https://www.youtube.com/v/SlB5guSEXkQ“หืมมมม หอมมากกกกกกก” แคปเปิดอาหารออก มองหาถ้วยชามเปิดลิ้นชักเอาช้อน จากนั้นเขาก็จัดการเทไว้สองถ้วยใหญ่ ๆ ทุกหยดหยาดไม่ให้เหลือ โจ๊กเจ้านี้อร่อยมากจริง ๆ เคยไปกินมาครั้งนึงตอนนั้นก็ไอ้เอสนี่แหละที่พาไป วันนี้วาสนาปากได้กินอีกแล้ว แคปเทไปยิ้มไปมองดูที่เอสยังนั่งกดช่องหาดูข่าวต่าง ๆ สักพักมันยกข้อมือดูเวลา แต่แคปไม่สนใจแล้ว ตอนนี้เขาโฟกัสที่ชามโจ๊กตรงหน้า
“มึงกินแต่ข้าวเปล่าๆไปเถอะ ไอ้คนนิสัยเสียบังอาจเอาชุดแฟนเก่าเก็บไว้ในห้อง ปากก็บอกว่าเราคบกันแล้วคบกันแล้ว เห๊อะ หมูสับมึงไม่ต้องแดก ไข่แดงมึงก็ไม่ต้องกิน ตับหมูมึงก็ไม่ต้องมี สรุปมึงไม่ต้องกินเห้อะไร เอาไปแค่โจ๊กเปล่าๆกับขิงเลยละกัน” แคปบ่นอุบๆอิบๆไปเบา ๆ ตักบรรดาหมูไข่และเครื่องในต่าง ๆ ในชามของเอสมาใส่ไว้ที่ชามของตัวเองแทน พอทำเสร็จเขาก็หัวเราะชอบใจ แต่ว่าในตอนนั้นเองที่เสียงทุ้มๆกระแอมไอดังขึ้น แคปสะดุ้งโหยงรีบมองดูต้นทางของเสียง เห็นเอสยืนกอดอกมองสิ่งที่เขากำลังทำ
“ก็ดีแคป กูชอบกินข้าวเปล่าๆมึงรู้ใจกูดีมาก” เอสยกยิ้มนิดๆทำหน้าทำตากวนตีน
“เหี้ย!” แคปด่ากราดออกมา
“ด่าอะไรเล่าคนอุตส่าห์ชมที่รู้ใจ มึงรู้ป่ะกูไม่กินเครื่องในหมู แม้กระทั่งหมูสับก็ไม่ชอบ ไข่แดงนั่นยิ่งแล้วใหญ่”
“จริงดิ!?” แคปทำหน้านึกตาม
“อืมม” ขณะที่เอสตีหน้าตายได้เนียนมากๆ ตอนนี้ดูเหมือนแคปจะติดกัปดักเขาอีกแล้ว เพราะหลังจากนั้นแคปก็จัดการตักอาหารในชามเปลี่ยนกันใหม่อีกครั้ง
“งั้นมึงเอานี่ไปเลย ตับหมู เกลียดนักใช่ไหมหมูสับงั้นก็เอาไปด้วย สิ่งที่มึงเกลียดมึงเอาไปให้หมด”
“อะไรเนี่ย ตักไปตักมา แล้วไอ้นี่กูไม่กินเหอะ”
“แต่มึงต้องกิน กูจะบังคับให้มึงกิน”
“ไอ้ตับหมูนี่น่ะเหรอ” เอสมองลงที่จานแกล้งทำหน้าแหยงๆ
“ใช่” แคปหันไปทำหน้าท้า อีกคนจึงแกล้งทำสีหน้าจ่อย ๆ แต่ในใจนี่ยินดีมาก ตับหมูของโปรด หมูสับแสนอร่อย ไข่แดงเพิ่มพลัง หึหึ แต่ทว่าเขาคงหลุดยิ้มออกมาแน่ ๆ เพราะเจ้าแคปพอเห็นหน้าตาท่าทางกระอักกระอ่านแบบนั้นของเขา คงจะรู้ตัวว่าโดนหลอก ฟาดฝ่ามือมาแบบเต็ม ๆ ไม่มียั้ง
“นิสัยแย่นักนะมึงกล้าหลอกกูเหรอห๊ะ!”
“โอ๊ยแคป พอๆ ก็ใครใจร้ายกับกูก่อนเล่า อะไรจะให้กินแต่โจ๊กเปล่าๆน่ะ”
“ก็ใครมันทำความผิดล่ะ มึงมันแย่ทำตัวไม่ดีก็ต้องโดนกูทำโทษสิวะ กูทำแค่นี้มันยังน้อยไปเหอะ” แคปพูดเสียงดังใส่หน้างอมากๆ เอสถอนหายใจยาว ๆ ก่อนดึงแขนอีกคนเข้ามาหาตัวจากนั้นเขากอดมันไว้ทั้งๆอย่างนั้นเลย
“ไม่เอาๆไม่โกรธ กลับมาก็หน้างอใส่โกรธกูเรื่องอะไรเนี่ย มีไรถามดิวะ”
“กูไม่ถาม!”แคปหันมาแว๊ดอีกหน ทั้งผลักทั้งตีหน้าอกมันแรง ๆ เอสยังไม่ยอมปล่อยออก
“งั้นก็ตามใจ” เอสพยักหน้าบอกไม่ตื้อแล้ว เขาไม่อยากต่อปากต่อคำ เถียงไปยิ่งมีแต่เรื่องเห็นท่าคงจะจริงยิ่งอยู่กันไปเขายิ่งต้องยอมมัน กลายเป็นคนกลัวเมียไม่รู้สึกตัวเลยจริง ๆ เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นเอสจึงปล่อยแขนออกแคปนี่รีบกระโดดโหยงไปจัดการเรื่องอาหารต่อ เอสมองแล้วล้วงมือถือเอาออกมาจากกระเป๋ากางเกงกดรับสาย
ชิพโทรมาถามว่าจะเข้าเรียนช่วงไหน
“สายๆเดี๋ยวกูไปถึง มึงส่งใบงานให้กูก่อนเลย”
(สิบโมงทันไหม)
“อือ”
(มึงแวะเข้ามารับกูทีสิ เดี๋ยวรอนะ)
“ไอ้ชิพกูว่ากูพูดกับมึงเข้าใจตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะว่าวันนี้จะเข้าช้า จะให้มึงส่งงานให้แล้วกูจะแวะไปรับมึงทำไมล่ะวะ”
(ก็หยอกเล่นหรอกน่า แล้วตกลงแฟนมึงว่าไง หายงอนแล้วดิ) สิ้นเสียงของไอ้เพื่อนตัวดีจบลง เอสเหลือบมองไปที่แคปแวปนึงเจอดวงตากลมๆเขียวปั๊ดใส่เขาเลยขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงกับเพื่อนอีกบอกให้มันวางสายไป ชิพไม่ยอมเอสเลยกดตัดสายไปด้วยความรำคาญ
“เดี๋ยวกูเข้าไปเปลี่ยนเสื้อ แล้วจะออกมากินด้วย..” มือใหญ่สอดเข้าที่ท้ายทอยเล็ก บอกประมาณว่าเทไว้ให้เรียบร้อยกูออกมาต้องได้กินเลยนะอะไรแบบนั้น แคปหันไปเบะปากใส่ไม่อยากจะสน เขาจับมือเอสดึงออกแรงๆบอกอย่ามายุ่ง เอสหมั่นเขี้ยวหน้าตาแบบนั้นของมันมากๆเขาจึงผลักหัวแคปเบา ๆแล้วเดินเลี่ยงเข้าห้องไป
แต่ทว่า.....
“..........!!!??!!??!!!!..........”ทันทีที่ก้าวขาเข้ามา สิ่งแรกที่เห็นก็คือสิ่งที่กองอยู่บนพื้นข้างเตียงนอนของเขา มันดูยับเยินหมดราคา ไม่ต้องหยิบขึ้นมาดูก็รู้ในทันทีว่าโดนใครบางคนที่อยู่ด้านคว้าเอามาจากตู้แล้วปาทิ้งไว้อย่างไร้เยื่อไย การกระทำของแคปที่บ่งบอกถึงอารมณ์โกรธตั้งแต่เขาก้าวเท้ากลับมาถึงห้องตอบคำถามทุกอย่างที่อยู่ในใจได้ทั้งหมดแล้ว เอสมองดูชุดเจ้าปัญหาแล้วถึงกับส่ายหัว เขาถอนหายใจแรง ๆ ก่อนตัดสินใจก้าวออกไปจากห้องไม่แม้แต่จะเก็บสิ่งที่กองอยู่ให้เข้าที่
“แคป..” เสียงทุ้มเย็นเฉียบเดินออกมาเรียกถึงห้องครัว แคปที่นั่งรออยู่แล้ว รู้ว่าต้องมีปัญหาแน่ ๆ ถ้าเอสเข้าไปเห็นสิ่งที่เขาทำ ก็แค่โยนๆไว้แล้วมันหล่นลงที่พื้นเหอะ ชุดอะไรมันจะสำคัญขนาดนั้นวะ
“...........”
“ทำไมถึงทำแบบนี้วะ” เอสเดินเข้าใกล้ เขากอดอกพิงตัวเข้ากับเคาน์เตอร์จ้องอีกคนที่นั่งก้มหน้าก้มตากินอาหารอยู่ที่โต๊ะ แคปได้ยินเสียงแสดงความเอือมระอาแบบนั้นถึงกับเงยหน้ามอง
สองคนจ้องหน้ากัน สายตาของเอสแสดงถึงความผิดหวังในการกระทำของแคปอย่างรุนแรงขณะที่นัยน์ตาของแคปอัดแน่นไปด้วยความน้อยใจ ชุดเหี้ยไรถึงได้สำคัญขนาดเดินออกมาทำหน้าตาแบบนั้นใส่เขา แคปกระแทกช้อนลงที่จาน กัดริมฝีปากแน่น
“กูจะทำ มึงมีปัญหาอะไรล่ะ” คนดื้ออย่างไรเสียก็เป็นคนดื้ออยู่วันยังค่ำ
“มันสมควรที่มึงต้องทำขนาดนั้นเลย?”
“กูไม่สนกูจะทำ ความลับมากเหรอ ชุดคนสำคัญมึงหรือไงทำไมต้องเป็นเดือดเป็นแค้นขนาดนั้นด้วย” บรรยากาศหม่นๆก่อตัวขึ้นรอบกายเขาทั้งคู่ แคปหันมองไปที่นอกหน้าต่างบานกระจกใส มองดูท้องฟ้ายามเช้าที่ไม่สดใสเหมือนดั่งทุกวันอาจเป็นเพราะเมื่อคืนฝนตกลงมาบรรยากาศยามเช้ายังคงขมุกขมัว คงต้องรอแสงแดดมาทาบส่องให้ทุกๆอย่างเจิดจ้าขึ้นมา
“กูไม่เคยมีความลับอะไรอยู่แล้ว เพียงแต่บางอย่างมึงรู้หรือไม่รู้แค่นั้น”
“ก็แล้วทำไมล่ะ! จะเอาเรื่องรึไง ก็แค่มึงเก็บชุดแสนสำคัญขึ้นมาแขวนเอาไว้ที่เดิมแค่นั้นก็จบแล้วนี่” แคปหันไปพูดดังๆใส่ เขาโมโหถึงกับลุกขึ้น เพราะสายตาผิดหวังของเอสที่มองมาที่เขายิ่งทำให้แคปเป็นเดือดมากขึ้นอีก “กูจะกลับแล้ว”
“ยังไปไม่ได้” เอสคว้าหมับแขนเล็กไว้ เขากระชากทีเดียวแคปหยุดชะงักอยู่ต่อหน้าเขา “เข้าไปเก็บชุดขึ้นให้เรียบร้อย สิ่งที่มึงทำไว้เก็บให้เข้าที่ แล้วออกมานั่งกินข้าวกันจากนั้นไปส่งกูที่มหาลัย”
“กูไม่ทำ!” แคปพูดจริงจัง บิดแขนตัวเองออกจากพันธนาการร้าย แต่เอสหรือจะยอมปล่อย
“เข้าไปเก็บ!” เสียงดุดันจริงจังออกคำสั่ง ใบหน้าคมไม่มีแม้แต่รอยยิ้ม
“มึงก็ไปเก็บเองสิวะ ชุดเมียเก่ารึไงแขวนอยู่ในตู้แบบนั้น หรือว่าเป็นชุดผู้หญิงที่มึงพามานอนด้วยอยู่เสมอกันล่ะ”
“แคป!!” เอสตะคอกขึ้นแรง ๆ สีหน้าที่ดูผิดหวังอยู่แล้วยิ่งชัดเจนยิ่งขึ้นไป
“กูไม่เก็บ!” แคปเถียงรั้นไม่ยอมลง เอสถึงกับยืนนิ่ง “..............”
“กูบอกว่ากูไม่เก็บ! ปล่อยสิวะบ้าเอ๊ย!!”
“แล้วใครที่ทำ ใครทำคนนั้นก็ต้องเก็บ”
“กูนี่แหละทำ แต่กูไม่เก็บจะทำไมล่ะ” แคปเถียงขึ้นไม่ยอมแพ้
“แคป!” เอสโมโหจนมือข้างที่เขาจับแขนแคปไว้สั่น เขายิ่งเพิ่มน้ำหนักบีบแรงขึ้นตามอารมณ์โกรธ แคปเบ้หน้านิดๆเพราะว่าเจ็บแต่คนดื้อก็ยังไม่ยอมปริปากว่าตัวเองเจ็บแค่ไหน
“มึงไม่ต้องมาสั่งกูหรอก มึงอยากเก็บก็เก็บไว้เอง กูจะไม่ถามว่ามันเป็นชุดของใคร แต่ในเมื่อมึงพากูมานอนถึงที่นี่แล้วสมควรไหมที่จะมีชุดบ้าๆแบบนั้นอยู่ในตู้เสื้อผ้ามึง กูโยนเอาไว้ให้มึงรู้ว่ามึงสมควรจะเอาออกไปให้ห่างจากห้องนี้ได้แล้ว ถังขยะไหมหน้าห้องก็ดีนะ แต่มึงต้องเป็นคนเอาออกไปทิ้งเอง”
“เกินไปแล้วนะแคป แสดงออกแบบนี้แปลว่าหึงกูมากมึงรู้ตัวรึเปล่า”
“กูไม่ได้หึง!” แคปหันขวับมาเถียง จะไปหึงได้ยังไงคำว่าหึงมันใช้กับคนที่รักกันนี่พวกเขามันยังไม่ถึงขั้นนั้นเสียด้วยซ้ำ
“โอเคมึงไม่ได้หึง แต่มึงโยนชุดผู้หญิงที่อยู่ในตู้เสื้อผ้ากูทิ้ง แบบนี้ยังเรียกว่าไม่ได้หึง?”
“เออ! กูไม่ได้หึง ดีแค่ไหนแล้วกูไม่โยนทิ้งลงถัง มึงขอบใจกูซะสิ ปล่อยกูสักที”
“นี่คิดจะทิ้งจริง ๆ เหรอเนี่ย”
“ใช่!” แคปบิดแขนตัวเองแรงแค่ไหนก็ไม่หลุด เขาเลยตัดสินใจยกแขนทั้งแขนขึ้นมาแล้วก้มลงไปจะกัดเอสรีบปล่อยออกอย่างเร็ว
“มึงนี่มันดื้อของแท้เลยนะแคป”
“แล้วยังไงล่ะ มีปัญหามากไหม กูก็เป็นคนแบบนี้” แคปเชิดหน้าท้า เอสมองแล้วส่ายหัวหนักยิ่งกว่าเก่า
“กูจะพูดครั้งสุดท้าย”
“............”
มึงพูดไป แคปรอฟังอยู่มันจะพูดอะไร ริมฝีปากสวยเผยอเตรียมจะโต้เถียง สีหน้ารั้นๆแบบนั้นทำเอาเอสถึงกับทนไม่ไหวคว้าเอาคนทั้งคนล็อคเอวเข้ามาหาตัว
“อ่ะ.....!!” แคปตกใจร้องลั่นหน้าตาตื่น ๆ ไม่คิดว่าจู่ ๆ จะโดนล็อคตัวเข้ามา
“พูดง่าย ๆ อย่าดื้อให้มันมาก มึงอยากได้อะไรกูตามใจทั้งหมด อย่าดื้อกับกูได้ยินไหมครับแคป เข้าไปเก็บชุดนั้นแขวนให้เข้าที่..” ที่ท้ายประโยคเอสเน้นเสียงจนฟังดูน่ากลัว แคปหันไปจ้องหน้าแล้วกระทืบขาใส่ แต่คนตัวใหญ่หลบได้ทัน
“ปล่อยกู! กูไม่เก็บ” แคปร้องขึ้นดังๆ มือใหญ่เลื่อนขึ้นมาล็อคเข้าที่ต้นคอขาว เขารู้แล้วว่าหลังจากนี้จะโดนอะไร แคปหันไปมองหน้าเอสอย่างน้อยอกน้อยใจ
“จะยอมเข้าไปเก็บไหมแคป”
“มะ..ไม่....ไม่เอา...” ใบหน้าเล็กค่อย ๆ เลื่อนเข้ามาตามน้ำหนักของมือใหญ่ แคปที่ฝืนไว้จนใบหน้าสั่น กัดริมฝีปากอย่างคั่งแค้น เกมส์นี้เขาแพ้มันแล้วแน่ ๆ
“เลือกเอาจะยอมถูกกูจูบอยู่ตรงนี้หรือว่ามึงจะยอมเดินเข้าไปเก็บสิ่งที่มึงทำไว้เข้าที่เดิม ชุดนั่นต้องแขวนเข้าที่ให้เรียบร้อย มึงทำอะไรสิ่งที่มึงทำต้องรับผิดชอบทั้งหมด”
“แล้วมันสำคัญมากหรือไงชุดนั้นน่ะ ถึงขนาดอยากจะเอาชนะกูแบบนี้มันสำคัญกับมึงมากใช่ไหมห๊ะ!”
“ใช่!”...อากาศยามเช้าที่เย็นชื้นขึ้นเพราะไอฝน คำพูดของคนหนึ่งคนช่างส่งความหนาวเยือกบาดหัวใจได้ดีจริงๆ...“.............” แคปอึ้งไปพูดไม่ออกอีก ขอบตาร้อนผ่าวเมื่อคำว่า ‘ใช่’ ที่หลุดออกมาจากริมฝีปากคม ลำคอเล็กแห้งผาก เขานิ่งลงได้ในทันทีเมื่อความน้อยใจตื้อขึ้นมาจนสุด
...ชุดของคนสำคัญ...มือเล็กค่อยยกขึ้นมาแกะมือหนาที่ล็อคลำคอตัวเองออกอย่างแผ่วเบา “กูจะเข้าไปเก็บให้ โทษทีที่ทำกับของสำคัญของมึงแบบนี้..” เอสมองแผ่นหลังเล็กของคนที่กำลังก้าวเดินเข้าไปที่ห้องของเขาก่อนเดินตามเข้าไปยืนพิงกรอบประตูมอง แคปก้มลงเก็บสิ่งที่มันโยนทิ้งอย่างไม่ไยดีเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนหน้า หลังจากเอาเข้าไปแขวนให้จนเรียบร้อยจะเดินออกมาเจอขายาว ๆ ยกขวางบานประตูไว้
“หลีกทาง กูจะกลับแล้ว” แคปพูดเรียบๆไร้เสียงตะคอกเหมือนดั่งทุกๆครั้ง เขาไม่มองหน้าเอสเลยแม้แต่นิด
“..........”
“...........” แคปไม่พูดต่ออีกแล้ว เขากลับใช้มือแตะลงที่ท่อนขาแกร่งที่ยกขวางทางเขาไว้เบา ๆ แววตาที่เต็มไปด้วยความจนใจเซ็งจนไม่อยากจะรับรู้อะไรทั้งนั้นแล้ว ตอนนี้ไม่มีความรู้สึกยืนอยู่ตรงนี้แม้แต่น้อย อยากกลับห้องตัวเองอย่างเดียวเท่านั้น
“กินข้าวด้วยกันก่อน แล้วเดี๋ยวมึงออกไปส่งกูที่มหาลัย” เขารวบเอาตัวแคปจับสองไหล่เล็กให้เดินไปที่ครัว แคปหันมาส่ายหน้าบอกไม่ คนตัวเล็กกว่าจะเดินแทรกออกไปเอสจึงรั้งท่อนแขนเอาไว้อีกครั้ง
“แคป”
“กูกินอิ่มแล้ว จะกลับเลย”
“มึงเพิ่งกินแค่สองคำ”
“กูไม่อยากกินแล้ว”
“แคป”
“หลีกทาง”
“มึงรู้อยู่แล้วว่ากูจะยอมหรือไม่ยอม เราตกลงกันไว้แล้วใช่ไหม กินโจ๊กด้วยกันเสร็จแล้วไปส่งกู เย็นๆมารับแล้วช่วงดึกกูพามึงไปทำงานที่ตึกไพร์มนั่น ทุกอย่างแพลนไว้แล้วใช่ไหม”
“..........”
“ไม่โกรธดิวะแคป..” เอสดึงแคปเข้ามาอีกครั้ง แต่เสียงอีกคนขยับตัวออก เอสจึงรั้งเอาเอวเล็กพาเดินเข้าไปในครัว แคปไม่ได้อยากจะเดินไปนักแต่ดื้อไปรั้นไปมันก็ไม่ยอมปล่อยเขากลับอยู่ดีเพราะงั้นสู้ทำในสิ่งที่มันต้องการให้จบๆไป เขาสองคนนั่งกินอาหารเช้าด้วยกัน หลังจากนั้นเอสเข้าไปเปลี่ยนเสื้อแล้วหยิบกระเป๋าออกมาลากเอาแคปที่กำลังยืนล้างจานสองใบออกจากห้องไปด้วยสีหน้าเซ็งสุดโลก
“หน้างอจริงๆ รู้ไหมกูกำลังนึกถึงอะไร” เอสแกล้งแซะ แคปขยับตัวหลบหันไปอีกทาง ตั้งแต่ตอนที่นั่งกินข้าวกันเขาก็เลี่ยงไม่อยากคุยด้วย
“อะไรของมึงวะเนี่ยแคป โกรธจริงจังขนาดนั้น?”
“อย่ามายุ่ง!” แคปปัดมือใหญ่ที่จะเข้ามาเชยคางเขาออกอย่างแรง หันไปตวัดสายตาใส่
“หน้างอคอหักมึงเคยได้ยินไหม ปลาทูอ่าวไทย”
“คอหักหัวมึงสิ ปลาทูอ่าวไทยนั่นมันหน้ามึง กูไม่อยากพูดกับมึงโว๊ยอย่ามาพูดมากกูรำคาญ”
“นี่ยังโกรธไม่หายจริงดิ ผู้ชายทำไมถึงโกรธนาน”
“ไอ้สัส กูไม่ได้โกรธ” แคปสวนขึ้นมาตาเขียว
“หึหึ..” เอสหัวเราะหึหึ กวนให้มันแว๊ดขึ้นมาได้เขาก็สบายใจแล้ว แคปหันมามองหน้าคนกวนเขาอย่างหงุดหงิดเป็นเท่าทวีคูณ
“ถ้ามึงยังพูดจาวกวนกวนส้นตีนกูจะไม่ไปส่งมึงเลยเอาดิ”
“โห เมียกูน่ากลัวจัง”
“หยุดพูดคำอุบาทแบบนั้นสักที น่ารำคาญไม่มีใครเป็นเมียมึงทั้งนั้นแหละรู้เอาไว้ซะด้วย..” แคปเงยหน้ามองเมื่อไหร่ลิฟต์จะจอดลงที่ชั้นที่ต้องการเสียที ไม่อยากจะต้องมายืนเป็นเป้าให้อีกคนจ้อง เข้ามาก็ยืนจ้องเอาๆ
“หึ..” เป็นอีกครั้งที่แคปอยากจะทึ้งหัวตัวเองแล้วตะโกนด่ามัน เสียงทุ้มต่ำที่หัวเราะในลำคอพร้อมกับริมฝีปากเหยียดรอยยิ้มแบบนั้น เขาเกลียดที่สุดอยากจะเดินเข้าไปตบปากมันสักทีแล้วบอกให้หยุดยิ้ม ลิฟต์จอดลงแล้ว เอสคว้าหมับเอาท่อนแขนของคนด้านในดึงให้เดินตามเขาไปที่รถ ยื่นกุญแจส่งให้
“เรื่องมากนัก มึงขับไปเองอยากกลับตอนไหนก็เรื่องของมึงใช่ไหม ทำไมต้องทำอะไรให้มันยุ่งยากด้วยวะ” แคปคว้าหมับกุญแจมาถือไว้
“วันที่เมียไม่มีเรียนไปส่งผัวสักหน่อยก็ถูกต้องแล้วนี่”
“กูบอกให้มึงหยุดพูดคำบ้าๆแบบนั้นไอ้สัส!” แคปตกใจรีบถลาเข้าไปเอามือปิดปากมันไว้ เขามองซ้ายมองขวากลัวจะมีคนอื่นได้ยิน เอสยิ้ม เขาคว้าหมับโอบเอวเล็กของแคปไว้ จริง ๆ จุดประสงค์เพื่อนการนี้อยู่แล้ว
“แกล้งมึงสนุกดี”
“แต่กูไม่สนุกด้วย พูดอะไรดูหน้าดูหลังสักหน่อย”
“กูก็ไม่ได้พูดอะไรผิด” เอสตีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ มองซ้ายขวาไม่เห็นมีใครเลยสักคน แคปโมโหก้าวเข้าไปผลักไหล่มันแรง ๆส่งเสียงลอดไรฟันตาเหลือก
“มันก็แค่กูพลาดไปหนึ่งครั้งล่ะวะ”
“เดี๋ยวอีกหนึ่งเดือนมึงก็จะพลาดอีก กูกาปฏิทินไว้แล้ว นับวันรอเลยแหละ”
“ไอ้โรคจิต! อย่าคิดว่ากูจะยอมมึงง่าย ๆ ผู้หญิงของมึงถ้ายังไม่เคลียร์กูไม่ยอมบอกเลย”
“ผู้หญิงที่ไหนวะ” เอสถามขึ้นทันทีเลย หน้าตาข้องใจมากๆ แคปไม่อยากจะสนแล้วเขาแทรกตัวเดินข้ามไปที่ฝั่งคนขับแล้วเปิดประตูรถขึ้นไปประจำที่
“ผู้หญิงที่ไหนวะแคป ผู้หญิงของกูน่ะ มึงพูดอะไร” เอสยังข้องใจไม่หาย ล้อเคลื่อนออกไปแล้วเขาหันไปถามไอ้คนที่ตั้งหน้าตั้งตาเลี้ยวรถออกจากคอนโด เออว่ะนี่ขนาดผู้หญิงของตัวเองเขายังไม่รู้เลยว่าคนไหน เจ้าแคปมันพูดจาอะไรไปเรื่อย
“เหอะ ถามมาได้” เวลาผ่านไปชั่วครู่ใหญ่ ๆ แคปจึงแค่นเสียงในคอออกมา เอสเอื้อมมือจากเบาะสอดเข้าไปเล่นท้ายทอยเล็ก อีกคนรีบเอียงหลบหันไปจิกตาด่า
“อย่ามากวนสิวะขับรถอยู่เนี่ย”
“มึงก็บอกมาสิผู้หญิงที่ไหน ผู้หญิงของกูน่ะ”
“กูจะไปรู้มึงเหรอสัส เมียเก่ามึงมั้ง ไม่งั้นก็คนเมื่อวันก่อนที่มึงพาเขามานอนที่ห้องมึงไง”
“นอนหัวมึงสิ กูไปนอนกับมึงอยู่ทุกวันจะไปหาผู้หญิงที่ไหนมานอนได้อีกวะ”
“กูไม่รู้โว๊ยเลิกพูดน่ารำคาญ งั้นก็เมียเก่ามึงล่ะมั้งเจ้าของชุดนั้นน่ะ”
“...........” เอสหันขวับมองคนพูดเข้าใจได้ในทันที
“............” แคปเองก็หันไปมองหน้าคนที่จู่ๆก็เงียบไป ขณะที่เอสค่อยละสายตาออกจากเขาแล้วหันไปมองที่นอกหน้าต่าง ดวงตาที่อ่านความหมายต่อไม่ได้สะท้อนมาจากกระจกด้านข้างทำเอาแคปนึกอยากจะจอดแม่งตรงนี้แล้วโบกแท็กซี่ต่างคนต่างไปกันเลย แต่แคปกลับไม่ทำแบบนั้น เขาขับรถต่อไปเงียบๆ เอสเองก็เงียบไปตั้งแต่นั้น พอรถเลี้ยวเข้ารั้วฝั่งตะวันตกของมหาลัย แคปก็พาตัวรถไปหยุดตัวลงแถวๆหน้าหอสมุด
“แคปกูเรียนแลปที่ตึกนะ ไม่ใช่ที่นี่” เอสบอกเรียบๆ บรรยากาศขุ่นมัวระหว่างทั้งคู่ยังคงไม่จางหายไป
“ไปส่งที่นั่นไม่ได้เดี๋ยวพี่เต้เห็น”
“วันนี้เฮียเต้ไม่มีเรียน กูโทรหาพี่รัฐแล้ว เฮียอยู่ห้องไม่ได้ออกมาหรอก”
“งั้นเหรอ..” แคปยกข้อมือดูเวลา ก่อนตัดสินใจเคลื่อนรถขับต่อไปอีกประมาณสามช่วงถนน เขาคว้าเอากระเป๋าที่ด้านหลังแล้วทำท่าจะลง เอสคว้าแขนเอาไว้
“มึงจะไปไหน”
“กูจะลงตรงนี้ มึงขับต่อไปเองขากลับจะได้ไม่ต้องยุ่งยาก เดี๋ยวกูจะเข้าห้องสมุดเสร็จแล้วก็จะกลับ มึงเรียนเสร็จเมื่อไหร่ก็เรื่องของมึงแยกกันตรงนี้ต่างคนต่างไป”
“ขับรถกลับให้กู บ่ายสี่โมงมารับที่นี่เหมือนเดิม” เขากระชากแขนเล็กครั้งเดียวหันมานั่งพิงเบาะอยู่อย่างเดิม เอสล็อคคอเล็กเข้ามาหาตัวก่อนกดจูบลงไปที่มุมปากเล็กโดยที่เจ้าของริมฝีปากฝืนไว้จนหน้าสั่น
“ไอ้สัส!” แคปฟาดผั๊วะลงที่ต้นแขนแกร่งแรง ๆ หนึ่งที เอสที่ถอนจูบออกมาแสยะยิ้มแล้วเปิดรถก้าวลงไป เขาทำท่าโปรยจูบกวนๆใส่ก่อนเดินตัดเข้าไปอีกฝั่งหนึ่งของตึก
“ใครมาส่งมึงวะไอ้เอส นั่นรถมึงชัดๆกูจำได้ แล้วใครน่ะคนขับ” เอสหันมองตามสิ่งที่เพื่อนพูด เอาจริง ๆ ถ้ามองดูจากตรงนี้เห็นรถเขาจริงอย่างที่ว่าแต่คนขับมองไม่เห็นแน่นอน
“เฮ้ยจริงดิ ไหนๆได้ยินว่ามีใครมาส่งมึงวะ” เสียงชิพดังเข้ามาแต่ไกล เพื่อนๆต่างอยู่ในเสื้อกาวน์กันหมดแล้ว เอสที่เข้ามาสายโด่งรีบดึงชิพลากเข้าห้องเลย
“ไอ้แคปมาส่งมึง?” ชิพมองซ้ายมองขวาพอเห็นว่าปลอดคน เขากระซิบถาม เอสคว้าเอาเสื้อกาวน์ป้ายชื่อเขาที่เก็บไว้หลังห้องประจำเอามาสวมใส่ แต่ไม่ยอมตอบคำถามเพื่อน
“หรือว่าไม่ใช่วะ” ชิพถามขึ้นอีก หน้าตาสอดรู้เต็มที่ เอสพอได้ยินคำพูดของมันก็ผลักหัวจนเงิบ บอกไม่ให้ยุ่ง
“ดีกันแล้วดิ?” ชิพถามต่อยกยิ้มนิดๆ เอสส่ายหัว “ไม่เคยโกรธกัน”
“กูเชื่อตายล่ะ แฟนมึงท่าทางพยศหนักฉิบหาย ทางที่ดีอย่าทำให้มันโกรธ”
“....หึ.....” เอสแค่นเสียงในคอให้กับตัวเอง ก็ไม่อยากจะทำให้มันโกรธนักหรอก แต่ช่วยไม่ได้เมื่อเช้ามันโกรธเขาเข้าแล้วจริง ๆ และดูเหมือนจะโกรธหนักเอาการด้วย ที่สำคัญคือมันไม่ถามและเขาเองก็ไม่ได้อธิบาย บรรยากาศระหว่าพวกเขาทั้งคู่จึงดูปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกแห่งความไม่เข้าใจ
“เข้าประจำที่ได้แล้วพวกมึงอาจารย์จะเข้าแล้วเว้ย” เมี่ยงเดินมาเรียก เขามองเอสอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นเดินไปยื่นกระดาษแผ่นนึงส่งให้
“อาจารย์ให้จับคู่ทำเปเปอร์ กูมาถามมึงก่อน...เผื่อว่า มึงอยากจะเปลี่ยนคู่ไหมหรือยังไง” เมี่ยงแสดงสีหน้าลำบากใจขึ้นมา กลัวว่าเอสจะไม่อยากทำงานคู่กับตัวเขาอีกแล้ว กลัวว่าเพื่อนจะรังเกียจหลังจากได้รู้ความจริงว่าเขารู้สึกอย่างไรกับมัน เขาจึงคอยหลบตาเอสอยู่ตลอด แต่ทว่าเปล่าเลย เอสรับกระดาษแผ่นนั้นมาอ่านดูจากนั้นยื่นส่งให้เจ้าของ เขายิ้ม “จะเปลี่ยนคู่ทำไมล่ะวะ เคยทำด้วยกันยังไงก็เหมือนเดิมนั่นแหละ เรื่องเมื่อวานลืมไปหมดแล้ว เข้าเรียนป่ะ” เอสว่าจบดันแผ่นหลังเล็กของเมี่ยงให้เดินเข้าห้องไปพร้อม ๆ กันชิพเองก็ตามมาด้วย บุ้งที่เห็นรีบกวักมือเรียกยิกๆบอกอาจารย์เข้ามาแล้ว
.
.
แสงแดดบางๆส่องลอดรอยแยกของกิ่งไม้ที่ทอดเงาปกคลุมซุ้มขายน้ำเล็กๆไม่ไกลจากหอสมุดมากนัก หลังจากส่งเอสที่ฝั่งด้านข้างของตึกคณะ แคปวกรถเข้ามาจอดนิ่งอยู่แถว ๆ คอมเพล็กซ์ เพราะว่าเป็นรถที่ดูโดดเด่นเขาจึงต้องพยายามมองซ้ายมองขวาก่อนลงมาแล้ววิ่งตัดถนนไปที่ถนนอีกฝั่ง
“เอสเพรสโซ่ค่ะ หกสิบบาท” ยืนรอกาแฟอยู่สักครู่ พี่สาวคนสวยประจำซุ้มกาแฟแถวนี้ก็เรียกรับสินค้า แคปยื่นมืออกไปรับแก้วกาแฟเย็นจากคนขายมาดูด เขายกข้อมือดูเวลาก่อนแหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่บรรยากาศต่างกับเมื่อเช้าลิบลับ ตอนนี้แดดเริ่มแรงจนตาแทบจะพร่า ล้วงเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดหาปอบอกให้ไปรับอาร์แล้วมาเจอกันที่หอสมุด
(นึกยังไงไปห้องสมุดวะมึง) ปอส่งเสียงงัวเงียถามมา แคปรู้ทันทีมันยังไม่ตื่น
“สามสิบนาทีกูจะรอมึง อย่าลืมไปเก็บไอ้อาร์มาด้วย” แคปไม่ตอบคำถามแต่ออกคำสั่งแทน
(ทำเสียงขุ่นๆแบบนี้โดนไอ้เอสมันขัดใจอีกล่ะสิท่า)
“ปากดีหมาปอ กูรออยู่ชั้นสองนะโต๊ะเดิม หาดูถ้าไม่เจอก็แถวนั้น”
(เออๆ)
พอวางสายจากปอเสร็จแคปมองหน้ามองหลังทุกอย่างโอเคเขาจึงขับรถยนต์คันสวยที่ไม่ใช่ของตัวเองไปจอดไว้ที่ช่องจอดลึกๆหน้าตึกของหอสมุด กำลังจะซอยเท้าขึ้นบันไดแต่แล้วต้องหยุดชะงักขาเอาไว้เพราะฉุกนึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ แคปล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงอีกครั้ง
.
.
“แบงค์จะกลับแล้วเหรอคะ..” เสียงหวานใสที่นอนคว่ำหน้าโชว์แผ่นหลังขาวผ่องดังขึ้น สาวสวยมองเห็นคู่นอนของเธอยืนใส่เสื้ออยู่ที่ปลายเตียง
“โทษที ผมทำให้ตื่นเหรอ..” แบงค์หันมามองเธอยิ้ม ๆ เขาเดินเข้าไปคว้าบรรดาโทรศัพท์มือถือกุญแจรถและกระเป๋าสตางค์ใส่มือก่อนก้มลงไปจูบขมับเธอแผ่วเบา
“ผมไปนะ”
“เดี๋ยวสิ..” เธอดึงแขนแกร่งเอาไว้แล้วพลิกตัวหันกลับมา มือเรียวสวยจับปลายผ้าห่มปิดบังหน้าอกอูมนวลเปล่าเปลือยให้พอหมิ่นเหม่ เธอเงยหน้ามองเขาแบบอ้อนๆ
“มาหาแมทแล้วรีบกลับแบบนี้ทุกครั้งเลย เมื่อคืนมีไรป่ะคะเข้ามาถึงก็มูมมามเชียวนะ แมทว่าแบงค์ดูแปลกๆ” เมื่อคืนเขามาหาเธอช่วงดึกหลังจากที่หายหน้าไปเป็นเดือน ความสัมพันธ์ที่เป็นแค่คู่นอนชั่วครั้งชั่วคราวทำให้เธอต้องทำใจยอมรับ แบงค์เป็นคนที่ไม่ชอบถูกผูกมัด เสเพล และไม่ยอมหยุดลงที่ใคร หลายครั้งที่เธอนึกอยากจะถูกเขาจริงจังในความสัมพันธ์ด้วย แต่ทว่าคนที่ยังไม่ยอมหยุดไว้ที่ใครเลยสักคนมักจะมีเสน่ห์ทางเพศที่ดึงดูดคนใหม่ๆเข้ามาได้เสมอ คู่นอนอย่างเธอจึงได้แต่ก้มหน้ายอมทำใจ รู้ดีว่าตัวเองก็ไม่เหมาะไม่ควร นักศึกษาสาวที่รับไซด์ไลน์กับเสี่ยหนุ่มกระเป๋าหนักวีคละกี่ครั้งก็แล้วแต่เงื่อนไข แต่กับผู้ชายคนที่เธอดึงแขนเขาไว้อยู่ตอนนี้ ไม่จำเป็นต้องใช้เงินซื้อหาเมื่อเขากับเธอเป็นเพื่อนร่วมคณะเดียวกัน แค่มองตาเสือหนุ่มกับสมิงสาวก็รู้ใจกันแล้ว หนึ่งปีกับความสัมพันธ์ทางกายไม่กี่สิบครั้งแบบนี้ ขนาดเพื่อนฝูงยังไม่มีใครรู้
“เมื่อคืนแบงค์รุนแรงกับแมทมากเลยนะ..” เธอทำเสียงอ้อนเขาอีกครั้ง แบงค์หัวเราะแล้วยกมือขึ้นวางที่หัวเล็กบอกเธออีกทีว่าเขาต้องกลับแล้วจริง ๆ
“เจ็บมากรึเปล่า...” เธอส่ายหัวแล้วดึงมือเขาลงมาแนบที่แก้มเอียงหน้าอย่างมีจริต
“แบงค์เมาด้วยล่ะแมทรู้ ท่าทางเหมือนคนอกหัก ทำไมคะผิดหวังมาเหรอ ไปชอบคนที่เขามีเจ้าของแล้วหรือยังไง”
“หึ รู้ดีจริงๆ ผมต้องไปแล้วล่ะ” เขาก้มลงหอมแก้มเนียนเบา ๆ แล้วบอกให้เธอนอนพักผ่อน ออกจากห้องเธอมาก็ตรงดิ่งไปที่รถมอไซด์คันใหญ่ที่จอดทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อคืน แบงค์เอี้ยวตัวด้วยความรู้สึกเจ็บร้าวไปทั้งหลัง เมื่อคืนยังรู้สึกชิลๆอยู่เลยกิจกรรมเข้าจังหวะก็ผ่านไปด้วยดี แต่ตอนนี้กลับปวดขึ้นมาซะอย่างนั้น มองเห็นร้านสะดวกซื้อเลยแวะได้ยาพารากับยานวดมาชุดใหญ่ เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นในตอนที่เขาก้าวออกมายืนอยู่ที่ประตูด้านหน้าร้าน
รอยยิ้มยียวนถูกจุดขึ้นที่ริมฝีปากทันทีที่เห็นว่าเป็นชื่อใคร
‘แคป’
.
.