คำเตือน....นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาจากมโนครับผม
ฉันมาทำอะไรที่นี่.......2
เช้าวันนัด....
ไอ้หน่อยลืมตาขึ้นมาเพราะแสงสว่างจากดวงอาทิตย์มันส่องมากระทบใบหน้าและลำตัวจนเริ่มรู้สึกร้อน
เจ๊นิดตื่นปุ๊บแกจะปิดแอร์ปั๊บ ดีที่ยังมีเมตตาเปิดพัดลมให้ไอ้คนอาศัยอย่างผม
บิดตัวไล่ความขี้เกียจออกไปแล้วชะงัก
เก้า....เก้าโมง.....ตายล่ะ
ผมลุกพรวดขึ้นยืน รู้สึกหน้ามืดเล็กๆที่ลุกขึ้นเร็วเกินไป
ชาไปทั้งตัว หน้าชา ปากสั่น มือไม้เย็นเฉียบ แขนขาอ่อนแรง
ไม่ใช่ล่ะ ถ้าปากเบี้ยวอีกอย่างนี่....อัมพฤกษ์แล้วครับ
ซีดสิครับ เลยเวลานัดมาสองชั่วโมงถ้วน
ผมรีบวิ่งไปทางประตูกระจกด้านระเบียงห้อง ชะโงกออกไปดูเหตุการณ์หน้าคอนโด
ห้องเจ๊นิดตรงระเบียงจะเห็นถนนในซอยของคอนโดแต่ไม่เห็นฝั่งใต้คอนโดนะครับ
ที่ฝั่งตรงข้าม...เฮียมี่
ตรงนั้นจะมีท่อน้ำดับเพลิงสีแดงที่ตั้งติดอยู่ที่พื้นตรงฟุตบาท ฝั่งนั้นเป็นรั้วบ้านคน
เฮียมี่กอดอกนั่งเอาช่วงสะโพกพิงอยู่บนท่อสีแดง...อย่างเท่ห์...อ่ะ
ไม่ใช่ล่ะ คิดดูว่าคนที่มารอสองชั่วโมง แล้วตอนนี้ถึงตรงที่แกอยู่
แสงแดดจะยังส่องไปไม่ถึง แต่มันก็ร้อนนะครับ ประเทศไทย
ผมเกาะราวระเบียงโบกไม้โบกมือให้แก แต่ไม่กล้าตะโกน
สภาพผม...หน้าไม่ได้ล้าง หน้าสดๆเพิ่งตื่น ก็เมื่อคืนมันนอนไม่หลับ มันตื่นเต้นนี่ครับ
เคยแต่ซ้อนมอเตอร์ไซค์เฮียมี่เที่ยวสวนสาธารณะ ผ่านตลาด แถวบ้านแค่นั้น
วันนี้จะไปทะเล...ทะเล เลยนะครับ ไปกันสองคนด้วย
ไอ้หน่อยมันเลยนอนไม่หลับพลิกไปพลิกมาจนโดนเจ๊นิดเอ็ดเอา
เฮียมี่เงยหน้าขึ้นมามอง หน้านิ่ง....อ๊าก....หน้าหงิกยังจะดีซะกว่านะเนี่ย
ผมแบมือข้างหนึ่งกางนิ้วออกแล้วชูให้เฮียดูเป็นภาษามือว่า.....ขอห้านาที
ถอดทึ้งเสื้อผ้าออกจากตัวเหวี่ยงไปมุมห้องอย่างรวดเร็วปานวอก
เดี๋ยวค่อยเก็บทีหลัง
ล้างหน้าแปรงฟัน วิ่งผ่านน้ำ หมดไปแล้วสามนาที
แปรงฟันอย่างไวกระแทกเหงือกน้ำตาเล็ดเลย
แต่งตัวเสร็จ ทาครีมกันแดด ตบแป้งเด็ก ทาลิปมัน
พอดีหมดเวลาห้านาที
ชะโงกดูกระจกเป็นครั้งสุดท้าย ตายแล้ว....ผม...ผมของผมมันทำไมชี้โด่เด่ เอาน้ำลูบๆก็ไม่ลง
ร้อยวันพันปีผมของผมมันไม่เคยดื้อดึงขนาดนี้ ทำไมจำเพาะต้องมาประท้วงเจ้าของเอาวันนี้ด้วยเนี่ย
หันไปหาตัวช่วยที่เจ๊นิดสอนสั่งเอาไว้ ดูสภาพเส้นผมในกระจกแล้วคิดถึงคำพูดเจ๊นิดที่ว่า
“เจ๊เลือกสิ่งที่ดีที่สุด....ให้แกเสมอ...จำไว้”
ด้วยความรีบผมควักเจล...ควักเลยครับ มือใหม่ใส่เจลครั้งแรกในชีวิต กะปริมาณไม่ถูก
น้ำตาผมแทบตกเมื่อเจลที่โปะลงบนเส้นผมโด่ๆ มันไม่ช่วยให้ดีขึ้นกับแย่กว่าเดิม
ผมจับกันเป็นปึก แฉะเยิ้มเหมือนคนไม่ได้สระผมมาเกือบเดือน
ฮือๆ...ไหนเจ๊ว่า...ดีที่สุดอ่ะ
เอาวะ...ปัญหามีเอาไว้ให้แก้ไข
สระผมมันซะเลย แต่เอาไงอ่ะ เสื้อยืดคอกลม จะถอดออกทางหัวก็จะเลอะเจล
ถอดลงล่างเสื้อมันก็ไม่ได้ย้วยไม่ได้ตัวใหญ่พอ
ผมตัดสินใจเข้าไปตรงส่วนอาบน้ำแล้วคว้าฝักบัวลงมา
อ้อ...ถอดกางเกงก่อนดีกว่า เผื่อเสื้อเปียกก็ยังมีกางเกงตัวใหม่กู้หน้า
ถอดกางเกงออก ไม่มีหรอกนะบ๊อกเซอร์...เปลือง...ใส่นอนพอ
อยู่คนเดียวนี่หว่า ถอดลิงมันซะเลยแล้วโยนออกไปหน้าห้องน้ำ
เสื้อมันยาว มองหายางรัดผมแถวหน้ากระจก มีแต่ยางรัดของ
อยู่กับเจ๊นิดอย่าคาดหวังนะครับ กิ๊บ โบว์ ตุ้มหู อะไรพวกนี้ ไม่ได้ตังค์แกหรอก
ยางนี่ก็คงจะแกะเอามาจากถุงแกง แกเอามามัดผมให้พอพ้นหน้า หายรำคาญ
ผมเอายางรัดของมารัดชายเสื้อที่ขมวดเป็นเกลียว
ว๊า...เสื้อที่เจ๊นิดรีดให้ ยับเลยอ่ะ
ไม่มีเวลาใส่ใจกับเรื่องเล็กๆแล้ว
ลงนั่งยองๆ แล้วก้มหัวลงเปิดน้ำล้างผม พยายามไม่ให้โดนเสื้อใหม่มือสองจากเจเจ
อดขำไม่ได้ เมื่อเห็นอวัยวะบางอย่าง...เรี่ยพื้น...ฮะฮะ...ไม่ขนาดน้าน
ใช้น้ำจากฝักบัวล้างเจลออกจนหายเหนียวแล้วจะหยิบแชมพู
เวร...ทำไมไม่หยิบมาวางที่พื้นแต่แรกฟ๊ะ
วางฝักบัวที่ปิดแล้วลงกับพื้น แต่ไม่เรี่ยพื้นหรอกนะครับ แกว่งไปมาแทน
ดีที่ก๊อกหมุนเปิดปิดไม่สูงมาก พอจะเอื้อมถึง
ค่อยๆลุกขึ้น น้ำจากผมมันก็ไหลย้อยลงสู่ที่ต่ำ เริ่มไหลผ่านเข้ามาในตัวเสื้อ
พอแล้วเหอะ...ยิ่งทำยิ่งดิ่งลงเหว
ออกจากห้องน้ำ แต่งตัวเรียบร้อย ผมเช็ดหมาดๆ ไม่มีเวลามาเป่าให้แห้ง
เหลือบดูนาฬิกาข้างผนัง เก้าโมงครึ่ง ตายๆๆๆๆ
วิ่งไปดูเฮียตรงระเบียง อ้าว หายไปไหน
หรือเฮียจะโมโหกลับไปแล้ว...จะโทรบอกกันสักนิดก็ไม่ได้..ชิส์
หันไปเจอโทรศัพท์ที่ถูกยกหูออกจากแป้น....เย้ย.....ฝีมือใครฟ๊ะ
เจ๊นิดแกคงไม่พิเรนทร์ยกหูออก...แหะ แหะ
คงจะผมเองล่ะครับ
รีบวิ่งไปตรงประตู ใส่รองเท้าฟองน้ำด้วยความเคยชิน ในหัวมีแต่คำแก้ตัว
“ปึง”
เข่าแทบทรุด นอกจากเสื้อ กางเกง ลิง และฟองน้ำ ผมไม่มีอะไรอยู่กับตัวเลย
กระเป๋าตังค์ กุญแจห้อง กระเป๋าเป้ที่ใส่ขนม ผ้าเช็ดตัว ชุดเก่าๆเอาไว้ใส่เล่นน้ำ
ครีมกันแดด แป้ง และโลชั่น อันหลังสุดนี่ขาดแล้วแทบขาดใจ
ยังดีที่ลงมาแล้วเจอเฮียนั่งหน้าเฉยอยู่ตรงห้องรับแขก เรียกให้หรู
ก็โต๊ะกระจกเตี้ยๆ ที่มีหนังสือพิมพ์เก่าๆของเดือนที่แล้ว หนังสือดาราเหลืองซีดปกขาดวางอยู่
แล้วมีเก้าอี้เดี่ยวเบาะเป็นหนังรุ่ยๆอีกสี่ตัว ซึ่งหนึ่งในนั้นถูกจับจองโดยเฮียมี่
เฮียมี่เอารถมาจอดไว้ใต้คอนโดตั้งแต่ตอนที่แกมา
ผมดูสถานการณ์แล้ว....
เฮียเหมือนคนอดนอน หน้าเซียวๆ ให้ขับรถในอารมณ์แบบนี้ไปทะเลคงไม่ไหว
จะนั่งรถทัวร์รถตู้ ดูเวลาแล้วเกือบสิบโมง กว่าจะไปถึงคิวรถก็จะต้องหิวข้าวมื้อเที่ยงอีก
ของใช้เสื้อผ้าของผมก็อยู่ในห้องที่กุญแจก็อยู่ในห้องอีกที
เที่ยวในกรุงเทพจะดีกว่าล่ะมั๊ง
“เฮีย....หล่อ....ป่ะ”
ผมเดินตามหลังเฮียมาตรงที่จอดรถ กวาดสายตาดูแล้วว่าไร้ผู้คน
พอเฮียหันมาผมก็หมุนรอบตัวสามรอบครึ่งแล้วยิ้มแฉ่ง
ได้ผลเฮียหลุดยิ้มมานิดนึง แต่ไม่พูดอะไร
ไม่พูดไม่เป็นไรครับ แต่สายตาที่จับจ้องอยู่ที่ผมบนหัวของผมนั่นสิ
“เฮ้อ...เช็ดซะ”
เฮียเปิดเข้าไปในรถแล้วดึงกระเป๋าที่เบาะหลังหยิบผ้าเช็ดตัวขนาดกลางๆส่งมาให้ผม
“เฮีย...ไม่ไปทะเลได้มั๊ยอ่ะ”
ผมเช็ดผมไปพูดไป เฮียคงรำคาญเข้ามาแย่งเช็ดให้
กลิ่นหอมๆแมนๆของเฮียทำให้ผมสงบลง เฮียมี่ก็ยังเป็นเฮียมี่ที่ใจดีของผมเสมอ
ยืนคุยกันอยู่ข้างรถเกือบสิบนาที
ทำไมไม่เข้าไปนั่งคุยกันในรถเนอะ
ไม่ได้ครับ เฮียไม่ชอบให้สตาร์ทรถแล้วจอดแช่เพิ่มมลพิษทางอากาศ
แฟนใครไม่รู้...รักษ์โลกดีเหลือเกิน แล้วเฮียก็จะหงุดหงิดถ้าเห็นคนที่ทำแบบนั้น
สรุปคือ เฮียมารอผมตั้งแต่อีกสิบนาทีจะเจ็ดโมง ก็หกโมงห้าสิบนั่นล่ะครับ(เขียนให้งงซะงั้น)
คงจะไม่ทันเจ๊นิดที่ออกไปเรียนแล้ว
แกรออยู่สักพักก็เลยให้เจ้าหน้าที่ของคอนโดโทรขึ้นมาที่ห้อง เขาโทรให้แล้วบอกไม่มีคนรับ
อีกสักพักใหญ่ก็เกือบแปดโมงล่ะครับ เจ้าหน้าที่แกก็มีน้ำใจก็โทรตามให้อีก
คราวนี้มีคนรับแต่ไม่พูด แล้วสายก็ตัดไป หลังจากนั้นโทรก็กลายเป็นสายไม่ว่าง
คิดว่าผมคงกำลังงัวเงียกึ่งหลับกึ่งตื่นรับโทรศัพท์แล้วก็วางนอกแป้น
พี่เขาก็ดีขึ้นมาเคาะประตูให้ แกว่าไม่มีคนอยู่หรอก ไฟไม่เปิดแอร์ไม่เปิด
เฮียนั่งรอจนเบื่อ มองหน้าสบตาพี่เขาจนต้องออกไปนั่งฝั่งตรงข้ามคอนโด
แกรู้ว่าห้องอยู่ตรงไหน
ถ้าเป็นผม ผมคงไม่รอ คงกลับไปแล้ว
เฮียอดทนดีจริงๆครับ ผมก็ไม่มีความรับผิดชอบ เหลวไหลชะมัด
ผมพยายามทำตัวร่าเริง ขอโทษแกไปหลายครั้ง
แกก็เหมือนจะยกโทษให้แต่ดูห่างเหินหน่อยๆ คงจะนอยด์
ผมเสนอให้จอดรถทิ้งไว้ที่คอนโดแล้วใช้บริการ...ข.ส.ม.ก....ก็รถเมล์นั่นล่ะครับ
“ไม่ให้เอารถไปแล้วอย่าบ่นว่าร้อนนะครับ”
ประโยคแรกก็ขู่แล้วอ่ะ
เอาเหอะเรามันคนผิด ยอมๆแกไปจะได้หายหงุดหงิด
เจอกัน ไปเที่ยวกันวันนี้แล้ว พรุ่งนี้ผมก็จะกลับบ้าน ไม่รู้ว่าอีกกี่วัน
เราจะได้เจอกันอีก
คิดว่าคนอย่างผมจะชวนเฮียไปเที่ยวที่ไหนครับ
ไปห้างตากแอร์เย็นๆ กินอาหารอร่อยๆ ดูหนังรักหวานแหวว.....ม่ายช่าย
ไปสวนสนุก...แดนเนรมิต(ทันกันป่ะครับ).....ม่ายช่าย
ไปตลาดน้ำ ตลาดนัด ตลาดสด ตลาดแห้ง....ม่ายช่าย
ไปดูโชว์สัตว์น่ารักๆมากความสามารถที่ซาฟารี....ม่ายช่าย
“เฮีย...ผมอยากไปเขาดินอ่ะ”
เดินจากคอนโดไปป้ายรถเมล์หน้าซอยไม่ถึงห้าร้อยเมตร
อุ๊ยตาย ลืมผ้าใบเชือกฟ้าติดเข็มกลัดมุ๊งมิ๊ง
กลายเป็นฟองน้ำกลางเก่ากลางใหม่ สายไขว้ ไม่ชอบแบบคีบครับเจ็บซอกนิ้ว
ผมพอจะรู้ว่ารถเมล์มันมีแบบร้อน แบบเย็น
คันแรกที่มาผ่านหน้าเขาดินเป็นรถเมล์ร้อน แต่ว่างมากมีคนไม่ถึงสิบ
เฮียจูงมือผมจะพาขึ้นแต่ผมขืนเอาไว้
“ไม่เอาอ่ะ ไปรถแอร์ดีกว่านะเฮีย”
ผมอยากสร้างบรรยากาศดีๆ
เดี๋ยวเราสองคนจะได้นั่งรถเมล์แอร์เย็นๆเบาะนุ่มๆ
ผมจะปิดม่านแล้วแอบซบไหล่เฮีย...คริคริ
“มาแล้วๆ ไปครับ”
ผมวิ่งนำเลยทีนี้ ถึงจะบ้านนอกแต่รู้เยอะครับ
กำ....ไม่มีที่ว่างเลย
เราสองคนขึ้นมาทุกที่มีคนนั่งหมด แถมที่ยืนก็มีเราแค่สองคนอีก
“ก็ผ้าม่านมันปิดผมไม่รู้ว่ารถมันจะไม่มีที่นั่งเหลือนี่ครับ”
ผมเงยหน้ายิ้มแหยๆให้เฮีย
“หึหึ”
เฮียมี่ทำเสียงในลำคอ แล้วไม่ได้พูดอะไร
ยังดีหน่อยที่แกเกาะราวมือเดียวอีกมือวางแปะไว้ที่ไหล่ผม
เป็นอันรู้กันว่าเฮียใจอ่อนแล้ว
รถวิ่งไปหนึ่งป้ายก็มีผู้หญิงวัยสักสามสิบปี ท่าทางเหมือนคนทำงานรับจ้างทั่วไป
เดินขึ้นมาหิ้วถุงพะรุงพะรัง พวกผักพวกกับข้าว ผลไม้
สองมือหิ้วของก็ไม่มีมือเหลือจับราวรถเพื่อพยุงตัวสิครับ
คนที่นั่งอยู่แถวนั้นก็กระไรเลย ไม่มีใครลุกหรืออย่างน้อยก็ช่วยแกถือของบ้าง
ผมกับเฮียยืนค่อนไปทางท้ายรถครับ ขี้เกียจถอยนิดถอยหน่อย ถอยมาหลังๆเลยดีกว่า
แล้วก็ตามคาด พอรถออกตัวไปสักนิดแล้วเบรคกระชั้นมากประมาณมีรถปาดหน้า
พี่สาวคนนั้นก็เสียหลัก ถลาล้มลงกับพื้นรถ
ของในมือตกลงพื้นเกือบหมดแล้วกลิ้งมาทางท้ายรถ
พวกถุงทั้งหลายไม่เท่าไรครับ กลิ้งไม่ไกลคนแถวๆนั้นก็ช่วยกันเก็บให้
แต่ถุงที่มันขาดนี่สิครับ...ส้มเขียวหวานสักโลรึสองโลก็เกือบสิบลูกล่ะครับ
กลิ้งมาถึงท้ายรถบางลูกก็มาหยุดอยู่ที่รองเท้าฟองน้ำสายไขว้ของผม
คิดถึงตอนเด็กๆแล้วสนุกดีครับ ทำอะไรโก๊ะๆหลายอย่างเลย
ขอบคุณทุกกำลังใจครับผม