Nightmare อยากให้คืนนี้ไม่ต้องฝันร้าย (END) #ตอนพิเศษ...คืนของรัณย์กาล...
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Nightmare อยากให้คืนนี้ไม่ต้องฝันร้าย (END) #ตอนพิเศษ...คืนของรัณย์กาล...  (อ่าน 139941 ครั้ง)

ออฟไลน์ nut2557

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
เป็นกำลังใจให้คนแต่งนะครับ....สู้สู้ ครับ   :L2:

ออฟไลน์ blur

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7524
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
งื้อออ TT บางมุมก้อรู้สึกว่าตัวเองไปยืนอยู่ตรงนั้น

การอยู่เหมือนไร้ตัวตน มันยากจิงๆเนาะ

ออฟไลน์ ชอร์ปสติ๊ก

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
มาจาก ครับ นี่เอง.. เราก็แบบ อะไร.. คำนับ เอ๊ะ แล้วคำนับทำไม...หรือยังไง  :o12: (เกลียดตัวเองแปป)
โอเคค่ะ เราเข้าใจความตั้งใจคุณครูเช่กระจ่างแจ้งแล้ว ตอนนี้กาล...สุดๆ ไปเลยนะนาย นายมีปมอะไรแย่กว่าแอบมีซัมติงกับพี่นทีและแฟนสาวซึ่งเป็นพี่รหัสของนาย(ขอโทษนะคะ เราจำชื่อเธอไม่ได้ YY) เขามีลูกกัน เอาลูกมาให้นายเลี้ยง ทำชีวิตนายพัง... แต่เอ๊ะ เราเห็นนายก็ยังอยู่อย่างสบายอยู่ดีนี่นา มีบ้าน มีงานดีๆ แล้วมีป้าจันทร์ที่เป็นคุณป้าแม่บ้านแสนดีดูแลพีให้นายอีก นายมีเพื่อนแบบคุณนิล(ที่เราอวย อิอิ) ที่เศร้าเสียใจหรืออะไร นายทำตัวเองทั้งนั้น เราไม่สงสารนายนะ แต่ก็เฉยๆ ไม่ได้เกลียดนาย (คุณครูเช่อย่าเพิ่งงอนเรานะ เราสัญญาจะเป็นแฟนคลับที่ดีของคุณนิล) ถ้าขืนนายยังเป็นแบบนี้ต่อไปเราจะเชียร์ให้คุณนิลพานายไปหาหมอนะกาล(หรือนายเคยไปมาแล้ว....) แล้วรู้อะไรมั้ยกาล เมื่อนายไม่มีความสุขในชีวิต ไม่ใช่นายคนเดียวที่เจ็บปวด คนรอบตัวนายเจ็บเหมือนๆ กัน นายไม่เห็นแก่เด็กก็เห็นแก่ป้าจันทร์หรือคุณนิลเหอะ อย่าทำให้เขาไม่สบายใจเพราะความเอาแต่ใจของนายเลย... สำคัญที่สุดนายยังมีพี่ห้าว(ซึ่งใช่คนเดียวกับอารัณย์รึเปล่าไม่รู้....) อีกคนนะ รีบๆลุกได้แล้วกาล เราว่าคนรอบตัวช่วยฉุดนายจนเบื่อละ(ได้ข่าวนี่เพิ่งผ่านมา 8 ตอน) 55555

สู้ๆค่ะคุณครูเช่ เราจะติดตามตอนต่อไปและเป็นแฟนคลับคุณนิลอย่างเหนียวแน่น...  :กอด1:

ปล. เห็นน้องปูนตอนนี้แล้วนี่ขึ้นมาเลยค่ะ #ฉันรักผัวเขา   555555 ขำๆนะคะคุณครูเช่  :o8:

ออฟไลน์ l3loodl2o5e

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-4
โดยส่วนตัวเราชอบแนวแบบนี้นะ เป็นคนชอบอะไรซับซ้อนจนคนรอบข้างไม่ค่อยเข้าใจเรา ติดตามจ้า :katai2-1:

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1


9th Night

…Make up...



“ถือว่าคุณกาลรับรู้เป็นที่เรียบร้อยนะครับ ว่านายอารัณย์ที่เคยตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีลักพาตัวและทำร้ายร่างกายเด็กชายรพี พัฒนเดชา ผ่านการสืบสวนในเบื้องต้นแล้วว่าไม่มีความผิดจริง ถือว่าพ้นการเป็นผู้ต้องสงสัย ส่วนผู้ต้องหาตัวจริงที่เหลือทั้งสามคนทางเราจะดำเนินคดีทางกฎหมายให้จนถึงที่สุด”



นายตำรวจหนุ่มอธิบายเรื่องราวทุกอย่างให้รัตติกาลฟัง ณ บริเวณห้องนั่งเล่นของบ้านโดยมีทั้ง อารัณย์ นิล และจันทร์นั่งฟังอยู่อย่างพร้อมเพรียงกัน ร่างโปร่งพยักหน้าอย่างตอบรับก่อนจะติดต่อทนายส่วนตัวให้ไปจัดการเรื่องที่เหลือทั้งหมดตามครรลองของกฎหมายอย่างที่ควรจะเป็น



ฤทธิชาติส่งยิ้มให้คนตรงหน้าอย่างอ่อนโยน ไม่ได้ตำหนิอะไรที่อีกฝ่ายหนีหายไปกว่าสามวันจนทั้งคนทางบ้านและเขาต้องออกติดตามตัวเสียยกใหญ่ ยังดีที่ไม่ถือเป็นคดีเพราะนิลเลือกที่จะไม่แจ้งความคนหายเนื่องจากรู้ดีว่ารัตติกาลแค่หลบไปพัก สามารถดูแลตนเองได้ แต่ก็คงดูได้แต่ตัวเท่านั้น ดวงตาที่ว่างเปล่าแสดงให้เห็นถึงบางสิ่งบางอย่างที่หายไปในช่วงเวลาสามวัน และร่างสูงก็รู้ดีว่าคนที่จะรู้สึกผิดที่สุดคงไม่ใช่ใครอื่น นอกจากเพื่อนสนิทอย่างนิลที่เอาแต่จ้องมองรัตติกาลไม่ห่างตั้งแต่พากันลงมาจากชั้นสองของบ้าน




“นี่ก็ใกล้เวลาที่คุณพีจะกลับมาจากโรงเรียนแล้ว คุณๆก็อยู่ทานข้าวเย็นด้วยกันก่อนนะคะ ป้าเตรียมไว้ให้แล้ว”


สามคนยกเว้นรัตติกาลตอบรับ มีเพียงแต่ร่างโปร่งที่ยังไม่ได้พูดอะไร จันทร์มองคุณหนูของเธอด้วยความรู้สึกเป็นห่วง จนกระทั่งรัตติกาลลุกขึ้นก่อนจะหันมาพูดกับจันทร์ที่นั่งมองเขาอยู่ก่อนแล้ว


“ผมไม่ค่อยหิว อยากจะพัก ใครจะทำอะไรก็ตามสบายแล้วกัน”


“เดี๋ยวสิวะไอ้กาล”



“พ่อ!!!”


ในขณะที่นิลพยายามรั้งเพื่อนของตนไว้ เสียงเรียกของรพีก็ดังขึ้นมาจากทางหน้าบ้าน เด็กชายตัวน้อยในชุดนักเรียนโรงเรียนอนุบาลวิ่งเข้าพร้อมกับโยนสัมภาระทิ้งไว้ตามทางอย่างไม่สนใจอะไรนอกจากการวิ่งเข้าไปสวมกอดท่อนขาของผู้เป็นพ่อด้วยน้ำตานองใบหน้า


“พีขอโทษ ฮึก พ่อกาลกลับบ้านนะ ฮึก พ่อกาลอย่าทิ้งพีไปไหนนะ”


รพีร้องไห้จนตัวสั่น รัตติกาลมองดูร่างของเด็กชายที่บัดนี้รอยฟกช้ำต่างๆจางหายไปมากจนแทบมองไม่เห็น ยกเว้นแต่รอยแผลตรงลำคอที่เกิดจากของมีคมและฝ่ามือของเขาที่ยังคงเหลืออยู่ ทั้งที่ผู้ใหญ่ยังอยากให้เด็กชายรักษาตัวอยู่ที่บ้านแต่รพีก็ยังคงดึงดันทีจะไปจนจันทร์ต้องเป็นคนจัดหาผ้าพันคอมาพันไว้ให้ระหว่างที่รพีต้องไปโรงเรียน


“ปล่อย...”


น้ำเสียงเย็นชาไม่แพ้แววตาเอ่ยขึ้นในขณะที่จับจ้องไปยังร่างป้อมเบื้องล่าง เด็กชายที่เฝ้าแต่โทษตัวเองมาตลอดกลัวจนอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้แต่ก็ยังไม่ก้าวถอยกลับไป รัตติกาลรู้สึกได้ถึงสายตาทุกคู่ในห้องจ้องมองมายังพวกเขาไม่กระพริบ ความอึดอัดรัดแน่นจนหายใจไม่ออก ความชิงชังที่สุมอยู่ในอกยังไม่จางหายไป รัตติกาลครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา สิ่งที่เขาได้ทำและได้รับมา ตลอดสามวันที่หายไปมันนานพอที่ทำให้เขาได้เรียนรู้แล้วจึงตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง...


“พ่อกาลยังโกรธพีอยู่หรอฮะ พีขอโทษจริงๆ พีสัญญาว่าพีจะไม่ดื้อไม่ซน ฮึก แต่พ่อกาลกลับมาอยู่บ้านเรานะ อย่าทิ้งพีไว้คนเดียว”


“พ่อบอกให้ปล่อย...”


“คุณกาลคะ”


จันทร์ร้องเตือนออกมาด้วยความกังวลว่ารัตติกาลจะทำร้ายรพีอีก ร่างโปร่งเปรยตามองทุกคนในบ้านก่อนจะทำบางอย่างที่ทุกคนไม่คาดคิด


รัตติกาลก้มตัวลงสวมกอดรพีไว้เต็มอ้อมแขน ฝ่ามือบางที่ไม่เคยสัมผัสกำลังลูบไปตามกลุ่มผมนิ่มเบาๆอย่างอ่อนโยนเป็นครั้งแรก รพีรู้สึกแน่นไปทั้งอก ความรู้สึกที่โหยหามาตลอดหกปีกำลังรายล้อมอยู่รอบๆตัวเขาจนพูดไม่ออก


“พ่อขอโทษ...ที่คอเจ็บมากไหม”


“พะ พ่อกาล...”


“ขอโทษนะที่ไม่ยอมฟังอะไรเลย ขอโทษที่ทำร้ายพี พ่อผิดเอง”


“ไม่ ฮึก พ่อกาลไม่ผิด พีผิดเอง พีดื้อกับยายจันทร์ เพราะพีเอง ฮึก”


“พอได้แล้ว ไม่ต้องร้อง”



ร่างสูงตบบ่าเล็กที่สั่นสะท้าน ในขณะที่รพีเอาแต่ยิ้มร่าทั้งน้ำตา พลอยทำให้สาวใช้และจันทร์ที่ยืนมองยิ้มออกมาพร้อมกับน้ำตาคลอเบ้า มีเพียงคนสามคนเท่านั้นที่มองภาพดังกล่าวด้วยความรู้สึกแตกต่างกันออกไป ฤทธิชาติยังคงยกยิ้มเช่นเคยแต่ดวงตานั้นกลับไม่ยิ้มตามเหมือนกับนิลที่รู้สึกเหมือนมีบางอย่างกำลังคืบคลานเข้ามาเป็นคลื่นใต้น้ำที่ไม่มีใครดูออก


ในชั่วขณะที่ที่รัตติกาลละสายตาจากรพี เขาก็ได้สบตาเข้ากับอารัณย์ที่มองมาราวกับรู้ความคิดของเขา ร่างโปร่งส่งยิ้มให้อีกฝ่ายเล็กน้อยก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงติดจะรู้สึกผิดอย่างที่เจ้าตัวคิดว่าแนบเนียนที่สุดแล้ว


“ขอบคุณจริงๆนะครับ ที่คุณช่วยรพีเอาไว้”



ร่างสูงไม่คิดจะพูดตอบรับคำขอบคุณของอีกฝ่าย เขาทำเพียงแค่ยืนนิ่งมองการกระทำตรงหน้าด้วยสายตาเรียบเฉยก่อนจันทร์จะพาทุกคนไปยังโต๊ะอาหารที่เตรียมไว้พร้อมแล้ว รพีรีบพาพ่อของตนมานั่งที่หัวโต๊ะก่อนจะพยายามปีนขึ้นเก้าอี้ แต่รัตติกาลกลับเป็นฝ่ายอุ้มเด็กชายขึ้นไปส่งให้แทนเรียกรอยยิ้มกว้างจากรพีพร้อมกับเสียงบอกขอบคุณอย่างฉะฉานมีชีวิตชีวา ส่วนนิล ฤทธิชาติ และอารัณย์ก็นั่งลงตามๆกัน ภาพของทุกคนที่กินกันพร้อมหน้าอย่างมีความสุข เป็นภาพที่จันทร์อยากเห็นมาตลอดชีวิต หากนับตั้งแต่ที่เจ้านายทั้งสองของเธอเสียชีวิตไปนี่คงเป็นครั้งแรกที่เธอสัมผัสได้ถึงความเป็นครอบครัวในห้องอาหารแห่งนี้



รพีคอยตักอาหารให้รัตติกาลอย่างเอาใจ จนร่างโปร่งต้องหันไปดุให้เด็กชายหันไปกินเองบ้าง จันทร์คอยเดินเติมข้าวและอาหารให้ทุกคนเมื่อพร่องลงไปด้วยรอยยิ้ม จนเวลาล่วงเลยไปกว่าชั่วโมงมื้ออาหารที่ยาวนานนี้จึงสิ้นสุดลงก่อนที่รัตติกาลและรพีจะเดินมาส่งแขกผู้มาเยือนทั้งสามคนให้เดินทางกลับโดยสวัสดิภาพ


“ขอบคุณที่เป็นธุระให้ตลอดนะครับคุณชาติ ยังไงพรุ่งนี้ทนายของผมคงเดินทางไปหาคุณที่โรงพักเพื่อจัดการเรื่องคดีที่เหลือทั้งหมด”


“ไม่เป็นไรครับ ตำรวจไทยยินดีรับใช้ประชาชนเสมออยู่แล้ว แต่ทางที่ดีก็อย่ามีเรื่องให้ต้องมาเจอผมบ่อยๆแล้วกัน”


นายตำรวจหนุ่มพูดติดตลกก่อนจะไขกุญแจรถเข้าไปนั่งรอ โดยที่จะมีอารัณย์ติดรถออกไปด้วยกันแต่ร่างสูงใหญ่นั้นยังคงยืนนิ่งมองหน้ารัตติกาลอย่างไม่วางตา


“ผมขอขอบคุณคุณอีกทีนะครับที่ช่วยพีไว้ ขอโทษด้วยกับเรื่องเข้าใจผิดทุกอย่าง”


ร่างโปร่งเอ่ยย้ำอีกครั้งอย่างจริงใจ รพีเองก็ได้เอื้อมมือเล็กๆของตนขึ้นไปกระตุกชายเสื้อของอีกฝ่ายที่ตัวสูงกว่ามากให้หันกลับมามอง


“น้ารัณย์ๆ”


“ว่าไงครับ”


อารัณย์ก้มมองก่อนจะทรุดตัวลงนั่งให้อยู่ระดับเดียวกันกับคนตัวเล็กกว่าก่อนจะยิ้มให้เด็กชายอย่างอ่อนโยน รัตติกาลเอาแต่มองรอยยิ้มที่เขาไม่เคยเห็นอีกฝ่ายทำสีหน้าแบบนี้ให้เห็นอย่างครุ่นคิดแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ก็นึกเคลงใจในความสนิทสนมของทั้งสองคนที่ดูท่าจะก่อเกิดขึ้นมาไม่น้อยในขณะที่เขาไม่อยู่ที่บ้าน


“พ่อกาลขอโทษน้ารัณย์แล้ว น้ารัณย์จะหายโกรธพ่อกาลได้รึยัง”


“ก็นะ... ถ้าพ่อเราเขาจะไม่ทำร้ายเราอีก”


อารัณย์พูดประโยคนั้นพร้อมกับเงยหน้ารัตติกาลที่มองมาด้วยรอยยิ้ม สำหรับรพีคงไม่ได้สังเกตอะไร แต่ร่างโปร่งรู้ดีว่าคำพูดนั้นคือคำเตือนที่ร่างสูงส่งมาถึงเขา อย่างที่คิดเลย แม้รูปลักษณ์ภายนอกจะดูดิบเถื่อนแต่ผู้ชายคนนี้ฉลาดใช่เล่น


รัตติกาลเกือบจะเก็บรอยยิ้มร้ายๆไว้แทบไม่ทันเมื่อนึกถึงความสนุกที่รออยู่ตรงหน้า หากนี้คือเกมการไม่มีผู้ต่อสู้มันคงเป็นเกมที่จืดชืดไม่น้อย สำหรับเขาแล้ว แววตาที่บ่งบอกว่ารู้ทุกอย่างของอารัณย์นี้แหละคือสิ่งที่สร้างความบันเทิงให้เขามากที่สุด


“พี่ไปก่อนนะ ดูแลตัวเองดีๆ”


ร่างสูงเอ่ยกับเด็กชายแล้วเดินขึ้นรถไป ก่อนที่ประตูจะปิดลงเขาก็ได้ส่งคำเตือนผ่านสายตาไปให้รัตติกาลอีกครั้งแต่อีกฝ่ายกลับยังคงส่งรอยยิ้มน่าสะอิดสะเอียนนั้นมาให้อย่างไม่รู้สึกรู้สา จนรถของนายตำรวจหนุ่มเคลื่อนที่ออกไปจากบ้านลับสายตา เหลือเพียงแต่นิลที่ยังคงยืนมองเพื่อนของตนอยู่เงียบๆ


“มึงจะกลับเลยรึเปล่าไอ้นิล หรือจะค้างที่นี่”


“อยู่ค้างไม่ได้วะ พีครับ พีไปบอกป้าจันทร์ให้อาทีนะว่าพรุ่งนี้บ่ายๆอาจะเข้ามาให้ช่วยสอนทำขนมบัวลอย”


นิลพูดตอบรัตติกาลก่อนจะหันไปไหว้วานเด็กชายที่ยิ้มรับก่อนจะเอ่ยลาเขาแล้วเข้าไปหาจันทร์ตามที่เขาสั่ง ร่างสูงหันมาสบตากับเพื่อนของตนที่มองตามรพีไปอย่างยิ้มๆด้วยสีหน้าหวาดระแวงจนรัตติกาลที่หันกลับมาเห็นอดจะขำไม่ได้


“หึ ทำไมทำหน้าแบบนั้นวะ”


“มึงเป็นอะไรรึเปล่าไอ้กาล”


“กูหรอ? กูก็ไม่ได้เป็นอะไรนิ ถามอะไรแปลกๆ”


“ไอ้กาล กูเพื่อนมึงนะทำไมกูจะไม่รู้”


“...”


“มึงคิดจะทำอะไรกันแน่ ทำไมอยู่ๆถึงได้หันมาทำดีกับรพี”


รัตติกาลนิ่งไปก่อนจะยิ้มอ่อนให้นิล วงแขนยาวยกขึ้นโอบไหล่ลาดของเพื่อนรักก่อนจะพากันเดินไปที่บ่อปลาหน้าบ้านที่เงียบสงบไม่มีใคร ดวงไฟสีส้มถูกเปิดอยู่รอบข้างทำให้นิลยังคงมองเห็นสีหน้าของรัตติกาลได้ชัดเจน


“มันเป็นสิ่งที่ทุกคนอยากให้กูทำไม่ใช่หรอวะ กูก็ทำให้แล้วนี่ไง”


“มันไม่ใช่แบบนั้น...”


“แล้วแบบไหนวะ บอกกูมาสิ”


ร่างโปร่งหันมาจ้องเข้าไปในนัยน์ตาของอีกฝ่ายอย่างตั้งคำถาม นิลพยายามมองหาพิรุธภายในแววตานั้นแต่มันกลับว่างเปล่า เป็นสายตาเดียวกับที่รัตติกาลมองเขาเมื่อตอนอยู่บนห้องไม่ผิดแน่


“มันไม่มีใครบังคับใครได้ กูอยากให้มึงทำดีกับรพีด้วยความจริงใจ ถ้ามึงทำแค่เพราะกูอยากให้ทำสู้มึงอยู่เฉยๆอย่างเดิมจะดีกว่า”


“ฮ่าๆ มึงนี่แม่งเอาใจยากชิบหาย ตกลงจะอยากให้กูทำดีหรือไม่ดีกันแน่”


“มึงรู้ดีไอ้กาลว่ากูหมายความว่ายังไง”


“อืม กูรู้ แล้วมึงล่ะรู้ไหมว่ากูคิดอะไรอยู่”


รัตติกาลกระตุกยิ้มให้พร้อมกับตั้งคำถามๆเดียวกับที่นิลกำลังถามตัวเองอยู่ เขารู้ว่าเพื่อนของตนกำลังทำอะไรบางอย่างแต่เขากลับไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่ารัตติกาลจะทำอะไร คำถามที่ไม่มีคำตอบทำให้ร่างโปร่งเลือกที่จะพูดต่อไปโดยไม่หวังจะให้นิลพูดอะไรกลับมา


“กูร้ายกับเด็กนั่นมาเยอะ มึงจะระแวงกูก็คงไม่แปลก”


“...”


“บอกตามตรงตอนนี้กูเองก็ยังคงรู้สึกเหมือนเดิมอย่างที่เคยรู้สึก เกลียดยังไงก็ยังคงเกลียดอยู่อย่างนั้น”


“แล้วทำไม...”


“กูแค่อยากจะเปลี่ยน”


“...”


“ถ้ากูทำแต่เรื่องเดิมๆ สักวันกูคงไม่เหลือใคร แววตาที่ป้าจันทร์กับมึงมองกูในวันนั้น มันเหมือนกับสัญญาณเตือนว่าสุดท้ายทุกคนจะทิ้งกูไปหมด”


“มึงก็รู้ว่ากูไม่มีทางทิ้งมึง ไอ้กาล”


“แต่ก็ไม่มีใครรู้อนาคต”


“...”


“ถ้าการที่กูทำดีกับรพีแล้วจะรักษาคนที่กูรักเอาไว้ได้ กูก็พร้อมจะยอมเปลี่ยน”


“กาล...”


นิลคว้ารัตติกาลมากอดเอาไว้แน่น ไม่ว่าร่างโปร่งคิดจะทำอะไรสิ่งเดียวที่ไม่มีวันเปลี่ยนคือเขาจะไม่มีทางทำให้สิ่งที่รัตติกาลกลัวเกิดขึ้น มือเรียวยกขึ้นกอดเพื่อนรักตอบก่อนจะกระชับอ้อมกอดนั้นให้แน่นขึ้นจนสัมผัสได้ถึงเสียงหัวใจของอีกคนที่เต้นอยู่เป็นจังหวะเดียวกันกับของเขา


 “มึงจะระแวง จะขวางกูยังไงก็ได้ แต่ขอแค่มึงเชื่อกูสักนิด เชื่อว่ากูจะเปลี่ยนไป กูไม่รู้ว่ามันจะเกิดขึ้นไหมแต่กูก็หวังว่ามันจะมีสักวันที่กูจะยิ้มให้รพีได้อย่างที่มึงต้องการ”


“...”


“บนโลกใบนี้กูเหลือแค่มึงกับป้าจันทร์เท่านั้น”


“...”


“กูเสียมึงไปไม่ได้ รู้ใช่ไหมนิล”


“กูรู้...”


ร่างสูงพูดเพียงแค่นั้นก่อนจะหลับตาลงพร้อมกับความคิดบางอย่างที่ลอยวนอยู่ในหัว ท่ามกลางไฟสีส้มและผิวน้ำที่ไหวกระเพื่อมราวกับสัญญาณเริ่มต้นของคลื่นใต้น้ำลูกแรกที่กำลังเคลื่อนตัวท่ามกลางความสงบ


นิลไม่มีทางได้มองเห็น รอยยิ้มราวกับผู้ชนะที่ประดับอยู่บนใบหน้าของรัตติกาลที่กำลังรู้สึกสนุกสนานกับการค่อยๆกลืนกินแสงอาทิตย์อย่างเงียบเฉียบ


-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

คุยกับเช่!

ตอนนี้สั้นเนอะ T^T ไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ เพิ่งกลับจากทำงานมาคนับ ร่างแทบสิ้นแต่มาลงให้ก่อน

ขอบคุณฟีดแบคจากทุกคนเลย ตอนหน้าก็จะตอนที่สิบแล้วรู้สึกเนื้อเรื่องมันไม่ค่อยเดินเลย เหอๆ =w=

ขอบคุณทุกเม้นทุกโหวต ขอบคุณทุกกำลังใจนะฮะ ติดตามข่าวสารพูดคุยกันได้ที่แฟนเพจเลย คุยกันนะๆ^^

https://www.facebook.com/pages/Vivace-Story/1449951678656400

 :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
อย่าทำร้ายตะวันดวงน้อยดวงนี้เลย

ออฟไลน์ myd3ar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1531
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-4
ทำไมกาลใจร้ายขนาดนี้

สงสารน้องพีมากๆ เลย

ออฟไลน์ blur

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
อยากอ่านเรื่อยๆทั้งคืนเลยโอ๊ยยยยยยยยยชอบยบบบบบ

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
เพิ่มเริ่มเข้ามาอ่าน ไล่ทันถึงตอนที่7แล้ว
ภาษาลื่นไหลดีมากๆเลย ช่วง2-3ตอนแรกอาจจะนำเดินเรื่องช้าไปหน่อย
แต่ตอนนี้เข้มข้นฟุดๆ :a5:

อยากกระโดดถีบอีพ่อกาลรัวๆ คือรพีเป็นลูกของพะแพงกับนทีใช่ไหม?
กาลเอาน้องรพีมาเลี้ยงเพื่อแก้แค้น?  :fire:
ยิ่งอ่านยิ่งเกลียดกาลอ่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ iiduckii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 66
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
อ่าาาาาาาาาาาาา อ่านตอนนี้แล้วสงสารกาลจัง ในอดีตคงจะโดนมาเยอะสินะ อยากรู้ในอดีต 2 คนนั้นทำอะไรไว้กับกาล

ได้กลิ่นเคะจากกาลโชยมายังไงก็ไม่รู้ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ สู้ๆนะกาล :katai3: :katai3:

ออฟไลน์ iiduckii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 66
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
โอ้วววววววววววววววววววว เริ่มจะมันส์ละ อยากรู้อิพี่กาลจะทำอะไร

รัณย์ปราบกาลให้ได้นะ เอาให้อยู่หมัด ฮ่าๆๆๆๆๆๆ เชียร์รัญย์สุดฤทธิ์ :mew3: :mew3: :mew1: :mew1:

เป็นกำลังใจให้คนเขียนค่าาาาา :L2: :L2:

ออฟไลน์ blur

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
มามั้ยเอ่ยคืนนี้ จงมาจงมา

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
 

 

10th Night

…Hunters...

 

 

 

 เช้าวันนี้เป็นเช้าที่รพียิ้มได้กว้างกว่าทุกวัน เรื่องน่าแปลกใจเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนที่เด็กชายเดินลงมาเพื่อกินข้าวเช้าข้างล่างหลังจากแต่งตัวเสร็จ โต๊ะอาหารที่เคยมีเพียงเขานั่งอยู่เพียงลำพังกลับปรากฏร่างของรัตติกาลนั่งจิบกาแฟรออยู่ก่อนจะหันมาเรียกลูกชายให้เข้าไปกินข้าวด้วยกัน

 

รพีแอบคิดแบบเด็กๆ ว่าพรที่เคยขอในทุกๆโอกาสที่ผ่านมาคงถูกใช้หมดไปตั้งแต่เมื่อเย็นวานที่รัตติกาลเข้ามาทำดีด้วย เด็กชายบอกตัวเองตลอดคืนว่าตื่นเช้ามาแม้เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นเพียงแค่ความฝันเขาก็จะไม่เสียใจ แต่ภาพของรัตติกาลที่อยู่เคียงข้างกันก็ทำให้เขาได้ยิ้มจนปวดแก้ม

 

 

พ่อกาลที่เขารัก กำลังยิ้มให้เขา...

 

 

“ไม่ลืมอะไรใช่ไหม”

 

“ไม่ลืมฮะ พีจัดกระเป๋าตั้งแต่ก่อนนอนแล้ว”

 

“ดีมาก งั้นตั้งใจเรียนนะ เป็นเด็กดีล่ะ”

 

 

ร่างโปร่งเอ่ยกับลูกชายพร้อมกับส่งยิ้มให้ขณะที่พวกเขาทั้งสองคนนั่งอยู่บนรถซึ่งจอดอยู่ริมฟุตบาทหน้าโรงเรียน เช้านี้รัตติกาลเป็นคนอาสาพารพีมาส่งที่โรงเรียนให้แทนลุงสิทธิ ร่างสูงยังนึกขำเมื่อเห็นคนในบ้านพัฒนเดชามองเขาราวกับว่าเห็นสัตว์ประหลาดมายืนอยู่ตรงหน้า ก็นะ ประหลาดจริงๆนั่นแหละ...

 

“เออ พ่อกาลฮะ”

 

ร่างป้อมเรียกพ่อของตนอย่างลังเลโดยยังไม่ก้าวลงไปจากรถ รัตติกาลรู้ดีว่ารพีต้องการจะพูดอะไรแต่ก็เลือกที่จะเงียบเพื่อให้อีกฝ่ายเป็นคนพูดขึ้นมาเอง

 

“ว่าไงครับ”

 

“คือ.. เย็นนี้พ่อกาลจะมารับพีไหมฮะ”

 

“อยากให้พ่อมารึเปล่าล่ะ”

 

รพีพยักหน้าเร็วๆเป็นคำตอบเพราะกลัวว่าร่างโปร่งจะเปลี่ยนใจ รัตติกาลหยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมาดูตารางงานใหม่ที่เลขาส่งมาให้เมื่อเช้าเนื่องจากตนขาดงานไปหลายวัน นับว่าโชคยังเข้าข้างรพีอยู่ ช่วงบ่ายของวันนี้เขายังพอมีเวลาว่างปลีกตัวมารับเด็กชายที่โรงเรียนได้เห็นดังนั้นร่างโปร่งจึงหันมาบอกกับลูกชายที่รอฟังคำตอบอยู่

 

“อาจจะเย็นหน่อย รอได้ไหม”

 

“ได้ฮะ พีรอได้”

 

“งั้นรอพ่ออยู่ที่นี่ อย่าออกไปที่ไหนคนเดียวอีก เข้าใจไหม”

 

ร่างโปร่งเผลอพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนรพีไม่กล้าสบตาคนเป็นพ่อ เด็กชายที่เข้าใจว่าพ่อของตนพูดด้วยความเป็นห่วงจึงไม่อยากจะทำให้รัตติกาลเป็นกังวลอีก

 

 

ถึงจะทำเป็นไม่รู้สึกแต่รพีก็ยังคงไม่ลืมภาพของรัตติกาลที่เกรี้ยวกราดในวันนั้น ฝ่ามือที่บีบรัดรอบลำคอของตนทำให้เด็กชายรู้สึกเป็นครั้งแรกว่ารัตติกาลนั้นน่ากลัว ถึงแม้จะไม่เคยถูกปฏิบัติดีๆด้วยแต่ก็ยังไม่เคยถูกมองด้วยสายตาที่แสดงออกถึงความรังเกียจชัดเจนแบบนั้น

 

รพีอยากจะลืม

 

ไม่อยากแม้แต่จะนึกถึงมันอีก

 

เขาจึงเลือกที่จะยิ้มอย่างที่พวกผู้ใหญ่ชอบแล้วทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

 

 “เข้าใจฮะ รพีจะเป็นเด็กดีไม่ดื้อกับพ่อกาลเด็ดขาด...”

.

.

..

.

 

ตลอดทั้งเช้ารัตติกาลอยู่เคลียร์งานไม่ได้ออกไปไหน จนกระทั่งตอนเที่ยงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นพร้อมกับชื่อของปูนที่ปรากฏขึ้นมา ถึงแม้จะอยากขอโทษและขอบคุณ แต่ร่างโปร่งก็ลังเลที่จะรับสาย สิ่งดีๆที่อีกฝ่ายมอบให้เขาตลอดเวลาสามวันที่ผ่านมามันมากพอที่จะทำให้เขาเลือกที่จะไม่ทำร้ายเด็กหนุ่มคนนั้นอีก

 

เขาเชื่อว่าปูนเองก็รู้ว่าหวังอะไรกับคนแบบเขาไม่ได้ แต่เรื่องของความรู้สึกต่อให้พยายามยังไงเมื่อมันเริ่มขึ้นแล้วคงไม่สามารถหยุดได้ง่ายๆ สิ่งเดียวที่รัตติกาลสามารถทำให้ได้ก็คือการเลือกที่จะตัดสายทิ้งก่อนจะบล็อกเบอร์ของอีกฝ่ายเพื่อให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาจบลงเสียก่อนที่จะถลำลึกกับเขาไปมากกว่านี้

 

รัตติกาลก้มหน้าทำงานของตัวเองต่อไปโดยไม่หยุดพักจวบจนเวลาล่วงเข้ามาสู่บ่ายสี่โมงเย็น เอกสารแฟ้มสุดท้ายถูกอ่านจนรอบคอบก่อนที่ร่างโปร่งจะเซ้น ชื่อลงไปแล้วยื่นส่งให้กับธิชาที่ยืนรอรับเอกสารนั้นไปจัดการต่อ

 

รถยนต์คันหรูเลี้ยวเข้าไปจอดในที่จอดรถของผู้ปกครองด้านใน รัตติกาลใช้เวลาไม่มากเท่าที่คิดในการเดินทางมาที่โรงเรียน แต่ถึงอย่างนั้นจำนวนนักเรียนที่ยังคงรอผู้ปกครองอยู่ที่โรงเรียนก็เหลือไม่มากแล้ว ครูประจำชั้นสาวที่เคยคุยกับร่างโปร่งเมื่อครั้งที่แล้วจดจำเจ้าของใบหน้าหวานคมนั้นได้ดีว่าเป็นพ่อของใคร หญิงสาวเดินเข้ามาทักทายรัตติกาลอย่างเป็นกันเองก่อนเดินพาร่างสูงให้เข้าไปที่ชั้นเรียนซึ่งเด็กชายกำลังนั่งเล่นรอพ่อของตนอยู่

 

 

“ครูเสียใจด้วยนะคะ กับเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด”

 

ร่างโปร่งรู้ดีว่าครูสาวคนนี้กำลังพูดถึงเหตุการณ์ที่รพีถูกลักพาตัว แต่เขาพนันได้เลยว่าเธอไม่มีทางรู้ว่ารอยบีบรอบลำคอเล็กๆนั้นเป็นฝีมือของเขาหาใช่ฝีมือของคนร้ายไม่ รัตติกาลเหยียดยิ้มน้อยๆในยามที่ครูสาวไม่ได้มองมาที่เขาก่อนจะพูดตอบกลับไปหาอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงแสดงความขอบคุณ

 

“ขอบคุณที่เป็นห่วงนะครับ ผมเองก็ผิดที่ดูแลรพีไม่ดี”

 

“ครูเองก็ตกใจมากตอนที่ทราบเรื่อง ยิ่งรู้ว่ารพีตั้งใจกลับมารอคุณพ่อที่โรงเรียนยิ่งทำให้ทางเราร้อนใจมาก เมื่อวันก่อนบอร์ดสมาคมผู้ปกครองเลยมีการประชุมกันเรื่องมาตรการการรับส่งนักเรียน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการสื่อสารที่ผิดพลาดจนเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก”

 

“ขอโทษด้วยนะครับ ที่ทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่เดือดร้อนไปกันหมด”

 

“ไม่เป็นไรค่ะ แค่วันนี้เห็นคุณพ่อมารับน้องด้วยตัวเอง ครูก็ดีใจแล้ว”

 

“...”

 

“รพีเป็นเด็กดีนะคะ เป็นผู้นำในกลุ่มเพื่อนๆเสมอ แต่ก็มักจะทำตัวเป็นผู้ใหญ่กว่าเด็กในวัยเดียวกัน เพราะอย่างนั้นครูถึงอดเป็นห่วงไม่ได้”

 

“เป็นห่วง..?”

 

หญิงสาวหันกลับมายิ้มให้ชายหนุ่มด้วยสีหน้าอ่อนโยน ก่อนจะพูดในสิ่งที่เธอคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกไป หวังให้คนที่อยู่ข้างๆเธอหวนคิดถึงความรู้สึกที่แท้จริงของเด็กแบบรพีที่เธอดูแล้วมาแล้วนับไม่ถ้วน

 

‘เด็กที่ต้องการความรักจากพ่อแม่’

 

“คนเราทุกคนย่อมมีความเห็นแก่ตัวกันทั้งนั้นไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ ความต้องการที่แรงกล้าจนบิดเบี้ยวนั้นจะรุนแรงแตกต่างกันไปตามความ ‘ขาด’ ที่แต่ละคนมีไม่เท่ากัน และแต่ละคนก็มีวิธีการที่ใช้จัดการความรู้สึกที่ไม่เหมือนกัน”

 

“...”

 

“สำหรับรพีที่ดูภายนอกอาจจะมีพร้อมทุกอย่าง แต่ข้างในดวงตาของน้องกลับเหมือนกำลังรอคอยอะไรบางอย่างมาตลอด ในตอนแรกที่ครูเข้ามาเป็นครูประจำชั้น รพียังมีวิธีจัดการความรู้สึกนั้นเหมือนเด็กวัยเดียวกัน เขาร้องขอ เรียกร้องในสิ่งที่ต้องการ แต่นานวันไปเขาก็เริ่มเปลี่ยน”

 

“...”

 

“รพีเริ่มที่จะ ‘ให้’ เพื่อสิ่งที่คาดหวัง ทั้งการทำตัวเป็นผู้ใหญ่ ปกป้องดูแลมอบความรักให้กับคนอื่น เขามอบสิ่งที่เขาไม่มี สิ่งที่เขาอยากได้ไปด้วยความรู้สึกที่เชื่อว่าสิ่งนั้นจะย้อนกลับมาหาเขาสักวัน”

 

“หึ ความรักสินะ...”

 

รัตติกาลเผลอพึมพัมออกมาเบาๆเมื่อรู้ว่าผู้หญิงคนนี้ต้องการสื่ออะไร สีหน้าเรียบนิ่งทอดสายตามองออกไปยังสนามเด็กเล่นที่ยังพอมีเด็กน้อยวัยเดียวกับรพีวิ่งซนอยู่ หญิงสาวมองดูสีหน้าของรัตติกาลที่เปลี่ยนไปพร้อมกับเกิดความคิดบางอย่าง แต่เธอก็ไม่พูดอะไรออกไปเพราะรู้ตัวดีว่าไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะควรยื่นมือเข้าไปยุ่ง

 

“การให้เพื่อหวังผลไม่ใช่เรื่องผิดค่ะ แต่ถ้าสุดท้ายแล้วเขาไม่ได้รับในสิ่งที่เขาต้องการจริงๆ รพีก็จะไม่เหลืออะไรไว้ให้ยึดเหนี่ยวอีก”

 

“...”

 

“เด็กๆน่ะ...มีโลกของตัวเอง...มันเป็นโลกที่เราไม่เข้าใจและมันก็เติบโตขึ้นทุกวัน เร็วจนน่ากลัวเลยล่ะค่ะ”

 

 

ร่างบางพูดทิ้งไว้แค่นั้นก่อนจะผายมือไปยังห้องๆหนึ่งที่เหนือประตูได้ติดหมายเลขห้องของรพีไว้ รัตติกาลสะบัดความคิดที่ฟุ้งซ่านจากคำพูดของครูประจำชั้นออกก่อนจะหันไปส่งยิ้มให้เหมือนอย่างเคย ช่วงขายาวเดินเข้าไปในห้องพลางมองของใช้ทุกอย่างมีขนาดเล็กมากกว่าขนาดปกติที่ผู้ใหญ่ใช้

 

“พ่อกาลมารับแล้วจริงๆด้วย!!!”

 

รพีละสายตาจากของเล่นตรงหน้าก่อนจะวิ่งเข้าไปหารัตติกาลที่ส่งรอยยิ้มลูกชายอย่างอ่อนโยน เด็กชายยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ดีใจที่พ่อมารับจนทิ้งให้คนที่อยู่เล่นเป็นเพื่อนตนรอเวลานั่งมองภาพตรงหน้าอยู่อย่างนั้น

 

“พ่อกาลมารับพีจริงๆด้วย พีดีใจที่สุดเลย!”

 

“ครับ พ่อมารับแล้ว แล้วพีล่ะ วันนี้เป็นเด็กดีไหม”

 

“ฮะ! พีเป็นเด็กดี พ่อกาลถามครูสากับน้ารัณย์ได้เลย”

 

“น้ารัณย์?? อารัณย์น่ะหรอ?”

 

 

ร่างโปร่งทวนชื่อนั้นอีกครั้งเพราะคิดว่าตนเองฟังผิดไป แต่ภาพของรพีที่พยักหน้ารัวๆกลับมาแทนคำตอบกลับเขาต้องขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความสงสัยและไม่เข้าใจ ทำไมรพีถึงพูดเหมือนนายอารัณย์นั่นอยู่ที่นี่ด้วย?!

 

ยังไม่ทันที่ร่างโปร่งได้ถามอะไรเพิ่มเติม เงาของคนคนหนึ่งก็ค่อยๆเดินเข้ามาตรงหน้า ความรู้สึกบางอย่างสั่งให้เขาเงยขึ้นไปดูแล้วภาพที่เขาเห็นก็ทำให้รอยยิ้มที่รัตติกาลประดิษฐ์ขึ้นมาถูกทำลายลงในช่วงเวลาสั้นๆ

 

แม้จะไม่มีหนวดเครารุงรังให้รกตาอย่างที่เคยเป็นแต่เขาก็จำดวงตาคมกริบคู่นั้นได้ดี ร่างกายสูงใหญ่ผิวพรรณกร้านแดดถูกปกคลุมอยู่ภายใต้ชุดยูนิฟอร์มของโรงเรียนพร้อมกับป้ายชื่อของอีกฝ่ายที่ระบุตำแหน่ง ‘พี่เลี้ยงเด็ก’ แทนคำตอบได้เป็นอย่างดีว่าทำไมผู้ชายคนนี้ถึงมายืนอยู่ที่นี่

 

“คุณกาลคงรู้จักครูรัณย์ดีอยู่แล้วใช่ไหมคะ”

 

ครูสาวเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบจนรัตติกาลได้สติหันไปปั้นหน้าใส่อีกฝ่ายได้อย่างทันท้วงที แต่ดูเหมือนกริยาตรงหน้าจะสร้างความขบขันให้อีกฝ่ายมากกว่าจนรัตติกาลได้แต่ก่นด่าตัวเองในใจที่ทำพลาด เผลอเผยช่องว่างให้ร่างสูงเห็น

 

“ไม่ได้รู้จักดีขนาดนั้นหรอกครับ อย่างน้อยผมก็ไม่รู้ว่าคุณอารัณย์ทำงานอยู่ที่นี่ด้วย”

 

รัตติกาลพูดด้วยประโยคบอกเล่าที่แฝงด้วยคำถามซึ่งต้องการคำตอบ เขานึกถึงสาเหตุที่ชายคนนี้ตามจองล้างจองผลาญเขาไม่เลิกเพราะคดีความที่ยังไม่เสร็จสิ้น จนมีปัญหาตามมาอย่างที่ร่างสูง ทั้งที่เป็นอย่างนั้น แล้วทำไมมันถึงมายืนอยู่ตรงหน้าเขาตรงนี้ได้ ไม่ต้องพูดถึงบุคลิกหยาบคายของอีกฝ่ายที่มองยังไงก็ไม่น่ามาเป็นพี่เลี้ยงเด็กได้เลย นับว่าฉลาดที่รู้จักกำจัดหนวดเคราเข้มพวกนั้นทิ้งก่อนไม่อย่างนั้นทั้งโรงเรียนคงระงมไปด้วยเสียงร้องไห้จ้าของเด็กๆเป็นแน่

 

“ผมผิดเองแหละครับที่ไม่ได้แนะนำตัวกับคุณก่อน ผม ‘นายอารัณย์ ทินโชติ’ เพิ่งมาทำงานเป็นพี่เลี้ยงเด็กที่โรงเรียนนี้ครับ”

 

รัตติกาลรู้ดีว่าไม่ได้มีเพียงแต่เขาที่กำลังสวมหน้ากากอยู่ ณ ที่นี่ อารัณย์ส่งยิ้มเป็นมิตรมาให้พร้อมกับเสียงทุ้มที่เอื้อนเอ่ยวาจาสุภาพผิดกับทุกที ทั้งที่พวกเขาไม่เคยพูดจากันดีๆแม้แต่ครั้งเดียว แต่มนุษย์ตรงหน้ากลับตีหน้าเป็นคุณครูผู้แสนสุภาพจนรัตติกาลแอบเห็นครูสาวที่ยืนอยู่ข้างๆตนมองอารัณย์ด้วยความชื่นชม

 

“เห็นคุณบอกว่าเพราะคดีของรพี คุณเลยเจอปัญหาไม่น้อย”

 

 “นับว่าโชคไม่ดีเลยที่มามีเรื่องแบบนั้นหนึ่งวันก่อนหน้าวันเริ่มงาน ทางโรงเรียนเลยให้ผมชะลอการเข้าทำงานไปก่อน แต่ก็ต้องขอบคุณทนายส่วนตัวของคุณนะครับที่ช่วยจัดการเรื่องทุกอย่างให้ตั้งแต่เช้า”

 

“ไม่เป็นไรครับ...มันเป็นสิ่งที่ผมต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว”

 

รัตติกาลนึกกนด่าทนายส่วนตัวในใจก่อนจะฉีกยิ้มให้อีกฝ่ายแล้วหันไปล่ำลาครูสาว ขอโทษอีกครั้งที่สร้างความเดือดร้อนให้ รัตติกาลรับกระเป๋าสะพายของรพีมาถือไว้ก่อนจะจูงมือเด็กชายให้เดินตามกันมา ทันทีที่หันหลังให้กับอารัณย์ที่ออกมายืนส่งพวกเขาที่หน้าห้อง ใบหน้าเปื้อนยิ้มของรัตติกาลก็หายไปกลายเป็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความครุ่นคิดชิงชังจนเด็กชายได้แต่มองพ่อด้วยความสงสัย

 

มือเรียวที่กอบกุมมือของรพีไว้เริ่มบีบแน่นไปตามแรงอารมณ์จนรพีสะดุ้งด้วยความเจ็บ ช่วงขาสั้นเริ่มเดินตามพ่อไม่ทัน แม้ไม่อยากจะโอดครวญให้พ่อนึกรำคาญใจ แต่ความทรงจำก่อนครั้งที่โดยวัยรุ่นติดยาพวกนั้นลากจูงพาไปทำร้ายย้อนกลับมาจนรพีต้องร้องเตือนคนเป็นพ่อ

 

“พะ พ่อกาล พีเจ็บ”

 

สิ้นเสียงของรพี รัตติกาลก็กลับมาได้สติอีกครั้ง ร่างโปร่งมองใบหน้าซีดของเด็กชายที่ตัวสั่นน้อยๆด้วยความกลัว แล้วรู้ตัวว่าได้ทำพลาดไปอีกแล้ว

 

“ขอโทษ พ่อรีบไปหน่อย”

 

รัตติกาลย่อตัวลงจนอยู่ในระดับเดียวกันกับรพีที่ส่ายหน้าน้อยๆ เพื่อบอกว่าตนเองไม่ถือสาโกรธเคืองอะไร ร่างโปร่งมองข้อมือเล็กที่เป็นรอยแดงเพราะเขาก่อนจะลูบมันเบาๆอย่างอ่อนโยน พอรพีมีท่าทีสงบขึ้นจากเดินรัตติกาลจึงเปิดปากถามถึงสิ่งที่สงสัย

 

“นายนั่น.. พ่อหมายถึงนายอารัณย์นั่น.. เขาทำอะไรพีบ้างรึเปล่า”

 

“อืม... ไม่นี่ฮะ ตอนแรกพีก็จำน้ารัณย์ไม่ได้เพราะวันนี้น้ารัณย์ไม่มีหนวด เพื่อนๆในห้องก็กลัวน้ารัณย์กันเพราะตัวใหญ่ แต่พอบ่ายน้ารัณย์พาทุกคนไปเล่นไล่จับที่สนามเลยไม่มีใครกลัวน้ารัณย์แล้ว”

 

เด็กชายเล่าออกมาเจื้อยแจ้วเมื่อคิดถึงตอนที่ร่างสูงเดินเข้ามาในห้องเรียนของตน ใบหน้าหล่อเหลาที่ไม่ถูกบดบังด้วยหนวดเคราทำให้รพีจำอารัณย์ไม่ได้เลยจริงๆจนอีกฝ่ายต้องเดินมาทัก น้ำเสียงทุ้มที่คุ้นเคยทำให้เด็กชายนึกออกทันทีว่าพี่เลี้ยงคนใหม่คือคนเดียวกับพี่ชายใจดีที่เข้ามาช่วยชีวิตเขาไว้จากพวกวายร้าย รวมถึงคอยอยู่เคียงข้างตนมาตลอดสามวันที่จมอยู่กับความรู้สึกผิด

 

 รพีรู้สึกดีใจที่ต่อไปจะมีอารัณย์มาคอยดูแลตัวเองที่โรงเรียนด้วย อาจจะเพราะเรื่องร้ายๆที่ผ่านมาทำให้ร่างป้อมรู้สึกเชื่อใจและเห็นอารัณย์เป็นที่พึงพิงที่ตนเองในส่วนลึกจึงเกิดความรู้สึกอยากให้อีกฝ่ายปกป้อง

 

แต่กลับกัน รัตติกาลรู้สึกไม่สบายใจเอาซะเลยที่เรื่องมันกลับตะละปัดกลายมาเป็นแบบนี้ เขาคาดไม่ถึงว่าคนดิบเถื่อนแบบนั้นจะเข้ามามีบทบาทในชีวิตของรพีผ่านการเป็นพี่เลี้ยงเด็กได้ กริยาหยาบโลนที่อีกฝ่ายกระทำกับเขาตั้งแต่ที่เจอกันครั้งแรก ไม่ได้ทำให้รัตติกาลสัมผัสถึงความอ่อนโยนจากอีกฝ่ายได้สักนิด

 

ที่สำคัญที่สุด...คืออีกฝ่ายรู้น่าจะรู้ดีว่าเขาคิดจะทำอะไร แววตาที่บ่งบอกว่ารู้ทันเคยทำให้เขารู้สึกสนุกราวกับเป็นผู้ล่า แต่ในกรณีนี้มันกลับสร้างความกังวลให้เขาไม่น้อย ทีท่าของรพีที่ดูจะชื่นชอบอารัณย์ทั้งที่ปกติเด็กชายจะไม่แสดงท่าทางแบบนี้กับใครนอกจากเขา แม้แต่กับนิลที่มักจะใจดีกับรพีอยู่เสมอเขาก็ยังไม่เคยเห็นแววตาแบบนั้นของรพีมองไปที่ใคร

 

 

“พ่อกาลฮะ พ่อกาล!”

 

“หะ หื้ม”

 

“พ่อกาลเป็นอะไรเหม่อๆ ทำงานเหนื่อยหรอฮะ”

 

“นิดหน่อยน่ะ”

 

“งั้นกลับบ้านกันเถอะฮะ พ่อกาลจะได้พัก”

 

“อืม..”

 

 

 รัตติกาลลุกขึ้นยืนอีกครั้งก่อนจะจับมือของรพีขึ้นมาจูงใหม่แล้วพากันเดินไปที่รถซึ่งจอดไว้ไม่ไกลนัก ร่างโปร่งปลดล็อคประตูจัดแจงให้รพีขึ้นไปนั่งที่ข้างคนขับก่อนที่ตนจะบอกให้เด็กน้อยนั่งรอสักครู่แล้วหลบมุมออกมายืนสูบบุหรี่ ห่างออกมาไม่ไกลนัก

 

ควันสีเทาลอยฟุ้งอยู่กลางอากาศ เหมือนกับความคิดของรัตติกาลที่ล่องลอย แผนการต่างๆที่ร่างโปร่งคิดจะทำ ถูกเรียบเรียงใหม่เพื่อให้พร้อมรับมือกับตัวแปรแทรกสอด อย่างอารัณย์ ที่โผล่เข้ามาอย่างไม่ได้รับเชิญ รัตติกาลสัมผัสได้ถึงลางสังหรณ์บางอย่างที่บอกเขาว่าผู้ชายคนนี้คงจะนำพาความวุ่นวายมาสู่ชีวิตเขาในอนาคตอันใกล้นี้แน่นอน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็หันหลังกลับไม่ได้แล้ว

 

“หึ บุหรี่ไม่ดีต่อเด็กๆ แค่นี้ก็ไม่รู้หรอครับ..คุณพ่อ”

 

รัตติกาลหันกลับไปมองอีกฝ่ายที่เดินเข้ามาหาเขาจากทางด้านหลัง ร่างกายสูงใหญ่ที่เปลี่ยนมาอยู่ในชุดเสื้อยืดคลุมทับด้วยเสื้อหนังสีดำพร้อมกับหมวกกันน็อคใบโตในมือ ทำให้รัตติกาลรู้ว่ารถมอเตอร์ไซด์สีเทาคันใหญ่เพียงคันเดียวที่จอดอยู่ที่นี่เป็นของใคร ร่างโปร่งเดินออกมายืนอยู่ข้างๆพลางเปรยตามองอีกฝ่ายที่กำลังจ้องเขาด้วยสายตากวนประสาทก่อนจะประดิษฐ์ยิ้มที่คิดว่าสวยที่สุดให้อีกฝ่าย

 

“ไม่น่าเชื่อนะ ว่าเราจะได้เจอกันอีกครั้งแบบนี้”

 

“นั่นสิ รู้สึก...ซวยชะมัด”

 

รัตติกาลกระตุกยิ้มเล็กน้อย แสร้งทำเป็นไม่รู้สึกอะไรกับคำพูดของอีกฝ่าย

 

“บุคลิกแบบคุณไม่น่าใช่คนรักเด็ก”

 

“ก็นะ คนเรามันดูกันแต่ภายนอกไม่ได้ ไอ้พวกใส่สูทผูกไททำตัวเป็นคนดี ใครจะรู้ว่าเนื้อในมันเน่าเฟะขนาดไหน”

 

“ใช่ คนสมัยนี้มันไว้ใจไม่ค่อยได้ ยังไงผมก็คงต้องฝากรพีให้คุณดูแลด้วย”

 

รัตติกาลทำเป็นพูดฝากฝัง ช่วงขายาวเดินมาเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายที่ขึ้นคร่อมรถมอเตอร์ไซด์ของตนเป็นที่เรียบร้อย มือเรียวยกขึ้นจับสายรัดคางของหมวกกันน็อคที่อีกฝ่ายสวมไว้บนหัวก่อนจะออกแรงดึงน้อยๆพอให้ใบหน้าของอารัณย์เคลื่อนลงมาใกล้กับตน

 

“หวังว่าคุณ...คงไวพอที่จะจับมันทัน”

 

อารัณย์ยิ้มรับก่อนจะยกมือของตนขึ้นจับมือของรัตติกาลที่กำลังจัดสายรัดคางให้เข้าที่ ดวงตาคมกริบจ้องมองนัยน์ตาหวานอย่างนายพรานจ้องเหยื่อ และนายพรานหนุ่มก็กำลังรู้สึกสนุกที่เหยื่อของตนไม่ใช่กวางโง่ๆแต่เป็นพญาเสือที่พร้อมจะหันกรงเล็บเข้าใส่เขาได้ถ้าหากพลั้งเผลอ

 

 


“ไม่ต้องห่วง ถ้าจับได้จะคั้นให้ตายคามือ ไม่ปล่อยไปแน่”

 

 

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

 

คุยกับเช่!

เซอร์ไพร์สไหม อารัณย์เป็นพี่เลี้ยงเด็กแหละ 55555 หัวเราะไปสามบ้านแปดบ้าน ตอนแต่งเช่นี่ขำไม่หยุด

เชื่อว่าต้องมีคนท้วงเรื่องความสมจริงแน่นอน อะนะฮะ รอดูกันไป พี่แกเป็นคนอบอุ่นจริงๆนะ ^^

หลายคนคงคิดว่าไนท์แมร์มันเป็นนิยายที่โลดโพน ปมพันกันมั่วไปหมด มันก็เป็นแบบนั้นแหละฮะ แต่งไปปวดหัวไป

อาทิตย์หน้าเช่สอบด้วย อาจจะไม่ได้อัพทุกวัน แต่จะพยายามมาอัพให้ถ้าว่าง อัพไม่อัพจะแจ้งล่วงหน้าไว้ที่เพจนะคนับ!

https://www.facebook.com/pages/Vivace-Story/1449951678656400

ขอบคุณทุกเม้นทุกโหวต ไม่บังคับนะคนับ แต่ถ้าชอบอยากให้กำลังใจเช่ก็จิ้มกันเบาๆ #เขิน

 
 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[
 

ออฟไลน์ blur

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
กาลเป็นรับแน่ๆเลย

ออฟไลน์ iiduckii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 66
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
รัณย์รีบจับให้ได้แล้วเล่นให้หนัก หึหึหึหึ :hao7: :hao7: :hao7:

สะจายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

คนเขียนสอบก็สู้ๆนะค้าาาาาาาาาาา :3123: :3123: :3123:

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
ขอเลื่อนอัพไปอีกสองวันนะคนับ เจอกันอีกทีวันพฤหัสเลยถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดอีก

ทั้งสอบ ทั้งโปรเจครุมเร้า
:sad4: :sad4: :sad4:

ออฟไลน์ blur

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
11th Night

…Unconscious...

 

 

 

 

 ตลอดทั้งอาทิตย์ที่ผ่านมา รัตติกาลทำหน้าที่เที่ยวรับส่งรพีด้วยตนเอง จนเริ่มคุ้นชินกับใบหน้ากวนประสาทของอารัณย์ที่ออกมายืนรับส่งนักเรียนหน้าโรงเรียนในทุกๆวัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีสิ่งที่สร้างความหงุดหงิดให้เขามากที่สุดก็คือไม่มีใครสังเกตเห็นความหยาบโลนของอีกฝ่ายเลยนอกจากเขา

 

“พี่รัณย์สวัสดีฮะ!!”

 

“ว่าไงข้าว วันนี้มาแต่เช้าเลยนะ”

 

“ข้าวนัดกับพีไว้ว่าจะมาเล่นด้วยกันตอนเช้า อ๊ะ! นั่นไงพีมาพอดีเลย พีๆ!”

 

รัตติกาลยืนมองอยู่ตั้งแต่เพื่อนของรพีวิ่งเข้าไปหาอารัณย์โดยที่อีกฝ่ายส่งยิ้มอ่อนโยนให้เด็กชายก่อนจะลูบหัวทุยนั้นเบาๆ ร่างโปร่งเหยียดยิ้มให้กับภาพตรงหน้าก่อนจะเดินจูงรพีเข้าไปในบริเวณโรงเรียนที่มีอารัณย์และครูประจำชั้นของลูกชายทำหน้าที่คอยต้อนรับนักเรียนในเช้าวันนี้

 

อารัณย์เองเมื่อได้ยินว่ารพีมาถึงก็ละสายตาจากเด็กน้อยขึ้นไปมอง ภาพของสองพ่อลูกที่เดินจูงมือกันเข้ามาเริ่มเป็นที่คุ้นชินตามากขึ้นต่างจากช่วงแรกๆ ที่ไม่มีใครรู้เลยว่ารัตติกาลเป็นพ่อของรพี แต่หลังจากนั้นไม่นานร่างสูงก็มักจะได้ยินพวกผู้ปกครองและครูคนอื่นแอบซุบซิบกันโดยมีเรื่องของรัตติกาลเป็นหัวข้อสนทนาอยู่เสมอ

 

ก็สมควรอยู่... ใบหน้าหวานคมดูมีเสน่ห์ รูปร่างสูงโปร่งกับผิวขาวสะอาดสะอ้าน รวมถึงการแต่งกายในชุดสูทเรียบร้อยในทุกๆวัน ทำให้รัตติกาลกลายเป็นที่สนใจของสาวๆหลายคนในเวลาอันรวดเร็ว

 

แถมเรื่องที่เจ้าตัวเป็น ‘คุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว’เลี้ยงดูรพีด้วยตัวคนเดียวโดยไม่มีภรรยาคอยช่วยกลับยิ่งขับเสน่ห์ของร่างสูงให้มากขึ้นไปอีก นึกถึงตรงนี้แล้วอารัณย์ก็อยากจะขำออกมาดังๆ คุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวอะไรกัน การที่ไม่มีใครเคยเห็นหน้าพ่อของรพีมาก่อนก็เป็นเพราะร่างโปร่งไม่เคยทำหน้าที่นี้เลยไม่ใช่รึไง

 

“สวัสดีค่ะคุณกาล มาเช้าเชียวนะคะวันนี้”

 

“สวัสดีครับครูสา วันนี้ก็ขอฝากรพีด้วยนะครับ”

 

อารัณย์มองรัตติกาลที่กำลังทักทายกับครูสาวอย่างสุภาพด้วยความรู้สึกรังเกียจการกระทำของอีกฝ่าย ภายใต้เปลือกแสนสวยหรูของร่างโปร่ง อารัณย์รู้ดีว่าแท้จริงแล้วผู้ชายคนนี้ไม่ได้มีความเป็นพ่อคนเลยสักนิด ภาพของชายหนุ่มที่ตรงเข้าไปด่าทอลูกชายด้วยถ้อยคำหยาบคาย หนำซ้ำยังลงมือทำร้ายเด็กตัวเล็กๆที่เพิ่งผ่านเหตุการณ์สะเทือนใจมาทำให้เขารู้สึกไม่ไว้ใจคนคนนี้เลยแม้แต่นิดและสิ่งที่ตอกย้ำความเชื่อของเขาว่ารัตติกาลเป็นคนร้ายกาจก็คือคำพูดที่เจ้าตัวตะโกนออกมาในวันนั้น...ว่ารพีไม่สมควรได้เกิดมา

 

 

ต่อให้มีเหตุผลอะไรก็เถอะ

 

 

สำหรับเขาแล้ว...มันเป็นสิ่งที่ให้อภัยไม่ได้

 

.

.

.

.

 

 

“คุณกาลคะ คุณนิลขอเข้าพบคะ”

 

เสียงธิชาดังผ่านอินเตอร์โฟนเข้ามา รัตติกาลขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างสงสัยเพราะปกติแล้วเพื่อนของเขาจะเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหาเองทุกครั้งโดยไม่สนใจว่าธิชาจะห้ามยังไง ร่างโปร่งตอบรับกลับไปหลังจากนั้นไม่นานร่างสูงของนิลก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับท่าทีอิดโรยกว่าทุกที

 

“เป็นอะไรวะไป วันนี้มาแปลกๆ”

 

“ปั่นต้นฉบับยันเช้าน่ะ จะตายแล้วแม่ง”

 

“ที่หลังก็อย่าหมกงานไว้ทำทีเดียวสิวะ ธิชา ขอกาแฟดำให้ผมแก้วนึงนะ”

 

ถึงจะสงสัยในท่าทางของเพื่อนแต่เพราะสภาพของคนตรงหน้าก็ทำให้ร่างโปร่งเลือกที่จะปล่อยผ่านมันไปก่อนจะสั่งเครื่องดื่มให้อีกฝ่าย หวังว่าเครื่องดื่มสีดำที่ร่างสูงชอบกินมันจะทุเลาอาการง่วงซึมของนิลได้บ้าง

 

นอกจากเรื่องที่เขาต้องเจอหน้าอารัณย์มาทั้งอาทิตย์แล้ว สิ่งที่เปลี่ยนไปในชีวิตก็เห็นจะเป็นการไม่ได้เจอหน้านิลอีกเลยตั้งแต่วันนั้น รัตติกาลเองเคยติดต่อไปทางโทรศัพท์บ้างแต่อีกฝ่ายก็ดูเหมือนมีธุระบางอย่างรัดตัวจนไม่เคยปลีกเวลามาเพื่อพูดคุยกับเขายาวๆได้เลย

 

ดวงตาคมมองภาพเพื่อนรักที่เอาฝ่ามือขึ้นมาปิดดวงตาไว้ในขณะที่นอนเอนหลังอยู่บนโซฟารับแขกตัวยาวก่อนจะพ่นเสียงถอนหายใจหนักๆออกมา ไม่นานนักเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นพร้อมกับร่างของเลขาสาวพร้อมกับกาแฟและของว่างเล็กๆน้อยๆที่เธอติดเผื่อมาด้วย

 

ร่างโปร่งลุกขึ้นก่อนจะทำสัญญาณมือให้ธิชารู้ว่าเธอควรทำทุกอย่างด้วยความเงียบ ร่างบางเอนคอน้อยๆด้วยความสงสัยแต่พอเธอหันไปเห็นร่างเพื่อนรักของเจ้านายเธอกำลังหายใจเข้าออกเป็นจังหวะก็ทำให้เธอยิ้มรับด้วยความเข้าใจ

 

“ขอบใจมาก คุณไปทำงานต่อเถอะ”

 

รัตติกาลลุกขึ้นจากเก้าอี้ของตนก่อนจะเดินมารับของที่หญิงสาวจัดหามาให้ด้วยตัวเองพลางพูดกับอีกฝ่ายด้วยเสียงที่แผ่วเบาเพราะกลัวจะไปรบกวนการนอนของนิลเข้า เขารับถาดสีเงินวาวนั้นมาก่อนจะวางมันลงบนโต๊ะตัวเล็กหน้าโซฟาชุดแล้วจึงเดินไปหยิบเอกสารที่อ่านค้างอยู่ เปลี่ยนบริบทมานั่งอ่านสบายๆที่โซฟาเดี่ยวตัวข้างๆกัน รัตติกาลมองหน้าของนิลอยู่นานก่อนจะเริ่มลงมืออ่านรายงานผลประกอบการประจำเดือนที่แล้วต่อไปอย่างเงียบๆ

 

“มึง...อย่าเปลี่ยนไปได้ไหมนิล”

.

.

.

.

 

“อืม...”

 

ร่างสูงของนิลเพิ่งได้สติหลังจากหลับใหลมานาน ด้วยความที่ช่วงกลางวันห้องของรัตติกาลจะเลื่อนปิดม่านกันแสงไว้หมดเลยทำให้เขาไม่รู้ตัวเลยว่าหลับไปนานแค่ไหน ชายหนุ่มดันตัวขึ้นจากโซฟาตัวใหญ่พลางบิดร่างกายไปมาเพื่อคลายอาการเมื่อยขบ เขามองหาเพื่อนของตนที่ควรจะอยู่ในห้องแต่บัดนี้กลับไร้เงาของรัตติกาล มีเพียงแต่งานกองพะเนินบนโต๊ะ และถาดของว่างที่นิลเดาว่าธิชาคงเอามาให้เขาตั้งแต่เช้าแล้ว

 

“บ่ายสองแล้วหรอวะ เผลอหลับยาวเลยกู”

 

นิลดูนาฬิกาข้อมือก่อนจะถอนหายใจออกมา ด้วยเพราะความที่ต้องไปจัดการธุระบางอย่างทำให้เขาแทบไม่ได้พักผ่อนเลยตลอดเวลาหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา ไม่ว่างแม้แต่จะหาเวลาปรับความเข้าใจกับรัตติกาลที่ถึงแม้เจ้าตัวจะทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นแต่เขาก็รู้ดีว่าความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่มันได้ห่างเหินไปจากเดิมมากพอตัว นิลเอื้อมหยิบคุกกี้ที่เริ่มอ่อนตัวลงขึ้นมากินอย่างไม่เรื่องมากพลางหยิบโทรศัพท์คู่ใจออกมาเปิดเช็คข้อความจากคนที่เขากำลังรอให้ติดต่อกลับมาอยู่ แต่หน้าจอกลับว่างเปล่าจนเขาต้องถอนหายใจออกมาอย่างหงุดหงิดที่อะไรๆก็ดูไม่เป็นใจไปซะหมด

 

“ตื่นแล้วหรอวะ”

 

เสียงของรัตติกาลดังขึ้นพร้อมกับบานประตูที่เปิดออก ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งหอบหิ้วแฟ้มเอกสารจำนวนหนึ่งติดตัวกลับมาด้วยหลังจากเดินไปคุยงานกับหัวหน้าแผนกอื่นมา เขาวางแฟ้มพวกนั้นลงบนโต๊ะก่อนจะขมวดคิ้วใส่เพื่อนรักที่เอาแต่เคี้ยวขนมงุบๆขณะที่จ้องมองมาที่เขา

 

“มันนิ่มแล้วมึงก็จะยังกินอยู่ได้ ไม่ออกไปเอาใหม่วะ”

 

“แม่งก็เหมือนกันนั่นแหละ กูแดกได้ ว่าแต่มึงเหอะทำไมไม่ปลุกกูวะ”

 

“เหอะ.. ทำเหมือนปลุกแล้วจะตื่น นอนเป็นตายขนาดนี้ไปทำอะไรมาถามจริง เมื่อตอนสายๆลงไปดูต้นฉบับรอบนี้ที่ให้ส่งก็มีไม่เท่าไหร่ อย่างมึงไม่น่าจะต้องถึงขั้นโหมหนักจนไม่ได้หลับไม่ได้นอน”

 

“แม่งก็มีบ้างป่าววะช่วงที่เขียนไม่ออก ใช่ว่ามึงจะไม่เคยเป็น”

 

ร่างสูงทำท่าแก้ตัวอย่างขอไปทีก่อนจะส่งคุกกี้ชิ้นสุดท้ายลงท้องไปพร้อมกับกาแฟชืดๆ นิลลุกขึ้นยืนแล้วเปลี่ยนไปนั่งบนเก้าอี้ตัวตรงกันข้ามกับรัตติกาล ก่อนจะเอ่ยถามออกไป

 

“เย็นนี้ไปไหนป่าววะ”

 

“อืม ต้องไปรับพีที่โรงเรียน”

 

“เห็นป้าจันทร์บอกว่ามึงไปทุกวันเลยช่วงนี้”

 

“ก็เท่าที่ยังไปได้ ถ้าถึงช่วงปิดรอบคงอาจจะต้องวานลุงสิทธิเหมือนเดิม”

 

“เอาจริงแล้วใช่ไหมวะไอ้กาล...”

 

นิลเอ่ยถามสิ่งที่แอบคิด ว่ากันตรงๆเขาเองก็ยังไม่ค่อยไว้ใจเพื่อนของตนเท่าไหร่ว่าจะกลับใจมาทำตัวดีกับรพีได้จริง เพียงแต่เพราะท่าทีของรัตติกาลที่เปลี่ยนไปตั้งแต่การกลับมาหลังจากหายตัวไปครั้งนั้นทำให้เขาไม่สามารถคาดเดาอารมณ์ของร่างโปร่งได้อย่างเคย รัตติกาลเงยหน้าขึ้นสบตาเพื่อนก่อนจะส่งยิ้มให้อย่างขำๆในสีหน้าหวาดระแวงของนิลที่พักหลังมานี้แสดงออกให้เขาเห็นบ่อยเหลือเกิน ทั้งที่เมื่อก่อนนิลเป็นเพื่อนที่เชื่อใจเขามากที่สุด

 

“ทำไม คิดว่ากูวางแผนชั่วๆอะไรไว้รึไง”

 

“กูไม่ได้หมายความว่าอย่างงั้น”

 

“ไม่เป็นไรหรอกถ้ามึงจะคิดอย่างนั้นจริงๆ กูร้ายมาตลอดจู่ๆให้มาทำดีด้วยเป็นใครก็คงไม่เชื่อ”

 

“ไอ้กาล กูไม่ได้ตั้งใจจะว่ามึงนะเว้ย”

 

“แล้วแม่งคืออะไรวะ.. ทั้งอาทิตย์มึงหายไปไหนมา”

 

ทั้งที่ตั้งใจไว้ว่าจะไม่ถามเพราะไม่อยากจะทำให้ช่องว่างที่กว้างขึ้นนั้นห่างไปกว่าเดิม แต่รัตติกาลก็อดใจไม่ไหวต้องถามออกไปเพราะความอึดอัดที่อยู่ในอกเมื่อเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเพื่อนรัก

 

“กูมีธุระต้องไปจัดการนิดหน่อย”

 

“ธุระอะไรบอกกูได้ไหม”

 

“ก็เหมือนเดิม พวกเหนียวหนี้พ่อกูน่ะ”

 

ร่างสูงเอ่ยถึงธุรกิจของทางบ้านตนที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งเปิดกิจการบ่อเลี้ยงพันธุ์กุ้งและสัตว์น้ำอื่นๆเพื่อเพาะพันธุ์เลี้ยงไว้เองและมีบางส่วนแบ่งขายให้กับชาวบ้านที่พอจะมีพื้นที่สร้างบ่อมารับเอาไปเลี้ยงอีกทางเพื่อยังชีพ ตามปกติแล้วใครจะมาเอาพันธุ์กุ้งจากบ้านของตนไปต้องจ่ายเงินสดเท่านั้น แต่ด้วยเพราะความใจดีของพ่อแม่ตนที่ยอมผ่อนปรนให้ชาวบ้านเก่าแก่ที่มักจะคุ้นหน้าคุ้นตากันดีเอากุ้งไปโดยติดเงินเอาไว้ก่อนทำให้นิลต้องปลีกตัวกลับไปจัดการหนี้สินอยู่บ้างเป็นบางครั้ง

 

“แน่ใจนะว่าเรื่องจริง”

 

“หึ ว่าแต่กูมึงเองก็ไม่เชื่อใจกูหรอวะ”

 

“เปล่า... กูเชื่อมึงอยู่แล้ว แต่ไหนแต่ไรมีมึงคนเดียวนั่นแหละที่หวังดีกับกู”

 

“คนอื่นเขาก็หวังดีกับมึงไอ้กาล อย่าปิดกั้นตัวเองนักสิวะ”

 

“ช่างมันเถอะ กูมีแค่มึงคนเดียวก็พอแล้ว”

 

รัตติกาลพูดออกมาจากใจจริง ตลอดเวลาที่ผ่านมานิลคือคนที่หวังดีกับเขามากที่สุด แม้รอบตัวเขาจะมีเพื่อนฝูงมากมายแค่ไหนแต่คนคนเดียวที่รัตติกาลเชื่อใจก็คือนิลที่อยู่เคียงข้างกันมาตลอดไม่ว่าเขาจะเผชิญหน้ากับอะไร แม้ภายนอกจะดูเป็นพวกแข็งกระด้าง แต่เขารู้ดีที่สุดว่านิลเป็นคนที่อ่อนโยนกว่าใคร

 

“ฮ่าๆ ขนลุกว่ะสัส ว่าแต่มึงอะสูบจัดไปไหม กลัวไม่ได้แก่ตายรึไง”

 

นิลขำออกมาน้อยๆก่อนจะเอื้อมมือเข้ามาหยิบแท่งนิโคตินที่รัตติกาลคาบเอาไว้ออกมาจากปาก ร่างโปร่งชักสีหน้าไม่พอใจใส่แต่นิลก็ทำทีเป็นไม่สนใจก่อนจะจุดไฟแล้วสูบอัดควันสีเทานั้นเข้าปอดตัวเองแทน

 

“ถ้าอยากเป็นคุณพ่อที่ดี แนะนำเลย เลิกบุหรี่ซะ”

 

ชายหนุ่มพูดออกมาลอยๆก่อนจะหันไปส่งยิ้มล้อเลียนให้ร่างโปร่งที่นั่งหน้าบึ้งอยู่ แต่นิลคงไม่รู้ว่าที่รัตติกาลออกอาการอารมณ์เสียอยู่ตอนนี้ไม่ใช่เพราะโดนแย่งบุหรี่ไปแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะพอพูดถึงบุหรี่ ใบหน้ากวนประสาทของคนบางคนที่เคยว่ากระทบเขาเรื่องนี้กลับลอยขึ้นมาจนต้องสบถคำหยาบออกมาอย่างหงุดหงิด

 

 

“อย่าพูดเหมือนไอ้เวรนั่นได้ไหมแม่ง...”

 

.

 

.

.

.

 

“คุณกาลจะออกไปไหนคะ”

 

ตอนนี้เป็นเวลาเกือบห้าทุ่ม นิ่มที่เดินสำรวจไฟรอบๆบ้านเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเข้านอนร้องทักชายหนุ่มเจ้าของบ้านที่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกางเกงยีนส์สบายๆ กำลังเดินควงกุญแจรถในมือเล่นขณะมุ่งหน้าไปที่โรงจอดรถข้างๆบ้านด้วยท่าทีไม่รีบร้อน ช่วงขายาวหยุดชะงักก่อนจะหันมามองสาวใช้ในบ้านที่กำลังมองเขาอยู่

 

“ออกไปหาเพื่อนนิดหน่อย ไม่ต้องไปเปิดประตูให้หรอก นิ่มไปนอนเถอะ”

 

“แต่ว่านี่มันก็ห้าทุ่มแล้ว...”

 

“แล้วยังไง?”

 

“ปะ เปล่าค่ะ”

 

นิ่มไม่กล้าพูดอะไรต่อ เพราะสายตาแสนเย็นชาของเจ้านายเธอเหมือนคำเตือนที่สั่งให้เธอหุบปากให้สนิท ร่างโปร่งพาตัวเองขึ้นนั่งบนรถคันหรูก่อนจะถอยรถแล้วขับออกมาโดยใช้รีโมทกดเปิดประตูรั้วบ้านออกไปอย่างรวดเร็ว

 

 

จุดหมายปลายทางของรัตติกาลคืนนี้คือไนต์คลับอีกแห่งที่ไม่ใช่ที่ประจำที่เขาไปกับนิล ไม่ใช่ว่าอยากจะหลบหน้าหรือกลัวคนจับได้ราวกับเด็กทำความผิด รัตติกาลแค่อยากจะหนีจากเรื่องทางบ้านไปให้ไกลๆ ที่ต้องทำดีกับเด็กนั่น เขาก็รู้สึกเหมือนต้องใช้ความอดทนของทั้งปีหมดไปแค่ในเวลาอาทิตย์เดียว

 

 

หากไม่ใช่เพราะเป้าหมายที่ตั้งไว้

 

ต่อให้ตายยังไงเขาก็ไม่มีทางทำดีกับมันเด็ดขาด..

 

 

ผิวขาวของร่างโปร่งดึงดูดสายตาของหนุ่มสาวรอบข้างให้มองมาเป็นทางเดียว ยิ่งมีแสงแบล็คไลท์ยิ่งทำให้รัตติกาลดูโดดเด่นที่สุดในค่ำคืนนี้ เขานั่งจิบเครื่องดื่มดีกรีแรงอยู่คนเดียวในส่วนของเคาท์เตอร์บาร์ รับรู้ถึงสายตามามายที่จ้องมาที่ตัวเองแต่ก็ยังไม่ตัดสินใจเลือกว่าคนไหนที่เขาจะเข้าไปสานสัมพันธ์ด้วย

 

“ขอนั่งด้วยคนนะครับ”

 

ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังสั่งเครื่องดื่มเพิ่มก็มีเสียงชวนคุยดังมาจากเก้าอี้ตัวข้างๆที่มีคนถือวิสาสะเข้ามาจับจองก่อนที่เขาจะตอบอะไร เด็กชายวัยรุ่นรูปร่างหน้าตาพอใช้ได้ภายใต้ชุดเสื้อยืดสกรีนลายกราฟิกเท่ๆกำลังส่งยิ้มมาให้เขาพร้อมกับดวงตาที่ฉ่ำปรือเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ มองเลยไปด้านหลังร่างโปร่งก็เห็นกลุ่มเด็กผู้ชายที่แต่งตัวแนวเดียวกันกับคนตรงหน้ากำลังมองมาทางนี้พร้อมกับซุบซิบกันไม่หยุดทำให้เขารู้ทันทีว่าเด็กหนุ่มคนนี้คงโดนเพื่อนยุให้เดินมาหาเขาแน่ๆ

 

“ขอทำไม ก็นั่งไปแล้วนี่”

 

“ฮ่าๆนั่นสิเนอะ พี่ชื่ออะไรหรอครับ ผมชื่อกรีนนะ”

 

ร่างโปร่งพยักหน้าอย่างรับรู้ก่อนจะทำเป็นไม่สนใจ หมุนแก้วเหล้าในมือเล่นโดยไม่หันไปมองเด็กหนุ่มคนข้างๆ อีกฝ่ายที่รอให้เขาตอบชื่อก็เริ่มแสดงสีหน้าง้ำงอก่อนจะถือโอกาสคล้องแขนของเขาแล้วออกแรงดึงจนสุราราคาแพงกระฉอกคามือ

 

“ปล่อย...”

 

“ไม่ปล่อยอะ ผมบอกชื่อพี่แล้วพี่ก็บอกชื่อตัวเองมาสิ ขี้โกงนะ”

 

“ผมไม่อยากยุ่งกับคุณ ช่วยปล่อยแขนผมด้วย”

 

“อะ อะไรนะ... กล้าดียังไงถึงมาพูดกับผมแบบนี้ แค่หน้าตาดีหน่อยก็อย่ามาเล่นตัวนักเลย!

 

เด็กหนุ่มรู้สึกทั้งโกรธและอับอายจนหน้าแดงกล้ำ ยิ่งกลุ่มเพื่อนของตนซึ่งอยู่ไม่ไกลได้ยินคำพูดตัดรอนของชายหนุ่มที่ตนหมายปองบอกตัดบทเขาอย่างไม่ไว้หน้ายิ่งทำให้เขาเริ่มรู้สึกไม่พอใจร่างโปร่งจนเผลอตะโกนใส่อีกฝ่ายอย่างไม่มีสติ

 

รัตติกาลเองที่เกลียดความวุ่นวายแบบนี้เป็นทุนเดิมก็ถอนหายใจออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ ร่างโปร่งหยิบกระเป๋าเงินของตนขึ้นมาแล้ววางแบงค์พันสองใบไว้บนเคาท์เตอร์บาร์ก่อนจะเดินออกมาเพื่อตัดรำคาญ แต่ยังไม่ทันที่จะได้ก้าวออกไป เด็กหนุ่มคนเดิมก็มายืนขวางเขาไว้ทั้งที่ตัวเองยังจะพยุงร่างที่โอนเอนนั้นไม่ไหวอยู่แล้ว

 

“จะไปไหน ผมยังพูดไม่จบเลยนะเว้ย!”

 

“ถ้าเมาแล้วก็ไปไกลๆ...”

 

“ใครเมา ผมไม่ได้เมา!! พี่แม่งกวนตีนวะ!!”

 

ร่างโปร่งที่สติขาดผึงเมื่ออีกฝ่ายพาลใส่ตน คว้าคอเสื้อของเด็กหนุ่มแล้วกระชากเข้าหาตนอย่างไม่เกรงกลัว นัยน์ตาคมกริบจ้องเข้าไปในดวงตาที่ฉายความหวาดหวั่นของอีกฝ่ายพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงกดต่ำจนคนฟังตัวสั่นสะท้าน

 

“ถ้ามึงไม่หยุด...กูเอามึงตายแน่”

 

“พะ พี่จะทำอะไรผม ปะ ปล่อยนะ”

 

“หึ ทำไมไม่ปากเก่งให้ได้ตลอดละวะ”

 

รัตติกาลปล่อยมือออกจากคอเสื้อของอีกฝ่าย เด็กหนุ่มที่ได้รับอิสรภาพรีบถอยตัวออกมาข้างหลังแต่ก็ยังไม่เร็วพอ นัยน์ตาเย็นชาของอีกฝ่ายเปลี่ยนมาเป็นฉายแววความสนุกสนานเหมือนเวลาเด็กเจอของเล่น มือเรียวคว้าหมับไปที่แก้มตอบของอีกฝ่ายก่อนจะออกแรงบีบจนใบหน้าขาวเนียนนั้นบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ริมฝีปากที่ถูกบี้เข้าหากันไม่แม้แต่จะสามารถร้องขอให้คนตรงหน้าหยุดการกระทำนี้ ร่างกายบอบบางสั่นระริกด้วยความกลัวแต่ก็ยังพยายามดึงมือของอีกฝ่ายให้ออกไปจากหน้าของตนเอง

 

“เงียบทำไม เถียงต่อสิ ด่ากูต่อสิ... ถ้ามึงไม่พูดกูจะกระทืบมึงตรงนี้แหละ!”

 

“มึงจะทำอะไร ปล่อยเพื่อนกูนะเว้ย!!!”

 

กลุ่มเพื่อนของเด็กหนุ่มวิ่งกรูกันเข้ามาพยายามกระชากรัตติกาลให้ออกห่างจากเพื่อนของตนที่กำลังยืนร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด ร่างโปร่งทำสีหน้าไม่สะทกสะท้านกับการกระทำของตัวเองหนำซ้ำยังหันไปกราดมองเพื่อนของเด็กหนุ่มที่มีสีหน้าไม่พอใจและพร้อมจะพุ่งเข้ามาหาเขาทุกเมื่อ

 

“ที่หลังถ้าไม่อยากให้เพื่อนมึงโดนกระทืบตาย ก็หัดหาโซ่มาล่ามมันไว้ไม่ให้ออกไปแรดใส่คนอื่น..”

 

“พูดเกินไปแล้วไอ้เหี้ย!!”

 

“กูทำได้มากกว่าพูดอีก มึงจะเอาไหมล่ะ!”

 

“เอาดิ คิดว่ากูกลัวมึงรึไงวะ!!!”

 

หลังจบคำพูดนั้นอีกฝ่ายก็เป็นคนปล่อยหมัดเสยเต็มปลายคางของร่างโปร่งก่อนทั้งคู่จะลงมือซัดกันนัว ถึงแม้อีกฝ่ายจะมีคนมากกว่าแต่เพราะชั้นเชิงและร่างกายของหนุ่มโตเต็มวัยก็ทำให้รัตติกาลได้เปรียบ ช่วงขายาวแตะอัดเข้าเต็มท้องของเด็กคนหนึ่งจนกระอักเลือดออกมา เสียงหวีดร้องโกลาหนดังไปทั่ว ท่ามกลางความวุ่นวายนั้นรัตติกาลได้ยินเสียงคนร้องเรียกหาทีมการ์ดแต่อารมณ์ของเขาก็มาไกลเกินกว่าจะหยุดยั้งได้แล้ว

 

“ฮ่าๆๆๆ พวกมึงแม่งอ่อนวะ!!!”

 

 

รัตติกาลหัวเราะร่าอย่างสะใจเมื่อตนเองจัดการล้มอีกฝ่ายลงไปได้แล้วสองคน ก่อนจะหันมาคว้าเอาเก้าอี้เหล็กที่อยู่ใกล้ๆฟาดเข้าเต็มแผ่นหลังของเด็กหนุ่มทีพยายามวิ่งหนีเขาจนล้มลงกองกับพื้น ร่างโปร่งยังไม่หยุดเพียงเท่านั้น เขาเดินฝ่าฝูงคนที่มุงดูอยู่อย่างวาดกลัวไปหยิบเอาขวดเบียร์ที่วางอยู่บนโต๊ะแถวๆนั้นมาถือไว้ก่อนจะหมุนตัวกลับไปหาเด็กหนุ่มที่ยกมือไหว้เขาจนท่วมเพื่อขอให้หยุดสิ่งที่เขาคิดจะทำ

 

“ผมกลัวแล้วพี่!พะ พวกผมยอมแล้ว ปล่อยพวกผมไปเหอะ!!”

 

“ตอนกูบอกให้หยุดมึงไม่หยุด... หึ ตอนนี้มึงอย่ามาหวังเลย”

 

“ฮึก ผมขอร้อง พี่หยุดเหอะ ฮึก อย่าทำผมเลย!!”

 

 

“หยุดเถอะกาล..”

 

 

“...”

 

 

“พี่บอกให้พอสักทีไง!”

 

 

“ไม่...”

 

 

“หยุด!”

 

 

“ผมไม่หยุด!!”

 

 

“เลิกทำแบบนี้สักที!!!”


 

 

“ก็บอกแล้วไงว่าผมไม่มีวันเลิกกับพี่!!!!!!”

 

 

เพล้ง!!!

 

 

“รัตติกาลหยุด!! เวรเอ้ย! ผมบอกให้หยุดไง คุณทำอะไรลงไปรู้ตัวบ้างไหม!!!”

 

 

ความเจ็บแปลบตรงข้ามแก้มดึงสติของรัตติกาลให้กลับเข้าที่ เสียงกรีดร้องดังระงมปะปนกับเสียงร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวดของกลุ่มเด็กวัยรุ่นพวกนั้นดังอยู่ตรงหน้าเขา ทั้งที่มีเรื่องกันอยู่ แต่ทำไมไม่มีใครกล้าสบตากับเขาสักคน...

 

 

เอ๋?

 

กองเลือดนั่นมันอะไร?

 

นั่นมันเด็กคนที่เข้ามาต่อยเขานิ...

 

ทำไมถึงลงไปนอนอยู่ตรงนั้น??

 

 

เพล้ง!!!

 

 

ความรู้สึกเจ็บแล่นริ้วจากฝ่ามือขึ้นมาถึงแขนจนรัตติกาลเผลอสะบัดมือทำให้วัตถุบางอย่างที่เขาถือเอาไว้ร่วงลงสู่พื้น มันคือขวดเบียร์ที่ตามปกตินั้นเป็นสีเขียว แต่เศษซากที่กองอยู่กับพื้นกลับเต็มไปด้วยน้ำสีแดงข้นคลั่กจนเห็นได้แม้ในความมืด ร่างโปร่งรู้สึกมึนงงและสับสน ทำไมถึงมีเลือดเต็มไปหมด แล้วทำไมพอเขาทำขวดเบียร์ในมือตกทุกคนถึงได้มีท่าทางหวาดกลัวแบบนั้น ไม่ใช่แค่เด็กพวกนั้นที่ตอนนี้ก็ยังไม่กล้ามองหน้าเขา แม้แต่คนที่มุงดูยังพากันถอยหลังออกไปราวกับว่าเขาเป็นตัวอันตรายอะไรสักอย่าง รัตติกาลไม่เข้าใจ มันเกิดอะไรขึ้น?

 

“มีคนโทรเรียกรถโรงพยาบาลรึยัง!”

 

เสียงๆเดียวกับเสียงที่ดึงสติเขากลับมาดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัด นัยน์ตาหวานคมหันกลับไปมองก็เห็นร่างสูงใหญ่ของนายพี่เลี้ยงเด็กที่อยู่ในชุดเสื้อยืดคอวีสีเทาคลุมทับด้วยสูทสีขาวซึ่งเปื้อนไปด้วยเลือดกำลังถอดสูทตัวนั้นออกแล้วใช้กดทับไปยังหัวของเด็กผู้ชายที่นอนไม่ได้สติอยู่บนพื้น

 

ถึงอยากจะถามว่าอีกฝ่ายมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไงแต่ภาพที่ร่างสูงกำลังช่วยปฐมพยาบาลคนเจ็บก็ทำให้รัตติกาลเลือกที่จะเข้าไปช่วยอีกฝ่ายด้วยก่อนเป็นอันดับแรก แต่พอเขาจะก้าวเดินเข้าไปใกล้เด็กคนที่ชื่อกรีนซึ่งนั่งตัวสั่นอยู่บนพื้นก็กรีดร้องออกมาอย่างเสียขวัญ

 

“อย่าเข้ามานะ ไอ้ฆาตกร!!!”

 

 

“หะ? ฆาตกรอะไร? ใคร?”

 

 

“มึงนั่นแหละ!! ฮึก มึงฆ่าไอ้โอม ฮือ.. มึงทำเพื่อนกูทำไม!!!”

 

 

“ฆาตกรหรอ... เราเนี่ยนะ?”

 

 

รัตติกาลส่ายหัวอย่างไม่เข้าใจ เขาเบือนหน้าหันไปหาอารัณย์ที่ยังคงพยายามห้ามเลือดคนเจ็บอยู่แต่อีกฝ่ายทำเพียงแค่มองหน้าเขานิ่งๆอยู่สักครู่ก่อนจะให้ความสำคัญกับชีวิตที่เด็กคนนั้นบอกว่าเขาได้คร่าเอามันไป

 

ร่างโปร่งนึกเอะใจเลยก้มลงดูตัวเอง เสื้อเชิ้ตที่เคยเป็นสีขาวสะอาดกลับเลอะคราบสีแดงเป็นวงกว้าง มือของเขาที่เคยรู้สึกเจ็บนั้นเต็มไปด้วยเศษแก้วและรอยแตกตามข้อจนช้ำ รัตติกาลเริ่มประติดประต่อเรื่องราวจนเริ่มเข้าใจ มือของเขาก็สั่นจนควบคุมไม่ได้

 

ทำไม อะไรกัน...

 

เขา...ทำอะไรลงไป?

 

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

คุยกับเช่!

กอดคนอ่าน!! กลับมาแล้วคนับหลังจากอู้มาหลายวัน คิดถึงเช่ไหม <3 เปิดมาด้วยของเครียดเลย หึหึ

ตอนนี้หลายคนคงเริ่มคิดแล้วว่าอารมณ์พ่อกาลของเราทำไมมันยังกะสตรีมีประจำเดือนขนาดนี้ เป็นจุดที่อยากให้สังเกตกันนะ

ต่อไปก็ขึ้นอยู่กับฝีมืออันน้อยนิดของเช่แล้วแหละว่าจะสื่อออกมาให้ทุกคนเข้าใจตรงกันได้ไหม สารภาพเลยว่านั่งด่าตัวเอง

ตลอดว่าทำไมต้องแต่งเรื่องที่แม่งโคตรยุ่งยาก คิดตลอด ปวดหัว แต่มันได้แค่ฟิลนี้จริงๆทั้งที่ฝีมืออ่อนหัดแต่ก็อยากแต่ง ฮ่าๆ

ช่วงนี้งานก็คงรุมเร้าเหมือนเดิม แต่จะพยายามมาให้ได้ตลอด (กลัวคนอ่านหายคนับ สารภาพ ฮ่าๆ)

ขอบคุณทุกเม้นทุกโหวตนะคนับ ขอบคุณคนที่ไลค์แฟนเพจด้วย เช่อาจจะเพ้อเจ้อในนั้นไปบ้างอย่ารำคาญนะ^^

ปล. เช่มีพล็อตเรื่องอื่นต่อยอดจากไนท์แมร์แล้วแหละ กำลังฟุ้งมาก แต่มันยังอีกห่างไกล ขอเอาเรื่องนี้ให้รอดก่อนเนอะ!

 

 

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
หายไปสักพักจะยังมีคนรออยู่ไหม  :hao3:

ช่วงนี้ยังคงไม่ค่อยว่างเท่าไหร่ ทั้งเรียนทั้งทำงาน แต่เช่จะไม่หายหน้าไปเลยนะฮะ จะเข้ามาทักตลอด

ปอลอลิง คิดถึงคนอ่านนะคนับ! :o8:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ blur

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
เริ่มดาร์กขึ้นเรื่ิอยๆ อร๊ากก ปวดใจ

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1

12th Night

…Astray...

 



รัตติกาลเกลียดโรงพยาบาล...


แต่เขาก็หนีมันไม่พ้นสักที...



ร่างโปร่งนั่งนิ่งอยู่ในห้องรับรองของโรงพยาบาลเอกชนโดยข้างๆกับทนายส่วนตัวที่ทำงานให้ครอบครัวของตนมาตั้งแต่สมัยพ่อกับแม่ยังอยู่ แผลตามใบหน้าและร่างกายของรัตติกาลถูกรักษาเรียบร้อยแล้วแต่ก็ยังไม่มีวี่แววของคู่กรณีที่บาดเจ็บสาหัสกว่าเมื่อประเมินด้วยสายตา


“คุณควรพักสักหน่อยนะครับ”


ชายแก่พูดกับเขาอย่างห่วงใย แต่ถึงอย่างนั้นรัตติกาลกลับเลือกที่จะปฏิเสธแล้วเอาแต่จับจ้องไปที่ปลายเท้าของตัวเอง พยายามนึกถึงเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นแต่พยายามเท่าไหร่เขาก็นึกไม่ออก สิ่งที่เขาจำได้มีเพียงความเจ็บปวดที่โดยต่อยในหมัดแรกแต่มันก็เลือนราง มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่นายอารัณย์นั่นเข้ามาตบหน้าเขาเพื่อเรียกสติ รัตติกาลตำหนิตัวเองที่ปล่อยให้เมามายจนทำร้ายคนอื่นอย่างไม่มีสติและไร้สำนึก ผลจากความรุนแรงนั้นมากมายจนเขาเองยังนึกกลัว แทบไม่อยากเชื่อด้วยซ้ำว่าตนเองจะเป็นคนทำร้ายเด็กพวกนั้นเองกับ


 ในตอนนั้นเองคนที่เข้ามาช่วยเรียกสติเขาที่คลับก็เปิดประตูเข้ามาในห้อง ชายหนุ่มโยนเสื้อคลุมเปื้อนเลือดทิ้งไปแล้วเหลือเพียงเสื้อคอวีสีเทาตัวบางที่ยังคงมีคราบเลือดให้เห็น อารัณย์เดินตรงมานั่งเก้าอี้ตัวตรงกันข้ามกับรัตติกาล จ้องมองหน้าอีกฝ่ายที่เต็มไปด้วยความสับสนนิ่งๆก่อนจะหันไปพูดกับทนายของรัตติกาลที่เขาเคยพบมาก่อนแล้ว


“ลุงนเรศช่วยออกไปรอข้างนอกสักครู่ได้ไหมครับ ผมมีเรื่องจะต้องคุยกับเขา”


“แต่... อืม เสร็จเมื่อไหร่ก็ออกไปตามลุงนะ”


ชายแก่มีท่าทางอึกอักในตอนแรกเพราะไม่อยากปล่อยให้นายจ้างของตนต้องอยู่กับชายหนุ่มที่เคยเป็นคู่กรณีกันมาก่อนตามลำพัง แต่สายตาที่จริงจังของอารัณย์ก็ทำให้เขาตัดสินใจตอบรับคำขอของอีกฝ่ายแล้วเดินออกมาจากห้อง


“ขอบ.. นายไปอยู่ที่นั่นได้ยังไง”


รัตติกาลอยากจะขอบคุณอีกฝ่ายที่เข้าไปหยุดเขา แต่อคติที่มีอยู่เต็มอกก็ทำให้เขาไม่พูดมันออกมาแล้วถามคำถามกลับไปแทน อารัณย์เองก็พอจะรู้ว่าร่างโปร่งตั้งใจจะพูดอะไรแต่เขาก็ไม่ได้สนใจมันมากไปกว่าสาเหตุของเรื่องวุ่นวายทั้งหมดนี่


“มันไม่สำคัญหรอก ว่าแต่มึงเถอะ...ทำแบบนี้ทำไม”


“...”


“...”


“เด็กพวกนั้น...เข้ามาหาเรื่องผมก่อน”


“แล้วยังไง แค่พวกมันหาเรื่องเลยไปกระทืบเขาจนปางตายแบบนี้น่ะหรอ”


คำว่าตายที่ร่างสูงพูดออกมา ทำให้หัวใจของรัตติกาลกระตุกวาบ มือไม้ที่วางอยู่บนตักเริ่มสั่นจนอารัณย์สังเกตเห็น ร่างโปร่งพยายามบีบมือทั้งสองข้างเข้าหากันเพื่อให้มันหยุดแต่ก็ไร้ประโยชน์เพราะตอนนี้แม้แต่ไหล่ของเขาก็เริ่มสั่นด้วยเช่นกัน


“เฮ้อ ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้น เด็กนั่นยังไม่ตาย”


อารัณย์ตัดสินใจพูดความจริงออกมาเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าเขาเริ่มกดดันตัวเองมากเกินไป รัตติกาลที่ได้ยินดังนั้นก็เงยหน้าขึ้นสบตากับเขา ริมฝีปากบางเม้มกันแน่นจนขึ้นเป็นรอยฟันชัดเจน




อารัณย์ไม่ได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ร่างสูงวิ่งฝ่าฝูงชนเข้ามาดูเมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องของนักท่องเที่ยวภายในร้านและมีคนบางส่วนรีบวิ่งไปตามทีมการ์ดที่ปกติจะประจำอยู่ตรงประตูทางเข้าแต่วันนี้กลับหายหัวไปกันหมดจนไม่มีใครกล้าเข้าไปห้ามคนที่กำลังทะเลาะกันอยู่แถวเคาท์เตอร์บาร์ที่อยู่โซนด้านใน


อารัณย์ไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเอง ว่าคนที่กำลังหัวเราะอย่างบ้าคลั่งเอาแต่ลงมือซ้อมเด็กวัยรุ่นที่นอนกองอยู่บนพื้นไม่หยุดคือพ่อของรพีที่เพิ่งจะพบหน้ากันเมื่อร่างโปร่งมารับลูกชายในตอนเย็นของวันนี้


แม้จะเคยเห็นความเกรี้ยวกราดของรัตติกาลมาแล้วแต่ภาพตรงหน้ามันต่างกันออกไป มันเหมือนพายุโหมกระหน่ำไม่มีแม้แต่การหยุดพักและไว้หน้าใคร แม้ว่าอีกฝ่ายจะร้องขอยังไงร่างโปร่งนั้นก็ยังคงแสดงความรุนแรงออกมาเรื่อยๆไม่หยุด ผู้คนที่มุงดูไม่มีใครกล้าเข้าไปห้าม ผู้หญิงบางคนร้องไห้ออกมาด้วยความหวาดกลัว แม้แต่ผู้ชายบางคนยังเมินหน้าหนีจากภาพความรุนแรงตรงหน้า


อารัณย์เผลอกลั้นหายใจเมื่อรัตติกาลกำลังเดินตรงมาทางเขาแต่กลับไม่ใช่ ร่างโปร่งเดินผ่านเขาไปราวกับไม่มีใครสะท้อนอยู่ในแววตาคู่นั้น ขวดเบียร์สีเขียวคล้ำถูกหยิบขึ้นมาก่อนที่ร่างสูงจะค่อยๆเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างสบายใจในขณะที่คู่กรณีกลับยกมือขึ้นท่วมหัวเพื่อขอให้หยุด



แต่รัตติกาลไม่สนใจ...



อารัณย์สังเกตเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายเหมือนสับสนกับอะไรสักอย่าง ร่างโปร่งเริ่มร้องตะโกนออกมาโดยที่เขาไม่เข้าใจคำพูดพวกนั้น ดวงตาของรัตติกาลฉายแววเกรี้ยวกราดระคนเจ็บปวดออกมาเมื่อสิ้นเสียงตะโกนเสียงสุดท้าย



“ก็บอกแล้วไงว่าผมไม่มีวันเลิกกับพี่!!!!!!”




ช่วงแขนยาวฟาดขวดแก้วลงเต็มศีรษะของเด็กหนุ่มผู้โชคร้าย เสียงกรีดร้องดังระงมพร้อมกับเลือดข้นที่ไหลทะลักออกมาจากปากแผลซึ่งคนที่โดนทำร้ายหมดสติลงไปทันที ร่างโปร่งยังไม่หยุดแค่นั้น ช่วงขายาวเตะซ้ำเข้ากลางลำตัวของอีกฝ่ายอย่างไม่ปราณีก่อนจะย่อตัวลงพร้อมกับแขนที่ชูสูงขึ้น


จังหวะนั้นเองที่อารัณย์ได้สติตัดสินใจวิ่งเข้าไปกระชากตัวอีกฝ่ายขึ้นมา พอมีคนใจกล้าเข้ามาห้าม ผู้ชายที่อยู่แถวนั้นก็วิ่งเข้ามาดูคนเจ็บที่เหลือทันที รัตติกาลดิ้นไปมาไม่ยอมให้เขาจับตัว แววตาเกรี้ยวกราดนั้นจ้องมองมาที่เขาอย่างกับคนไม่รู้จักกัน ตอนนี้ร่างโปร่งเหมือนกับเสือบ้า พร้อมจะพุ่งเข้าหาทุกอย่างที่ขวางหน้าแม้ไม่ใช่ศัตรู


ร่างโปร่งยกแขนขึ้นสูงอีกครั้งในคราวนี้เป้าหมายไม่ใช่เด็กวัยรุ่นพวกนั้นแต่เป็นเขา อารัณย์เอื้อมมือตามไปบีบข้อมือของอีกฝ่ายอย่างแรงแต่รัตติกาลก็ไม่ได้แสดงท่าทีเจ็บปวดออกมา บางเอาแต่พร่ำด่าใครสักคนที่เขาไม่รู้จัก ดวงตาที่เกรี้ยวกราดเริ่มมีน้ำตาคลอเต็มหน่วย ราวกับว่ามีความไฟแห่งความแค้นสุมอยู่ในนั้น และรัตติกาลก็กำลังจมอยู่กับมัน


เขาตัดสินใจตบอีกฝ่ายเต็มแรงจนหน้าหัน โชคดีที่คราวนี้รัตติกาลดูเหมือนจะได้สติขึ้นมาบ้างแต่มันกลับทำให้อารัณย์รู้สึกกลัวคนตรงหน้าเป็นครั้งแรก แววตาของร่างโปร่งจู่ๆก็เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน ท่าทางแสดงความสงสัยกับสถานการณ์ตรงหน้า รัตติกาลทำเหมือนจำไม่ได้ว่าตัวเองได้ทำอะไรลงไปหน้ำซ้ำยังทำท่าจะเข้าไปช่วยเหลือคนที่ตัวเองเพิ่งทำร้ายเองกับมือ



‘ฆาตกร’



เหมือนว่าคำๆนี้จะเป็นสิ่งที่ทิ่มแทงจิตใจร่างโปร่งอยู่ไม่น้อย ซึ่งคำว่า ‘ตาย’ ที่เขาเพิ่งพูดออกไปก็คงมีผลไม่ต่างกัน อารัณย์ตัดสินใจเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่ตนเห็นให้คนไม่ได้สติฟังทั้งที่อีกฝ่ายเป็นคนลงมือ รัตติกาลเอาแต่ส่ายหัวไปมาราวกับว่ารับความจริงที่เกิดขึ้นไม่ได้ แน่แหละ...คงไม่มีใครยอมรับด้านมืดของตัวเองได้ง่ายๆ ทั้งที่ทุกคนก็มีมันเหมือนกันหมดรวมถึงเขาด้วย


“ตอนนี้เด็กทุกคนยกเว้นคนที่โดนตีที่หัวหมอให้กลับบ้านได้แล้ว เด็กคนนั้นตอนนี้ยังไม่ได้สติ แต่ก็ไม่ได้เป็นอันตรายถึงชีวิต”


“ผม...ผมต้องไปเยี่ยม”


"อย่าเพิ่งเลย รอสักพักก่อน ไปตอนนี้มึงอยากให้พ่อแม่เขาลุกขึ้นมากระทืบมึงอีกรอบรึไง น้ำมันกำลังเชี่ยวอย่าเพิ่งเอาตัวเองเข้าไป ให้ลุงนเรศเข้าไปจัดการแหละดีแล้ว”


ถึงจะอยากดื้อดึงแต่รัตติกาลก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่อารัณย์พูดนั้นถูกต้อง ร่างโปร่งยกมือขึ้นบีบขมับระบายความเครียด โดยมีอารัณย์จ้องมองอยู่ไม่ห่าง ความเงียบภายในห้องรับรองของโรงพยาบาลยังคงดำเนินไปอย่างนั้นจนกระทั่งร่างของนเรศเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับนายตำรวจหนุ่มที่ยังคงรักษาท่าทางให้สงบนิ่งได้เหมือนทุกครั้ง


“ทั้งที่พูดไปแล้วแท้ๆ แต่เรากลับมาเจอกันเร็วกว่าที่ผมคิดอีกนะครับ”


“ขอโทษด้วยที่ต้องรบกวนคุณอีก”


“ผมได้เข้าไปตรวจสอบกล้องวงจรปิดภายในร้าน จากภาพแสดงให้เห็นว่าหนึ่งในเด็กกลุ่มนั้นเป็นฝ่ายเข้ามาพูดคุยกับคุณก่อนจะเริ่มเถียงกันจนคุณเดินหนีไป ก่อนที่จะเกิดการทะเลาะวิวาทขึ้นโดยที่อีกฝ่ายเป็นคนลงมือก่อน”


“...”


“ถึงแม้สุดท้ายการทะเลาะวิวาทครั้งนี้จะเป็นฝ่ายนั้นที่เจ็บหนักกว่าคุณมาก แต่เพราะทั้งสองฝ่ายอยู่ในอาการมึนเมาทั้งคู่และหลักฐานว่าทางนั้นเป็นคนเริ่มก่อนทำให้ผู้ปกครองของอีกฝ่ายเลือกที่จะไม่เอาความดำเนินคดีขอเพียงค่าเสียหายจากการรักษาพยาบาลเท่านั้น”


“คุณนเรศช่วยจัดการให้พวกนั้นด้วยนะครับ รวมถึงค่าทำขวัญและการชดใช้ค่าเสียหายกับทางร้านทั้งหมดด้วย ผมจะเป็นคนรับผิดชอบเอง”


“ครับ”


“ช่วยแจ้งกับพ่อแม่ของทุกคนด้วยว่าผมจะเข้าไปพบด้วยตัวเองทีหลัง”


รัตติกาลหันไปบอกทนายส่วนตัวให้จัดการในสิ่งที่ตนคิดให้ก่อนนเรศจะขอตัวไปพบกับพ่อแม่ของกลุ่มวัยรุ่นทุกคนทั้งที่ยังอยู่โรงพยาบาลและกลับบ้านไปแล้ว นายตำรวจหนุ่มมองไปรอบๆราวกับกำลังมองหาใครสักคน จนรัตติกาลอดที่จะถามออกไปไม่ได้


“คุณชาติมองหาอะไรหรอครับ”


“อ่อ มองหาคุณนิลน่ะครับ เขาไม่มาด้วยหรอ”


“ผมไม่ได้บอกนิลกับคนที่บ้านเรื่องนี้ และหวังว่าคุณทั้งสองคนจะทำเหมือนกัน”



คำพูดที่แฝงไปด้วยคำสั่งทำเอาอารัณย์ขมวดคิ้ว ก่อนจะถามออกมาด้วยความไม่เข้าใจ



“ทำไมถึงบอกไม่ได้”


“นั่นก็เพื่อความสบายใจของทุกคน...”


รัตติกาลเกือบเผลอที่จะตอบร่างสูงไปว่านั่นไม่ใช่เรื่องที่คนนอกจะเข้ามายุ่ง แต่ก็พูดได้ไม่เต็มปากเพราะถ้าคืนนี้อารัณย์ไม่อยู่ที่คลับนั้น เขาเองก็ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจากความเมาจะรุนแรงมากแค่ไหน


ถึงจะบอกว่าเพื่อความสบายใจของทุกคนแต่จริงๆแล้วร่างโปร่งเลือกที่จะไม่ให้คนที่บ้านและนิลรับรู้ก็เพื่อตัวเองทั้งนั้น ในสถานการณ์ที่ความสัมพันธ์ของพวกเขายังไม่คงที่รัตติกาลเองก็ไม่อยากให้ทั้งนิล ป้าจันทร์ และแม้กระทั่งรพีมองเขาในแง่ร้ายมากขึ้นไปอีก ภาพความรุนแรงที่เขาเคยกระทำกับเด็กชายคงถูกตอกย้ำจนจำขึ้นใจของทุกคนเป็นแน่ถ้าพวกเขารับรู้ถึงเหตุการณ์ครั้งนี้


“ถ้าอยากให้ทุกคนสบายใจก็ไม่ควรจะมาเที่ยวในที่แบบนี้ตั้งแต่แรก แล้วยิ่งถ้าเมาแล้วชอบอาละวาดยิ่งน่าจะระวังตัวมากกว่านี้”


“ผมเองก็ไม่ได้อยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น”


“คนทำผิดมันก็พูดแบบนี้กันทุกคนนั่นแหละ ‘ไม่ได้ตั้งใจ’ ‘รู้เท่าไม่ถึงการณ์’ คำพูดสวยหรูพวกนั้นมันไม่มีประโยชน์อะไรนอกจากใช้เป็นข้อแก้ตัวเท่านั้น”


“คุณจะเอายังไงกับผมอีก ถึงจะมีบุญคุณที่เข้ามาช่วยห้าม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะมาพูดจาแบบนี้กับผมได้”


“แล้วต้องรอให้เด็กพวกนั้นตายไปก่อนรึไงกูถึงจะพูดได้ ต้องให้มีคนเจ็บตัวอีกกี่คนเพราะอารมณ์ร้ายๆของมึง แม้แต่รพีลูกแท้ๆมึงยังไม่เว้นเลย”


ชื่อของเด็กชายถูกอารัณย์หยิบยกขึ้นมาพูดโดยไม่ตั้งใจ เขาเพิ่งรู้สึกตัวว่าไม่ควรยกประเด็นนี้มาพูดแต่มันก็คือความจริง ภายใต้ภาพลักษณ์ที่ดูสุภาพสงบนิ่ง อารัณย์สังเกตเห็นความรุนแรงที่ถูกเก็บงำไว้ภายใน ไม่ว่าอีกฝ่ายจะรู้ตัวหรือไม่แต่มันก็มักจะถูกดึงมาใช้ทุกครั้งเมื่อรัตติกาลอยู่ในจุดที่อารมณ์ไม่มั่นคง คราวที่ร่างโปร่งต่อยเขาเพราะเข้าใจผิดนั่นก็เหมือนกัน ตอนแรกอารัณย์คิดว่าอีกฝ่ายคงทำร้ายเขาเพราะรักและเป็นห่วงลูกชายเพียงคนเดียวมาก แต่ความโหดร้ายที่ทำต่อเด็กตัวเล็กๆทั้งทางกายและคำพูดทำให้อารัณย์ไม่คิดอย่างนั้นอีกต่อไป


‘รัตติกาลก็คือความมืด ที่แม้จะมองไม่เห็นแต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีอะไรซ่อนอยู่’



“ขอโทษที่ต้องขัด แต่ผมคิดว่าเรื่องภายในครอบครัวเขาคนนอกอย่างเราไม่ควรจะเข้าไปยุ่งเท่าไหร่นะครับคุณรัณย์”


ฤทธิชาติพูดแทรกขึ้นมาเมื่อเห็นว่าสถานการณ์ตรงหน้าเริ่มจะรุนแรงขึ้นเพราะอารมณ์และความยึดมั่นในความคิดตนเองของทั้งสองฝ่าย อารัณย์หันมามองหน้านายตำรวจหนุ่มอย่างไม่พอใจที่โดนว่ากลายๆแต่ก็ยอมที่จะยุติบทสนทนาลง รัตติกาลเองก็หันมาก้มหัวให้เขาน้อยๆอย่างขอบคุณที่ช่วยหยุดพวกเขาทั้งสองคนให้ ทั้งๆที่ตั้งใจจะออกมาผ่อนคลายอารมณ์จากเรื่องที่บ้าน แต่กลับเป็นว่าต้องเครียดและมีเรื่องที่ต้องปิดบังทุกคนมากกว่าเดิมซะอีก


“ถ้าคุณกาลตัดสินใจแบบนั้นผมเองก็จะไม่บอกคุณนิลและทางบ้านคุณ แต่ผมก็เห็นด้วยกับคำพูดของคุณรัณย์ในเรื่องของการควบคุมตัวเองของคุณ ครั้งนี้ยังถือว่าโชคดีที่อีกฝ่ายยังไม่ได้รับอันตรายถึงชีวิตทั้งๆที่ได้รับการกระทบเทือนที่หัวซึ่งเป็นจุดที่อันตรายมาก ถ้าคุณยังปล่อยอารมณ์ให้อยู่เหนือเหตุผลแบบนี้อีกคงจะมีสักวันที่ผมคงได้เป็นฝ่ายพาคุณเดินเข้าห้องขังด้วยตัวเอง”


นายตำรวจหนุ่มพูดออกมาด้วยประโยคที่ยาวและจริงจังกว่าทุกครั้ง ท่าทางที่เปลี่ยนไปของอีกฝ่ายทำให้รัตติกาลไม่แม้แต่จะกล้าขัดออกมา รัตติกาลเองก็ยอมรับ ว่าเพราะเหตุการณ์นี้เขาก็กังวลเกี่ยวกับการควบคุมอารมณ์ของตัวเองที่เหมือนจะมีอะไรผิดแปลกไปทั้งที่วันนี้ตนเองก็ไม่ได้ดื่มมากจนเมามาย แต่ร่างโปร่งก็ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่าอาจจะเป็นเพราะคำพูดที่คู่กรณีพูดดูถูกตัวเองนั้นเป็นเหมือนการจุดชนวนให้เขาลงมือทำร้ายอีกฝ่ายอย่างไร้สติ


รัตติกาลได้แต่คิดถึงตัวตนของตัวเองที่เปลี่ยนไปจนแทบไม่เหลือเค้าเดิมที่เคยเป็น เขาคิดถึงปรัชญาบทหนึ่งกล่าวไว้ว่าคนเราทุกคนเกิดมาเหมือนกับผืนผ้าสีขาวที่แต่ละวันจะถูกแต่งแต้มด้วยสีต่างๆตามประสบการณ์ที่พบเจอมาให้ชีวิตของแต่ละคน รัตติกาลได้แต่นึกหัวเราะเยาะตัวเองที่บัดนี้ผืนผ้าของเขากลายเป็นสีโสมม ซึ่งเกิดจากเรื่องราวต่างๆมากมายที่เขาได้ประสบพบเจอมากับคนคนนั้น

.

.

.

.

.

“มึงสูบบุหรี่ตั้งแต่เมื่อไหร่วะไอ้กาล”


ร่างสูงของนิลทักขึ้นเมื่อเพื่อนคนข้างๆล้วงหยิบเอาบุหรี่นอกราคาแพงจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาจุดสูบเงียบๆหลังจากที่ตามมาสมทบกับพวกเขาที่ร้านเหล้าหลังมหาวิทยาลัยได้ไม่นาน รัตติกาลหันมามองหน้าเพื่อนรักของตนเองก่อนจะเอ่ยตอบกลับไปด้วยท่าทางไม่ยี่หระอะไร ราวกับว่าพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของตนเองไม่ใช่เรื่องแปลก


“ไม่นาน สักสองอาทิตย์ได้มั้ง”


“สองอาทิตย์... อย่าบอกนะว่ามึงหันมาสูบเพราะที่พี่ทีให้มึงลองดูดวันนั้น”


“มึงเห็น?”


“เออสิวะ มึงลืมไปรึไงว่าวันนั้นเรานั่งโต๊ะติดกระจก”


นิลพูดถึงวันที่เขาและรัตติกาลไปเลี้ยงฉลองกันที่คาเฟ่เล็กๆกับพี่รหัสของร่างโปร่งและแฟนหนุ่มอย่างนทีที่นิลไม่ได้สนิทสนมด้วยเท่าไหร่ ผิดกับพะแพงที่เขาพูดคุยด้วยได้มากกว่า และวันนั้นหลังจากที่รัตติกาลขอตัวออกมาเข้าห้องน้ำอยู่นานเขาก็หันไปเห็นเพื่อนรักกำลังนั่งพูดคุยกับแฟนหนุ่มของพี่รหัสด้วยระยะห่างที่ดูเหมือนทั้งคู่จะสนิทสนมกันผิดกับคำบอกเล่าของร่างโปร่งที่มักจะมาบ่นกับเขาเสมอว่ารู้สึกไม่ชอบใจกับท่าทางกวนประสาทของอีกฝ่าย


“ไม่มีใครบังคับกูได้หรอก กูชอบกูเลยสูบแค่นั้น ไม่มีอะไรมากมายกว่านี้”


รัตติกาลพูดออกมาก่อนจะหันไปมองผู้คนรอบตัวที่เริ่มออกมาระบายความเครียดผ่านเสียงดนตรี แม้แต่ตัวเขาเองยังคิดไม่ถึงว่าหลังจากได้ลิ้มลองรสชาติขมเฝื่อนของนิโคตินในวันนั้น เขาจะเลือกกลับมาลองสูบมันอีกด้วยตัวเองผ่านคำแนะนำของเพื่อนชายที่เขาสนิทสนมด้วยช่วงนี้ มวนกระดาษสีดำยี่ห้อ SWISHER Black Stone ถูกยื่นไปให้นิลที่นั่งอยู่ข้างๆแต่ร่างสูงกลับส่ายหน้าปฏิเสธก่อนจะยกแก้วขึ้นชนกันเพื่อรักษาน้ำใจของเพื่อนแทน


“ว่าแต่มึงไปสนิทกับพี่เขาตั้งแต่เมื่อไหร่ ก่อนหน้านี้ยังบอกกับกูอยู่เลยว่าไม่ชอบหน้า”


“ไม่ได้สนิท จากที่เคยไม่ชอบก็ยังไม่ชอบอยู่”


“หรอ นึกว่ามึงจะหันมาลองเล่นอะไรที่ผิดศีลธรรมดู”


“ถึงจะเพื่อนกันแต่กูก็ไม่ต้องระยำแบบมึงนิ”


ร่างโปร่งพูดกัดกลับไปจนนิลระเบิดหัวเราะออกมาเสียงดังอย่างไม่ถือสา อันที่จริงเขาก็พูดแซวไปอย่างนั้นเพราะรู้เรื่องรสนิยมทางเพศกันดี และนิลก็รู้ว่ารัตติกาลเคารพพะแพงมากกว่าที่แสดงออกให้คนอื่นเห็น


เสียงบีทหนักๆดังกระหึ่มไปทั่วทั้งชั้นสองที่โต๊ะของพวกเขาตั้งอยู่ เพื่อนคนอื่นเริ่มออกอาการเมามายกันโดยไม่สนใจว่าพรุ่งนี้เช้าพวกเขามีเรียนกันตั้งแต่เก้าโมง แต่ด้วยเพราะเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศที่มีการแข่งขันสูงทำให้นักศึกษาแต่ละคนมีความกระตือรือร้นเรื่องเรียนอยู่เสมอพอๆกับการปลดปล่อยอารมณ์ที่ต้องทำไว้ไม่ให้ขาดเช่นกัน




“อืม.. อะ อีกนิด อ้าปากให้กว้างกว่านี้หน่อย”


มือเรียวของรัตติกาลจิกขยุ้มกลุ่มผมของอีกฝ่ายให้ขยับเข้าออกเป็นจังหวะไล่ให้อารมณ์ของเขาไต่สูงมากขึ้น ปลายลิ้นร้อนหยอกล้ออยู่กับปลายอวัยวะเพศของเขาอย่างรู้งาน ผู้ชายที่รูปร่างผอมบางกว่าเขาซึ่งเป็นพนักงานภายในร้านกำลังนั่งกองอยู่บนพื้นระหว่างขาของร่างโปร่งพลางชักรูดกลางกายของตนที่มีสภาพไม่ต่างกันไปด้วย


“กาล อ๊า... พี่ไม่ไหวแล้ว ทะ ทำพี่ที”


ร่างที่อยู่เบื้องล่างร้องขอสิ่งที่เร้าอารมณ์ยิ่งกว่าพลางหยอกล้อความแข็งขืนที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าไปด้วยอย่างอ้อนวอน ร่างโปร่งที่เริ่มหน้ามืดเพราะความกระสันพยายามข่มอารมณ์ของตัวเองไว้ไม่ให้ตอบรับคำขอของอีกฝ่ายไปทั้งที่ตัวเองไม่พร้อม


“อืม... ไม่มีถุงยาง”


“สดก็ได้ อ๊า..พี่ไม่ถือหรอก ถ้าเป็นกาล อึก พี่ได้หมด”


รัตติกาลรู้ดีว่าคนคนนี้สนใจในตัวเขามานานหลังจากที่เคยเข้ามาใช้บริการในร้านครั้งแรกเมื่อประมานสองเดือนก่อน แม้ว่าเซ็กซ์ระหว่างผู้ชายจะไม่ต้องกังวลเรื่องการคุมกำเนิดแต่อันตรายจากโรคนั้นเป็นสิ่งที่จะละเลยไม่ได้


ร่างโปร่งเลือกที่จะนั่งลงบนฝาชักโครกโดยที่ปากของอีกฝ่ายยังคงครอบครองตัวตนของเขาไว้จนเต็มปาก เขาจัดท่าให้อีกคนจากที่เคยนั่งกองอยู่บนพื้นให้โน้มตัวมาด้านข้างพร้อมกับชูสะโพกผายให้สูงขึ้นมากพอที่นิ้วยาวของเขาจะชำแรกแทรกสอดเข้าไปในช่องทางฝืดคับของอีกฝ่ายอย่างแรงจนตัวสั่นกระตุกเกร็ง


“อ๊า..กาล อึก กาล..”


“อืม ทำไปเรื่อยๆ อย่าหยุดล่ะ”


มือข้างหนึ่งของรัตติกาลประคองหัวของอีกฝ่ายที่โยกขึ้นลงอย่างรุนแรงโดยช่วงลำตัวพาดอยู่บนเข่าของเขา ส่วนมืออีกข้างก็กำลังจ้วงแทงเข้าไปในตัวของอีกคนที่ปาดเอาคราบน้ำลายที่เปียกชุ่มกลางกายของเขามาป้ายที่ช่องทวารของตนเองเพื่อหล่อลื่นให้ร่างโปร่งกระหน่ำนิ้วได้อย่างไม่ติดขัด


ความร้อนและเสียงหอบกระเส่าดังก้องห้องน้ำของพนักงานที่ถูกลอบใช้อย่างผิดวัตถุประสงค์แต่สองร่างที่ต่างมัวเมาในกามอารมณ์กลับไม่ได้สนใจสักนิดว่าจะมีใครผ่านมาได้ยิน นิ้วที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำหล่อลื่นเพิ่มขึ้นเป็นสามในคร่าวเดียวพร้อมกับจังหวะที่เร่งเข้าจนเกิดเสียงเฉอะแฉะดังไปทั่ว แต่ร่างบางที่ร่อนสะโพกเข้าหานิ้วเขากลับไม่ได้ผ่อนความเร็วของริมฝีปากลงแต่อย่างใด


คลื่นอารมณ์พัดพาพวกเขาจนใกล้เข้าถึงฝั่ง รัตติกาลผลักอีกฝ่ายที่กำลังเมามันไม่ต่างกันให้กลับไปนั่งลงกับพื้นโดยที่มือยังคงชักนำแท่งร้อนของตัวเองไปด้วย ร่างโปร่งใช้เข่าดันช่วงอกของอีกฝ่ายให้ถอยไปจนแผ่นหลังแนบชิดกับกำแพงเย็นชืดก่อนจะจับเอาตัวตนที่พร้อมจะระเบิดอารมณ์อยู่ทุกเมื่อแทงพรวดเดียวเข้าไปในช่องปากจนมิดด้าม สะโพกแน่นตบเข้าหาศีรษะของคนใต้ร่างอย่างไม่กลัวว่าอีกฝ่ายจะเจ็บปวดจากการกระทำนี้มากแค่ไหน แต่จากเสียงครางอื้ออึงที่ดังขึ้นกลับทำให้รัตติกาลเข้าใจดีว่าฝ่ายนั้นก็รื่นรมย์อยู่ไม่น้อย


“อื้อ ... อื้ออออออ”


คนใต้ร่างครางระงมก่อนจะปลดปล่อยออกมาเต็มฝ่ามือของตัวเอง รัตติกาลเห็นเช่นนั้นก็จัดการเร่งความเร็วสะโพกของตัวเองให้เร็วขึ้นจนอีกฝ่ายต้องเงยหน้าขึ้นรับความใหญ่โตที่จ้วงเข้าออกอย่างไม่ปราณี ร่างโปร่งรู้สึกได้ถึงของเหลวที่ใกล้จะพุ่งตัวออกมาจากปลายแท่งบวมเป่ง เขาดึงตัวตนของตัวเองออกมาแล้วชักรูดต่อทางด้านนอกเร็วระรัวก่อนจะส่งเสียงครางต่ำตามกันมาพร้อมกับน้ำกามสีขาวขุ่นไหลพุ่งเต็มใบหน้าของอีกคนที่อ้าปากรอรับราวกับคนกระหายน้ำ


รัตติกาลชักรีดจนมั่นใจว่าขับแรงอารมณ์ออกไปจนหมดแล้ว เขาหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าของตัวเองในกระเป๋ากางเกงทางด้านหลังยื่นให้อีกฝ่ายทำความสะอาดมือและใบหน้าเพื่อตอบแทนกับการที่อีกฝ่ายจัดการทำความสะอาดกลางกายของเขาให้ด้วยลิ้นร้อนๆนั้นตบท้ายก่อนทั้งสองคนจะจัดแต่งเครื่องแต่งกายที่หลุดลุ่ยให้เข้าที่แล้วพากันเดินออกมาจากห้องน้ำที่ปิดล็อกพร้อมกับนำป้ายกำลังทำความสะอาดมาตั้งไว้ด้านหน้าเพื่อพลางสายตาผู้คน



“ถึงจะเสียดายที่กาลยังไม่ได้พี่ แต่ก็สนุกมาก ขอบใจนะ”


“ครับ”



รัตติกาลตอบรับสั้นๆจนอีกฝ่ายหัวเราะออกมาเบาๆในท่าทางนิ่งสงบสวนทางกับลีลาร้อนแรงเมื่อครู่ ร่างบางเขย่งตัวขึ้นจูบริมฝีปากแดงของรัตติกาลตบท้ายก่อนจะเปิดประตูออกไปเพื่อพบกับเสียงเพลงดังกระหึ่มด้านนอก แต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นอะไรบางอย่างทางมุมมืดด้านขวาของบานประตู ช่วงขาที่สั้นกว่าหยุดเดินสักครู่ก่อนจะก้าวออกไปทันทีราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น อากัปกริยาของคนที่เพิ่งมีความสัมพันธ์ด้วยทำให้รัตติกาลเกิดความสงสัยน้อยๆ ในจังหวะที่เขากำลังเดินออกมาตามกันจึงหันไปมองทางด้านขวาเหมือนที่อีกคนทำ ก่อนจะเกิดอาการหยุดชะงักไม่ต่างกัน


ร่างกายของคนที่บดเบียดตัวเข้าหากันไม่ต่างจากสิ่งที่เขาทำเมื่อครู่ยืนอยู่ในมุมหนึ่งที่ถึงแม้จะไม่เป็นจุดสังเกตแต่ถ้ามองดีๆก็ยังสามารถเห็นได้ชัด ร่างบางของผู้หญิงผมยาวในชุดเสื้อซีทรูสีดำตัวบางกับกางเกงขาสั้นจนน่าหวาดเสียงกำลังขยับร่างเข้าหาชายหนุ่มที่กำลังมอบจูบให้เธอย่างเร้าร้อนพอๆกับมือหยาบของฝ่ายชายที่ล้วงเข้าไปลูบแผ่นหลังเนียนบริเวณตะขอบราเซียของเธอราวกับอยากจะปลดมันออกใจจะขาด ในสถานบันเทิงประเภทนี้การจะเห็นภาพคนกำลังระบายอารมณ์ใส่กันไม่ใช่เรื่องแปลกและไม่ใช่เรื่องที่รัตติกาลจะให้ความสนใจ แต่สิ่งที่เขาหยุดนิ่งอยู่กับที่ก็คือใบหน้าของฝ่ายชายที่เขาจำได้ดีว่าเป็นใบหน้าเดียวกับคนที่ทำให้เขาได้ลิ้มรสของบุหรี่เป็นครั้งแรก


ร่างสูงที่รู้สึกตัวว่ามีคนกำลังจ้องมองตนเองอยู่เบนสายตาขึ้นมองจนสบเข้ากับนัยน์ตาคมที่ส่อแววตำหนิระคนตกใจมาให้เขา แต่แทนที่จะหยุดนทีทำเพียงแค่มองไปในดวงตาของอีกคนให้ลึกเข้าไปอีกทั้งที่ยืนอยู่ห่างกัน


             ความรู้สึกบางอย่างตีตื้นขึ้นในอกของรัตติกาลที่ปรับสีหน้าเป็นนิ่งเฉย สบตาของอีกฝ่ายนิ่งๆโดยที่ไม่พูดอะไรก่อนจะก้าวเท้าออกไปโดยไม่หันกลับมามอง


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-07-2015 21:04:25 โดย vivacestory »

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
คุยกับเช่!


ตอนนี้แอบหยอดNCไว้แบบงงๆ ถึงจะเป็นกับตัวประกอบแต่ไม่รู้สิตอนเขียนๆอยู่รู้สึกแบบ...จังหวะนี่แหละ! แล้วมันก็ออกมาเลย

วันนี้อ่านๆย้อนดู รู้สึกว่าไนท์แมร์นี่มันช่าง...ไม่หวานเอาซะเลยเนอะ =3= แต่ไม่ต้องห่วงคนับ อีกไม่นานเกินรอจะมีอะไรให้อิ๊อ๊ะ

ถ้าเกิดว่าเช่ไม่คิดเล่นอะไรพิเรณไปซะก่อน บางทีก็สงสารคนอ่านเหมือนกันว่าคงไม่อยากอ่านอะไรเครียดๆมาก

แต่ไม่รู้สิ สำหรับเช่เองรู้สึกแบบ อืม นี่แหละ 555555 มีความเป็นโดะเอสลึกๆข้างใน ชอบเห็นคนเจ็บปวด แต่วางใจนะ

ยังไงเช่ก็ชอบตอนจบแบบไม่ปวดตับมาก แม้จะสปอยอินโทรไว้แบบนั้น ต้องดูกันต่อไปเนอะ ^^


เหมือนเดิม~~ ขอบคุณทุกเม้นทุกโหวตนะคนับ คุณไม่รู้หรอกว่าแค่คำพูดไม่กี่คำทำให้คนคนหนึ่งมีความสุขและกำลังใจแค่ไหน




 :-[ :-[ :-[

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7524
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
โอ่ะ!! สงสารใครดี

ออฟไลน์ blur

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ชอบๆเราชอบหน่วงๆ

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
เดียวนะ นทีเองก็นอกใจพะแพงใช่ป่ะ?! แบบไปมีอะไรกับคนอื่นลับหลังพะแพง
หรือว่าคนในคลับนั้นคือพะแพง? งงตุง  :ruready
และกาลเองสุดท้ายก็แอบคบกับนที...... :hao4:

เรื่องนี้ช่างลึกลับซับซ้อนมาก
น้องรพีก็น่าสงสารทุกตอน :hao5:

กาลก็แอบจิตสุดๆ คาดเดาไม่ค่อยได้ว่าจะทำชั่วอะไรต่อ 555555
รอตอนต่อไปนะคับ :katai2-1:

ออฟไลน์ iiduckii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 66
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
นั่นไงๆๆ กาลแอบคบกับพี่นทีแน่ๆ แล้วทีนี้แฟนพี่นทีก็ท้อง กาลเลยเสียใจ อืมมมมมมมมมม สงสารกาลลลล รัณย์ได้โปรดช่วยเยียวยากาลเร็วๆด้วยเถอะ  :sad11: :sad11:

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
วันนี้เช่ไปรับงานถ่ายรูปข้างนอกมา เลยไม่ได้ปั่นเลยคนับ
ขอเลื่อนไปหนึ่งวันนะ *กระพริบตาปริบๆ*
  :mew2: :hao3:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-07-2015 22:13:05 โดย vivacestory »

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
13th Night

…White Lies...

 

 

 

เช้าวันใหม่ในบ้านพัฒนเดชาเต็มไปด้วยคำถามว่านายใหญ่ของบ้านอย่างรัตติกาลไปทำอะไรมาใบหน้าหล่อเหลาถึงได้เต็มไปด้วยรอยช้ำ หนำซ้ำมือที่เคยใช้ได้สะดวกก็ถูกพันไว้ด้วยผ้าที่ยังมีเลือดไหลซึมให้เห็นอยู่ จันทร์มองหน้าคุณหนูของเธอพร้อมกับตั้งคำถามแต่ร่างโปร่งกลับตอบเพียงแค่ว่ามันเป็นอุบัติเหตุทำให้เธอไม่กล้าที่จะถามอะไรเพิ่มเติมทั้งที่ไม่เชื่อคำแก้ตัวนั้นเลยสักนิดเลยสักนิด

 

“พ่อกาล เจ็บมากไหมฮะ”

 

รพีที่ทำสีหน้ากังวลเอ่ยถามเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บของพ่อตลอดการเดินทางมาที่ที่โรงเรียน แม้จะรู้สึกรำคาญคำถามซ้ำซากพวกนี้แต่เพราะอารมณ์ที่ติดค้างมาจากเมื่อวานทำให้รัตติกาลสงบปากสงบคำแล้วส่ายหน้าปฏิเสธกลับไปเสียทุกครั้ง

 

ร่างสูงของอารัณย์ ยืนมองสองพ่อลูกที่เดินเคียงคู่กันมาจนถึงประตูโรงเรียน ใบหน้าหวานคมที่เคยดูดีทุกระเบียดนิ้วกลับมีร่องรอยจากการต่อสู้จนคนที่จำรัตติกาลได้ต่างอุทานด้วยความตกใจไม่เว้นแม้แต่ครูสา ครูประจำชั้นของรพีที่รีบเดินเข้าไปสอบถามอาการด้วยความเป็นห่วง

 

 

รพียังคงจับมือของพ่อแน่น เห็นรัตติกาลอยู่ในสภาพนี้จิตใจของเด็กน้อยก็ไม่เป็นอันเรียน แม้แต่ความตั้งใจเดิมที่อยากมาโรงเรียนเช้าๆเพื่อเล่นเครื่องเล่นที่ตั้งอยู่เต็มลานก็ถูกพับเก็บไป เหลือเพียงความกังวลระบายอยู่เต็มใบหน้าไม่เหลือเค้าของความร่าเริงอย่างที่เคยเป็นจนหญิงสาวได้แต่มองด้วยความเป็นห่วง

 

“รพี เข้าโรงเรียนได้แล้วครับ”

 

ร่างโปร่งเอ่ยกับลูกชายที่จับมือเขาไม่ยอมปล่อย รพีที่เคยว่าง่ายกลับแสดงอาการดื้อดึงออกมาผิดวิสัยที่เป็น รัตติกาลที่อยากจะกลับไปจัดการเรื่องทุกอย่างจนเต็มแก่รู้สึกหงุดหงิดไม่ชอบใจ อยากจะสะบัดร่างป้อมนี่ออกไปไกลๆแต่ก็ทำอย่างที่ใจคิดไม่ได้ นัยน์ตาสีดำขลับแสดงความขุ่นเคืองผ่านทางแววตา แม้รพีจะสัมผัสได้ถึงความไม่พอใจของพ่อแต่ความรู้สึกเป็นห่วงนั้นมีมากกว่าจึงทำใจกล้าไม่ยอมปล่อยมือข้างที่ถูกพันไว้ด้วยผ้าสีขาวออกราวกลับกลัวว่าจะมีใครมาทำร้ายมันอีก

 

 อารัณย์ที่ยืนต้อนรับเด็กๆอยู่ที่ประตูชั้นในสังเกตอาการของเด็กชายอยู่สักพักหนึ่งแล้ว รวมถึงอารมณ์ขุ่นมัวของคนโมโหร้ายที่ทำให้ร่างสูงกังวลว่าความเกรี้ยวกราดเหมือนเช่นเมื่อคืนจะถูกแสดงออกมาต่อหน้ารพีที่ยืนตาแดงตัวสั่น ช่วงขายาวภายใต้กางเกงกีฬาสีดำก้าวฉับๆเข้ามาทักทายร่างป้อมเพื่อดึงความสนใจของเด็กชายให้มาอยู่ที่ตัวเอง

 

“รพี สวัสดีครับ”

 

“น้ารัณย์... สวัสดีฮะ”

 

“วันนี้เป็นอะไรครับ ไม่ร่าเริงเลย แล้วทำไมไม่เดินเข้าโรงเรียนสักทีละครับ”

 

“พีเป็นห่วงพ่อกาล...”

 

เด็กชายพูดด้วยน้ำเสียงอ่อน ดวงตาเล็กๆนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกกังวลขนาดที่คนมองรับรู้ได้ถึงความรักและเป็นห่วงที่ถูกอัดแน่นอยู่ภายใน มือใหญ่ยกขึ้นเพื่อลูบเส้นผมสีเข้มเหมือนกับคนเป็นพ่อเบาๆ อารัณย์เลือกที่จะส่งยิ้มให้เด็กน้อยที่กำลังสับสน เสียงทุ้มถูกใช้ออกไปผิดกับภาพลักษณ์ที่รัตติกาลเคยเจอ จนอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้

 

“เป็นเด็กดีจังนะ แต่ว่าคุณพ่อของพีโตแล้ว ท่านดูแลตัวเองได้ครับ”

 

“แต่พ่อกาล...เจ็บ พีต้องพาพ่อกาลไปหาหมอ”

 

“อืม แต่ถ้าพีไม่ยอมเข้าเรียน คุณพ่อจะไม่สบายใจนะ”

 

“...”

 

“เชื่อน้านะ เข้าห้องเรียนกันแล้วคุณพ่อเราจะได้ไปหาคุณหมอเร็วๆไง”

 

รพีนิ่งไปครู่ก่อนจะพยักหน้าอย่างจำยอม นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่รู้จักกันที่รัตติกาลรู้สึกขอบคุณและทึ้งในทักษะของคนตรงหน้า เด็กชายคลายมือที่จับเขาไว้แต่ก็ยังไม่ละสายตาไปไหน ร่างโปร่งย่อตัวลงนั่งเพื่อให้อยู่ระดับเดียวกันเด็กชาย ท่ามกลางสายตาของคนรอบข้างที่กำลังมองมาที่พวกเขาทั้งสามคนอย่างสนใจ

 

“พ่อกาล ต้องไปหาคุณหมอนะฮะ”

 

“พ่อไม่เป็นอะไรมากหรอก”

 

“แต่พีเป็นห่วง...”

 

“...”

 

“นะฮะ...”

 

ร่างโปร่งยอมพยักหน้าเพื่อตอบรับคำขอร้องนั้น ทั้งที่ภายในใจกลับไม่มีความคิดจะทำตามเลยสักนิด รัตติกาลลุกขึ้นยืนอีกครั้งก่อนจะลูบหัวกลมของลูกชายแล้วหันไปบอกลาครูประจำชั้นที่ยืนอยู่ข้างๆ ชายหนุ่มหมุนตัวกลับไปที่รถโดยไม่ได้เอ่ยทักอารัณย์ที่ยืนอยู่เคียงข้างรพี ทั้งที่เมื่อคืนร่างสูงได้ให้ความช่วยเหลือเขาไว้อีกครั้งโดยที่ไม่ได้ร้องขอ อารัณย์เองก็ไม่ได้ให้สนใจรัตติกาลมากไปกว่าเด็กน้อยที่ยังคงมองตามพ่อของตนไปด้วยความกังวล

 

“เข้าโรงเรียนกันนะ”

 

.

.

.

.

 

 

ตลอดทั้งวันรพีไม่ได้มีสมาธิจดจ่ออยู่กับการเรียนอย่างเคย จนครูสาอดที่จะเป็นกังวลไม่ได้ แม้แต่เพื่อนตัวน้อยอย่างข้าวมีน้ำใจแบ่งปันขนมของโปรดให้เมื่อเห็นสีหน้าของรพีก็ยังไม่ได้รับการตอบรับจากเด็กชายมากไปกว่าการก้มหน้าให้น้อยๆแล้วหันไปมองที่ประตูราวกับว่ากำลังรอคอยการมาถึงของใครบางคน

 

“พีคงเป็นห่วงคุณพ่อมากเลยเนอะ”

 

“...”

 

อารัณย์ไม่ได้พูดอะไรกลับไป ร่างสูงมองรพีที่นั่งอยู่คนเดียว ณ มุมห้อง ไม่ยอมออกไปเล่นกับเพื่อนคนอื่นอย่างที่เคยทำ หลังจากพักกลางวันซึ่งเป็นชั่วโมงอิสระ เด็กชายก็แยกตัวออกมานั่งคนเดียวเงียบๆไม่สนใจใคร แม้แต่หญิงสาวที่เข้าไปพูดคุยด้วยความเป็นห่วงก็ไม่รู้จะจัดการยังไงไหวกับอาการเงียบนิ่งดังกล่าว แม้จะอยากอยู่เคียงข้างแต่ภาระหน้าที่ของเธอก็ไม่ได้ผูกติดอยู่กับเด็กชายแค่คนเดียว ยิ่งวันนี้มีเด็กที่ไม่สบายอยู่ถึงสองคนในห้องทำให้เธออดที่จะเป็นกังวลไม่ได้

 

หลังขบคิดอยู่นาน อารัณย์ตัดสินใจเดินไปหาร่างป้อมที่ยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนเก้าอี้ตัวเล็ก เขาลงนั่งกับพื้นเบื้องหน้าโดยเว้นระยะห่างไว้น้อยๆไม่รุกล้ำจนเกินไปก่อนจะพูดทักรพีด้วยน้ำเสียงอบอุ่น พยายามสื่อถึงความห่วงใยที่มีต่อคนตรงหน้า

 

“พีครับ”

 

“...”

 

“เป็นห่วงคุณพ่อใช่ไหม”

 

รพีที่ตอนแรกไม่ยอมแม้แต่จะหันมามองร่างสูงกลับค่อยๆเบือนหน้ากลับมาสบตาเมื่ออารัณย์พูดถึงรัตติกาล คนที่รพีเป็นห่วงอยู่เต็มหัวใจ เด็กชายไม่พูดแต่พยักหน้าให้น้อยๆตอบรับทั้งที่น้ำตาเอ่อคลอ

 

“เห็นแก่พีที่เป็นเด็กดี เป็นห่วงคุณพ่อ เพราะฉะนั้น...พี่จะบอกความลับเกี่ยวกับยาวิเศษให้ฟัง”

 

“ยาวิเศษ...”

 

“อืม ต่อให้ป่วยเป็นอะไร เจ็บมากแค่ไหน ถ้าได้ยานี้ล่ะก็ ก็จะไม่เจ็บปวดอีก”

 

“ยาอะไรหรอฮะน้ารัณย์ พีจะซื้อยานั่นได้จากที่ไหน!”

 

เด็กชายพูดด้วยความรนราน มือเล็กขยำชายผ้ากันเปื้อนของร่างสูงแน่นอย่างต้องการคำตอบ แค่ได้ยินว่ามีสิ่งที่จะบรรเทาความเจ็บปวดของผู้เป็นพ่อได้รพีก็คิดแต่จะตามหาสิ่งนั้นให้ได้เท่านั้น

 

“ยานี้หาซื้อไม่ได้ครับ”

 

“ซื้อไม่ได้ ละ แล้วพีจะทำยังไง...น้ารัณย์มีไหมฮะ ขอ...พีขอได้ไหม”

 

“ยานี้หาซื้อไม่ได้ ขอจากใครก็ไม่ได้”

 

“เอ๋...”

 

“มันเป็นยาที่เกิดขึ้นในตัวเราเมื่อได้ทำสิ่งที่อยากทำ ได้กินของที่ชอบ ได้เห็นสิ่งที่อยากเห็น ได้หัวเราะ ได้ยิ้มกับสิ่งรอบตัว เป็นสิ่งที่...เราต้องสร้างด้วยตัวเอง”

 

“...”

 

“และตัวเราต้องมีมันให้ตัวเองก่อน เราถึงจะแบ่งปันมันให้กับคนอื่นได้”

 

“พีไม่เข้าใจ...ตกลงยานั่นมันคืออะไรฮะ”

 

“ยาวิเศษนั่นนะ...ก็คือสิ่งที่เรียกว่า ‘ความสุข’ ”

 

“ความสุข...”

 

เด็กชายขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจว่าความสุขที่ว่าจะทำให้คนหายเจ็บปวดได้ยังไง อารัณย์ยกนิ้วขึ้นนวดเบาๆบนหัวคิ้วของรพีที่ขมวดเป็นปมก่อนจะพูดต่อเพื่ออธิบายให้เด็กชายเข้าใจในสิ่งที่เขาพยายามสื่อ

 

“ตอนเด็กๆเวลาน้าป่วย น้าเองก็ได้รับยาวิเศษนี้จากแม่ประจำ”

 

“...”

 

“แม่ของน้าจะทำกับข้าวอร่อยๆให้กิน เล่านิทานให้น้าฟัง คอยอยู่ข้างๆ ยิ้มให้แล้วปลอบน้าว่าทุกอย่างจะไม่เป็นไร ขอแค่อยู่ด้วยกัน...วันต่อมาน้าก็กลับมาแข็งแรงเหมือนเดิมแล้ว”

 

“...”

 

“รอยยิ้มของคนที่เรารักน่ะ มีพลังมากรู้ไหมครับ”

 

“แล้วรอยยิ้มของพี จะทำให้พ่อกาลหายเจ็บได้ไหมฮะ”

 

“...”

 

“พีน่ะ...ช่วยพ่อกาลได้จริงๆใช่ไหม”

 

เด็กชายเอ่ยถามด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความคาดหวังทั้งที่ไม่มั่นใจ อารัณย์รู้ในสิ่งที่รพีกังวล แม้ลึกๆข้างในต่างก็รู้ดีว่าคำตอบนั้นสามารถฆ่าคนฟังให้ตายตั้งเป็นได้จึงเลือกที่จะพูดในสิ่งที่ตรงกันข้ามเพราะไม่อยากเห็นดวงตาสิ้นหวังของเด็กชายที่เผลอแสดงออกมา

 

“ได้สิ ถ้าพีมีความสุข พ่อของพีต้องมีความสุขเหมือนกัน...”

 

รพีระบายยิ้มเต็มใบหน้า แสงแห่งความหวังถูกจุดขึ้นในดวงตากลมที่หรี่เล็กลงทำให้เด็กชายกลับมามีสีหน้าที่เริ่มกลับสดใสอีกครั้ง เด็กชายนิ่งไปสักครู่ก่อนร่างป้อมจะก้าวลงจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ก่อนแล้วพาร่างของตนไปยังมุมศิลปะของห้องเรียน หยิบคว้าเอากระดาษและดินสอสีในตระกร้าแล้วถือมันกลับมาอารัณย์ที่นั่งมองเด็กชายอยู่ไม่ห่าง

 

ร่างสูงส่งยิ้มให้รพีที่ร้องบอกกับเขาว่าจะลงมือทำอะไรบางอย่างเพื่อเป็นของขวัญให้พ่อของตน ชายหนุ่มไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงลงมือช่วยตัดกระดาษแผ่นใหญ่ให้เล็กลงพอดีกับความต้องการของเด็กชาย ที่ลงมือทำพลางพูดเจื้อยแจ้วไม่หยุดจนเพื่อนตัวน้อยอย่างข้าวที่เล่นอยู่อีกมุมรีบวิ่งมาดูทันทีเมื่อเห็นรพีกำลังลงมือทำอะไรบางอย่างด้วยท่าทางร่าเริงผิดกับเมื่อครู่

 

ภายใต้รอยยิ้มอ่อนโยน อารัณย์รู้สึกผิดอยู่เต็มหัวใจ คำโกหกสีขาวที่พูดออกไปนั้นไม่ได้เพียงสร้างภาพลวงตาให้เด็กน้อยที่ต้องการความหวัง แต่มันกลับกรีดซ้ำลงไปในภาพความทรงจำที่เขาเองอยากจะลืมเช่นกัน

 

รัตติกาลโกหก

 

อารัณย์เองก็โกหก

 

ความจริงที่ถูกซ่อนไว้...คือรัตติกาลจะไม่ยิ้มเมื่อรพีมีความสุข

 

และตัวเขาเอง...ก็ไม่เคยได้รับยาวิเศษที่ว่านั่นเลยสักครั้ง

 

.

.

.

.

 

 

ไม้ฝาราคาถูกส่งกลิ่นอับชื้นเมื่อต้องแบกรับน้ำฝนที่ตกหนักอยู่ตลอดสัปดาห์ เด็กชายตัวเล็กร่างกายผอมแห้งมีแต่ผิวหนังหุ้มกระดูกใช้มือที่ไร้เรี่ยวแรงบิดผ้าที่สะอาดพอเท่าที่หาได้ให้หมาดน้ำ ก่อนจะเช็ดลูบไปตามผิวหนังที่เต็มไปด้วยรอยแผลของมารดาที่เมามายไม่ได้สติ

 

ร่างตรงหน้าปัดป่ายมือไปมาเมื่อรู้สึกรำคาญสัมผัสที่รบกวนเวลานอน  ลมในท้องตีขึ้นเกิดเป็นเสียงเรอดังจนกลิ่นเหล้าราคาถูกเหม็นคละคลุ้งไปทั่วทั้งห้อง ซึ่งเด็กชายยังคงลงมือปรนนิบัติมารดาของตนต่อไปโดยไม่รังเกียจ เพราะมีเพียงแค่ช่วงเวลาแบบนี้เท่านั้นแหละ ที่เขาจะสามารถเข้าใกล้เธอได้โดยไม่ต้องร้องไห้

 

ภายใต้เสื้อกล้ามสีขาวตัวเก่า รอยฟกช้ำมากมายถูกประดับเต็มแผ่นหลังเล็กที่โค้งงอเล็กน้อยเมื่อต้องก้มลงหยิบกะละมังเพื่อเปลี่ยนเอาน้ำสกปรกทิ้งไปก่อนจะทำแบบเดียวกันซ้ำๆจนกว่าแม่ของตนจะสามารถหลับได้อย่างสบายตัว

 

 

“ไอ้รัณย์ มึงอยู่ไหนวะ ไอ้รัณย์!!!!”

 

เสียงที่กาลครั้งหนึ่งเคยเพราะพริ้งจับใจคนฟังกลับแหบแห้งเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ตะโกนลั่น เด็กชายอารัณย์ในวัยเก้าขวบรีบวิ่งกุลีกุจอเข้ามาหาแม่ของตนที่คว้าเอาที่วางยากันยุงซึ่งอยู่ใกล้มือเขวี้ยงไปชนกับกำแพงห้องอีกด้านเสียงดัง จนห้องข้างๆลุกขึ้นมาทุบกำแพงพร้อมกับตะโกนด่าด้วยความไม่พอใจที่โดนรบกวนเวลานอนแบบนี้ซ้ำๆเกือบทุกคืน

 

“รัณย์อยู่นี่ครับแม่ แม่จะเอา...”

 

เพี้ยะ!!!

 

“มึงเอาเหล้ากูไปไหนห๊ะ ไอ้เด็กขี้ขโมย!!!!”

 

“ระ รัณย์เปล่านะแม่ มันหมดแล้ว รัณย์แค่เอาขวดไปทิ้ง”

 

“อย่ามาตอแหล!!! มึงขโมยมันไปใช่ไหมไอ้เด็กเวร!!!”

 

“รัณย์เปล่า ฮึก แม่อย่า แม่!!”

 

เด็กชายร้องห้ามเมื่อแม่ของตนพยุงร่างที่โอนเอนเข้ามาใกล้แล้วลงมือทุบตีร่างกายเล็กนั้นอย่างไร้ความปราณีอีกครั้ง รอยช้ำวงใหญ่กลางแผ่นหลังถูกตีซ้ำๆจนเจ็บไปถึงกระดูก แขนผอมเหมือนกิ่งไม้ถูกยกขึ้นสูงเมื่อเจ้าของพยายามใช้มันป้องกันใบหน้าของตนเองจากการโดนทำร้าย ทันทีที่ไม่มีอะไรขวาง หญิงที่ทรุดโทรมจนดูแก่กว่าวัยก็ใช้ฝ่ามือที่ครั้งหนึ่งเคยประคองเด็กชายด้วยความรักฟาดเข้าเต็มใบหน้าเล็กจนหันไปอีกทาง เลือดข้นผสมกับน้ำลายไหลย้อยมาตามมุมปาก ผสมกับน้ำตาที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดไหล

 

“เพราะมึง เพราะมึงคนเดียวชีวิตกูเลยต้องเป็นแบบนี้!!!”

 

“ฮึก รัณย์ขอโทษ แม่ รัณย์ขอโทษ...”

 

“ถ้าไม่มีมึงสักคน ขอแค่ไม่มีมึง ฮึก... ไอ้ตัวซวย!!!”

 

“รัณย์ขอโทษ..ฮึก รัณย์ขอโทษ”


 

.

.

.

.

 

 

“เฮ้อ...”

 

รัตติกาลถอนหายใจออกมาดังๆหลังจากเข้าพบกับพ่อแม่ของเด็กวัยรุ่นที่มีเรื่องกับตนเมื่อคืนรายสุดท้าย ค่าเสียหายและค่าทำขวัญถูกโอนเข้าบัญชีของคนพวกนั้นตั้งแต่เช้าตรู่ด้วยฝีมือของทนายนเรศที่ลงมือทำงานอย่างรวดเร็วไม่ต่างจากทุกครั้ง อาจจะเพราะท่าทางดูภูมิฐานของเขาหรือหลักฐานที่มัดตัวอีกฝ่ายแน่นว่าเป็นคนลงมือก่อนทำให้ผู้ปกครองพวกนั้นไม่กล้าเรียกร้องอะไรกับเขามาก จะมีก็เพียงแต่รายที่โดนตีเข้าที่หัวเท่านั้นแหละ ที่ดูเหมือนจะรับไม่ได้กับความจริงข้อนี้และผิดหวังกับการที่ไม่สามารถเล่นงานเขาตามกฎหมายได้

 

รถยนต์คันหรูหยุดลงในที่จอดรถประจำตำแหน่ง ร่างโปร่งพยักหน้าให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่เข้ามาทักทายเขาเหมือนอย่างเคย ช่วงขายาวก้าวเดินไปตามทางผ่านแผนกต่างๆที่มีพนักงานกำลังปฏิบัติหน้าที่กันอย่างขะมักเขม้นเพราะเวลาปิดรอบใกล้จะวนมาถึงอีกครั้ง

 

รัตติกาลเลี้ยวขวาในทางแยกสุดท้ายจนห้องทำงานปรากฏขึ้นตรงหน้า โต๊ะทำงานที่ควรมีคนนั่งประจำอยู่กลับไร้วี่แววของเลขาสาว แต่เขาก็ไม่ได้สนใจ  ชายหนุ่มหมุนลูกบิดประตูพาร่างของตนเข้าไปในห้องแต่ก็ต้องหยุดชะงักลงเมื่อสบตาเข้ากับนิลที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ของเขาพร้อมกับมองมาที่ตนราวกับสิงโตจ้องเหยื่อ

 

“มึงไปทำอะไรมา”

 

“เฮ้อ...ถ้ารู้อยู่แล้วก็ไม่ต้องถาม”

 

“กูรู้ แต่ก็อยู่รู้ว่ามึงจะโกหกกูไหม”

 

ร่างโปร่งส่ายหัวน้อยๆก่อนจะปิดประตูห้อง พาร่างของตนไปนั่งบนโซฟาตัวยาวที่ไว้ต้อนรับแขก หยิบเอาเอกสารที่อยู่ในกระเป๋าขึ้นมาอ่านโดยไม่ให้ความสนใจกับเพื่อนของตนที่ยังคงจ้องมาไม่วางตา นิลสบถเบาๆแล้วลุกขึ้นมานั่งเคียงข้างรัตติกาลแล้วใช้นิ้วจิ้มไปที่รอยช้ำตรงมุมปากเบาๆแต่ก็ทำให้ผู้ถูกกระทำเจ็บมากพอ จนรัตติกาลต้องสะดุ้งตัวโยน

 

“ทำอะไรของมึงเนี่ย!”

 

“ทำให้เจ็บ นึกว่าชอบเห็นหาเรื่องเจ็บตัวไปทั่ว”

 

“หึ เป็นคนชอบประชดประชันแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ”

 

“ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องไอ้กาล บอกกูมาดีๆว่าได้แผลนี้มายังไง”

 

“อุบัติเหตุนิดหน่อย”

 

“กูเหมือนป้าจันทร์หรอ ถึงว่ากูจะยอมแกล้งเชื่อมึงกับเหตุผลสั่วๆนั้น”

 

ร่างโปร่งรับรู้ได้ทันทีว่าคนที่คาบข่าวไปบอกนิลไม่ใช่อารัณย์และฤทธิชาติที่รับรู้เรื่องราวทั้งหมด นั่นนับว่ายังดีที่เขาสามารถหลีกเลี่ยงประเด็นสำคัญที่ไม่อยากให้เพื่อนรักรับรู้ไปได้ รัตติกาลวางแฟ้มในมือลงก่อนจะหันมาพูดกับนิลยังคงมองตนอย่างคาดคั้นดีๆ

 

“มีเรื่องตอนเมานิดหน่อย”

 

“นิดหน่อยเหี้ยอะไร หน้ามึงแหกขนาดนี้ทั้งที่มือตีนมึงหนักกว่ากูอีก”

 

“พวกมันมากันหลายคน”

 

“เห้ย อย่าบอกนะว่ามึงโดนรุม!”

 

“อืม แต่ไม่เป็นไร พวกมันเจ็บกว่ากูอีก”

 

“แล้วมึงออกไปไหนทำไมไม่ชวนกูวะกาลง...ถ้ากูอยู่มึงคงไม่เป็นขนาดนี้”

 

‘ดีแล้วที่มึงไม่ไปด้วย’ ร่างโปร่งคิดในใจไม่ได้พูดมันออกมา เขากลบเกลื่อนความคิดตัวเองด้วยการจุดบุหรี่ขึ้นสูบพลางเอนหลังพิงโซฟาด้วยท่าทางผ่อนคลาย นัยน์ตาสีดำถูกปิดลง คิดถึงเรื่องเมื่อคืนว่าถ้านิลไปด้วยเจ้าตัวอาจจะสามารถหยุดเขาได้ก่อนที่เหตุการณ์รุนแรงจะเกิดขึ้น แต่อีกใจหนึ่งเขากลับไม่อยากแม้แต่จะให้นิลเห็นเขาในสภาพนั้น

 

ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขามันเปลี่ยนไปแล้วตั้งแต่วันนั้น หากเป็นเมื่อก่อนไม่ว่ามันจะดำมืดแค่ไหนเขาก็ไม่เคยปกปิดมันเหมือนกับนิลที่แสดงตัวตนที่แท้จริงต่อหน้าเขาเช่นกัน ผิดกับตอนนี้ที่ความสัมพันธ์ของพวกเขาเหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้าย แม้จะไม่อยากหวาดระแวงแต่รัตติกาลกลับห้ามตัวเองให้เลิกกลัวไม่ได้

 

ให้มันห่างขึ้นดีกว่าขาดจากกันไป

 

ต่อให้มันไม่มั่นคงแค่ไหนเขาก็เลือกที่จะยื้อมันไว้ในแบบของตัวเอง

 

 

“กูแค่เหนื่อยๆ อยากดื่มคนเดียว”

 

“เพราะเรื่องรพีสินะ”

 

นิลพูดดักออกมาอย่างรู้ทัน ทำไมเขาจะไม่รู้ว่ารัตติกาลฝืนตัวเองมากแค่ไหน แต่ก็เพราะรับปากเอาไว้ถึงไม่อยากเข้าไปก้าวก่าย ถึงแม้จะอยากเห็นร่างโปร่งเปิดรับรพีแล้วมีความสุขกับชีวิต ลืมความแค้นที่คอยทำร้ายแล้วเริ่มต้นใหม่อย่างที่หวัง แต่สิ่งที่ร่างโปร่งกำลังทำกลับไม่ได้ทำให้เขาสบายใจเลยแม้แต่น้อย

 

“ประมานนั้น”

 

รัตติกาลเองก็ตอบกลับมาตรงๆอย่างไม่คิดปิดบัง อันที่จริงปิดไปนิลก็คงรู้อยู่ดี สู้ยอมรับตรงๆซะยังดีกว่า หนำซ้ำความจริงข้อนี้อาจจะเรียกความน่าเห็นใจให้ตัวเขาบ้าง ในฐานะคนที่มีความพยายามจะกลับตัว มันก็ไม่เลวร้ายเท่าไหร่...

 

“ถึงกูจะอยากเห็นมึงทำดีกับรพี แต่กูก็ไม่อยากให้มึงฝืนตัวเองแบบนี้”

 

“หึ จะใจอ่อนกับกูแล้วรึไง มึงก็รู้ว่าถ้ากูเลิกตอนนี้ สิ่งที่มึงหวังจะไม่มีทางเกิดขึ้นได้อีก”

 

“เพราะฉะนั้นมึงเลยเดิมพันสุดตัวเลยสินะ...”

 

“ประมานนั้น ถ้าสุดท้ายกูทำไม่สำเร็จ กูคงไม่เหลืออะไรเลย”

 

“...”

 

“แต่ถ้ากูทำสำเร็จ...กูก็จะได้ทุกอย่างกลับคืนมา”

 

 

ทั้งความเชื่อใจที่ป้าจันทร์มีต่อเขา

 

ทั้งความความสัมพันธ์ของเขาและนิล

 

รวมไปถึงโอกาส...ในการแก้แค้นครั้งสุดท้าย

 

 

 

“ถ้ามึงตัดสินใจอย่างนั้นกูคงทำอะไรไม่ได้ แต่ระวังนะไอ้กาล”

 

“...”

 

“คนที่แพ้...อาจจะไม่ใช่แค่คนคนเดียวก็ได้”

 

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
คุยกับเช่!

เป็นไงกันบ้างคนับ! ความเครียดโชยมาเลย (คนอ่าน : ไหนบอกจะหวานแล้วไง ไหนห๊ะเช่!!!) 555555555

ตอนนี้เป็นการอธิบายเหตุผลว่าทำไมอารัณย์ถึงได้ดูเป็นห่วงรพีออกนอกหน้า ทั้งที่เพิ่งรู้จักกัน และก็อาจจะเป็นเหตุผล

ที่เจ้าตัวมาทำอาชีพเกี่ยวกับเด็กๆทั้งที่ดูบุคลิกแล้วห๊าวห้าว ไม่เหมาะเอาซะเลย ตัวละครตัวนี้เช่สร้างอยากให้เป็นกาวใจ

สมานความสัมพันธ์ของสองพ่อลูก แต่คนอย่างกาล ให้ไปพูดดีๆคงไม่ได้ผล อาจจะต้องเจอคนที่มีอดีตพอๆกันเนี่ยแหละ หึหึ

 

บอกล่วงหน้าเลยว่าไปอัพไปสองวันนะคนับ เจอกันวันพุธเลย เช่ต้องออกกอง ถ่ายรูปถ่ายงานสองวันติด ว่าไงดีล่ะ

เช่ไม่อยากอัพเป็นแบบ% อยากจะลงให้ทีเดียวเต็มๆเลย เพราะตอนนึงของเช่ไม่ได้ยาวมาก บวกกับบางทีเขียนๆไปจะจบแล้ว

พอรู้สึกว่ามันไม่ได้ ไม่ใช่ เช่ก็ลบทิ้งเกลี้ยงเลย 55555 ตอนแรกมีสต็อกเผื่อไว้ แต่ตอนนี้หมดแล้วด้วย เลยอาจจะช้ากว่าที่เคย

ทั้งที่พูดไว้แล้วว่าอยากมาอัพให้ทุกวัน แต่ก็ดันทำตามที่พูดไม่ได้ซะอย่างนั้น รู้สึกแย่นะคนับ กลัวคนไม่รอ T^T อย่าลืมเช่นะ

แต่ถึงมาช้าก็ยังมีคนรออยู่ คนไลค์เพจก็เริ่มมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คิดอยู่ว่าถ้าครบร้อยอาจจจะมีตอนพิเศษให้แต่ยังไม่รับปากนะ

คือเรื่องมันมาแนวนี้จะตอนพิเศษยังไงวะ 555555555 อาจจะเป็นเรื่องสมัยมหาลัยของนิลกาลงี้ ดูก่อนๆ ดูแบบยาวๆเลย

สุดท้ายเหมือนเดิม ขอบคุณทุกเม้นทุกโหวตทุกไลค์ กำใจจากทุกคนที่ให้เช่อยากเขียนต่อ ขอบคุณนะคนับ^^

แม้มันจะร้าง จะเงียบยังไงก็เถอะ เช่ด้านฮะ จะลงต่อไปแบบนี้เรื่อยแหละ~~~ #รัก


 :oo1: :oo1: :oo1:
 

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด