คุณ oaw_eang : ดีใจที่เจ๊สองแวะมาเยี่ยมครับผม ช่วงแรก ๆ จะอ่านยากนิดหนึ่งเพราะมีสอดแทรกหลายสี แต่ช่วงต่อไปจะเป็นสีเดียวกันยาว ๆ ทั้งตอน ก็คงจะเข้าใจได้ง่ายขึ้นครับ
คุณ KriT_SuN : สวัสดีครับพี่เอก หายไว ๆ นะครับ ผมเป็นกำลังใจให้นะ
คุณ myLoveIsYOu : ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมครับผม
คุณ Clear eyes : อิอิ ผมยังกลัวอยู่เลยครับว่าชื่อเรื่องมันไม่ค่อยวัยรุ่นอ่ะ กลัวจะไม่ค่อยโดน
ขอบคุณสำหรับคำชมคร้าบ ส่วนเรื่องการแบ่งสีตามเหตุการณ์ ถ้าไม่แบ่งจะยิ่งงงกว่านี้อ่ะครับ
แต่ต่อไปจะจัดเรียงเหตุการณ์ประเภทเดียวกันต่อกันยาว ๆ ในตอนตอนหนึ่ง
สำหรับไอเดียที่แบ่งเป็นสอง เพราะเรื่องราวจะดำเนินสองทิศทางและมาบรรจบกันที่จุดจุดหนึ่งครับ
ซึ่งทั้งสองทางจะเห็นความสัมพันธ์อย่างแน่นแฟ้น และเป็นตัวโครงเรื่องหลัก
อันที่จริง เรื่องนี้มาจากชีวิตจริงของผมเองครับ ตัวละครก็มีจริงเกือบทุกคน เพียงแต่เพิ่มความเป็นนิยายเข้าไป
คุณ THIP : ต้องขออภัยจริง ๆ ครับที่ทำให้สะดุด >,< ผมเขียนแสดงบริบทของเรื่องไม่ดีพอที่จะให้ผู้อ่านรู้ได้ว่าเป็นเหตุการณ์แบบไหนอ่ะครับเลยต้องแยกด้วยสี แล้วก็ดีใจที่คุณทิพจับโครงเรื่องหลักได้และเริ่มรู้สึกสนุกครับผม
*หมายเหตุ
ความฝันใช้อักษรสีน้ำตาล
เหตุการณ์ในอดีตสีน้ำเงินเข้ม
เหตุการณ์ปัจจุบันสีเขียว
ที่ตัดสินไม่ได้ว่าควรจะเป็นอะไรใช้สีครามเขียว
[ปัจจุบัน]
ผมพยายามลืมเปลือกตาอันหนักอึ้ง และรวบรวมสติจากสมองอันมึนงงด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ หมอนหนานุ่มใบใหญ่รองรับศีรษะของผมอยู่ ในขณะที่ร่างกายของผมเย็นเฉียบจากเครื่องปรับอากาศที่เป่าลงมาบนผิวเปลือยเปล่า
แขนข้างซ้ายของผมปาดไปเบื้องข้าง และสัมผัสกับผิวนุ่มลื่นของใครอีกคน
เทพ เทพ หรือ... ไม่สิ เทพไม่ได้มา เขาโทรบอกผมอีกทีว่าคงมาไม่ได้
แล้วใครกันล่ะ ที่นอนอยู่ข้าง ๆ ผม...
ผมยันร่างขึ้นกึ่งนั่งกึ่งนอนบนเตียง พลางทบทวนความทรงจำช้า ๆ
ผมเมา ใช่สิผมเมา เทพโทรมาอีกทีด้วยน้ำเสียงเริงร่าว่าติดนัดกับสาว ๆ ผมรู้สึกเหมือนถูกตบหน้า เมื่อคนที่ตั้งตารอ กลับผิดคำในวินาทีสุดท้าย
คนที่นอนข้าง ๆ ยังไม่ตื่นจากหลับใหล แม้ว่าผมจะเคลื่อนกายจนเตียงยวบ ใบหน้าของเขาถูกปิดซ่อนอยู่ในความมืด ทว่าผมไม่อยากใส่ใจ ตอนนี้ผมรู้สึกเพียงความรังเกียจตนเอง
รังเกียจในความโสมม รังเกียจในคราบราคีที่ถูกผู้อื่นฝากไว้ตรงซอกคอ ยอดอก ผิวหน้าท้อง และส่วนนั้น ผมจำได้ราง ๆ ถึงสัมผัสอันเร่าร้อนและรุนแรงเมื่อคืน กับชายหนุ่มนิรนามที่พบเจอกันที่บาร์
ผมเดินเข้าห้องน้ำโดยไม่หยิบผ้าเช็ดตัวมาพันกาย เนื่องจากไม่จำเป็นต้องอายแล้ว ผมมันหมดสิ้นซึ่งยางอาย ฮะ ฮะ ฮะ งั้นก็ยิ่งไม่ต้องกังวลในความสกปรกน่ะสินะ
แต่ไม่รู้สิ อย่างน้อยสายน้ำเย็นที่ราดจากฝักบัวอาจจะพอให้ผมสำนึกได้ว่าอะไรเป็นอะไร ใครบางคนที่ไม่จำเป็นต้องมีผม และใครบางคนที่ผมทำร้ายเขา ด้วยการกลับไปคว้าใครบางคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาสนองความเจ็บปวดของจิตใจ
เหมือนกับเอาน้ำเกลือราดที่แผลเรื้อ รังแต่จะทำให้ยิ่งเจ็บปวดขึ้นทุกที
แต่ผมก็ยังมีความสุข เวลาที่เห็นผิวเนื้อสั่นระริกด้วยความเจ็บปวด และเลือดซึมเล็ดออกมาจากปากแผลนั้น
ใครบางคนทางเบื้องนอกตื่นแล้ว ผมสัมผัสได้จากเสียงสวบสาบของเนื้อผ้า เขาคงถูกรบกวนด้วยแสงไฟและเสียงน้ำจากในห้องน้ำ ผมยิ้มขื่น ๆ ให้กับตนเอง ก่อนดึงเอาผ้าเช็ดตัวที่มีประจำอยู่ในห้องน้ำมาซับผิวเนื้อให้ปราศจากหยดน้ำเกาะพราว และตวัดผ้าผืนนั้นรอบเอว
“ไงนัส ชอบเมื่อคืนมั้ยครับ”
วาจาสองแง่สองง่ามอันกล่าวด้วยน้ำเสียงกรุ่มกริ่มบนใบหน้าขี้เล่นของชายหนุ่มวัยเดียวกับผม เอ่ยทัก เมื่อผมก้าวออกมาจากประตูห้องน้ำ
นี่ผมบอกชื่อของผมให้เขารู้จักแล้วหรือนี่ ทำไมผมจำอะไรไม่ได้เลยล่ะ
“คุณคือ...”
“ผมพันไพรครับ”
เขาหุบยิ้มลงและกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้น เมื่อเห็นว่าผมสีหน้าเครียด
ผมเหยียดยิ้มให้เขานิดหนึ่งและพิจารณารูปหน้าของเขาเมื่อต้องแสงไฟ พันไพรมีผิวสีน้ำนมอ่อน ผิวหน้าของเขาที่เนียนเรียบจนไม่น่าเชื่อ ตัดกับคิ้วดกคมเข้ม และไรหนวดจาง ๆ เหนือริมฝีปาก ดวงตาสีน้ำตาลอ่อน ที่ดูคุ้นเคย จนผมประหวัดจิตนึกถึง เทพ เจ้าของดวงตาสดใสแพรวพราวน่าหลงใหลดุจเดียวกัน
“พันไพรครับ ผมจะออกไปข้างนอก ถ้าคุณจะกลับเมื่อไหร่ฝากล๊อคห้องด้วยนะครับ”
พันไพรอ้าปากจะทักท้วง แต่ผมรีบตัดบท
“ผมว่าคุณคงง่วง และตอนนี้ก็ยังมืดเกินไป นอนที่เตียงผมต่อก่อนก็ได้ครับ”
ระหว่างที่พูด ผมก็คว้าเอาเสื้อเชิ้ตสีขาว และกางเกงขายาวสีเข้มมาแต่งตัวที่โต๊ะเครื่องแป้ง
พันไพรเอนร่างลงนั่งพิงฝาผนังติดเตียง และเฝ้ามองผมตอนแต่งตัวอย่างเงียบ ๆ
“แล้วเจอกันนะครับ”
ผมบอกลาเขาแต่เพียงแค่นี้ แล้วจึงปิดประตูห้องตามหลัง ผมหลับตายืนนิ่งอยู่หน้าห้อง ทำไมผมต้องหนีออกมาด้วย เพราะความกลัวหรอกหรือ
กลัวที่จะทำเรื่องโสมมเช่นเมื่อคืนอีกครั้ง กลัวจะถูกสัมผัสจากมือคู่อื่น ผมเกลียดตนเองขึ้นทุกทีที่ก้าวห่างจากห้องไป
ชีวิตมันก็แบบนี้ล่ะนะ...
ผมยิ้มหยันให้กับโลกยามราตรีที่มืดหม่นราวจะบดขยี้คนไร้ทางไปอย่างผมให้แบนราบภายใต้ท้องฟ้าสีหมึกนั้น
ลมทะเลพัดเฉื่อยฉิวริมหาดขณะที่แสงสีทองแห่งรุ่งอรุณเริ่มแต่งแต้มขอบฟ้าอีกด้าน เงาเมฆสีแดงจางจับกลุ่มเกาะเหนือทิวเขาด้านตรงกันข้ามของฝั่งทะเล ผมสูดลมหายใจลึกยาวเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าไปในปอด หวังจะชำระล้างคราบความแปดเปื้อนภายในจิตใจ เสียงคลื่นซัดซ่าดังมาจากที่ไกล ๆ เนื่องจากช่วงน้ำลงยาวจนเห็นสันทรายชายหาดยาวลิบ ผมเดินทอดน่องกลับยังทางเก่า ที่รอยเท้าเดิมของผมทิ้งรอยประทับไว้บนผืนทราย
บังกาโลของผมอยู่เบื้องหน้าไม่ไกล สวนเล็กเบื้องหน้าปูด้วยพรมหญ้าสีเขียวสด แซมประดับกอแก้วกลิ่นกรุ่น ผมได้ยินเสียงหัวเราะเริงร่าของคนมากกว่าหนึ่งคนจากภายใน มันทำให้ผมร้อนรุ่ม ด้วยคิดไปว่าพันไพรพาใครมายุ่มย่ามที่นี่หรือเปล่า แต่อย่างไรก็เป็นความผิดของผมเองที่ไปไว้ใจใครง่าย ๆ จนเกินไป
ผมผลักประตูเปิดเข้าไปโดยไม่เคาะ ด้วยความร้อนรน ทว่าคู่หญิงชายที่นั่งอยู่บนโต๊ะสีขาวกลางห้องโถงกลับทำให้ผมหยุดชะงัก และครางออกมาอย่างไม่เชื่อสายตา
“เทพ...”
เทพโบกมือให้ผมจากโต๊ะนั้น เขาไม่คิดที่จะลุกขึ้นต้อนรับ'เจ้าของบ้าน' ขณะที่หญิงสาวอีกคน ซึ่งผมจำได้ว่าหล่อนคือน้องสาวของเพื่อนเมื่อครั้งม.ปลาย
“ไง นัส เราแวะมาเยี่ยม แก้ตัวที่เมื่อคืนรับปากแล้วไม่มา หุหุหุ”
ผมดีใจแทบตายอยู่แล้วที่เขามา แต่ก็แกล้งทำเปนเก๊กขรึม
“อืม มาก็ดี”
“อะไรอ่ะคะ พี่นัส ทักแต่พี่เทพคนเดียวไม่ทักยีนส์บ้างเลย”
สาวน้อยซึ่งนั่งฝั่งตรงกันข้ามทักท้วงด้วยเสียงอ่อนหวาน
“ไงญิณรา ฌิณชัยเป็นไงบ้าง”
“ก็สบายดีค่ะ เห็นบ่นถึงพี่นัสบ่อย ๆ ว่าไม่ค่อยติดต่อมาเลย”
“อืมพี่ไม่ค่อยว่างเท่าไหร่น่ะ ฝากขอโทษไอ้ชัยมันด้วยล่ะกัน ว่าแต่ลมอะไรพัดยีนส์มานี่ด้วยกับไอ้เทพล่ะ”
“ลมคิดถึงพี่นัสไงคะ”
เสียงกุกกักจากครัวเรียกสายตาของทุกคนไปยังชายหนุ่มในผ้ากันเปื้อนสีฟ้าซึ่งถือกระทะร้อนกรุ่นออกมา
ผมสะดุ้งใจหายวาบเมื่อเห็นว่าคนคนนั้นคือพันไพร
“อ่า นัสมาพอดีเลย โชคดีที่ผมเตรียมอาหารเช้าไว้สี่ชุด”
“พี่ไพรทำอาหารเก่งจัง หอมเชียว”
ผมชักเอ๋อ ที่ดูเหมือนว่าทุกคนรู้จักกันดีอยู่แล้ว แต่ก็ยังไม่วายใจสั่นที่ความลับอะไรของผมจะรั่วไหลหรือเปล่า
“ไม่นึกว่า นัสจะรู้จักไพรด้วย เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องของเราเอง”
ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เมื่ออะไรมันจะบังเอิญขนาดนี้
“โลกมันกลมเหลือเชื่อ ใช่มั้ยครับนัส”
พันไพรยิ้มหวานให้ ดวงตาของเขาแพรวพราวดุจเดียวกับเทพไม่มีผิด และสิ่งที่เหมือนกันคงจะเป็นความสามารถในการถือวิสาสะตีสนิทกับคนอื่นได้เก่งพอ ๆ กัน
เทพรวบมีดส้อมเข้าหากันเมื่อรับประทานเสร็จ ผมนั่งถือมันค้างไว้ด้วยความที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกในบางเรื่อง พันไพรเช็ดปากกับผ้าเช็ดหน้าของเขาเอง ส่วนญิณราค่อย ๆ รวบมีดส้อมเข้าหากันอย่างนุ่มนวล
“ทำไมไม่มาตั้งแต่เมื่อคืนล่ะ ?”
“พี่เทพเขากลัวว่าจะมาขี้แยใส่พี่น่ะสิคะ”
“ยัยยีนส์!”
คนโดนนินทาระยะเผาขนปรายตาเข้มทำเสียงดุใส่ ญิณราลอบแลบลิ้น
“อีทีนี้ล่ะมาทำเป็นดุ”
ผมมองภาพของคนทั้งคู่ด้วยความรู้สึกหลากหลาย และหลุดคำพูดออกไปจนได้
“ยีนส์กับเทพดูสมกันดีนะ...”
สาวน้อยใบหน้าขึ้นสีเรื่อ และเงียบไปในพริบตา ขณะที่เทพกลับแก้ตัวเป็นพัลวัน
“เปล่า.. เปล่านี่ นัสก็รู้ว่าเรายังไม่อยากมีแฟน กับยีนส์เราก็คิดแค่น้องสาว ใครจะเอายัยตัวแสบแบบนี้ทำแฟนลงคอ โชคร้ายตายเลย”
“โธ่เอ๊ย คนขี้เก๊ก ขี้แย ขี้แกล้ง จอมกวนประสาทอันดับหนึ่ง หล่อก็ไม่หล่อ แบบพี่เทพ ใครเขาจะอยากได้กันล่ะคะ”
ญิณราก็ว่าไปแต่ดวงตาของเธอเสไปทางอื่นไม่ยอมสบกับใคร
“เออ เมื่อไหร่แกจะกลับล่ะ” พันไพรพลันทะลุกลางปล้อง จนคนรอบ ๆ สีหน้าเจื่อน แต่เทพที่รู้แกวกันดีจึงตอบโต้กลับ
“หนอย มีเพื่อนใหม่แล้วลืมเชื้อลืมแถว นี่นัส อย่าไปเชื่อไอ้หมอนี่มากนักนะ มันชอบหลอกให้พาไปเลี้ยงข้าวฟรีแล้วก็ชักดาบ”
ผมหลุดหัวเราะ เมื่อเทพเผาลูกพี่ลูกน้องเขาซึ่ง ๆ หน้า
“เฮ้ย อย่าไปเชื่อไอ้เทพ ผมไม่เคยทำแบบนั้น ผมเป็นสุภาพบุรุษจะตายไป”
“เอ้า งั้นรีบ ๆ ตายไป จะได้ไปกินข้าวต้มงานศพ”
วาจายอกย้อนใครจะเกินเทพ จนผมต้องรีบห้ามทัพ “เกรงใจเจ้าของบ้านหน่อยสิครับ เขาจะสำลักไข่ดาวไหม้ติดคอตายแล้ว หึหึหึ”
พันไพรฝากสายตาอาฆาตให้ลูกพี่ลูกน้อง ก่อนลุกขึ้นเก็บจานให้กับทุกคนยกเว้นเทพ ผมส่ายหน้าช้า ๆ แล้วลุกขึ้นเก็บให้เทพแทน
“นายบอกอะไรเทพไปบ้าง ?”
เมื่อเราอยู่สองต่อสองในครัว ผมก็ได้โอกาสซักไซ้ พันไพรหันมายิ้มให้อีกครั้งด้วยมาดสบาย ๆ
“จะให้บอกอะไรล่ะครับ ไม่เห็นมีอะไรต้องบอก”
“นายรู้จักเรามาก่อนหรือเปล่า ?”
“เปล่านี่ครับ เราพบกันเพราะโชคชะตา หรือเรียกอีกอย่างว่าบุพเพสันนิวาส”
ดวงตาของเขาระยิบระยับจนผมไม่กล้าสบตาตรง ๆ อีกแล้ว
เสียงฝีเท้าดังมาใกล้ จนผมต้องถอยห่างออกจากพันไพรโดยอัตโนมัติ
“พวกเราจะกลับกันแล้วนะคะ”
“ครับ เดี๋ยวผมออกไปส่ง”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ พี่เทพไปรถแล้วค่ะ เลยฝากยีนส์มาลา”
ผมหัวใจโหวง ๆ อย่างบอกไม่ถูก เมื่อยังไม่ทันได้เตรียมใจที่จะมองหน้าของเขาเพื่อเก็บความทรงจำไว้ ก็ต้องลาจากกันโดยไม่ได้พบหน้าเสียแล้ว
“ครับ”
ผมรับคำอย่างเลื่อนลอยจนแทบไม่รู้ตัวว่าญิณราออกไปเมื่อไหร่
“นัสครับ ..ผมมาหาได้อีกหรือเปล่าครับ”
“นายจะมาหาผมอีกทำไม”
“ก็อย่างเมื่อคืนไงครับ”
พันไพรหลิ่วตาให้ด้วยสีหน้าทะเล้น
“เสียใจครับ ผมทำแบบนั้นกับคนที่เกี่ยวข้องกับเทพไม่ได้”
“เพราะนัสอยากทำกับเทพเสียเองน่ะสินะ”
ความเงียบกริบขนาดที่ว่าแม้เข็มตกยังได้ยินปกคลุมเราทั้งคู่
“ผมเห็นสายตาของนัส ว่านัสมองเทพยังไง”
“ประตูอยู่ทางนั้นครับ ออกไปจากบ้านของผมได้แล้ว”
แต่พันไพรไม่ขยับจากที่เดิมแม้แต่ก้าวเดียว
“เอาล่ะ ผมขอโทษ ที่พูดแบบนั้น แล้วถ้าผมอยากจะขอกลับมาหาอีกครั้งในฐานะเพื่อน หรือไม่ก็ฐานะของลูกพี่ลูกน้องของเพื่อนล่ะ นัสยินดีต้อนรับผมอีกมั้ยครับ”
“ทำไมนายถึงอยากเข้ามายุ่มย่ามกับชีวิตผมนักล่ะ ?”
“นัสเคยได้ยินคำว่า ..รักแรกพบมั้ยครับ”
“ผมไม่เชื่อเรื่องรักแรกพบครับ ผมเชื่อแต่เซ็กแรกพบ”
“งั้นสักวันผมจะทำให้นัสเชื่อ ว่ารักแท้ที่เริ่มจากเซ็กมันก็มีอยู่จริงเหมือนกัน”
“ผมไม่เชื่อ..”
“งั้นก็ให้โอกาสผมลองสิครับ หรือว่านัสกลัว”
ท้าทายเก่งเหมือนกันไม่มีผิด ทำไมทั้งคู่ถึงเหมือนกันขนาดนี้นะ..
“ถ้างั้น พรุ่งนี้เจอกันครับ แล้วผมจะมาเยี่ยม”
“เดี๋ยว ... นี่...”
แต่พันไพรทำหูทวนลม เขาก้าวยาว ๆ ตัดห้องรับแขกออกสู่ระเบียงหน้าบ้าน และก้าวจากไปพ้นเขตบังกะโลในที่สุด พวกตระกูลนี้นี่ หัวดื้อแบบนี้หมดทุกคนเลยหรือเปล่า