Nightmare อยากให้คืนนี้ไม่ต้องฝันร้าย (END) #ตอนพิเศษ...คืนของรัณย์กาล...
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Nightmare อยากให้คืนนี้ไม่ต้องฝันร้าย (END) #ตอนพิเศษ...คืนของรัณย์กาล...  (อ่าน 139942 ครั้ง)

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
 


Special Night I

…Jealous...


 

 

 

“รพี! อย่าวิ่งลงบันไดครับ!!”

 

ฝ่าเท้าเล็กๆชะงักกึก ใบหน้ากลมมนตามวัยเบ้น้อยๆเพราะโดนคุณพ่อดุตั้งแต่เช้า รพีค่อยๆเดินลงไปชั้นล่างตามคำเตือนของรัตติกาลที่ยืนจังก้ารออยู่ที่ตีนบันได อยากจะวิ่งเข้าไปกอด ออดอ้อนเหมือนทุกครั้งแต่การยืนกอดอกแล้วเปรยตามองอย่างดุๆของบิดาทำให้เด็กชายไม่กล้าดื้อด้วยเหมือนทุกครั้ง

 

“พ่อกาลดุแต่เช้าเลย”

 

“ก็น่าโดนดุไหมล่ะ หรืออยากโดนเย็บคางอีกพ่อจะได้ไม่ว่า”

 

รัตติกาลหัวเราะเบาๆเมื่อรพีรีบหดคอเข้าเหมือนลูกเต่าตัวน้อย รอยแผลเป็นจางๆที่คางเป็นหลักฐานชิ้นดีซึ่งยืนยันคำพูดของเขาได้ ทันทีที่เท้าแตะพื้น เจ้าตัวป้อมก็รีบวิ่งมาพันเข่งพันขาเขาทั้งที่ยังทำหน้าง้ำงอ

 

“พีหิวอะพ่อ...”

 

รพีรีบเปลี่ยนเรื่องเพราะไม่อยากนึกถึงเรื่องน่าอายนั่นอีก เพราะเพื่อนตัวจ้อยอย่างข้าวนั่นแหละที่ร้องเรียกรพีให้วิ่งไปดูปลาคาร์ฟตัวใหญ่ที่พ่อกาลเพิ่งนำมาลงบ่อ รพีตื่นเต้นจัดรีบวิ่งลงบันไดโดยไม่ฟังคำเตือนของยายจันทร์ จนพลาดท่าสะดุดปลายเท้าตัวเองกลิ้งหลุ่นๆตบท้ายด้วยแรงกระแทกเต็มปลายคาง เด็กซนร้องไห้จ้าจนวุ่นวายไปทั้งบ้าน ยิ่งคิดยิ่งเจ็บจนรพีอดที่จะยกมือขึ้นมาลูบเบาๆบนรอยแผลเย็บไม่ได้

 

“ไม่รอน้ารัณย์ก่อนรึไง”

 

“ก็น้ารัณย์ช้าอ่ะ...นะๆ พ่อไปกินกับพีก่อนนะ”

 

รัตติกาลส่ายหัวให้กับความขี้อ้อนของลูกชาย ชายหนุ่มยกมือขยี้กลุ่มผมนุ่มนั้นอย่างเอ็นดูแล้วดันรพีให้เดินเข้าไปในห้องทานข้าว จันทร์ที่กำลังยืนกำกับนิ่มซึ่งจัดโต๊ะอยู่หันมายิ้มให้เจ้านายทั้งสองแล้วลงมือตักข้าวสวยร้อนๆให้ด้วยตัวเอง

 

“คุณกาลจะให้ป้าเอาของที่เตรียมไว้ขึ้นรถเลยไหมคะ”

 

“ไม่ต้องครับป้า เดี๋ยววันนี้ไปรถอารัณย์”

 

“ค่ะ แล้วนี่คุณเขายังมาไม่ถึงอีกหรอคะ”

 

“ส่งข้อความมาบอกแล้วครับว่ารถติด แต่อีกสักพักก็น่าจะถึง”

 

“น่าสงสารจังนะ เมื่อไหร่คุณกาลจะใจอ่อนยอมให้เข้ามาอยู่บ้านนี้สักที จะได้ไม่ต้องเทียวไปเทียวมา”

 

หญิงแก่พูดบ่นไปเรื่อยตามประสา รัตติกาลยิ้มขำเมื่อนึกถึงใบหน้าง้ำงอไม่แพ้เจ้าลูกชายเมื่อโดนเขาบ่ายเบี่ยงเสมอยามที่พูดกล่อมเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ รพีที่นั่งเคี้ยวข้าวจนแก้มตุ่ยส่ายหัวแรงๆแสดงออกว่าไม่เห็นด้วย เด็กชายรีบกลืนอาหารให้หมดก่อนจะเปิดปากพูดตามมารยาทที่ยายจันทร์สอนไว้

 

“พีไม่ให้น้ารัณย์มาอยู่ด้วยหรอก!”

 

“หึหึ”

 

“ทำไมล่ะคะ คุณพีก็ชอบเล่นกับคุณรัณย์ไม่ใช่หรอ”

 

ยายแก่ทักท้วง คุณหนูเล็กของเธอติดพี่เลี้ยงเด็กนั้นไม่แพ้พ่อของตัวเองเลย รพีทำหน้าชั่งใจครุ่นคิดถึงคำทักท้วงนั้น

 

รพีชอบน้ารัณย์...น้ารัณย์ก็บอกว่าชอบรพี

 

แต่ปัญหามันอยู่ตรงที่น้ารัณย์ก็ชอบพ่อกาลเหมือนกันนี่แหละ!

 

 

 

 

“โห กินข้าวก่อนไม่ยอมรอกันเลยนะ”

 

รัตติกาลหันไปมองคนที่เพิ่งเดินเข้ามาพร้อมกับควงกุญแจรถในมือเล่น ชายหนุ่มเคาะนาฬิกาข้อมือเพื่อให้อีกฝ่ายรู้ตัวว่าตัวเองมาสายกว่าเวลานัดจนเขาต้องยอมให้เจ้าตัวดีกินข้าวกินปลาซะก่อนที่จะร้องงอแงด้วยความหิว คนมาใหม่ยิ้มแหยยอมรับในความผิดพลาดนั้น ใครจะไปคิดว่าถนนเมืองกรุงในเช้าวันเสาร์ที่ปกติจะโล่งพอสมควรวันนี้กลับเบียดแน่นจนอารัณย์ต้องอาศัยทางลัดพาเจ้ารถกระป๋องเดินทางมาถึงนี่ 

 

“น้ารัณย์ช้า!”

 

“ครับๆขอโทษนะ วันนี้รถติดมากเลยกาลรีบกินรีบออกเถอะ”

 

อารัณย์เอ่ยกับเจ้าตัวจ้อยก่อนจะหันไปพูดกับคุณพ่อสุดหล่อที่ยังคงดูดีในชุดลำลองสบายๆ ร่างสูงนึกดีใจที่เหล่าสมาคมแม่บ้านที่โรงเรียนไม่เคยเห็นชายหนุ่มในสภาพนี้ ใบหน้าหวานคมถูกล้อมกรอบด้วยทรงผมที่ไม่ได้จัดเซ็ตจนดูเป็นทางการ กางเกงสีชาขาสั้นประมานเข่าเข้ากันได้ดีกับเสื้อเชิ้ตคอวีสีขาวครีมที่ดูเบาสบายเหมาะกับวันอากาศร้อนๆ

 

ให้ตายสิ...ชักจะไม่อยากพาออกไปเที่ยวไหนเลยแหะ

 

“แล้วไม่หิวหรอ กินอะไรก่อนแล้วค่อยออกก็ได้”

 

“เป็นห่วงหรอ?”

 

“พูดมาก...”

 

ร่างสูงส่งยิ้มกรุ่มกริ่มให้คนปากแข็ง อารัณย์คว้าฝ่ามืออุ่นของอีกฝ่ายที่ซ่อนไว้ใต้โต๊ะมาเล่นอย่างย่ามใจ นิ้วยาวลูบไปตามรอยลายมือแผ่วเบาแล้วออกแรงนวดหวังให้รัตติกาลผ่อนคลาย แต่เจ้าของมันกลับหันมามองคนรักที่กำลังแต๊ะอั๋งตัวเองด้วยใบหน้าเหนื่อยหน่าย อารัณย์ยิ้มอ่อนยอมปล่อยมือของรัตติกาลแล้วลงมือจัดการอาหารตรงหน้าโดยไม่สนใจสายตาของรพีที่มองมาอย่างไม่ค่อยพอใจนัก

.

.

.

.

.

.

.

 

หลังจากทั้งสามคนจัดการอาหารเช้าของตัวเองเสร็จ อารัณย์และรัตติกาลก็จัดการยกของที่จันทร์จัดเตรียมไว้ให้ขนใส่ท้ายเจ้ากระป๋อง รถคันย่อมของอารัณย์ที่ราคาสูงพอๆกับอายุการใช้งานที่เก่าแก่ อารัณย์เข้าไปนั่งประจำที่คนขับ ร่างสูงหันไปมองยังที่ข้างๆซึ่งปกติจะมีร่างสูงโปร่งของรัตติกาลจับจองเป็นประจำแต่ตอนนี้กลับถูกเจ้าตัวซนพาร่างป้อมๆของตัวเองขึ้นมานั่งเคียงคู่สารถีอย่างเขาจนคนเป็นพ่อต้องระเห็จไปนั่งข้างหลังโดยไม่ได้อิดออดอะไร

 

“พี ทำไมมานั่งนี่ล่ะครับ ปกตินั่งข้างหลังไม่ใช่หรอ”

 

“ก็วันนี้พีอยากจะดูรถ”

 

“ดูรถ? ข้างหลังก็ดูได้ครับ นั่งข้างหน้าไม่หนาวรึไง”

 

“ก็หนาว...แต่พีจะนั่งข้างหน้า น้ารัณย์อย่าบ่นสิ”

 

รพีที่ปกติจะไม่ชอบนั่งข้างหน้าเพราะเจ้าตัวทนไม่ได้กับแรงเป่าของแอร์ที่ทำเอาหนาวสั่น เด็กชายขมวดคิ้วครุ่นคิดก่อนจะเถียงข้างๆคูๆออกมาจนรัตติกาลซึ่งนั่งอยู่ข้างหลังใช้หนังสือที่หยิบติดมือมาด้วยยกขึ้นซ่อนใบหน้าเปื้อนยิ้มของตัวเองไว้

 

“น้าไม่ได้บ่นสักหน่อย จะนั่งข้างหน้าก็นั่ง กาล...หยิบผ้าห่มหลังเบาะผมให้หน่อยสิ”

 

รัตติกาลหยิบผ้าห่มเนื้อสำลีสีอ่อนส่งให้เด็กชายที่มองอย่างชอบใจ ตัวละครจากอนิเมชั่นชื่อดังอย่างมินเนี่ยนถูกพิมพ์พร้อยไปทั้งผืน รพีรับผ้านุ่มๆมากอดไว้แน่น รู้สึกอบอุ่นจนชักอยากนอนขึ้นมาตะหงิดๆ แล้วก็เป็นไปตามที่คาดรพีได้ผ้าห่มไปก็กอดรัดฟัดเหวี่ยงด้วยไม่นานก่อนจะผล่อยหลับ รัตติกาลต้องชะโงกตัวมาถ่ายภาพน่าเอ็นดูนั้นไว้ด้วยกล้องโทรศัพท์แล้วส่งให้นิลดู

 

“พีแย่งที่...อดจับมือกาลเลย”

 

“เพ้อเจ้อน่า ขับไปดีๆอย่าวอกแวก”

 

“ใจร้ายจัง นี่แฟนนะครับไม่ใช่คนขับรถ”

 

“หรอ ถ้าใช้ไม่ได้ก็บอกที่หลังจะได้ขับเอง”

 

“ประชดอีกแล้ว กาลใช้อะไรผมทำให้หมดแหละ...แค่อยากได้รางวัล”

 

รัตติกาลหัวเราะออกมาเบาๆแล้วสบตากับคนที่กำลังมองเขาผ่านกระจกมองหลัง ใบหน้าที่ใครๆมักบอกว่าดูดุดันไม่เหมาะกับการเป็นพี่เลี้ยงเด็กส่งยิ้มอ่อนมาให้เขาแต่ดวงตากลับออดอ้อนแล้วแฝงไปด้วยความปรารถนาบางอย่าง ร่างโปร่งถอนหายใจ...ภายนอกอารัณย์เป็นหนุ่มที่ร้ายกาจและเคร่งขรึม แต่สำหรับรัตติกาลหนุ่มอายุน้อยกว่าคนนี้เหมือนหมาตัวโตที่กำลังออดอ้อนเจ้าของด้วยสายตา

 

ร่างโปร่งโน้มตัวไปข้างหน้าจนอารัณย์ได้กลิ่นอาฟเตอร์เชฟอ่อนๆที่เชิญชวนจนอยากฝากรอยรักสีกุหลายไว้บนสันกรามนั้นใจจะขาด ดวงตาสีนิลยังคงจ้องมองเขาอยู่ไม่มีการหลบหลีกอย่างเขินอาย แต่อารัณย์ก็ตาไวพอที่จะสังเกตเห็นใบหูเล็กๆนั้นขึ้นสีแดงระเรื่อ

 

“หึ เจ้าเด็กขี้อ้อน”

 

ริมฝีปากนุ่มสัมผัสกับไหปลาร้าสวยที่โผล่พ้นคอเสื้อโปโลสีคราม อารัณย์รู้สึกเจ็บจี๊ดๆก่อนจะสัมผัสได้ถึงปลายลิ้นนุ่มที่ละเลียละเลียดบนผิวเนื้อที่เปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม เสียงหัวเราะเบาๆของรัตติกาลดังอยู่ข้างหูก่อนที่เจ้าตัวจะผละออกมา นั่งพิงเบาะแล้วยกหนังสือขึ้นอ่านตามเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

“ฝากไว้ก่อนเถอะ...”

.

.

.

.

.

.

.

 

เสื่อผืนใหญ่ถูกปูลงบนพื้นหญ้าใต้ต้นใหญ่ แม้จะเป็นช่วงเที่ยงที่อากาศร้อนอบอ้าวแต่เพราะลมเย็นๆที่พัดเอื่อยๆและร่มไม้ทำให้การมานั่งเล่นที่สวนรถไฟตอนนี้ก็ไม่แย่นัก อารัณย์และรพีช่วยกันขนของลงมาจากรถ เด็กชายที่เพิ่งตื่นนอนเดินสะลึมสะลือกอดผ้าห่มมินเนี่ยมไว้ไม่ยอมปล่อยโดยที่มืออีกข้างถือตะกร้าของว่างที่รัตติกาลตื่นมาทำตั้งแต่เช้าซึ่งไม่หนักมากนักอารัณย์จึงยกให้เจ้าตัวจ้อยเป็นคนถือ

 

“พ่อ...พีง่วง”

 

“นอนมาตลอดทางยังง่วงอีกหรอ มาช่วยพ่อจัดขนมดีกว่ามา”

 

รพีพยักหน้า เดินต้วมเตี้ยมมาหาบิดาพร้อมยื่นตะกร้าหวายให้ปล่อยให้อารัณย์ขนของที่เหลือเพียงคนเดียว รัตติกาลหยิบจานกระดาษและช้อนพลาสติกออกมาวางแล้วใช้ผ้าคลุมทับอีกชั้นเพื่อกันฝุ่น ของทานเล่นที่ลูกชายชอบอยากชีสบอล นักเก็ต และมันบดถูกยกออกมา รวมไปถึงก๋วยเตี๋ยวลุยสวนที่คนขับรถส่วนตัวบ่นว่าอยากกินตั้งแต่อาทิตย์ก่อนก็ถูกห่ออย่างสวยงามทานคู่กับน้ำจิ้มรสเด็ดที่ร่างโปร่งภูมิใจในรถมือตัวเองตั้งแต่สมัยเรียน

 

ร่างป้อมพอเห็นของโปรดก็หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง ทั้งที่เพิ่งทานข้าวเช้าไปแต่ระยะเวลาที่ต้องอยู่บนรถก็ทำให้กระเพาะน้อยๆร้องครวญครางอีกครั้ง เด็กชายหยิบเอาชีสบอลที่อยู่ใกล้มือเข้าปาก พาเมซานชีสเหนียวนุ่มห่อหุ้มด้วยเกล็ดขนมปังกรอบออกรสเค็มปะแล่มๆทั้งถูกปากถูกใจรพีเป็นที่สุด มือเล็กเตรียมจะหยิบกินเป็นชิ้นที่สองแต่ยังไม่ทันจะเข้าปาก อารัณย์ที่โผล่มาจากข้างหลังก็งับเอาของโปรดรพีลงท้องโดยไม่ขออนุญาต

 

“น้ารัณย์!!! คุณพ่อน้ารัณย์แย่งพี!!”

 

“ไม่เป็นไรๆมีอีกตั้งเยอะไม่ต้องแย่งกัน”

 

รัตติกาลรีบปลอบลูกชายที่แบะปากเตรียมร้องไห้พลางส่งสายตาคาดโทษไปยังคนก่อเรื่องที่ลอยหน้าลอยตาเคี้ยวของที่แย่งมาจนแก้มตุ่ย รพีที่โมโหจนน้ำตาคลอคว้ากล่องชีสบอลมากอดไว้กับตัวไม่ยอมให้ใครมาแย่ง อารัณย์เห็นแบบนั้นก็ยิ้มขำในความหวงของของหลานชาย

 

“พีอย่าทำแบบนี้ครับ เดี๋ยวหก”

 

“ก็น้ารัณย์จะแย่งของพี”

 

“แบ่งกันกินสิครับ พ่อทำมาตั้งเยอะ จะกินส่วนของน้าเขาด้วยก็ได้”

 

“ไม่เอาอะ ของน้ารัณย์มีแต่ผัก!”

 

“ไม่กินผักระวังตัวเตี้ยนะพี”

 

อารัณย์พูดทักขึ้น มีความสุขที่ได้แกล้งหยอกเด็กชายที่กอดกล่องของกินไว้ไม่ยอมปล่อยทั้งที่ของข้างในยังร้อนจนแขนสั้นๆนั้นเริ่มแดง

 

“ครูสาสอนว่ากินนมเยอะๆโตไปแล้วจะสูง พีกินนมเก่ง แต่ตอนนี้ยังเด็กอยู่ โตไปเดี๋ยวก็สูงเอง สูงกว่าน้ารัณย์ด้วย!”

 

“ครับๆ แต่กินแต่ของทอดก็ไม่ดีนะ ระวังจะอ้วนเป็นหมู”

 

“พีไม่อ้วนสักหน่อย ข้าวยังบอกเลยว่าพีผอม”

 

รัตติกาลมองพุงกลมๆของคนที่บอกว่าตัวเองผอม ถ้าจำไม่ผิดกราฟเปรียบเทียบน้ำหนักและส่วนสูงในสมุดตรวจสุขภาพที่ครูประจำชั้นให้เขาดูเมื่อเดือนก่อน ค่าBMIของรพีอยู่ชิดเส้นขอบของช่วงเกณฑ์ปกติแล้ว...

 

“เด็กดีต้องกินผัก...”

 

รพีแบะปาก สบตากับรัตติกาลที่มองมานิ่งๆ ไม่ดุว่าไม่กดดันแต่คนฟังกลับมือสั่น ร่างป้อมมองชีสบอลและก๋วยเตี๋ยวลุยสวนสลับกันแล้วก้มลงดูก้อนไขมันน้อยๆของตัวเองที่ข้าวชอบหนุนตอนนอนกลางวัน ดวงตากลมเหมือนเม็ดลำไยช้อนมองบิดาของตนอีกทีเพื่อขอคำยืนยัน รัตติกาลไม่พูด เขาเพียงแค่ส่งยิ้มให้ลูกจนตาหยี รพีค่อยๆวางกล่องชีสบอลลงบนเสื่อ เปรยตามองโรลผักสีเขียวแซมด้วยสีส้มของแครอทแล้วห่อด้วยเส้นก๋วยเตี๋ยวบางๆ น้ำจิ้มรสเด็ดอยู่ในถ้วยที่วางอยู่ข้างๆ ไม่รู้ว่าเพราะแสงแดดรึเปล่าเจ้าผักรสขมนี่ถึงได้ดูเขียวมากกว่าปกติข่มขวัญของรพีเสียจนกระเจิง

 

“ปะ ป้อนหน่อย...”

 

รัตติกาลทำตามที่ลูกชายอ้อน ร่างโปร่งบรรจงตักชิ้นที่เล็กที่สุดราดด้วยน้ำจิ้มที่ไม่เผ็ดจนเกินไปแล้วยื่นให้ตรงปากของรพีรอแค่เจ้าตัวเอาเข้าปาก รพีมองก้อนสีเขียวๆนั้นด้วยสายตาสั่นระริก ข้างๆเป็นอารัณย์ที่ยกกล้องขึ้นถ่ายช็อตสำคัญพยายามกลั้นขำแทบตายเพื่อไม่ให้เจ้าตัวป้อมหมดกำลังใจ

 

“อ้าม...”

 

ร่างโปร่งส่งเสียงกระตุ้นลูกชาย รพีกลืนน้ำลายเอือกใหญ่ ริมฝีปากเล็กค่อยๆอ้ารับก๋วยเตี๋ยวลุยสวนเข้าไปเต็มปาก ใบหน้าที่เหยเกในคราวแรกค่อยๆดีขึ้นเมื่อรสหวานอมเปรี้ยวของน้ำจิ้มช่วยกลบกลิ่นแรงๆของผักจนไม่รู้สึกแย่อย่างที่คิด หมูและกุ้งสับที่สอดไส้อยู่ข้างในก็หวานหอมเข้ากันได้ดีกับความกรอบของแครอทและผักกาดแก้ว คิ้วที่ขมวดเป็นปมคลายลง กลายเป็นรพีทำหน้าพอใจกับรสชาติจนรัตติกาลหัวเราะออกมา ผู้ใหญ่สองคนลูบหัวเด็กชายอย่างเอ็นดูโดยที่รพีเอนคอรับสัมผัสจากมือทั้งสองอย่างออดอ้อน

 

“อร่อยไหม”

 

“อื้อ อ้อ อาน อำ อะ อ่อย” (อื้ม พ่อกาลทำอร่อย)

 

“อร่อยก็กินเยอะๆนะ”

 

“กาลๆ ป้อนผมด้วย”

 

เด็กโข่งข้างๆสะกิดคนรัก รอยยิ้มทะเล้นส่งมาให้ อารัณย์สบตารัตติกาลสลับกับของโปรดเป็นการขอให้ร่างโปร่งบริการตนเองแบบเดียวกับลูกชาย แต่ยังไม่ทันที่รัตติกาลจะได้ตอบรับหรือปฏิเสธ ช้อนในมือของชายหนุ่มก็ถูกรพีที่เคี้ยวหมดคำแล้วแย่งไปยัดใส่มือพี่เลี้ยงหนุ่มที่ก้อร่อก้อติกบิดาของตนอยู่

 

“น้ารัณย์โตแล้ว กินเอง!!!”

.

.

.

.

.

.

 

 

เสียงหัวเราะและพูดคุยของคนที่เขารักทั้งสองดังมาจากไกลๆ รัตติกาลที่เอนหลังพิงกับต้นไม้เงยหน้าขึ้นจากหนังสือมองดูอารัณย์ที่กำลังสอนรพีให้ปั่นจักรยานสองล้อสำหรับเด็กที่เช่ามา ขาที่ยาวไม่ถึงพื้นพยายามเหยียบบันไดแล้วถีบพาตัวไปข้างหลังภายใต้การประคับประคองของคนตัวโตที่สอนเด็กน้อยอย่างใจเย็น

 

“นั่งตัวตรงๆ อย่าเกร็งสิพี”

 

“ไม่ได้เกร็งสักหน่อย!”

 

“เอนตัวไปข้างหน้ามากไปแล้ว!”

 

“อย่าปล่อยนะ!!”

 

ทุกอย่างเป็นไปด้วยความทุลักทุเล รอยถลอกเล็กๆตามขาเหมือนเป็นแผลแห่งเกียรติยศสำหรับเด็กๆรัตติกาลจึงไม่ได้เป็นห่วงมากนัก เขาจิบน้ำมะตูมที่จันทร์ทำไว้ให้ดับร้อน รสหวานช่วยให้ร่างโปร่งที่ไม่ค่อยถูกกับอากาศร้อนๆผ่อนคลายลงได้ยิ่งได้ลมที่พัดเอื่อยๆตลอดวันช่วยกว่าจะรู้ตัวอีกทีเวลาก็เลยมาถึงบ่าย

 

รัตติกาลมองทั้งสองคนที่หัวเราะให้กันด้วยรอยยิ้มอดขำไมได้ ที่วันนี้เจ้าลูกชายออกอาการ ‘หวง’ เขาเสียจนออกนอกหน้า ใบหน้าง้ำงอที่โต๊ะกินข้าว การแย่งที่นั่งที่ประจำ และอาการหวงของกินที่ปกติเจ้าตัวเป็นเด็กมีน้ำใจทำให้รัตติกาลนึกขำ เพราะแบบนี้นี่แหละถึงยังไม่ตอบตกลงกินอยู่กับอารัณย์เต็มตัว

 

“บ้านแตกแน่ๆ”

 

อารัณย์คว้าตัวรพีก่อนที่จะลงไปกลิ้งพร้อมกับจักรยานคันใหญ่ เด็กชายมีท่าทางตกใจแต่ก็ยังหันมาหัวเราะกับร่างสูงอย่างสนุกสนาน ฝ่ามือใหญ่ยีกลุ่มผมนุ่มอย่างเอ็นดูก่อนจะแนะนำวิธีการทรงตัวให้รพีฟังใหม่อีกครั้ง ร่างป้อมขานรับอย่างเข้าใจก่อนจะเริ่มต้นใหม่อีกครั้งและอีกครั้ง

 

คนตัวสูงรู้สึกถึงสายตาที่จ้องมองมาที่ตน ดวงตาสีนิลวาววับมองทอดมายังเขาและลูกชายที่สังเกตเห็นคนเป็นพ่อแล้วเหมือนกัน รพีโบกมือให้รัตติกาลด้วยท่าทางร่าเริงเหมือนกับดวงอาทิตย์ที่กำลังฉายแสงอยู่บนท้องฟ้า ส่วนรัตติกาลก็ส่งยิ้มอ่อนกลับมาให้ เป็นกลางคืนที่ทั้งสงบและอบอุ่นชวนให้หลับสบาย อารัณย์มองภาพของทั้งสองคนแล้วยิ้มตาม เขายืดตัวขึ้นแล้วโบกมือให้คนรักบ้างโดยมีเจ้าตัวจ้อยที่ยืนอยู่ข้างๆร้องโหวกแหวกโวยวายไปเรื่อยตามประสาเด็กขี้หวง...

 

 

 

 

 

เสียงนกกระพือปีกปลุกรัตติกาลให้ตื่นจากภวังค์ นภาสีฟ้าสดแปรเปลี่ยนเป็นสีส้มอิฐ สวนรถไฟที่เคยสงบมีผู้คนมากมายเดินจนหนาตา หลายคนมองมาที่เขา หัวเราะคิกคักเหมือนเห็นของถูกใจ ผู้เฒ่าผู้แก่ที่มาเดินออกกำลังกายต่างส่งยิ้มมาให้พร้อมปากเอ่ยว่าช่างน่าเอ็นดู รัตติกาลเหลือบไปเห็นเด็กผู้หญิงที่ตัดผมทรงนักเรียนแบบผิดระเบียบมากันเป็นกลุ่มใหญ่ เด็กสาวพวกนั้นหยุดเดินแล้วส่งเสียงกรี๊ดเบาๆยกมือถือออกมาแล้วหันกล้องมาทางพวกเขา เสียงหัวเราะคิกคคักทำให้รัตติกาลไม่ชอบใจแต่ก็ได้แต่นั่งนิ่งเพราะยังมึนงงกับสถานการณ์

 

“อื้อ...”

 

เขาก้มหน้าลงมองตักของตัวเอง ทั้งสองที่ปั่นจักรยานเล่นเมื่อบ่ายนอนสลบไสลอาศัยตักแข็งๆของเขาเป็นที่เอนหัวทั้งสองข้าง ด้านซ้ายเป็นลูกชายตัวป้อมที่อ้าปากกว้างจนน้ำลายไหลเปื้อนกางเกงสีชาเป็นวง ด้านขวาเป็นชายหนุ่มรูปงามที่ใบหน้ายามหลับใหลนั้นดูเคร่งครึมผิดกับนิสัยที่แท้จริง

 

“นอนไม่รู้เรื่องเลย...”

 

รัตติกาลใช้นิ้วบดคลึงหัวคิ้วที่ขมวดกันเป็นปมเพราะความเมื่อยล้าที่ต้องนอนบนพื้นแข็งๆ คนอายุมากกว่าลูบกลุ่มผมสีเข้มของคนตัวโตเบาๆแทนคำขอบคุณที่เจ้าตัวยอมเสียสละวันหยุดพาเขาและลูกชายมาเที่ยวแทนที่จะได้พัก และเพื่อเป็นการตอบแทนที่อยู่เคียงข้างเขาเสมอมา

 

เปลือกตาสีไข่ขยับน้อยๆก่อนเจ้าตัวจะลืมตาขึ้น อารัณย์ยกยิ้มเมื่อเห็นใบหน้าของคนรักทันทีที่ตื่นขึ้นเหมือนกับฝันที่แอบหวังมาตลอด ร่างโปร่งคว้ามือเรียวที่ลูบผมเขามากุมไว้แล้วกดจูบเบาๆบนฝ่ามือขาว เขาแนบใบหน้าเข้าหาหน้าท้องแบนราบเรียบภายใต้เสื้อเชิ้ตตัวบาง ออดอ้อนร้องขอ...อยากอยู่แบบนี้ตลอดไป

 

“กาล”

 

“หื้ม”

 

“อยู่กันแบบนี้ตลอดไปนะ”

 

“...”

 

“เราทั้งสามคนเลย”

 

“รัณย์...”

 

“ครับ”

 

 

 

 

 

 

“ลุก...เหน็บกิน”

 

“...”

 

“...”

 

 

 

อืม...เอาเถอะ...

 

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

คุยกับเช่!

เป็นไงคนับตอนพิเศษ แต่งสนุกมากมาย แต่งไม่ต้องคิดไรเยอะ ชอบ!!! 55555555 เปลี่ยนแนวทันไหมเนี่ย :mew4:

หวานพอไหม?? คือถ้าให้เช่หวานก็ประมานนี้แหละคับ ไม่รอดจริงๆ เรื่องต่อๆไปคิดแล้วว่าอยากให้มีมุมแบบนี้มากขึ้น

คงต้องฝึกปรือฝีมือกันอีกนาน นี่ก็ถือว่าเป็นตอนสนุกๆ ไว้เบรกความดาร์กแล้วกัน^^  :katai2-1:

 

อธิบายนิดนึง หลายคนอาจจะสงสัยในนิสัยของรพีว่าทำไมแปลกๆ อนึ่งตอนพิเศษนี่ตามที่เขียนเลยครับ มันเป็น "ฝัน"

เพราะฉะนั้นนิสัยตัวละครจะไม่เหมือนกับเนื้อเรื่องหลัก เช่อยากสื่อว่าถ้าเกิดรพีไม่โตมาแบบเรื่องหลัก

น้องก็จะเป็นแค่เด็กดื้อๆติดคุณพ่อธรรมดา ไม่เหมือนรพีปกติที่ติดนิสัยแปลกๆ กล้าๆกลัวๆ

แต่ถึงอย่างนั้น ในอนาคตรพีจะโตขึ้นมาเป็นยังไง จะได้มีโอกาสเห็นน้องร่าเริงแบบนี้ไหม ก็เอาใจช่วยกันนะ

รวมถึงตัวละครอื่นด้วยโดยเฉพาะกาล ถ้าไม่มีเรื่องให้จิตตกก็ใช้ได้เลยใช่ไหมล่ะ เช่ชอบ^^

 

ตอนพิเศษตอนนี้แต่งเนื่องในโอกาสฉลองคนไลค์เพจเช่ครบ 100 คนนะคับ

ตอนพิเศษอื่นๆรับรองว่ามีแน่ แต่ดูตามโอกาสกันไป ติดตามข่าวสารได้ทางเพจเหมือนเดิมนะ

ขอบคุณทุกเม้นทุกโหวตในตอนที่แล้ว เช่จะพัฒนาตัวเองให้เก่งๆกว่านี้นะ^^


โหยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย ชื่นใจ กาลเริ่มเปลี่ยนแล้ว จุดพลุฉลองดีไหมเนี่ย ฮ่าๆๆๆๆๆๆ

น้องพีหนูต้องเอาความน่ารักของหนูเข้าสู้นะลูก :-[ :-[

ได้อ่านโมเม้นของรัณย์กาลแล้วปริ่ม นี่มุ้งมิ้งที่สุดแล้ว ฮ่าๆๆๆๆๆๆ :hao7: :hao7:

ป.ล.หายไปนานเลย ยอมรับเลยค่ะว่าที่หายไป ไปทำใจมา ฮ่าๆๆๆๆๆๆ พอมาเจอโมเม้นรัณย์กาลแล้วดีใจมากค่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆ ถือเป็นก้าวเล็กๆ  o13 o13

หายไปนานเลย เช่คิดถึงนะคับ ^^ ดีใจที่กลับมา :กอด1:
 

ออฟไลน์ kanomjeeb

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 101
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
นึกว่าตาฝาด ฟินนนนนนนนนนมากกกกกกกกกก

กาลน่ารักอะ ราชินีมาเลย ขอลุคนี้ในเรื่องหลักบ้างได้ไหมอะ ชอบๆๆๆๆๆ โดยเฉพาะประโยคสุดท้าย ฮาไม่ไหวแล้วค่าาาาา

ชอบตอนนี้มาก แต่เรื่องหลักก็เขียนไปตามปกติเถอะคะ ขอแค่มีพิเศษใส่ไข่ให้พักหายใจหายคอบ้าง

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
จะมีโอกาสเห็นภาพแบบนี้ในเร็ววันไหม

ออฟไลน์ iiduckii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 66
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ตอนพิเศษน่ารักมากเลยค่ะ  o13 o13 o13

เอาแบบนี้มาเยอะๆนะคะ ฮ่าๆๆๆๆ

ป.ล.แฮร่ๆๆ คิดถึงคนเขียนเหมือนกันค่าาา จะมาบ่อยๆน้าาาา :3123: :3123:

ออฟไลน์ Cc-kun

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-2
ปลื้มปริ่มกับตอนพิเศษ
น้องพีอ้วนกลมดูมีความสุขสุดๆ

ออฟไลน์ LiqueuR

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
สนุกมากก
 :heaven
เราชอบมาม่าเรื่องนี้สุดสุด เข้มข้นถึงใจ
อ่านรวดเดียวเลย ฮุฮุ

มาต่อไวไวน้าาา ติดตามๆ


ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7524
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
มันจะต้องโอเคเนาะ เหงตอนพิเศษละก้อใจชื่น

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
ไม่อ่านตามอ่านตั้งหลายตอน คิดถึงเรื่องนี้

คือยังอยากด่ากาลเหมือนเดิมว่า ทำไมถึงแค้นคนที่ตายไปแล้ว
ตัวเองก็เป็นคนแย่งนทีมากจากแพงไม่ใช่เรอะ?
หรือว่ามันมีอะไรซับซ้อนกว่านั้น?' o22

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
21st Night


…Tomb Keeper& Cerberus...

 

 

 

แสงไฟที่แยงตาปลุกรัตติกาลให้ตื่นจากภวังค์ ใบหน้าที่แสดงความตระหนกปนกับตำหนิของจันทร์ทำเอาชายหนุ่มอดที่จะยิ้มอ่อนไม่ได้ หญิงแก่ที่ถูกนิ่มปลุกขึ้นกลางดึก รีบพาร่างท้วมของตนมายังบ้านใหญ่ในเวลาร่วมตีสอง พอมาถึงจันทร์ก็ต้องยกมือทาบอกด้วยความตกใจเมื่อเห็นสภาพรถบุโรทั่งของอารัณย์ที่ขับพานายของเธอกลับมาถึงกรุงเทพ

 

 

“ต่อให้คุณกาลโตแล้ว ป้าก็ตีคุณได้นะคะ!”

 

 

“ขอโทษครับที่ทำให้เป็นห่วง”

 

 

“รู้ว่าป้าห่วงก็ยังจะทำนะคะ ไม่อยากเห็นป้าแก่ตายรึไง ทำอะไรคิดถึงใจคนแก่บ้างเถอะค่ะ”

 

 

“ครับๆ แต่ยังไงป้าก็แข็งแรงอยู่แล้วไม่เป็นอะไรไปง่ายๆหรอก”

 

 

รัตติกาลพูดเอาใจคนที่เขารักเหมือนกับพ่อแม่แท้ๆ แม้จะเหนื่อยล้าแต่หัวใจกลับรู้สึกอบอุ่นเมื่อสัมผัสได้ถึงความห่วงใยที่อีกฝ่ายมอบให้ จันทร์เอาแต่ส่ายหน้าพลางพูดตำหนิคุณหนูของตนไม่หยุดจนนิ่มที่ยืนอยู่ข้างๆแอบขำ หญิงสาวยังจำสีหน้าของคนแก่ตอนที่เธอเข้าไปบอกว่าคุณผู้ชายเพิ่งฝ่าพายุกลับมาถึงบ้านได้ขึ้นใจ

 

 

รัตติกาลหันไปมองที่นั่งว่างเปล่าฝั่งคนขับ เขาไม่เห็นชายหนุ่มเลยตั้งแต่ลืมตาขึ้นมา อันที่จริงต้องบอกว่าตั้งแต่ที่เขานอนหลับไปถึงจะถูก

 

 

“แล้วนี่...เขาไปไหนครับ”

 

 

“เขา? คุณอารัณย์น่ะหรอคะ”

 

 

“ครับ”

 

 

อยากจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แต่หลักฐานว่าเขาเป็นหนี้บุญคุณอีกฝ่ายก็ยังคาตา รัตติกาลแปลกใจที่ตัวเองเผลอหลับเป็นตายยาวจากชลบุรีเรื่อยมาถึงกรุงเทพแม้จะต้องอยู่ในห้องโดยสารกับคนที่เรียกได้ว่าเป็นศัตรูสองต่อสอง ปลอบใจตัวเองว่าคงเป็นเพราะฤทธิ์ยา แต่สำหรับคนที่ต้องพึ่งยานอนหลับมาเกือบหกปีก็ทำใจหลอกตัวเองได้ยาก เขาคงจะเหนื่อยล้ามากจริงๆถึงได้ไม่ระวังตัวแบบนี้...

 

 

“ป้าเห็นคุณเขามีแผล เลยให้ลูกศรพาไปทำแผลข้างในก่อนแล้วค่ะ”

 

 

“อ่า...ครับ”

 

 

“แล้วไปไงมาไงคะถึงได้มาด้วยกัน”

 

 

“ผมบังเอิญไปเจอเขาที่นั่น เลยติดรถกลับมาด้วย”

 

 

“แล้วรถคุณกาลล่ะคะ?”

 

 

“ผมทิ้งไว้ให้เพื่อนที่ไปด้วยกันไว้ใช้น่ะครับ”

 

 

จันทร์รู้ดีว่ารัตติกาลมีเรื่องปิดบังเธออยู่ นิสัยที่ชอบจับผมทัดหูตัวเองเวลาพูดโกหกเป็นนิสัยที่แก้ได้ยากที่หญิงแก่เชื่อว่ารัตติกาลเองก็ไม่รู้ตัว ใบหน้าที่เหนื่อยล้าและคำบอกเล่าของแขกผู้มาเยือนว่าเจ้านายของเธอมีไข้เพราะตากฝนทำให้จันทร์ไม่เซ้าซี้ถาม ทั้งที่นึกสงสัยอยู่เต็มแก่ ว่าคนที่เป็นดั่งไม้เบื่อไม้เมากับรัตติกาลถึงได้ดูมีท่าอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด

 

 

“ความจริงคุณกาลน่าจะกลับซะพรุ่งนี้ ไม่น่าฝืนกลับมาเลย”

 

 

“ผม...ไม่อยากผิดสัญญา”

 

 

รัตติกาลตอบอ้อมแอ้ม เวลาอยู่ต่อหน้าผู้หญิงคนนี้เขารู้สึกเหมือนตัวเองไม่ได้โตขึ้นเลยจากเมื่อก่อน จันทร์ยิ้มออกมาเมื่อได้ฟังคำตอบ มือที่หยาบกร้านและเต็มไปด้วยริ้วรอยตามอายุที่เพิ่มขึ้นยกขึ้นลูบหลังของผู้ชายที่เธอเลี้ยงดูมาแต่อ้อนแต่ออก

 

 

“ป้าดีใจที่คุณคิดแบบนี้นะคะ แต่ยังไงป้าก็เป็นห่วงอยู่ดี”

 

 

“...”

 

 

“คุณหนูของป้า...โตแล้วสินะ”

 

 

รัตติกาลหลุบตาลงมองพื้น รู้ตัวดีว่ามีชนักปักหลัง ทำให้ไม่สามารถตอบรับคำชมนั้นได้เต็มปาก ถ้าจันทร์รู้ถึงความตั้งใจของเขาหญิงแก่คงผิดหวังมาก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เดินมาไกลเกินกว่าจะถอยแล้ว

 

 

เสียงลากสลิปเปอร์เรียกสายตาทั้งสองคู่ให้หันไปมอง อารัณย์ที่แผลช้ำตรงมุมปากเห็นชัดขึ้นเดินออกมาจากห้องรับแขกคู่มากับลูกศร เด็กรับใช้ในบ้านอีกคน ร่างสูงที่ท่าทางเหนื่อยอ่อนเพราะขับรถฝ่าฝนมานานหลายชั่วโมงยกมือขึ้นไหวจันทร์ที่ทอยิ้มมองเขาอยู่ อารัณย์เหลือบมองรัตติกาลที่มีสีหน้าดีขึ้นกว่าตอนที่อยู่บนรถ

 

 

“ขอบคุณนะครับป้าที่ให้เด็กทำแผลให้”

 

 

“ไม่เป็นไรค่ะ คนกันเอง”

 

 

“งั้นผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”

 

 

“จะกลับตอนนี้เลยหรอคะ ฝนยังไม่หยุดตกเลย”

 

 

เป็นอย่างที่จันทร์ว่า สาเหตุที่อารัณย์ต้องใช้เวลาถึงสามชั่วโมงกว่าๆในการขับรถกลับเข้ากรุงเทพทั้งที่ปกติแค่ถ้าเขาขับแบบไม่เร่งรีบแค่สองชั่วโมงก็ถึงแล้ว พายุฝนส่งอิทธิพลไปทั่วทั้งภูมิภาคแล้วยังเผื่อแผ่มาถึงกรุงเทพที่อยู่ติดกัน ทำให้สายฝนยังคงตกมอบความชุ่มฉ่ำแม้เวลาจะล่วงเลยมาถึงป่านนี้

 

 

“ไม่เป็นไรครับ นี่ก็ดึกมากแล้ว อยากกลับไปพักบ้างเหมือนกัน”

 

 

อารัณย์ยกยิ้มแกนๆให้ อยากนอนจนเต็มแก่ ยิ่งเห็นคนข้างๆนอนหลับสบายมาตลอดทางยิ่งทำให้พี่เลี้ยงหนุ่มมีความคิดอยากจอดพักข้างทางเสียตั้งหลายรอบแต่ก็ทำไม่ได้ จึงได้แต่อดทนพาทั้งรถและคนที่สภาพไม่เอื้ออำนวยฝ่าฝนมาถึงที่หมายได้อย่างปาฏิหาริย์

 

 

จันทร์หันไปสบตารัตติกาลเพื่อขอความคิดเห็น ถึงจะเป็นคนเก่าแก่แต่เธอก็ไม่ใช่เจ้าของบ้าน ชายหนุ่มเข้าใจในสิ่งที่จันทร์ต้องการสื่อ เขามองรถคันเก่าและอารัณย์สลับกันไปมาพร้อมกับครุ่นคิด จนสุดท้ายร่างโปร่งก็ถอนหายใจก่อนจะหันมาพูดกับอารัณย์ที่ทำสีหน้าไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เขาเอ่ย

 

 

“นอนนี่สิ”

 

 

“ห๊ะ?”

 

 

“นอนที่นี่...พรุ่งนี้เช้าค่อยกลับ”

 

 

“เออ...ไม่เป็นไร”

 

 

“ผมไม่ชอบเป็นหนี้ใคร ถือซะว่าตอบแทนที่ขับรถมาส่ง วานจัดการเรื่องห้องทีนะครับป้า เสร็จแล้วก็เข้านอนได้เลยผมเองก็จะขึ้นห้องแล้ว”

 

 

รัตติกาลสั่งโดยไม่สนว่าอารัณย์จะตอบรับหรือปฏิเสธ เขาพาร่างของตัวเองขึ้นไปยังชั้นสองโดยทิ้งอารัณย์ที่จ้องแผ่นหลังของอีกฝ่ายนิ่งและจันทร์ที่น้อมรับคำสั่งของเจ้านายด้วยความยินดี

 

 

แม้จะอาบน้ำมาแล้วจากห้องของคณิตแต่รัตติกาลก็ยังเอนหลังพิงอ่างอาบน้ำปล่อยให้กระแสน้ำอุ่นช่วยคลายความเมื่อยล้าและความสับสนที่มีมากเกินไปจนรู้สึกว่าเกินจะรับไหว ไอน้ำขุ่นมัวลอยฟุ้งไปทั่วทั้งห้องเหมือนดั่งม่านหมอกที่ปกคลุมอยู่ในหัวใจ ทั้งคำพูดและรอยจุมพิตที่อีกฝ่ายฝากไว้ให้อยากจะคิดว่าเป็นเพียงการหยอกล้อเหมือนที่เคยทำ แต่แววตาและท่าทางที่แปลกไปกลับทำให้เขาไม่อาจทำใจให้สงบลงได้ สัญญาณเตือนบอกเขาว่าไม่ควรจะอยู่ใกล้ชายคนนั้นมากไปกว่านี้

 

 

“หึ คิดอะไรบ้าๆ”

 

 

ชายหนุ่มจัดการหาเสื้อผ้ามาสวมใส่แล้วมายืนอัดนิโคตินเข้าปอดที่ระเบียงห้อง อาจเพราะได้นอนหลับสนิทมาพอสมควรรัตติกาลจึงไม่อาจข่มตาหลับต่อได้ กระดาษที่ไหม้ไฟอยู่ปลายมวนทำให้ร่างโปร่งรู้สึกอบอุ่นทางกายแต่ภายในกลับยังหนาวสั่น เขาขยี้บุหรี่ที่สูบไปเพียงครึ่งตัว ก่อนจะเดินไปยังห้องข้างๆอันมีร่างของรพีกำลังนอนหลับใหลอยู่เพียงลำพัง

 

 

ใบหน้าละม้ายคล้ายพ่อหลับตาพริ้มไม่รู้ถึงการมาเยือนของเขา ตุ๊กตาที่นิลซื้อให้ครั้งก่อนถูกรพีกอดไว้เต็มอ้อมแขนเพื่อทดแทนความอบอุ่นที่ขาดหายไป รัตติกาลมองความไร้เดียงสานี้ด้วยความรู้สึกอิจฉาและเจ็บไปทั่วทั้งอก

 

 

“ดีจังนะ ที่ยังนอนหลับฝันดีได้อยู่...”

 

 

อยากจะลองเข้าไปในความฝันของเด็กคนนี้สักครั้ง อยากจะเห็นว่าสิ่งที่ทำให้คนคนหนึ่งสามารถยิ้มได้ทั้งที่ตกอยู่ในห้วงนิทรานั้นเป็นอย่างไร คงสวยงามและอบอุ่น ตัวเขาในความฝันนั้นคงกำลังยิ้มและหัวเราะให้กับลูกชายที่ไม่ต้องร้องไห้ ไม่ต่างอะไรกับภาพความฝันที่เขาบรรจงสร้างให้รพีในทุกวันนี้ เหลือเพียงรอเวลา...ให้สักวันเด็กชายตื่นขึ้นมาพบว่า เรื่องทั้งหมดนั้นไม่มีอยู่จริง

 

 

แตกต่างกับรัตติกาลที่ไม่เคยตื่นจากฝันร้าย เสียงร้องไห้ คำโป้ปด และคราบเลือด ยังคงชัดเจนไม่ว่ายามหลับหรือลืมตา เป็นฝันร้ายที่เกิดจากความจริง เป็นความทรมานที่เขาใช้ค้ำจุนตัวเองให้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้ แม้ใครๆจะบอกว่าวิธีการนี้มันโง่เขลาและน่ารังเกียจ แต่สำหรับคนที่ไม่เหลืออะไรต่อให้ความเกลียดชังเป็นฟางเส้นสุดท้ายเขาก็จะคว้ามันไว้ด้วยความยินดี

 

 

แต่ถึงอย่างนั้นก็น่าเจ็บใจที่รัตติกาลยังคงแอบหวังว่าจะได้นอนหลับฝันดีแม้เพียงสักคืน อยากจะหลับแล้วไม่ต้องตื่นมาพบเจอความโหดร้ายที่ทิ้งมันไปไม่ได้ ท่องเที่ยวไปทั่วโลก อยู่กับหนังสือที่ตัวเองรัก มีพ่อแม่และเพื่อนอยู่เคียงข้าง ไม่ต้องโกรธแค้น ไม่ต้องชิงชังใคร อยู่ท่ามกลางแสงสว่างโดยไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น

 

 

“ถ้าพรุ่งนี้ฝนหยุดตก...ก็คงดี”

 

.

.

.

.

.

.

 

 

 

เสียงเพลงลูกกรุงจากวิทยุเครื่องเก่าเคล้ากลิ่นหอมของใบชาเป็นสิ่งที่นิลโปรดปรานมากที่สุด ชายหนุ่มรูปร่างสูงเจ้าของใบหน้าเฉยเมยกำลังตักไข่กะทะเข้าปากอย่างสบายอารมณ์อยู่ในร้านกาแฟเจ้าเก่าย่านวิสุทธิกษัตริย์ เพราะฝนที่โปรยปรายตั้งแต่วานเย็นทำให้เช้าวันนี้แขกในร้านไม่คึกคักอย่างเคย นอกจากนิลแล้วยังมีกลุ่มอาแปะเจ้าประจำสองสามคนกำลังนั่งส่องพระเครื่องกันอย่างแข็งขันไม่รู้จักเบื่อหน่าย

 

 

หมูสับชิ้นสุดท้ายถูกจัดการเรียบร้อยก่อนจะตามด้วยโอเลี้ยงรสเข้มเข้าไปล้างคาว นาฬิกาโบราณที่ตั้งอยู่ในร้านตีบอกเวลาเก้าโมงทว่าก็ยังไร้วี่แววของคนที่ทำให้นักเขียนหนุ่มต้องลากสังขารพาร่างที่ทรุดโทรมเพราะต้องปั่นต้นฉบับมานั่งรอ ถึงแม้ปกติเขาจะมาแวะทานอาหารที่ร้านนี้เป็นประจำแต่ก็ไม่ใช่กับช่วงเวลาเร่งด่วนที่แค่ลุกไปอาบน้ำยังขี้เกียจ

 

 

‘ผมกลับล่ะ ส่งเอกสารมาทางเมล์ก็แล้วกัน’

 

 

ความอดทนเป็นสิ่งที่มีอยู่น้อยนิดในตัวของนิล เขาส่งข้อความไปทางโปรแกรมแชทอย่างไม่ลังเลเมื่อเวลาล่วงเลยไปกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว ร่างสูงลุกขึ้นจ่ายเงินค่าอาหารเช้าแล้วสั่งขนมปังสังขยาไปเป็นของว่างทานเล่นที่คอนโดเหมือนเช่นทุกครั้ง แต่ในจังหวะที่นักเขียนหนุ่มจะเอื้อมมือไปรับของที่สั่งก็มีมือดีชิงตัดหน้าคว้ามันไปเสียก่อน

 

 

“จะกลับแล้วหรอครับ ใจร้อนจัง”

 

 

คนมาสายส่งยิ้มให้พร้อมกับชูถุงขนมปังขึ้นเสมอใบหน้า ไม่รอให้คนต้องรอว่ากล่าว นายตำรวจหนุ่มถือวิสาสะคว้าข้อมือของอีกฝ่ายไว้แล้วจูงออกจากร้านโดยไม่ถามความคิดเห็น

 

 

“นิลอิ่มแล้วแต่ผมยังไม่อิ่ม นั่งทานมะตะบะเป็นเพื่อนก่อนนะครับ”

 

 

ฤทธิชาติหันมาพูดก่อนจะพาคนหน้านิ่งมาที่ร้านโรตีซึ่งตั้งอยู่ไม่ห่างกันมากนัก เก้าอี้กลมขาเหล็กถูกลากออกมาให้นิลนั่งก่อนที่นายตำรวจหนุ่มจะพาร่างในชุดตำรวจครึ่งท่อนไปยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม

 

 

“นิลเอามะตะบะเหมือนผมนะ”

 

 

“ไม่เอา รีบพูดธุระซะ ผมยังมีงานต้องทำ”

 

 

แต่เหมือนคำพูดนั้นจะไม่เข้าหู รอไม่นานนักโรตีร้อนๆสองที่พร้อมชาไทยก็ถูกยกมาเสิร์ฟให้กับแขกทั้งสองคน ฤทธิชาติจัดแจงหยิบช้อนให้นิลอย่างเอาใจ ร่างสูงที่เบื่อหน่ายกับนิสัยทำตามใจตัวเองของอีกฝ่ายได้แต่ถอนหายใจก่อนจะลงมือทานเพราะขี้เกียจทะเลาะด้วย

 

 

“ขอโทษด้วยที่มาช้า พอดีมีคำสั่งใหม่มาก่อนผมจะออกเวรแค่สิบห้านาที กว่าจะติดต่อกลับไปทางนั้นเสร็จก็ปาไปร่วมยี่สิบนาที”

 

 

“ช่างเถอะ ว่าแต่เรื่องนั้นไปถึงไหนแล้ว”

 

 

“ถามเข้าเรื่องเลยหรอ กินให้หมดก่อนเถอะเดี๋ยวจะพาลเสียรสหมด น้ำจิ้มเจ้านี้เขาเด็ดจริงๆนะคุณ แต่ที่หนึ่งต้องยกให้ที่ท่าพระจันทร์ ว่างๆไปกินกันไหม”

 

 

“นิสัยไหลไปเรื่อยยังน่ารำคาญไม่เปลี่ยน ส่งเอกสารมาให้ผมแล้วหลังจากนั้นเชิญคุณไปท่าพระจันทร์กับคนที่เขาเต็มใจเถอะ”

 

 

“ถ้าอย่างนั้นคงต้องกล่อมกันอีกนาน... โอเคๆ เลิกพูดแล้วก็ได้ นี่ครับเอกสารที่นิลขอ”

 

 

นายตำรวจหนุ่มยกมือยอมแพ้เมื่อเห็นหัวคิ้วของอีกฝ่ายกระตุกอย่างไม่พอใจที่โดนบ่ายเบี่ยง ซอกเอกสารสีน้ำตาลสองชุดถูกยื่นมาตรงหน้าพร้อมกับรูปถ่ายอีกสองใบที่นิลเป็นคนให้กับฤทธิชาติไว้เองในวันที่ชายหนุ่มได้ไอดีไลน์ของเขาไป

 

 

“บันทึกข้อความจากสภ.เมืองลำปาง และเอกสารจากนิติเวช ผมตรวจสอบแล้วว่าทั้งหมดเป็นของจริงและไม่มีพิรุธอะไรอย่างที่คุณกังวล”

 

 

น้ำเสียงที่เคยฟังดูขี้เล่นเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นจนนิลแอบคิดไม่ได้ ว่าถ้าอีกฝ่ายไม่ทำท่าทางแบบนั้นกับเขา ฤทธิชาติก็เป็นคนหนึ่งที่น่าสนใจ แต่เหตุผลหนึ่งเดียวที่ทำให้เขามาอยู่ที่นี่ ก็เพราะเรื่องราวที่นิลวานให้นายตำรวจหนุ่มช่วยสืบต่างหาก

 

 

“แล้วคุณตามตัวคนในรูปนี้ได้ไหม”

 

 

“ขอโทษด้วยที่ต้องบอกว่าผมทำไม่ได้ การตามหาคนที่บังเอิญถูกถ่ายรูปลงหนังสือพิมพ์ต่อให้เป็นผมก็ยากอยู่ดี”

 

 

นิลเงยหน้ามองสีหน้าลำบากใจของอีกฝ่ายแล้วได้แต่ถอนหายใจ รูปถ่ายที่ว่าเขาให้คนรู้จักที่พอมีฝีมือแสกนจากหนังสือพิมพ์ ปรับแต่งให้ชัดเจนแล้วอัดมาให้ ภาพที่ถูกถ่ายในกิจกรรมปลูกป่าการกุศลซึ่งจัดขึ้นในจังหวัดกาญจนบุรีธรรมดาๆ คงไม่สามารถทำให้คนไม่แคร์ธรรมชาติอย่างนิลสนใจได้ ถ้าเกิดมันไม่ปรากฏภาพของคนที่มีหน้าตาละม้ายคล้ายกับคนที่เขารู้จักดี และคนคนนั้นก็ขึ้นชื่อว่าตายไปแล้ว...

 

 

“คล้ายกันมากเกินไป...”

 

 

“เขากับคุณนทีน่ะหรอครับ”

 

 

ฤทธิชาติมองดูรูปถ่ายที่เขามองมันจนทะลุปรุโปร่งแล้วอีกครั้ง ภาพของชายคนหนึ่งยืนหันข้างให้กับกล้องที่ถูกขยายจนเห็นได้ชัดกว่าปกติ และภาพของ ‘นที’  หนึ่งในผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถคว่ำที่จังหวัดลำปางเมื่อห้าปีก่อนถูกวางคู่กัน เขาไม่รู้ว่าคนจากทั้งสองภาพเป็นใครแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันดูละม้ายคล้ายกันมากจนน่าสงสัย แต่หลักฐานที่ถูกบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรจากทั้งสองที่ก็ระบุไว้ตรงกัน ว่าผู้ชายคนในภาพที่สองนั้น...ตายไปแล้ว



“คุณอาจจะคิดมากเกินไป อีกอย่างนี่ก็แค่รูปๆเดียว มันคงเป็นความบังเอิญที่ทำให้คุณเข้าใจผิด”



“ผมยอมทำทุกอย่างให้มันเป็นแค่การเข้าใจผิด...แล้วอีกรูปล่ะ”



“ภาพนั้นค่อนข้างดูยากครับ เกรงว่าต้องใช้เวลาสักหน่อย”



“ให้ตายสิ ต้องรออีกแล้วหรอ”

 

 

นิลรำพันกับตัวเองแต่ชายหนุ่มที่นั่งฝั่งตรงข้ามกลับได้ยินชัดทุกคำ สีหน้าเคร่งเครียดของคนที่เขาแอบปลื้มดูเหมือนยังไม่อาจทำใจให้เชื่อได้ว่าสิ่งที่ตัวเองกังวลนั้นไม่เป็นเรื่องจริง

 

 

“นิล...คุณจะสบายใจขึ้นไหม ถ้าคุณเล่าให้ผมฟัง”

 

 

“...”

 

 

“ผมคิดว่าผมมีสิทธิรู้”

 

 

“อย่าเข้ามายุ่งมากไปกว่านี้ ถ้าไม่ใช่เพราะผมรีบคงไม่วานให้คุณช่วย”

 

 

อาจจะเพราะนักสืบเอกชนที่นิลจ้างทำงานช้า หรือไม่ก็เป็นเขาเองที่ใจร้อนเกินไปจึงเป็นฝ่ายยื่นข้อเสนอให้นายตำรวจหนุ่มใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ สืบหาตัวคนในภาพและนำเอกสารยืนยันการตายของนทีและพะแพงมาให้แลกกับเงินจำนวนหนึ่ง แต่ฤทธิชาติกลับปฏิเสธมัน คนที่ตีหน้ายิ้มได้เสมอตอบรับข้อตกลงของเขาโดยไม่รับสิ่งใดตอบแทนยกเว้นเบอร์โทรศัพท์และไอดีไลน์เพื่อใช้ติดต่อเท่านั้น

 

 

“ผมขอเดาว่าเรื่องนี้คงเกี่ยวข้องกับคุณรัตติกาลไม่ผิดแน่”

 

 

“หึ...อะไรที่ทำให้คุณมั่นใจแบบนั้น”

 

 

“สัญชาตญาณล่ะมั้ง”

 

 

“ผมนึกว่าคุณเป็นตำรวจธรรมดา ที่ไหนได้...หมาตำรวจชัดๆ”

 

 

“ก่อนมีพวกมันเข้ามาช่วย คนอย่างเราก็ต้องจมูกไวไม่ต่างจากสัตว์”

 

 

“ถ้าอย่างนั้นช่วยหาหมาเก่งๆให้ผมสักตัว ให้จ่ายค่าอาหารค่ากระดูกคงคุ้มกว่ามาเปลืองตัวกับคุณแบบนี้”

 

 

“พูดแบบนั้นผมเสียหายนะ แค่ไลน์ไปหาฝ่ายเดียวกับนั่งกินมะตะบะด้วยกันไม่เรียกว่าเปลืองตัวหรอก ถ้าจะให้เป็นอย่างนั้นคงต้องทำอย่างอื่น...”

 

 

“เห็นไหม อย่างน้อยเสียงหมาเห่าก็น่าฟังกว่านี้”

 

 

“นิลยังไม่ได้ฟังเสียงผมเลยนะ เชื่อเถอะ...มันน่าฟังกว่าเป็นไหนๆ”

 

 

นิลขมวดคิ้วใส่ฤทธิชาติที่ส่งยิ้มกรุ่มกริ่มมาให้ ต่อให้อีกฝ่ายไม่พูดออกมาแต่ ‘เสียง’ ที่ว่าคงไม่ใช่เสียงพูดคุยแบบปกติแน่ๆ ชายหนุ่มส่ายหน้าอย่างปลงๆ นึกขอคืนคำทั้งหมดที่บอกว่านายตำรวจหนุ่มเป็นคนน่าสนใจ...ดูยังไงก็พวกบ้าหม้อชัดๆ

 

 

“ผมชักสงสัยว่าคุณผ่านการคัดเลือกเข้ามาเป็นตำรวจได้ยังไง กะล่อนก็เท่านั้น กวนตีนเป็นที่หนึ่ง แถมยัง...ทำผิดซะเอง”

 

 

นักเขียนหนุ่มเปรยตามองเอกสารในมือ เขาไม่คิดว่าฤทธิชาติจะตบปากรับคำง่ายๆ ทั้งที่ถ้าเรื่องแดกขึ้นมาอีกฝ่ายคงไม่วายโดนเด้ง ยอมรับว่าตอนที่ตัดสินใจยื่นข้อเสนอนั้นนิลเองก็แอบกลัวว่าอีกฝ่ายจะแจ้งความเขากลับข้อหาพยายามติดสินบนเจ้าหน้าที่ แต่ใบหน้าที่ผ่อนคลายและการพูดจาแบ่งรับแบ่งสู้ในวันนั้นทำให้นิลแอบสงสัยว่านายตำรวจคนนี้เป็นคนยังไงกันแน่

 

 

“ไม่ต้องห่วงหรอก มันไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมทำตัวไม่สมกับเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ตราบใดที่นิลไม่เอามันไปทำเรื่องไม่ดีก็ไม่มีปัญหา แล้วอีกอย่าง...ผมรู้สึกปลอดภัยกว่าให้คุณไปหาข้อมูลพวกนี้ด้วยตัวเอง...”

 

 

“ทำไม?”

 

 

“ไม่รู้สิ ก็คงเป็นสัญชาตญาณอีกล่ะมั้ง”

 

 

“เฮ้อ พูดกั๊กอยู่ได้ น่ารำคาญชะมัด...”

 

 

ร่างสูงถอนหายใจ เขากระดกชาไทยที่เริ่มเย็นจนหมดแก้ว เงินค่าอาหารทั้งหมดถูกวางลงบนโต๊ะแต่ยังไม่ทันที่จะได้ลุกไปนายตำรวจหนุ่มก็ยัดธนบัตรเหล่านั้นกลับมาในมือของเขาอีกครั้ง ฝ่ามือหยาบกร้านเพราะจับปืนกอบกุมมือทั้งสองข้างของเขาไว้เสียจนมิด ดวงตาขี้เล่นหายไปเหลือไว้เพียงแค่ความเป็นห่วงที่ทำให้นิลเผลอไม่ป้องกันตัวเองอย่างที่เคย ปล่อยให้อีกฝ่ายมอบสัมผัสให้ตนอยู่แบบนั้น

 

 

“ผมเป็นห่วงนิลรู้ใช่ไหม...ห่วงเพื่อนได้แต่อย่าทำอะไรเกินตัว”

 

 

“คุณเป็นคนยืนยันเองว่าสองคนนั้นตายไปแล้ว ไม่มีอะไรที่ผมต้องกลัว”

 

 

“ในฐานะตำรวจ ทุกครั้งที่ผมเห็นคนพยายามทำลายความสงบของอดีต...มันไม่ได้มีแต่เรื่องดีๆเกิดขึ้น”

 

 

“น่าเศร้าที่ต้องบอกว่าแม้แต่ในอดีตมันก็ไม่เคยสงบแต่เพราะต้องการปกป้องปัจจุบันต่างหาก...ผมเลยต้องทำ”

 

 

“คุณกลับไปแก้ไขอดีตไม่ได้”

 

 

“ผมไม่เคยอยากแก้ไขมัน...ต่อให้ต้องรู้สึกผิดกับสองคนนั้น สิ่งที่ผมต้องการมีเพียงแค่ทำให้แน่ใจว่าทั้งคู่จะไม่มีทางฟื้นขึ้นมาจากหลุมได้อีก”

 

 

“...”

 

 

“คนตายก็คือคนตาย ไม่ว่ามีเรื่องอะไรติดค้างอยู่ที่โลกฝั่งนี้ พวกเขาก็ไม่มีสิทธิข้ามกลับมา มีเพียงแค่คนเป็นเท่านั้น...ที่ยังมีโอกาสใช้ชีวิตต่อไป”

 

 

“ฟังดูเย็นชาชะมัด”

 

 

“เป็นอย่างนั้นมาตลอดนั่นแหละ”

 

 

นิลบิดข้อมือออกจนหลุดจากการกอบกุมของอีกฝ่าย ร่างกายสูงสง่ายืนขึ้นหยิบโทรศัพท์และถุงขนมปังที่เย็นชืดก่อนจะก้มลงสบตากับฤทธิชาติที่มองอยู่ก่อนแล้ว

 

 

“แต่คุณว่าไหม ว่าต่อให้ไม่มีทางกลับมา คนตายก็ยังน่าอิจฉาอยู่ดี”

 

 

“...”

 

 

“ไม่ต้องทรมาน ไม่ต้องต่อสู้กับโลกที่โหดร้าย ต่อให้ถูกเกลียดชัง ถูกสาปแช่งแค่ไหน...พวกเขาก็ไม่สามารถรับรู้ได้อีกแล้ว มีแค่คนเป็นเท่านั้นแหละที่ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดกันต่อไป...เพราะแบบนั้นนั้นผมถึงได้ภาวนา...

 

 

“...”

 

 

“ขอให้คนเป็นเข้มแข็ง และให้คนตายอยู่ในที่ที่เขาควรอยู่...สิ่งที่ผมทำได้มีแค่นี้จริงๆ”

 

 

นิลยิ้มเยาะราวกับเวทนาในความสามารถของตน ที่เคยบอกว่าไม่อยากแก้ไขอดีตนั้นเขาไม่ได้โกหก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้สึกอะไร...

 

 

“เหมือนกับ Tomb keeper เลยนะครับ”

 

 

ฤทธิชาติเอ่ยขึ้นพร้อมกับส่งยิ้มเศร้าๆมาให้

 

 

“ผู้เฝ้าสุสาน?”

 

 

“ครับ...เหมือนกันเลย”

 

 

“Tomb keeper หึ... Cerberus น่าจะเหมาะกว่า แต่เอาเถอะ...จะเรียกยังไงก็แล้วแต่คุณแล้วกัน”

 

 

นิลพูดทิ้งไว้แค่นั้นก่อนจะออกจากร้านไป ทิ้งไว้แต่นายตำรวจหนุ่มที่กำลังใช้ช้อนชาคนเครื่องดื่มในแก้วที่ไม่หลงเหลือความร้อนอยู่อีกแล้วจิบมันไปเพียงนิด

 

 

“Cerberus…สุนัขสามหัวงั้นหรอ...”

 

 

ชายหนุ่มเค้นยิ้ม เขาวางเงินค่าอาหารไว้บนโต๊ะแล้วเดินออกจากร้านไป ความวุ่นวายในเมืองหลวงแม้ในย่านเมืองเก่าก็ยังคงมีให้เห็น พ่อค้าแม่ขายหลายคนที่คุ้นหน้ากันดีส่งยิ้มให้นายตำรวจหนุ่มเพื่อแทนคำทักมาย ต่างจากคนงานท่าทางซอมซ่อผิวกายดำกร้านบ่งบอกเชื้อชาติที่ก้มหน้าหลบตา ราวกับภาวนาให้เขารีบเดินพ้นไปเร็วๆ

 

 

ฤทธิชาติหยิบโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาเปิดโปรแกรมแชทที่เขาใช้งานมันบ่อยๆในระยะหลัง ข้อความสั้นๆที่อีกฝ่ายส่งมาเพื่อตกลงเรื่องการนัดหมาย เป็นเพียงข้อความเดียวที่นักเขียนหนุ่มยอมตอบกลับหลังจากหมางเมินความพยายามนับร้อยครั้งที่ดูท่าจะไม่มีความหมายใดๆกับอีกฝ่ายเลย

 

 

‘เมื่อกี้ตอนที่จับมือ ตัวนิลอุ่น’

 

 

‘ดูแลตัวเองด้วยนะครับ...ผมเป็นห่วง’

 

 

ชายหนุ่มยิ้มเยาะให้ความดันทุรังของตัวเอง เขาเงยหน้ามองฟ้าแล้วเริ่มต้นเดินใหม่อีกครั้ง แต่ก่อนที่โทรศัพท์จะถูกเก็บกลับเข้ากระเป๋าตามเดิม หน้าจอสี่เหลี่ยมก็สว่างวาบ ขึ้นสถานการณ์แจ้งเตือนจากคนที่คาดไม่ถึง

 

 

‘ไม่อุ่นก็ตาย…บ้า’

 

:katai4:(ต่อเม้นล่างคนับ) :katai4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-11-2015 00:39:12 โดย vivacestory »

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1


“หึ เสียเวลาชะมัด”

 

 

นิลบ่นกับตนเองหลังจากพาร่างที่เหนื่อยล้ากลับมายังรถยนต์ที่จอดไว้ริมถนนไม่ไกลนัก อีโมติค่อนรูปยิ้มถูกส่งกลับมาสั้นๆหลังจากที่นักเขียนหนุ่มตัดสินใจตอบข้อความของอีกฝ่ายที่แฝงไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใยเกินความจำเป็นนั่นไป

 

 

ดวงตาเฉยเมยเปรยมองตัวเลขดิจิตอลบอกเวลาว่าตอนนี้ล่วงมาถึงสิบโมงกว่าๆ เขาหยิบเอาโทรศัพท์มือถือที่วางไปเมื่อสักครู่ขึ้นมาใหม่ก่อนต่อสายไปยังเพื่อนรักที่วางแผนออกเดินทางไปเที่ยวกับลูกชายที่เจ้าตัวเอ่ยปากว่าเกลียดชัง แต่มันคงไม่รู้ตัวหรอกว่าระยะหลังมาแววตาของรัตติกาลที่ใช้มองรพีนั้นเริ่มเปลี่ยนไปอย่างช้าๆ

 

 

“ถึงไหนแล้ววะ”

 

 

นิลถามนำไปก่อนโดยไม่รอให้อีกฝ่ายเอ่ยทักเพื่อแสดงมารยาท เสียงถอนหายใจของรัตติกาลดังมาตามสาย ก่อนน้ำเสียงทุ้มนุ่มจะตอบกลับมาอย่างติดรำคาญ

 

 

“กำลังจะเข้าเพชรบุรีแล้ว”

 

 

“ทำไมช้าจังวะ ออกจากบ้านสายรึไง”

 

 

“ก็...มีเรื่องนิดหน่อย”

 

 

“มีเรื่อง? อย่าบอกนะว่าทะเลาะกับรพีแต่เช้า”

 

 

“เปล่า”

 

 

“อ้าว แล้วมีเรื่องอะไรวะ?”

 

 

“ช่างแม่งเหอะ แค่นี้นะ”

 

 

“เดี๋ยวๆ ของกูคุยกับรพีหน่อย”

 

 

“จะคุยอะไร?”

 

 

“เออน่า กูจะอ้อนขอของฝากหลานกู รู้ว่ารอพ่อมันก็ไม่ได้แดก”

 

 

“ได้ข่าวว่ากูก็ต้องจ่ายอยู่ดี...รพีครับ อานิลจะคุยด้วย”

 

 

รัตติกาลบ่นงึมงำก่อนจะส่งโทรศัพท์ให้ลูกชายที่กำลังเคี้ยวซาลาเปาเซเว่นจนแก้มตุ่ย ร่างป้อมพยายามบรรจงวางซาลาเปาหมูแดงที่ถูกกัดไปแล้วกว่าครึ่งจนไส้ปลิ้นลงในถุงตามเดิม รัตติกาลมองดูท่าทางทุลักทุเลของลูกชาย ก่อนจะหวังดีหยิบก้อนแป้งนุ่มๆที่ยังกินไม่หมดมาถือไว้เองเพราะเกรงจะหกเลอะรถ รพียิ้มกว้างพนมมือไหว้ขอบคุณพ่อที่ยื่นมือถือมาให้ด้วยมืออีกข้างหนึ่ง เด็กชายรับมันไว้แล้วเอ่ยทักปลายสายที่กำลังสตาร์ทรถของตัวเองเพื่อเดินทางกลับคอนโด

 

 

“สวัสดีฮะ อานิล!”

 

 

“ว่าไงตัวแสบ ได้ไปเที่ยวกับคุณพ่อ ตื่นเต้นรึเปล่า”

 

 

“ตื่นเต้นฮะ! เมื่อคืนพีแทบนอนไม่หลับเลย!”

 

 

“แล้วอย่างนี้จะมีแรงเล่นน้ำหรอเรา ว่ายไม่ไหวขึ้นมาจะทำยังไง”

 

 

นิลพูดด้วยความเป็นห่วง แต่กลับได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของอีกฝ่ายดังมาตามสายผิดจากที่คาดไว้

 

 

“พีว่ายน้ำเก่งจะตาย แถมน้ารัณย์ก็อยู่ด้วยไม่เป็นไรหรอกฮะ!”

 

 

“น้ารัณย์?”

 

 

เท้าที่เตรียมจะแตะคันเร่งเปลี่ยนมาเหยียบเบรกเข้าเต็มแรงจนรถที่กำลังจะออกตัวชะงักกึก ชายหนุ่มที่ไม่อยากเชื่อว่าสิ่งที่หลานชายพูดเป็นเรื่องจริง นิลหายใจเข้าลึกๆแล้วรวบรวมสติถามกลับให้แน่ใจ

 

 

“พีว่าไงนะครับ น้ารัณย์มาเที่ยวด้วยหรอ?”

 

 

“ฮะ! น้ารัณย์ไปเที่ยวกับพีด้วยตอนนี้กำลังขับรถแทนพ่อกาลอยู่ อานิลจะคุยกับน้ารัณย์ไหมฮะ?”

 

 

“เออ... ขอน้าคุยกับพ่อเราแทนแล้วกัน”

 

 

เสียงกุกกักทำให้เขารู้ว่าโทรศัพท์ได้ถูกเปลี่ยนมือไปแล้ว เสียงพูดติดรำคาญของรัตติกาลดังขึ้นเหมือนเช่นทุกครั้ง แต่นิลกลับสัมผัสได้ว่ามันแฝงไปด้วยความหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด

 

 

“อย่าเสือกถามอะไรตอนนี้ กูอารมณ์ไม่ดี...”

 

 

“เรื่องจริงหรอวะ!!! โอ้ย ไอ้เหี้ย กูขำ!!! ฮ่าๆๆๆๆ!!!”

 

 

นิลหัวเราะลั่นเมื่อรู้ว่าสิ่งที่รพีพูดนั้นเป็นความจริง รัตติกาลสบถกลับมาหลายครั้งแต่เพื่อนตัวดีก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด อารัณย์ผู้รับหน้าที่สารถีจำเป็นชำเลืองมองคนที่กำลังนั่งอยู่ข้างๆทำหน้าบูดบึ้งขัดใจไม่ต่างจากเมื่อเช้าเลยสักนิด

 

 

 

 

 

 

 

ภาพของรพีที่กินเลอะเทอะเพราะตื่นเต้นกำลังถูกรัตติกาลซึ่งนั่งดื่มกาแฟอยู่ข้างกันใช้ผ้ากันเปื้อนมาเช็ดมุมปากที่เต็มไปด้วยคราบซอสให้เรียกรอยยิ้มของอารัณย์ได้เป็นอย่างดี รัตติกาลเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาดำวาวสบเข้ากับดวงตาสีเดียวกันของอีกฝ่ายที่หรี่ลงเพราะรอยยิ้มหันหน้าหนีไปทางอื่นอย่างไม่สบอารมณ์นัก รพีที่เห็นท่าทางแปลกไปของพ่อก็หันไปมองตามก่อนเด็กชายจะรีบปีนลงจากเก้าอี้แล้ววิ่งไปหาอารัณย์ที่ย่อตัวลงนั่งยองๆกับพื้นอ้าแขนรับร่างของรพีที่วิ่งมาสวมกอดเข้าเต็มแรง

 

 

“น้ารัณย์จริงๆด้วย!!! มาอยู่บ้านพีได้ยังไงฮะ”

 

 

“พอดีเมื่อคืนน้าขับรถมาส่งพ่อเราน่ะครับ”

 

 

“จริงหรอฮะ ทำไมไม่บอกพีก่อนล่ะ พีจะได้ไปนอนด้วย”

 

 

“น้ากับพ่อเรากลับมาก็ดึกมาแล้วครับ แล้วนี่กินอะไรกันอยู่”

 

 

อารัณย์เปลี่ยนเรื่องคุยเพราะไม่อยากให้เด็กชายถามอะไรไปมากกว่านี้ เขาแปลกใจตัวเองที่กล้าตบปากรับคำอีกฝ่ายพอๆกับที่แปลกใจในการกระทำของรัตติกาลที่แสดงน้ำใจเชื้อเชิญให้ศัตรูอย่างเขาพักค้างคืนที่บ้านทั้งที่จะไล่กลับไปก็ไม่มีใครว่าได้

 

 

รพีจูงมือพาคนตัวสูงมานั่งเก้าอี้ตัวถัดไปจากตนโดยมีนิ่มเดินเข้ามาตักข้าวต้มปลาที่ส่งกลิ่นหอมฉุยไปถึงชั้นสองให้อย่างรู้หน้าที่ ร่างสูงชำเลืองมองรัตติกาลที่ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือพิมพ์ไม่ได้สนใจเขานัก พี่เลี้ยงหนุ่มจึงลงมือทานอาหารที่เจ้าบ้านจัดไว้ให้อย่างไม่อิดออดเพราะความหิว

 

 

“หลับสบายไหมคะคุณรัณย์ ที่จริงตื่นสายกว่านี้หน่อยก็ได้นะคะ เมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็เกือบจะเช้าแล้ว”

 

 

จันทร์ที่เพิ่งเดินเข้ามา รีบดิ่งมาทักทายร่างสูงที่ยกมือไหว้หญิงแก่อย่างมีสัมมาคารวะ

 

 

“ไม่เป็นไรครับป้า เกรงใจเจ้าของบ้านเขาเปล่าๆ”

 

 

อารัณย์พูดพลางชำเลืองมองรัตติกาลไปด้วย แต่คนที่ถูกพาดพิงกลับยังคงนั่งนิ่งเหมือนไม่ได้ยินที่เขาพูด แต่ร่างสูงคงไม่มีทางเห็นสีหน้าที่บูดบึ้งข้างหลังหนังสือพิมพ์ที่กางอยู่นั่น

 

 

“ไม่ต้องเกรงใจหรอกค่ะ ถ้าไม่ติดว่าต้องพาคุณพีไปเที่ยวตามสัญญา คุณหนูของป้าคงไม่ตื่นมาทานข้าวเช้าในวันหยุดแบบนี้เหมือนกัน”

 

 

“พูดแบบนี้ ป้าจันทร์ไม่รักผมแล้วหรอครับ”

 

 

รัตติกาลเผลอตัดพ้อหญิงแก่ตามความเคยชินโดยไม่รู้ตัวเลยว่าได้แสดงความเป็นเด็กให้แขกผู้มาเยือนได้เห็นเป็นครั้งแรก อารัณย์นึกแปลกใจในท่าทางของอีกฝ่ายไม่น้อย คนที่มักวางมาดทำท่าเฉยชาต่อทุกสิ่งรอบตัวกลับทำหน้าบูดบึ้งน้อยๆพอน่าเอ็นดูใส่จันทร์พร้อมพูดจาประชดประชันแต่คนฟังกลับหัวเราะด้วยอารมณ์นึกขัน

 

 

หญิงแก่เติมกาแฟให้รัตติกาลอย่างเอาใจ ก่อนจะพูดกับคุณหนูใหญ่ของตัวเองด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเหมือนที่เคยใช้กับอีกฝ่ายมาตลอดช่วงชีวิตของรัตติกาล

 

 

“รักสิคะ ป้าเลี้ยงของป้ามาตั้งแต่เด็ก จะให้ไม่รักได้ยังไง”

 

 

“ก็เห็นเข้ากับคนนอกได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย”

 

 

“แซวเล่นเท่านั้นแหละค่ะ ขี้น้อยใจจริงเชียว อย่าทำหน้าบึ้งแบบนี้สิคะ เดี๋ยวจะได้ไปพักแล้ว ยิ้มให้ป้าชื่นใจหน่อยเร็ว”

 

 

ร่างโปร่งยิ่งทำหน้าบึ้งยิ่งกว่าเดิมเมื่อเห็นอารัณย์ยกยิ้มยามได้ฟังบทสนทนาของเขากับคนเก่าคนแก่ที่เคารพรัก รัตติกาลแสร้งจิบกาแฟทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของจันทร์ หญิงแก่ที่มองอาการของคนที่ตัวเองเลี้ยงดูมาออกก็ได้แต่ส่ายหัวอย่างอ่อนใจแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร มือที่เต็มไปด้วยริ้วรอยตักข้าวต้มปลาหอมๆใส่ชามของรัตติกาลด้วยตัวเองแล้วบอกให้ชายหนุ่มวางกาแฟแล้วลงมือทานมื้อเช้าอย่างจริงจังเสียที

 

 

“พี เตรียมห่วงยาวสวมแขนไปรึยังครับ”

 

 

เมื่อนึกขึ้นได้อารัณย์จึงเอ่ยเตือนเด็กชายที่ยังคงว่ายน้ำได้ไม่แข็งพอที่จะไม่ต้องใช้เครื่องช่วยพยุงตัวตลอดเวลา แม้จะเรียนรู้ทักษะครบทุกท่าแต่ถ้าพูดถึงความชำนาญรพีก็ยังจัดอยู่ในกลุ่มเด็กว่ายน้ำไม่แข็งเช่นเดียวกับข้าวที่รายนั้นยังต้องใช้ห่วงยางสวมแขนอยู่ตลอด

 

 

อารัณย์ที่เคยสอนเด็กชายว่ายน้ำในตอนที่ไปช่วยงานครูอ๋องที่สระรับรู้ความสามารถของรพีดี พี่เลี้ยงหนุ่มเลยลงทุน เป็นธุระไปยืมอุปกรณ์จากสระว่ายน้ำของโรงเรียนมาให้พร้อมกับบัตรเข้าสวนน้ำนั่นแหละ

 

 

“เตรียมแล้วฮะ...แต่พีไม่อยากใช้เลย”

 

 

“ทำไมล่ะครับ?”

 

 

“มัน...ไม่เท่”

 

 

อารัณย์หัวเราะแล้วยกมือขึ้นขยี้กลุ่มผมของอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู แม้แต่รัตติกาลที่นั่งฟังอยู่ก็เผลอยกยิ้มเมื่อได้ยิน

 

 

“รู้จักห่วงหล่อแล้วหรอเรา แต่ยังไงก็ต้องใส่ครับ ปลอดภัยไว้ก่อน คุณพ่อกับน้าจะได้สบายใจ”

 

 

“แต่ตอนว่ายที่โรงเรียนพีไม่เห็นต้องใส่ ครูอ๋องยังชมเลยว่าพีว่ายน้ำเก่ง”

 

 

“แต่พียังว่ายนานๆไม่ไหวครับ แถมที่นั่นไม่มีครูอ๋องคอยเฝ้าเราตลอดนะ ถ้าพีเป็นอะไรขึ้นมาใครจะช่วยทัน”

 

 

“กะ ก็...พ่อกาลไง”

 

 

เด็กชายหันไปมองหน้าบิดาอย่างมีความหวัง คนถูกพาดพิงได้แต่ขมวดคิ้วใส่อีกฝ่ายเพราะแต่เดิมรัตติกาลตั้งใจที่จะไม่ลงเล่นน้ำด้วยอยู่แล้ว บรรยากาศสนุกสนานแบบวัยรุ่นไม่ใช่สิ่งที่เขาชื่นชอบนัก บวกกับเรื่องที่ว่ายน้ำไม่แข็งเหมือนกับรพีทำให้รัตติกาลตั้งใจที่จะหอบหนังสือไปอ่านรอ ปล่อยให้รพีไปสนุกตามลำพัง

 

 

“ที่นั่นมีไลฟ์การ์ดดูอยู่ คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง”

 

 

“แต่ป้าเคยเห็นในทีวี ที่นั่นคนเยอะมากเลยไม่ใช่หรอคะ แล้วอย่างนี้จะดูแลกันทั่วถึงได้ยังไง”

 

 

จันทร์ที่ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิทอดที่จะถามด้วยความกังวลไม่ได้

 

 

“ถ้าอย่างนั้น น้ารัณย์ก็ไปด้วยกันสิฮะ!”

 

 

รพีเริ่มมองเห็นความหวังที่จะไม่ต้องสวมปลอกแขนโพล่งพูดออกมาทันทีจนทำให้ผู้ใหญ่ที่นั่งฟังอยู่ตกใจไปตามๆกันโดยเฉพาะรัตติกาลที่เผลอปล่อยช้อนกระทบกับชามข้าวต้มจนเกิดเสียงดังเรียกความสนใจของคนอื่นในห้องให้หันกลับไปมอง

 

 

“พูดอะไรน่ะรพี...อย่าไปรบกวนคนอื่นเลยครับ”

 

 

รัตติกาลเว้นวรรคไปก่อนจะพูดต่อด้วยถ้อยคำที่ฟังดูเป็นคนดีขี้เกรงใจทั้งที่ความจริงแล้วร่างโปร่งไม่ต้องการให้อารัณย์ไปด้วย เพราะความสัมพันธ์ที่แย่มาตลอดสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานจึงเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อ แม้แต่รัตติกาลเองก็นึกไม่ออกเลยว่าทำไมตัวเองถึงปล่อยให้มันเกิดขึ้นทั้งที่เขาไม่ชอบหน้าอารัณย์ ทุกสิ่งรอบตัวมันเริ่มเปลี่ยนแปลงไปจนชายหนุ่มรับไม่ทัน และรัตติกาลก็ไม่ได้ลืมหรอกนะว่าอีกฝ่ายทำอะไรไว้จนต้องนอนคิดมากทั้งคืน...

 

 

“แต่ว่า...”

 

 

“ไปกับพ่อสองคนพอครับ รพีไม่ไว้ใจพ่อหรอ”

 

 

รัตติกาลพูดกับลูกชายด้วยเสียงกดต่ำคล้ายกับจะขมขู่จนรพีเผลอปล่อยช้อนลงกระแทกชามแล้วนั่งก้มหน้านิ่ง เสียงหัวเราะในห้องหายไปเหลือเพียงความเงียบและบรรยากาศที่น่าอึดอัดแม้แต่คนที่ทำให้เกิดบรรยากาศแบบนี้ยังรู้สึก

 

 

อารัณย์มองใบหน้าด้านข้างของรพีที่ก้มลงมองตักของตัวเอง ความกังวลและหวาดกลัวแบบนี้เขารู้จักมันดี ภาพของอารัณย์ในวัยเด็กซ้อนทับขึ้นมา ตัวเขามักจะทำท่าทางแบบนี้ทุกครั้งเมื่อรู้สึกได้ว่ามารดาเริ่มไม่พอใจ ไม่ว่าตัวเองจะทำผิดจริงหรือไม่เด็กๆก็มักจะต้องก้มหน้ายอมรับการตัดสินจากผู้ใหญ่ทั้งที่มันอาจไม่ถูกต้องเสมอไป โดยที่ผู้ใหญ่นั้นไม่รับรู้เลยว่าสำหรับเด็กวัยนี้แค่เพียงพ่อแม่ไม่ยิ้มให้ก็เหมือนกับโลกทั้งใบกำลังล่มสลาย

 

 

อารัณย์คิดว่าตลอดเวลาที่ผ่านมารพีคงเจ็บช้ำเพราะรัตติกาลมามาก เด็กชายถึงมีท่าทางหวาดกลัวและไม่กล้าขัดใจบิดา เหมือนกับตัวเขาที่ไม่กล้าแข็งข้อกับแม่ที่โหดร้ายคนนั้น นอกเหนือจากความโกรธที่เห็นรพีโดนกระทำเหมือนกับตนในอดีตภายในหัวของร่างสูงกลับมีความสับสนและใคร่รู้เกิดขึ้นมาด้วย

 

 

‘นที’ ชื่อของชายที่เคยเป็นคนรักของรัตติกาล

 

 

เป็นชื่อที่เขาสลัดออกไปจากหัวไม่ได้...


 

 

 

“เอาสิครับ น้าว่างพอดี”

 

 

“นี่คุณ!”

 

 

“ไม่ต้องห่วงนะครับป้า เดี๋ยวผมดูแลรพีให้เอง”

 

 

อารัณย์เมินรัตติกาลที่ตะคอกใส่เขาด้วยความไม่พอใจ พี่เลี้ยงหนุ่มหันไปฝากฝังตัวกับหญิงแก่ที่ดูเหมือนจะเป็นคนเดียวที่รัตติกาลไม่กล้าขัดเพราะความเกรงใจ จันทร์เองพอได้ยินข้อเสนอนั้นก็ยกยิ้มกว้าง

 

 

“จริงหรอคะ ขอบคุณนะคะ ป้าจะได้วางใจหน่อย”

 

 

“แต่ป้าครับ…”

 

 

“ให้คุณรัณย์ไปด้วยเถอะค่ะคุณกาล คุณเองก็ว่ายน้ำไม่แข็ง ให้คนหนุ่มไปด้วยแบบนี้คงดีกว่า ป้ารบกวนคุณรัณย์ด้วยนะคะ”

 

 

จันทร์อธิบายให้รัตติกาลฟังโดยไม่สนใจท่าทางที่อยากโต้แย้งของเจ้านายตัวเองพร้อมกับหันไปตบปากรับคำกับแขกผู้มีน้ำใจจนเสร็จสรรพ ร่างโปร่งได้แต่ข่มความไม่พอใจไว้ภายใน อยากจะไล่คนคนนั้นกลับไปแต่ก็ทำไม่ได้อย่างที่ใจคิด

 

 

สีหน้าพอใจของจันทร์และรอยยิ้มที่กลับคืนมาของรพีทำให้รัตติกาลรู้สึกพ่ายแพ้ ดวงตาที่แฝงไปด้วยความเกรี้ยวกราดตวัดคนอายุน้อยกว่าที่กำลังพูดคุยกับรพีก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา แม้ดวงตาคู่นั้นจะไม่ได้เต็มไปด้วยความเย้อหยันเหมือนเช่นทุกครั้ง แต่รัตติกาลก็ยังรู้สึกไม่พอใจอยู่ดี

 

 

แววตาที่เหมือนกับพยายามมองลึกเข้าไปแบบนี้น่ะ

 

 

รู้สึกไม่ชอบใจเอาซะเลย...

 

.

.

.

.

.

 

 

 

“ถ้ายังไม่อยากตาย ก็หันไปมองถนนซะ”

 

 

เสียงของรัตติกาลปลุกอารัณย์ขึ้นจากภวังค์ จนต้องหันไปมองตรงอย่างที่อีกฝ่ายว่า แม้จะไม่ตกหนักเหมือนกับที่ชลบุรีแต่แถบนี้ก็มีฝนตกประปรายตั้งแต่เมื่อคืน เหลือไว้เพียงแหล่งน้ำขังตามข้างทางที่ทำให้ผู้ขับขี่ต้องระมัดระวังมากขึ้นกว่าปกติ

 

 

รถโฟล์คคันเก่าถูกนำมาใช้ในการเดินทางแทนที่จะเป็นรถอีกคันของรัตติกาลด้วยเหตุผลที่จันทร์เห็นพ้องต้องกัน(กับอารัณย์)ว่ารถคันนี้สามารถบรรทุกสิ่งของได้มากกว่า และบทพิสูจน์เรื่องประสิทธิภาพก็เป็นที่ยอมรับตั้งแต่มันสามารถพาทั้งอารัณย์และรัตติกาลฝ่าพายุกลับมาได้โดยไม่สึกหรอ พวกเขาทั้งสามคนเลยกำลังมุ่งหน้าสู่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ด้วยรถของอารัณย์อย่างที่เห็น

 

 

“กูขับรถเก่งขนาดฝ่าพายุกับมึงมาได้...ยังไม่ไว้ใจกูอีกรึไง”

 

 

“คนอย่างนายมันไม่น่าไว้ใจในทุกๆเรื่องนั่นแหละ”

 

 

รัตติกาลไม่รู้ว่าคำพูดของอารัณย์หมายถึงเรื่องไหนบ้าง ชายหนุ่มได้แต่หันไปมองภูเขาข้างทางที่ดูมีชีวิตชีวาขึ้นเพราะสายฝนที่นำพาความชุ่มชื้นกลับสู่ผืนดิน อากาศที่ไม่ร้อนจนเกินไปทำให้เขาเลือกที่จะเลื่อนกระจกลงเพื่อรับเอาลมบริสุทธิ์ของธรรมชาติที่พอได้กลิ่นทะเลจางๆชวนให้รู้สึกดี เส้นผมสีดำขลับของรัตติกาลพลิ้วไหวตามลมจนเผยให้เห็นใบหน้าหมดจดที่เหมือนกำลังขบคิดอะไรบางอย่างอยู่ตลอดเวลา

 

 

“ดีนะ ที่วันนี้ฝนหยุดตกแล้ว”

 

 

อารัณย์พูดกับตัวเองแต่รัตติกาลก็ได้ยินมันชัดเจน เขาหันมามองสารถีหนุ่มด้วยความสงสัยก่อนจะหันกลับไปทางเดิมอีกครั้ง...

 

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

คุยกับเช่!!

หายไปหลายวันกลับมาพร้อมกับตอนที่ยาวที่สุดที่เคยเขียนมาเลย แก้หลายรอบด้วย กลัวพลาดมาก T^T (ข้อเสียของนิยายเรื่องนี้ ปมเยอะไปไหนเนี่ยยย แต่งไปกลัวพลาดไป) จริงๆเสร็จตั้งแต่บ่ายแต่ก็แก้มาตลอดจนถึงตอนนี้ หวังว่าจะชอบกันนะฮะ

ตอนพิเศษได้รับผลตอบรับที่น่าพอใจมาก 5555 หวังว่าจะเป็นน้ำหล่อเลี้ยงให้เหล่ามาโซของเช่ได้นะคับ เคยคิดเล่นๆว่าถ้าคนที่อ่านนิยายเรื่องนี้จนจบได้ต้องอดทนมากอะ เช่นั่งอ่านย้อนหลังยังด่าตัวเองเลย แม่มจะม่าไปไหนฟะ! เพราะฉะนั้นจะทำพาร์ทหวานๆบ้างมาให้เป็นรางวัลนะ แต่จริงๆหลังจากนี้ความหวานก็น่าจะเริ่มพบเจอได้บ้างในเรื่องหลักแล้วแหละ แหม พ่อกาลของเราโตขึ้น(?)แล้วขนาดนี้ ให้กลับมาเป็นผู้เป็นคนกับเขาบ้างก่อนที่จะโดนปลดจากตำแหน่ง

ตอนนี้มีชาตินิลด้วยยยยยย ตอนแรกกะจะให้มีโมเม้นหลังคู่หลักกลับจากหัวหินแต่ท่าจะอีกนาน นี่ผ่านไปกี่ตอนแล้วหละ รพีเพิ่งจะถึงเพชรบุรีเอง 5555 เลยจัดมาเซ่นก่อน แซ่บนำคู่หลักไปบ้างก็พออิ๊อ๊ะกันไปนะคับ ว่าแต่แต่งไปทำไมมันชักเหมือนนิยายสืบสวน =w=  มันจะแนวไปแล้วนิยายเรื่องนี้!!!

ตอนต่อไปอาจจะใช้เวลาสักนิดเพราะเช่ไม่ได้ไปหัวหินนานมากกกกกก ลืมๆไปบ้างต้องฟื้นความจำกันนานหน่อย อาจไม่สมจริงบ้างก็ต้องขอโทษมาก่อนด้วยนะคับ มองหาแต่รัณย์กาลแล้วกันเนอะ^^

ขอบคุณทุกเม้นทุกโหวต เช่ยินดีรับทุกคนติชมของทุกคนมาพัฒนาตัวเองนะฮะ เม้นยาวเม้นสั้นไม่ว่ากัน แค่รู้ว่ามีคนชอบมีคนอ่านเช่ก็มีกำลังใจแต่งต่อแล้ว^^ :katai4:

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-07-2015 23:39:55 โดย vivacestory »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ kanomjeeb

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 101
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
โอ้ย ตอนนี้กาลดีขึ้นเยอเลยอะ ดีแล้วๆ

เริ่มต้นชีวิตใหม่นะกาล เอารัณย์นี่แหละ เหมาะดี

รถเก่าไปหน่อยแต่ก็น่าจะโอเคนะ :hao6:

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7524
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
ขอให้มันโอเคขึ้นเรื่อยๆ

ออฟไลน์ kdds

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
ชอบเรื่องนี้นะ ไม่ค่อยแคร์หรอกว่าตัวละครจะเทาๆหม่นๆ ไม่ได้ดีตามคาแรคเตอร์พิมพ์นิยม  แค่ยังไม่ค่อยเข้าใจฟีลกาลที่แค้นนทีมากมายขนาดนั้น คือก็รู้อยู่ว่านทีเป็นชายแท้ แถมส่ำสอนลับหลังแฟนด้วย กาลมาทีหลังแทรกกลางระหว่างนทีกับพะแพง ดูแล้วรูปการณ์ก็มีแต่ผิดหวังเป็นไปไม่ได้ ถ้าหลงคารมคำหวานก็น่าจะรู้ดีว่าผู้ชายพรรค์นี้ปากหวานไปเรื่อยอยู่แล้ว ไม่น่าติดกับได้ง่ายๆ ไปรักเขาขนาดนั้นเข้าได้อย่างไร

ในประเด็นการแก้แค้น คือการแก้แค้นที่หอมหวานที่สุดมันควรต้องลงกับคนที่เราแค้นป่ะ รพีนี่ไม่เกี่ยวอะไรเลยหรือถ้าจะแก้แค้นผ่านทางลูก ก็ต้องให้พ่อแม่เขาอยู่รับรู้ความทุกข์ทรมานของลูกเขาด้วยมันถึงจะสะใจ นี่เขาก็ตายไปแล้วมันดูองค์ประกอบไม่ครบ นทีเนี่ยะตายจริงหรือเปล่าไม่รู้ แต่เท่าที่อ่านผ่านมาเหมือนกาลก็เชื่อว่าตายไปแล้ว เลยรู้สึกว่าที่กาลทำๆอยู่นี่มันลอยๆชอบกล

คงมีปมอะไรที่คนเขียนยังไม่คลาย รออ่านต่อไปค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-08-2015 18:02:01 โดย kdds »

ออฟไลน์ iiduckii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 66
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ชอบๆๆๆๆ รัณย์กาลเริ่มพัฒนาละ 5555555555555

นิลน่ารักมากค่ะ ชอบตอบที่ตอบไลน์ 55555 ตอบได้ดีๆๆๆ :laugh:

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
22nd Night

…HuaHin...





“ร้อนชะมัด”

 

รัตติกาลได้ยินคนที่ยืนข้างๆบ่นอย่างนี้มาแล้วไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง ร่างกายสูงใหญ่ที่ดูเหมือนจะทนต่อแดดร้อนๆได้ไม่ดีนักทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ตัวตรงข้ามกับเขาพร้อมกับหยิบเอาหมวกแก๊ปสกรีนลายเท่ๆที่ใส่อยู่ขึ้นมาโบกพัดด้วยท่าทางหงุดหงิดน้อยๆ บรรยากาศโดยรอบเต็มไปด้วยผู้คนเดินสวนกันไปมา จากที่รัตติกาลเห็นลูกค้าส่วนมากจะเป็นวัยรุ่นซึ่งมาเที่ยวกันเป็นกลุ่มใหญ่ส่งเสียงเจี้ยวจ้าวตามประสา ชายหนุ่มรู้สึกเสียดายไม่น้อยเพราะดูท่าความตั้งใจเดิมที่จะมานั่งอ่านหนังสือรอสงบๆคงเป็นไปได้ยาก

 

“แล้วมึงไม่เปลี่ยนชุดรึไง”

 

อารัณย์หันมาถามรัตติกาลโดยที่ตัวเองจัดแจงเปลี่ยนเสื้อผ้าไปแล้วก่อนหน้านี้พร้อมกับรพีที่กำลังก้มหน้าก้มตาอ่านโบชัวร์ที่ทางปาร์คแจกมาให้แม้ว่าจะไม่เข้าใจภาษาเหล่านั้นเลยก็ตาม รัตติกาลสังเกตเห็นเด็กสาววัยรุ่นหลายคนลอบมองมาที่ชายตรงหน้าด้วยท่าทางสนใจ ท่อนขาแข็งแกร่งที่เห็นได้ชัดเพราะกางเกงว่ายน้ำรัดรูปขนาดพอดีเข่าทำให้อารัณย์ดูเหมือนหนุ่มนักกีฬามากกว่าพี่เลี้ยงเด็ก พอบวกกับผิวกายสีน้ำตาลอ่อนยิ่งทำให้ชายหนุ่มดูดีมากขึ้นไปอีก แต่ก็เท่านั้นลองให้หมอนี่เปิดปากสิ...สวนทางกับหน้าตาจนน่าเสียดาย

 

“ไม่ล่ะ ถ้าจะเล่นค่อยไปเปลี่ยน”

 

“หึ กะจะไม่เล่นอยู่แล้วก็บอก เปลืองค่าบัตรชะมัด”

 

“ไม่เห็นต้องสนใจ ยังไงบัตรนั่นผมก็ได้มาฟรี คุณต่างหากที่ควรรีบๆไปเล่นซะให้คุ้ม นี่คงไม่ได้คิดจะเสียเงินเป็นพันเพื่อมานั่งเถียงกับผมใช่ไหม”

 

รัตติกาลพูดกระตุ้นให้อีกฝ่ายได้คิด เขาไม่ได้ฟอร์มจัดขนาดว่าปฏิเสธบัตรที่อารัณย์ให้รพีมา การซื้อบัตรเองไม่ได้ให้รัตติกาลลำบากแต่ถ้าจะต้องทิ้งไปเพราะไม่ชอบหน้าคนให้ก็ดูงี่เง่าเกินไปหน่อย หนำซ้ำร่างโปร่งยังรู้สึกสะใจพิลึกตอนที่อารัณย์ต้องต่อแถวเข้าคิวซื้อบัตรอย่างลูกค้าคนอื่นขณะที่เขากับรพีทำเพียงแค่ยื่นบัตรที่ได้มาแล้วเข้ามานั่งรอด้านในสบายๆปล่อยให้คนขี้ร้อนยืนหน้าบอกบุญไม่รับอยู่คนเดียวท่ามกลางฝูงคนมากมาย...แค่มองก็อึดอัดแทนแล้ว

 

“เงินเดือนพี่เลี้ยงเด็กโรงเรียนคุณหนูมันไม่ได้แย่อย่างที่มึงคิดหรอก แต่เอาเถอะ กูขี้เกียจมานั่งเถียงกับมึงให้อารมณ์เสีย”

 

“งั้นก็ดี...รพีครับ มานี่เร็ว เราจะย้ายไปนั่งทางนู้นกัน”

 

ร่างโปร่งตะโกนเรียกลูกชายที่นั่งเล่นอยู่ในชุดกางเกงว่ายน้ำสีเข้ม เมื่อได้ยินเสียงของบิดารพีก็รีบวิ่งเข้ามาหา เด็กชายคว้าเอามือของรัตติกาลจับไว้แล้วเงยหน้าสบตา ร่างโปร่งเข้าใจความต้องการของลูกชายดีและเพราะเห็นแก่ว่าเป็นวันพักผ่อนเขาจึงไม่ได้สะบัดมันทิ้งอย่างที่ควรจะทำ

 

ชายหนุ่มใช้มืออีกข้างที่เหลือหยิบกระเป๋าใส่สัมภาระขึ้นมาพาดไว้บนไหล่ รัตติกาลพารพีมายังศาลาหลังเล็กที่ตั้งอยู่ใกล้เครื่องเล่นสำหรับเด็กซึ่งเขาติดต่อเจ้าหน้าที่ขอเช่าไว้ระหว่างที่รออารัณย์ต่อแถวซื้อบัตรเข้าปาร์ค

 

โซฟานอนบุด้วยผ้าสีอ่อนพร้อมหมอนอิงและเก้าอี้เดี่ยวอีกสองตัวถูกจัดไว้เหมาะสมกับราคา ทรายเนื้อละเอียดถูกโรยไว้ตามพื้นชวนให้ได้บรรยากาศเหมือนกำลังนั่งอยู่ริมทะเลจริงๆทำให้รัตติกาลพอใจอยู่ไม่น้อย เขาวางสัมภาระของตัวเองลงก่อนจะจัดแจงหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กขึ้นมาเตรียมไว้ให้ ในขณะที่รพีทำหูตาโตเมื่อได้เห็นโซน Kiddie Cove ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ

 

“ใหญ่จังเลย! พีไปเล่นได้รึยังฮะพ่อ!”

 

“ใจเย็นๆครับ กินอะไรก่อนแล้วค่อยไป”

 

ระหว่างรอรัตติกาลก็ได้แต่มองรพีที่กำลังนั่งตักของอารัณย์พูดถึงสิ่งต่างๆรอบตัวด้วยความตื่นเต้น ท่าทางเวลาอยู่กับเด็กของร่างสูงดูเป็นธรรมชาติจนใครๆที่เดินผ่านศาลาหลังนี้มาต่างก็เผลอยิ้มให้กับภาพตรงหน้าด้วยความเอ็นดูกันทั้งนั้น

 

“ถังอันเขียวๆนั่นน้ำจะลึกมากไหมฮะ”

 

“ถ้าเป็นอันจำลองของเด็กก็ไม่น่าจะลึกมากครับ พีเล่นได้”

 

“แล้วท่อสีส้มใหญ่ๆนั่นล่ะฮะ...พีเล่นได้ไหม”

 

รพีชี้ทำหน้าเหมือนกำลังชั่งใจก่อนจะชี้ไปยังสไลด์เดอร์อันใหญ่เกินตัว

 

“อืม...ถ้าเล่นคนเดียวคงไม่ไหว ต้องให้น้าพาไปนะ ตกลงไหม”

 

“ฮะ! พ่อกาลก็ไปเล่นกับพีด้วยนะฮะ”

 

รัตติกาลทำเพียงยกยิ้ม ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ รอไม่นานนักอาหารที่สั่งไว้ก็ถูกยกมาให้ รัตติกาลจัดแจงจ่ายค่าบริการพิเศษให้กับพนักงาน ก่อนจะแบ่งอาหารที่มีปริมาณพอรองท้องให้กับรพีโดยไม่ลืมเผื่อแผ่ให้กับอารัณย์ตามมารยาท

 

“พีลงมานั่งที่เก้าอี้ดีๆครับ”

 

ร่างโปร่งบอกกำกับเด็กชายที่ยังคงนั่งอยู่บนตักของอารัณย์ ดูเหมือนเก้าอี้ส่วนตัวอันนี้จะสบายอยู่ไม่น้อยร่างป้อมจึงมีท่าทางอิดออดไม่ยอมลงจนต้องเดือดร้อนเจ้าของตักต้องอุ้มรพีวางลงบนโซฟาตัวใหญ่ในขณะที่เขาและรัตติกาลนั่งลงบนเก้าอี้เดี่ยวอีกสองตัวที่เหลือ

 

“พีกินไม่หมดได้ไหมฮะ...ยังอิ่มอยู่เลย”

 

“พ่อเตือนแล้วใช่ไหมว่าอย่ากินขนมเยอะ”

 

“ก็...น้ารัณย์ซื้อให้”

 

“อ้าว โทษน้าซะงั้นเลยพี”

 

อารัณย์ท้วงพลางหัวเราะเบาๆเมื่อโดนเจ้าตัวเล็กพาดพิง รพียิ้มแหยให้อีกฝ่ายอย่างขอโทษ แต่ที่พูดไปเพราะคิดไว้แล้วว่าคุณน้าใจดีคงไม่โกรธตนแน่ๆ รัตติกาลส่ายหัวให้กับข้ออ้างของรพีแต่จะว่าไม่จริงก็ไม่ใช่ ระหว่างแวะปั้มข้างทางเขาเองก็เห็นพี่เลี้ยงหนุ่มซื้อขนมเอาใจร่างป้อมซะหลายอย่างแต่หนักท้องที่สุดคงเป็นซาลาเปาหมูแดงใบใหญ่ที่ทำให้รพีรู้สึกอิ่มมาถึงตอนนี้

 

“แต่ยังไงก็ต้องกินครับ ใกล้เที่ยงแล้ว กินเท่าที่กินได้ก็แล้วกัน”

 

“ฮะ!”

 

รพีลงมือทานฮอดดอกโดยมีอารัณย์ช่วยกำกับอีกที ร่างสูงสังเกตรัตติกาลที่นั่งทานส่วนของตัวเองไปเงียบๆแต่ก็มักจะชำเลืองมองคนที่ตัวเองบอกว่าเกลียดชังอยู่บ่อยครั้ง มือที่ครั้งหนึ่งเคยบีบลำคอเล็กของรพีเพราะความโกรธยกขึ้นเช็ดคราบซอสบนแก้มนุ่มอย่างอ่อนโยนโดยไม่รู้ตัว

 

 สีหน้าที่ถึงแม้จะนิ่งเฉยแต่กลับชวนให้รู้สึกสงบของรัตติกาลทำให้ชายหนุ่มดูเหมือนคนเป็นพ่อปกติทั่วไป แม้จะไม่ชัดเจนแต่ความเอาใจใส่เล็กๆน้อยๆกลับชวนให้รู้สึกอบอุ่นจนยากจะเชื่อว่าชายคนนี้กำลังมีแผนร้ายอยู่ในใจ ความโหดร้ายของรัตติกาลอารัณย์ได้เห็นมาแล้วเต็มสองตา คำประกาศกร้าวว่าจะทำลายรพียังคงชัดเจนอยู่ในความทรงจำ และเขาก็ใช้มันตัดสินว่าชายคนนี้ไม่คู่ควรสำหรับคำว่าพ่อ

 

แต่ภาพตรงหน้าเขาล่ะ...มันเป็นแค่ละครฉากหนึ่งรึเปล่า?

 

 

 

เด็กชายทานไปได้ประมาณครึ่งหนึ่งรัตติกาลก็ไม่คะยั้นคะยอให้กินต่อ อารัณย์อาสาพารพีไปล้างมือที่ห้องน้ำใกล้ๆโดยรัตติกาลทำหน้าที่เก็บขยะต่างๆไปทิ้งก่อนจะหยิบเอาครีมกันแดดสำหรับเด็กที่จันทร์เตรียมไว้ให้มาวางไว้เพื่อให้รพีทาก่อนลงไปเล่นในสระ

 

“พ่อกาลไม่เปลี่ยนเสื้อหรอฮะ”

 

รพีเอ่ยขึ้นขณะที่อารัณย์กำลังลงมือทาครีมกันแดดลงบนแผ่นหลังเล็ก รัตติกาลละสายตาจากหนังสือแล้วสบเข้ากับดวงตาเล็กที่เต็มไปด้วยความสงสัย

 

“ขอพ่ออ่านหนังสือจบก่อนนะ”

 

ปากบอกว่าอย่างนั้น แต่รัตติกาลเพิ่งอ่านมันไปได้ไม่ถึงหนึ่งในสี่ของเล่มเลยด้วยซ้ำ หนังสือที่หนาพอๆกับวรรณกรรมแปลชื่อดังต่อให้เป็นคนอ่านเร็วแค่ไหนคงใช้เวลาไม่ต่ำกว่าครึ่งวัน รพีไม่รู้ความหมายที่แท้จริงของคำพูดนั้น มีเพียงแต่อารัณย์ที่เข้าใจคำปฏิเสธแบบกำปั้นทุบดินของรัตติกาล

 

รพีพยักหน้าอย่างยอมรับ ร่างป้อมรีบสาวเท้าไปยังลานน้ำพุน้อยๆที่มีเด็กวัยเดียวกันนั่งเล่นกับสายน้ำที่ผุดขึ้นมาจากพื้นเป็นจังหวะ

 

“จะไม่เล่นจริงๆรึไง”

 

ศาลาหลังเล็กเหลือพวกเขาอยู่เพียงสองคน อารัณย์เอ่ยขึ้นพร้อมกับมองหน้าอีกฝ่ายแต่รัตติกาลกลับเพียงตอบด้วยท่าทางเรียบเฉยไม่แม้แต่จะละสายตาออกจากหนังสือเล่มหนาราวกับว่าถ้าไม่อ่านตอนนี้จะเกิดเรื่องคอขาดบาดตาย

 

“ผมจะเฝ้าของ”

 

“พนักงานเดินกันให้ขวัก ของมีค่าก็ใส่ไว้ในล็อคเกอร์หมดแล้ว”

 

“ผมจะอ่านหนังสือ”

 

“มึงเป็นเด็กรึไง เถียงเก่งยิ่งกว่ารพี”

 

หัวคิ้วของรัตติกาลชนกันทันทีเมื่อได้ยินถ้อยคำลามปามของอารัณย์

 

“เผื่อคุณจะไม่รู้...ผมอายุมากกว่าคุณ”

 

“กูรู้ แล้วไง? ทำยังกับกูกับมึงเคยพูดกันดีๆ”

 

“โอเค...ผมเข้าใจระดับมารยาทคุณแล้ว จะไปเฝ้ารพีก็ไปซะ”

 

รัตติกาลพูดทิ้งไว้แค่นั้นก่อนจะย้ายร่างของตัวเองไปเอนหลังอยู่บนโซฟาตัวใหญ่ หนังสือเล่มใหญ่ถูกพลิกไปยังหน้าต่อไปคล้ายกับการขับไล่คนข้างๆ แต่มีหรือที่อารัณย์จะสนใจ ร่างสูงไร้มารยาทอย่างที่รัตติกาลว่า เขาเขยิบไปนั่งบนพื้นที่ว่างที่เหลือบนโซฟาตัวเดียวกัน ฝ่ามือที่ใหญ่กว่าคว้าเอาสิ่งรวมความสนใจของรัตติกาลมาถือไว้แทนอย่างถือวิสาสะ

 

“มึงกลัวน้ำใช่ไหมเลยไม่กล้าลงสระ”

 

“คนบ้าอะไรกลัวน้ำ...เอาหนังสือคืนมา”

 

“เป็นอย่างที่ป้าจันทร์ว่าสินะ”

 

“ป้าจันทร์บอกว่าผมว่ายน้ำไม่แข็ง ไม่ใช่กลัวมัน ถ้าคุณเข้าใจแล้วก็เอาหนังสือคืนมาแล้วไปทำหน้าที่ของคุณซะ”

 

“หรือมึงเคยจมน้ำมาก่อน? จะว่าไปตอนนั้นมึงก็เกือบจมแล้วนี่หว่า”

 

“ตอนนั้น?”

 

“ที่โรงแรมเพื่อนมึงไง ตอนที่มึงตกไปในสระหลังจากที่กูจูบ... อุ๊บ!!”

 

รัตติกาลไม่ได้ขอสมบัติของตนคืนอีก กลับกันเขาเป็นฝ่ายดันหนังสือที่ร่างสูงถือไว้ไปตรงหน้าของอารัณย์จนมันกระแทกปากพล่อยๆของอีกฝ่ายเข้าเต็มแรง

 

“โอ้ย! ปากกู มึงทำเหี้ยอะไรเนี่ย!”

 

“กระแทกหมาออกจากปาก”

 

อารัณย์จ้องรัตติกาลอย่างไม่พอใจ รสเค็มปะแล่มในช่องปากทำให้เขารู้ว่าแรงกระแทกเมื่อครู่คงทำให้เขาเสียเลือดไปจนได้ ดวงตาดื้อรั้นของรัตติกาลจ้องกลับมาอย่างไม่ยอมแพ้ เขาไม่ได้ทำไปเพราะรู้สึกเคอะเขินเหมือนสาวเสียจูบแรกแต่เพราะนึกหมั่นไส้คนตรงหน้าเสียมากกว่าที่ทำเหมือนว่าการจูบกับเขาเป็นเรื่องปกติทั้งที่ไม่ใช่...

 

 “น้ารัณย์ฮะ ทำไมช้าจังเลย”

 

รพีวิ่งเข้ามาโดยไม่ได้ดูสถานการณ์ก่อน รัตติกาลอาศัยช่วงที่ร่างสูงเผลอคว้าเอาหนังสือของตนคืนมาแล้วถดตัวไปนั่งยังอีกมุมของโซฟาโดยไม่ได้พูดอะไรอีก ร่างป้อมมองผู้ใหญ่สองคนอย่างงงๆเมื่อสัมผัสได้ถึงบรรยากาศแปลกๆที่เกิดขึ้นขณะที่ตัวเองไปเล่นจนตัวเปียกปอน อารัณย์ถอนหายใจอย่างอารมณ์เสีย เขาขยี้กลุ่มผมเปียกชื้นของรพีแล้วบอกให้เด็กชายไปต่อแถวรอที่อีกด้านของสระ

 

รัตติกาลไม่ได้มองว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไร เขาพยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเองให้จดจ่ออยู่กับตัวหนังสือภาษาอังกฤษตรงหน้า แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ผล ร่างโปร่งยังคงอ่านไปไม่พ้นประโยคเดิมทั้งที่เป็นไวยากรณ์ง่ายๆ

 

“นี่!...”

 

ร่างโปร่งร้องขึ้นเมื่อจู่ๆตัวหนังสือที่เขากำลังให้ความสนใจลอยหายไปต่อหน้าต่อตา อารัณย์ที่อยู่ในสภาพเตรียมพร้อมลงสระขโมยหนังสือของเขาไปอีกครั้งพร้อมกับยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนรัตติกาลรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นร้อนที่เป่ารดแก้มนวลของตน นัยน์ตาสีนิลจ้องมองชวนให้รู้สึกเหมือนถูกคุกคาม ลมหายใจของรัตติกาลหยุดไปดื้อๆ แม้แต่มือที่ควรผลักอีกฝ่ายออกไปก็ทำเพียงกำกันแน่นจนรู้สึกเจ็บแปลบ

 

“กูแค่จะบอกว่าไม่มีใครว่ายน้ำเป็นมาตั้งแต่เกิด”

 

“...”

 

“ถ้าโชคดีก็ไม่ต้องเจอความทรงจำแย่ๆ แต่ถ้าไม่...ก็คงเหมือนมึงที่กลัวจนขยาด แต่ก็นะ...มึงหนีไปได้ไม่ตลอดหรอก”

 

“...”

 

“ถ้าถึงวันหนึ่งที่มึงจำเป็นต้องเอาชีวิตรอด สิ่งเดียวที่มึงต้องทำก็คือว่ายต่อไปทั้งที่กลัวมันนั่นแหละ”

 

คนที่ผ่านโลกมาน้อยกว่าทิ้งคำพูดสั่งสอนเขาไว้ก่อนจะวิ่งไปหารพีที่กำลังต่อแถวคอยอยู่ น้ำเสียงและสายตาที่จริงจังของอารัณย์ยังคงชัดเจนอยู่ในหัว วนเวียนเหมือนเทปที่ถูกเปิดซ้ำ

 

รัตติกาลรู้อารัณย์ไม่ได้สื่อถึงเรื่องอื่น แต่ก็ห้ามความรู้สึกสั่นไหวในอกไม่ได้ เขาสับสนจนต้องละสายตาออกจากตัวหนังสือแล้วมองไปยังแผ่นหลังกว้างที่ยืนอยู่ไกลๆ อารัณย์ไม่แม้แต่จะหันหลังกลับมา พี่เลี้ยงเด็กอวดดีคนนั้นกำลังส่งยิ้มให้รพีพร้อมกับยื่นมือไปจับกันไว้แน่น

 

“ก็บอกแล้วว่าไม่ได้กลัว...”

.

.

.

.

.

.

.

 

เวลาล่วงเลยไปกว่าบ่ายสองโมง อารัณย์และรพีที่ตัวเปียกปอนขึ้นจากนั่งพักที่ศาลาเป็นครั้งที่สามในขณะที่รัตติกาลก็ยังคงนั่งตัวแห้งอ่านหนังสือเงียบๆเพียงลำพังโดยปฏิเสธคำเชิญทุกครั้งเสียจนทั้งสองคนถอดใจ

 

รัตติดกาลทอดสายตามองอารัณ์และรพีที่กำลังสนุกอยู่กับสายน้ำและเครื่องเล่นซึ่งมีกลไกแปลกตา เด็กชายหันไปยิ้มให้อารัณย์ก่อนจะแกล้งวักน้ำใส่ใบหน้าหล่อเหลานั้นเต็มแรงที่เจ้าตัวพอจะทำได้ ชายหนุ่มก็แกล้งร้องโอดโอยเกินความเป็นจริงจนคนที่อยู่แถวนั้นต่างหัวเราะกับภาพของทั้งคู่ที่ดูสนิทสนมกันจนใครต่อใครต่างพากันพูดถึงสองหนุ่มกันอย่างสนุกปาก

 

“ผู้ชายคนนั้นหล่อดีเนอะ ดูอบอุ่นดีจัง”

 

“เธอว่านั่นใช่น้องชายเขาไหม แต่ดูแล้วก็ไม่คล้ายกันเท่าไหร่...”

 

“อยากขอถ่ายรูปจัง เด็กคนนั้นน่ารักจังเลย”

 

 “หรือว่าจะเป็นพ่อลูกกัน แล้วแม่เด็กล่ะ?!”

 

“ให้ตายสิ ไม่เคยอยากลองเล่นสระเด็กเท่าวันนี้เลย!!!”

 

เสียงเซ็งแซ่ดังมาจากทั่วทุกสารทิศ รัตติกาลกรอกตาที่ซ่อนอยู่หลังหนังสือเล่มหนาไปมาอย่างนึกระอา ผู้คนส่วนมากต่างหลงในรูปกายภายนอกแล้วสรรเสริญเจ้าคนหยาบคายนั่นจนเกินความจริงไปโข เสียงวี๊ดว้ายดังขึ้นอีกระลอกเพราะพี่เลี้ยงหนุ่มในชุดกางเกงว่ายน้ำรัดรูปช่วยโยนลูกบอลส่งคืนให้กับกลุ่มสาววัยรุ่นที่ต่างกรูกันเข้าไปขอบคุณอารัณย์กันยกใหญ่

 

รัตติกาลส่ายหัวให้กับเหตุการณ์นั้น ไม่ได้รู้สึกอิจฉา แต่ขอโทษเถอะ ไอ้มุขทำของตกแล้วให้คนช่วยเก็บนี่มันไม่เก่าไปหน่อยรึไง...คลาสสิคเกินไปแล้ว

 

เขาละสายตาจากภาพตรงหน้ามายังโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะหลังจากที่เพิ่งใช้มันโทรไปบ้านเพื่อรายงานความเรียบร้อย หวังจะคลายกังวลให้จันทร์ที่ทำท่าพะวงเกินเหตุ ชื่อของเด็กหนุ่มที่รัตติกาลเดินทางไปชลบุรีด้วยแต่ไม่ได้กลับมาพร้อมกันตามที่หวังปรากฏขึ้น

 

‘Poon’

 

ดวงตาสีนิลฉายแววลำบากใจ นอกจากเรื่องเมื่อวานเขาก็ผิดคำพูดกับปูนอีกครั้งที่รับปากไว้ว่าจะโทรหาแต่รัตติกาลก็ยังไม่ได้ทำ จนอีกฝ่ายต้องติดต่อมาหาเขาเอง

 

“ฮัลโหลปูน...”

 

“สวัสดีครับพี่กาล เป็นยังไงบ้าง ถึงหัวหินนานรึยัง”

 

“อืม มาถึงตั้งแต่ก่อนเที่ยงแล้ว ปูนล่ะอยู่ไหนแล้ว”

 

“ผมถึงหอได้สักชั่วโมงกว่าๆเอง ตื่นสายน่ะครับ กว่าจะเช็คเอ้าท์จากโรงแรมก็สิบเอ็ดโมงแล้ว แถมปูนยังขับรถไม่เก่งอีกเลยมาถึงเอาป่านนี้”

 

ร่างเล็กพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงเหมือนเช่นทุกครั้งแต่กลายเป็นรัตติกาลเสียเองที่รู้สึกแย่เมื่อได้ยินว่าเด็กหนุ่มต้องลำบากก็เพราะเขา

 

“ขอโทษนะ”

 

“หื้ม? ขอโทษทำไมล่ะครับ ปูนไม่เป็นไรสักหน่อย พี่อย่าคิดมากสิ”

 

“พี่ไม่น่าทิ้งปูนไว้คนเดียว อย่างน้อยก็น่าจะพากลับมาด้วยกัน”

 

“ไม่เอาหรอก เกรงใจเพื่อนพี่กาลแย่ อีกอย่างกลัวพี่จะโดนแซวว่ากินเด็ก”

 

ปูนพูดเล่นตามประสา มีอยู่ไม่กี่เรื่องหรอกที่เด็กหนุ่มจะหยิบมาแซวคนอายุมากกว่าได้แม้จะรู้ว่ารัตติกาลคงไม่สะดุ้งสะเทือนอะไรแต่เขาก็ยังใช้มันเพื่อลดความตึงเครียดในบทสนทนา โดยไม่รู้ว่าตัวเองดันไปเหยียบกับระเบิดลูกย่อมๆเข้าให้แล้ว

 

“อืม...เพื่อนพี่มันไม่ว่าอะไรหรอก”

 

นอกจากผิดสัญญาแล้วก็ยังโกหก รัตติกาลเลือกที่จะไม่บอกว่าเขานั่งรถมากับโจทย์เก่าอย่างอารัณย์ เด็กหนุ่มรู้เพียงว่าคนที่ตัวเองหลงรักเดินทางกลับมากับเพื่อนที่บังเอิญเจอกันเลยสามารถทิ้งรถไว้ให้ตนใช้งานได้ ปูนไม่ชอบอารัณย์...รัตติกาลรู้เลยบอกตัวเองว่า ถ้าไม่อยากให้เรื่องมันยุ่งยากมากกว่านี้ เขาควรจะปิดบังมันต่อไปรวมถึงเรื่องในวันนี้ด้วย

 

“ครับๆ แล้วนี่พี่กาลจะกลับเย็นนี้เลยรึเปล่า”

 

“น่าจะเป็นอย่างนั้น ถ้าเกิดไม่มีอะไรผิดพลาด”

 

รัตติกาลแหงนหน้ามองฟ้าที่ยังคงฟ้าอยู่ แม้จะไร้เงาเมฆฝนแต่ก็ยังไม่อยากไว้วางใจลมฟ้าอากาศที่แม้แต่กรมอุตุก็ยังกะเกณฑ์ไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์

 

“ถ้ากลับมาแล้วบอกผมนะ เงินออกแล้วว่าจะทำของอร่อยให้กิน"

 

“เก็บไว้ใช้เถอะ ของพี่ซื้อไปเอง เราคอยแสดงฝีมืออย่างเดียวแล้วกัน”

 

ปูนตอบตกลงแล้วพูดย้ำกับเขาเรื่องขับรถโดยไม่รู้ว่าเขามีอารัณย์มาทำหน้าที่นั้นให้แทน รัตติกาลวางสายแล้วหันไปมองทางสระอีกครั้ง อารัณย์ยังคงบ้าพลังให้รพีขี่คอแล้วว่ายไปมาในสระน้ำตื้นๆทำเหมือนกับว่ามันสนุกนักหนา

 

อากาศที่ร้อนขึ้นทำให้สมาธิของร่างโปร่งไม่จดจ่ออยู่กับหนังสืออีกต่อไป เขาปล่อยความคิดให้ล่องลอยขณะที่เอนตัวลงนอนบนโซฟาตัวใหญ่ ทิ้งเปลือกตานวลให้ค่อยๆหลับลงเพื่อคลายความอ่อนล้า แต่ไม่ทันไรเงาบางอย่างที่กำลังทาบทับมาจากด้านบนก็ให้ชายหนุ่มต้องลืมตาขึ้นมอง

 

“พ่อกาลหลับ...”

 

รพีที่กำลังยืนเกาะขอบโซฟาพูดกับเขา เด็กชายที่วันนี้ยิ้มและหัวเราะบ่อยกว่าเคยมองพ่อของตนพร้อมกับยื่นมือเล็กที่เย็นจัดเพราะน้ำเข้าไปสัมผัสแก้มนวลของรัตติกาลด้วยความห่วงใย ร่างโปร่งหลับตาลงรับสัมผัสนั้น อุณหภูมิที่ต่ำกว่าร่างกายทำให้เขารู้สึกดีมากกว่าที่คิด

 

“เปล่าครับ แค่พักสายตานิดหน่อย”

 

เขายันกายขึ้นแล้วจับมือเล็กๆตอบโดยไม่ทันยั้งคิด เด็กชายมองมาที่พ่อของตนด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนักแม้แต่รัตติกาลก็ยังสังเกตได้ รพีทำหน้าเหมือนกับอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็เงียบไป จนคนถูกมองทนไม่ไหวเอ่ยปากถามก่อนด้วยความอยากรู้

 

“มีอะไรรึเปล่าครับ?”

 

“คือ...พ่อกาลไม่สนุกหรอฮะ”

 

“หื้ม?”

 

“พีอ้อนให้คุณพ่อพามา แต่พีสนุกอยู่คนเดียว...”

 

รพีพูดแบบนั้นก่อนจะส่งยิ้มแกนๆมาให้ ร่างกายเล็กๆสั่นเทิมจนเห็นได้ด้วยตาเปล่าโดยรัตติกาลไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะความหนาวหรือความกลัวกันแน่

 

“พ่อไม่ได้เบื่อ...แค่ไม่ชอบว่ายน้ำเท่าไหร่”

 

“ไม่ชอบ?...ทำไมล่ะฮะ?”

 

“ก็...มีเรื่องไม่ดีเคยเกิดขึ้นน่ะ”

 

“เรื่องไม่ดี...หรือว่าพ่อกาลเคยจมน้ำ”

 

จะว่าจมน้ำก็ไม่ใช่ แต่ไหนแต่ไรรัตติกาลมีนิสัยรักการออกกำลังกายเป็นชีวิตจิตใจ จะมีก็แต่กีฬาทางน้ำนี่แหละที่ดูท่าจะไม่ถูกโฉลกกับเขาเท่าไหร่ แม้ว่าจะไม่เคยจมน้ำอย่างที่อารัณย์ปรามาส แต่ความรู้สึกยามถูกมวลหนักๆของน้ำกดทับจนขยับแขนขาไม่ได้ดั่งใจก็ทำให้เขาไม่ชอบมันอยู่ดี

 

ร่างที่เปียกปอนของรพีปีนขึ้นมานั่งบนโซฟาตัวเดียวกันด้วยความช่วยเหลือของรัตติกาลที่นึกสงสัยว่าเด็กชายกำลังจะทำอะไร พอขึ้นมาได้ทั้งตัวรพีก็พยุงร่างของตัวเองขึ้นด้วยเข่าทั้งสองข้าง เขาใช้มันคลานเข้าไปหาบิดา มือเล็กทั้งสองข้างป้องไปยังหูข้างขวาของรัตติกาล รพีมองซ้ายมองขวาก่อนจะชะโงกหน้าเข้าไปกระซิบใกล้ๆเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครอื่นได้ยิน

 

“อย่าบอกน้ารัณย์นะฮะ จริงๆแล้วพีก็ไม่ชอบว่ายน้ำเหมือนกัน”

 

รพีละออกมาเพื่อสบตากับบิดาที่มองมาอย่างไม่เข้าใจ

 

“ไม่ชอบ? ก็เห็นเล่นกันสนุกดีนี่”

 

“มันไม่เหมือนกัน ที่นี่มีแต่ของสนุกๆ แต่สระที่โรงเรียน พีไม่ชอบ...”

 

เด็กชายทำสีหน้าลำบากใจยามที่พูดถึงมัน แม้จะไม่ได้ใส่ใจฟังแต่รัตติกาลก็จำคำพูดของอารัณย์ตอนที่เล่าถึงความกระตือรือร้นของรพีในชั่วโมงพละได้

 

“ที่โรงเรียนมีปัญหาอะไรรึเปล่า”

 

“ไม่มีปัญหาอะไรฮะ ครูอ๋องสอนเก่ง น้ารัณย์ก็ใจดี แต่...มันน่ากลัว”

 

“กลัว? แล้วทำไมไม่บอกครู!”

 

รัตติกาลไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงรู้สึกหงุดหงิดขนาดนี้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาตะคอกรพีแต่น้ำเสียงที่เจือด้วยความห่วงใยนั้นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน รพีเม้มปากพลางเงยหน้าขึ้นสบตาบิดา ความอึดอัดที่ถูกปลดเปลื้องออกทางสีหน้าทำให้รัตติกาลสัมผัสได้ว่าร่างเล็กๆนี่คงทนเก็บความกลัวไว้เพียงลำพังเป็นเวลานาน ก่อนมันจะพังทลายลงด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำของเขาเอง

 

“พีกลัว...แต่พีอยากว่ายน้ำเก่งๆ”

 

“...”

 

“ฮีโร่ในการ์ตูนบอกว่า...คนที่แข็งแรงจะปกป้องคนอื่นได้”

 

“ปกป้องงั้นหรอ...”

 

รัตติกาลคิดถึงคำพูดที่ครูสาเคยบอกกับเขา กอปรกับสิ่งที่ร่างโปร่งเห็นมันด้วยตาตัวเองบ่อยครั้งจากความใกล้ชิดที่เพิ่มขึ้นในระยะหลัง บ่อยครั้งที่เข้าเห็นรพีเสียสละสิ่งที่ตัวเองชอบให้เพื่อนแล้วแอบทำหน้าเสียดายลับหลัง และแม้แต่เรื่องในโรงเรียนที่รพีเล่าให้เขาฟังก็มักจะเป็นเรื่องราวทำนองนี้อยู่เสมอ

 

ทั้งที่ข้างในก็ยังคงอ่อนไหวและไม่มั่นคงเหมือนเช่นเด็กในวัยเดียวกันแต่ก็แสร้งทำเป็นว่าเข้มแข็งอยู่เสมอ แม้แต่ตอนนี้รัตติกาลก็ยังแอบเห็นความสั่นไหวในดวงตาของคนที่พยายามทำเพื่อคนอื่นด้วยการทำร้ายตัวเอง

 

รพีเป็นคนที่ตรงข้ามกับเขาอย่างสิ้นเชิง รัตติกาลไม่ชอบเอาเปรียบใครแต่การต้องเบียดเบียนตัวเองเพื่อคนอื่นก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาชอบทำ มีเพียงครั้งเดียวในชีวิตเท่านั้นที่เขาแหกกฎนั้นและผลของมันก็ร้ายกาจยิ่งกว่าที่คาด ความรู้สึกเหมือนนกที่พยายามสยายปีกอยู่ท่ามกลางมวลน้ำ มันทั้งทรมานและไร้จุดหมาย

 

 

 

“ชีวิตที่ต้องพยายามเพื่อคนอื่นน่ะ น่าเบื่อจะตาย”

 

 

“พี่ชอบตัวเองเวลาอยู่กับกาล...แล้วกาลล่ะชอบตัวเองเวลาอยู่กับพี่ไหม?”


 

 

 

คำพูดที่คนคนหนึ่งเคยมอบให้เมื่อครั้งอดีตย้อนกลับมาเหมือนจดหมายในขวดแก้วที่เคยกว้างทิ้งไปลอยย้อนกลับเข้าหาฝั่ง แม้จะมีใบหน้าที่คล้ายกันแต่เด็กชายตรงหน้าเขากลับมีความเชื่อมั่นในตนเองแตกต่างจากผู้เป็นพ่อเสียจนน่าขัน

 

ในขณะที่รพีพยายามว่ายน้ำให้เก่งเพื่อปกป้องคนอื่น

 

เขาคนนั้นคงบอกว่ามันงี่เง่าแล้วตะกายเข้าหาฝั่งด้วยท่าทางที่ทุเรศที่สุด

 

 

 

“กลัวก็คือกลัว...ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ ไม่มีใครทำเพื่อคนอื่นได้ทุกอย่างหรอก”

 

“แต่...”

 

“ถ้าไม่ใช่สิ่งที่ต้องการจริงๆก็ไม่ต้องฝืน”

 

“...”

 

“ชีวิตที่ต้องพยายามเพื่อคนอื่นน่ะ...”

 

“...”

 

“มันน่าเศร้านะ”

 

รพีเอนคอมองอย่างไม่เข้าใจ ไม่ต่างจากรัตติกาล ใบหน้าหวานคมฉายแววสับสนอยู่เพียงครู่ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มเยาะต่อความคิดที่ยังวนเวียนถึงคนที่ไม่ควรค่าแม้แต่จะมีตัวตนในความทรงจำ

 

“พ่อกาลเป็นอะไร”

 

เด็กชายวางฝ่ามือของตนลงบนแก้มทั้งสองข้างของบิดา ใบหน้าพิมพ์เดียวกับคนไร้ค่าคนนั้นกำลังทอดสายตามองเขาด้วยความห่วงใยเหมือนเช่นทุกครั้ง รัตติกาลอยากบอกให้รพีหยุด อยากให้รพีเลิกพยายามทำเพื่อคนอื่นโดยเฉพาะเพื่อเขา แต่ถึงอย่างนั้นการนั่งมองตัวเองในแววตาของอีกฝ่ายก็เป็นสิ่งที่เขาอยากทำมากที่สุดในตอนนี้

 

“ถ้าพีเห็นแก่ตัวบ้าง...เรื่องมันคงไม่ยากขนาดนี้”

 

รัตติกาลคว้ารพีมากอดไว้เพื่อปิดปากของรพีที่กำลังจะเอ่ยถามและปิดดวงตาคู่นั้นไม่ให้เห็นความอ่อนแอในตัวเขา ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่รัตติกาลต้องบอกตัวเองซ้ำๆว่าต้องเกลียดคนตรงหน้า ฝันร้ายที่เขาเคยอยากวิ่งหนีบัดดี้กลายเป็นรัตติกาลเองที่อยากกระโจนเข้าหามัน

 

อย่าหลงลืมความทรงจำเลวร้ายนั้น

 

อย่าหลงลืมจุดยืนของตัวเองสิ...รัตติกาล

.

.

:ruready(มีต่อเม้นท์ล่าง) :ruready

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1




ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีส้มอิฐ รพีโบกมือลามาสคอตของปาร์คที่กำลังบอกลาบรรดาลูกค้าที่มาใช้บริการจนถึงกลุ่มสุดท้าย อารัณย์ช่วยขนสัมภาระที่มีอยู่ไม่มากขึ้นท้ายรถในขณะที่รัตติกาลเป็นคนเดินไปคืนอุปกรณ์ต่างๆที่ยืมมากับพนักงานแล้วให้คำติชมต่างๆด้วยแบบสอบถามตามนิสัยของคนทำธุรกิจด้วยกัน

 

“ผมขับให้เอง”

 

รัตติกาลเอ่ยกับอารัณย์ขณะที่ร่างสูงจัดการลำเลียงกระเป๋าใบสุดท้ายเสร็จ เขายื่นมือไปตรงหน้าเพื่อขอกุญแจโดยไม่สนใจสายตาเคลือบแคลงของพี่เลี้ยงหนุ่ม

 

“กูขับเองเหมือนเดิมก็ดีอยู่แล้ว”

 

“ไม่ได้ คุณเล่นน้ำกับรพีมาทั้งวัน เมื่อคืนก็ไม่ค่อยได้นอน ฝืนขับช่วงเช้ามาได้ก็ปาฏิหาริย์แล้ว”

 

“กูไหว”

 

“นานๆครั้งทำตัวว่าง่ายหน่อยก็ได้ แค่ขับรถให้คงไม่ทำให้คุณเสียศักดิ์ศรีอะไรมากมาย ขึ้นรถซะ”

 

คนอายุมากกว่าพูดสอนก่อนจะคว้าเอากุญแจออกจากมือของอีกฝ่ายไปอย่างถือวิสาสะ อารัณย์ทำท่าจะแย่งมันกลับมาแต่พอเหลือบไปเห็นรพีที่กำลังหาวหวอดๆก็ชะงัก ร่างสูงถอนหายใจ เขายอมแพ้ให้รัตติกาลเป็นครั้งแรก

 

“เอารพีมานอนกับกูข้างหน้าแล้วกัน ท่าทางคงง่วงมาก”

 

“เอาซิ”

 

รัตติกาลขึ้นนั่งประจำที่คนขับ แทนที่อารัณย์ที่ประคองรพีให้นั่งลงบนตักของตัวเองแล้วปล่อยให้หัวทุยซบลงบนอกแข็งๆที่ทำให้รพีรู้สึกปลอดภัยจนเผลอหลับไปในเวลาไม่นาน

 

ตลอดสองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้าขายของฝากที่ยังคงเปิดบริการแม้เวลาจะล่วงเลยมาถึงป่านนี้ พวกเขาออกมาจากปาร์คช้ากว่าที่คิดเพราะจำนวนคนที่หลังไหลเข้ามาใช้บริการในช่วงบ่ายทำให้ห้องอาบน้ำเต็มเอี๊ยดแม้แต่ฝั่งของผู้ชายที่แต่ละคนใช้เวลาไม่นานนัก อารัณย์จัดแจงหายาแก้ไข้ให้รพีกินตั้งแต่ตอนอยู่ข้างในหลังจากที่เด็กชายกินฮอทดอกที่เหลือไวครึ่งหนึ่งด้วยความหิว จึงมีเพียงแค่เขากับร่างสูงเท่านั้นที่ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องหลังจากฮอทดอกตอนมื้อเที่ยง

 

“แวะหาอะไรกินก่อนไหม”

 

รัตติกาลเอ่ยขึ้นโดยไม่ละสายตาออกจากถนน

 

“มึงหิว?”

 

“อืม จะได้แวะซื้อของฝากแล้วขับยาวเข้ากรุงเทพทีเดียว”

 

“เอางั้นก็ได้ ขับเลยเขาตะเกียบไปหน่อยจะมีพวกร้านอาหารอยู่”

 

ร่างโปร่งพยักหน้ารับรู้ เขาพารถบุโรทั่งของอารัณย์ไปตามทางด้วยความเร็วที่ไม่มากนักเพราะการจราจรที่ถึงแม้จะไม่ติดขัดก็ไม่คล่องตัวขนาดที่สามารถเหยียบคันเร่งเต็มที่ได้ เมื่อเลยเขาตะเกียบมาได้ไม่ไกล รัตติกาลก็สังเกตเห็นร้านอาหารทะเลสร้างไว้เรียงกันตลอดข้างทาง ลูกจ้างที่ทนตากแดดตากลมมาตลอดทั้งวันยืนโบกเรียกรถที่ขับผ่านไปมาให้เข้าร้านของตนด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า เด็กวัยรุ่นผิวดำแดงคนหนึ่งทำสีหน้าแช่มชื่นขึ้นเมื่อรถของอารัณย์กำลังเลี้ยวเข้ามาที่ร้านของตัวเอง

 

“จอดเลยพี่! กี่ที่ครับ!”

 

“ผู้ใหญ่สอง เด็กหนึ่ง คนเยอะไหมน้อง”

 

“เยอะพี่ แต่พ่อครัวผมเยอะกว่า ลงเลยๆรับรองว่าอร่อยสุดในแถบนี้แล้ว!”

 

เด็กโบกรถยิ้มให้จนรัตติกาลเห็นฟันขาวๆของอีกฝ่ายเต็มปาก ร่างโปร่งยิ้มตอบอย่างเป็นมิตรก่อนทั้งหมดจะพากันลงจากรถแล้วเดินเข้าไปในร้านโดยมีเด็กเสิร์ฟสาวนำทางไปนั่งด้านใน

 

“น้อง ขอเก้าอี้ให้เด็กตัวหนึ่ง”

 

อารัณย์บอกกับเด็กเสิร์ฟผู้ชายที่เดินสวนมา พี่เลี้ยงหนุ่มยังคงอุ้มประคองรพีที่เหมือนยังไม่ตื่นนอนดีไว้ในอ้อมแขน รัตติกาลจึงยืนอ่านเมนูด้วยไม่นั่งลงไปก่อนจนเก้าอี้ที่ขอไปจะถูกเปลี่ยนให้

 

ร่างป้อมที่เพิ่งถูกปลุกจากความฝันเมื่อได้กลิ่นเกลือทะเลและกลิ่นหอมของอาหารก็เริ่มตื่นเต็มตา นิ้วเล็กๆจิ้มชี้ไปตามเมนูไม่หยุดจนรัตติกาลต้องหันไปบอกเด็กเสิร์ฟให้จดออร์เดอร์ตามคำบอกของเขาเท่านั้น

 

“พีอยากกินอันนี้”

 

เด็กชายชี้ไปยังรูปปูผัดผงกะหรี่จานใหญ่ เพียงเพราะสีสันที่ดูน่าทานทั้งที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร รัตติกาลคิดอยู่สักพักก่อนจะสั่งไปตามที่รพีต้องการโดยไม่ลืมกำชับว่าไม่เอารสจัดมาก อารัณย์ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามสองพ่อลูกละสายตาที่มองดูอาการของคนทั้งสองก่อนจะลงมือสั่งของที่ตัวเองอยากกิน รอไม่นาน ทั้งปูผัดผงกะหรี่ ทะเลเผา ต้มยำโป๊ะแตก ห่อหมกทะเล และกุ้งชุบแป้งทอดก็ถูกลำเลียงมาวางไว้เต็มโต๊ะเร็วเหมือนที่เด็กโบกรถคนนั้นโม้ เหลือแต่เพียงรสชาติเนี่ยแหละที่ยังต้องพิสูจน์

 

“พ่อกาล อันนี้กินยังไงฮะ”

 

หลังจากจดๆจ้องๆอยู่นาน รพีก็เอ่ยปากถามบิดาถึงวิธีกินเมนูปูที่ตัวเองสั่ง ร่างโปร่งเผลอยิ้มอ่อนๆ ยังดีที่เขาคิดเผื่อไว้แล้วว่าเจ้าตัวป้อมนี่คงแกะปูไม่เป็นจึงจัดการสั่งเป็นปูนิ่มมาให้แทน

 

“อันนี้เขาเรียกปูนิ่ม กินได้ทั้งตัว แต่ถ้าเป็นจานนั้นต้องแกะกระดองออกก่อนถึงจะกินเนื้อข้างในมันได้”

 

รพีพยักหน้าแล้วลงมือทานปูนิ่มในจานตามที่พ่อบอก กลิ่นเครื่องเทศที่ไม่ฉุนมากส่งกลิ่นตลบอบอวนเข้ากันได้ดีกับความมันของเนื้อปูจนอดไม่ได้ที่จะอมยิ้มทั้งที่ของกินอยู่เต็มปาก อารัณย์ยิ้มตามเมื่อเห็นภาพนั้นก่อนจะรีบเปลี่ยนเป็นตีหน้านิ่งเหมือนเดิมเมื่อรัตติกาลเงยหน้าขึ้นมามองพอดี

 

ร่างโปร่งพอเห็นรอยยิ้มของอารัณย์ก็เพิ่งรู้ตัวว่าเผลอเอาใจใส่รพีเกินความจำเป็นอีกแล้ว คนมีชนักติดหลังพยายามปลอบใจตัวเองว่าการทำดีด้วยนี้ก็เป็นไปเพื่อแผนการขั้นแรกที่เขายังไม่พอใจกับผลของมัน เด็กชายจัดการเนื้อปูและกุ้งชุบแป้งทอดที่อารัณย์ตักเพิ่มให้จนหมดแล้วนั่งคิดว่าจะกินอะไรต่อ รพีมองกราดไปทั่วโต๊ะจนสายตาไปหยุดเข้าที่ปูเผาตัวใหญ่ซึ่งพ่อกาลบอกว่าต้องแกะเปลือกมันก่อนถึงจะกินได้

 

รพีเอื้อมสุดแขนหยิบเอาปูเผาตัวโตที่ล่อตาล่อใจมาวางไว้บนจานของตัวเอง มื้อเล็กๆไร้เรี่ยวแรงพยายามแงะกระดองที่ทั้งแข็งและร้อนอย่างไม่รู้ประสาอยู่นานก็ไม่มีทีท่าว่าเจ้ากระดองที่ว่าจะหลุดออกจากกันให้เห็นเนื้อ

 

“คุณพ่อ...พีแกะไม่เป็น”

 

เด็กชายร้องเรียกบิดาอย่างยอมแพ้ รัตติกาลที่มองอยู่นานหัวเราะออกมาเบาๆนึกถึงไปตอนตัวเองพยายามแกะปูเองครั้งแรกก็มีสภาพไม่ต่างจากรพีเลยสักนิด ร่างโปร่งกำลังจะหยิบเอาปูเจ้าปัญหาไปแกะให้แต่ก็ไม่ทัน ชายหนุ่มที่นั่งทานเงียบๆอยู่ฝั่งตรงข้ามคว้าเอาก้ามปูที่ชูอยู่ไว้ได้ก่อนเขา อารัณย์ลงมือแกะกระดองและก้ามออกอย่างคล่องแคล้วทำเอารพีร้องอู้อ้าออกมาด้วยความตื่นเต้น

 

“นี่ครับพี เนื้อปู”

 

เนื้อปูสีขาวนวลและไข่ปูร้อนๆถูกวางลงบนจานให้เด็กชาย รพียกมือขึ้นไหว้ขอบคุณก่อนจะเอาเข้าปากโดยไม่ใส่น้ำจิ้มใดๆตามคำแนะนำของคนแกะแล้วเจ้าตัวยุ่งก็ได้กินไปอมยิ้มไปอีกครั้งเพราะความอร่อยที่ไม่แพ้ปูผัดที่กินไปก่อนหน้านี้เลย

 

รัตติกาลลอบกลืนน้ำลายตามเมื่อเห็นท่าทางเคลิบเคลิ้มของคนที่ได้ลิ้มรสปูเผาเป็นครั้งแรก ชายหนุ่มหันไปมองปูเผาที่ยังเหลืออยู่ในจานอีกเพียงหนึ่งตัวหลังจากโดนจัดการไปแล้วสอง รัตติกาลเตรียมจะคว้าเอามันมาใส่จานตนเองแต่ก็ต้องถูกเจ้าคนมือไวคนเดิมชิงตัดหน้าไปอีกครั้ง

 

ชายหนุ่มอ้าปากค้าง เมื่อเจ้าก้ามสีส้มอมน้ำตาลที่อยู่แค่เอื้อมหายไปต่อหน้าต่อตาเขาหลงเหลือไว้เพียงจานว่างเปล่าและซากกระดองที่ถูกกินซะเรียบ รัตติกาลเสหน้าหันไปมองทะเล ไม่อยากหันไปสบตาอีกฝ่ายให้เสียอารมณ์ เขาเป็นผู้ใหญ่พอที่จะไม่ร้องโวยวายเพราะถูกแย่งของกิน กะอีแค่ปูตัวเดียวไม่เห็นจะต้องเสียใจมากมาย รัตติกาลบอกตัวเองอย่างนั้นแล้วหันไปซดน้ำโป๊ะแตกร้อนๆแก้เก้อ ก่อจะสะดุ้งน้อยๆเพราะลืมเป่าเอาไอร้อนออกไปก่อน

 

“หึหึ”

 

เจ้าโจรมือไวหัวเราะเยาะเขา รัตติกาลเม้มปากที่ขึ้นสีแดงอย่างเจ็บใจแล้วตักข้าวขาวคำโตเข้าปากเพื่อแก้อาการเผ็ดร้อน รสชาติจืดสนิทของข้าวไม่ได้ทำให้ใจเขาสงบลง ชายหนุ่มเคี้ยวข้าวอยู่สักพักแต่ก่อนที่เขาจะกลืนมันลงท้องไป เนื้อปูสีขาวและไข่สีส้มทองสะท้อนกับแสงไฟก็ลอยมาอยู่ตรงหน้า

 

 

“แดกดิ”

 

 

“...”

 

 

“เร็วๆ จะแดกไม่แดก”

 

 

ไม่รอให้พูดซ้ำสอง รัตติกาลประคองปูชิ้นใหญ่จากช้อนของอีกฝ่ายลงบนจานของตัวเอง เขาได้ยินเสียงอารัณย์หัวเราะอีกครั้ง แต่คราวนี้น้ำเสียงนั้นกลับนุ่มนวลอย่างน่าประหลาดจนไม่อยากเชื่อว่ามันเป็นเสียงของอารัณย์จริง

 

รัตติกาลเปรยตามองคนตรงหน้าสลับกับเนื้อปูในจาน พี่เลี้ยงหนุ่มไม่ได้พูดอะไร ชายหนุ่มลงมือแทะก้ามปูที่เนื้อน้อยกว่าไม่แม้แต่จะหันมามองเขาอีก เช่นเดียวกับรัตติกาลที่ราดน้ำจิ้มซีฟู๊ดลงบนเนื้อขาวแล้วตักมันเข้าปากเช่นกัน

 

 

“...”

 

 

“ขอบใจ...”

 

 

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

คุยกับเช่!!

เป็นตอนที่ขัดใจมากกก เขียนแก้เขียนแก้เป็นร้อยรอบเลยคับ (ตอนทำหนังสืออาจจะต้องรีไรท์ใหม่) บอกแล้วว่าไม่ถนัดซีนฟิลกู๊ด 5555555 แต่พอเนื้อเรื่องดำเนินไปแบบนี้เช่ก็รู้สึกดีนะ อะไรๆดีขึ้นนิดหน่อยแล้ว คำถามที่คนอ่านถามมาหลายอย่างคงได้เริ่มคลี่คลายบ้างแล้วหลังจากนี้ หวังว่ากาลของเช่จะถูกด่าน้อยลง =w=  :sad4:

ขอบคุณทุกเม้นท์ทุกโหวตนะคับ ดีใจที่มีคนให้ความสนใจเรื่องนี้มากขึ้นเรื่อยๆ แต่มันก็มาพร้อมกับความกดดันที่มากขึ้นเช่นกัน แต่ก็นะเช่ก็ยืนยันคำเดิมว่าคงจะทำไปตามแนวของตัวเอง หวานน้อยหวานช้าหน่อยก็อดทนกันนะคับ ช่วงนี้คงไม่อัพถี่เหมือนเดิมแต่จะพยายามรักษาระดับคุณภาพไว้ให้ได้นะ  :mew1:


ออฟไลน์ kanomjeeb

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 101
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ไม่แย่นะคะ ให้ฟิลเรื่อยๆดีแต่เราแอบกลัวความเรื่อยๆของคนเขียนนี่แหละ

อ่านเรื่องนี้เหมือนต้องระแวงหลังอยู่ตลอดเวลา

กาลน่ารักมากกกกกกก คือถ้าไม่มีเรื่องพวกนี้กาลคือสุดยอดคุณพ่อได้เลยนะ

ลืมๆความแค้นไปบ้างก็ได้กาล รักรพีให้มากๆอยู่กับปัจจุบันนะ

ออฟไลน์ kdds

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
อยากเห็นแผนการของกาลต่อไป ไม่ชินความหวานในเรื่องนี้555

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7524
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
ฮั่นแหนะ!! เริ่มมีใจไม่รู้ตัวปะนะ

ออฟไลน์ ฉันเอง

  • สิ่งที่เป็นไปไม่ได้นั่นแหละที่เป็นไปไม่ได้
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 70
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ชอบบค้า
อยากทราบว่าคนเขียนมีผลงานเรื่องอื่นอีกไหมคะจะได้ตามไปอ่าน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
ชอบบค้า
อยากทราบว่าคนเขียนมีผลงานเรื่องอื่นอีกไหมคะจะได้ตามไปอ่าน


เรื่องนี้เป็นวายไทยเรื่องแรกคนับ แต่เคยแต่งแฟนฟิคเมื่อประมาน6ปีที่แล้ว  :hao3:

ซึ่ง... ขอไม่บอกนามปากกาเดิมนะคนับ ฮ่าๆๆๆ พอหันมาเขียนวายไทยเช่เลยลาชื่อเดิมมาเลย

ไม่อยากกินบุญเก่าคับ แต่ที่สำคัญคือ.... กลัวโดนทวง  :hao5: :z3: (ทิ้งมา6ปี ปัจจุบันยังทวงกันอยู่เลย อึดไปแล้ว!)

จริงๆนิยายเรื่องนี้ เช่เอาแฟนฟิคที่เขียนค้างไว้มา Renovate ใหม่คับ แต่งของเดิมต่อไม่ได้เพราะข้อจำกัดของแฟนฟิคนั่นแหละ

ห่างงานเขียนมานานขนาดนี้ ฝีมือขึ้นสนิมไปหมดแล้วด้วย ไม่ต่างจากมือใหม่หรอกคับ (เด็กเดี๋ยวนี้เก่งมากจนน่าตกใจ :mew1:)

สรุปคือ ปัจจุบันมีไนท์แมร์ให้อ่านอยู่เรื่องเดียวนี่แหละคับบบบบ  :-[

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
 

23rd Night

…Habitude...



 

“พี่กาลกินข้าวได้แล้วครับ กำลังร้อนๆเลย”

 

ปูนในชุดนักศึกษาสวมทับด้วยผ้ากันเปื้อนสีอ่อนตะโกนเรียกนักบริหารหนุ่มที่กำลังจดจ่ออยู่กับรายงานสรุปที่ธิชานำมาให้ตั้งแต่เช้าจนไม่รับรู้สรรพสิ่งรอบตัว เด็กหนุ่มส่ายหัวอย่างอ่อนใจ เขาถอดผ้ากันเปื้อนวางพาดไว้บนโต๊ะตัวเล็กแถวๆนั้นก่อนจะเดินไปหารัตติกาลที่เอาของฝากจากหัวหินมาให้และมานำรถของตนกลับ

 

หลังจากอาหารมื้อนั้นจบลง รัตติกาลก็ยังคงเป็นฝ่ายขับรถพาทั้งสามชีวิตกลับมาสู่กรุงเทพได้โดยสวัสดิภาพ จันทร์ที่อยู่รอขอบคุณอารัณย์เสียยกใหญ่ พี่เลี้ยงหนุ่มระบายยิ้มเป็นมิตรให้เช่นเคยก่อนขอตัวกลับไปนอนพักที่ห้องของตัวเอง โดยไม่ได้บอกลาเจ้าของบ้านซึ่งกำลังยืนประคองกอดลูกชายไว้ในอ้อมแขนอยู่ไม่ไกล ทั้งคู่สบตากันท่ามกลางความเงียบเหมือนดังเช่นช่วงเวลาที่พวกเขาอยู่ด้วยกันในห้องโดยสารเล็กๆ รัตติกาลเป็นฝ่ายหลบฉากกลับเข้าไปในบ้านก่อน ทิ้งให้อารัณย์จากไปพร้อมกับรถคันเก่งที่เครื่องยนต์ของมันส่งเสียงคำรามส่งท้าย

 

“พี่ครับ กินข้าวกัน”

 

ร่างเล็กพูดขึ้นอีกครั้งพร้อมกับแตะเบาๆบนไหล่กว้างที่เหยียดตรงจนดูเครียดขึง รัตติกาลเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสารสบตากับเด็กหนุ่มที่มักมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าเสมอผ่านกรอบแว่น นัยน์ตาสีอ่อนสะท้อนความเหนื่อยล้าแต่สีหน้ายังคงแสดงความอ่อนโยนไว้เช่นเคย

 

“เสร็จนานแล้วหรอ”

 

“ปูนเพิ่งผัดฉ่าเสร็จพอดี เมื่อกี้ก็เรียกแล้วแต่พี่ไม่ได้ยิน”

 

“หรอ? ขอโทษที ไปกินข้าวเถอะ”

 

ปูนส่ายหน้าเพื่อบอกว่าไม่เป็นไร ทั้งสองคนพากันมานั่งล้อมโต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็กที่มีอาหารฝีมือเด็กหนุ่มวางอยู่พร้อมกับข้าวสวยร้อนๆสองจาน ซึ่งล้วนแต่ทำมาจากวัตถุดิบทะเลที่รัตติกาลซื้อมาจากร้านที่แวะทานข้าวก่อนกลับเข้ากรุงเทพนั่นแหละ ร่างโปร่งตักไข่เจียวปูให้ปูนเป็นการเริ่มต้นมื้ออาหาร ทั้งคู่ทานอาหารท่ามกลางความเงียบเหมือนเช่นทุกครั้ง โดยมีเสียงนุ่มๆเด็กหนุ่มพูดคั่นขึ้นข้างเป็นบางครั้ง

 

“งานด่วนหรอครับ”

 

“เปล่าหรอก แค่รายงานประจำเดือนน่ะ แต่ต้องคอยเช็คให้ดี”

 

“งานยุ่งเหมือนกันนะครับนักธุรกิจเนี่ย นึกว่าจะแค่นั่งเซ็นเอกสารเฉยๆเหมือนที่เห็นในละครซะอีก”

 

รัตติกาลยิ้มมุมปาก ตอนที่เขาอายุเท่ากับร่างเล็กก็เคยมีความคิดที่ผิดเพี้ยนคล้ายๆกัน พ่อแม่ของรัตติกาลมีธุรกิจส่วนตัวแม้ว่าจะเป็นครูอาจารย์กันทั้งคู่ และเพราะเข้าใจในธรรมชาติของลูกชายเพียงคนเดียวรัตติกาลจึงเติบโตมาโดยไม่เคยเข้าไปมีส่วนรับผิดชอบในธุรกิจของครอบครัวเลยสักครั้ง

 

ชายหนุ่มเลือกเรียนในสิ่งที่ตนเองชอบโดยได้รับการสนับสนุนเต็มที่จากคนที่ตนรักทั้งสอง แม้จะมีความกังวลอยู่บ้างเรื่องงานที่ต้องสานต่อ แต่ทั้งพ่อและแม่ของรัตติกาลก็เชื่อว่าสักวันเมื่อลูกชายมองโลกได้กว้างพอ ร่างโปร่งจะยินดีเดินเข้าสู่เส้นทางนี้ด้วยความเต็มใจ แต่สังขารและเวลาไม่เคยรั้งรอ ในวันที่บุพการีจากโลกนี้ไปภาระทุกอย่างก็ถูกส่งต่อมาถึงมือรัตติกาลที่ต้องแบกรับมันไว้ด้วยกำลังของตัวเองเพียงลำพัง...และความจริงนั้นก็ไม่ได้สวยงามอย่างที่เขาเคยคิด

 

 “ถ้ามันง่ายแบบนั้นก็ดีสิ”

 

“เหนื่อยมากหรอครับ”

 

“เบื่อมากกว่า”

 

เด็กหนุ่มมองคนที่ตนรักด้วยความสงสัย แต่ท่าทีที่บ่งบอกว่าไม่อยากให้ถามอะไรปูนจึงปิดปากเงียบแล้วตักอาหารใส่จานให้รัตติกาลอย่างเอาใจตลอดมื้ออาหาร แม้จะเสนอตัวเป็นคนล้างจานให้แต่ปูนก็ยังคงยืนยันว่าจะจัดการทุกอย่างด้วยตัวเองเพื่อเป็นการตอบแทนตามที่ตั้งใจไว้ รัตติกาลจึงมานั่งรับลมที่ระเบียงให้แท่งนิโคตินในมือพัดพาความเหนื่อยล้าออกไปบ้าง ชายหนุ่มปล่อยให้เวลาหมุนไปช้าๆ พยายามให้หัวสมองว่างเปล่ารอให้ถึงเวลาที่จะเดินทางไปรับรพีที่โรงเรียน

 

 

ก๊อกๆๆ

 

 

เสียงเคาะประตูดังขึ้นปลุกรัตติกาลออกจากภวังค์ ชายหนุ่มมองไปที่ประตูด้วยความสงสัย โดยที่เจ้าของห้องกำลังฮัมเพลงไปด้วยล้างจานไปด้วยจึงไม่ได้ยินอย่างที่เขาได้ยิน ร่างโปร่งเดินกลับเข้าไปด้านในห้องยืนพิงกำแพงส่วนที่ติดกับครัวแล้วพูดบอกร่างเล็กที่หันกลับมามองเมื่อสังเกตเห็นเงาของรัตติกาล

 

“ปูน เมื่อกี้มีคนมาเคาะห้อง”

 

“หรอครับ ปูนไม่เห็นได้ยินเลย”

 

 

 

ก๊อกๆๆ

 

 

เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีก ร่างเล็กที่ครั้งนี้ก็ได้ยินเช่นกันมองมือเปื้องฟองของตัวเองอย่างหนักใจ รัตติกาลเห็นดังนั้นจึงยกมือขึ้นขยี้หัวกลมของเด็กหนุ่มเบาๆ แล้วอาสาเป็นผู้เปิดประตูให้แทน

 

“มาหาใครครับ”

 

ชายแปลกหน้ากำลังมองรัตติกาลอย่างสำรวจ ผมสีเข้มที่ถูกตัดจนสั้นแซมประปรายด้วยสีดอกเลาไม่ได้ทำให้คนตรงหน้าดูมีอายุจนเกินไป ใบหน้าที่มีริ้วรอยพอประมานนิ่งอึ้งไปสักพักเมื่อต้องเผชิญกับคนไม่คุ้นหน้าก่อนอีกฝ่ายจะยกยิ้มละไมมาให้อย่างมีไมตรี

 

“นี่ใช่ห้องของปูนรึเปล่าครับ”

 

“ครับ แล้วนี่คุณ...”

 

“ผมเป็นลุงของปูนครับ”

 

ชายมีอายุบอกกับรัตติกาลเช่นนั้นก่อนจะมองเลยไปทางด้านหลัง ซึ่งเจ้าของห้องที่เพิ่งจัดการล้างไม้ล้างมือเสร็จกำลังเดินเข้ามาเพื่อดูว่าใครเป็นแขกของตน

 

“คุณลุง...”

 

“ว่าไงปูน มัวทำอะไรอยู่ถึงต้องให้แขกมาเปิดประตูให้”

 

คำติที่เจือไปด้วยน้ำเสียงเอ็นดูถูกเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าอ่อนโยนของผู้มาใหม่ ปูนพนมมือไหว้ญาติของตัวเองแล้วรีบเดินแทรกเข้าไปรับถุงกระดาษสองถุงใหญ่ซึ่งบรรจุขนมไทยต่างๆไว้จนเต็มโดยมีรัตติกาลคอยให้ความช่วยเหลือภายใต้สายตาที่มองมาด้วยความสงสัยอย่างปิดไม่มิด

 

“ลุงครับ นี่ รัตติกาล...รุ่นพี่ของปูนเอง”

 

“สวัสดีครับ”

 

รัตติกาลไม่ได้นึกตำหนิเด็กหนุ่มที่แนะนำเขาไปในฐานะนั้น ความสัมพันธ์คลุมเครือที่เชื่อมพวกเขาไว้ด้วยกิเลสนั้นไม่มีชื่อเรียกและคงดีแล้วที่เป็นเช่นนั้น ชายหนุ่มยกมือไหว้คนที่มีศักดิ์เป็นอาของเด็กหนุ่มตามมารยาท โดยที่อีกฝ่ายทำเพียงพยักหน้ารับรู้แล้วหันไปพูดกับหลานของตนต่อ

 

“ไม่เคยเห็นเราเล่าให้ฟังเลย”

 

“ปูนมารู้จักกับพี่เขาตอนทำงานที่ร้าน เลยไม่ได้เล่าให้ลุงฟัง”

 

“ร้าน? นี่ยังไม่เลิกทำงานในที่แบบนั้นอีกหรอ”

 

“คือปูน...”

 

“เข้าไปนั่งคุยกันในห้องเถอะครับ ปูน เดี๋ยวพี่กลับเลยแล้วกัน”

 

รัตติกาลไม่รอให้ปูนเถียง เขาแตะข้อศอกเด็กหนุ่มที่กำลังทำสีหน้าลำบากใจพร้อมกับบอกเบาๆว่าไม่เป็นไร ร่างโปร่งจัดการหยิบของๆตนเองที่มีไม่มาก รวมถึงบุหรี่และกุญแจรถมาถือไว้ รัตติกาลไหว้ลุงของร่างเล็กอีกครั้งเพื่อบอกลาพร้อมกับรอยยิ้มการค้าที่ถูกส่งไปให้หวังจะบรรเทาความอึดอัดที่เกิดขึ้นในห้องๆนี้

 

“เดี๋ยวปูนโทรหานะครับ”

 

ปูนผละออกมายืนส่งเขาที่ประตูโดยมีสายตาของผู้เป็นลุงมองมาไม่ห่าง

 

“อืม คุยกับลุงดีๆล่ะ มีอะไรให้พี่ช่วยก็บอก”

 

“ครับ...ขอโทษด้วยนะ”

 

“อย่าคิดมาก”

 

 

เขาส่งยิ้มให้เด็กหนุ่มอีกครั้งก่อนจะเดินจากมา สีหน้าลำบากใจของปูนทำให้รัตติกาลนึกเป็นห่วงแต่ก็ทำอะไรมากไปนี้ไม่ได้ ร่างโปร่งไม่รู้ว่าที่บ้านของปูนทราบรสนิยมของร่างเล็กหรือไม่เพราะปูนเองก็ไม่เคยพูดเรื่องครอบครัวให้เขาฟังสักครั้ง ถึงจะไม่อยากอยากเข้าไปก้าวก่ายชีวิตของอีกฝ่ายแต่ก็ยังเป็นกังวลอยู่ดี

 

 

 

รัตติกาลพาร่างของตนเองมายังรถยนต์ที่จอดไว้เรียบร้อยไร้รอยขีดข่วน แต่สิ่งที่ดึงความสนใจของร่างโปร่งมากกว่ากลับเป็นเจ้ากระป๋องวิ่งได้ที่จอดอยู่ข้างกันด้วยความบังเอิญ รถตู้โฟล์คสีเขียวไข่กามีรอยขีดข่วนอยู่บ้างตามการใช้งานที่ยาวนาน ยางปัดน้ำฝนที่เริ่มสึกส่งเสียงเอี๊ยดอาดเป็นจังหวะดังแทรกขึ้นแข่งกับเสียงฝนที่ตกกระทบหลังคา ภาพของรพีที่หลับใหลอยู่ในอ้อมกอดของชายคนนั้น ผู้กำลังเหม่อมองทุ่งหญ้าและต้นไม้ใหญ่ข้างทางผ่านความมืดมิดและสายฝนที่โปรยปราย รัตติกาลประคองพวงมาลัยต่อไปเรื่อยๆโดยไม่ปริปาก จนกระทั่งเสียงทุ้มไร้ความส่อเสียดดังขึ้น

 

 

“วันนี้มึงมีความสุขบ้างไหมวะ”

 

“...”

 

 

“กูไม่เข้าใจ...คิดยังไงก็คิดไม่ออก เพราะต้องหยุดมึง กูต้องคิด...คิดไปเรื่อยๆ แต่สุดท้ายกลายเป็นกูเองที่สับสน จนไม่อยากคิดอะไรแล้วตอนนี้...”

 

“...”

 

“มึงแสร้งทำดีกับรพีแต่กลับไม่ใช่ทุกครั้ง รอยยิ้มจอมปลอมของมึงมันเศร้าแต่รอยยิ้มจริงๆของมึงก็ให้ความรู้สึกไม่ต่างกัน ทั้งที่บอกว่าเกลียดแต่มึงกลับเป็นห่วงคนที่อยากทำลาย มึงไม่สับสนบ้างหรอวะ แม้แต่กูยังสับสนเลย...ว่าควรหยุดมึงไว้หรือแค่รอไปเรื่อยๆจนกว่าอะไรจะดีขึ้น”

 

“คุณ...ควรเลิกยุ่งเรื่องนี้สักที”

 

รัตติกาลตอบไปพร้อมกับกำพวงมาลัยให้แน่นขึ้น อารัณย์หัวเราะออกมาเบาๆ ด้วยเสียงที่ไม่ได้ฟังดูขัดหูเหมือนเช่นทุกครั้ง

 

“คิดว่ากูไม่อยากทำรึไง เรื่องครอบครัวมึงมันโคตรวุ่นวาย รพีโชคดีที่วันนั้นได้กูช่วยไว้ แต่กูแม่ง...โคตรซวย ทั้งเกือบโดนจับ ทั้งโดนมึงต่อย ไหนจะต้องช่วยคนที่มึงไปกระทืบเขาไว้อีก ที่หนักสุดก็คือเรื่องของมึงกับรพี”

 

“ถ้าอยากโชคดีบ้างก็เลิกใจดีไปทั่วซะ ยอมรับเถอะว่าคุณช่วยใครไม่ได้ มีชีวิตของตัวเอง ไม่ต้องสับสนวุ่นวายเพราะใครอีก”

 

“ถ้าทำอย่างที่ว่ากูคงสบาย แต่กลายเป็นรพีที่ลำบาก...แม้แต่มึงก็ด้วย”

 

“...ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของพวกผมสองคนเถอะครับ”

 

“มันไม่ใช่เรื่องของมึงแค่สองคน...พ่อของรพี...คนที่มึงไม่ยอมพูดถึง...อย่างน้อยก็ต้องนับเขาเข้าไปด้วย”

 

“ผมบอกแล้วว่ามันเป็นเรื่องเหลวไหล...ผมเป็นพ่อของรพี...เป็นมาตลอดและจะเป็นตลอดไป”

 

“ถ้าอย่างนั้นแม่ของเด็กนี่อยู่ที่ไหน”

 

“...ผู้หญิงคนนั้น...ไม่อยู่แล้ว”

 

เสียงของรัตติกาลเรียบนิ่งไร้ความไขว้เขว เขาไม่ได้โกหกเพียงแต่คายความจริงออกมาไม่หมดเท่านั้น

 

“กูคงถามผิด งั้นกูจะถามใหม่...แม่ของรพีคือใคร”

 

“ไม่มีความจำเป็นที่ผมต้องตอบ”

 

“จำเป็นสิ อย่างน้อยถ้ามันมีน้ำหนักพอกูคงเลิกยุ่งเรื่องของมึงไปเอง”

 

“...”

 

“ว่าไง ตอบได้รึเปล่า”

 

“ผมเคยนอนกับเธอแต่พลาด...เรามีรพีด้วยความไม่ตั้งใจ ผมเป็นฝ่ายเก็บเด็กไว้ส่วนเธอไปมีชีวิตใหม่ ก็แค่นั้น...”

 

“ที่มึงตอบว่าเขาไม่อยู่แล้วเป็นความจริง...แต่คำตอบสุดท้ายเป็นเรื่องโกหก”

 

ใบหน้าที่เหม่อมองความมืดหันกลับมามองรัตติกาลพร้อมกับรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเอ็นดูเหมือนตอนที่ผู้ใหญ่จับได้ว่าเด็กน้อยกำลังทำผิด

 

“ไม่มีเหตุผลที่ผมจะต้องโกหก”

 

“มีสิ...มีอยู่แล้ว เพียงแต่กูไม่รู้เท่านั้น”

 

“...”

 

“มึงเคยเห็นคนโดนมีดแทงไหม”

 

อารัณย์หันกลับไปมองยังถนน ลูบแผ่นหลังเล็กของคนในอ้อมกอดเบาๆ ปลอบให้เด็กชายที่กระสับกระส่ายเพราะเสียงรบกวนสงบลงอีกครั้ง

 

“เวลาคมมีดแทงทะลุเข้าไปในเนื้อ สิ่งที่เราจะทำมีอยู่แค่สองอย่าง ถ้าไม่ดึงมันออก...ก็ต้องกดมันไว้”

 

“ถ้าดึงมันออก...ก็อาจจะต้องตาย”

 

 “แต่การเก็บมันไว้...ก็แค่ประวิงเวลา”

 

“...”

 

“มึงคิดจะใช้ชีวิตทั้งที่คมมีดปักอยู่คาหัวใจไปถึงเมื่อไหร่”

 

“ก็คง...จนกว่าผมจะตาย”

 

รัตติกาลหยุดคิด เขาไม่ตอบส่งๆไปเหมือนเช่นทุกครั้งเพราะจับความจริงจังในน้ำเสียงของอารัณย์ได้ ชายคนนี้ดูออก...ว่าภายใต้เกราะหนาที่เขาใช้ปกป้องตัวเองมีอะไรซ่อนไว้ อาจจะไม่ใช่ทั้งหมดแต่ก็มากพอที่จะสั่นคลอนความมั่นใจจนสีหน้าที่เคยเรียบนิ่งสะท้อนความโศกเศร้าออกมาให้เห็น

 

 “มึงมันบ้า”

 

“อย่างน้อย...ก็ยังดีกว่าต้องตายในตอนนี้”

 

“ถ้าเสี่ยงดึงมีดออก มึงอาจจะรอด”

 

“ก็แค่อาจจะ แม้แต่คุณก็ไม่มีความมั่นใจที่จะทำมันใช่ไหมล่ะ”

 

รัตติกาลแตะเบรก รถที่เคลื่อนตัวอยู่ค่อยๆชะลอตัวลงก่อนจะจอดนิ่งอยู่ข้างทาง ชายหนุ่มหันไปสบตากับอารัณย์ที่มองมาอยู่ก่อนแล้ว น้ำเสียงที่เคยฟังดูแข็งขืนกลับเจือไปด้วยความเย้อหยันในตนเอง

 

“คุณจะคิดจะพูดยังไงก็ได้ เพราะสุดท้ายคนที่ต้องตายก็ไม่ใช่คุณ”

 

“...”

 

“ต่อให้มันน่าสมเพชขนาดไหนก็ช่าง ในเมื่อยังมีสิ่งที่ผมต้องทำ ผมก็จะซื้อมันไว้...เวลาที่จะต้องตายน่ะ ผมจะเลือกมันให้ตัวเอง”

 

“กู...จะไม่ให้มึงตาย”

 

“...!”

 

อารัณย์ใช้มือข้างหนึ่งทาบทับลงไปบนมือของรัตติกาลที่กำลังกำพวงมาลัยแน่น ความอบอุ่นนั้นไม่เหมือนกับมือของเขา สัมผัสที่ได้รับสร้างทั้งความสับสนและตื้นตันในหัวใจทั้งที่ไม่อยากจะยอมรับ ชายหนุ่มพยายามปัดมือของอีกฝ่ายออกแต่อารัณย์กลับยิ่งกระชับมันไว้แน่น รัตติกาลละความพยายามแล้วหันมามองอีกฝ่ายด้วยความไม่เข้าใจ แต่คำตอบที่ได้มีเพียงภาพของคนที่ครั้งหนึ่งเคยบอกว่าเกลียดชังตัวเขากำลังใช้ดวงตาที่สงบนิ่งสบกลับมาเท่านั้น

 

“ตัวเลือกที่มึงไม่ได้เลือก กูจะบังคับให้มึงเลือก ไม่ว่ามีดที่ปักอกมึงอยู่จะลึกแค่ไหนกูจะดึงมันออกมา มึงอาจจะต้องเจ็บเจียนตาย แต่มึงจะไม่ตาย...จำไว้รัตติกาลว่ามึงจะต้องรอด”

 

“...”

 

“เชื่อใจกูสิ”

 

อารัณย์พูดทิ้งไว้แค่นั้นก่อนจะปล่อยมือของเขาให้เป็นอิสระ รัตติกาลขับรถต่อจนกลับมาถึงบ้านโดยไม่มีใครพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นอีก รัตติกาลรู้สึกว่าตัวเองทำพลาด คำพูดที่คาดไม่ถึง จากคนที่ไม่เคยรู้อะไรสร้างความสั่นไหวให้หัวใจเขาอย่างประหลาด เส้นทางมืดมิดที่เคยเดินอยู่เพียงลำพัง กลับปรากฏทางแยกเล็กๆที่เต็มไปด้วยหมอกขาวทำให้ไม่รู้ว่ามันจะไปบรรจบที่ตรงไหน ความลังเลเกิดขึ้นเพียงชั่วขณะแต่กลับตราตรึงเขาไว้ที่ปากทางนั้นด้วยคำเพียงหนึ่งคำ

 

 

‘เชื่อใจ’

 

 

ไม่รู้ว่าหมอนั่นกำลังคิดอะไรอยู่ถึงได้กล้าขอให้เขาเชื่อใจทั้งที่ไม่มีหลักประกันอะไรสักอย่าง สถานะระหว่างเขาทั้งสองเป็นเพียงผู้ล่าและเหยื่อโดยมีรพีเป็นตัวกลาง เท่านั้น อารัณย์ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังขอสิ่งที่เป็นไปไม่ได้มากที่สุดจากรัตติกาล ยิ่งกว่าขอความรักหรือชีวิต คำว่าเชื่อใจสำหรับเขาแล้วเป็นมากกว่าทุกสิ่ง และเป็นคำที่ทำให้เขาเจ็บเจียนตายมาถึงทุกวันนี้

 

ตั้งแต่วันนั้น รัตติกาลก็ตั้งใจไว้แล้ว

 

ว่าจะไม่เชื่อใจใครอีก นอกจากตัวเอง...

.

.

.

.

.
:man1:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :man1:

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1

 

ความเคยชิน มันน่ากลัว...

 

 

อารัณย์มองแผ่นหลังเล็กของรพีกำลังไหวไปมาเพราะแรงไกวของชิงช้า ร่องรอยแห่งความสุขบนใบหน้าเหมือนตอนอยู่ที่หัวหินค่อยๆเลือนหายไป เด็กชายตัวน้อยเหม่อมองเพื่อนร่วมชั้นสวมกอดบิดามารดาแล้วพากันเดินจูงมือจากไปทิ้งไว้เพียงดวงตะวันดวงเล็กที่ได้แต่รอคอยรัตติกาลทั้งที่รู้ว่าไม่มีวันมาบรรจบกันได้

 

ร่างสูงจนปัญญาที่จะแก้ไข สายจากบ้านพัฒนเดชาต่อตรงถึงพี่เลี้ยงหนุ่มเพื่อวานขอให้เขาทำหน้าที่รับรพีไปส่งที่บ้านแทนเพราะไม่มีคนว่าง ทั้งลุงสิทธิที่หลังยอกขณะนำต้นไม้ลงดินเมื่อเช้า และรัตติกาลที่เริ่มหายหน้าไปตั้งแต่ครึ่งเดือนที่แล้ว

 

 

ในวงการธุรกิจ ‘ข้อมูล’ คืออาวุธที่ทรงพลังที่สุด บริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่งยอมจ่ายเงินซื้อแผ่นดิสก์แผ่นเดียวในราคาสูงกว่าเจ็ดหลักเพียงเพราะข้อมูลสำคัญที่ไม่สามารถใช้วิธีการธรรมดาหามาได้ อย่างเช่นที่ซุนวู นักพิชัยสงครามชาวจีนกล่าวไว้ว่า ‘รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ‘ ข้อมูลที่มีศักยภาพสามารถกลายเป็นอาวุธร้ายซึ่งนำพาผู้ใช้ไปสู่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ได้ แต่กลับกันหากข้อมูลนั้นตกอยู่ในมือขู่แข่งเมื่อไหร่ก็ไม่ต่างกับการเผยจุดตายให้ศัตรูได้เห็น

 

“คุณกาลคะ คุณวิโรจน์จากแผนกบุคคลขอเข้าพบค่ะ”

 

“ให้เข้ามาได้”

 

ธิชาพยักหน้าแล้วถอยออกไปจากห้องก่อนจะกลับมาอีกครั้งพร้อมกับชายวัยกลางคนที่พยายามกลบเกลื่อนสีหน้าลุกลี้ลุกลนด้วยรอยยิ้มจอมปลอมที่รัตติกาลเห็นมานักต่อนัก ชายคนนี้ไม่ใช่คนแรกที่ถูกรัตติกาลเรียกพบหลังจากเกิดเหตุการณ์ข้อมูลการเซนต์สัญญากับบริษัทคู่ค้ารั่วไหลไปถึงสำนักพิมพ์คู่แข่งในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา

 

แม้ความเสียหายที่เกิดขึ้นจะไม่มากเพราะการรับมือที่ทันท้วงที แต่ความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจในความปลอดภัยของบริษัทก็ไม่ใช่สิ่งที่สามารถกอบกูกลับมาได้ง่ายๆตราบที่ยังจับมือปล่อยข้อมูลไม่ได้เรื่องก็ยังไม่จบ

 

นายวิโรจน์เป็นหนึ่งในพนักงานที่มีสิทธิเข้าถึงข้อมูลสำคัญหลายอย่างรวมถึงส่วนที่เผยแพร่ไป แววตาที่เรียบเฉยแต่กลับรู้สึกเหมือนโดนกรีดแทงทำเอาพนักงานระดับกลางเผลอกลั้นหายใจหลายครั้งยามที่ต้องตอบคำถาม อากัปกริยาทั้งหมดอยู่ภายใต้การสังเกตของนักบริหารหนุ่มที่พยายามเก็บทุกรายละเอียดไม่ให้คลาดสายตา แม้จะเป็นคนที่ร่วมงานกันมานาน ทั้งยังเคยร่วมหัวจมท้ายฝ่าฟันวิกฤตมาหลายครั้ง แต่รัตติกาลก็ไม่สามารถโอนอ่อนตามความรู้สึกส่วนตัวของตนได้

 

กว่าสองอาทิตย์หลังจากลับมาจากหัวหินที่รัตติกาลเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับงาน เอกสารมากมายถูกกองเป็นชั้นสูง รายงานย้อนหลังของบริษัทถูกนำมาอ่านซ้ำๆขนาดที่ว่าแม้แต่ข้อผิดพลาดเล็กๆก็ไม่สามารถปล่อยให้หลุดรอดไปได้ ร่างโปร่งใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านน้อยลงแล้วมาสิงสถิตอยู่ที่ออฟฟิศมากขึ้น หน้าที่รับส่งรพีถูกโอนกลับไปให้ลุงสิทธิรับผิดชอบแทนเหมือนกับก่อนหน้า ทำให้รัตติกาลแทบจะไม่ได้เจอกันไปโดยปริยาย

 

 “คุณกาลคะ จะให้ธิสั่งข้าวไว้ให้เหมือนเดิมไหม”

 

เลขาสาวเคาะประตูเพื่อขออนุญาตก่อนจะเดินเข้ามา เธอมองร่างสูงโปร่งของเจ้านายที่โทรมลงอย่างเห็นได้ชัดจากการโหมงานเป็นบ้าเป็นหลัง ใบหน้าหล่อเหลาของยังคงน่ามองเช่นเคย เพียงแต่ดวงตาที่สดใสขึ้นในระยะหลังกลับดูหม่นแสงลงเพราะความเหนื่อยล้า ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองเข็มสั้นของนาฬิกาซึ่งชี้ไปยังเลขเจ็ดพลางขยับแว่นสายตาให้เข้าที่

 

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมจัดการเอง คุณกลับบ้านเถอะ”

 

“ค่ะ ยังไงคุณกาลก็เหลืองานไว้ให้ธิทำบ้างนะคะ พรุ่งนี้ธิจะเข้ามาช่วยแต่เช้า”

 

หญิงสาวพูดติดตลกก่อนจะทิ้งโพสต์อิทที่จดเบอร์ร้านข้าวไว้ให้ แผ่นหลังที่ปวดเกร็งเพราะต้องก้มหน้าอ่านเอกสารทั้งวันเอนพิงบนเก้าอี้หวังคลายความเมื่อยล้าแต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่ รัตติกาลปล่อยเบอร์โทรศัพท์ให้อยู่บนโต๊ะไปทั้งอย่างนั้นเพราะอาการปวดแสบในช่องท้องที่กำเริบขึ้นตั้งแต่ชั่วโมงก่อนทำให้ชายหนุ่มไม่รู้สึกอยากอาหาร อาศัยเพียงยาเคลือบกระเพาะใช้บรรเทาอาการเพื่อไม่ให้เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์

 

บุหรี่นอกมวนสีดำถูกเปลวไฟเผาไหม้จนควันลอยคลุ้งทั่วทั้งห้อง รัตติกาลหยิบโทรศัพท์เบอร์ส่วนตัวขึ้นดูหลังจากที่ไม่ได้แตะต้องมันเลยตลอดทั้งวัน ชื่อของนิลเป็นเบอร์ล่าสุดที่พยายามติดต่อเขาเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว นอกจากนั้นก็มีเบอร์ของที่บ้านโทรมาในช่วงเวลาเดิมๆเหมือนเช่นทุกครั้ง

 

รัตติกาลเลือกเบอร์บ้านแล้วกดโทรออก เขาหลับตาขณะที่ถือสายรอสักพักจนกระทั่งเสียงนวลของจันทร์ดังขึ้นจากปลายทาง

 

“สวัสดีค่ะ บ้านพัฒนเดชาค่ะ”

 

“ผมกาลเองครับป้า”

 

“คุณกาลหรอคะ เป็นยังไงบ้าง ป้าโทรไปหาตั้งแต่ห้าโมงเย็นแต่ไม่มีใครรับสาย”

 

“ตอนนั้นผมอยู่ในห้องประชุมพอดีครับ ป้ามีอะไรรึเปล่า”

 

“ไม่มีอะไรหรอกคะ แค่เป็นห่วงเท่านั้นเอง แล้วนี่คุณกาลทานอะไรรึยังคะ”

 

“...เรียบร้อยแล้วครับ”

 

รัตติกาลโกหกเพราะไม่อยากให้คนเฒ่าคนแก่ต้องไม่สบายใจ โดยหลงลืมไปว่าตัวเองไม่เคยปิดปังจันทร์ได้สักเรื่อง

 

“โกหกคนแก่ไม่ดีนะคะ”

 

“อืม...แล้วนี่รพีไปไหนซะละครับ”

 

ร่างโปร่งรีบเฉไฉไปพูดเรื่องอื่นโดยมีจันทร์หัวเราะคลอเบาๆเพราะนึกขันมุมเด็กๆของเจ้านาย

 

“ทำการบ้านกับคุณรัณย์อยู่ที่ห้องนั่งเล่นค่ะ”

 

“อารัณย์?...เขามาที่บ้านหรอครับ”

 

“เธอมาส่งคุณพีให้น่ะค่ะ เจ้าสิทธิมันยอกหลังตอนเอาต้นกล้วยลงในแปลงหลังบ้าน คนงานผู้ชายคนอื่นก็ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวป้าเลยโทรไปวานคุณรัณย์พามาส่งให้ แต่อีกใจ...ก็เพราะกลัวคุณพีเธอจะเหงา”

 

จันทร์พูดด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล เธอไม่อาจว่ากล่าวใครในเรื่องนี้ได้ ในวันที่เกิดเรื่องรัตติกาลต้องออกจากบ้านไปตั้งแต่กลางดึกทั้งที่เพิ่งเข้านอนไปได้เพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนจะกลับมาตอนรุ่งเช้าพร้อมกับใบหน้าที่เคร่งเครียดมากกว่าทุกครั้ง คนแก่อย่างเธอไม่อาจเข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างถ่องแท้แต่ก็รับรู้ได้ว่ามันใหญ่พอที่จะทำให้คนที่ดำเนินธุรกิจด้วยความใจเย็นอย่างรัตติกาลต้องโมโหจนหัวฟัดหัวเหวี่ยง

 

รพียิ้มรับคำอธิบายของพ่อทั้งที่ตัวเองไม่เข้าใจ รัตติกาลจากไปโดยไม่มีเวลาแม้แต่จะจัดการเรื่องทางบ้านให้เรียบร้อย ในช่วงแรกๆชายหนุ่มยังพอปลีกตัวมากินข้าวด้วยได้บ้างแต่หนึ่งอาทิตย์ให้หลัง ในขณะที่ยังหาตัวการไม่ได้พวกเขาก็ทำได้เพียงติดต่อกันผ่านโทรศัพท์เท่านั้น

 

“รพีบอกหรอครับว่าเหงา...”

 

“เปล่าหรอกค่ะ คุณคนนี้เขาปากแข็งไม่แพ้พ่อ คุณกาลก็รู้”

 

“...”

 

“คุยกับเธอหน่อยไหมคะ”

 

“...ครับ”

 

ระหว่างรอสายรัตติกาลคิดทบทวนตัวเอง ความวูบไหวในอกที่เกิดขึ้นทำให้รัตติกาลกลัวความรู้สึกที่เริ่มเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ กระจกบานใหญ่ตรงหน้ากำลังสะท้อนภาพกรุงเทพย่ามค่ำคืนเหมือนดังที่เคยเป็นมา ผิดไปก็แต่เงาของรัตติกาลที่ดูอ่อนแอลงจนแทบจำไม่ได้ เพียงเพราะความรู้สึกโหยหาที่เกิดขึ้นมาเมื่อความเคยชินถูกทำลาย มันโหดร้ายยิ่งกว่าการที่ไม่เคยได้ครอบครองตั้งแต่แรก

 

“พ่อกาล!”

 

เสียงของคนที่วนเวียนอยู่ในหัวดังขึ้น รัตติกาลกลืนก้อนขมในคอแต่มือกลับสั่นไหวอย่างควบคุมไม่ได้ เขาพยายามฝืนปรับน้ำเสียงไม่ให้ผิดเพี้ยนไปจากเดิมในขณะที่ดวงตาค่อยๆพร่าลงจนต้องปิดมันไว้

 

“ครับ...พ่อเอง”

 

“พ่อกาลกินข้าวรึยัง...เหนื่อยมากไหมฮะ”

 

“ไม่เหนื่อยครับ...พีล่ะ...วันนี้เป็นเด็กดีไหม”

 

“พีเป็นเด็กดีฮะ พีไม่ดื้อ พีไม่งอแง แต่...พะ พี...ฮึก พีคิดถึงคุณพ่อ”

 

เป็นอย่างที่จันทร์ว่า รพีนั้นปากแข็งไม่แพ้บิดา ร่างป้อมพยายามฝืนมันไว้แต่เพราะอารมณ์ที่อ่อนไหวกว่าทำให้เด็กชายที่ทำเสียงร่าเริงในทีแรกหลุดสะอื้อนออกมาเมื่อความคิดถึงถาโถมจนไม่อาจทนไหว เสียงครางฮือบาดลึกเข้าไปในหัวใจคนฟัง รัตติกาลรู้สึกขอบคุณทุกสิ่งอย่างบนโลกนี้ที่ทำให้รพีไม่มายืนอยู่ตรงหน้าเขา เพราะร่างโปร่งมั่นใจว่าทิฐิทั้งหลายที่สั่งสมมาคงพังลงโดยง่ายในวินาทีที่เห็นน้ำตาของเด็กคนนั้น

 

“พ่อกาลกลับบ้าน ฮึก กลับบ้าน กลับ ฮือ...”

 

“รพี...”

 

“พี ไม่เอาไม่ร้องนะครับ หายใจเข้าลึกๆ”

 

ในขณะที่รัตติกาลได้แต่กำโทรศัพท์ในมือด้วยความปวดใจ เสียงทุ้มของอารัณย์ก็ดังแทรกขึ้นมาให้ได้ยิน ร่างสูงกอดปลอบเด็กชายที่สะอื้นฮัดในอ้อมแขน รพีซึ่งร้องไห้แทบขาดใจค่อยๆสงบลงเมื่อฝ่ามือใหญ่ของอารัณย์คอยลูบบนหลังเบาๆพร้อมกับริมฝีปากอุ่นกดจูบตามขมับจนแรงบีบรัดในหัวบรรเทาลงเหลือไว้เพียงความคิดถึงที่รักษาไม่หาย ถ้อยคำและน้ำเสียงที่อ่อนโยนของอารัณย์ไม่เพียงปลอบประโลมร่างป้อมให้คลายความทุกข์แต่กลับส่งผลถึงคนปลายสายให้พลอยสงบใจลงด้วยเช่นกัน

 

“พีครับ ได้ยินพ่อไหม”

 

อารัณย์ได้ยินเสียงของรัตติกาลแว่วมาจากหูโทรศัพท์ ชายหนุ่มวานให้จันทร์ที่กำลังยืนมองภาพตรงหน้าน้ำตาคลอจัดการเปิดโหมดสปีกเกอร์โฟนให้เพราะรพีเอาแต่ซุกตัวอยู่ในอ้อมอกของพี่เลี้ยงหนุ่มจนไม่อาจถือสายโทรศัพท์ได้

 

“พีครับ คุณพ่อเรียกได้ยินไหม”

 

“ฮึก พ่อกาล”

 

“ไม่ร้องนะครับ พีร้องแบบนี้คุณพ่อฟังไม่รู้เรื่องนะ”

 

ชายหนุ่มพูดกล่อมจนรพียอมฝืนกลั้นสะอื้นจนตัวสั่น ผ้าเช็ดหน้าสีเข้มถูกใช้เช็ดทั้งน้ำตาและน้ำมูกที่ไหลเปื้อนเสื้อเชิ้ตสีฟ้าเลอะเป็นดวง

 

“รพีครับ...”

 

รัตติกาลลองเรียกลูกชายอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่แหบสั่นจนอารัณย์รู้สึกได้

 

“ฮะ...”

 

“อย่า...อย่าร้องไห้”

 

“ฮึก”

 

“เป็นเด็กดี...รอพ่ออยู่ที่บ้านนะครับ”

 

“ฮะ ฮึก พีจะไม่ร้อง”

 

“เก่งมาก...พ่อขอคุยกับน้าอารัณย์หน่อยครับ”

 

อารัณย์ได้ยินดังนั้นก็อุ้มรพีที่ตัวสั่นเทาให้จันทร์ดูแลต่อ ร่างสูงหยิบโทรศัพท์บ้านไร้สายขึ้นแล้วเดินไปยังอีกมุมของห้องเพื่อไม่ให้เสียงสะอื้นของรพีดังรบกวนอีกคนที่แสร้งทำเป็นเข้มแข็งไม่ต่างกับเด็กชายตัวน้อย

 

“ว่าไง”

 

“รพี...เป็นยังไงบ้าง”

 

“ป้าจันทร์ปลอบอยู่ อีกสักพักคงหยุดร้องได้”

 

“...หรอ”

 

“ถ้าเป็นห่วงนักก็กลับมาบ้านสิ”

 

“ผมไม่ได้เป็นห่วง...”

 

“เลิกปากแข็งสักทีเถอะ ได้ยินเสียงของตัวเองบ้างไหมว่ามันสั่นแค่ไหน”

 

“...”

 

“อย่างน้อยก็กับกู...บอกแล้วไงว่าจะช่วย”

 

รัตติกาลไม่กล้ามองเงาของตัวเองในกระจกด้วยซ้ำ ไม่ใช่แค่รพีที่ห่างเขาไป การไม่ได้ไปรับส่งลูกชายด้วยตัวเองทำให้ร่างโปร่งไม่ได้พบหน้าอารัณย์อีกเลยตั้งแต่วันนั้น คำพูดอวดดีของอีกฝ่ายยังดังก้องอยู่ในหัวเหมือนกับเมื่อวานพวกเขาเพิ่งเดินทางกลับจากหัวหิน ความเป็นห่วงเป็นใยที่ไม่เคยได้รับจากคนที่เอาแต่ตั้งท่าใส่กันตั้งแต่วันแรกที่เจอ ทำให้คนที่หัวใจแล้งน้ำได้กลิ่นสายฝนที่ใกล้เข้ามา

 

“ขอบคุณ...ที่เป็นธุระเรื่องรพีให้”

 

“ไม่เป็นไร ว่าแต่มึงเถอะ งานยุ่งมากเลยหรอวะ”

 

“อืม คงจะต้องนอนที่นี่ไปอีกพักหนึ่ง”

 

“แล้วไม่มีคนคอยช่วยเลยรึไง”

 

“ในบริษัทมีเกลือเป็นหนอน...ผมไว้ใจใครไม่ได้”

 

“ให้ตายสิ! มึงนี่มันบ้าได้ทุกเรื่องจริงๆ”

 

อารัณย์สบถออกมาก่อนจะตัดสายไปทั้งอย่างนั้น ทิ้งให้รัตติกาลได้แต่มองมือถือที่ส่งเสียงดังเป็นจังหวะอย่างต่อเนื่องด้วยความงงงวย เขาลังเลที่จะโทรไปที่บ้านอีกครั้งแต่เมื่อไม่มีการติดต่อกลับมาทำให้รัตติกาลคิดไปว่าทางนั้นคงหมดธุระที่จะคุยแล้วจริงๆ ร่างโปร่งลุกขึ้นเดินไปยังห้องพักส่วนตัวที่ถูกสร้างไว้ด้านใน เตียงนอนขนาดหกฟุตและตู้เสื้อผ้าแบบบิวท์อินสีเบจถูกออกแบบไว้อย่างเรียบง่าย เขาคว้าเอาผ้าเช็ดตัวและเสื้อคลุมอาบน้ำพอดีตัวไว้ ปลดเปลื้องเสื้อผ้าก่อนจะพาร่างของตนแช่ลงในอ่างน้ำวนที่อุณหภูมิอุ่นกำลังพอดี

 

รัตติกาลถดร่างของตัวเองให้จมลงในอ่าง ปล่อยให้กระแสน้ำชำระล้างความสั่นไหวที่เกาะกุมหัวใจออกไปให้สามารถครองความเป็นตัวเองได้อยู่ เสียงร้องไห้ของรพีและคำพูดของอารัณย์ดังอยู่ในหัวท่ามกลางความเงียบในที่ที่อากาศเข้าไปไม่ถึง เขาลืมตาขึ้นเห็นดวงไฟที่พร่าเลือนเมื่อมองผ่านน้ำ มันวูบไหวไม่ต่างจากภาพของไฟหน้าห้องฉุกเฉินที่เขามองผ่านน้ำตา

 

ภาพอดีตที่วุ่นวาย และปัจจุบันที่สับสน ทับซ้อนกันจนรัตติกาลอยากลืมไปให้หมดสิ้น ในขณะที่บอกตัวเองว่าต้องเกลียดชังลูกชายของคนทรยศ รอยยิ้มของรพีก็ลอยขึ้นมา คำว่ารักที่นทีเคยมอบให้ยังคงสร้างบาดแผลให้เขาจนถึงวินาทีนี้ แต่ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่พอนึกถึงเสียงของรพีที่บอกรักเขาก็ดังขึ้นเช่นกัน

 

 

 

“พี่รักกาลนะ”

 

 

“พีรักพ่อกาลที่สุดในโลกเลย”


 

 

.

.

.

 

“เชื่อใจกูสิ”

 

 

ทำไมต้องคิดถึงมันด้วย...

 

จะเชื่อได้จริงๆหรอ...

 

 

 

 

“กาล!!!”

 

แรงมหาศาลกระชากรัตติกาลให้โผล่พ้นขึ้นมาจากน้ำ เขาคว้าเอาขอบอ่างไว้ด้วยความตกใจแต่ร่างกายกำยังของแขกผู้มาเยือนกลับดึงเขาเข้าหาตัวจนร่างกายเปลือยเปล่าของรัตติกาลถลาออกไปทาบทับอยู่บนร่างของอารัณย์ที่ยังคงสวมใส่เสื้อผ้าอยู่ครบชุด

 

“มึงบ้าไปแล้วรึไง!!!! ลงไปทำเหี้ยอะไรในน้ำ!!!!”

 

ถึงแม้มันจะถามเขาแต่อารัณย์กลับไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้ตอบ ร่างสูงตบเบาๆบนแก้มซีดขาวเพื่อเรียกสติทั้งที่รัตติกาลรับรู้ทุกการกระทำของตัวเอง อารัณย์ทำสีหน้าตื่นตกใจเหมือนเพิ่งผ่านพ้นความตายมาอย่างหวุดหวิดในขณะที่รัตติกาลมีสีหน้างงงวย ไม่เข้าใจว่าพี่เลี้ยงหนุ่มตื่นกลัวอะไรและทำไมอารัณย์ถึงมาอยู่ที่นี่

 

“กูรู้ว่ามึงบ้าแต่ไม่คิดว่าจะไร้หัวคิดขนาดนี้ ทำไมถึงทำแบบนี้วะ!!!”

 

“หยุดด่าผมได้รึยัง!”

 

รัตติกาลตะคอกอีกฝ่ายที่เอาแต่ปรามาสเขาไม่หยุดด้วยเสียงที่เหนื่อยหอบ ร่างโปร่งใช้มือปิดปากที่กำลังจะเอื้อนเอ่ยวาจาไร้สตินั้นพลางจ้องเข้าไปในดวงตาอีกฝ่ายที่ดูท่าจะสติหลุดมากกว่าที่เขาเป็นเสียอีก

 

“ใจเย็นแล้วฟัง! ผมไม่ได้ทำอะไรอย่างที่คุณคิด ผมแค่ลงไปแช่น้ำคุณจะตกใจอะไรนักหนา!”

 

อารัณย์ขมวดคิ้วเมื่อได้ยิน ชายหนุ่มที่ตีตนไปก่อนไข้เอ่ยถามรัตติกาลผ่านทางสายตาจนร่างโปร่งที่ถูกเข้าใจผิดถอนลมหายใจยาวๆแล้วปล่อยมือออกให้อีกฝ่ายได้ถามเขาอย่างอิสระ

 

“มึงลงไปแช่น้ำ?”

 

“เออ”

 

“ไม่ได้จะฆ่าตัวตาย?”

 

“เออ!”

 

“แล้วแช่น้ำบ้าอะไรต้องลงไปทั้งตัวแบบนั้น!!”

 

“มันเรื่องของผม! คุณนั่นแหละที่จู่ๆก็พรวดพลาดเข้ามาแล้วคิดไปเองทั้งนั้น!”

 

“เป็นใครเขาก็คิดเหมือนกูทั้งนั้นแหละ ตะโกนเรียกมึงอยู่ตั้งนานก็ไม่มีใครตอบ เห็นประตูเปิดอยู่เลยเดินเข้ามาเจอมึงนอนจมอยู่ก้นอ่าง ให้ตายสิ!!!”

 

อารัณย์สบถหนัก เขาใช้มืออีกข้างที่ไม่ได้เท้าอยู่ที่พื้นขึ้นเสยเส้นผมที่เปียกลู่ไม่ให้ปกคลุมใบหน้า ร่างสูงถอนหายใจก่อนมองรัตติกาลด้วยสายตาที่ทั้งโล่งใจแต่ยังแฝงแววหวาดกลัวอยู่ในนั้นจนร่างโปร่งได้แต่หลบสายตาหันไปมองที่อื่น

 

“ทีหลังอย่าเล่นแบบนี้อีก”

 

“ผมไม่ได้เล่น ผมแค่อาบน้ำ”

 

“นั่นแหละ ตัวเองก็ไม่ใช่ว่าว่ายน้ำแข็งคิดบ้าอะไรถึงลงไปแช่ทั้งตัวแบบนั้น ถ้าเกิดจมไปจริงๆจะเป็นยังไง!”

 

“ผมไม่จมหรอก...”

 

“ปากเก่งตลอด! กูอยู่หน้าห้องมึงเกือบนาทีแสดงว่ามึงก็ต้องดำอยู่นานกว่านั้น ถ้าเกิดกูไม่เข้ามามึงจะเป็นยังไงคิดบ้างไหมกาล คิดถึงหัวอกคนอื่นบ้างสิ!”

 

รัตติกาลทำหน้าบึ้งเมื่ออีกฝ่ายดุเขาราวกับเด็กๆ ร่างโปร่งสะบัดตัวออกก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วหยิบเสื้อคลุมอาบน้ำที่แขวนอยู่ใกล้ๆมาสวมใส่ เขารีบเดินออกมาจากห้องน้ำโดยไม่สนใจเสียงเรียกของอารัณย์ที่ดังไล่หลังมา ชายหนุ่มเปิดประตูตู้เสื้อผ้าออก เลือกเอาเสื้อคอกลมสีขาวธรรมดาและกางเกงผ้ายืดออกมาอย่างละหนึ่งตัวเพื่อจะใช้ใส่นอน แต่ก่อนที่เขาจะได้จัดการตัวเองให้เรียบร้อย ท่อนแขนที่ซีดขาวก็ถูกกระชากไปทางด้านหลังจนริมฝีปากของรัตติกาลปะทะเข้ากับเสื้อชื้นน้ำของอีกฝ่าย

 

“ทำบ้าอะไรอีกเนี่ย!”

 

“สัญญามาก่อนว่าจะไม่ทำแบบนี้อีก”

 

“ห๊ะ!”

 

“สัญญามา!”

 

“สัญญาอะไรอีก! ปล่อยสิผมจะใส่เสื้อผ้า!”

 

“สัญญาว่าจะไม่ทำแบบนี้ สัญญาว่าจะไม่ฆ่าตัวตาย สัญญาสิ!”

 

“...”

 

“ขอร้องล่ะ...สัญญาสิ”

 

ชายหนุ่มที่เคยมีแต่ความมั่นใจ ดูหวาดกลัวอย่างที่เขาไม่เคยเห็น อารัณย์ร่ำร้องผ่านทางสายตาจนทำให้คนตรงหน้าดูไม่เป็นตัวของตัวเองอย่างที่เคย รัตติกาลไม่รู้ว่าอารัณย์กำลังหวาดกลัวอะไร แต่เขารู้จักสายตาแบบนี้ดี มันคือแววตาของคนที่หวาดกลัวการสูญเสีย แววตาของคนที่กำลังพยายามไขว่คว้าหาที่พึ่ง...เป็นแววตาแบบเดียวกันกับที่เขามีเมื่อยามที่เห็นรพีเป็นครั้งแรก

 

 

“บอกอีกครั้งว่าผมไม่ได้ฆ่าตัวตาย หัดฟังคนอื่นซะบ้าง”

 

 

“...”

 

 

“สัญญา...”

 

 

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

คุยกับเช่!!

เป็นตอนที่โคตรจะยาวนาน ปรับเนื้อหาไปสี่ห้ารอบ แถมฉบับสมบูรณ์ก็หายไปเพราะคอมรวนเลยต้องนั่งพิมพ์ใหม่ทั้งหมด เช่แบบรวดร้าวมากเลยคับ โดยเฉพาะบทพูดของรัณย์กาลบทรถขากลับจากหัวหิน แบบมันลืม!!! เขียนใหม่ก็ไม่เหมือนเดิม T^T โอ้ยเศร้า ที่หลังเขียนเสร็จต้องอัพเลย ปวดตับมาก :heaven :jul1:

เนื้อหาพาร์ทที่คุยกันบนรถเช่ไม่ได้ทำตัวเอียงไว้ให้ แต่คิดว่าน่าจะเข้าใจกับนะคับว่าเป็นบทพูดในอดีต เป็นตอนที่เริ่มรู้สึกว่าพี่ห้าวของเราเริ่มหลุดๆล่ะ เก็บอารมณ์ไม่ค่อยอยู่ จากที่เคยคิดไว้ว่าอยากให้อารัณย์เป็นคนเท่ๆ แต่ไปๆมาๆกลายเป็นคนกวนประสาทธรรมดานั่นแหละ ไม่เท่เอาซะเลย~ แถมเป็นพระเอกเรื่องนี้โคตรลำบาก เหมือนเป็นการแย่งความรักระหว่างคนสามคน รพี นที แล้วก็อารัณย์ ^^ สนุกคนอ่านแต่ลำบากคนเขียนก็เรื่องนี้แหละ (เขียนไปเขียนมาทำไมกาลรพีมันหวานกว่าไปได้เนี่ย!)

เช่เปิดเทอมใหม่แล้วนะคับ แรกๆคงยังพออัพให้ได้บ่อยหน่อย (อาทิตย์ละมากกว่า1ตอน) แต่หลังจากนั้นต้องดูกันอีกทีเพราะมีแต่วิชาทำชิ้นงานทั้งนั้น น่วมแน่ๆ แต่ก็จะไม่หายไปไหนนะ ยังยืนยันว่าไม่อยากอัพเป็นเปอร์เซ็นต์เพราะเช่ชอบเปลี่ยนเนื้อเรื่องตัวเองตลอดเวลา เขียนๆไปย้อนกลับมาแก้เนื้อหาข้างบนๆ เพราะฉะนั้นก็ช่วยรอหน่อยนะคับ จะได้อ่านกันยาวๆทีเดียวเลย

ขอบคุณทุกโหวตทุกเม้น  ตามพูดคุยกันได้ที่แฟนเพจนะคับ ใกล้จะ200คนแล้ว อยากแต่งสเป~ :fire:


ออฟไลน์ kdds

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
คุณพี่เลี้ยงเริ่มติดใจกาลแล้วใช่ไหมล่ะ

ออฟไลน์ blur

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
อยากให้มีฉากอย่างว่าไวๆ 5555

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7524
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
อ้อยน่อ!! รักษากันให้หายนะ

ออฟไลน์ kanomjeeb

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 101
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เข้ามาถูกจังหวะจริงเนอะ อิอิ กาลโป้ :ruready

ตอนแรกคิดว่ากาลต้องตกหลุมรักก่อน กลายเป็นรัณย์พลาดหรอเนี่ย :-[

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
 

24th Night

…Unspoken Word...

 

อารัณย์จ้องมองชายหนุ่มที่กำลังให้ความสนใจกับเอกสารในมือราวกับว่าตัวเองอยู่ในห้องเพียงลำพัง กระดาษแผ่นแล้วแผ่นเล่าถูกพลิกอ่านไปเรื่อยๆบ้างก็ถูกขีดเขียนในจุดที่น่าจะเป็นเบาะแส ทิ้งให้กาแฟสีดำสนิทที่ยังไม่ถูกแตะต้องจนเย็นชืดลง เช่นเดียวกับแขกผู้มาเยือน


รัตติกาลไม่ได้มีน้ำใจหยิบยื่นเสื้อผ้าให้อีกคนได้เปลี่ยน เสื้ออารัณย์ยังคงสวมใส่เสื้อผ้าชื้นๆอยู่จนพาลนึกอิจฉาตัวต้นเรื่องที่นั่งตัวแห้งทำงานต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ชายหนุ่มถอนหายใจ เป็นครั้งแรกที่เขาอยากเห็นรัตติกาลสติแตกมากกว่านี้ ไม่เอาถึงขั้นลุกขึ้นมาต่อยเหมือนตอนที่เข้าใจผิดว่าเขาเป็นคนร้ายลักพาตัวรพีหรือตอนซ้อมเด็กที่ผับ แค่ช่วยรู้ตัวมากกว่านี้หน่อยว่าเพิ่งหนีพ้นคมเคียวของมัจจุราชมา


พี่เลี้ยงหนุ่มนึกขอบคุณป้าจันทร์ที่รู้ใจเจ้านายตนเป็นอย่างดี ทันทีที่เขาตัดสายปิ่นโตขนาดสองชั้นก็ถูกยื่นมาตรงหน้าพร้อมกับแผนที่ของตึกสูงแห่งนี้ อารัณย์บิดมอเตอร์ไซค์คู่ใจลัดเลาะผ่านการจราจรที่ติดขัดโดยใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบนาที ลุงยามหน้าตึกยอมปล่อยให้ชายหนุ่มเดินเข้ามาง่ายๆทันทีที่บอกว่าป้าจันทร์ส่งเขามาจนอารัณย์นึกสงสัยในมาตรการรักษาความปลอดภัยของที่นี่


เขายังรู้สึกถึงความบีบรัดในอกยามที่เห็นร่างซีดขาวของรัตติกาลนอนนิ่งอยู่ในอ่าง อารัณย์ทิ้งทุกอย่างแม้แต่สติที่พึงมี เขาตวาดรัตติกาลอย่างบ้าคลั่ง มือสั่นอย่างน่าสมเพช ชายหนุ่มใช้มันบีบรัดรัตติกาลไว้ราวกับกลัวว่าจะทำสิ่งสำคัญหลุดมืด ทั้งที่มันไม่ควรให้ความสำคัญแท้ๆ...


“ถ้าจะมานั่งแย่งอากาศผมหายใจเฉยๆ ก็กลับไปเถอะ”


รัตติเอ่ยขึ้นเมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจของร่างสูงดังขึ้นเป็นรอบที่สาม อารัณย์ขมวดคิ้วใส่ เขาลุกขึ้นยืนแล้ววางปิ่นโตสีเงินที่ลงไปกลิ้งกับพื้นมาก่อนหน้านี้ลงบนโต๊ะรับแขกแล้วเปิดมันออกด้วยใจระทึก...อืม...สภาพดูไม่จืด


อารัณย์เอ่ยขอโทษจันทร์อยู่ในใจ ไข่เจียวถูกเทไปกองอยู่รวมกันจนหมดเค้าความน่าทาน ผักต้มนานาชนิดก็มีสภาพไม่ต่างกันโดยเฉพาะมะเขือสีเขียวสดที่ถูกกระแทกจนไส้ปลิ้นส่งกลิ่นเหม็นเขียวไปทั่งทั้งกล่อง ยังดีที่น้ำพริกฝีมือป้าจันทร์ถูกมัดใส่ถุงอีกชั้นไม่อย่างนั้นรัตติกาลคงต้องทำงานทั้งคืนพร้อมกับนั่งดมกลิ่นกะปิไปด้วย


“มันเละแล้ว เดี๋ยวกูออกไปซื้อให้ใหม่”


อารัณย์เอ่ยอย่างมีน้ำใจ แม้จะไม่ได้ตั้งใจแต่เขาก็เป็นคนปล่อยปิ่นโตเถาน้อยให้ลงไปนอนกลิ้งจนมีสภาพไม่น่าทานแบบนี้เอง ชายหนุ่มล้วงหยิบเอากุญแจรถมอเตอร์ไซค์คู่ใจพร้อมกับเงินสดจำนวนหนึ่งติดตัว แต่ก่อนที่อารัณย์จะก้าวออกจากห้องไป เจ้าของร่างกายสูงโปร่งก็เดินมาหยุดลงตรงหน้าอดีตข้าวกล้องแสนน่าทานที่จันทร์ตั้งใจทำสุดฝีมือเพื่อเจ้านายของตัวเอง


“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวกินอันนี้แหละ”


“จะกินได้ยังไง สภาพแม่งยังกับกองขยะสด”


“ผมจะกินไม่ลงเพราะคำเปรียบเทียบของคุณนั่นแหละ...”


รัตติกาลพูดพลางส่ายหน้าอย่างนึกระอา ร่างโปร่งเดินออกไปจากห้องแล้วกลับมาพร้อมกับช้อนกลางหนึ่งคัน เขาจัดการโกยข้าวที่กระจายระเกะระกะให้กลับมาอยู่เป็นกองเดียวกันแล้วตักไข่เจียวและผักต้มที่ถูกจัดไว้อย่างสวยงามลงบนนั้น ก่อนน้ำพริกหอมกลิ่นเคยทะเลจะถูกราดลงไปทั้งหมดในคราวเดียว รัตติกาลถือโถข้าวไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียวก่อนจะตักกินด้วยท่าทางสบายๆไร้มาดเจ้าของบริษัทจนคนมองนึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย


“มึงจะกินจริงๆงั้นหรอ”


“ก็กินอยู่ ไม่เห็นรึไง”


“แต่มันเละแล้ว”


“แล้วยังไง มันก็กลิ้งของมันอยู่ในนั้นไม่ได้หยิบจากพื้นมากินสักหน่อย”


“แต่...”


“ไม่ต้องแต่ แล้วก็หยุดชวนผมคุยซะ คุยไปกินไปไม่มีมารยาท”


รัตติกาลว่าดังนั้นก่อนจะลงมือทานต่อโดยไม่สนใจอารัณย์อีก ทิ้งให้พี่เลี้ยงหนุ่มเบ้หน้าใส่ความย้อนแย้งในตัวของรัตติกาลที่มักสร้างความแปลกใจให้เขาเสมอเรื่องมาก แต่ดันอยู่ง่าย เหมือนจะเป็นคนสบายๆ แต่ก็เจ้าระเบียบกว่าที่คิด ไม่ต้องพูดถึงอารมณ์ร้อนๆที่ขัดกับภาพลักษณ์ภายนอกนั่นอีก อยากรู้จริงๆว่าภายใต้เกราะหนานั้นรัตติกาลเป็นคนยังไง


เป็นอย่างที่เขาพูดกับรัตติกาลบนรถในคืนนั้น ความอ่อนโยนที่รัตติกาลแสดงออกมาในระยะหลังทำให้เขาสับสนจนแทบหลงลืมไปแล้วว่าต้องจับตาดูคุณพ่อตัวปลอมคนนี้ไปเพื่ออะไร จริงอยู่ที่มันไม่ใช่ทั้งหมด แววตาที่ทอด้วยความโกรธแค้นยังคงฉายชัดอยู่ในชั่วขณะหนึ่งก่อนเปลี่ยนเป็นความเจ็บปวด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลายครั้งดวงตาที่เต็มไปด้วยความเอ็นดูนั้นจะทำให้เขาหันไปมองที่อื่นไม่ได้


“คุณไม่ต้องรอเอาปิ่นโตไปคืนป้าหรอก กลับไปเถอะ”


เสียงของร่างโปร่งปลุกเขาให้ออกจากภวังค์ อารัณย์เผลอยืดตัวขึ้นด้วยความตกใจจนรัตติกาลมองท่าทางแปลกๆนั้นด้วยความฉงน


“เป็นอะไร”


“ปะ เปล่า”


รัตติกาลยังคงมองอย่างสงสัยแต่ก็ไม่อยากเซ้าซี้อะไร เขาลุกขึ้นจัดการนำของทั้งหมดไปล้างที่ห้องชงกาแฟซึ่งอยู่ไม่ใกล้ ปล่อยให้อารัณย์ที่ทำท่าทางประหลาดๆอยู่ในห้องของตนต่อแต่เพียงลำพัง ร่างกายสูงใหญ่ของอารัณย์ลุกขึ้นเดินสำรวจแก้เก้อ ชายหนุ่มกนด่าตนเองในใจที่ทำท่าราวกับคนขวัญอ่อนออกไปให้อีกฝ่ายได้เห็น พี่เลี้ยงหนุ่มสะบัดหัวแรงๆไล่ความคิดวุ่นวายออกไปแล้วหันมาให้ความสนใจกับชั้นวางหนังสือสูงจรดเพดานที่กินพื้นที่กำแพงด้านหนึ่งของห้องไปทั้งหมด


นวนิยายแปล อัตชีวประวัติคนดัง รวมไปถึงหนังสือแปลกๆที่อารัณย์ไม่เคยเห็นและไม่คิดจะอ่านวางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ ชายหนุ่มสะดุดตากับโมเดลหอไอเฟลเล็กๆที่วางรวมกับโมเดลสถานที่เที่ยวยอดนิยมระดับโลกซึ่งว่างอยู่ในชั้นมุมขวาล่างสุด ร่างสูงนั่งลงกับพื้นพรมก่อนให้ความสำคัญกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า


โปสการ์ดมากมายที่รัตติกาลจ่าหน้าถึงตัวเองถูกมัดรวมไว้ด้วยเชือกสีน้ำตาลเส้นเล็ก อารัณย์แกะมันออกอย่างถือวิสาสะ รูปภาพสถานที่ท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศถูกส่งมาพร้อมกับลายมือหวัดๆแต่ดูมีเอกลักษณ์ซึ่งขีดเขียนเรื่องราวต่างๆที่เจ้าตัวคงได้พบเจอระหว่างการเดินทางให้ได้มาซึ่งกระดาษแผ่นน้อยเหล่านี้



‘ว่ากันว่าถ้าโดนนกอึใส่จะโชคดี ชายคนนั้นคงได้สูทใหม่เร็วๆนี้ ยินดีด้วย’



‘สะพานชาร์ลส์ตอนตีห้า สวย แต่ง่วงชะมัด’



 ‘อาหารใต้คือที่สุด!’



‘ปากหนุ่มอิตาเลียนหวานไม่แพ้ทีรามิสุเลยแหะ’





อารัณย์เผลอขมวดคิ้วตอนอ่านโปสการ์ดใบที่เป็นรูปแม่น้ำเมืองเวนิส เขาเปิดอ่านไปเรื่อยๆพร้อมกับซึมซับถ้อยคำที่สะท้อนความขี้เล่นในแบบที่เขาไม่เคยเห็นจากรัตติกาลคนปัจจุบัน จนมีหลายครั้งที่ร่างสูงเผยยิ้มออกมาเมื่อได้อ่านมุขตลกประหลาดๆที่เขาว่ามันไม่มีความขำเอาเสียเลย


พี่เลี้ยงหนุ่มสัมผัสได้ถึงมนต์เสน่ห์ของสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆผ่านทางรูปภาพและเรื่องราวที่ร่างโปร่งได้พบเจอ อารัณย์พยายามจินตนาการถึงใบหน้าของรัตติกาลยามที่เขียนจดหมายที่เต็มไปด้วยความสุขพวกนี้ว่าเป็นแบบไหน รัตติกาลที่ตื่นเต้นราวกับเด็กๆเมื่อได้เห็นอะไรแปลกๆ รัตติกาลที่นั่งอยู่ในมุมหนึ่งของร้านกาแฟคอยสังเกตผู้คนพร้อมกับเขียนเรื่องราวต่างๆลงไปด้วย รัตติกาลที่ไร้พิษสง รัตติกาลที่รู้จักสิ่งที่เรียกว่าความสุข...รัตติกาลในอดีตที่เขาไม่รู้จัก


อารัณย์อ่านไปเรื่อยๆจนมาถึงโปสการ์ดใบสุดท้ายที่แตกต่างจากโปสการ์ดใบอื่น ภาพของพระธาตุลำปางหลวงในยามอาทิตย์ใกล้ตกดินดูสวยงามแต่กลับให้ความรู้สึกเศร้าสร้อยอย่างประหลาด ลายมือหวัดๆของรัตติกาลไม่เหมือนเดิม ฝีปากกาที่เคยพลิ้วไหวกลับหนักแน่นเพราะแรงกดจนทิ้งรอยร่องลึกไว้บนเนื้อกระดาษ แม้แต่เรื่องราวที่เขียนถึงก็ไม่ได้เป็นมุขตลกหรือถ้อยคำบอกอารมณ์ตื่นเต้นอย่างเคย




‘Don’t  want your memory in my head now.

I want you here with me…Nathee.’


 



“นที...งั้นหรอ”


ชื่อของชายคนที่คณิตพูดถึงถูกเขียนอยู่บนโปสการ์ดใบสุดท้ายพร้อมกับการเดินทางที่สิ้นสุดไปตั้งแต่วันนั้น อารัณย์อ่านมันซ้ำๆจนจำขึ้นใจก่อนจะมัดกระดาษทุกใบรวมกันไว้ด้วยเชือกเส้นเดิม เขาลุกขึ้นในจังหวะเดียวกันกับที่ประตูบานนั้นเปิดออกอีกครั้งปรากฏร่างของรัตติกาลที่กลับมาพร้อมกับกาแฟถ้วยใหม่ ร่างโปร่งหันมามองอารัณย์ด้วยความสงสัย แล้วเอ่ยปากถาม


“ทำไมคุณยังไม่กลับไปอีก”


“...ป้าจันทร์ฝากให้กูมาดูมึง”


“ดูผม? ถ้าอย่างนั้นคุณก็กลับไปได้แล้ว ถ้ากลัวป้าแกไม่เชื่อก็หยิบเอาปิ่นโตบนโต๊ะข้างนอกกลับไปให้แกแล้วกัน ผมจะทำงานต่อแล้ว”


“ทำงานต่อ...นี่มึงไม่คิดจะพักบ้างรึไง”


“ถ้าผมมีเวลามากพอที่จะพักคงไม่ระเห็จตัวเองมานอนที่นี่”


รัตติกาลรำพันกับตัวเอง เขาพาร่างที่เหนื่อยล้าเต็มทนแต่ก็ยังคงฝืนได้อยู่นั่งลงบนเก้าอี้ล้อหมุนตัวใหญ่ หนังสือเวียนต่างๆที่ถูกส่งให้กับหน่วยงานภายนอกบริษัทถูกหยิบขึ้นมาอ่านอีกครั้งเพื่อหาเบาะแส ร่างโปร่งควานหาปากกาคู่ใจโดยไม่ละสายตาออกไปจากตัวหนังสือแม้แต่จังหวะเดียว แต่สิ่งที่เขาคว้าได้กลับกลายเป็นมือแข็งๆของอีกหนึ่งชีวิตในห้องที่กำลังมองมาที่เขาด้วยสายตาตำหนิ


“ฝืนเกินไปแล้ว”


“ผมไหว...ถ้าไม่รบกวนจนเกินไปกรุณาปล่อยปากกาผมด้วย”


“มันไม่ใช่หน้าที่ของเจ้าของบริษัท อย่างน้อยก็ต้องมาคณะกรรมการสอบสวนไม่ใช่รึไง”


“มี...แต่ผมก็ตรวจสอบตัวเองเท่าที่จะทำได้”


“ขนาดนี่ไม่เรียกว่าเท่าที่จะทำได้แล้ว มึงมันบ้า”


“ผมชินกับประโยคนี้แล้วล่ะ ปล่อยเถอะ”


“รพีต้องอดทนรอมึงมากี่วันแล้วรู้บ้างรึเปล่า!”


อารัณย์ตวาดเขาด้วยเสียงที่ไม่ดังนักแต่ก็ยังสะท้านในความรู้สึก รัตติกาลคิดว่าวันนี้เขาจะพูดคุยกับอีกฝ่ายได้โดยไม่ต้องขึ้นเสียงใส่กันอีกแล้ว ตอนที่ร่างสูงเข้ามาช่วยเขาไว้แม้ว่าจะเป็นการเข้าใจผิดทำให้รัตติกาลคิดเข้าข้างตัวเองว่าอีกฝ่ายคงคลายความเกลียดชังในตัวเขาไปบ้าง รัตติกาลดีใจที่มันเป็นอย่างนั้น เพราะเขารู้สึกเหนื่อยล้าเกินกว่าที่จะมาสู้รบปรบมือกับใครในตอนนี้


“ผมรู้โดยไม่ต้องให้คุณมาย้ำ...หน้าที่พ่อที่ดีน่ะผมต้องกลับไปทำมันอยู่แล้ว”


“หน้าที่พ่อที่ดี?”


“ใช่ สิ่งที่ทุกคนอยากจะให้ผมเป็นกันนักหนา ทั้งนิล ป้าจันทร์ แม้แต่คนนอกอย่างคุณ ที่มองเห็นแต่รพี...แต่กลับไม่มีใครมองเห็นผมเลย”


รัตติกาลเค้นยิ้มให้ตนเองแล้วกระชากปากกาในมืออีกฝ่ายกลับมา เขาก้มหน้าอ่านเอกสารต่างๆทั้งที่มันพร่าเลือนเพราะความรู้สึกที่โดนสั่นไหว ร่างโปร่งเสียใจที่ยั้งปากตัวเองไว้ไม่ทัน คำพูดน่าอายพวกนั้นไม่สมควรออกมาจากปากคนทะนงตนอย่างเขา คำพูดราวกับว่าตัดพ้อ คำพูดของคนอ่อนแอแบบนั้นมันน่าอายสิ้นดี


อารัณย์ยืนนิ่ง มองเส้นผมที่ปกคลุมใบหน้าของอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกแย่ๆที่เกิดขึ้น ทั้งตกใจในสิ่งที่รัตติกาลพูดและแปลกใจที่ตัวเขาเองรู้สึกผิดเมื่อได้ยินมัน ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงหัวเราะเยาะอีกฝ่ายแล้วบอกว่าก็เพราะทำตัวแบบนี้ใครเขาจะสนใจ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่...เขาไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวด้วยซ้ำ


“มันไม่ใช่แบบนั้น”


“...”


“ทุกคนเขาก็เป็นห่วงมึง ทั้งป้าจันทร์ ทั้งไอ้นิล เขาอยากให้มึงพัก...”


“ไม่ต้องเป็นห่วง...ตัวผม...ผมดูแลตัวเองได้”


อารัณย์ทำท่าเหมือนกับจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่ได้พูดมันออกมา เขาลังเลใจจนอดไม่ได้ที่จะขยี้ผมที่เซ็ตมาเป็นอย่างดีของตนเองจนมันเละไม่เป็นท่า พลางส่งเสียงร้องโอดครวญเพราะความสับสนก่อนจะกระแทกตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวตรงข้ามกันที่อีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะ


“โอ้ยยยยยย มันแบบ ก็บอกแล้วไงว่าไม่ใช่แบบนั้น!”


“...”


“ขอโทษ...”


รัตติกาลเงยหน้าขึ้นจากตัวหนังสือที่ต่อให้ก้มต่อไปก็อ่านไม่รู้เรื่อง อารัณย์ปกปิดใบหน้าหล่อเหล่าด้วยฝ่ามือจนทำให้เขาเห็นเพียงดวงตาดุดันที่เสหันไปมองที่อื่นและใบหูที่ขึ้นสีแดงระเรื่ออย่างน่าขำ...แต่รัตติกาลกลับขำไม่ออก


“อะไรนะ”


“...”


“คุณบอกว่าขอโทษผมหรอ”


“...เออ”


“พูดดีๆ”


“ก็บอกว่าเออไง!”


“...ถ้าไม่เต็มใจพูดก็ไม่ต้องพูด เสร็จธุระแล้วก็กลับไปสักที”


“โอเค! กูขอโทษ! ไม่ได้ตั้งใจจะสื่อแบบนั้น กูสงสารรพีแต่ก็ไม่ใช่ว่า...”


“...”


“กูจะไม่...”


อารัณย์ตกใจกับความคิดตัวเองแต่ยังดีที่ไม่ได้พลั้งปากออกไป เขาดีดตัวลุกขึ้นยืนแล้วพาร่างของตัวเองไปยืนมองวิวยามค่ำคืนโดยไม่หันมาสนใจคนฟังที่ไม่กล้าเติมประโยคที่พูดไม่จบนั้นด้วยความคิดของตัวเองเพียงฝ่ายเดียว


นักบริหารหนุ่มเผลอกำมือแน่น หัวใจที่เคยปกติเปลี่ยนเป็นเต้นรัวอย่างบ้าคลั่งจนน่ากลัว รัตติกาลรู้สึกขอบใจที่อารัณย์ลุกขึ้นไปชมวิวทิ้งให้เขานั่งอยู่ตรงนี้เพียงลำพัง เพราะชายหนุ่มเองก็ไม่มั่นใจเลยว่าสีหน้าที่เคยเรียบนิ่งมันจะสงบได้เหมือนเช่นทุกครั้ง ความรู้สึกน้อยใจหายไปหลงเหลือไว้เพียงแต่ความรู้สึกสับสนที่เข้ามาแทนที่ พวกเขาทั้งสองปล่อยให้เวลาไหลไป รัตติกาลลงมืออ่านงานของตัวเองต่อในขณะที่อารัณย์กลับมานั่งบนโซฟารับแขกตัวยาวพร้อมกับหยิบหนังสือบนชั้นมาอ่าน โดยที่ในใจยังคงได้ยินคำที่พูดออกไปไม่ได้วนเวียนอยู่อย่างนั้น



‘เป็นห่วงมึง’






เวลาล่วงเลยไปกว่าเที่ยงคืน รัตติกาลยกแขนขึ้นบิดขี้เกียจเพื่อคลายความเมื่อยล้า หลังจากความเงียบพัดพาบรรยากาศที่บอกไม่ถูกนั้นหายไป ร่างโปร่งก็กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นมองอารัณย์อีกครั้ง


พี่เลี้ยงหนุ่มพล่อยหลับไปทั้งๆที่หนังสือเล่มใหญ่วางอยู่บนตัก ดวงตาที่ดูร้ายกาจถูกปกปิดไว้ด้วยเปลือกตาสีไข่นวลจนทำให้คนตรงหน้าดูไร้พิษภัยผิดกับเวลาตื่นนอน รัตติกาลลุกขึ้นยืน เขาพยายามเดินด้วยฝีเท้าที่เบาที่สุดไปยังห้องพักด้านใน ผ้านวมสีเทาผืนใหญ่ถูกหยิบออกมาก่อนเขาจะค่อยๆใช้มันปกคลุมร่างของอารัณย์ที่เข้าสู่ห้วงนิทราสงบทั้งที่ยังอยู่ในชุดทำงาน


“หรือเราควรจะปลุกให้เขากลับบ้าน”


รัตติกาลพูดพึมพำกับตัวเอง แต่ดูเหมือนว่าด้วยระยะที่ใกล้เพียงสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆจะทำให้อารัณย์ตื่นขึ้นมาจนได้


“...!”


ฝ่ามือใหญ่คว้าหมับเข้าที่ต้นแขนขาวของรัตติกาลที่ไม่ทันตั้งตัว รัตติกาลเบิกตากว้างพอๆกับอารัณย์ที่ไม่มีอาการงัวเงียทันทีที่เห็นใบหน้าหวานคมนั้นมาลอยอยู่ใกล้ๆ ทั้งคู่หยุดนิ่งไปชั่วขณะก่อนที่รัตติกาลจะตั้งสติได้ก่อน ร่างโปร่งสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่าย เขาพาร่างของตัวเองกลับไปนั่งยังที่ประจำแล้วยกกาแฟถ้วยที่สองของคืนขึ้นดื่มราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น


อารัณย์พยายามรวบรวมสติที่กลับไปแตกกระจายพอๆกับตอนที่ได้ยินคำพูดน่าอายนั้นซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหัว ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงสัมผัสบางอย่างลู่ต่ำลงบริเวณลำตัว เขาก้มหน้าลงมองผ้าห่มผืนใหญ่ที่ปกคลุมช่วงล่างของเขาไว้จนรู้สึกอุ่น อารัณย์จับปลายผ้าด้านหนึ่งขึ้นมองดูมันสลับกับใบหน้านวลของรัตติกาลที่ยังคงให้ความสนใจแต่กับเครื่องดื่มในมือไม่ยอมหันกลับมามองทางเขา


อารัณย์ยิ้ม...


เขาไม่เอ่ยถามอะไรเพราะคำตอบมันเห็นอยู่ทนโท่ ในตึกนี้ไม่มีใครนอกจากเขา รัตติกาล และยามหนึ่งคนที่ไม่มีทางทิ้งหน้าที่ออกมาจัดหาผ้าอุ่นๆคลายหนาวให้แขกอย่างเขาเป็นแน่ อารัณย์ลุกขึ้นยืนพร้อมกับหอบผ้านวมไว้เต็มอ้อมแขน ถึงมันจะอุ่นแค่ไหนก็คงไม่ดีนักที่เขาจะแย่งเจ้าของห้องมาใช้แล้วสุขสบายอยู่เพียงคนเดียว เขานำมันกลับไปวางไว้ในห้องนอนอีกครั้งก่อนจะก้มหน้าดูนาฬิกาข้อมือที่บอกเวลาว่าเขาเผลอหลับไปจนล่วงมาถึงเที่ยงคืนครึ่ง


“มันดึกมากแล้ว มึงเลิกทำเหอะ”


อารัณย์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงดุๆแต่ไม่ได้ฟังดูน่ากลัวสักนิด


“ผมจะอ่านตรงนี้ให้จบก่อน คุณนั่นแหละกลับไปได้แล้ว”


“ตรงนี้น่ะคือทั้งหมดที่วางบนโต๊ะใช่ไหม เฮ้อ...กูพูดจริงๆนะกาล สิ่งที่มึงทำมันบ้ามาก ต่อให้มึงเก่งแค่ไหนแต่สิ่งที่มึงกำลังพยายามทำก็เกินตัวอยู่ดี”


“...ข้อมูลที่ถูกปล่อยออกไปเป็นข้อมูลระดับเอคลาส มีคนไม่ถึงยี่สิบคนที่สามารถเข้าถึงได้แต่กลับไม่มีใครหาตัวการเจอ”


“ไม่มีใครในบริษัทที่มึงไว้ใจได้เลยรึไง”


“ไม่มีอะไรเป็นหลักประกันว่าคนพวกนั้นจะไม่ทรยศผม”


อารัณย์สังเกตเห็นแววตาที่แข็งขึ้นเมื่อรัตติกาลพูดถึงคำว่าทรยศ เขาสงสัยและอยากจะถามแต่ก็ไม่อยากให้บรรยากาศในห้องแย่ลงไปกว่านี้ ชายหนุ่มหยุดคิดหาหนทางทั้งที่ไม่จำเป็น เขาหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาเปิดไล่รายชื่อคนรู้จักไปเรื่อยๆจนหยุดอยู่ที่รายชื่อหนึ่งที่ทั้งเขาและรัตติกาลรู้จักดี


“มึงแจ้งความไปรึยัง”


“แจ้งแล้ว แต่ก็ไม่ได้เรื่องอะไรเท่าไหร่”


“งั้นก็แจ้งอีกรอบเถอะ”


“...?”


“พอดีมีตำรวจบางนายติดค้างค่าของฝากกูอยู่”

.

.

o13(อ่านต่อเม้นต์ล่าง) o13

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
.


“ขอบคุณครับ”


สาวเสิร์ฟผู้โชคดียิ้มรับด้วยใบหน้าขึ้นสีแดงจัด เธอใช้ถาดพลาสติกปิดบังหน้าของตัวเองไว้แล้วรีบเดินเร็วๆเข้าไปยังหลังร้านเพื่อกรีดร้องกับเพื่อนสาวคนอื่นๆที่หลบมุมมองเธอด้วยความอิจฉาที่ได้บริการลูกค้าโต๊ะในมุมอับของร้านแต่กลับเรียกสายตาของทุกคนให้หันไปมองเป็นทางเดียวกัน


นายตำรวจหนุ่มในชุดเต็มยศยกกาแฟร้อนขึ้นจิบอย่างใจเย็นเช่นเดียวกับรัตติกาลที่คนชาในถ้วยของตัวเองไปเรื่อยๆด้วยมาดนิ่งที่ทำให้ผู้พบเห็นอยากจะแปลงร่างกายเป็นเครื่องดื่มสีขุ่นที่ผู้ชายหน้าคมคนนั้นเอาแต่จ้องมองจนไม่สนใจอย่างอื่น ผิดกับนิลที่มีสีหน้าบูดบึ้งต่างจากเพื่อนร่วมโต๊ะอีกสองคน นักเขียนหนุ่มใช้ปากกาเขียนบ่นเป็นภาษาฝรั่งเศสที่ตัวเองถนัดลงไปในสมุดโน้ตเล่มเล็กที่พกติดตัวอยู่เสมอ รัตติกาลละสายตาจากถ้วยชาไปมองเพื่อนรักที่เอากนด่านายตำรวจที่นั่งข้างๆด้วยภาษาที่น่าจะมีแต่เขาและนิลที่เข้าใจ แต่ร่างโปร่งสาบานว่าเมื่อครู่เขาเห็นฤทธิชาติเหลือบมองดูสมุดโน้ตเล่มนั้นแล้วจุดยิ้มตรงมุมปากอย่างอารมณ์ดี


“คุณคงลำบากแย่เลยนะครับ”


นายตำรวจหนุ่มเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นก่อนหลังจากนั่งนิ่งคิดถึงคำบอกเล่าของรัตติกาลอยู่สักพัก เอกสารแสดงรายละเอียดวางอยู่บนโต๊ะทำงานของเขาในเช้าของวันนี้ทันทีที่เขาวางสายจากอารัณย์ที่โทรมาทวงบุญคุณค่าของฝากจากประจวบคีรีขันธ์ด้วยราคาที่ไม่คุ้มค่ากันเลย


หมายถึงมันน้อยเกินไปน่ะ เมื่อเทียบกับการที่ได้นั่งมองคนอารมณ์บูดข้างๆ...


“ยังดีที่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ทัน แต่ทางลูกค้าก็ยังมีความกังวลอยู่มากจนสัญญาใหม่ที่ตั้งใจว่าจะเซ็นในเดือนหน้าถูกขอเลื่อนออกไปก่อนอย่างไม่มีกำหนด”


“แล้วคุณกาลสงสัยใครเป็นพิเศษบ้างไหม”


“...ไม่ครับ ไม่มีใครแสดงพิรุธออกมาเลย”


รัตติกาลถอนหายใจ นายวิโรจน์เป็นคนสุดท้ายที่เขาได้ตรวจสอบแต่กลับไม่พบเจอสิ่งน่าสงสัยอื่นใดนอกจากความตื่นกลัวจนน่าขันนั่น นิลมองเพื่อนรักด้วยความเห็นใจ ถึงจะอยู่ร่วมบริษัทเดียวกันแต่เขากลับช่วยอะไรรัตติกาลไม่ได้เลยเพราะความสามารถทั้งหมดถูกทุ่มไปกับการเป็นนักเขียนหาได้มีหัวทางธุรกิจอย่างคนอื่นเขา ฤทธิชาติพยายามส่งยิ้มให้อย่างเคยเผื่อให้รัตติกาลผ่อนคลายทั้งที่รู้ว่ามันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะให้อีกฝ่ายปล่อยวาง


“ผมพอมีเพื่อนเก่งๆที่ทำคดีพวกนี้อยู่บ้าง ไม่ต้องห่วงนะครับ”


“ไว้ใจได้แน่หรอครับ”


“...?”


“ตำรวจพวกนั้นน่ะ แน่ใจหรอครับว่าไว้ใจได้”


“ไอ้กาล...”


นิลครวญเสียงอ่อน รู้ดีว่าเพื่อนคนนี้หมดความไว้เนื้อเชื่อใจในตัวคนอื่นไปนานแล้วแต่ก็คิดไม่ถึงว่าจะพูดออกมาตรงๆแบบนี้ ฤทธิชาตินิ่งไปนิดก่อนจะหยิบเอาตราตำรวจที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อวางลงบนโต๊ะตรงหน้า โลหะสีเงินส่องประกายแวววับล้อกับแสงไฟน่ามอง มันดูแข็งแกร่งและน่าเกรงขามไม่ต่างจากชายในชุดเครื่องแบบที่กำลังมองมาด้วยความมาดมั่นนี่เลย


“ที่ผมยังไปไม่ถึงยศร้อยตำรวจเอกก็เพราะนิสัยไม่เข้าตามตรอกออกทางประตูของตัวเอง แต่เชื่อผมเถอะครับว่าคุณสามารถไว้ใจผมได้”


รัตติกาลพูดไม่ออก ความจริงใจที่ถูกส่งมานั้นทำให้เขาไม่กล้าเถียงอะไรออกไปแม้ในใจจะยังร้องประท้วงอยู่ ชายหนุ่มถอนหายใจเป็นครั้งที่สองก่อนจะเลื่อนตราตำรวจนั้นกลับไปให้ผู้เป็นเจ้าของที่ส่งยิ้มละไมให้กับเขา นิลมองซีนดราม่าตรงหน้าแล้วเบ้ปากพลางนินทาชายหนุ่มคนข้างๆเป็นภาษาฝรั่งเศสเช่นเดิม


ฤทธิชาติหัวเราะ เขาเก็บเอาตรากลับเข้ากระเป๋าเสื้อก่อนจะล้วงเอากล่องของขวัญสีเงินวางลงตรงหน้าชายคนที่ตัวเองตามจีบอยู่นานแทน นิลมองมันจนหยุดปากของตัวเองไปในทันที ดวงตาที่เบิกโตค่อนๆหรี่เล็กลงพร้อมกับริมฝีปากที่เม้มแน่น ฝ่ามืออุ่นๆของนายตำรวจหนุ่มเอื้อมไปจับต้นขาภายใต้กางเกงแสล็คสีเข้มของคนข้างกาย นักเขียนหนุ่มพยายามปัดมันออกแต่กลายเป็นว่าคราวนี้เขาโดนจับมือเอาไว้แทน


“ส่วนนิล ผมสาบานด้วยนาฬิกาเรือนนี้เลยว่าเมื่อคืนผมต้องไปธุระด่วนกับนายจริงๆ ไม่ได้ตั้งใจจะหายหน้าไปเฉยๆ...ขอโทษนะครับ”


“เฮอะ...หน้ากูเหมือนคนเห็นแก่ของขนาดนั้นเลยรึไง”


“คิดมาก นี่น่ะตั้งใจซื้อให้นิลตั้งนานแล้วแต่ไม่ได้ให้สักที”


“ซื้อให้กู? เรื่องอะไรต้องมาเที่ยวซื้อของให้กูด้วยวะ”


“ก็อยากให้ สวยดี เห็นแล้วคิดถึงนิล”


ผู้หมวดหนุ่มพูดยิ้มๆขณะที่นักเขียนดาวรุ่งเอาแต่อ้าปากพะงาบๆอย่างหมดคำพูด ใบหน้าที่ไม่ค่อยแสดงอารมณ์เหมือนเพื่อนสนิทขึ้นสีแดงระเรื่อน่ามองจนฤทธิชาติอดมาได้ที่จะใช้นิ้วอุ่นๆเขี่ยแก้มนุ่มนั่นเล่นอย่างเอ็นดู ก่อนจะโดนนิลต่อยต้นแขนแข็งๆนั่นอย่างแรงแต่มีหรือที่เขาจะสะดุ้งสะเทือน



รัตติกาลยกชาจิบทำเหมือนกับว่าไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น เขายกมือเรียกพนักงานที่ยืนนิ่งเป็นหินเพราะได้ยินบทสนทนาทั้งหมดมาสั่งเค้กอีกสองชิ้นสำหรับทานที่ร้านกับใส่กล่อง ชายหนุ่มทวนออร์เดอร์อีกครั้งเพื่อเตือนสติพนักงานสาวจนเจ้าหล่อนรีบพยักหน้ารัวๆแล้วเดินกลับไปที่เคาน์เตอร์ด้วยใบหน้าสลดต่างจากครั้งแรก


“มึงหยุดยิ้มเลยนะไอ้เชี่ยกาล!”


เมื่อนิลเห็นท่าว่าจะทำอะไรคนข้างๆไม่ได้จึงหันมาเล่นงานเพื่อนรักของตนแทน รัตติกาลเลิ่กคิ้วขึ้นข้างหนึ่งอย่างสงสัยก่อนจะเปลี่ยนเป็นแสยะยิ้มแบบที่นิลไม่ชอบใจนัก


“กูไม่ได้ยิ้ม หึ ไม่ทันไรก็มองโลกเป็นสีชมพูซะแล้วหรอมึง”


นิลกัดฟัน ถึงจะเป็นเพื่อนกันมานานแต่ท่าทางกวนประสาทเบื้องล่างของรัตติกาลก็ไม่ใช่สิ่งที่จะทำใจให้ชินได้ง่ายๆเลย เสียงโมบายแก้วและเสียงกล่าวต้อนรับของพนักงานดังขึ้นเป็นสัญญาณบอกว่ามีแขกมาเพิ่ม นักเขียนหนุ่มที่นั่งหันหน้าไปยังทางเข้าเป็นฝ่ายแสยะยิ้มบ้างจนรัตติกาลที่เตรียมตั้งรับอยู่เลิ่กคิ้วขึ้นอีกครั้งด้วยความสงสัย แต่ไม่ต้องรอนาน โซฟาเดี่ยวบุด้วยผ้าสีฟ้าอ่อนที่ว่างอยู่ถูกจับจองด้วยผู้มาเยือนคนใหม่ อารัณย์ในชุดเสื้อยืดธรรมดาสวมทับด้วยเสื้อแจ็คเก็ตหนังสีดำดูดุดันทิ้งตัวลงบนที่ว่างดังกล่าวก่อนจะทำหน้าฉงนเมื่อรัตติกาลส่งสายตาไม่พอใจใส่ตนทั้งที่เพิ่งมาถึงยังไม่ได้แม้แต่พูดทักทายด้วยซ้ำ


“ว่าไงรัณย์ ได้ข่าวว่าช่วงนี้เข้าออกบ้านไอ้กาลเป็นว่าเล่นเลยหรอ”


ยิงเข้าเป้าตั้งแต่นัดแรก...ตัวต้นเรื่องนั่งยิ้มกริ่มเพราะนึกขันในนิสัยเถรตรงเกินไปของคนข้างๆ อย่างน้อยก็น่าจะทักทายกันก่อนก็ยังดี...


“หื้ม?...อืม บางทีต้องไปส่งรพี ทำไมวะ”


“ไม่ทำไมหรอก แค่คิดว่าที่หัวหินมันเกิดอะไรขึ้นรึเปล่า พวกมึงถึงได้ญาติดีกันได้ ปกติแค่มองหน้าก็กัดกันอย่างกับหมา”


คนที่ถูกหาว่าเป็นหมากำลังจ้องนิลอย่างกินเลือดกินเนื้อ นักเขียนหนุ่มยักไหล่ไม่แคร์สายตากดดันของเพื่อนรักเลยสักนิดหนำซ้ำยังหันไปมองคนมาใหม่ที่ยังคงงงๆกับสถานการณ์ตรงหน้า อารัณย์หันไปมองหน้าฤทธิชาติเพื่อขอคำอธิบายแต่นายตำรวจหนุ่มก็เอาแต่ยิ้มกวนประสาทอย่างเคยไม่ได้ช่วยอะไรเลย


“ก็ไม่ได้มีอะไร พวกกูไม่ใช่คนบ้าทำไมจะพูดกันดีๆไม่ได้”


“อ่อหรอ ‘พวกกู’ งั้นสินะ สนิทจนนับเป็นพวกกันได้จริงๆด้วย”


“ถ้ายังไม่หุบปาก มึงอดแดกข้าวฝีมือป้าจันทร์ไปตลอดชีวิตแน่ไอ้นิล”


“อู้ยยยย น่ากลัวๆ”



รัตติกาลสอดขึ้นแต่นิลกลับไม่หวาดกลัวคำขู่นั่นเลยสักนิด นี่แหละข้อเสียของการสนิทกันมากเกินไป คำขู่ของรัตติกาลใช้ไม่ได้ผลกับนิลมานานแล้ว ทั้งโต๊ะมีเพียง ฤทธิชาติที่ยังหัวเราะออก ผู้หมวดหนุ่มแอบลูบหลังมือของนิลที่อยู่ใต้โต๊ะเบาๆเพื่อห้ามปรามก่อนที่รัตติกาลจะโกรธขึ้นมาจริงๆ นิลที่ได้เอาคืนเพื่อนจนพอใจแล้วก็ยอมหยุด เขาเอนหลังลงจิบกาแฟเย็นในแก้วของตัวเองโดยลืมที่จะปัดมืดสากๆที่กำลังเย้าแหย่เขาอยู่ออกไปเหมือนเช่นทุกครั้ง


“แล้วตกลงเรื่องนั้นเอายังไง มึงช่วยอะไรกาลได้ไหมไอ้ตำรวจ”


“เรื่องคดีผมจะให้เพื่อนตำรวจอีกคนสืบเรื่องจากอีกบริษัทให้ แต่คงต้องใช้เวลาสักหน่อย ยังไงช่วงนี้คุณกาลก็ตรวจสอบเอกสารเหมือนอย่างเคยไปก่อนนะครับ”


“ทำไมยังต้องตรวจอีกวะ ก็เห็นอยู่ว่ามันไม่เจอพิรุธอะไร”


“ถึงจะไม่เจอพิรุธก็ต้องทำครับ อย่างน้อยก็อย่าให้อีกฝ่ายไหวตัวทัน เราต้องทำให้ทางนั้นคงคิดว่าคุณกาลคงกำลังพยายามด้วยตัวเองอยู่เหมือนเคย ถ้าเกิดจู่ๆคุณกาลหยุดการสอบสวนไปอาจจะทำให้พวกนั้นสงสัยได้”


อารัณย์ครางในลำคอก่อนจะพยักหน้าอย่างจำยอม รัตติกาลตอบตกลงอย่างไม่คิดอะไรมาก ต่อให้ฤทธิชาติไม่บอกเขาก็ตั้งใจอยู่แล้วว่าจะตรวจสอบด้วยตัวเองอีกทาง ถึงนายตำรวจหนุ่มจะเอาศักดิ์ศรีของตำรวจเป็นเครื่องประกันแต่เขาก็ไม่คิดจะเชื่อใจใครทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ออยู่ดี


“แล้วก็นอกจากนี้ ผมอยากให้คุณกาลหาคนที่ไว้ใจได้มาติดตามคุณด้วย”


“ติดตามผม? ทำไมครับ”


“จากคำบอกเล่าของคุณดูเหมือนว่านี่จะไม่ใช่คดีลักขโมยข้อมูลธรรมดา ระบบรักษาความปลอดภัยข้อมูลของบริษัทคุณไม่ใช่กระจอกแต่ก็ยังมีคนแอบเข้าไปฉกข้อมูลมาได้โดยที่ไม่ทิ้งเบาะแสอะไรไว้ทั้งที่มีผู้ต้องสงสัยไม่ถึงยี่สิบคน มันอาจมีอะไรมากกว่าที่เราคิด เพื่อความปลอดภัยของคุณเองกรุณาทำตามที่ผมบอกด้วยครับ”


“...คุณคิดว่ามันจะฆ่าผมงั้นหรอ”


รัตติกาลพูดด้วยโดยไม่มีท่าทางตื่นตกใจ อารัณย์เหลือบมองคนข้างๆที่รักษามาดไว้ได้อย่างเคยไม่ต่างจากตอนที่เขาช่วยร่างโปร่งให้พ้นจากการจมน้ำ นิลที่เมื่อครู่ยังทำท่าทีเล่นทีจริงก็นิ่งไปเมื่อได้ยิน เขาหันหน้ามามองคนที่มีลางสังหรณ์แม่นอย่างไม่สบายใจนักจนฤทธิชาติต้องสงเสียงหัวเราะเบาๆเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศ


“แค่กันไว้ดีกว่าแก้น่ะครับ ผมอาจจะคิดมากไปเองก็ได้”


“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีความจำเป็นที่ผมจะต้องทำตาม ขอบคุณที่เป็นห่วง”


“ไอ้กาล...อย่าทำแบบนี้ดิวะ”


“กูไม่เป็นอะไร ยังไงก็คลุกอยู่ที่ออฟฟิศทั้งวันอยู่แล้วไม่ออกไปยืนล่อลูกตะกั่วใครเขาหรอก”


“มึงอย่าลืมว่าคนร้ายอยู่ในบริษัท ต่อให้มึงขังตัวเองอยู่ในห้องก็อาจจะโดนเป่าหัวโดยไม่รู้ตัวก็ได้”


รัตติกาลนิ่งไปนิดเมื่อนิลพูดเตือนเขาอย่างจริงจัง สิ่งที่นิลพูดมานั้นถูกต้อง แม้แต่เขาเองยังแอบคิดเลยว่าข้อสันนิษฐานของฤทธิชาติฟังดูเป็นไปได้ แต่จะให้ทำยังไง การให้เขาหาคนที่ไว้ใจได้อาจจะยากกว่าการหาคนร้ายตัวจริงเสียอีก


อารัณย์มองความอึดอัดตรงหน้าด้วยความไม่สบายใจ สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าการจู่โจมจากมือที่มองไม่เห็นคงจะเป็นความไม่รักตัวกลัวตายของรัตติกาลเสียมากกว่า รัตติกาลแบ่งแยกคนออกเป็นสองประเภทอย่างชัดเจนคือมิตรและศัตรู แต่น่าเสียดายว่าต่อให้เป็นคนที่จัดอยู่ในประเภทแรกก็ยังไม่สามารถทำให้คนคนนี้ไว้ใจคนพวกนั้นได้อยู่ดี



พี่เลี้ยงหนุ่มชั่งใจอยู่สักพัก เขาเอนตัวมาทางด้านหน้าก่อนจะหันไปมองรัตติกาลอย่างเต็มตา ร่างโปร่งพอรู้สึกตัวก็หันไปสบดวงตาสีดำคู่นั้นกลับ ความหมายมั่นบางอย่างทำให้รัตติกาลไม่อยากเอ่ยถามจนกระทั่งอารัณย์เป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้นเอง


“กูจะทำเอง”


“...?!”


“อีกสองวันก็ปิดเทอมเล็กพอดี กูมีเวลาว่างสามอาทิตย์ มันนานพอที่มึงจะตามตัวคนร้ายได้ไหมไอ้ชาติ”


“...น่าจะทันครับ ผมจะลงไปช่วยอีกแรงหลังจากเคลียร์คดีที่ทำอยู่เสร็จ”


“งั้นเอาตามนี้”


“เดี๋ยวสิคุณ!”


รัตติกาลกระชากแขนของอารัณย์ให้หันกลับมามองตนเอง พี่เลี้ยงหนุ่มรู้ดีว่ารัตติกาลรู้สึกหรือคิดอะไรอยู่ตอนนี้เพราะเขาเองก็รู้สึกแบบเดียวกัน...สับสน


“มึงอาจจะไม่ชอบใจ แต่เราไม่มีตัวเลือก ในเมื่อมึงไม่ไว้ใจคนในนั้น คนนอกอย่างกูก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด”


“แต่มันไม่ใช่เรื่องของคุณ”


“ใช่...แต่กูก็ปล่อยให้มึงเป็นอะไรไม่ได้”


“...”


“ในเมื่อเราเป็นศัตรูกันอยู่แล้วก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องระแวงกันอีก คนที่แสร้งเป็นมิตรกับมึงตอนนี้ต่างหากที่มึงต้องระวังไม่ใช่กู”



ร่างโปร่งเถียงไม่ออก แม้แต่นิลและฤทธิชาติที่นั่งฟังยังพยักหน้าอย่างเห็นด้วย เขาขบคิด พยายามหาวิธีอื่นที่ดีกว่านี้ที่จะป้องกันตัวเองได้โดยไม่ต้องใกล้ชิดกับอารัณย์ให้สับสนไปมากกว่าเดิม แต่น่าขัน แม้กระทั่งตอนนี้คำพูดที่หายไปของอารัณย์ก็ยังรบกวนใจเขาอยู่ดี



“เพื่อรพี...และตัวมึงเอง”


“...”


“เชื่อใจกูสักครั้ง”


“...”


“...”


“...ตกลง”


--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

คุยกับเช่!!

สุขสันต์วันแม่นะคนับ! ขอให้คุณแม่ทุกคนมีความสุข เลยได้โอกาสเอาพ่อกาลมาเสิร์ฟ ซึ่งแม่งจะกลายเป็นนิยายสืบสวนอยู่แล้ว หึหึ แต่ก็ดีเนอะ หนุ่มๆของเช่เริ่มใกล้ชิดกันมากขึ้นแล้ว ว่าแต่คู่ชาตินิลนี่อะไร นำหน้าคู่หลักไปถึงไหนแล้วเนี่ย หุหุ ><  :hao6:

ช่วงนี้ยุ่งกับงานรับน้องบ้าง โปรเจคมากมายที่ทยอยมาตั้งแต่ต้นเทอมเล่นเอาสมองตันกันไปช่วงหนึ่งเลย อาจจะมาช้าบ้างอะไรบ้างแต่อย่างที่บอกคับ ยังไงก็ต้องจัดอาทิตย์ละตอนแน่นอน รอเช่นะ^^

คนที่ชอบในความดาร์กของไนท์แมร์อาจจะแปลกใจที่ตอนนี้มันกลายเป็นสีชมพูหม่นๆ แต่ไม่ต้องห่วงคับ ปมไหนเช่ผูกไว้ตามแก้ทุกปมแน่นอน ช่วงนี้ให้คู่พระนางได้ใกล้กันบ้าง แค่นี้ก็โดนแซวว่าบทน้อยสุดในเรื่องแล้ว =w= อารัณย์สู้ๆนะ เช่สู้ๆนะ  :katai4:

ป.ล. ขอบคุณทุกเม้นต์ทุกโหวตและทุกการติดตาม เช่ตามอ่านทั้งหมดนะคับขอบคุณมากเลย การอ่านคอมเม้นต์คือความสุขที่สุดของเช่เลยแหละ มีอะไรอยากติชมก็ทิ้งไว้ได้ ติดตามการอัพนิยายเชิญได้ที่เพจคนับ! :katai2-1:



ออฟไลน์ Fujoshi

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 759
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-2

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด