”

 

 

“ขอโทษแล้วกันที่ชีวิตผมมีแต่เรื่องแบบนี้”

 

 

“ไม่ใช่แบบนั้น...”

 

 

อารัณย์ทำท่าเหมือนกำลังจะพูดอะไรบางอย่างแต่เขาก็เปลี่ยนใจคว้าคนที่ทำท่าอดอาลัยตายอยากมากกอดไว้แทน

 

 

“นทีใช่ไหม”

 

 

“...!”

 

 

“ไอ้เวรที่ทำให้กาลปิดใจ ไม่ยอมให้ผมจีบคือไอ้นทีใช่รึเปล่า”

 

 

รัตติกาลที่ตอนแรกรู้สึกตกใจเป็นอย่างมากที่อารัณย์เอ่ยชื่อนี้ขึ้นมา แต่น้ำเสียงที่แสดงออกถึงความไม่พอใจแบบสุดๆกับแรงบีบรัดที่มากขึ้นนั้นทำให้เขาอดที่จะขำออกมาเบาๆไม่ได้

 

 

ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อ ว่าคนที่ครั้งหนึ่งเคยวางมาดใหญ่โตพูดจาสั่งสอนเขากำลังพาลใส่คนอื่นแค่เพราะทำอะไรไม่ได้ดั่งใจ ยอมรับว่าถูกใจไม่น้อยกับมุมเด็กๆของอารัณย์ที่แสดงออกให้เขาเห็นเพียงคนเดียวเท่านั้น

 

 

“เรียกว่าไอ้เลยหรอ...เขาแก่กว่าผมอีกนะ”

 

 

“แล้วไงใครสนกันล่ะ! ทำตัวเหี้ยแบบนั้นใครจะอยากให้ความเคารพ”

 

 

“รู้ได้ยังไงว่าเขาทำตัวไม่ดี เขาอาจจะไม่ใช่คนที่ทำให้ผมเจ็บก็ได้”

 

 

“จะเป็นใครได้อีก คนที่ทำให้กาลทำหน้าแบบนั้นได้น่ะ...ก็มีแต่มัน”

 

 

ร่างโปร่งขมวดคิ้วสงสัยในสิ่งที่อารัณย์พูดเขาจึงผละตัวออกจากอ้อมกอดของร่างสูงแล้วจ้องมองใบหน้าไม่สบอารมณ์ของชายหนุ่มเพื่อหาคำตอบ

 

 

“ผมทำหน้าแบบไหน?”

 

 

“ต้องบอกด้วยหรอ”

 

 

พูดเองก็หงุดหงิดเอง อารัณย์คิดย้อนกลับไปในช่วงเวลาที่รัตติกาลเอ่ยถึงผู้ชายคนนั้นเป็นครั้งแรกแล้วได้แค่กำหมัดแน่นด้วยความไม่ชอบใจ ร่างโปร่งพอเห็นท่าว่าอีกคนคงจะไม่ยอมปริปากบอกสิ่งที่เขาสงสัยได้ง่ายๆ รัตติกาลจึงยกมือขึ้นลูบแก้มสากของอารัณย์เบาๆเพื่อปลอบโยนให้อีกฝ่ายคลายความหงุดหงิดนั้นลง

 

 

“ไม่ต้องมาอ้อนเลย ผมไม่อยากบอก”

 

 

อารัณย์พูดอย่างรู้ทัน เขาตวัดตามองอีกฝ่ายแต่รัตติกาลกลับขำออกมาแทนที่จะไม่พอใจอย่างที่ควรเป็น อารัณย์คงไม่รู้ว่าในสายตาของรัตติกาลนั้นสิ่งที่ร่างสูงกำลังทำมันใกล้เคียงกับการอ้อนอย่างที่เจ้าตัวว่ามากกว่าซะอีก

 

 

“ขำอะไร”

 

 

“ฮ่าๆ เปล่า...ว่าแต่จะไม่บอกจริงหรอ”

 

 

“...จริง”

 

 

“ทำไมล่ะ”

 

 

“ยังจะถามอีกว่าทำไม ผมกำลังจีบกาลอยู่นะอย่าลืมซิ...ไม่มีใครอยากเห็นคนที่ตัวเองชอบนึกถึงแฟนเก่านักหรอก”

 

 

อารัณย์ว่าดังนั้นแล้วหันหน้าหนีไม่ยอมสบตากับรัตติกาลอีก

 

 

 

“บอกมาเถอะ ผมอยากรู้จะได้ไม่ทำอีก ผมเองก็ไม่อยากจะจำมันนักหรอก”

 

 

ร่างสูงยอมหันกลับมามองรัตติกาลด้วยสีหน้าอ่านยาก เขาไม่ได้ดีใจกับสิ่งที่อีกคนพูดกลับกันคำพูดนั้นมันกลายเป็นเครื่องย้ำเตือนว่าครั้งหนึ่งชายที่ชื่อนทีเคยมีความสำคัญกับรัตติกาลมากแค่ไหน ไม่สิ...แม้แต่ตอนนี้ก็ยังคงสำคัญอยู่

 

 

“กาลรักเขามากเลยหรอ ผู้ชายคนนั้นน่ะ”

 

 

อารัณย์ถามไปตามที่ใจคิด เขาไม่อยากจะคาดเดาเรื่องพวกนี้ไปเพียงฝ่ายเดียว แม้มันจะยากสำหรับรัตติกาลแต่เขาก็ต้องถามเพื่อให้รู้ว่าบาดแผลที่นทีสร้างเอาไว้นั้นมันบาดลึกแค่ไหน

 

 

“ต้องบอกด้วยหรอ...”

 

 

รัตติกาลย้อนคืนด้วยคำพูดเดียวกันแต่น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและแค้นเคืองจนคนฟังรู้สึกได้ อารัณย์พยายามคลายมือที่กำกันแน่นของรัตติกาลออกแล้วให้อีกฝ่ายบีบมือเขาไว้แทน

 

 

“ไม่ต้องหรอก เพราะเอาจริงๆผมก็ไม่กล้าฟัง”

 

 

“...”

 

 

“กาล...ให้โอกาสผมนะ”

 

 

อารัณย์นำมือของรัตติกาลมาวางไว้ตรงตำแหน่งหัวใจ เขาหลับตาลงอยู่ครู่หนึ่ง ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะหันมาเผชิญหน้ากับรัตติกาลอีกครั้ง

 

 

“ถึงกาลจะบอกว่าเหนื่อยแต่ผมก็ยังอยากให้กาลเดินไปด้วยกันอยู่ดี กาลบอกว่าไม่คิดจะรักใครอีกแต่ผมก็ไม่อยากยอมแพ้แล้วทิ้งกาลไว้กับอดีตแบนนั้น “

 

 

“...”

 

 

“ผมอาจจะไม่ดีเท่าเขา ผม...อาจจะทำให้กาลรักเท่าที่เขาเคยทำไม่ได้ แต่ผมจะทำให้กาลมีความสุขกว่าที่เขาเคยทำ ผมจะทำให้กาลยิ้มมากกว่าเวลาอยู่กับเขาให้ได้ เชื่อผม...ให้โอกาสผมนะกาล ”

 

 

“เอาแต่ใจชะมัด”

 

 

ถึงปากจะว่าแต่รัตติกาลกลับซุกใบหน้าที่ร้อนผ่าวลงบนไหล่ลาดของอีกฝ่าย เขาหลับตาลงปล่อยให้มือของอารัณย์สัมผัสเส้นผมของตนไปเรื่อยๆโดยไม่คิดจะห้ามปราม ความรู้สึกที่แฝงมากับคำพูดของอีกฝ่ายค่อยๆเติมเต็มรูโหว่ในอกของเขาอย่างช้าๆ แม้จะเป็นแค่เศษเสี้ยวเดียวแต่มันก็มากพอที่จะทำให้รัตติกาลยิ้มออกมาได้ทั้งๆที่มีน้ำตาไหลนองเต็มใบหน้า

 

 

“ผมไม่รับปากหรอกนะ ว่าคุณจะได้สิ่งที่หวัง”

 

 

“โห ขี้งกว่ะ”

 

 

“รับไม่ได้ก็เลิกไป ไม่ได้ง้อ”

 

 

“ขี้งอนอีกต่างหาก จะจีบไหวไหมเนี่ย”

 

 

“หึ เด็กน้อยชะมัด”

 

 

รัตติกาลผละออกมาแล้วขึ้นไปนอนบนเตียงโดยไม่สนเสียงบ่นโอดครวญของคนที่เพิ่งตัดสินใจให้โอกาสก้าวเข้ามาทำลายกำแพงหนาที่เริ่มมีรอยร้าวเกิดขึ้นทีละนิดโดยที่ไม่มีใครรู้ เขาสะบัดผ้าห่มให้คลุมทั่วร่างแล้วหลับตาลงในขณะที่อารัณย์ยังคงนั่งอยู่บนพื้นโดยที่ใบหน้าหล่อเหลาเท้าอยู่บนเตียง

 

 

“มาว่าผมเด็ก กาลก็ชอบเด็กอยู่แล้วไม่ใช่รึไง”

 

 

“หื้ม?”

 

 

“ไอ้เด็กปูนนั่นไง กลับไปก็จัดการบอกเลิกให้เรียบร้อยด้วย”

 

 

“ทำไมต้องทำอย่างนั้น ผมแค่ให้โอกาสยังไม่ได้ตกลงคบด้วยสักหน่อย”

 

 

“ก็ผมหึง ถ้าไม่อยากให้เด็กนั่นเดือดร้อนก็เลิกซะ”

 

 

“อันธพาล”

 

 

“เขาเรียกว่านักเลง”

 

 

ร่างโปร่งส่ายหน้าอย่างอ่อนใจทั้งที่หลับตาอยู่อย่างนั้น ครู่หนึ่งเขาก็สัมผัสได้ว่าไฟดวงใหญ่ถูกดับลงพร้อมกับความมืดสนิทที่เข้ามาแทนที่ เสียงแมลงร้องกันระงมแทนเสียงกล่อมจากธรรมชาติให้ผู้คนที่เหนื่อยล้ามาทั้งวันได้หลับใหลเพื่อที่จะใช้ชีวิตต่อไปในวันพรุ่งนี้ แต่ยังไม่ทันที่รัตติกาลจะได้ทำเช่นนั้น ฟูกแข็งๆของเขาก็ยุบตัวลงจนชายหนุ่มต้องเบิกตาโพลงแล้วมองหาตัวต้นเหตุที่กำลังตีเนียนอิงหมอนใบเดียวกันอยู่

 

 

“อารัณย์!”

 

 

“หื้ม ลุกมาทำไมนอนต่อสิ”

 

 

“คุณนั่นแหละลุกเลย ใครให้มานอนบนนี้”

 

 

“ก็พื้นมันแข็ง นอนไม่หลับเลย เตียงก็ออกจะกว้างแบ่งๆกันนอนสิ”

 

 

“ไม่...ลงไป”

 

 

รัตติกาลปฏิเสธเสียงแข็งพร้อมกับชี้ไปบนฟูกบางๆซึ่งปูไว้บนพื้นด้วยฝีมือของอารัณย์เองนั่นแหละ

 

 

“คืนเดียวเองกาล พื้นมันแข็งจริงๆนะ ปวดหลังอะ”

 

 

“แข็งจริงหรอ”

 

 

“อืม”

 

 

“งั้น...บอกด้วยแล้วกันว่าแข็งมากไหม!”

 

 

 

 

ผลัก!!

 

 

 

 

“โอ้ย!!! กาล! ถีบผมทำไมเนี่ย!”

 

 

อารัณย์ลงไปนอนกลิ้งอยู่บนพื้นทันทีที่รัตติกาลออกแรงถีบเข้าเต็มลำตัว ใบหน้าคมเหยเกเพราะความเจ็บแต่ยังถือว่าโชคดีที่แขนข้างที่โดนยิงไม่ได้ถูกกระแทก ร่างสูงลูบสะโพกของตนปอยๆ พลางมองคนที่ทำร้ายตัวเองอย่างไม่ชอบใจ

 

 

“แค่นี้ต้องถีบกันเลยหรอ ผมเจ็บนะเว้ย”

 

 

“ก็ทำให้เจ็บ พูดดีๆไม่ฟัง โดนซะบ้าง”

 

 

รัตติกาลทำสีหน้าราวกับว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ทั้งๆที่ตัวเองเพิ่งถีบผู้มีพระคุณลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้น

 

 

“กาลแม่งใจร้ายว่ะ”

 

 

“ก็รู้อยู่แล้วนิ”

 

 

ร่างโปร่งล้มตัวลงนอนแต่ก็ยังส่งสายตาคาดโทษไปให้อารัณย์ที่นั่งหน้าบึ้งจ้องมาอยู่ก่อนแล้ว ทั้งคู่คอยดูทีท่ากันอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งอารัณย์มั่นใจแล้วว่าคืนนี้รัตติกาลไม่มีทางใจอ่อนยอมให้เขานอนร่วมหมอนเป็นแน่จึงตัดใจล้มตัวลงนอนทั้งที่ไม่รู้เลยว่าจะข่มตาให้หลับลงได้รึเปล่า

 

 

“กาล”

 

 

“อะไร”

 

 

“จะไม่ให้นอนด้วยจริงหรอ”

 

 

“จริง”

 

 

“งั้น...ขอจับมือหน่อยได้ไหม”

 

 

“...มันเมื่อย”

 

 

อารัณย์ได้ยินดังนั้นแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ แม้อีกฝ่ายจะยอมอ่อนลงให้เขาบ้างแล้วแต่ดูเหมือนว่ารัตติกาลจะยังไม่คิดอะไรเกินเลยกับเขาเลยแม้แต่น้อย

 

 

“มึงแม่งทะลึ่งว่ะรัณย์...คิดเหี้ยอะไรอยู่ได้วะ”

 

 

ชายหนุ่มบ่นงึมงำแล้วพยายามกล่อมตัวเองให้หลับลงแม้ว่าจะยังมีหลายอย่างที่คั่งค้างอยู่ในใจ ด้วยความที่อากาศไม่หนาวมากอารัณย์จึงไม่ได้ห่มผ้า เขาปล่อยให้สายลมเอื่อยๆพัดพาความร้อนจากร่างกายให้บรรเทาเบาบางลงบ้าง

 

 

แต่ในจังหวะหนึ่งขณะที่เขาลืมตาขึ้นมองในความมืด อารัณย์ได้เห็นบางอย่างแล้วยิ้มกว้างออกมาพร้อมกับความหวังที่ถูกจุดขึ้นมาใหม่

 

 

“ขอบคุณครับ”

 

 

อารัณย์เอื้อมมือขึ้นไปจับมือเรียวยาวที่โผล่พ้นของเตียงออกมาเพียงเล็กน้อย แม้จะไม่ถนัดและเมื่อยแค่ไหนเขาก็ไม่คิดที่จะปล่อยมันไป อารัณย์หลับตาลงพร้อมกับรอยยิ้มในขณะที่รัตติกาลยังคงลืมตาโพลงอยู่อย่างนั้นพร้อมกับทบทวนเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นและสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในเช้าวันพรุ่งนี้ที่เขาลืมตา

 

 

เขาจะก้าวข้ามมันได้รึเปล่า?

 

 

เขาจะต้องผิดหวังอีกไหม?

 

 

รัตติกาลเฝ้าถามตัวเองถึงแม้จะรู้ดีว่าไม่มีใครรู้อนาคตของตัวเองได้

 

 

แต่ถึงอย่างนั้นรัตติกาลก็ตัดสินใจแล้วว่าจะลองดูอีกครั้ง

 

 

ตั้งแต่วินาทีที่ฝ่ามืออุ่นๆของอารัณย์กอบกุมมือที่เย็นเฉียบของเขาไว้

 

:mew3:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :mew3:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-09-2015 20:08:23 โดย vivacestory »

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
 

 

“กาล ตาฝากถามว่าวันนี้จะไปป่าด้วยกันรึเปล่า”

 

 

เสียงอารัณย์ตะโกนดังมาจากชั้นล่างทำให้รัตติกาลที่กำลังยุ่งอยู่กับการเขียนหนังสือต้องผละจากงานแล้วลุกขึ้นมาพูดคุยกับคนที่ยืนรอคำตอบที่ระเบียงไม้

 

 

“คุณอยากไปรึเปล่าล่ะ?”

 

 

“อยากไป อยู่นี่มาอาทิตย์นึงแล้วยังไม่ได้ไปเลย”

 

 

“ก็ตอนนั้นแผลยังไม่หายดี จะไปให้สกปรกทำไม”

 

 

“ตอนนี้หายแล้ว งั้นไปกันนะ อยากเห็นกาลงมหอย”

 

 

รัตติกาลส่ายหัวให้กับความทะเล้นของอารัณย์ สุดท้ายแล้ววันนั้นร่างโปร่งก็ไม่ได้เขียนหนังสือที่ค้างไว้ให้จบบท ทั้งสองคนเดินเคียงคู่กันไปโดยมีตาไทยเดินนำหน้า รัตติกาลคอยตอบคำถามอารัณย์ที่ชี้นกชี้ไม้ด้วยความสงสัยทั้งที่ความจริงแล้วควรถามเจ้าถิ่นอย่างตามากกว่าแทนที่จะเป็นรัตติกาลที่เคยมาแค่ครั้งเดียว

 

 

“ไอ้แหลมๆนั่นมันคืออะไรหรอกาล เหมือนรากไม้เลย”

 

 

“ก็รากไม้นั่นแหละ เรียกว่ารากดินสอ แทงจากใต้ดินขึ้นมาบนบกใช้หายใจ”

 

 

อารัณย์พยักหน้าเมื่อได้ฟังคำตอบตามที่สงสัย ก่อนจะยกกล้องที่คล้องคออยู่ขึ้นถ่ายคอยเก็บภาพบรรยากาศต่างๆไปด้วย ภาพรัตติกาลและอารัณย์เริ่มเป็นที่ชินตาของชาวบ้าน โดยเฉพาะร่างโปร่งที่เคยมางมหอยแครงก่อนหน้านี้แล้วเลยต้องคอยตอบคำทักทายเสียยกใหญ่ แม้แต่อารัณย์เองที่ไม่เคยมาก็ยังพอเป็นที่รู้จักบ้างเหมือนกัน

 

 

“อ้าวอารัณย์ แผลหายดีแล้วหรอจ๊ะ”

 

 

“ครับ จริงๆหายตั้งนานแล้วแต่กาลยังให้ปิดแผลไว้ก่อน”

 

 

“ดีแล้ว แถวนี้มีแต่ดินแต่โคลนสกปรก เชื่อฟังกาลไว้นะอย่าดื้อให้โดนดุอีกล่ะ”

 

 

ชาวบ้านที่มารวมตัวกันต่างหัวเราะกันครืนเมื่ออารัณย์โดนแซวไปแบบนั้นจนเจ้าตัวทำหน้าบึ้งเพราะสิ่งที่คนพวกนั้นพูดเป็นความจริงทั้งนั้น ตั้งแต่วันที่รัตติกาลยอมตกลงให้อารัณย์เดินเครื่องจีบเขาเต็มตัว ทั้งสองคนต่างก็ค่อยๆเปิดเผยนิสัยที่แท้จริงให้แต่ละฝ่ายศึกษากันอย่างค่อยเป็นค่อยไป

 

 

รัตติกาลยิ้มขำเมื่อคนที่ดูภายนอกค่อนข้างเป็นผู้ใหญ่อย่างอารัณย์แท้จริงแล้วมีมุมขี้เล่นอย่างที่คิดไม่ถึง โดยเฉพาะเวลาอยู่กับ คนแก่ และรัตติกาล เจ้าตัวจะออกอาการออดอ้อนจนไม่เหลือเค้าของพี่เลี้ยงหนุ่มขวัญใจเด็กๆ ที่มักจะแสดงความเป็นผู้ใหญ่ออกมาเมื่อต้องเจอคนที่มีวุฒิภาวะต่ำกว่า นับว่าเป็นคนที่พึ่งพาได้จนลูกเด็กเล็กแดงแถวนั้นต่างติดใจพี่อารัณย์กันเป็นแถว

 

 

สำหรับรัตติกาลเองก็ถูกอารัณย์เอาใจใส่ไม่ต่างกัน แม้เจ้าตัวจะบาดเจ็บแต่ร่างสูงก็มักจะพยายามดูแลรัตติกาลทุกทางเท่าที่จะทำได้ ในทุกๆวันรัตติกาลที่นอนขี้เซากว่าจะตื่นขึ้นมาด้วยกินหอมของกับข้าวที่ลอยฟุ้งจนไม่อาจทนนอนต่อไปได้ แม้กับข้าวที่อารัณย์ทำให้จะไม่ใช่อะไรพิเศษไปกว่า ไข่เจียว ผัดผัก หรือข้าวต้มอ่อนๆแต่ร่างโปร่งก็ทานมันจนหมดทุกครั้งเพื่อตอบแทนน้ำใจอีกฝ่ายที่ยิ้มแก้มปริทุกครั้ง

 

 

“กาลจะลงด้วยกันไหม”

 

 

ร่างโปร่งส่ายหน้า เขาเอื้อมมือไปรับกล้องถ่ายรูปจากอารัณย์มาถือไว้แทนปล่อยให้คนตัวโตลงไปยืนตั้งหลักอยู่บนดินเลนเหมือนกับที่เขาเคยทำ รัตติกาลอดไม่ได้ที่จะมองแผลของอารัณย์อย่างเป็นกังวล แม้เขาจะเห็นว่ามันหายดีแล้วแต่ก็ยังไม่อยากให้ชายหนุ่มใช้งานมันหนักมากอยู่ดี อารัณย์เองเมื่อเห็นรัตติกาลมองมาด้วยสายตาแบบนั้นก็ยิ้มออกมาเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเป็นกังวล

 

 

“ไม่เป็นไรหรอก สัญญาว่าจะไม่เล่นอะไรแผลงๆ”

 

 

“อืม...ระวังด้วยล่ะ”

 

 

อารัณย์พยักหน้าแล้วเริ่มออกเดินตามชาวบ้านไป ทิ้งให้รัตติกาลนั่งอยู่บนสะพานไม้เคียงข้างกับตาเฒ่าที่แก่เกินกว่าจะลงไปงมกุ้งหอยเองเช่นกัน

 

 

“ไอ้หนุ่มนี่มันเก่งกว่าเอ็งเยอะเลยนะ แปปเดียวก็เดินคล่องแล้ว”

 

 

“โถ่ตา แค่อารัณย์ช่วยซ่อมพื้นหน่อยเดียวเข้าข้างกันใหญ่เลยนะครับ”

 

 

“ไม่ได้เข้าข้างเว้ย ตายังจำได้อยู่เลยว่าเอ็งเดินไปแค่สามก้าวก็หัวทิ่มแทบจะปักไปบนเลนอยู่แล้ว กินเยอะๆหน่อยสิจะได้แข็งแรงอย่างพ่อรัณย์มัน เดินคู่กันมันนี่แทบจะบังเอ็งมิด”

 

 

ตาแก่พูดไปตามเรื่อง ดวงตาที่ผ่านช่วงเวลามามากมายมองตรงไปยังอารัณย์ที่พูดคุยกับชาวบ้านอย่างสนุกสนาน เช่นเดียวกับรัตติกาลที่ไม่อาจละสายตาจากรอยยิ้มของอารัณย์ไปได้ ร่างโปร่งยกกล้องของอารัณย์ขึ้นแล้วกดถ่ายภาพนั้นไว้โดยที่เจ้าของมันไม่รู้ตัว

 

 

“วันนี้มันก็ได้ย้ายกลับไปห้องมันแล้ว พ่อกาลจะได้นอนสบายๆสักที”

 

 

“...ครับ”

 

 

“เออว่าแต่ไอ้เจ้าอารัณย์นี่มันก็แปลกคน ตอนซ่อมพื้นเสร็จมันมาถามตาว่าแข็งแรงพอไหม มีตรงไหนพังอีกรึเปล่าจะได้ซ่อมไปทีเดียว พอตาบอกว่าไม่เป็นไรรอพวกเอ็งกลับค่อยซ่อมจะได้ไม่ต้องรบกวนเอ็งนาน มันนี่ทำหน้าเสียดายใหญ่จนยายพิศเห็นแล้วขำไม่หยุดเชียวแหละ”

 

 

รัตติกาลยิ้มอ่อน นึกถึงเมื่อคืนก่อนที่อารัณย์ถามทีเล่นทีจริงว่าจะทำยังไงให้พื้นอีกห้องซ่อมไม่เสร็จ ชายหนุ่มคิดเป็นจริงเป็นจังถึงขั้นโทรไปถามฤทธิชาติเพื่อขอความเห็นแต่ก็โดนอีกฝ่ายกวนกลับมาจนต้องมานั่งบ่นเป็นหมีกินผึ้งให้เขาฟัง

 

 

“ตาว่าไอ้เจ้ารัณย์มันติดเอ็งแล้วล่ะพ่อกาล”

 

 

จู่ๆตาไทยก็พูดขึ้นทำให้รัตติกาลที่กำลังลั่นชัตเตอร์อยู่ชะงักทันทีที่ได้ยิน เขาไม่ได้กังวลมากนักว่าชาวบ้านที่นี่จะรับรู้ว่าเขาเป็นอย่างไร จะห่วงแต่ก็ภาพพจน์ของอารัณย์ที่อาจจะแค่เผลอไผลไปชั่วขณะ แม้เขาจะยอมรับว่าตนเองก็เริ่มรู้สึกดีที่มีอีกฝ่ายอยู่ใกล้ๆแต่ก็ยังไม่อยากคิดอะไรไปไกลกว่านี้ เพราะถ้าวันหนึ่งที่เราต้องตื่นจากฝันคนที่อาจจะเสียหายมากที่สุดคงเป็นอารัณย์ไม่ใช่เขา

 

 

“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกตา อารัณย์ก็อ้อนคนโน้นคนนี้ไปเรื่อยแหละครับ”

 

 

“ตาว่าไม่ใช่นะ ทั้งวันเห็นมันป้วนเปี้ยนอยู่กับเอ็งคนเดียวนั่นแหละ ถ้าเอ็งไม่โผล่ไปไหนมันก็ไม่ไปเหมือนกัน วันก่อนยายไปเรียกให้มันมากินข้าวข้างด้วยกันตอนเอ็งยังนอนอยู่มันยังไม่ยอมมาเลย”

 

 

รัตติกาลยิ้มแหย เริ่มรู้สึกไม่สบายใจที่คนบ้านนั้นมองว่าอารัณย์เป็นคนเป็นแบบนี้ แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่เดือดเนื้อร้อนใจเท่าไหร่ ร่างสูงยังคงโบกมือให้รัตติกาลจากที่ไกลๆจนตาไทยที่เห็นเช่นนั้นหัวเราะออกมาเสียงดัง

 

 

“ฮ่าๆ นั่นไง เป็นอย่างที่ไหมล่ะ”

 

 

“...ครับ”

 

 

“เอาน่า อย่าคิดมากไป ถ้ามันน่ารำคาญนักคืนนี้ก็ไล่มันกลับห้องไป”

 

 

“ไม่รู้เหมือนกันว่าจะยอมรึเปล่า...”

 

 

ร่างโปร่งบ่นพึมพำกับตัวเองทำให้ตาไทยไม่ได้ยิน เขานั่งรออารัณย์ร่วมชั่วโมงก่อนอีกฝ่ายจะเดินกลับมาพร้อมกระป๋องที่ใส่หอยไว้จนเต็มแถมด้วยขนมตาลและน้ำตาลสดที่ชาวบ้านฝากไว้ให้ไปลองชิมอีกจำนวนหนึ่ง รัตติกาลยื่นผ้าขนหนูผืนเล็กให้อารัณย์ใช้เช็ดหน้าที่แดงกล่ำเพราะแดดแต่มันกลับยิ่งทำให้คนตัวโตดูดีขึ้นเสียจนชายหนุ่มแอบชื่นชมในใจ

 

 

“มองทำไม หล่ออะดิ”

 

 

“หล่อ...ตายห่า”

 

 

รัตติกาลกล้ากวนกลับไปเพราะตาไทยเดินกลับไปก่อนแล้วจึงเหลือพวกเขาเพียงแค่สองคนเท่านั้น อารัณย์หัวเราะเสียงดังก่อนจะยกมือข้างที่เพิ่งล้างเสร็จขึ้นขยี้หัวของร่างโปร่งแรงๆจนรัตติกาลต้องไล่ตีมือที่ทำร้ายตนเองอยู่เป็นพัลวัน อารัณย์ยิ้มชอบใจที่เห็นรัตติกาลทำหน้าบึ้งพลางบ่นกระปอดกระแปดเพราะกลัวว่ากลิ่นโคลนจะติดไปกับผม จนคนตัวโตต้องคว้าเอวบางให้มายืนอยู่ใกล้ๆแล้วก้มลงสูดความหอมบนกะหม่อมของรัตติกาลโดยไม่สนใจเลยว่าอีกคนจะรู้สึกยังไง

 

 

“ไม่เห็นเหม็นเลย หอมจะตาย”

 

 

“รัณย์!ปล่อย!”

 

 

“อะไร กอดนิดเดียวเอง”

 

 

“เดี๋ยวมีคนมาเห็น นี่ไม่ได้อยู่ในบ้านเข้าใจไหม”

 

 

รัตติกาลพูดในสิ่งที่กังวลออกมา เพราะอย่างที่ว่าเขาจึงไม่ค่อยอยากให้อารัณย์แสดงท่าทีกับตนในที่สาธารณะเท่าไหร่ แต่ความหวังดีของรัตติกาลกลับทำให้อีกคนมองมาอย่างไม่ชอบใจเหมือนกับทุกๆครั้งที่ร่างโปร่งปฏิเสธการสัมผัสจากเขา

 

 

“ไม่เห็นไปไรเลย ใครจะเห็นก็เห็นไป”

 

 

“มันดูไม่ดี”

 

 

“ไม่ดีตรงไหน เราไม่ได้ไปทำให้ใครเดือดร้อนสักหน่อย”

 

 

“คนอื่นน่ะไม่เดือดร้อนหรอก...คุณต่างหากที่จะเดือดร้อน”

 

 

 อารัณย์ขมวดคิ้ว ร่างสูงคว้าเอากระป๋องมาถือไว้แล้วใช้อีกมือหนึ่งคว้าเอามือของรัตติกาลมาจับโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะขันขืนแค่ไหน ไม่ว่าด้วยเพราะแรงที่มากกว่าหรือความดึงดันที่อารัณย์แสดงออกทางสายตาทำให้รัตติกาลต้องหันหน้าหนีแล้วค่อยๆผ่อนแรงที่ขืนไว้ลง

 

 

“มีใครมาพูดอะไรรึเปล่า”

 

 

“...เปล่า”

 

 

“ตาไทยหรอ? ตาว่ากาลมาใช่ไหม”

 

 

“ไม่ใช่แบบนั้น”

 

 

“แล้วแบบไหน ทำไมจู่ๆกาลถึงพูดแบบนี้ออกมา”

 

 

รัตติกาลถอนหายใจ เขาออกแรงจูงอารัณย์ให้เดินตามกันมาจนถึงปลายสะพานที่ไร้ผู้คนมีเพียงเงาของต้นไม้ใหญ่ที่ทอดยาวไปกับพื้น พวกเขาเดินไปเรื่อยๆจนถึงชายหาดเล็กๆที่แม้จะไม่สวยงามและลงเล่นน้ำไม่ได้แต่ก็ถือเป็นจุดแปลกตาที่รัตติกาลชอบทันทีที่ได้เห็นมันครั้งแรก เขาให้อารัณย์วางสัมภาระลงบนโขดหินใหญ่ใกล้ๆแถวนั้นแล้วพากันถอดรองเท้าออกปล่อยให้ผิวหนังเปลือยเปล่าสัมผัสกับพื้นทรายและน้ำทะเลที่ซัดเข้าหาฝั่ง

 

 

“อารัณย์...ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมารู้สึกยังไงบ้าง”

 

 

“มีความสุข”

 

 

อารัณย์ตอบได้โดยไม่ต้องคิดสีหน้าจริงจังนั้นทำให้รัตติกาลยิ้มออกมาได้ทั้งที่ความกังวลยังสุมแน่นอยู่ในอก เขาทรุดตัวลงค่อยๆใช้มือโกยทรายบนพื้นเข้าหากันแล้วพยายามปั้นมันให้เป็นรูปร่าง

 

 

“ช่วยหน่อยสิ”

 

 

“ฮะ?”

 

 

“ปราสาททรายน่ะ...ผมอยากเห็น”

 

 

ไม่ต้องรอให้พูดซ้ำสอง อารัณย์เดินตรงมายังที่ที่รัตติกาลอยู่แล้วนั่งลงกับพื้นโดยไม่กลัวเลยว่าตัวเองจะแปดเปื้อนแค่ไหน มือทั้งสองคู่ค่อยๆบรรจงสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ขึ้นจากสิ่งที่ไม่มั่นคงอย่างเม็ดทราย ทุกครั้งที่ปราสาทนั้นทรุดลงทั้งสองคนก็พยายามที่จะสร้างมันขึ้นมาใหม่

 

 

เวลาล่วงเลยไปจนฟ้าสีครามเลือนหายกลายเป็นสีส้ม อารัณย์และรัตติกาลยืนมองความตั้งใจของทั้งคู่ที่แฝงอยู่ในเม็ดทรายตั้งแต่ฐานจรดปลายยอด ร่างสูงเดินไปหยิบกล้องคู่ใจมาถ่ายภาพแห่งความทรงจำโดยไม่ลืมที่จะเก็บอิริยาบถของรัตติกาลตอนเผลอไว้ อารัณย์มองภาพๆนั้นด้วยความพึงพอใจ ใบหน้าด้านข้างของรัตติกาลที่นั่งอยู่เคียงข้างปราสาททรายหลังเล็กกำลังมองไปยังเส้นขอบฟ้า ความสุขสงบที่เผยผ่านทางสีหน้าทำให้อารัณย์รู้ว่ารัตติกาลอยากเก็บช่วงเวลาสำคัญนี้ไว้มากแค่ไหนเพราะเขาเองก็รู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน

 

 

“อารัณย์”

 

 

“หื้ม”

 

 

“ผม...ก็มีความสุขเหมือนกัน ขอบคุณนะ”

 

 

ร่างสูงยิ้มแทนคำตอบเขาเดินกลับไปแล้วนั่งลงเคียงข้างรัตติกาลก่อนที่จะยื่นกล้องออกไปสุดแขนเพื่อเก็บภาพของพวกเขาทั้งคู่ไว้ให้เฟรมเดียวกัน อารัณย์กดชัตเตอร์ด้วยความลำบากแต่ผลของมันก็คุ้มค่าเสียจนเขาอดคิดไม่ได้ว่าภาพๆนี้คือภาพที่สวยที่สุดที่เขาเคยมี ไม่ใช่เพราะวิวทะเลที่สวยงาม ไม่ใช่เพราะปราสาททรายสวยที่พวกเขาบรรจงสร้าง แต่เป็นเพราะรอยยิ้มของพวกเขาทั้งสองคนที่ถูกบันทึกไว้

 

 

“อารัณย์”

 

 

“ครับ เรียกบ่อยจังเลย ฮ่าๆ”

 

 

“เรื่องของเรา...มันไม่มั่นคงหรอกนะ”

 

 

“...”

 

 

“ถึงเราจะพยายามสร้างมันจนสวยงามแค่ไหน สุดท้ายมันก็ต้องหายไปอยู่ดี”

 

 

“...”

 

 

“อย่าจริงจังกับผมมากไปกว่านี้เลยนะ”

 

 

อารัณย์เบิกตากว้างก่อนจะค่อยๆปิดมันลง รัตติกาลได้ยินเสียงคนข้างๆถอนหายใจ เขาไม่กล้าแม้แต่จะหันไปมองว่าอารัณย์กำลังทำหน้าแบบไหน เขากลัว...กลัวว่าตัวเองจะเปลี่ยนใจหากได้เห็นสีหน้าผิดหวังของร่างสูง หากแต่อารัณย์กลับไม่ยอมปล่อยให้รัตติกาลหนีตนไปอีกครั้ง

 

 

ฝ่ามือหยาบจับใบหน้าของรัตติกาลให้หันกลับมามองที่ตน อารัณย์จ้องมองไปยังดวงตาที่หวั่นไหวคู่นั้น หากเปรียบเป็นทะเลมันคงเป็นนาวาที่เต็มไปด้วยมรสุมเสียจนกลัวว่ามันจะแตกสลาย รัตติกาลมองใบหน้าของอารัณย์ที่เคลื่อนเข้ามาใกล้ อยากจะหันหนีแต่ก็ไม่อาจทำได้ เขาหลับตาลง ไม่อยากสบตากับอารัณย์มากไปกว่านี้จนกระทั่งเขาสัมผัสได้ถึงปลายจมูกของร่างสูงที่จรดอยู่บนปลายจมูกของเขา...

 

 

 

 

 

โป้ก!!!

 

 

 

 

“โอ้ย!!!!”

 

 

รัตติกาลกุมหน้าผากของตัวเองจนเสียหลังลงไปนอนกองกับพื้นทรายเช่นเดียวกับคนที่ลงมือทำร้ายแต่ดีกว่าหน่อยตรงที่อารัณย์ตั้งหลักได้ทันจึงยังคงนั่งอยู่กับที่แล้วมองมายังรัตติกาลด้วยสีหน้าสะใจจนเกินบรรยาย

 

 

“ทำอะไรวะ เจ็บนะเว้ย!!!”

 

 

“ก็ทำให้เจ็บไง หมั่นไส้คน!”

 

 

ร่างโปร่งพยุงตัวเองขึ้นแล้วคว้าคอเสื้อของอารัณย์มากำไว้ด้วยความไม่พอใจ อารัณย์มองรัตติกาลที่ฟึดฟัดด้วยท่าทางไม่เดือดเนื้อร้อนใจจนทำให้รัตติกาลโมโหมากขึ้นกว่าเดิม

 

 

“เพ้อเจ้อว่ะกาล อ่านหนังสือเยอะไปหน่อยไหม”

 

 

“จะพูดอะไรกันแน่!”

 

 

“ก็จะบอกว่ากาลน่ะบ้า เพ้อเจ้อ คิดมากไปรึเปล่าวะ!”

 

 

“...”

 

 

“เคยเรียนไหมพระพุทธศาสนาน่ะ เขาสอนว่าทุกสิ่งไม่เที่ยงไม่ใช่หรอ แล้วกาลมาเพ้อทำไมว่าสักวันทุกอย่างมันจะพัง มันพังแน่นอนอยู่แล้ว ไม่มีอยู่เป็นนิรันดร์ได้ คนเราสักวันหนึ่งก็ต้องตาย สักวันเราก็ต้องจากกันอยู่ดี”

 

 

อารัณย์คว้ารัตติกาลมากอดไว้แน่นไม่สนใจว่าตัวเองจะเปียกปอนแค่ไหน ร่างโปร่งขืนตัวอยู่สักพักแต่ก็ยอมสงบลงเมื่ออารัณย์ลูบลงบนแผ่นหลังตนเบาๆ

 

 

“ความสวยงามของการเดินทาง อยู่ที่ระหว่างทางไม่ใช่จุดหมาย...จำได้ว่าเคยอ่านเจอจากหนังสือสักเล่มในห้องกาล อ่านไปตั้งเยอะเคยจำมาใช้บ้างป่ะเนี่ย”

 

 

“...ทำมาเป็นสอน”

 

 

“ก็สอนไง อยากสอนเยอะกว่านี้อีก คิดได้ไงมาบอกให้ผมไม่ต้องจริงจังด้วย คนฟังใจหายแค่ไหนรู้บ้างรึเปล่า”

 

 

“...รู้”

 

 

“ถ้ารู้ก็อย่าทำ...มันเจ็บ”

 

 

“ขอโทษ”

 

 

รัตติกาลยกมือขึ้นกอดอารัณย์ตอบแล้วซบหน้าลงบนแผ่นอกหนาที่อบอุ่นสำหรับเขาเสมอ

 

 

“ผมบอกแล้วใช่ไหมว่าจะทำให้กาลมีความสุข”

 

 

“อืม”

 

 

“แล้วตอนนี้กาลมีความสุขไหม”

 

 

“...มาก”

 

 

“แค่นั้นก็พอแล้ว แค่ตอนนี้กาลมีความสุขต่อให้สักวันมันต้องหายไปก็ไม่เป็นไร ไม่ว่าอนาคตเราจะอยู่ด้วยกันหรือไม่ก็ตาม ขอแค่กาลจำมันไว้ก็พอ”

 

 

ทั้งสองคนตกอยู่ในความเงียบ มีเพียงสายลมเคล้ากลิ่นทะเลลอยมาทำให้ผมสีดำเข้มถูกพัดจนร่วงมาปรกใบหน้า คนอายุน้อยกว่าจับปอยผมสีท้องฟ้ายามค่ำคืนไว้แล้วทัดมันเข้ากับใบหูของผู้เป็นเจ้าของโดยไม่รู้เลยว่าการกระทำของตนเองนั้นทำให้ใครบางคนรู้สึกเหมือนปราสาททรายที่สั่นไหวเพราะคลื่นทะเล

 

 

 

“ตราบเท่าที่กาลยังจดจำความรู้สึกของผมได้ ผมจะอยู่กับกาลเสมอ”

 

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

คุยกับเช่!!

แน่ะๆ คิดอะดิว่าจะเจอฉากอัศจรรย์  :z1:  :pigha2: รอไปก่อนนะ 5555555555 ขอใสๆอีกสักตอน ส่วนตอนหน้า...ลุ้นกันต่อไป (ถ้าเช่ไม่ออกทะเลก็คงได้อ่านมั้ง)  :man1:

ตอนนี้มาเร็วนิดหน่อย รีบปั่นให้ก่อนไม่ว่างคับ ทุกวันนี้รู้สึกว่าตัวเองเป็นยอดมนุษย์มาก นี่คนหรือเห็ดรา แยกร่างเร็วเว่อร์ทำโน้นทำนี่หัวหมุนไปหมดเลย อยากพาพี่กาลกลับบ้านแล้ว เช่จะได้เข้าเฟสสามสักที อัดเอ็มร้อยแล้วเขียนต่อไป!  :katai1:

ขอบคุณทุกเม้นต์ทุกโหวตคับ มากน้อยเช่อ่านหมดเลยแต่ไม่รู้จะตอบยังไงหมด (อยากตอบมาก แต่ไม่อยากให้รก) ขอบคุณนะคับที่เป็นกำลังใจให้เช่มาตลอด เหนื่อยๆมานั่งอ่านคอมเม้นต์นี่ยิ้มแก้มปริ ไม่ใช่ไร อ้วน T^T ช่วงนี้กินเยอะมาก (สังเกตได้จากฉากของกินที่เพิ่มขึ้นทุกที)  :katai3:


 

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7524
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
หวานเกิ้นนน หมั่นไส้ 5555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ imymild

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1

ออฟไลน์ kanomjeeb

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 101
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ฮาาาาาาา ลำใยมากกกกกกก

รัณย์น่ารักอะ พ่อพระด้วย กาลรีบหลงได้แล้ว

สุดท้ายขำเช่มากตรงยิ้มแก้มปริเพราะอ้วน

คนอ่านก็อ้วนค่ะ เจอฉากของกินดึกๆเนี่ย

ออฟไลน์ love AJ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 298
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-2

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
 

32nd Night

…Happiness...


 

 

“หรอ แล้วอานิลทำยังไงต่อ”

 

อารัณย์ที่เพิ่งกลับจากอาบน้ำเดินเข้ามาในห้องแล้วมองไปยังร่างของรัตติกาลที่ยืนคุยโทรศัพท์กับลูกชายอยู่ที่ระเบียง กลิ่นสบู่อ่อนๆและเสียงประตูทำให้ร่างโปร่งหันไปมอง พอเห็นว่าเป็นใครที่เดินเข้ามาชายหนุ่มก็กลับไปคุยโทรศัพท์ แล้วชมวิวภายนอกอีกครั้งจนทำให้อีกคนหน้าบึ้งเพราะคิดว่ารัตติกาลไม่สนใจ

 

นับว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องดีๆที่เกิดขึ้นหลังจากที่รัตติกาลเริ่มเปิดใจให้อารัณย์เข้ามามีบทบาทในชีวิตมากขึ้น นอกจากการยอมให้ร่างสูงเดินหน้าจีบเต็มกำลังแล้วก็มีเรื่องที่รัตติกาลโทรคุยกับรพีทุกวันนี่แหละ ที่ทำให้ชายหนุ่มเห็นพัฒนาการทางอารมณ์ของร่างโปร่งได้ชัดเจน

 

ก่อนหน้าที่อารัณย์คอยตามประกบรัตติกาลอยู่ที่ออฟฟิศไม่ใช่ว่าร่างโปร่งจะไม่เคยโทรหาลูกชาย แต่ในทุกๆครั้งก็เป็นเพราะต้องโทรหาจันทร์อยู่แล้วและที่สำคัญอารัณย์ไม่เคยเห็นสีหน้าที่มีรอยยิ้มอ่อนๆประดับอยู่เหมือนกับตอนนี้เลยสักครั้ง  ถึงแม้จะเล็กน้อยแต่ความอ่อนโยนที่แสดงออกมา และคำถามที่เต็มไปด้วยความห่วงใย ก็มากพอที่จะทำให้รัตติกาลดูเหมือนพ่อจริงๆขึ้นมาบ้าง

 

“รพี พ่อขอคุณโทรศัพท์กับยายจันทร์หน่อยครับ อื้อ...”

 

รัตติกาลเบนหน้ากลับมามองคนที่พุ่งตรงมากอดตนไว้จากทางด้านหลัง เส้นผมที่ยังชื้นอยู่ของอารัณย์คลอเคลียไปตามคอระหงของร่างโปร่งเมื่อใบหน้าคมเข้มของชายหนุ่มซุกลงตรงไหปลาร้าขาวแล้วขยับยุกยิกไปมา แม้ว่ารัตติกาลจะพยายามเบี่ยงหลบแต่อีกฝ่ายก็ไม่คิดที่จะยอมถอยห่างออกไปเลยแม้แต่นิด

 

เมื่อเห็นว่าอารัณย์ยังคงไม่ยอมแพ้ง่ายๆ รัตติกาลจึงต้องตัดใจคุยโทรศัพท์กับจันทร์ที่รับสายต่อจากรพีไปทั้งอย่างนั้นโดยเขาก็ไม่ลืมที่จะกำชับว่าให้ทุกๆคนอย่าไปไหนมาไหนคนเดียวและคอยเป็นหูเป็นตาดูแลรพีในช่วงที่เขายังไม่กลับบ้าน

 

“ไม่ต้องห่วงนะคะคุณกาล นี่คุณนิลก็เพิ่งให้คนมาติดกล้องวงจรปิดเพิ่มไปเมื่อเช้านี้เองค่ะ”

 

“ก็ดีแล้วล่ะครับ แต่เราก็อย่าประมาทดีกว่า”

 

“ค่ะ แล้วคุณกาลเป็นยังไงบ้างคะ อยู่ทางโน้นลำบากมากไหม”

 

“ไม่ลำบากเลยครับ ชาวบ้านที่นี่ดูแลผมดีมาก สนุกจนรู้สึกตัวเองมาแอบอู้แล้วปล่อยให้ไอ้นิลทำงานแทนเลยแหละครับ”

 

“ฮ่าๆ ดีแล้วล่ะค่ะ แล้วแผลคุณรัณย์หายดีรึยังคะ”

 

“คุยกับเจ้าตัวเลยแล้วกันครับป้า”

 

พอพูดเสร็จรัตติกาลก็จัดแจงยื่นโทรศัพท์ไปให้คนตัวโตคุยต่อแล้วถือโอกาสขืนตัวเองออกมาจากอ้อมแขนของอารัณย์ที่ชี้หน้าคาดโทษคนเจ้าเล่ห์ไว้ ร่างโปร่งเดินเลี่ยงเข้ามาด้านใน เขาหยิบเอาสมุดเล่มเล็กที่ตนเองเขียนงานค้างไว้อยู่ก่อนจะนอนคว่ำลงบนเตียง รัตติกาลเขียนเรื่องราวต่างๆตามที่ตัวเองตั้งใจไว้ลงไปโดยมีเสียงทุ้มนุ่มของอารัณย์ดังคลอพอให้รู้สึกไม่น่ารำคาญ

 

“ยังไม่รู้เลยครับ ถ้ากลับไปได้ผมจะบอกอีกทีนะ ครับ สวัสดีครับ”

 

อารัณย์วางสายแล้วว่างโทรศัพท์ที่ใช้โทรเข้าออกได้อย่างเดียวลงบนโต๊ะไม้ข้างเตียงก่อนจะทิ้งตัวลงนอนเคียงข้างรัตติกาลที่กำลังจมอยู่ในโลกส่วนตัวโดยไม่สนใจเขาอีกครั้ง ร่างสูงเขยิบตัวเข้าไปใกล้ วางปลายคางแหลมลงบนบ่าของอีกฝ่ายจนรัตติกาลเบ้หน้าเพราะความเจ็บ

 

“รัณย์เอาคางออกไป มันเจ็บ”

 

“อยากให้เอาออกก็หันมาสนใจกันหน่อยสิ เขียนอะไรอยู่ได้”

 

ร่างสูงทำท่าจะแย่งสมุดในมือไปดูแต่รัตติกาลกลับไวกว่า เขายันตัวขึ้นนั่งแล้วกอดสิ่งที่อารัณย์หวังจะแย่งไปไว้กับอก

 

“ไม่ต้องรู้หรอก แล้วก็ลงไปนอนข้างล่างได้แล้ว อย่ามาเนียน”

 

อารัณย์เบ้หน้าอย่างไม่ชอบใจกับความหัวแข็งของรัตติกาลที่ไม่เคยยอมให้เขานอนร่วมเตียงทั้งที่เปิดเผยความในใจให้อีกฝ่ายได้รู้มานานกว่าอาทิตย์ ร่างสูงไม่ได้หวังจะทำเรื่องอย่างว่า(ถ้าเกิดรัตติกาลไม่เต็มใจ) อารัณย์หวังเพียงแค่จะได้อยู่ใกล้ชิดกับคนที่ตัวเองพึงใจตามประสาคนที่ชอบสื่อสารผ่านภาษากายเป็นทุนเดิมเท่านั้น

 

“แค่นอนด้วยเฉยๆเอง ไม่ได้จะทำอะไรกาลสักหน่อย”

 

“ถ้านอนเฉยๆข้างล่างก็นอนได้”

 

“พื้นมันแข็ง อยากนอนเตียง”

 

“เตียงห้องคุณไง ซ่อมเสร็จแล้วนิ”

 

รัตติกาลยิ้มมุมปากอย่างเป็นต่อที่เห็นคนที่เด็กกว่าตนเถียงออกมาไม่ได้อย่างเคย อารัณย์ขมวดคิ้ว เขาพยายามหาข้ออ้างเพื่อให้ตัวเองยังสามารถอยู่ที่ห้องนี้ต่อไปได้แต่จนแล้วจนรอดก็หมดหนทาง คนตัวโตกว่าจึงตัดสิ้นใจทิ้งตัวลงนอนแล้วซุกใบหน้าที่มีไรเคราขึ้นจางๆลงบนหน้าท้องของรัตติกาลผ่านผ้าเนื้อบางที่กางกั้น

 

“ไม่ไปไม่ได้หรอ ขอนอนห้องนี้นะ”

 

“หึๆ คิดว่าทำอย่างนี้แล้วตัวเองน่ารักหรอ”

 

“อืม น่ารัก...แล้วรักป่ะ?”

 

ร่างโปร่งส่ายหน้าให้คนที่เนียนถามได้อย่างหน้าตาเฉย เขาหยิกลงบนแก้มสากของอารัณย์เพื่อระบายความมันเขี้ยว แต่ก็โดนอีกฝ่ายกัดเบาๆเข้าที่ข้อมือกลับมา

 

“รัณย์! กัดมาได้ เป็นหมาหรอ”

 

“ป่าวเป็นคน คนน่าสงสารด้วย ถามแล้วกาลไม่ยอมตอบ”

 

“อยากฟังคำตอบจริงอะ”

 

“อืม...ตอนนี้ยังดีกว่า”

 

อารัณย์ลังเลก่อนจะปฏิเสธไปเพราะกลัวว่าคำตอบของรัตติกาลจะไม่ใช่สิ่งที่เขาหวัง ร่างโปร่งพอได้ยินดังนั้นก็หัวเราะออกมาเบาๆก่อนจะลูบเส้นผมของอารัณย์เล่นเบาๆโดยที่อีกฝ่ายก็หลับตาพริ้มรับสัมผัสนั้น

 

“กาล ป้าจันทร์ถามว่าลอยกระทงจะกลับไปที่บ้านได้ไหม”

 

“อ่า อีกสองวันเองสินะ”

 

รัตติกาลไล่วันที่ในใจแล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ยินดียินร้ายมากนัก

 

“ทำไมทำเสียงแบบนั้นล่ะ ไม่ตื่นเต้นหรอ”

 

“อายุตั้งขนาดนี้แล้ว อีกอย่างก็ไม่ได้ลอยมานานแล้วด้วย”

 

“งั้นกาลลอยกระทงครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่”

 

“อืม...รู้สึกว่าปีสุดท้ายที่ลอยก็ก่อนหน้าที่พ่อแม่จะเสียนั่นแหละ”

 

ร่างสูงพอได้ยินก็นิ่งไป เขาเอื้อมคว้ามือของรัตติกาลมาจับไว้แทนคำขอโทษที่ตัวเองทำให้รัตติกาลต้องนึกถึงเรื่องราวแย่ๆ

 

“ผมไม่เป็นไรหรอก มันผ่านมานานแล้ว”

 

รัตติกาลยิ้มให้อารัณย์แต่ในใจก็พาลนึกไปถึงความสูญเสียที่พลิกชีวิตของเขานับตั้งแต่วันนั้น ทั้งมุมมองที่เปลี่ยนไปและสาเหตุที่ทำให้เขาเริ่มหันมาสนใจนทีที่อยู่เคียงข้างในวันที่ลำบาก เช่นเดียวกับตอนนี้ที่เขามีอารัณย์อยู่ค้างๆ แต่รัตติกาลกลับรู้สึกว่ามันต่างกัน...เขาพยายามบอกตัวเองเช่นนั้น

 

“เข้มแข็งจังนะ”

 

“ไม่หรอก แค่คิดว่าร้องไห้ไปก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้อยู่ดี”

 

“งั้นหรอ...นั่นสินะ”

 

รัตติกาลเห็นอารัณย์ยิ้มมุมปากในขณะที่สายตาที่เคยเต็มไปด้วยความอบอุ่นจะแปรเปลี่ยนเป็นแข็งกระด้างขึ้นมาในเสี้ยววินาที ร่างสูงยันกายขึ้นก่อนจะกลับไปทรุดตัวลงนอนอีกครั้งบนฟูกบางๆของตนเองซึ่งปูอยู่บนพื้นไม้ ร่างโปร่งมองอาการของพี่เลี้ยงหนุ่มอย่างไม่สบายใจมากนัก

 

เขาลุกขึ้นไปเก็บสมุดแล้วจัดการปิดไฟจนทั้งห้องตกอยู่ในความมืด รัตติกาลนอนลงบนเตียงของตนที่ยังคงหลงเหลือความอบอุ่นของอารัณย์ไว้แม้ว่าตอนนี้เจ้าของมันกำลังตกอยู่ในห้องความคิดบางอย่างจนไม่ได้สังเกตเลยว่ารัตติกาลกำลังจ้องมองตนอยู่ด้วยสายตาแบบไหน

 

“อารัณย์ เป็นอะไรไป”

 

“ห๊ะ...เปล่า ไม่ได้เป็นอะไร”

 

อารัณย์สะดุ้งน้อยๆก่อนจะตอบรัตติกาลไปด้วยใบหน้าฝืนยิ้ม

 

“ไม่ได้เป็นอะไรแล้วทำไมยิ้มแบนั้น...น่าขนลุก”

 

“...ขอโทษที”

 

“นี่...ตอนนี้ ‘เรา’ ไม่ได้อยู่คนเดียว รู้ใช่ไหม”

 

รัตติกาลเน้นคำว่าเราเพื่อให้อีกฝ่ายได้รู้ว่าเขาพร้อมที่จะรับฟังในสิ่งที่ทำให้อารัณย์กลายเป็นแบบนี้ ร่างสูงนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วหอบหมอนผ้าห่มไปวางไว้บนเตียงของรัตติกาลพร้อมกับร่างของตนที่เอนลงบนพื้นที่ว่างที่เหลืออยู่ โดยที่รัตติกาลก็ไม่ได้เอ่ยค้านอย่างเคย

 

“ขอกอดหน่อยได้ไหม”

 

อารัณย์คว้ารัตติกาลมากอดโดยไม่รอฟังคำตอบใดๆ ทั้งคู่นอนฟังเสียงลมหายใจของกันและกันแล้วปล่อยให้เวลาไหลไปเรื่อยๆโดยไม่มีใครคิดจะหลับใหล รัตติกาลรออยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเสียงเรียบนิ่งของอารัณย์ขึ้น แต่มันกลับเจือไปด้วยความเศร้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

 

“พ่อแม่ผมก็เสียแล้วเหมือนกัน”

 

“อืม...”

 

ร่างโปร่งตอบเพียงแค่นั้นแล้วโอบกอดอารัณย์ไว้ให้แน่นยิ่งขึ้น

 

“แม่ตายตอนผมเรียนจบมอสาม ส่วนพ่อ...ผมเองก็ไม่รู้ว่าเขาเสียไปตอนไหน แต่มันก็แทบไม่มีความสำคัญเพราะผมไม่เคยเจอหน้าคนคนนั้นแม้แต่ครั้งเดียว”

 

“...”

 

“เพราะผม...ไม่ใช่เด็กที่เขาต้องการให้เกิดมา”

 

เสียงของอารัณย์สั่นในตอนท้ายจนรัตติกาลคิดว่าร่างสูงจะร้องไห้ออกมาแต่เขากลับไม่รู้สึกถึงความเปียกชื้นใดๆ เหมือนกับว่าอีกฝ่ายกำลังฝืนมันไว้

 

“แม่ผมเป็นลูกสาวของแม่ค้าที่เปิดร้านข้าวอยู่ใกล้ๆโรงพัก แม่เป็นคนสวยมากจนใครต่อใครก็อยากได้แม่ไปอยู่ด้วยแม้แต่กระทั่งสารวัตรคนใหม่ที่เพิ่งย้ายมาจากกรุงเทพ...คนอีกคนที่มีส่วนให้กำเนิดผมมา”

 

“...”

 

“พวกเขาคบหากันโดยที่ชาวบ้านก็รับรู้กันทั่ว มีคนเคยเล่าให้ผมฟังว่าแม่เดินยิ้มไปทั่วตลาดเที่ยวบอกให้ใครต่อใครเรียกตัวเองว่าคุณนาย มีความสุขอยู่กับของแพงๆที่ผู้ชายคนนั้นซื้อมาให้โดยที่ก็รักและดูแลเอาใจใส่กันดีจนทุกคนมั่นใจแล้วว่าอีกไม่นานเขาจะต้องแต่งงานอยู่กินกับแม่แน่ๆ...แต่มันก็ไม่ใช่”

 

รัตติกาลกอดอารัณย์ไว้ให้แน่นขึ้นอีกเมื่อพอจะเดาเรื่องราวได้รางๆ แต่เขาก็ยังรอฟังโดยที่ไม่พูดอะไรออกไป

 

“ผู้ชายคนนั้น...เขามีเมียอยู่แล้วที่กรุงเทพ เขากับเมียตามกฎหมายของเขามาคุยกับแม่พร้อมกับเสนอเงินก้อนใหญ่เพื่อให้แม่เลิกยุ่งกับเขาซะ กาลคิดว่าแม่ผมจะทำยังไงล่ะ เมื่อแม่ต้องเลือก...ในวันที่มีผมอยู่ในท้องแล้ว”

 

อารัณย์ลืมตาขึ้น เขาผลักรัตติกาลให้นอนราบไปกับเตียงก่อนจะย้ายร่างของตนขึ้นไปคร่อมไว้แล้วใช้สองมือกักขังร่างของร่างโปร่งไว้ไม่ให้ขยับไปไหน อารัณย์เคลื่อนหน้าเข้าไปใกล้จนทั้งสองสามารถมองเห็นกันได้ชัดเจนแม้ว่ารอบกายจะไร้ซึ่งแสงสว่าง รัตติกาลเห็นมัน...ความชิงชังที่สะท้อนอยู่ในดวงตาคู่นั้น

 

 

 

 

“แม่เรียกเงินเพิ่มอีกก้อน...ไว้เป็นค่าทำแท้งผม”

 

 

 

“อารัณย์...”

 

“ไม่ต้องสงสารผมหรอก เพราะต่อให้แม่ทำยังไงผมก็ไม่ตายอยู่ดี”

 

ร่างสูงยิ้มให้รัตติกาลแต่คนมองกลับรู้สึกว่ามันช่างเป็นรอยยิ้มที่เย็บเฉียบเสียจนมันทำให้เขานึกย้อนถึงตัวเองที่เคยมีรอยยิ้มแบบเดียวกัน รอยยิ้ม...ที่มีไว้เพื่อสาปแช่งคนทั้งโลก

 

“ ‘มารหัวขน’ แม่กับยายเรียกผมว่าแบบนั้น เงินที่ได้มาถูกใช้ไปจนหมด ผู้ชายคนนั้นก็ย้ายกลับไปกรุงเทพตั้งแต่วันที่ผมยังไม่ทันได้ลืมตาดูโลก ชาวบ้านที่เคยอิจฉาก็เอาเรื่องของแม่ไปพูดกันซะสนุกปาก ตลาดที่เคยเป็นที่ทำมาหากินกลายเป็นนรกที่ไม่กล้าจะเดินเข้าไป ตาที่เอาเงินแม่ไปผลาญชิงหนีเอาตัวรอดไปก่อนทิ้งพวกผมสามคนไว้กับความอัปยศที่ตัวเองเป็นคนก่อ คืนวันโหดร้ายผ่านไปเรื่อยๆจนยายทนไม่ไหวผูกคอตายไปเป็นคนแรก...เหลือไว้แค่ผมกับแม่ให้อยู่ต่อแบบตายทั้งเป็น”

 

“พอเถอะ...ไม่ต้องเล่าแล้วอารัณย์”

 

“ให้ผมเล่าเถอะกาล เพราะตอนนี้ผมมีคุณอยู่...”

 

รัตติกาลที่น้ำตาคลอยอมพยักหน้าตอบรับคำขอของอารัณย์แม้ว่าจะสงสารคนตรงหน้าแค่ไหน ร่างสูงใช้มือปาดหยดน้ำใสออกจากดวงตาของรัตติกาลเพื่อปลอบโยนอีกฝ่ายแม้ว่าตัวเองจะปวดร้าวไม่แพ้กัน

 

“ผมโตมาด้วยคำสาปแช่งของแม่ จริงอยู่ที่แม่เป็นเมียน้อยเขาแต่ก็เพราะว่าไม่รู้ ถ้าเลิกกันไปก็คงถูกพูดถึงอยู่ไม่นาน แต่เรื่องทั้งหมดมันแย่ลงเพราะผมดันเกิดมา ลูกที่ควรเครื่องแทนความรักของพ่อแม่เลยกลายมาเป็นเครื่องตอกย้ำความผิดพลาดของแม่ให้ไม่มีวันลบเลือนไปแทน จวบจนวันสุดท้ายที่แม่จบชีวิตตัวเองลงด้วยวิธีการเดียวกับยาย”

 

อารัณย์นึกถึงภาพที่ตัวเองเห็นหลังจากกลับมาถึงบ้านในวันสำเร็จการศึกษาจากชั้นมัธยมศึกษาปีที่สาม เด็กชายที่รีบวิ่งกลับบ้านโดยไม่สนใจว่ารองเท้าคู่เก่าของตัวเองจะเปรอะเปื้อนแค่ไหนกำลังยิ้มกว้างออกมาพร้อมกับท่องคำพูดที่รวบรวมความกล้าอยู่ทั้งวันเพื่อจะกลับมามอบมันให้กับมารดา

 

แม่ของเขาลอยอยู่ตรงนั้นด้วยใบหน้าที่บิดเบี้ยว มือที่เคยใช้ทุบตีบุตรหงิกงอจนผิดรูปไม่ต่างจากปลายเท้าที่ลอยเหนือพื้นเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น อารัณย์จ้องมองไปในดวงตาไร้แววของมารดาที่ปูดโปนออกมาแต่เขากลับรู้สึกเหมือนว่าแม่กำลังจ้องมองตนเองอยู่แม้จะสิ้นลมหายใจไปแล้วก็ตาม เด็กชายในชุดนักเรียนทรุดตัวลง กอดปลายเท้าของหญิงสาวผู้เป็นที่รักไว้แน่น เขากรีดร้องโดยไม่มีเสียง มีเพียงหยาดน้ำตาที่ไหลรินลงไปปะปนกับกองเลือดที่กองอยู่บนพื้นเท่านั้น

 

 

 

“รัณย์จบมอสามแล้วนะแม่ รัณย์ทำงานเลี้ยงแม่ได้แล้ว”

 

 

 

แต่สุดท้าย...มันก็ส่งไปไม่ถึง

 
:o12:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :o12:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-09-2015 20:08:58 โดย vivacestory »

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
 

ริมสองฝั่งคลองเต็มไปด้วยชาวบ้านที่ออกมาช่วยกันแต่งประดับสองข้างทางด้วยแสงไฟและใบจากที่ถูกแต่งเป็นซุ้มไม้สวยๆ คนหนุ่มที่ยังพอมีกำลังต่างช่วยกันลงมือลงแรงทำงานจนเหงื่อโทรมกายในขณะที่ผู้หญิงและเด็กที่โตพอจะถือของได้เป็นฝ่ายคอยส่งเสบียงและน้ำเติมกำลังให้กับทุกคน

 

รัตติกาลยิ้มให้กับภาพตรงหน้าก่อนจะหันไปมองอารัณย์ที่รับน้ำจากเด็กสาวผมเปียตัวน้อยที่ยืนแก้มแดงแต่ก็ยังหาเรื่องมาเป็นหัวข้อพูดคุยกับชายหนุ่มไม่ยอมหยุด อารัณย์หัวเราะก่อนจะลูบผมที่ถูกทักอย่างประณีตเบาๆ ไม่เหลือเค้าของคนที่ครั้งหนึ่งเคยผ่านเรื่องราวโหดร้ายมายิ่งกว่าตัวเขาซะอีก

 

“กาล มาช่วยตรงนี้หน่อยสิ”

 

ร่างโปร่งเดินไปตามเสียงเรียกของพี่เลี้ยงหนุ่มก่อนจะทำหน้าที่ส่งตะปูตัวยาวให้อีกฝ่ายใช้ค้อนยึดมันเข้ากับโครงไม้ที่เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง รัตติกาลดีใจที่หลังจากคืนนั้นอารัณย์ยังสามารถยิ้มได้ในขณะที่เขาเซื่องซึมอยู่พักใหญ่เพราะเรื่องราวเหล่านั้นยังดังก้องอยู่ในหัว

 

รัตติกาลเคยคิดว่าตัวเองคือคนที่โชคร้ายที่สุดในโลก เหตุเพราะโดนคนที่รักหักหลังแล้วทิ้งตนไว้เพียงลำพัง แต่พอได้ฟังเรื่องราวของอารัณย์แล้วส่วนหนึ่งในหัวใจกลับมีความยินดีตีตื้นขึ้นมาพร้อมกับความทรงจำวัยเด็กอันแสนอบอุ่นที่เขาเคยใช้มันร่วมกับพ่อและแม่ที่ถึงแม้วันนี้จะอยู่แล้วก็ยังคงหลงเหลือความดีไว้ให้คิดถึงกัน

 

แต่กับอารัณย์นั้นไม่ใช่ รัตติกาลไม่อาจจินตนาการได้เลยว่า อารัณย์ตัวน้อยในตอนนั้นสามารถก้าวข้ามความอัปยศทุกอย่างมาได้อย่างไร ความเกลียดชังและไม่เป็นที่ต้องการแม้แต่กระทั่งจากผู้ให้กำเนิดทำร้ายคนคนนี้มามากแค่ไหน อารัณย์จะรู้สึกยังไงเมื่อต้องโดนขอร้องให้หายไป เขาไม่รู้เลย...ในขณะที่รพีคงเป็นคนที่เข้าใจอารัณย์มากที่สุด

 

“คิดอะไรอยู่กาล”

 

เสียงของร่างสูงปลุกเขาจากภวังค์ ตอนนี้ทั้งสองคนกลับมายังห้องพักเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะกลับไปรวมกับชาวบ้านเพื่อเข้าร่วมพิธีขอขมาพระแม่คงคาตามที่ตกลงกันไว้

 

“เปล่า พอดีคิดอะไรนิดหน่อยน่ะ”

 

“คิดอะไรหื้ม? ไปอาบน้ำไปทำงานมาทั้งวัน ตัวเหม็นป่าวไหนดมดิ”

 

จมูกโด่งของอารัณย์ซุกลงบนซอกคอก่อนจะสูดความหอมเข้าปอดเสียเฮือกใหญ่ รัตติกาลหัวเราะคลอเบาๆแล้วผลักหัวอีกฝ่ายออกไปพลางทำหน้าดุใส่

 

“เล่นอะไรเนี่ย เหม็นเหงื่อจะตาย”

 

“ไม่เห็นเหม็นเลย หอมจะตาย ขอดมอีกรอบนะ”

 

“ไม่ต้องเลย ไปอาบน้ำก่อนไป เดี๋ยวผมจะไปหายายพิศสักหน่อย”

 

“ยายพิศ? มีอะไรรึเปล่ากาล”

 

“ยายบอกทำกระทงไว้ให้เราสองคนแล้วจะได้ไม่ต้องเสียเวลาออกไปซื้อ”

 

อารัณย์มองเสี้ยวหน้าของรัตติกาลที่กำลังควานหาโทรศัพท์ด้วยความชอบใจ เขามีความสุขทุกครั้งที่รัตติกาลเลือกใช้คำว่าเราเพื่อแทนตัวตนของเขาทั้งสองคน ร่างสูงไม่อยากเชื่อว่าตัวเองสามารถเล่าถึงความทรงจำโหดร้ายที่ถูกฝั่งลึกลงไปได้จนจบ เขาคงไม่สามารถควบคุมตัวเองได้หากวันนั้นไม่มีรัตติกาลอยู่เคียงข้าง คนที่ทรมานไม่ต่างกันร้องไห้ออกมาแทนพลางโอบกอดเขาไว้แล้วพร่ำบอกว่าไม่เป็นไร ไม่เป็นไร จนกระทั่งทั้งคู่ตกลงห้วงนิทราในเวลาไล่เลี่ยกัน

 

“กาล”

 

“หื้ม?”

 

“อยากฟังคำนั้นรึยัง...”

 

ทั้งคู่หันมาสบตากัน อารัณย์มองรัตติกาลด้วยรอยยิ้มให้ขณะที่อีกคนทำหน้าเหรอหราได้อย่างน่าเอ็นดูแม้อายุจะเกือบจะล่วงเข้าเลขสามแล้วก็ตาม รัตติกาลทำหน้าปั้นยากอยู่สักครู่ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้อารัณย์ที่รอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ

 

“หลับตาหน่อย”

 

อารัณย์ยิ้มกว้างก่อนจะหลับตาลงรอรับสัมผัสของรัตติกาลโดยที่คาดไม่ถึง ร่างโปร่งลูบเบาๆตรงข้างแก้มที่เขาเพิ่งโกนหนวดให้อีกฝ่ายไปเมื่อเช้า เขาค่อยๆเคลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้ก่อนจะกระซิบเบาๆตรงข้างหูด้วยน้ำเสียงหวิวๆเหมือนที่ชอบทำสมัยเกี้ยวเด็กหนุ่มตามผับบาร์เวลาเที่ยว

 

“รัณย์...”

 

“ครับ”

 

“ถ้ายังไม่เลิกฝัน...ก็ไปเอาน้ำออกแล้วนอนซะ!!!”

 

รัตติกาลตะโกนสุดเสียงก่อนจะบีบเข้าที่จมูกโด่งแล้วโยกไปมาจนอารัณย์ร้องโอดครวญไม่หยุด ร่างโปร่งยอมปล่อยมือออกเมื่อได้รังแกพี่เลี้ยงหนุ่มจนสาแก่ใจ เขาตบปั้นท้ายของอารัณย์ทิ้งทวนเบาๆแล้วเดินออกจากบ้านไปโดยไม่อยู่ฟังเสียงโวยวายจากคนตัวโตที่ประกาศกร้าวคาดโทษรัตติกาลแต่หัววัน

 

“คืนนี้โดนแน่กาล เนื้อๆเน้นๆเลย!!!”

 

 

 

 

 

แต่มีหรอที่รัตติกาลจะกลัว?

 

 

 

 

 

“คืนนี้กลับไปนอนห้องตัวเองซะนะ”

 

“เห้ย ได้ไงอะ!”

 

อารัณย์รู้สึกว่าวันนี้ตัวเองร้องโวยวายมากกว่าทุกครั้ง ยายพิศที่นั่งอยู่ด้านหน้าหันมามองชายหนุ่มอย่างปรามๆเมื่ออารัณย์พูดโพล่งออกมาขณะที่ชาวบ้านกำลังทำพิธีขอขมากันอยู่

 

ร่างสูงยกมือขอโทษพร้อมกับยิ้มแหยๆให้ชาวบ้านที่ต่างก็หันมามองเขากันหมด ยกเว้นคนก่อเรื่องที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ฟังเสียงพระสวดไปเรื่อยโดยไม่หันกลับมามองเขาแม้แต่น้อย

 

“อะไรอะกาล ทำแบบนี้ไม่แฟร์นะ”

 

“ทำไมจะไม่แฟร์ นี้มันห้องผมนะ ห้องคุณก็เสร็จแล้วก็กลับไปห้องตัวเองสิ ผมอยากจะอยู่แบบเป็นส่วนตัวบ้าง”

 

“ก็อยู่มาได้เป็นอาทิตย์แล้ว ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย”

 

“ก็เพราะอยู่มาเป็นอาทิตย์แล้วนี่ไง ถึงได้อยากมีเวลาส่วนตัวบ้าง”

 

“เวลาส่วนตัวกาลก็ใช้มันกับผมไง”

 

“ตกภาษาไทยหรอ ‘ส่วนตัว’ กับ ‘ส่วนเกิน’ มันคนละคำกันนะคุณ”

 

“โห พูดโคตรแรงอะ”

 

อารัณย์ทำหน้าบึ้งแล้วหันหนีไปอีกทางเมื่อโดนรัตติกาลพูดแบบนั้นใส่ จนคนแกล้งเองเริ่มรู้สึกตัวว่าเผลอพูดไม่ถนอมน้ำใจอีกฝ่ายไปซะแล้ว

 

“รัณย์...โกรธหรอ”

 

“...”

 

“ตัวก็ออกจะใหญ่ ใจอันเล็กนิดเดียวเอง”

 

รัตติกาลแกล้งพูดยั่วเข้าไปอีกแต่อีกคนก็ยังไม่สะทกสะท้าน หลังจากพระสวดขอขมาเสร็จตัวแทนชายหญิงจากหมู่บ้านที่แต่งตัวด้วยชุดไทยเดิมสวยสง่าต่างก็เดินออกมาพร้อมกับประคองกระทงที่ถูกทำขึ้นอย่างประณีตตามแบบดั่งเดิมไว้ พร้อมกับนำไปลอยน้ำเพื่อเป็นการเริ่มต้นประเพณีวันลอยกระทงตามกลางเสียงโห่ร้องของชาวบ้านและนักท่องเที่ยวที่แวะเวียนมาหนาตากว่าทุกครั้ง

 

อารัณย์ลุกขึ้นพร้อมกับถือกระทงของตนไว้ในมือ ร่างสูงเดินแหวกฝูงชนออกไปทางท่าน้ำโดยไม่คิดรัตติกาลที่ยังคงพูดคุยกับชาวบ้านที่เดินมาทักทายเหมือนเช่นทุกครั้ง ร่างโปร่งยืนคุยอยู่พักหนึ่งด้วยความรู้สึกเป็นกังวล พอได้จังหวะก็บอกลาป้าที่เคยเอาขนมให้กินตอนไปงมหอยแล้วรีบเดินไปตามทางที่อารัณย์เพิ่งเดินไปเมื่อครู่

 

“หายไปไหนของเขานะ”

 

แต่เหมือนว่าช้าไป รัตติกาลไม่เห็นแผ่นหลังกว้างของอารัณย์อีกแล้ว ร่างโปร่งเผลอกำมือแน่น อดตำหนิตัวเองไม่ได้ว่าพูดแรงเกินไปทั้งที่รู้ดีว่าลึกๆแล้วอารัณย์เป็นคนอ่อนไหวไม่น้อย รัตติกาลหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาหวังจะโทรออก แต่ก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าพวกเขามีโทรศัพท์แค่เครื่องเดียวคือเครื่องที่ฤทธิชาติทิ้งไว้ให้ใช้ติดต่อยามฉุกเฉิน

 

“อ๊ะ ขอโทษครับ!”

 

รัตติกาลพูดโพลงออกมาเมื่อเขาเอาแต่จ้องมองมือถือตัวเองเผลอเดินชนคนในงานเข้าเต็มแรง ชายหนุ่มรีบสำรวจความเสียหายกระทงของตนเองก็พบว่ากลีบใบตองที่ถูกจับไว้สวยงามเบี้ยวไปเล็กน้อยแต่ก็พอซ่อมแซมได้ไม่น่าเกลียดอะไร รัตติกาลหันไปเพื่อจะขอโทษนักท่องเที่ยวคนนั้นอีกครั้ง แต่ก็ต้องอ้าปากค้างเมื่อพบว่ากระทงของอีกฝ่ายกลับลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้นแทน

 

“กะ กระทง...ขอโทษนะครับ ผมผิดเอง ขอโทษจริงๆ”

 

ร่างโปร่งขอโทษอีกฝ่ายไม่หยุดพร้อมกับโค้งให้เพื่อแสดงความสำนึกผิด แต่คู่กรณีกลับหัวเราะออกมาพร้อมกับโบกไม้โบกมือบอกรัตติกาลว่าไม่เป็นไร ร่างโปร่งเงยหน้าขึ้นมองชายตรงหน้า รูปร่างสมส่วนสูงกว่าเขาเล็กน้อยยืนอยู่ใกล้เสียจนรัตติกาลเผลอผงะ ดวงตาเรียวเล็กแบบคนจีนบวกกับผิวขาวเกลี้ยงเกลาทำให้เขาอดยอมรับไม่ได้ว่าคนคนนี้เข้าข่ายหน้าตาดีชนิดหาตัวจับยาก

 

“ผมต้องขอโทษจริงๆนะครับ เดี๋ยวผมจะชดใช้ให้”

 

“ไม่เป็นไรครับ ผมเองก็เดินไม่ดูทางเหมือนกัน เอาแต่มองหาของกินเลยบังเอิญชนกับคุณเขา”

 

ชายคนนั้นยิ้มกว้างให้ก่อนจะก้มลงเก็บซากกระทงที่เละแทะไม่เหลือเค้าเดิมให้เห็น รัตติกาลเองพอเห็นดังนั้นก็วางกระทงของตนลงบนม้านั่งใกล้ๆแล้วรีบลงไปช่วยอีกฝ่ายเก็บกวาดด้วยอีกแรง แม้ว่าจะนำกลับมาใช้ไม่ได้อีกแต่ก็ยังดีกว่าให้สิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยมีค่าถูกเหยียบย้ำลงไปให้ช้ำกว่าเดิม

 

“อ่า เสียดายจังเลย”

 

ดวงตาเรียวเล็กนั้นมองกองดอกไม้อย่างเสียดายจนรัตติกาลยิ่งรู้สึกผิดมากกว่าเดิม แต่ในตอนนั้นเอง ชายคนนั้นก็เริ่มหยิบเอาเอกกุหลาบและดาวเรืองที่ยังพอใช้ได้มามัดรวมเป็นช่อไว้ด้วยใบจากที่แอบเด็ดเอาจากซุ้มประดับที่รัตติกาลเพิ่งช่วยชาวบ้านทำไปเมื่อบ่าย มือที่ใหญ่โตกลับจับสิ่งบอบบางพวกนั้นได้อย่างอ่อนโยนเหมือนเวทย์มนต์ที่เนรมิตบุพผาโรยราเหล่านั้นให้กลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง

 

“สวยจัง”

 

รัตติกาลเผลอครวญออกมาด้วยความพอใจเมื่อสุดท้ายช่อดอกไม้สดเล็กๆช่อหนึ่งกำลังเบ่งบานอีกครั้งอยู่ในมือของชายคนนั้น ริมฝีปากหยักได้รูปยกยิ้มอ่อนโยนให้รัตติกาลก่อนที่ชายแปลกหน้าจะวางมันลงบนมือของรัตติกาลแทน

 

“ผมให้ครับ”

 

“เอ่อ ไม่ดีมั้งครับ”

 

ร่างโปร่งปฏิเสธเพราะความเกรงใจ แต่อีกฝ่ายกลับยืนยันด้วยการใช้สองมือประคองมือของรัตติกาลไว้พร้อมกับช่อดอกไม้ที่อยู่ระหว่างทั้งสองคน

 

“รับไปเถอะครับ แต่ผมขอแลกกับ...”

 

ชายคนนั้นยิ้มกว้างกว่าเดิมก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนร่างโปร่งสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่เป่ารดให้รู้สึก แต่ก่อนที่รัตติกาลจะได้ผลักเขาออกไป อีกฝ่ายก็ชี้ไปยังกระทงที่ยายพิศทำให้ไว้แล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูตื่นเต้นเหมือนเด็กๆ

 

“ขอแลกกับกระทงของคุณ ได้ไหมครับ!”

 

“กระทงผม?”

 

ใบหน้าหล่อเหล่าพยักขึ้นลงอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย ผิดกับรัตติกาลที่ไม่กล้าตัดสินใจทั้งที่เขาควรจะตอบรับคำขอของอีกฝ่าย ไม่ใช่ว่าเขาจะหาซื้อกระทงใบใหม่ไม่ได้ แต่น้ำใจที่ยายพิศทำมันให้กับเขาและอารัณย์ทำให้รัตติกาลไม่กล้าตบปากรับคำที่จะมองมันให้กับใครง่ายๆ

 

“คือ ให้ผมซื้อใบใหม่ให้ดีกว่า ตอนที่ชนใบนั้นก็เสียไปนิดหน่อยเหมือนกัน”

 

“ไม่เป็นไรครับผมไม่ถือ เอาใบนี้แหละ”

 

“แต่...”

 

“ยกให้ผมเถอะครับ พอดีผมค่อนข้างเชื่อเรื่องโชคชะตามากพอตัวเลยทีเดียว”

 

“โชคชะตา?”

 

รัตติกาลขมวดคิ้วแต่กลับโดนอีกฝ่ายใช้นิ้วคลายปมที่อยู่บนหน้าผากออกไปโดยที่เขาเองก็ไม่ทันตั้งตัว

 

“ครับ โชคชะตา...การที่เราสองคนเดินชนกัน มันต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ๆ”

 

พอได้ฟังดังนั้นความชื่นชมในตัวอีกฝ่ายก็แทบจะหายไปหมด รัตติกาลเปลี่ยนสีหน้าเป็นเรียบเฉยแล้วลุกขึ้นยืนโดยไม่สนว่าอีกฝ่ายจะหาว่าเขาไม่มีมารยาท

 

“ขอโทษนะครับ แต่ผมคงให้กระทงใบนี้กับคุณไม่ได้ ยังไงผมจะหากระทงใบใหม่ให้คุณแล้วกัน”

 

“แต่คุณเป็นคนเดินชนผม ผมมีสิทธิเรียกร้องไม่ใช่หรอครับ”

 

ร่างโปร่งเริ่มมองอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจเมื่อโดนเล่นลิ้นใส่จากคนที่ยังคงยิ้มให้อย่างมีไมตรี รัตติกาลถอนหายใจ ใจหนึ่งเขาก็อยากให้กระทงไปเพื่อจะให้เรื่องจบแต่อีกใจก็ไม่อยากทำอย่างนั้นเพราะนั่นคือสิ่งที่ชายคนนี้หวังไว้ แล้วในตอนนั้นเอง มือที่รัตติกาลเคยคิดว่ามันช่างเต็มไปด้วยพรสวรรค์ก็จับเข้าที่ข้อมือของร่างโปร่งจนทำให้เขาเผลอปล่อยช่อดอกไม้นั่นลงกับพื้น

 

“ทำอะไรน่ะ!!”

 

รัตติกาลรู้ว่านั่นไม่ใช่เสียงของเขา ทันทีที่เสียงตะคอกนั้นดังขึ้นร่างของรัตติกาลก็ถูกดังเข้าไปปะทะเข้ากับแผ่นอกของอารัณย์ที่ชุ่มเหงื่อเสียจนเขาอดสงสัยไม่ได้ว่าร่างสูงไปทำอะไรมา ถึงแม้แต่อยากจะถาม ถึงแม้อยากจะขอโทษแต่จากสีหน้าของอารัณย์ตอนนี้ทำให้รัตติกาลเองก็ไม่กล้าปริปากอะไรออกไปเหมือนกัน

 

“กาลเป็นอะไรรึเปล่า!”

 

“ปะ เปล่า ไม่เป็นอะไร”

 

“แน่ใจนะ”

 

อารัณย์ถามย้ำเพราะไม่อยากจะปักใจเชื่อ ทันทีที่พิธีเริ่มเขาก็รีบเดินออกมาเพื่อมองหาน้ำดื่มมาใช้คลายอารมณ์ที่คุหน่อยของตนให้เย็นลงไปบ้าง เขารู้ดีว่ารัตติกาลแค่ปากไว ไม่ได้ตั้งใจจะหมายความว่าตนเป็นส่วนเกินอย่างที่ว่าแต่มันก็อดน้อยใจนิดๆไม่ได้เลยนั่งเช่อยู่คอสะพานไม่ยอมตามหาอีกฝ่าย จนกระทั่งเวลาผ่านไปพอสมควรอารัณย์ก็ยังคงไม่เห็นว่ารัตติกาลจะเดินมาทางนี้ ทั้งที่หากจะกลับไปที่บ้านพักพวกเขาจะต้องเดินผ่านสะพานนี่เท่านั้น

 

อารัณย์ยอมทิ้งทิฐิที่เคยมีทิ้งแล้วหารัตติกาลจนเหงื่อชุ่ม เขาถามชาวบ้านทุกคนที่รู้จักว่ามีใครเห็นรัตติกาลบ้านใหม่ จนกระทั่งเขาเจอเข้ากับป้าคนหนึ่งที่เคยคุยกันตอนไปป่าชายเลนชี้บอกเขาว่ารัตติกาลได้เดินไปแถวท่าน้ำที่เปิดให้นักท่องเที่ยวใช้ลอยกระทงเป็นจุดๆไป ร่างสูงไปตามทางเรื่อยๆก่อนจะสะดุดเข้ากับภาพที่ชายแปลกหน้าคนหนึ่งกำลังลวนลามรัตติกาลจนเขาต้องรีบพุ่งเข้าไปหาโดยไม่คิด

 

“มึงเป็นใครวะ!”

 

“ใจเย็นๆสิครับ ผมเป็นนักท่องเที่ยวที่บังเอิญผ่านมาเท่านั้นเอง”

 

“แล้วมาจับมือกาลทำไม หาเรื่องหรอวะ!”

 

“ฮ่าๆ คุณนี่ดุดีจังเลยนะครับ ตลกด้วย”

 

“กูเพื่อนเล่นมึงหรอห๊ะ!”

 

“รัณย์ อย่า!”

 

 

รัตติกาลรีบดึงอารัณย์ที่ทำท่าจะปรี่ไปหาเรื่องชายแปลกหน้าคนนั้นที่ยังคงยืนยิ้มไม่รู้ร้อนรู้หนาว หนำซ้ำยังหัวเราะออกมาอีกยิ่งยั่วให้อารัณย์อารมณ์ขึ้นไปกันใหญ่

 

“ฮ่าๆ ผมเองก็จะไม่ได้นะว่าเคยมีเพื่อนแบบคุณ”

 

“หยุดพูดยั่วให้มันโมโหสักทีสิวะ! รัณย์ใจเย็นๆ ผมไปเดินชนกระทงเขาพังเองไม่ได้มีเรื่องอะไรกันทั้งนั้น ชดใช้ให้เสร็จก็จะไปแล้ว”

 

ร่างโปร่งหันไปเหวใส่ชายคนนั้นด้วยสีหน้าโกรธขึงจนอารัณย์แอบตกใจ ก่อนจะยอมพยักหน้ายอมรับแต่โดนดีเพราะเห็นแล้วว่ารัตติกาลไม่ได้มีทีท่าว่าจะเล่นด้วยเลยแม้แต่น้อย

 

“ถ้าจะชดใช้ผมขอยืนยันว่าต้องเป็นกระทงอันนั้นนะครับ”

 

ชายหนุ่มคนนั้นยังคงยืนยันเจตนารมณ์ของตัวเองแล้วชี้ไปยังกระทงใบตองที่วางนิ่งอยู่บนม้านั่ง อารัณย์มองมันอย่างไม่เข้าใจ ไม่ใช่ว่ากระทงของยายพิศจะสวยมากมายขนาดว่าหาไม่ได้อีกแล้ว มันติดออกจะธรรมดาด้วยซ้ำ ดอกไม้ประดับก็ไม่ได้มากมายอะไร ยายแก่เลือกใช้ใบไม้สีแปลกที่หาได้ในสวยหลังบ้านมาม้วนเป็นดอกแล้วประดับไว้แทน หรืออาจจะเป็นไปได้ว่าชายตาตี่คนนี้จะชอบมันเพราะแบบนั้น

 

“ถ้าอยากได้เอาอันนี้ไปแทน มันเหมือนกัน!”

 

อารัณย์ยัดกระทงในมือของตนใส่มือของอีกฝ่ายแทนโดยไม่ฟังคำโต้แย้งใดๆ เขาสาวเท้าเข้าไปหยิบกระทงของรัตติกาลมาแล้วคว้ามือของร่างโปร่งมาจับไว้แน่นก่อนจะพาเดินไปด้วยกันโดยไม่คิดจะบอกลาชายแปลกหน้าคนนั้นเลยแม้แต่น้อย

 

รัตติกาลก้าวเท้าให้ไวขึ้นเพื่อตามจังหวะการเดินของอารัณย์ให้ทัน แต่ก่อนที่เขาจะเดินพ้นไปจากตรงนั้น ร่างโปร่งก็หันกลับไปมองทางม้านั่งอีกครั้ง และสิ่งที่เขาเห็นก็คือชายคนนั้นถือกระทงของอารัณย์ไว้แล้วยิ้มอย่างพึงใจก่อนจะโบกมือให้รัตติกาลเพื่อบอกลา

 

 

 

“รัณย์ จะเดินไปไหน”

 

“ไปให้พ้นหน้ามัน แม่ง กวนประสาทพอๆกับไอ้ชาติเลย!”

 

“นี่ก็พ้นแล้ว ไม่เห็นเขาแล้ว”

 

อารัณย์หยุดเดินทันทีแล้วหันกลับไปมองด้านหลัง ใบหน้าที่บึ้งตึงเปลี่ยนเป็นพอใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกลับไปเป็นแบบเดิมอีกครั้งเมื่อร่างสูงเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้

 

“กาลมองตามมันหรอ”

 

“...เฮ้อ”

 

รัตติกาลนิ่งอึ้งไปพักหนึ่งก่อนจะถอนหายใจออกมา เขาคว้ามือของอารัณย์มาจับไว้แทนแล้วจูงอีกฝ่ายให้เดินตามกันจนไปถึงมุมหนึ่งของสะพานที่ไร้ผู้คน

 

“พองานเริ่มเดินหายไปไหนมา”

 

“...หาอะไรกิน”

 

“หิว?”

 

“...โกรธมากกว่า”

 

“...”

 

“ขอโทษ”

 

ร่างโปร่งยิ้มให้คนตัวโตที่เอ่ยคำขอโทษด้วยน้ำเสียงสลดจนเขาอดที่จะเอ็นดูไม่ได้ รัตติกาลดึงมือให้อารัณย์นั่งลงเคียงคู่กันบนท่าน้ำเล็กๆที่พอจะให้หย่อนขาลงไปได้โดยอารัณย์วางกระทงที่เบี้ยวไปเล็กน้อยของรัตติกาลลงตรงกลางระหว่างเขาทั้งสอง

 

“ขอโทษทำไม ไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย”

 

“ผิดดิ...ผิดที่ทิ้งกาลมา”

 

“...”

 

“ต่อให้โกรธกาลแค่ไหน ผมก็ไม่ควรทิ้งกาลไว้คนเดียว”

 

อารัณย์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังจนคนฟังใจสั่น รัตติกาลกลั้นรอยยิ้มที่แทบจะระเบิดออกมาไม่ได้จนกลายเป็นร่างสูงที่อึ้งไปเมื่อเห็นรอยยิ้มกว้างของรัตติกาลเป็นครั้งแรก

 

“กาล...ยิ้ม”

 

“อืม ก็ยิ้มไง ทำไมหรอ”

 

“สวย...”

 

ร่างสูงชมออกไปตรงๆด้วยใบหน้าที่แดกเถือก เขาไม่ได้คิดจะชมว่ารัตติกาลเหมือนผู้หญิง หากแต่เป็นรอยยิ้มนั้นต่างหากที่มันสวยเสียจนตาพร่า

 

“เป็นผู้ชายต้องชมว่าหล่อสิ หึ ขอมือหน่อย”

 

รัตติกาลพูดขอก่อนจะยื่นมือออกไปแล้วอารัณย์ก็วางมือของตนตามมาทันที

 

“ทำอะไรน่ะกาล”

 

“ตัดเล็บ”

 

กรรไกรอันเล็กถูกหยิบออกมาจากกระเป๋ากางเกงของร่างโปร่ง รัตติกาลค่อยๆใช้มันเล็มไปตามขอบเล็บที่ยาวเลยมาจนครบทั้งสิบนิ้วแล้วใส่มันลงในกระทงโดยมีอารัณย์จ้องมองอยู่ทุกอิริยาบถ

 

“ผมตัดให้”

 

“...อย่าให้ลึกเกินไปล่ะ”

 

รัตติกาลยอมยื่นมือไปให้อารัณย์ทำแบบเดียวกัน เขาสัมผัสได้ถึงความทะนุถนอมที่อีกฝ่ายปฏิบัติกับเขาเสียจนนึกสงสัยว่าอารัณย์มองว่าเขาอ่อนแอหรืออย่างไร รัตติกาลไม่ได้ตุ้งติ้ง ติดจะห่ามๆด้วยซ้ำในบางทีโดยเฉพาะเวลาอยู่กับเพื่อนฝูง เขาจึงไม่เข้าใจว่าทำไมผู้ชายที่ไม่เคยหลงใหลเพศเดียวกันอย่างอารัณย์ถึงหันมาสนใจเขาได้

 

“จะไม่เปลี่ยนใจจริงๆใช่ไหม”

 

จู่ๆรัตติกาลก็ถามขึ้นท่ามกลางเสียงเพลงครื้นเครงที่ลอยมาจากไกลๆ อารัณย์เงยหน้าขึ้นจากการจดจ่ออยู่กับเรียวนิ้วของร่างโปร่ง เขาสบตาอีกฝ่ายที่มองมาอยู่ก่อนแล้วด้วยความจริงใจเหมือนเช่นทุกครั้ง

 

“ไม่เปลี่ยนใจ จะถามอีกกี่รอบก็จะตอบว่าอย่างนั้น”

 

“...นทีก็เคยบอกผมอย่างนั้น แต่สุดท้ายเขาก็กลับไปหาผู้หญิงคนอื่น”

 

อารัณย์ชะงักกึกในขณะที่หัวใจของรัตติกาลเต้นรัวด้วยความกลัว แต่ไม่ใช่ความกลัวที่จะเปิดเผยเรื่องราวของนทีให้คนอื่นรู้ หากแต่เป็นความกลัวว่าอารัณย์จะรับไม่ได้หากรู้ว่าส่วนหนึ่งของหัวใจเขายังมีชายอีกคนฝั่งรากลึกอยู่ในนั้น

 

“ผมเป็นผู้ชายคนแรกและคนสุดท้ายของเขา...แต่กลับไม่ใช่คนสุดท้ายที่เขาเลือกจะใช้ชีวิตด้วย”

 

“แม่งเหี้ย...”

 

“จริง...แต่ก็นะ มันคงไม่แปลกอะไร เพราะสุดท้ายต่อให้รักแค่ไหน ผมก็มอบสิ่งที่เขาต้องการให้ไม่ได้”

 

“...”

 

“รพี...คือลูกของเขา”

 

น้ำตาของรัตติกาลหยดลงบนหลังมือของอารัณย์ที่กอบกุมมือของตนเองอยู่ ร่างสูงคว้าใบหน้าเปียกปอนของรัตติกาลให้ซบลงตรงบ่าของตัวเองแล้วปล่อยให้เสียงสะอื้นเบาๆนั้นลอยไปตามลม

 

“ผมรับมันไม่ไหวเข้าใจไหมอารัณย์ ถ้าคุณเป็นเหมือนเขา...ถ้าผมต้องเจอฝันร้ายแบบนั้นอีก ผมก็ไม่รู้ว่าจะใช้ชีวิตต่อไปยังไง”

 

“...”

 

“ถ้าคุณไม่รักผม...ได้โปรด อย่าทำให้ผมฝันอีกเลย”

 

อารัณย์ผละออกจากรัตติกาลก่อนจะคว้าท้ายทอยของอีกฝ่ายไว้แน่น ทั้งสองคนมองตากันอยู่อย่างนั้น แววตาที่หวาดกลัวของรัตติกาลค่อยๆสงบลงเมื่อสัมผัสได้ถึงความมั่นคงที่อารัณย์สื่อออกมาให้รู้สึก

 

“กูรักมึง”

 

ริมฝีปากของทั้งคู่โผเข้าหากันทันทีที่สิ้นคำนั้น ต่างฝ่ายต่างดูดดึงเรียวลิ้นของอีกคนอย่างไม่มีใครยอมใครจนสุดท้ายรัตติกาลก็ผ่อนแรงยอมให้อารัณย์เป็นฝ่ายคุมเกม ฝ่ามือร้อนไล้ไปตามสาบเสื้อแล้วจบลงบริเวณหน้าอกตรงตำแหน่งเดียวกับหัวใจ ร่างสูงมอบจุมพิตไล่มาตั้งแต่ริมฝีปากผ่านปลายคางและลำคอก่อนจะจบลงที่ตำแหน่งนั้น รัตติกาลสะดุ้งน้อยๆเมื่อรู้สึกได้ถึงฟันคมที่ขบเบาๆบนยอดอกผ่านเนื้อผ้า ร่างสูงจะจูบย้ำอยู่อย่างนั้นจนพอใจก่อนจะผละออกมาแล้วหอมแก้มที่ขึ้นสีของรัตติกาลเบาๆ

 

“ผมคืออารัณย์...ไม่ใช่นที เพราะฉะนั้นผมจะไม่มีวันทำอย่างเขา”

 

“...”

 

“ทิ้งไอ้เหี้ยนั่นไปซะ แล้วมาเป็นของผมนะกาล”

 

อารัณย์จูบรัตติกาลหนักๆอีกครั้งก่อนจะกอดเอาไว้แน่น ร่างโปร่งพูดไม่ออก ไม่สิ ไม่รู้จะพูดอะไรออกไปด้วยซ้ำในสถานการณ์แบบนี้ แต่สุดท้ายอารัณย์ก็ไม่คาดคั้นให้รัตติกาลตอบรับ ทั้งคู่ยกกระทงใบตองที่จดไฟเรียบร้อยขึ้นมาอธิษฐานในใจโดยที่ไม่มีใครล่วงรู้ได้ว่าอีกฝ่ายจะคิดเหมือนตัวเองรึเปล่า

 

ทั้งคู่ค่อยๆหย่อนกระทงลงไปในคลองที่น้ำขึ้นสูงมากกว่าทุกวัน ร่างสูงออกแรงวักน้ำจนมันค่อยๆลอยออกไปไกล ส่องสว่างแต่เพียงลำพังบนลำน้ำที่มืดสนิท

 

“ผมไม่เสียใจนะ ที่รักกาล และจะไม่มีวันเสียใจด้วย”

 

“...”

 

“เพราะผมมีความสุขมากจริงๆที่มีกาลอยู่ด้วย...แล้วกาลล่ะมีความสุขไหม”

 

อารัณย์ยิ้มออกมาแล้วลุกขึ้นก่อนจะยื่นมือไปหารัตติกาลที่มองฝ่ามือนั้นด้วยความรู้สึกตื้นตันและดีใจที่ตัวเองมีโอกาสได้รับความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่จากชายคนหนึ่งที่ถึงแม้จะธรรมดาแต่ก็พิเศษกว่าใคร

 

 

 

“ผม...มีความสุขมาก”

 

 

 

รัตติกาลยิ้มกว้างออกมา เป็นรอยยิ้มเดียวกันกับที่อารัณย์ชอบ ร่างโปร่งจับมือของอารัณย์ไว้แล้วพยุงตัวเองขึ้นยืนเคียงข้างกับคนที่เขาคิดว่าสักวันตัวเองคงจะสามารถมอบคำพูดเดียวกันนั้นกลับไปให้ได้

 

“กลับบ้านเรากันนะ”

 

ร่างสูงว่าดังนั้นก่อนจะเดินนำไปทิ้งไว้เพียงรัตติกาลที่มองแผ่นหลังกว้างนั้นด้วยความรู้สึกที่พองโตอยู่ในอก เขาวางมือลงบนสัมผัสที่อารัณย์ทิ้งไว้แล้วนึกถึงจังหวะที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วในยามนั้น รัตติกาลนึกถึงคำอธิษฐานของตัวเองต่อพระแม่คงคาแล้วบอกกับตัวเองว่าไม่มีอะไรต้องลังเลอีกแล้ว

 

 

‘ผมขอให้รพี อารัณย์ และตัวผมมีความสุข’

 

 

รัตติกาลเงยหน้าขึ้นมองดวงจันทร์ก่อนจะก้าวเดินออกไปอีกครั้ง แต่ในเสี้ยววินาทีนั้นเขาก็รู้สึกถึงได้สัมผัสเย็นเฉียบแล่นริ้วขึ้นมาจากข้อเท้า

 

 

 

 

 

“กาล...กาล...”

 

 

 

 

รัตติกาลเบิกตาโพลง ใบหน้าที่มีรอยยิ้มเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนกทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกมาจากพื้นน้ำเบื้องล่างพร้อมกับแรงบีบที่ข้อเท้าซึ่งแรงขึ้นทุกๆที ร่างโปร่งพยายามไม่คิดว่ามันคือสิ่งนั้น เขากลั้นใจหันหลังกับไปมองความมืดมิดที่ทอเป็นสายนั้นและมือขาวซีดของใครบางคนที่จับข้อเท้าของเขาไว้อยู่

 

 

 

“กาลอย่าทิ้งพี่...อย่าทิ้งพี่...”

 

 

 

 

“พี่ที...”

 

 

 

ตู้ม!!!

 

 

 

 

 

แล้วเขาก็ไม่รับรู้อะไรอีกเลย...

 

 

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

คุยกับเช่!!

ชื่อตอนออกสื่อคือ Happiness แต่ชื่อตอนจริงๆคือ นมอวดผีใช่ไหมมมมมมม :ling3:

รัณย์แอบกัดนมพี่กาล >//////////<  :pighaun: แล้วผีพี่ทีโผล่มาจากไหน TTT^TTT  :sad4:

นี่คือผลข้างเคียงของการฟังเดอะช็อคไปเขียนนิยายไปคับ...

ไปช่วงศูนย์บรรเทาทุกข์ผี เอ้ย ผัวกันไหมรัณย์ ตอนนี้ก็ยังไม่ได้ฟาดกาลสักที 5555555555555
 :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:
 

ปูลู ขอบคุณทุกเม้นต์ทุกโหวตนะคับ พี่กาลแอบฝากมาตอบเม้นต์ด้วย ที่มีคนบอกว่าตอนที่แล้วพี่กาลสาวแตก

พี่กาล : มันก็แตกมานานแล้วไม่ใช่หรอ -_-

รักพี่กาลจังเลยยยยยย สุดท้ายโปรดฟังคำประกาศจาก ววช.

 

ตอนหน้ากรุณาเตรียมหมอนมาอย่างต่ำสองใบ โปรดฟังอีกครั้ง...

ตอนหน้ากรุณาเตรียมถึงยางอนามัยมาอย่างต่ำสองกล่อง อ๊ะ ไม่ช่ายยยยยยย =w= ฮี่ๆๆๆๆ  :katai3:

 

เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน~~~ สองสามวันเท่านั้นเองงงงงงง <3 <3 <3

ออฟไลน์ love AJ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 298
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-2

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7524
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
คืออะไร

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4
อิพี่ทีหลอนมาก.................

ตายแล้วยังจะไม่ยอมตาย


ปล.เจอสิ่งนี้ค่ะ

อ้างถึง
อารัณย์คว้ามือของอารัณย์มากุมไว้

อารัณย์คว้าข้อมือรัตติกาลหรือเปล่าคะ..

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
อิพี่ทีหลอนมาก.................

ตายแล้วยังจะไม่ยอมตาย


ปล.เจอสิ่งนี้ค่ะ

อ้างถึง
อารัณย์คว้ามือของอารัณย์มากุมไว้

อารัณย์คว้าข้อมือรัตติกาลหรือเปล่าคะ..

wooooooooooow ขอบคุณมากเลยคับที่เตือน  :katai4: :กอด1:

ออฟไลน์ kanomjeeb

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 101
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เห้ยยยยย มันคืออะไรรรรรร

ตกลงทีตายจริงๆหรอ หลอนอะ

นี่นิยายรักจริงๆใช่ไหม

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด