-11-
หลังจากราววอร์ดตรวจผู้ป่วยในช่วงเช้าเสร็จ พระพายและเพื่อนคนอื่นๆก็แยกกันไปตามหน้าที่ของตน เขาเอาแฟ้มประวัติของผู้ป่วยมายังเคาท์เตอร์ประจำแผนกเช่นทุกวัน คุ้นเคยกับพยาบาลที่นี่เป็นอย่างดี ก่อนจะเช็คการให้ยาและติดตามอาการผู้ป่วยในข้อมูลคอมพิวเตอร์นิดหน่อย เสร็จแล้วจึงหันหลังเพื่อจะลงไปตรวจ OPD (ผู้ป่วยนอก) กับอาจารย์หมอ ทว่าก็ชนเข้ากับใครบางคนอย่างจัง
"ขอโทษครับ!!" พระพายรีบขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ทั้งที่ตนเองก็เจ็บจากแรงกระแทกไม่น้อย
"ใช่พายรึเปล่า?" เมื่อเห็นหน้าอีกฝ่าย เขารีบถามออกมาอย่างไม่แน่ใจนัก พลางขยับแว่นสายตาที่สวมเพื่อมองคนตรงหน้าให้ชัดยิ่งขึ้น พระพายหรี่ตามอง เขาคุ้นหน้าหากแต่จำชื่อผู้ชายคนนี้ไม่ได้
"เราบอสไง ม.6/1 เลขที่ 11" เขาแนะนำตัวและเป็นการเตือนความจำอีกฝ่ายไปในตัว พระพายพยายามนึกก่อนจะยิ้มกว้างออกมาอย่างดีใจ เมื่อจำได้ว่าบอสคือคนที่นั่งอยู่หลังห้องเรียนเป็นประจำ อีกทั้งเลขที่ก็อยู่ถัดจากเขาไปตำแหน่งเดียว
"ตั้งแต่จบ ม.6 ก็ไม่ได้เจอกันเลย นี่เป็นหมอแล้ว ดีใจด้วยว่ะ" มือบางตบไหล่เพื่อน สื่อให้รู้ว่าดีใจอย่างที่พูดจริงๆ บอสหัวเราะขันก่อนจะจับสาบเสื้อกาวน์สีขาวของเพื่อนเก่าไว้
"ก็เป็นหมอเหมือนกัน จะตื่นเต้นทำไม"
"เออจริงด้วย ลืมตัว" หมอพายเกาหัวแกรกๆอย่างเก้อเขิน พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นนาฬิกาบนฝาผนังที่ใกล้เวลาลงไปตรวจผู้ป่วย OPD (ผู้ป่วยนอก) ที่ห้องตรวจกับอาจารย์หมอแล้ว
"เห้ย! เรามีตรวจอะ เดี๋ยวยังไงพักเที่ยงเจอกันที่ศูนย์อาหาร ไปก่อนนะ!" โบกมือลาเพื่อนก่อนจะรีบวิ่งไปทันที ทิ้งให้อีกฝ่ายได้แต่มองตามด้วยรอยยิ้ม
บอส นายแพทย์ธนบูรณ์ แพทย์ประจำบ้านภาควิชากุมารเวชศาสตร์ (กุมารแพทย์) ของโรงพยาบาลวิวรรธน์ ถึงแม้จะอยู่ห้องเดียวกันมาสามปีแต่บอสก็เป็นแค่เพื่อนร่วมห้องของพระพายเท่านั้น พระพายเป็นคนเงียบๆ เหมือนสร้างโลกของตัวเองเอาไว้ เขารู้แค่ว่าพ่อของพระพายเสียจึงอาจทำให้พระพายพาตัวเองออกจากสิ่งต่างๆรอบตัว สิ่งเดียวที่ทำให้บอสกล้าเข้าไปคุยกับพระพายก็มีแค่เพียงเรื่องการเรียนเท่านั้น เพราะอีกฝ่ายเรียนเก่งเป็นอันดับต้นๆของห้อง พระพายเป็นคนที่แค่อยู่เฉยๆก็ยังดูน่าสนใจ ปฏิเสธไม่ได้ว่าเพื่อนร่วมห้องคนนี้มีเสน่ห์อยู่ไม่น้อยเลย ยิ่งไปกว่านั้นไม่คิดว่าโลกจะหมุนให้พวกเขาได้มาพบกันอีก ...
ภายในห้องตรวจผู้ป่วยนอก อาจารย์หมอ ลูกศิษย์ รวมถึงผู้ป่วยที่เข้ามาตรวจเช็คอาการของตนเองต่างรอผลเอ็กซเรย์อย่างใจจดใจจ่อ เนื่องด้วยอาการที่เธอเจ็บหน้าอกจากการหายใจและมีการแน่นหน้าอกร่วมด้วย หลังจากที่ภูตะวันตรวจฟังเสียงปอดของเธอแล้วพบว่าผิดปกติจึงส่งเอ็กซเรย์ทันที
"ผลเอ็กซเรย์มาแล้วครับ" หมอเอิร์ธเรียกให้ทุกคนดูที่โทรทัศน์จอขนาดปานกลางภายในห้องตรวจ ภูตะวันลุกขึ้นยืนดูใกล้ๆ เขาวินิจฉัยก่อนจะหันมาหาคู่สามีภรรยาวัยกลางคนทั้งสองที่กำลังรอฟังผล
"ปอดของคุณรั่วครับ" ทันทีที่ได้ฟังเธอถึงกับเข่าอ่อนไปเสียดื้อๆ ด้วยไม่รู้ว่าอาการปอดรั่วที่เธอเป็นมันร้ายแรงเพียงใดและมีวิธีรักษาให้หายหรือไม่ เพราะปอดเป็นอวัยวะสำคัญของการหายใจ อีกทั้งเธอเพิ่งจะคลอดลูกน้อยออกมาได้เพียงไม่นาน
"มีวิธีรักษาให้หายไหมครับหมอ!?" สามีของเธอถามอย่างวิตกกังวล ประคองภรรยาไว้ไม่ห่าง พระพายอดจะชื่นชมในความรักของเขาทั้งคู่ไม่ได้ ปัจจุบันนี้ความรักดีดีมันหายากแล้ว
"ไม่ต้องกังวลไปครับ มีวิธีรักษาด้วยการผ่าตัดและสอดท่อเข้าไปในปอดเพื่อให้ลมและน้ำในปอดระบายออก" ภูตะวันอธิบายอย่างใจเย็น ถึงแม้ว่าสีหน้าและน้ำเสียงจะไม่ได้ฟังดูอ่อนโยนเหมือนกับคุณหมอท่านอื่นๆ ทว่าความเรียบที่ดูน่าเชื่อถือก็ทำให้คนฟังสบายใจไปได้บ้าง
"จะหายขาดไหมครับอาจารย์?" พระพายถามในขณะที่กำลังจดโน๊ตเพื่อเป็นกรณีศึกษาและเอาไว้ทำเล่มในวันที่จบหลักสูตรแพทย์ประจำบ้านภาควิชาศัลยศาสตร์
"หลังจากที่เราสอดท่อเข้าไป จะมีอาการดีขึ้น 2-3 วันแต่หากในกรณีที่กลับมาเป็นอีกก็ต้องผ่าตัดใหญ่เพื่อเย็บรอยรั่วภายใน"
"ดิฉันมีลูกที่ยังเล็ก ต้องให้นมกับเขา การผ่าตัดจะเป็นปัญหาสำหรับการให้นมรึเปล่าคะ?" เธอถามด้วยสีหน้ากังวลใจ หากการผ่าตัดทำให้ลูกกินนมเธอเองไม่ได้ก็คงจะลำบาก การให้เด็กทารกที่เพิ่งจะมีอายุเพียงเดือนกว่าๆกินนมผงคงไม่ดี อย่างน้อยเธอก็อยากให้ลูกน้อยได้กินนมของเธอเอง หมอซันครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่
"คุณอาจจะเจ็บจากการสอดท่อ แต่ผมคิดว่าคุณจะทนได้เพื่อลูก เราจะให้แพทย์และพยาบาลแผนกเด็กมาดูแลร่วมด้วยครับ" ภูตะวันเผยยิ้มเล็กน้อยเพื่อให้ผู้ป่วยสบายใจ เพราะหากเครียดก็จะเป็นอันตรายในการผ่าตัด
ภูตะวันไม่ได้กลับไปที่ห้องทำงานของตัวเองในทันทีหลังจากที่ตรวจ OPD เสร็จ หากแต่เขาตรงไปยังห้องของท่านประธานโรงพยาบาลน้องชายแท้ๆของพ่อเขาแทน
"มีอะไรล่ะมาหาอาถึงห้อง ไม่บอกล่วงหน้า?" ประสิทธิ์ทักหลานชายที่เป็นเหมือนลูกชายด้วยสีหน้าแจ่มใส รอยยิ้มที่เหี่ยวย่นของคนอายุห้าสิบต้นๆทว่าก็ยังดูดีและเหมือนพ่อของเขาเสมอ ภูตะวันยกมือไหว้ทักทายก่อนจะนั่งลงที่โซฟารับแขกหน้าโต๊ะทำงานของห้องนี้
"คิดถึงมั้งครับ" คนเป็นหลานชายพูดยียวน ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ ประสิทธิ์คลี่ยิ้มเอ็นดูเขาปิดแฟ้มเอกสารก่อนจะลุกขึ้นมานั่งที่โซฟาตัวตรงข้ามกับหลานชายเพียงคนเดียว เขารู้ดีว่าเจ้านี่ไม่ได้มาเพราะคิดถึงอย่างที่ปากว่าแน่ๆ แต่ถึงกระนั้นก็อยากจะยียวนกลับเพราะหลานชายไม่เคยกลับบ้านร่วมทานอาหารด้วยกันมาสักพักแล้ว
"คิดถึงก็กลับบ้านสิ อาอยู่กับอาหญิงสองคนเหงาจะแย่ มีหลานอยู่หนึ่งคนก็ไม่เคยดูดำดูดี หึหึ" ถึงจะน้อยใจอยู่บ้าง หากแต่ก็เข้าใจว่าเพราะอะไรที่ทำให้ภูตะวันไม่ค่อยกลับไปที่บ้าน นอกจากเรื่องงานที่วุ่นๆพอกัน ก็คงจะเป็นการกลับไปอยู่ในที่เดิมๆที่เคยมีพ่อและแม่ของตนอยู่ ถึงแม้รู้ว่าหลานชายของตนเข้มแข็ง แต่บาดแผลใหญ่ถึงแม้จะปิดสนิททว่าก็ยังมีแผลเป็นที่ทำให้หวนคิดถึง
"ผมมีเรื่องอยากจะถามอาน่ะครับเกี่ยวกับโรงพยาบาลของเรา ตั้งแต่รุ่นคุณทวดเลย" อาจารย์หมอเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจังขึ้นมาเมื่อเริ่มพูดเข้าเรื่องที่ตั้งใจมาคุยกับอาของตน
"อาก็จะตอบเท่าที่อารู้ ซันมีอะไรหรือเปล่า?"
"เคยมีเรื่องเสื่อมเสีย เรื่องไม่ดีภายในองค์กรของเราเกิดขึ้นรึเปล่าครับ" ประสิทธิ์ครุ่นคิดก่อนจะตอบออกไปว่าไม่มีเพราะเขาเองก็ไม่เคยได้ยินหรือได้รู้มา หากมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นอย่างน้อยต้องมีคนติฉินนินทาพูดให้เข้าหูบ้างแล้ว
ภูตะวันกัดกรามแน่นเมื่อนึกไปถึงหน้าหมอคนร้ายคนนั้น คงจะทำกันอย่างแนบเนียนที่สุดหรือไม่ก็เป็นความสะเพร่าของโรงพยาบาลที่ไม่ตรวจตราเอกสารเวชระเบียนต่างๆ ไม่ติดตามอาการของคนไข้ รู้เท่าที่แพทย์รายงานเท่านั้น แต่ก็เข้าใจว่าเพราะความไว้เนื้อเชื่อกันแท้ๆ
"มีอะไรรึเปล่า เราไปรู้อะไรมา?" ประสิทธิ์ถามด้วยความวิตกกังวล กลัวว่าจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นในโรงพยาบาลอย่างที่หลานชายสงสัย หากเป็นเช่นนั่นเท่ากับการทำหน้าที่บริหารของเขาและครอบครัวที่ผ่านแม่แย่มาก
ภูตะวันลำบากใจพระพายไม่อยากให้คนรู้เรื่องนี้มากนัก เพราะกลัวว่าฝ่ายนั้นจะไหวตัวทันและอาจทำลายหลักฐานทั้งหมดทิ้ง แต่การให้ผู้ใหญ่ในครอบครัวและเป็นถึงประธานบริหารของโรงพยาบาลรับรู้ ก็เท่ากับว่าเป็นใบเบิกทางให้ทำอะไรได้ง่ายขึ้นไม่ใช่หรืออย่างไร
"มันมีครับ แต่ผมยังบอกอาไม่ได้ อาครับผมอยากได้เวชระเบียนผู้ป่วยของแผนกหนึ่งทั้งหมดออกมา ผมทำได้ไหมครับ?" ประสิทธิ์ถอนหายใจแต่ก็เคารพการตัดสินใจของหลานชายตน เพราะรู้ดีกว่าใครว่าภูตะวันเป็นคนคิดจะทำอะไรแล้วก็ต้องมุ่งมั่นและจริงจังกับมัน หากอีกฝ่ายไม่พร้อมจะบอกนั่นหมายถึงการรอให้มั่นใจและการทำด้วยตัวเองก่อน
"ทำได้ แต่ซันก็ต้องทำเรื่องขอเอาออกมา ผ่านแพทย์เจ้าของไข้หรือแพทย์ผู้ผ่าตัด จะเอาออกมาดื้อๆไม่ได้ เพราะนั่นเท่ากับว่าเราขโมย ผิดกฏหมาย"
"บางทีคนทำผิดก็คงไม่เอาหลักฐานออกมาวางไว้ให้เราเห็นหรอกจริงไหมครับ" ภูตะวันยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย เขารู้ว่ามันไม่ง่ายแต่เขาก็จะทำ เพื่อคำสัญญาที่ให้ไว้กับลูกศิษย์และเพื่อทวงคืนความบริสุทธิ์โปร่งใสให้กับโรงพยาบาลวิวรรธน์แห่งนี้
เสียงจอแจของผู้คนรวมถึงเสียงจานช้อนกระทบกันดังระงมทั่วศูนย์อาหารของโรงพยาบาล พระพายพูดคุยกับเพื่อนเก่าอย่างออกรส หลังจากที่ไม่ได้เจอกันมาหลายสิบปี ถึงเขาจะไม่สนิทกัน แต่การได้กลับมาเจอกันในสายอาชีพเดียวกัน ความรู้สึกก็คงจะเหมือนกันการเจอคนไทยด้วยกันในต่างแดนนั่นล่ะ ...
"แสดงว่าชอบเด็กถึงเรียนกุมารฯ" พระพายถามเพื่อนในระหว่างทานอาหาร แพรดาวและอนุวัฒน์ก็รอฟังอย่างสนใจเช่นเดียวกัน
"ก็ชอบนะ แต่จริงๆก็อยากเห็นเด็กเขาได้เติบโตขึ้นมา ได้ใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้นานๆแบบพวกเรา" บอสยิ้มดวงตาเป็นประกาย แพรดาวกระพริบตาปริบๆ สีหน้าชวนฝันจนเอิร์ธต้องโบกมือไปมาเรียกสติเพื่อนตัวเอง
"เราก็ชอบเด็กนะ คบกับเราสิ"
"แรงมากผู้หญิงสมัยนี้" หมอเอิร์ธบ่นเพื่อนตัวเองอย่างไม่จริงจังมากนัก กลายเป็นเรื่องขำๆเฮฮากันไปในหมู่แพทย์เรสสิเดนท์ปีหนึ่งต่างแผนก
"ไปดีกว่าว่าจะไปหาหนังสืออ่านที่ห้องสมุด ไปด้วยกันไหม?" แพรดาวหันถามเพื่อนที่เหลือ หมอเอิร์ธพยักหน้าหงึกๆก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ถือจานข้าวเตรียมเอาไปเก็บ พระพายส่ายหัวดิกเพราะหนังสือที่เขาได้มาจากอาจารย์หมอก็ไม่ต่างกันกับที่ในห้องสมุดมีเท่าไหร่ บางเล่มในห้องสมุดยังไม่มีด้วยซ้ำ
"ไปกันเถอะ เราเอาของอาจารย์หมอมาอ่าน เจอกันที่ห้องผ่าตัดเลย"
"อาจารย์ไม่เห็นให้พวกเราบ้างเลยว้าา~" หมอเอิร์ธแสร้งทำหน้าเศร้า พูดเชิงตัดพ้อ เขาหัวเราะก่อนจะเดินไปออกจากโต๊ะไปพร้อมแพรดาว เหลือเพียงหมอพายและหมอบอสเพื่อนเก่าที่โต๊ะ
"พายพูดเก่งขึ้นเยอะเลยนะ"
"ไม่ได้พูดเก่งหรอก แค่โตขึ้นน่ะ" เขาระบายยิ้มส่งให้อีกฝ่าย เพราะว่าโตขึ้นจึงทำให้เขาต้องพูดกับผู้คนมากขึ้นเท่านั้นเอง ทั้งสองคนพูดคุยกันถึงเรื่องในอดีตสมัยเรียนเสียส่วนใหญ่ ทำให้บทสนทนาค่อนข้างออกรส เมื่อไหร่ที่ย้อนไปนึกถึงวัยเรียน มักจะมีเรื่องให้ต้องยิ้มเสมอ ทว่ารอยยิ้มของเขาสองคนที่ส่งให้กันกลับมีสายตาคู่คมจากมุมหนึ่งกำลังมองอยู่
ปึก! ปึก! ปึก!
เสียงลูกบาสกระทบกับพื้นสนามหลังโรงพยาบาลในเวลาพักเที่ยงที่ไม่มีใครใช้สนามในเวลานี้ด้วยอยู่ในฤดูฝนและเหมือนฟ้าจะเริ่มตั้งเค้าส่อแววว่าฝนจะกระหน่ำลงมาในอีกไม่ช้า
ร่างสูงของใครบางคนยืนเด่นหราอยู่กลางสนาม เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้าอ่อนช่วงแขนถูกพับขึ้นมาช่วงข้อศอก ด้านหลังเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขาหอบหายใจถี่หลังจากชู้ตลูกกลมๆสีส้มเข้าห่วงมาได้สักพัก ก่อนจะตั้งใจชู้ตมันอีกครั้งราวกับว่าต้องการระบายอารมณ์บางอย่างจนพอใจ
"ซัน!" เสียงใสตะโกนเรียกเจ้าของชื่อที่ยืนอยู่กลางสนาม ในมือเธอมีข้าวใส่กล่องพลาสติกและน้ำเปล่ามาด้วย เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหันมาเห็นตนแล้วจึงนั่งลงที่ม้านั่งตัวยาวข้างสนามใกล้กับเสื้อกาวน์สีขาวสะอาดที่พาดอยู่ หมอซันโยนลูกบาสทิ้งก่อนจะเดิน
เข้ามาหาเพื่อนที่นั่งรออยู่
"มาได้ไง?" เขาถามเสียงนิ่งก่อนจะเปิดฝาขวดน้ำที่หมอบีถือมายกดื่มอึกใหญ่ มือหนาปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตออกสองสามเม็ดเผยให้เห็นแผงอกหนาเป็นสัดส่วนเพื่อระบายความร้อน ก่อนจะนั่งลงข้างๆหญิงสาวเพื่อนสนิท
"หัวใจสั่งให้มา" เธอแสร้งทำหน้าจริงจัง เมื่อเห็นว่าคนฟังชะงักไปจึงหลุดขำออกมา แค่อยากจะแกล้งเพื่อนเท่านั้นถึงแม้ในใจจะยังรู้สึกดีมากแค่ไหนก็ตาม เขาผลักหัวเพื่อนเบาๆอย่างหยอกล้อ พลางเอนหลังพิงพนักของม้านั่งอย่างใจเย็น
"เห็นว่ายังไม่ได้กินข้าวเลยซื้อมาให้ รู้นะว่าหงุดหงิดอะไรมา" สโรชาพูดอย่างรู้ทัน เพราะรู้จักหมอซันดี ในขณะที่เธอนั่งทานข้าวอยู่กับเพื่อนหมอด้วยกันในศูนย์อาหาร เธอดันเหลือบไปเห็นเพื่อนสนิทยืนอยู่ตรงมุมหนึ่งตั้งใจว่าจะตะโกนเรียก ทว่าหากสังเกตดีๆอีกฝ่ายกำลังสนใจกับอะไรบางอย่าง จึงมองตามสายตานั้นไปก็เห็นว่าลูกศิษย์แสนพิเศษของเพื่อนตัวเองนั่งอยู่กับใครอีกคน
"........." ภูตะวันเงียบไปราวกับถูกจี้จุด เขาคว้ากล่องข้าวที่เพื่อนเอามาให้เปิดออก หมอบีขยับตัวหันไปหาเพื่อนสนิทที่นั่งเขี่ยข้าวอยู่ข้างๆต้องการที่จะพูดด้วย
"แกหงุดหงิดที่เห็นเขาคุยกับคนอื่นที่ไม่ใช่แก แกชอบเด็กคนนั้นจริงๆใช่ไหมซัน?"
"..... คงงั้นมั้ง" เขาตอบแบ่งรับแบ่งสู้ พลางตักข้าวเข้าปากอย่างกับว่าไม่ได้คิดอะไร ทั้งที่จริงๆแล้วเขากำลังคิดสับสนอยู่ในใจ ปฏิเสธมาตลอดว่าไม่ใช่เขาไม่ได้ชอบ ทว่าความรู้สึกกลับฉายฉัดขึ้นมาทุกที เขาหงุดหงิดและไม่พอใจที่เห็นพระพายพูดคุยหยอกล้อกับหมอเด็กคนนั้นอย่างออกรส หงุดหงิดที่คนตรงหน้าพระพายไม่ใช่เขา
"นี่ฉันรักเกย์มาตลอดเหรอวะเนี่ย"
"ไม่ใช่เกย์เว้ย ฉันแค่รู้สึกว่าพระพายพิเศษกว่าผู้ชายคนอื่น ถ้าไม่ใช่พระพายแค่คิดฉันก็ขนลุกแล้ว"
"ชอบก็ไปบอกเขาสิ" สโรชาแนะเพื่อนสนิท ภูตะวันไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจ ยังไม่เห็นต้องบอกในเมื่อเขาเองก็ยังไม่แน่ใจความรู้สึกของตัวเองมากนัก นานไปอาจจะรู้ว่าความรู้สึกที่ผ่านมามันเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบเดียวที่เผลอไปก็ได้
"อาจารย์หมอครับ!!" เสียงเรียกจากอีกฝั่งของสนามเรียกให้ทั้งสองคนหันไปมอง คนที่ถูกพูดถึงเมื่อครู่ยืนหายใจกระหืดกระหอบอยู่ ก่อนจะรีบวิ่งตรงมาหาพวกเขา
"อยู่นี่เองผมหาตั้งนาน โทรมาก็ไม่รับ" พระพายพูดพลางหอบหายใจเพราะเหนื่อยจากการวิ่งตามหา สโรชาได้แต่ลอบมองปฏิกิริยาของคนสองคนอยู่เงียบๆ
"ผมลืมเอาลงมา มีอะไรรึเปล่า?"
"คุณไอรดาหายใจไม่ออก เธอปวดหลังซีกซ้ายด้วยครับ ต้องเลื่อนเวลาผ่าตัดด่วน" พระพายรีบรายงานถึงอาการของสาวคนเมื่อเช้านี้ หมอซันวางกล่องข้าวลงก่อนลุกขึ้นยืนคว้าเสื้อกาวน์มาถือไว้ มือหนาขยี้ผมเพื่อนรักที่นั่งอยู่อย่างแรง ก่อนจะเดินนำพระพาย
"พระพาย" หมอบีเรียกอีกฝ่ายเอาไว้ คนถูกเรียกชะงักเท้าก่อนจะรีบหันกลับมาเพื่อรออีกฝ่ายพูด
"ครับ"
"ว่างๆก็ตรวจหัวใจให้เพื่อนฉันบ้างนะ มันน่ะตรวจแต่คนอื่น จนไม่รู้ว่าตัวเองก็กำลังเป็นโรค"
"อาจารย์ป่วยเหรอครับ!?" พระพายเบิกตากว้าง หันไปหาอาจารย์หมอของตนเพื่อเอาคำตอบ ภูตะวันถลึงตาใส่เพื่อนตัวเองที่กำลังทำหน้าล้อเลียนอยู่อย่างหมั่นไส้ พูดอะไรไม่เข้าท่า
"โรคไม่รู้หัวใจตัวเองน่ะ" พระพายขมวดคิ้วทันทีที่ได้ฟังจบ ไม่ใช่ใสซื่อเสียจนไม่รู้ว่าที่คุณหมอสาวสวยพูดหมายถึงอะไร ก็ในการแพทย์โรคนี้มีจริงที่ไหนกัน ก่อนหน้าจะเห่อร้อนขึ้นมาเสียดื้อๆกับสายตาที่มองเขากับหมอซันสลับกันอย่างต้องการจะสื่ออะไร
"ยัยบ้านี่ก็เพ้อเจ้อแบบนี้ อย่าไปฟังเลย รีบไปกันเถอะ" ภูตะวันเอ่ยตัดบทก่อนจะคว้าข้อมือของลูกศิษย์ให้วิ่งไปด้วยกัน ก่อนจะยกยิ้มมุมปากน้อยๆที่พระพายไม่เห็น ...
บรรยากาศเดิมๆในห้องผ่าตัดที่เหล่าบรรดาแพทย์และพยาบาลคุ้นเคยกันดี แต่ที่แตกต่างก็คือแต่ละเคสที่ต้องเจอ เคสของไอรดาไม่ต้องดมยาสลบเพียงแค่ฉีดยาชาเท่านั้นเพราะเป็นการผ่าตัดเล็กเพื่อสอดท่อเฉยๆ อาจารย์หมอกรีดมีดลงบนเนื้อเนียนอย่างใจเย็น ก่อนแพทย์ผู้ช่วยคนอื่นๆจะช่วยกันเปิดขยายปากแผลออกให้กว้างขึ้น
"เอาท่อมา" หมอซันเอ่ยสั่งเมื่อได้สิ่งที่ต้องการก็เริ่มสอดท่อเข้าไปในปอดอย่างระมัดระวัง
"เจ็บหน่อยนะครับ ท่อจะอยู่ตรงกลางระหว่างซี่โคร่ง เวลาหายใจจะเจ็บต้องอดทนนะ" เขาบอกกับผู้ป่วยที่ยังมีสติครบถ้วน เธอพยักหน้าช้าๆ สีหน้าบ่งบอกถึงความเจ็บปวดไม่น้อย
"เย็บ" หมอซันสั่งให้หมอผู้ช่วยเย็ยปิดแผล ก่อนจะเดินออกมาล้างไม้ล้างมือ เขาเลือกที่จะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อรอตรวจผู้ป่วยนอกในช่วงบ่าย
"จากนี้ดูแลดีๆ ประสานกับแผนกเด็กให้เข้ามาช่วยดูแลคนไข้เรื่องการให้นมลูกด้วย" ภูตะวันบอกกับลูกศิษย์และผู้ช่วยคนอื่นๆหลังจากการผ่าตัดเสร็จสิ้น
"ผมประสานเองก็ได้ครับ มีเพื่อนเป็นหมอแผนกนั้นพอดี" พระพายอาสาจะเป็นคนประสานงานเอง เพราะอย่างน้อยก็เป็นเพื่อนกัน คุยกันง่ายอีกทั้งยังได้ร่วมงานกันระหว่างแผนกซึ่งไม่ได้มีบ่อยๆ
"ไปรู้จักสนิทสนมกับเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ถึงเรียกว่าเพื่อนน่ะ" คนตัวสูงพูดเหน็บก่อนจะเดินหนีไป ทิ้งให้พระพายได้แต่ยืนงงว่าทำไมถึงไม่รอฟังคำตอบจากเขาว่ารู้จักกับบอสมาตั้งนานแล้ว
ค่ำคืนนี้ชุ่มช่ำอีกเช่นเคย แต่อาจจะต่างไปตรงที่วันนี้ดูตกหนักกว่าที่เป็นอีกทั้งยังมีลมที่กระโชกแรงราวกับไปโมโหใครมา ภูตะวันนั่งนิ่งอยู่ที่โต๊ะทำงานริมหน้าต่างห้อง ดวงตาสีน้ำตาลเข้มมองออกไปข้างนอกอย่างใช้ความคิด คิดว่าจะเอาหลักฐานออกมาด้วยวิธีไหน
ก๊อก ก๊อก ก๊อก ...
เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นดึงให้เขากลับมาอยู่กับปัจจุบัน ลุกขึ้นไปส่องตาแมวดูว่าใครมาเคาะห้องในเวลาใกล้จะเที่ยงคืนแบบนี้ ลูกศิษย์ตัวดียืนรออยู่หน้าห้องแบบหน้าง่วงๆ ทำให้เขาเผลอยิ้มออกมา ก่อนจะเปิดประตูออก
"มาถูกได้ยังไง?" เขาถาม จำได้ว่าไม่เคยบอกเลขห้องกับพระพายว่าเขาอยู่ห้องอะไร พระพายรู้แค่ว่าอยู่ชั้นสิบเท่านั้น
"ผมก็เคาะมันทุกห้องบนชั้นนี้แหละครับ" เขาตอบเล่นๆทว่ากลับทำสีหน้าจริงจังอย่างกับพูดเรื่องจริง ทั้งที่จริงเขาแอบถามกับยามเฝ้าคอนโดมาตั้งนานแล้วต่างหาก
"บ้ารึเปล่า" ตำหนิอีกคนอย่างไม่จริงจัง พลางเบี่ยงตัวหลบเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าจะเดินเข้ามา เขาปิดประตูลงอีกครั้ง ก่อนเดินนำลูกศิษย์ให้มานั่งที่โซฟารับแขก
"ผมนอนไม่หลับ นอนคิดเรื่องหาหลักฐานจนปวดหัว ผมอยากให้มันได้รับกรรมเร็วๆ" พระพายพูดอย่างเหนื่อยใจ ไปห้องเวชระเบียนเท่าไหร่ก็ดูจะไม่ได้ผล ยิ่งหาเหมือนยิ่งไม่เจอ ไม่ต่างอะไรกับการงมเข็มในมหาสมุทร
"เพราะเราทำกันแค่สองคนไง" พระพายมองหน้าอาจารย์ของตนอย่างต้องการคำอธิบาย
"ฝ่ายนั้นอาจจะทำกันเป็นขบวนการ ซึ่งแน่นอนว่ากำลังเขามีมากกว่าเรา เราก็ต้องหาแนวร่วมเราเหมือนกัน คุณไม่ต้องห่วงผมจัดการได้ อย่างน้อยก็ถือเป็นการไถ่โทษจากครอบครัวของผมที่ปล่อยให้มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในโรงพยาบาล"
"ก็ได้ครับ ผมเชื่อ" คุณหมอหน้าหวานพยักหน้าเข้าใจ เพราะแววตาแสดงความจริงใจที่สะท้อนออกมาจากดวงตาคู่นั้น ก่อนที่จะเบนความสนใจไปที่หนังสือนิทานบนโต๊ะรับแขก มือบางหยิบขึ้นมาพลิกดูอย่างสนอกสนใจด้วยหน้าปกสีฟ้าขาวและชื่อเรื่อง
"เจ้าชายลมหนาว" เขาพูดชื่อเรื่องพลางหันไปหาเจ้าของเป็นเชิงถามว่าอาจารย์หมออ่านนิทานด้วยหรือและเหมือนว่าภูตะวันจะรู้ว่ากำลังถูกถามจึงตอบออกไปว่าเด็กๆให้มาเป็นของขวัญที่รักษาจนหายดี
"ตามสบายนะ ผมจะอ่านหนังสือ" คนตัวสูงบอกก่อนจะลุกไปยังมุมโต๊ะทำงานที่อยู่ไม่ไกล พระพายนั่งลงบนพื้นพรม เปิดหนังสือนิทานอ่านอย่างสนใจ
ในขณะที่อ่านนิทานเจ้าชายลมหนาว พระพายเผลอยิ้มออกมาตลอดเวลา ด้วยเนื้อหาที่น่ารักและภาพประกอบที่น่าดู ถึงแม้ว่าความง่วงจะเข้าครอบงำจนทำให้เผลอหลับในไปบ้างแต่ก็ยังฝืนเพื่อให้รู้จุดจบของเจ้าชายลมหนาว จนถึงหน้าสุดท้ายที่ยิ้มออกมาอีกครั้งก่อนจะฟุบหลับคาโต๊ะไป
เวลาผ่านไปได้สักพัก เสียงเปิดกระดาษหนังสือเงียบไป ภูตะวันจึงได้ชะเง้อคอมองว่าลูกศิษย์ยังอยู่หรือเปล่าหรืออาจจะกลับไปแล้ว เป็นเพราะพระพายนั่งที่พื้นทำให้โซฟาบังจนเขามองไม่เห็น เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเดินไปยังโซฟาหน้าทีวี ก่อนจะหัวเราะหึเมื่อเห็นว่าพระพายฟุบหลับคาหนังสือนิทานที่เปิดอยู่หน้าสุดท้ายไปแล้ว
ขายาวค่อยๆก้าวเข้าไปหาเงียบๆ เพื่อไม่ให้รบกวนคนที่กำลังฝันดี ทิ้งตัวนั่งลงที่พื้นข้างๆกัน คลี่ยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นใบหน้าหวานหลับราวกับเด็กน้อย นิ้วเรียวจับเส้นผมที่ปรกหน้าของลูกศิษย์ออกเบาๆ ก่อนจะชะงักไปเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังลืมตาขึ้นมาช้าๆ
"อาจารย์จะไม่แช่แข็งหัวใจตัวเองเพื่อไม่ให้รักใครเหมือนเจ้าชายลมหนาวใช่ไหมครับ?" พระพายถามช้าๆ ใบหน้าด้านขวายังคงฟุบอยู่กับโต๊ะ คนถูกถามยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะลูบเส้นผมนุ่มเบาๆอีกครั้ง
"ผมไม่ใช่เจ้าชายลมหนาว คุณก็ไม่ใช่หญิงสาวในนิทานที่ตายเพราะความหนาวเหมือนกัน"
"แต่อาจารย์หมอเป็นเจ้าชายเย็นชา" พระพายระบายยิ้มน้อยๆ ถึงแม้จะง่วงงุนเพียงใด ก็อยากจะคุยกับอาจารย์หมอที่ตนรู้สึกดี
ด้วยเสียก่อน คนถูกกล่าวหาหัวเราะเบาๆแต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
"ผมชอบฤดูหนาวเหมือนหญิงสาวในนิทาน"
"แต่คุณจะไม่ตายเหมือนในนิทาน" เพราะเจ้าชายเย็นชาเป็นหมอไม่ทำให้ใครตาย ทั้งสองคนยิ้มให้กันด้วยความรู้สึกที่แปลกไป คล้ายกับว่าสิ่งที่สับสน คอยปั่นป่วนก่อกวนอยู่ในหัวใจมันหายไป กลายเป็นคำตอบที่ต่างคนต่างรู้อย่างชัดเจนว่าคืออะไร เพียงแต่ยังไม่พูดกันไปตรงๆเท่านั้นเอง
***************
Talk : ไร้แก่นสารมากตอนนี้ สาระอยู่ไหน 55555
เขารู้หัวใจตัวเองกันแล้วนะคะ รอวันสารภาพ ใครสารภาพก่อนแพ้ อิอิ พบกันตอนหน้าที่เริ่มเข้มข้นขึ้นแล้ว มาดูกันว่าฝั่งคนร้ายจะเคลื่อนไหวยังไง
ขอบคุณทุกคอมเมนท์เช่นเคยค่ะ
ขอบคุณนิทานเรื่องเจ้าชายลมหนาวด้วยค่ะ
เป็นนิยายฝันดี บังเอิญเราเคยอ่านเจอในกระทู้นึงในเน็ต
คิดว่าใช่หมอซันเลย 555555 ยังไงลองไปหาอ่านกันดูนะคะ
ปล.มีตัวละครใหม่เข้ามาคือ บอส เพื่อนสมัยมัธยมปลาย
มาดูกันว่าบอสอยู่ฝั่งคนร้ายหรือคนดี จริงๆเรื่องนี้ไม่มีปมอะไรซับซ้อนค่ะ
เราแต่งซับซ้อนไม่เป็น เรื่องแรกก็เอาเบาๆไปก่อน ไม่ต้องคิดอะไรเยอะค่ะ55555555