♥ หัวหน้าแก๊งค์ - เหตุเกิดจากความเข้าใจผิด จบแล้วค่ะ หน้า 5 (20.04.58)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ♥ หัวหน้าแก๊งค์ - เหตุเกิดจากความเข้าใจผิด จบแล้วค่ะ หน้า 5 (20.04.58)  (อ่าน 88831 ครั้ง)

ออฟไลน์ quiicheh.

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-9
พี่กิวคนโหดดดดดดดด
ดูแคร์น้องมาก จัดการมันเลยค่า
มาทำน้องเสื่อมเสียอะ ไม่ยอมนะ
โอ้ยยยน่ารักตลอดเลยคู่นี้
คู่พี่ก็ใช่ย่อย รูทรู้ตัวได้แล้ววว

ออฟไลน์ ennewiis

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 47
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0
♥ หัวหน้าแก๊งค์ (ภาคหลัก)
ตอน วุ่นวาย (ครึ่งหลัง)





พระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก

ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 “พระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก” หมายความว่า
(สํา) น. “ความทุกข์ยากลําบากที่เกิดซ้อน ๆ เข้ามาในขณะเดียวกัน”






วุ่นวายฉิบหาย

นี่เป็นประโยคเดียวที่กิวยกขึ้นมาเพื่อบรรยายสิ่งที่กำลังประสบพบเจออยู่ในตอนนี้

อาทิตย์นี้ชายหนุ่มวิ่งวุ่นจัดการเรื่องต่างๆ เยอะแยะมากมายไปหมด ทั้งเรื่องเรียน เรื่องส่งของ เรื่องน้อง เรื่องแข่งรถ เคลียร์กับเด็กในแก๊งค์ที่ไปมีเรื่องอีก แล้วก็วนกลับมาเรื่องน้อง เยอะแยะมากมายจนเกือบบริหารเวลาไม่ทัน แต่กิวก็ไม่คิดจะปัดภาระให้คนอื่นด้วยชายหนุ่มรู้ดีว่านี่เป็นหน้าที่ของตนเอง เคยทำเรื่องอะไรไว้ก็ต้องสานต่อให้มันจบ ยิ่งเรื่องน้องยิ่งไม่ต้องพูดถึง ต่อให้มีคนมาบอกให้หยุดวิ่งเต้นตามหามือดีที่สาดโคลนเน่าๆ ใส่น้องเขาก็จะไม่หยุด ต่อให้ต้องวิ่งวุ่นทำเอาตารางชีวิตเขารวนพื่อจะตามหาคนที่ทำเรื่องเหี้ยๆ แบบนี้กิวก็จะไม่หยุด จนกว่าจะจับมันมาขอขมาน้องและให้เขากระทืบจนหายโกรธนั่นแหละ

แต่ดูท่าตอนนี้กิวจะงานเข้า ปัญหาเก่ายังไม่หมดไป ปัญหาใหม่ก็วิ่งเข้ามาอีกแล้ว เมื่อเขาได้รับโทรศัพท์จากรูทเมื่อเช้าขณะกำลังขับรถ เร่งให้รีบมาโรงเรียนก่อนเวลาเป็นครั้งแรกตั้งแต่ขึ้นระดับชั้นมัธยมปลาย

“ไอ้กิว! รีบมาโรงเรียนเดี๋ยวนี้ วุ่นวายจนโรงเรียนจะติดต่อพ่อกับแม่มึงแล้ว!”

ฟังแล้วชายหนุ่มก็ไม่รอช้า จากที่ตั้งใจจะขับรถไปทักทายคนที่อยู่อีกโรงเรียนก็ต้องรีบหักเลี้ยวรถกลับทันที เวลาเร่งด่วนแบบนี้ไม่แปลกเลยหากการจราจรบนท้องถนนจะติดขัด ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงในการเดินทางและจอดรถในที่ประจำซึ่งห่างจากโรงเรียนไม่กี่บล็อกกิวก็มุ่งไปหากลุ่มเพื่อนที่นั่งรออยู่ด้วยสีหน้ากระวนกระวายใจ คิ้วเข้มย่นเข้าหากัน คงจะเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ ถึงได้เคร่งเครียดกันขนาดนี้

“เกิดอะไรขึ้น?”

“รูปถ่ายพวกนี้แปะเต็มหน้าห้องเรียนเราไปหมด พวกครูก็เห็นแล้วเขาเลยตามหาตัวมึงอยู่ ป่านนี้คงติดต่อพ่อแม่มึงไปแล้วด้วย”

พลว่าแล้วเลื่อนรูปถ่ายมาตรงหน้า เห็นแล้วเขาก็เข้าใจทันทีถึงคำว่าวุ่นของรูท กิวเลื่อนดูรูปทีละใบ มันเป็นรูปเขาตอนกำลังส่งของให้กับลูกค้าขาประจำ รูปตอนอยู่บนถนนเตรียมแข่งรถ และยังมีรูปเขากับพาย แบบเดียวกับที่อยู่บนกระดาษ A4 ที่เอาไปแปะไว้บนบอร์ดที่โรงเรียนน้อง นี่สินะที่ทางโรงเรียนให้ความสนใจถึงขนาดต้องติดต่อบุพการีทั้งสองของเขา คงจะกังวลเรื่องชื่อเสียงของโรงเรียนเก่าแก่และจำนวนเงินบริจาคที่อาจจะลดลงนั่นแหละ

“พัฟกับนันเป็นคนเห็นคนแรกมันเอามาให้กูกับเพื่อนๆ ดู ตอนนี้มันก็เข้าไปคุยกับครูอยู่”

กิวพยักหน้ารับรู้ ในรูปไม่มีรูปพัฟก็จริง แต่คงจะเข้าไปเล่าเหตุการณ์ว่าได้รูปพวกนี้มาได้ยังไงมากกว่า ไม่ต้องรอให้พูดคุยอะไรยืดยาว เสียงตามสายก็ประกาศเรียกชื่อให้เขาไปพบที่ห้องผู้อำนวยการ แสดงว่าที่บ้านคงจะปัดปฏิเสธไม่ต้องการมาพบแน่ๆ ถึงได้เรียกเขาไปเร็วขนาดนี้ กิวบอกลาเพื่อนเพื่อจะเข้าไปจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง แต่ก่อนจะแยกตัวไป เสียงน่าโมโหก็ดังทักมาจากด้านหลัง

“ไงคุณชายกวินทร์”

ไม่ต้องหันไปให้เสียเวลาเขาก็รู้ว่าเจ้าของเสียงคือใคร ดอม คนที่ไม่ชอบขี้หน้าเขาและเขาก็ไม่ชอบขี้หน้ามันเป็นทุนเดิม แม้จะรู้อยู่ว่าเรียนที่เดียวกันแต่ปกติมันจะไม่เดินมาทักถึงตัวขนาดนี้เวลาที่อยู่ในสถาบัน ฝ่ายนั้นมากับเพื่อนในกลุ่มที่กิวจำได้ว่าเป็นกลุ่มเดิมกับที่เจอหน้ากันโดยบังเอิญในห้างสรรพสินค้า ดอมยกยิ้มขณะมองของที่อยู่ในมือใหญ่ และยิ่งยิ้มกว้างขึ้นอีกเมื่อเห็นว่าเป็นอะไร

“เจอเรื่องใหญ่แบบไม่ทันตั้งตัวเลยสินะ ทั้งขายยา แข่งรถ แล้วไหนจะ... ซื้อเด็กผู้ชาย”

หัวเราะเหมือนเป็นตัวร้ายในละครน้ำเน่าหลังข่าว กิวขมวดคิ้ว ไม่พอใจมากกับประโยคสุดท้ายที่พาดพิงไปถึงพายซึ่งไม่ได้อยู่ด้วยในเวลานี้ แต่กิวรู้ดีว่าสติต้องการเสมอ เขาไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงให้เรื่องมันวุ่นวายไปมากกว่าที่กำลังเป็นอยู่ ตั้งใจว่าจะไม่สนใจคำพูดที่ไม่จริงเหมือนที่น้องทำเมื่อก่อนหน้านี้

“ไม่รู้อะไรก็หุบปากมึงไป อย่ามาพ่นคำต่ำๆ ถึงน้องกูแถวนี้”

“น้อง? น้องหรือเด็กมึงอีกคนวะรูท นี่อย่าบอกนะว่าวนกันทั้งกลุ่ม ใช้คุ้มจริงๆ“

“ไอ้เหี้ยดอม!”

รูทเกือบจะได้เลือดจากปากของอีกฝ่ายแล้วหากไม่ได้เพื่อนที่ยืนเป็นกองหนุนมารั้งแขนเขาเอาไว้ก่อน แม้ว่าทั้งกลุ่มจะหัวเสียไม่ต่างกันด้วยต่างรู้จักพายกันทั้งนั้น ถึงจะไม่สนิทสนมเหมือนรูทกับกิวแต่เด็กผู้ชายตัวเล็กนิสัยดีไม่ควรโดนเข้าใจผิดแบบนี้

ดอมเห็นแบบนั้นยิ่งหยามใจ หัวเราะเสียงขึ้นจมูก ก่อนจะกลับมาให้ความสนใจกับคนที่ตนไม่ชอบขี้หน้าที่สุดแทน อดประหลาดใจไม่ได้ที่เห็นคนเลือดร้อนยามอยู่ในสนามแข่งบัดนี้ยังนิ่งเฉย แต่พอเห็นแล้วว่ามือที่กำลังกำรูปถ่ายทั้งหลายนั้นสั่นระริก ดอมก็แน่ใจว่าสิ่งที่ตนพูดไปเมื่อกี้มันทำให้กิวโมโหอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน

“แล้วเด็กนั่นเป็นไงบ้างวะไอ้กิว? เจอรูปแบบนั้นเข้าไปก็ดังเลยสิ คงได้ลูกค้ารายใหม่หลายรายอยู่ แล้วแบบนี้เขาจะมีเวลามาปรนนิบัติพวกมึงเหรอวะ”

“.....มึงเองสินะที่ให้คนเอารูปกับข้อความพวกนั้นไปติดที่โรงเรียนพาย”

แม้ว่าตอนแรกจะยั้งสติได้ แต่ตอนนี้ความโกรธกลับปะทุขึ้นมาอย่างไม่หยุดยั้ง ความจริงแล้วกิวก็เดาได้ไม่ยากว่าดอมที่ไม่ชอบขี้หน้าตนต้องเป็นคนทำ เพียงแต่ยังหาหลักฐานไม่ได้จึงไม่ลงมือทำอะไร แต่พอได้ฟังคำพูดที่เหมือนเป็นเชือกมัดตัวเข้าไปอีกแบบนี้ยิ่งชัดเจน

“ก็ไม่รู้สินะ อาจจะเป็นหนึ่งในลูกค้าที่ไม่พอใจก็ไ...”



ผวั๊ะ!!



หมัดหนักๆ กระทบเข้ากับใบหน้าของอีกคนอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องรอให้พูดจบประโยค ร่างสูงใหญ่แต่ยังไม่เท่ากิวเซล้มลงไปกับพื้นชนิดที่คนรอบข้างก็รับไม่ทัน

ตั้งใจจะสงบสติอารมณ์แต่ตอนนี้เขาไม่สามารถทำได้อีกแล้ว กิวกำลังโมโห โมโหมากจนในหูอื้ออึงไปหมด ยิ่งมาได้ยินคำพูดต่ำๆ ที่เอาแต่ย้ำว่าพายขายเรือนร่างกิวยิ่งทนไม่ไหว สติที่มีเหลือน้อยอยู่แล้วยามนี้มันหมดไป ตอนนี้เขาต้องการเพียงแค่เอาเลือดปากของคนตรงหน้าออก เอามาล้างชดใช้ความชั่วที่มันทำให้น้องต้องโดนคนอื่นเข้าใจผิด

ร่างสูงใหญ่ขึ้นคร่อมพร้อมรัวหมัดเข้าไปที่หน้าของดอมอย่างไม่ออมแรง แม้จะมีพวกรูท นัน และเพื่อนคนอื่นๆ มาช่วยรั้งไว้ก็ไม่เป็นผลด้วยเรี่ยวแรงของคนโกรธมีมากมายนัก แม้เลือดสีเข้มจะซึมออกจากคิ้วและปากที่แตกยับแต่กิวก็ยังไม่ยั้งมือ จนต้องให้ยามหน้าโรงเรียนมาลากตัวออกไปนั่นแหละชายหนุ่มถึงได้หยุดมือ

“อย่าให้กูได้ยินมึงพูดถึงพายแบบนี้อีก! ไม่งั้นอย่าหาว่ากูไม่เตือน!”






ผลจากการมีเรื่องชกต่อยทำให้เรื่องรูปที่เป็นชนวนของเรื่องทั้งหมดถูกพับเก็บไป กิวโดนผู้อำนวยการสั่งพักการเรียนสองอาทิตย์เพื่อไปทำหัวให้เย็นลงก่อนจะกลับมาให้สอบสวนข้อเท็จจริงทีหลัง และอย่างที่คาดว่าพ่อแม่ของเขาไม่สนใจที่จะมาเยี่ยมเยียนโรงเรียนเพื่อรับทราบเรื่องทั้งหมดนี้ มีเพียงคุณลุงคนขับรถประจำบ้านเท่านั้นที่มารับฟังรายละเอียดทั้งหมดและนำเรื่องไปแจ้งต่อเท่านั้น

พัฟดูจะไม่ตกใจเลยเมื่อรู้ว่าดอมเป็นคนที่ทำเรื่องแบบนั้นกับน้องชายของตน เพียงแต่เดินมาตบบ่ากิว เอ่ยคำขอบคุณสำหรับหมัดที่ปล่อยออกไป บอกว่าตนจะส่งข่าวต่อให้พาย และบอกให้ดูแลตัวเองดีๆ ในวันนี้ เพราะมั่นใจว่าวันนี้เขาต้องรับศึกใหญ่กับที่บ้านแน่ๆ ก่อนที่เขาจะโดนขอร้องจนต้องยอมขึ้นรถหรูประจำครอบครัวเพื่อเดินทางกลับบ้าน ซึ่งเขารู้มาว่าพ่อกับแม่รอเขาอยู่ที่นั่นแล้ว

“งามหน้ามั้ยล่ะ”

ทันทีที่ก้าวเท้าเข้าบ้าน เสียงของผู้เป็นพ่อคือสิ่งแรกที่ต้อนรับเขา คุณการุณย์และคุณนายประภัสสรกำลังนั่งรอเขาอยู่บนโซฟาตัวใหญ่ บนโต๊ะตรงหน้าของทั้งสองคือรูปที่กิวต่างก็เห็นมาแล้ว ชายหนุ่มเลือกที่จะไม่นั่งบนโซฟาว่างที่อยู่เคียงข้าง เพียงแค่ยืนอยู่ตรงจุดเดิมของเขาเท่านั้น

“แกไม่คิดจะพูดอะไรเลยหรือไงเจ้ากิว”

“ไม่จำเป็น เพราะยังไงคุณก็ไม่ฟัง”

“เจ้ากิว!”
 
“คุณคะ ใจเย็นๆ ก่อนเถอะค่ะ”

“คุณจะให้ผมเย็นได้ยังไง! ดูรูปพวกนั้นสิ! แกคิดอะไรของแกอยู่กิว?!”

รูปที่เคยวางอยู่บนโต๊ะถูกคว้ามาปาใส่หน้า กิวทำเพียงแค่ยืนเฉยๆ โดยไม่พูดอะไรต่อ แม่ก็เงียบ มันเป็นแบบนี้ทุกครั้งตั้งแต่ที่เขายังเป็นเด็ก

กิวเติบโตมากับพี่เลี้ยงและแม่นมเป็นเพื่อน เพราะพ่อกับแม่ต่างก็เป็นเจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่ด้วยกันทั้งคู่จึงไม่มีเวลาดูแลเขา แต่หลังจากที่แม่นมขอลาออกกลับไปอยู่บ้านเกิด กิวก็โดนเลี้ยงด้วยเงินมาตลอด เช้ามามีเงินวางไว้ อยากได้อะไรก็เขียนลงกระดาษติดไว้บนตู้เย็น เงินไม่พอก็ขอ เป็นลูกคุณหนูอย่างแท้จริง

พอม.ต้น กิวเริ่มต้องมีของแลก โดยของที่จะแลกนั้นคือผลการเรียนที่เลิศหรู แต่หากทำไม่ได้ก็จะโดนลงโทษ พ่อจะโมโหทุกครั้งที่เขาทำอะไรไม่ได้ดั่งใจ แกต้องทำอย่างนั้น แกต้องทำอย่างนี้ บังคับให้เขาอยู่แต่ในกรอบที่พ่อขีดขึ้นเพียงเพราะโตมาเขาจะต้องดูแลธุรกิจต่อจากพ่อ ผู้เป็นแม่ก็ไม่เคยเอ่ยอะไร ทำตัวเป็นช้างเท้าหลัง เป็นภรรยาที่ดีอยู่ในกรอบของสามี วันเวลาดำเนินมาแบบนั้นตลอดจนกระทั่งกิวขึ้นม.ปลาย ความอึดอัดทำให้เขาเริ่มสงสัย และเริ่มเดินออกนอกกรอบของพ่อ อิสระที่ได้ช่างดีเกิดกว่าที่จะยอมกลับเข้าไปอยู่ในกรอบเดิมๆ อีก

พอมาม.ปลาย เขาจำได้ว่าเริ่มส่งยาตอนม.4 เทอมสอง คนที่ทาบทามให้เข้าวงการคือรุ่นพี่ที่เรียนอยู่ปีสุดท้ายในตอนนั้น กิวไม่เคยเสพ หากแต่เป็นสายส่งจนค่อยๆ แยกตัวออกมา ทำเป็นกิจการของตอเอง หลังจากนั้นไม่นานเขาก็เริ่มหัดขี่รถมอเตอร์ไซค์ เริ่มแรกยังเป็นคันธรรมดาที่คนทั่วไปขับขี่ แต่พอได้ลิ้มลองความเร็วปานพายุบนท้องถนนยามค่ำคืน เขาก็ขอเจ้านินจา บิ๊กไบท์คันปัจจุบันโดยใช้เกรดสวยหรูครั้งสุดท้ายของเขาแลกเอาจากพ่อ หลังจากนั้นเป็นต้นมากิวก็ยิ่งออกนอกกรอบ ทำตัวต่อต้านทุกสิ่งทุกอย่างที่พ่อแม่สรรหามาให้ จนมาวันนึงพ่อก็รู้ทุกอย่างที่เขาทำ และความสัมพันธ์ในครอบครัวก็ค่อยๆ มีรอยร้าว กิวเลือกที่จะเรียกผู้ให้กำเนิดด้วยสรรพนามที่ห่างเหิน ไม่สนใจจะมีปฏิสัมพันธ์ด้วย ซึ่งผลของการกระทำนั้นก็ทำให้เกิดความห่างเหินในครอบครัวจนถึงวันนี้

“ฉันเคยบอกแกแล้วว่าให้เลิกคบเพื่อนชั้นต่ำแบบนั้น! ถ้าแกเชื่อฟังฉัน แกก็คงไม่เป็นแบบนี้ ทั้งขายยา! แข่งรถ! ทะเลาะวิวาท! แล้วยังจะซื้อบริการเด็กผู้ฃายอีก!”

“ไม่เกี่ยวกับเพื่อน และพายก็ไม่ใช่เด็กแบบนั้น”

ตัวเองไม่ดี กิวรู้ ตัวเองทำให้คนอื่นผิดหวัง กิวรู้ และเป็นตัวเขาเองที่ทำเรื่องแบบนั้น ไม่เกี่ยวกับเพื่อนที่คบกันมานาน ค่อยอยู่ข้างๆ ให้กำลังใจและความจริงใจตลอด และยิ่งไม่เกี่ยวกับน้อง เพราะตัวเขาเองต่างหากที่เป็นฝ่ายทำให้น้องมาเจอเรื่องแบบนี้

“ปกป้องกันเข้าไป ขนาดเด็กขายตัวคนนึงแกยังช่วยปกป้อง แล้วไม่คิดจะปกป้องชื่อเสียงของตระกูลบ้างเลยใช่มั้ย!?”

“ผมบอกว่าพายไม่ใช่คนแบบนั้น! น้องไม่ได้ขายตัว! พวกเพื่อนๆ ไม่เคยชักจูงผม! ทุกอย่างผมทำตัวเอง ผมเลือกเอง พ่อได้ยินมั้ยว่าผมเลือกเอง!”

โทนเสียงและวิธีเรียกที่ตนไม่คิดว่าจะต้องใช้มันหลุดออกมาเองโดยอัตโนมัติ และเมื่อมันหลุดออกมาครั้งหนึ่งแล้ว มันก็ไม่สามารถกักเก็บไว้ได้อีกต่อไป

“ผมเกลียดการที่ต้องอยู่ในกรอบ ผมไม่ต้องการเงินที่พวกพ่อยัดเยียดให้ผม! ผมต้องการอิสระ ไม่ใช่การทำอะไรก็คิดถึงแต่ชื่อเสียงของตระกูล ใช่ผมขายยา ผมขายยามานานแล้วพ่อก็รู้ ผมแข่งรถมานานแล้วพ่อก็รู้ และผมเลือกทางเดินนี้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่เพราะเพื่อน” 

กิวก้มตัวลงลงเพื่อหยิบรูปภาพที่อยู่บนพื้นขึ้นมา ในรูปพายกำลังยิ้มให้เขา และเขาก็ยิ้มตอบน้องกลับไปเหมือนกัน มือใหญ่วางรูปโดยหันหัวให้อีกฝ่ายดูได้ถนัด

“คนในภาพชื่อพาย น้องชายเพื่อนสนิท ลูกฃายคนเล็กของนักธุรกิจบริษัทเบเกอรี่ชั้นนำในประเทศ พ่อกับแม่สามารถให้คนสืบได้ตามต้องการ ไม่แน่แค่เปิดกูเกิ้ลดูก็เจอรูปแล้วมั้ง แล้วพ่อจะรู้ว่าน้องไม่จำเป็นจะต้งทำเรื่องพรรณนั้นเขาก็มีกินมีใช้ไปตลอดชาติ”

“...........”

“เด็กผู้ชายตัวเล็กๆ ที่กล้ายื่นมือให้ความช่วยเหลือผมที่โดนกระทืบอยู่ในตรอกข้างโรงเรียน คนที่คอยปลอบโยน คอยรับฟัง กล้าเถียง กล้าตักเตือน และให้โอกาสที่ไม่เคยมีคนกล้าทำกับผม”

คิดถึงอีกคนที่วันนี้ไม่มีโอกาสได้เจอหน้าแล้วมุมปากก็ยกยิ้มอย่างไม่ทันรู้ตัว ชนิดที่คุณการุณย์และคุณนายประภัสสรยังตกใจ

“และผมรักเขา ต่อให้พวกคุณจะไม่ยอมรับผมก็จะรักเขา และจะทำทุกวถีทางที่จะได้อยู่กับเด็กคนนั้นต่อไปจนกว่าเขาจะไม่อยากอยู่กับผมแล้ว เท่านี้แหละที่ผมอยากจะบอก”

ฟังลูกชายที่ไม่เคยคุยกันดีๆ ได้ถึงสามคำพูดเช่นนี้ คนเป็นพ่อแม่ก็ได้แต่เงียบ กิวถอนหายใจเฮือกใหญ่ ตัดสินใจจะไม่พูดถึงประเด็นนี้อีก และคิดว่าพ่อกับแม่ก็คงทำเป็นเงียบเฉยกับเรื่องนี้ แล้วจัดการกับทางโรงเรียนด้วยการบริจาคเงินจำนวนมากเพื่อปิดเรื่องนี้เหมือนที่เคยเป็นมา

ร่างสูงหันหลังเดินหน้าไปทางบันได ตั้งใจจะขึ้นห้องตัวเองเพื่อสงบสติอารมณ์ที่เกิดขึ้น หากแต่เสียงเรียกของคุณการุณย์กลับรั้งขาที่เพิ่งจะก้าวออกให้หยุดกับที่

“ถ้าแกสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ด้วยตัวเอง แล้วเลิกวุ่นวายกับไอ้ยาพวกนั้นได้ แกอยากจะทำอะไรก็ทำไป ฉันจะไม่ยุ่งกับชีวิตแกอีก แกจะทำอะไรจะคบกับใครฉันจะไม่ยุ่ง และจะสนับสนุนความคิดแกเต็มที่”

“คุณคะ...”   

แม้แม่จะเอ่ยเหมือนต้องการจะพูดบางอย่าง แต่มือที่ยกขึ้นมาห้ามก็ทำให้นางต้องเงียบลงอีกครั้ง สายตาที่เต็มไปด้วยความอึดอัดมองระหว่างผู้เป็นลูกและแผ่นหลังของสามี

“แต่ถ้าแกสอบเข้าไม่ได้ ฉันจะให้แกเลิกยุ่งกับทุกอย่างรวมถึงเด็กคนนั้น และตั้งหน้าตั้งตาทำตามคำสั่งของฉันเพื่อขึ้นเป็นประธานคนต่อไปของบริษัท”

“…..!?”

“แกกล้าพนันกับฉันหรือเปล่าเจ้ากิว กล้าเอาความมั่นใจที่แกพูดออกมาเมื่อกี้มาพนันกับฉันหรือเปล่า”

ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าพ่อจะพูดเรื่องแบบนี้ เพราะชีวิตที่ผ่านมามีแต่การขังลูกของตัวเองอยู่ในกรอบ กิวหันไปมองพ่อและแม่ของตัวเองอีกครั้ง สบสายตาที่เต็มไปด้วยประกายความมุ่งมั่นให้ทั้งคู่ ในเมื่อพ่อยื่นเดิมพันที่เต็มไปด้วยความหวังที่เขาต้องการมาตลอดให้ ทำไมคนกล้าได้กล้าเสียอย่างกิวจะไม่คว้ามันเอาไว้ล่ะ

“ได้ ผมพนันกับพ่อว่าผมจะเข้ามหาวิทยาลัย... พ่ออย่าผิดคำพูดแล้วกัน”

ทิ้งท้ายไว้เท่านี้ก็พาร่างของตนเองขึ้นบันไดไป งานนี้คงต้องให้เพื่อนในกลุ่มช่วยเสียแล้ว เพราะกิวเลิกตั้งใจจะเรียนเพื่อให้ได้ผลการเรียนดีมานานมากแล้ว แม้ยังมีสกิลภาษาอังกฤษขั้นพื้นฐานติดตัวอยู่บ้างก็เถอะ

หลังร่างสูงโปร่งของลูกชายเพียงคนเดียวหายลับไปยังชั้นบน คุณการุณย์ก็ทิ้งตัวลงบนโซฟา พรูลมหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนออกมา ผู้เป็นภรรยาที่นั่งเงียบมานานจึงได้โอกาสเอ่ยถามข้อสงสัย

“คุณคะ แน่ใจแล้วหรือที่เสนอออกมาแบบนั้น”

“มันถึงเวลาที่ผมต้องทำอะไรสักอย่างให้ความอึดอัดระหว่างเรามันหมดลงไปสักที คุณไม่คิดแบบนั้นเหรอ?”

พวกเขาทิ้งลูกให้อยู่แต่กับพี่เลี้ยงตั้งแต่ยังเด็ก ให้ลูกใช้ชีวิตด้วยตัวเอง อยู่แต่ในกรอบที่เฝ้าย้ำอยู่เสมอจนความเข้าใจระหว่างพ่อแม่ลูกลดน้อยลง กว่าจะรู้ตัวและพยายามทำให้มันดีขึ้นลูกชายคนเดียวก็เดินออกนอกกรอบไปเสียแล้ว

“.....เขาโตขึ้นมาก จนผมตกใจ”

“ฉันลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเขาพูดกับพวกเรายาวขนาดนั้นครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ ถ้าหากเขาทำได้... เราคงต้องขอบคุณเพื่อนกับเด็กคนนั้นสินะคะ”

"นั่นสินะ....."

คุณการุณย์พยักหน้า คว้ามือบอบบางของภรรยามากุมไว้ รู้สึกเหมือนไม่ได้ทำเช่นนี้มานานมาก และคำพูดของลูกก็ทำให้เขาคิดได้ว่าเขาละเลยครอบครัวของตนเองมานานมากแค่ไหน คุณนายประภัสสรเพียงยิ้มและกุมมือตอบเบาๆ เธอหวังให้อะไรที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้าเป็นเรื่องดีและหวังว่าครอบครัวของเธอจะยังกลับมาเป็นครอบครัวที่อบอุ่นได้ในอนาคต





“เป็นไงบ้างวะมึง โอเคเปล่า?”

ทันทีที่รับโทรศัพท์เสียงของรูทก็ดังลอดเข้ามาโดยไม่มีการอรัมภบทใดๆ ฟังจากเสียงโวยวายที่แทรกเข้ามาเป็นระลอกก็พอจะเดาออกว่าตอนนี้รูทยังอยู่กับพวกเพื่อนๆ คนอื่นในกลุ่ม ทั้งที่ตอนนี้ยังเป็นวลาเรียนช่วงเช้าแท้ๆ แต่ยังโทรมาหาเขาได้ขนาดนี้ แสดงว่าคงจะโดดเรียนตามกันเป็นแถวนั่นแหละ

“โอเค เป็นครั้งแรกที่คุยกับพ่อแม่ยาวขนาดนี้”

”แล้วเขาว่าไงบ้าง” คราวนี้เป็นเสียงพัฟที่ลอดเข้ามา ”น้องกูคงไม่โดนไปด้วยใช่มั้ยเนี่ย?”

ขาพอจะเดาออกว่าพัฟถามเรื่องนี้เพราะอะไร เห็นไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยแสดงความรู้สึก แต่พัฟก็รักน้องชายตัวเองมาก นี่คงจะเป็นห่วงว่าพายจะโดนหางเลขไปด้วยนั่นแหละ กิวหัวเราะแล้วยืนยันกับอีกฝ่ายไปว่ามันไม่ได้วุ่นวายอะไรขนาดนั้น

“แต่กูจำเป็นต้องให้พวกมึงช่วย... กูต้องเข้าวิศวะให้ได้”

”ห๊ะ!?”

เหมือนจะเป็นทั้งกลุ่มที่ตะโกนถามขึ้นมาพร้อมกัน แต่กิวเข้าใจ เพราะหากเป็นพวกมันที่พูดประโยคนี้ขึ้นมาบ้างเขาก็คงจะสับสนไม่น้อยเหมือนกัน ร่างสูงจึงเอ่ยอธิบายความเป็นมาของเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง และไม่วายตบท้ายด้วยความเอาแต่ใจส่วนตัวของตนเอง

“กูอยากสร้างบ้านสำหรับกูกับน้องด้วยว่ะ”

“กิว.....”

“พ่อแม่ก็คงอยากให้เรียน แต่คะแนนตอนนี้คงไม่ไหว”

“กิวคือ.....”

“ช่วยกูที กูอยากเข้าคณะนี้จริงๆ”

ปลายสายเงียบไปเมื่อเจอลูกตื้อที่นานๆ ครั้งจะได้ยินจากปากผู้ชายชื่อ กวินทร์ ซึ่งเจ้าตัวก็เหมาเอาเองว่าเพื่อนต้องตอบตกลงแน่นอนอยู่แล้ว จึงนัดเป็นมั่นเหมาะว่าระหว่างสองอาทิตย์นี้พอหมดเวลาเรียนเพื่อนจะมาทบทวนให้กิว ช่วงวันเสาร์อาทิตย์ที่มีเวลาก็จะนัดกันติวบทเรียนที่เขาไม่ทันเพื่อให้คะแนนตรงกับที่ทางมหาวิทยาลัยต้องการ โดยไม่ลืมจะบอกพัฟว่าเย็นนี้ตนจะไปรับน้องเองก่อนจะวางสายไปซะเฉยๆ ไม่ให้เวลาเพื่อนได้เอ่ยแทรกอะไร

ห้าหนุ่มที่นั่งอยู่อีกฝั่งฟังเสียงสัญญาณโทรศัพท์ดังเป็นจังหวะ ครู่ใหญ่ที่ไม่มีใครเอ่ยอะไร เพราะยังมึนกับสิ่งที่เพื่อนพูดเมื่อสักครู่ และยังสับสนในกระบวนความคิดของตนเองที่ตีวนอยู่ในหัว หลังจากจัดเรียงสติและความคิดให้เข้าที่แล้ว เสียงของใครคนนึงในกลุ่มก็แทรกทำลายความเงียบในที่สุด




“พวกมึงว่า... มันสับสนระหว่างวิศวะกับสถาปนิกหรือเปล่าวะ?”



To be continue


-------------------------------------------------------------------



สวัสดีหลังปล่อยพี่กิวเกรียนใส่เพื่อนค่ะ

หลังจากที่พยายามแต่งซีนอารมณ์อยู่นานเหมือนกัน เพราะไม่เคยแต่งเรื่องยาวและซีนอารมณ์แบบนี้มาก่อน หากมันไม่อิน หรือว่ามันง่ายเกินไปต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ ฝีมือยังไม่ถึงขั้นจริงๆ 

จากตอนแรกที่จะให้คุณแม่พี่กิวเป็นคนขัดขวางความรัก มาคิดอีกที คนอย่างพี่กิวเขาไม่กลัวแม่เหมือนคนอื่นหรอก สุดท้ายเลยต้องลงแบบนี้ค่ะ คุณพ่อรับบทร้ายไปซะงั้นเลย ขอโทษนะคะคุณพ่อ หนูรักพี่เขาจนทำร้ายไม่ได้จริงๆ และหนูจะไม่ทำให้คุณพ่อเป็นตัวร้ายนานค่ะ เพราะเรื่องนี้เราเน้นความ Feel Gooddddd ดราม่าจึงจบลงง่ายๆ เช่นนี้แล (อย่าตบเราาาาา)

มีคนถามถึงดอมว่าแค่นี้สาสมเหรอ ก็ไม่นะ แต่พี่กิวกำลังคิดอยู่ว่าจะทำยังไงกับตานี่ดีค่ะ ;P

และก็พาเหล่าเพื่อนสนิทนอกจากพี่รูทกับพี่พัฟมาเปิดตัวด้วย อาจจะเห็นในตอนผู้ช่วยของหัวหน้าแล้ว พี่พล พี่หมี่ พี่นัน นั่นเองค่ะ แต่เป็นตัวประกอบ ออกแค่วับๆ แวมๆ ไปก็แล้วกัน น่าสงสารเพราะบทน้อยกว่าธีร์กับวินอีก เดี๋ยวจะจับพี่ไปใส่ในตอนพิเศษนะคะ

อีกนิดนึงพี่รูทกับพี่พัฟจะเป็นตัวเด่นแล้ว แต่คงไม่ยาวเท่าไหร่นักเพราะจัดเป็นตอนพิเศษช่วงมหาลัยของน้องพายด้วยค่ะ
ทอล์กยาวเกินละ แล้วเจอกันตอนหน้านะคะ

ขอบคุณสำหรับคอนเม้นและกำลังใจทั้งในบอร์ดและในเพจค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-03-2015 17:29:47 โดย ennewiis »

ออฟไลน์ chisarachi

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1019
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +49/-1
น้องพายทำอย่างไงนะพี่กิวถึงได้รักขนาดนี้
เขาคือผุ้ชายที่แมนมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
พี่กิวนี่คือสุดยอดของสุดยอดของสุดยอดเลย
อยากให้มาต่อบ่อยๆนะ

ออฟไลน์ nunnuns

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1972
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-3
รอ feel good กลับม๊าาาาาาา นะจ๊ะอิอิ

ออฟไลน์ tuckky

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 922
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +269/-1
 :hao7: ช่ายๆ งดเว้นดราม่า เรามาฟีลกู๊ดกันดีกว่า
พี่กิวเท่สุดๆ อยากได้ๆๆ 555  :z6:  โดนพ่ายถีบ

ออฟไลน์ ennewiis

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 47
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0
♥ หัวหน้าแก๊งค์ (ภาคหลัก)
ตอน เอาคืน





ตาต่อตา ฟันต่อฟัน

วลีติดหูว่าด้วยหลักทำผิดอย่างไรย่อมต้องได้โทษอย่างนั้น แม้ปัจจุบันจะมีผู้ต่อต้านว่าเป็นการกระทำที่โหดร้าย ขัดจารีตประเพณีอันดีงามที่สืบทอดกันมา แต่ใครเล่าจะปฏิเสธว่าคนบางคนนั้น สมควรแล้วที่จะได้รับผลแห่งการกระทำ เฉกเช่นเดียวกับที่ตนเคยทำไว้






ร้านกาแฟข้างโรงเรียนมักเป็นสถานที่ให้เหล่านักเรียนมานั่งเล่นพูดคุยกันช่วงหลังเลิกเรียนเสมอ ยิ่งเป็นช่วงสุดสัปดาห์แล้วคนมักจะเยอะเป็นพิเศษเพราะจะมีนักเรียนมานั่งติว นั่งดื่มเครื่องดื่มพร้อมนัดแนะกันว่าช่วงวันหยุดจะไปที่ไหนกันดี หากเป็นเมื่อก่อนกลุ่มของกิวแทบจะไม่ได้เยียบย่างเข้ามาเพราะแต่ละคนต่างก็แยกย้ายกันไปทำธุระส่วนตัว แต่เมื่อหนึ่งสมาชิกหลักของกลุ่มเอ่ยปากขอให้ช่วยติวเพื่อเพิ่มผลการเรียนแบบเร่งด่วนเพื่อปูทางชีวิตรักที่ดีงามของตัวเองและว่าที่แฟนในอนาคต หลังจากนั้นก็ผ่านมาเกือบอาทิตย์แล้วที่ทุกเย็นหลังเลิกเรียนห้าหนุ่มห้ามุมต้องมานั่งรวมกลุ่มกันติวหนังสือให้เพื่อนสนิทที่ร้านกาแฟร้านนี้

“กิว มึงจำสูตรคณิตข้อนี้ได้ยัง?”

พลที่ทำหน้าที่เป็นผู้ติววิชาคณิตสุดหินเอ่ยถามสูตรที่ตนให้เพื่อนไปท่องเมื่อวานนี้ ฝ่ายผู้โดนถามจึงเริ่มทิ่งสูตรคำนวณหาพื้นที่เพื่อบอกให้รู้ว่าตนจำได้ พลพยักหน้าก่อนเลื่อนแบบฝึกหัดที่ตนปรับแต่งจากแบบเรียนให้เพื่อนได้ลองทำขณะที่มือก็ฉวยหยิบแก้วกาแฟมาดูดอึกใหญ่

“โห... มีเตรียมแบบฝึกหัดให้ด้วย สมกับเป็นว่าที่คุณครูจริงๆ ว่ะ”

“ยังเว้ยรูท ยังอีกไกล นี่กูแค่ทำเท่าที่ทำได้เพื่อช่วยมันไอ้กิวเฉยๆ”

“แต่มึงสอนเข้าใจกว่าที่ครูผกาแกสอนในห้องอีกว่ะ รายนั้นอะไรก็ไม่รู้ เข้ามาบ่นๆ แล้วออก กูเข้าเกือบทุกคาบยังเรียนไม่รู้เรื่องเลย”

พลหัวเราะกับคำยอของเพื่อน แม้เขาจะอยากเป็นครูแต่ก็ไม่เคยได้ลองติวให้ใครจริงจัง เพิ่งมีโอกาศครั้งแรกนี่แหละที่ต้องมาติวให้กิวเลยได้ทบทวนและลองใช้สูตรที่ตนคิดขึ้นเองมาบอกต่อเพื่อน และมันก็ได้ผลดีกับคนหัวช้าเน้นนำไปใช้มากกว่าจำเหมือนกิวด้วย

“มึงน่าจะเอาความสามารถไปสอนพิเศษ”

ไม่ใช่มาวิ่งยาให้กู... มองหน้าเพื่อนก็รู้ว่ามันจะพูดอะไร นันมองหน้ากิว รอยยิ้มเผยบนใบหน้าคมคาย เขาเข้าใจดีว่าเพื่อนหวังดี ตนก็ไม่อยากจะทำงานแบบนี้สักเท่าไหร่ หากไม่จำเป็นต้องต้องใช้เงินเพื่อส่งตัวเองและน้องทั้งสองคนเรียนและหาเงินใช้ในชีวิตประจำวัน

“มันจำเป็นว่ะ มึงก็รู้ แล้วไม่ต้องมาจ่ายค่าสอนพิเศษให้กู นี่กูติวในฐานะเพื่อนเว้ย ไว้มึงมีลู่ทางดีๆ มีงานดีๆ  ค่อยมาตอบแทนกูละกัน”

“ได้”

กิวรับคำหนักแน่น เขาตั้งใจไว้อยู่แล้วว่าต้องช่วยเพื่อนทุกคนให้สมกับที่เพื่อนๆ ช่วยเขาไว้หลายต่อหลายครั้ง
นั่งทำแบบฝึกหัดสลับกับฟังเพื่อนติวไปได้สักพัก อุปกรณ์สื่อสารที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงก็สั่นครืดคราดเรียกความสนใจ มือหนาล้วงโทรศัพท์ขึ้นมาดูจึงรู้ว่าเป็นพายที่ติดต่อมา ท่าทางว่ากิจกรรมชมรมช่วงเย็นวันศุกร์จะจบลงแล้ว

PPPPPie: เลิกแล้วครับผมมมมม
                 เดี๋ยวพายกลับพร้อมพวกวินเลยนะ

I am Kiw: เดี๋ยวพี่ไปรับ

PPPPPie: พี่กิวติวอยู่ พายรู้นะ
              ตั้งใจติวไปครับ อย่างอแง สู้ๆ !

I am Kiw: ดื้อว่ะ
               ถึงแล้วบอกพี่ด้วย เดี๋ยวไปรับ

PPPPPie: โอเค บอกพี่พัฟให้ด้วยว่าพายขอยืมเสื้อตัวนึง
              ขอบคุณครับ


สติ๊กเกอร์ไลน์แทนคำขอบคุณถูกส่งให้เป็นการปิดท้ายประโยคสนทนา กิวจึงยื่นมือถือของตนส่งต่อไปให้พัฟดูข้อความที่พายฝากบอกต่อ พอเห็นข้อความของผู้เป็นน้องชายหนุ่มก็มุ่นคิ้วแล้วรีบหยิบโทรศัพท์ของตนมากดยิกๆ คาดว่าคงจะเถียงกันเรื่องเสื้อให้พอหอมปากหอมคอเหมือนเรื่องอื่นๆ นั่นแหละ

“แน่ใจแล้วเหรอกิว ที่จะพาน้องไปด้วย”

พัฟเงยหน้าจากโทรศัพท์มาถาม เขาหมายถึงเรื่องที่กิวจะพาน้องไปแข่งรถด้วยวันนี้ ถึงแม้สาเหตุมันจะมาจากที่พายเป็นคนเอ่ยปากว่าอยากจะลองไปดูสถานที่แข่งขันเองก็เถอะ แต่เขาไม่คิดว่ากิวจะบ้าจี้ให้น้องตามไปด้วยจริงๆ ยิ่งคู่แข่งวันนี้คือคนที่เพิ่งมีเรื่องกันมาด้วย ถ้าเกิดมีเรื่องกันอีกรอบขึ้นมาคงจะลำบาก

“ไม่เป็นไรหรอก รูทมันจัดการไว้หมดแล้ว”

“ใช่ วางใจเถอะพัฟ น้องพายไม่เป็นไรหรอก ให้น้องมันได้ออกนอกบ้านบ้างไม่ใช่อุดอู้คอยดูพี่ชายออกไปตะล่อนๆ แต่ตัวเองต้องอยู่บ้านคนเดียว วันนี้แม่ไม่อยู่ไม่ใช่หรือไง?”

“ไม่อยู่... แต่น้องมันไม่เคยออกมาตอนดึกๆ แบบนี้”

“นี่ไง ก็ให้น้องมันลองซะ กูรู้ว่ามึงห่วงน้องนะพัฟ แต่ไปรอบนี้มีมึง มีกู มีไอ้กิว แถมพวกไอ้หมี่ก็อยู่อีก ไม่เป็นไรหรอก ให้น้องมันได้ใช้ชีวิตในโลกแบบนี้ดูบ้าง จะได้ทันคน ตอนนี้ก็โดนไอ้กิวหลอกแต๊ะอั๋งจนจะสึกไปหมดแล้ว”

“ดีกว่าให้มึงแต๊ะอั๋งแล้วกัน เห็นแล้วเหมือนเลสเบี้ยน”

“กวนตีนละไอ้พัฟ!”

เสียงหัวเราะดังประสานขณะที่ขาสั้นๆ ของรูทพยายามจะดันคนกวนตีนลงจากเก้าอี้ แต่ได้กิวมาช่วยล็อคคอแล้วเปลี่ยนเรื่องให้ไปสนใจกับแบบฝึกหัดตรงหน้าต่อ

พัฟมองเพื่อนสองคน มุมปากหยักยกยิ้มเมื่อคิดถึงคำพูดของรูท ก็จริงที่เขามักจะปล่อยให้น้องอยู่คนเดียวบ่อยๆ จะให้ลองมาลงสนาม เปิดหูเปิดตาก็บ้างก็คงไม่เป็นอะไร แถมหลังจากนี้พายก็ต้องก้าวลงมาคลุกกับกลุ่มของเขามากขึ้นแน่ๆ เพราะงั้น ให้เจ้าตัวได้เรียนรู้เพื่อจะป้องกันไว้ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร

ติวสลับเล่นกันได้สักพักใหญ่ๆ เครื่องมือสื่อสารของกิวก็แผดเสียงร้องอีกครั้ง เป็นสัญญาณว่าถึงเวลาที่แต่ละคนจะต้องแยกย้ายกันไปเตรียมตัวก่อนจะเจอกันอีกทีที่สนามแข่งตามเวลาที่นัดหมายกันไว้ ตกลงกันได้เรียบร้อยแต่ละคนก็แยกไปตามเส้นทางกลับบ้านของตนเอง มีเพียงพัฟกับกิวที่สลับกันอยู่นิดหน่อย หากเป็นเมื่อก่อน กิวจะเป็นคนไปส่งรูทที่บ้าน ส่วนพัฟก็แยกกลับบ้านตัวเอง แต่ตอนนี้กลับเป็นคนตัวโตมุ่งหน้าไปบ้านพัฟก่อน ส่วนพัฟจะไปส่งรูทแล้วค่อยวนกลับมาที่บ้านอีกทีหากมีเวลา ถึงจะดูวุ่นวายแต่กิวสาบานได้ว่า ”คนกวนตีน” ในสายตารูท ไม่มีวันปริปากบ่นแน่ๆ





“พี่กิววว พี่พัฟฝากบอกว่าไม่กลับมาบ้านนะครับ คุณย่าพี่รูทให้อยู่กินข้าวที่บ้าน”

เมื่อจอดรถเข้าที่เรียบร้อยโดยไม่เผลอชนกระถางต้นไม้ในบ้านเหมือนช่วงแรกๆ พายก็รีบปรี่มาช่วยถือถุงข้าวและบอกข้อความที่พี่ชายได้ฝากไว้ กิวพยักหน้ารับรู้ขณะก้มมองรอยยิ้มกว้างของคนตัวเล็กที่ส่งมาให้เขาเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ กิวจึงเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

“วันนี้มีวัดส่วนสูงในคาบกิจกรรม พายสูงขึ้นมาสองเซนแหละ!”

ไม่ว่าเปล่า ยังชูสองนิ้วพร้อมยักคิ้วกลับให้เขาเสียด้วย หากในสายตาของคนที่สูงกว่ามาตลอดกลับไม่รู้สึกว่ามันเปลี่ยนแปลง เพราะกิวสูงเกินเกณฑ์มานานแล้ว และสูงกว่าน้องค่อนข้างเยอะทำให้ระดับสายตาในตอนนี้ก็ไม่ได้ต่างกว่าเดิมเลยแม้สักนิด แต่หากพูดความจริงไปคงจะทำให้รอยยิ้มบนหน้าหวานหุบลงเป็นแน่ คิดแล้วกิวจึงวางมือใหญ่ไว้บนกลุ่มผมนุ่มพร้อมออกแรงยีเบาๆ

“โห สูงขึ้นจริงๆ ด้วย แต่ก่อนเหมือนลูบหัวบับเบิ้ลบี ตอนนี้เหมือนลูบหัวเด็กประถมเลย”

“พี่กิว... พายก็ไม่ได้เตี้ยขนาดนั้นมั้ย”

“ไม่รู้สิ ถ้ากินข้าวหมดอาจจะรู้สึกว่าสูงขึ้น”

พายหัวเราะพลางเดินนำคนแก่กว่าเข้าบ้าน วุ่นวายกันอยู่ในห้องครัวสักครู่ เถียงกันพอหอมปากหอมคอ เพราะคนนึงอยากจะนั่งกินในห้องครัว อีกคนอยากจะนั่งดูทีวีไปด้วย แต่สุดท้ายก็จบตรงที่ข้าวผัดหอมกรุ่นเจ้าประจำหน้าปากซอยบ้านสองจานถูกเสิร์ฟที่ห้องนั่งเล่น พร้อมเสียงโทรทัศน์ที่กำลังมีรายการเกมโชว์เกาหลีสุดโปรดของน้อง นั่งดูนั่งกินจนกระทั่งรวบช้อนนั่นแหละ กิวถึงได้เห็นว่าเด็กดื้อกินข้าวไม่หมด และเหตุผลที่เจ้าตัวให้มาก็คือ

”กินหมดก็สูงเป็นเสาไฟฟ้าพอดี ตอนนี้พายอย่างสูงระดับปกติ”

ช่างยอกย้อนแต่กิวก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากหัวเราะแล้วคาดโทษสถานเบาให้ก็เท่านั้น

หลังเคลียร์ธุระส่วนตัวเสร็จก็ถึงเวลาที่กิวจะพาน้องไปยังสถานที่นัดพบ แม้จะเรียกว่าสนามแข่ง แต่ถ้าจะเรียกให้ถูกแล้วมันคือถนนบริเวณใต้ทางด่วนที่ไม่ค่อยมีรถพลุกพล่านเสียมากกว่า เพราะความที่ไม่มีรถเท่าไหร่ ก็ส่งผลให้ไม่มีคนมาแถวนี้มากขึ้น และถนนสองเลนก็ใหญ่มาพอที่รถบิ๊กไบค์สี่คันจะแข่งกันได้อย่างไม่ค่อยอันตรายเท่าไหร่ แม้จะไม่มีระบบรักษาความปลอดภัยที่เท่าเทียมหากเทียบกับสนามแข่งรถที่ถูกกฏหมาย

บิ๊กไบค์คันใหญ่ถูกชะลอตัวและจอดลงตรงที่ประจำของกลุ่ม ดูเหมือนกิวจะมาเป็นคนสุดท้ายเพราะคนอื่นๆ ดูจะเตรียมพร้อมกันหมดแล้ว เขาพาน้องไปเจอพัฟเพราะน้องอยากจะบอกเรื่องส่วนสูงที่เพิ่มขึ้นของตัวเอง คนเป็นพี่ฟังแล้วก็หัวเราะ แถมยังเย้าน้องชายสุดที่รักของตนเองด้วยประโยคที่เขาก็คาดไว้อยู่แล้ว

“สองเซน? ก็ตัวเท่าลูกหมาเหมือนเดิมทำเป็นคุย”

อยากจะหัวเราะแต่ก็กลัวจะโดนงอนเอา จึงต้องพยายามกลั้นขำแล้วปรามเพื่อนตัวเองให้เลิกแกล้งน้อง ซึ่งกิวถือว่าเป็นเรื่องดีที่ตัดสินใจทำแบบนั้น เพราะน้องหันมายิ้มกว้างให้เขาอย่างพึงใจ

อีกพักใหญ่ถึงจะได้เวลาแข่ง กิวเลยเลือกจะนั่งเช็คสภาพเครื่องยนต์พร้อมทั้งวานให้หมี่และรูทที่ทำหน้าที่เป็นช่างทีมช่วยดูความพร้อมให้ พอเสร็จแล้วนั่นแหละ รูทถึงได้ไปนั่งเล่นนั่งคุยกับน้อง ไม่รู้ว่าสองคนนั้นเขาถูกชะตาอะไรกันหนักหนา เจอกี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ต้องตัวติดกัน จนบางทีเพื่อนๆ ยังแซวว่าสองคนนั้นเขาแอบหนีไปกิ๊กกันเองหรือเปล่า

“กิว มึงดูนู้น”

รูทสะกิดไหล่เขาที่ยังง่วนกับการเช็ดกระจกรถอยู่ พอเงยหน้ามองตามที่เพื่อนชี้กิวก็พบกับสายตาคู่นึงที่มองมาทางตนก่อนอยู่แล้ว ใบหน้าที่ยังมีรอยช้ำถูกผ้าก็อซปิดทับบริเวณที่ยังบวมอยู่ เมื่อสบตากันอีกฝ่ายก็ยกยิ้มอย่างบิดเบี้ยวพร้อมกับก้าวตรงมาทางเขาอย่างไม่ลังเล

“มันยังไม่เข็ดอีกเหรอวะ โดนไปตั้งขนาดนั้น”

อยากจะตอบเพื่อนไปว่าคำถามนั้นเขาก็สงสัยอยู่เหมือนกัน แต่อีกฝ่ายกลับเดินมาถึงตัวเขาเสียก่อน

“ไงกิว ได้ข่าวว่าโดนพักการเรียนสองอาทิตย์ ไม่คิดว่าวันนี้มึงจะมาด้วย”

“กูก็ไม่คิดว่าคนหน้าแหกจะมาแข่งรถได้เหมือนกัน”

สิ้นประโยคของกิว เพื่อนๆ ที่ยืนอยู่ข้างหลังก็หลุดขำ แม้จะไม่ใช่เสียงหัวเราะที่ดังมากแต่ก็ทำให้ผู้ที่โดนกล่าวถึงหน้าชาอยู่เหมือนกัน ดอมยกยิ้ม ทำทีคล้ายไม่สนใจแต่ใบหน้าบิดเบี้ยวก็ทำให้รู้ว่าเจ้าตัวเจ็บแค้นไม่ใช่น้อย ก่อนดวงตาสีชาจะไปหยุดอยู่ที่จุดนึงด้านหลังของคนตัวสูง มองจ้องคนที่นั่งเคี้ยวลูกชิ้นปิ้งที่ได้รับมาจากคนในกลุ่มของกิวแล้วฉีกยิ้มกว้าง

“.....ถึงกับต้องพามาเปิดตัว กลัวเขาไม่รู้หรือไงว่ามึงมีเมียเป็นผู้ชาย”

“ความสุขของกู”

กิวตอบขณะเลื่อนกายให้บดบังน้องจากสายตาที่อย่างหยามเหยียด ไม่พอใจที่จะให้ใครก็ตามใช้สายตาเช่นนั้นมองคนที่ตนให้ความสำคัญ

“หึ... งั้นมึงกล้าเดิมพันความสุขของมึงกับการแข่งครั้งนี้มั้ยล่ะ?”

“มึงหมายความว่าไง”

“เอาความสุขของมึงมาเดิมพันไง ไหนๆ ครั้งนี้แข่งชนะก็ได้ทั้งชื่อเสียงทั้งของเดิมพันหนักๆ เป็นรางวัลอยู่แล้ว มึงจะเอาความสุขของมึงมาลงเดิมพันก็คงไม่มีใครว่า เว้นเสียแต่... มึงไม่กล้าเพราะกลัวจะแพ้?”

การแข่งรถแต่ละครั้งย่อมต้องมีของมาวางเดิมพัน ซึ่งต้อง อย่างการแข่งครั้งนี้มีรางวัลเป็นเงินจำนวนเกือบหกหลัก ตำแหน่งผู้คุมถิ่นที่หลายคนอยากจะได้หนักหนา และของเดิมพันที่แต่ละทีมเลือกมาลง ครั้งนี้ทีมของกิวลงเดิมพันด้วยตัวถังรถราคาสูงที่แต่งมาอย่างดี คู่แข่งอีกสามคนของเขาก็ไม่ต่างกัน แต่ละฝ่ายเลือกจะเดิมพันด้วยอะไหล่ชั้นดีที่หาได้ยากและเป็นของสะสมของคนมีเงิน ซึ่งสำหรับกิวเขาคิดว่าแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

เขาเคยได้ยินมาเหมือนกันว่าเคยมีคนวางเดิมพันด้วยผู้หญิงที่ซ้อนท้ายมา หรือคนรักของผู้เข้าแข่งขันนั่นแหละ หากใครแพ้ก็ต้องส่งให้แต่ละกลุ่มไปวนใช้ พูดง่ายๆ ก็คือต้องให้ผู้หญิงของตัวเองไปเป็นนางบำเรอให้ผู้ชายแต่ละทีมตามลำดับขั้นที่แพ้
กิวกำหมัดแน่น เกลียดนักวิธีการพูดจายั่วโมโหและสีหน้าหยามเหยียดที่อีกฝ่ายมักทำอยู่เสมอ ความจริงทุกครั้งที่ได้แข่งกับดอม เป็นที่รู้กันทั่วว่าทั้งคู่มักจะสลับกันแพ้สลับกันชนะอยู่เสมอ ดังนั้นการที่โดนอีกฝ่ายยุแหย่เขาจึงไม่เคยเก็บมาใส่ใจถ้ามันไม่มากเกินไป แต่การคนตรงหน้าพูดเหมือนพายเป็นสิ่งของที่จะวางเดิมพันเมื่อใดก็ได้เช่นนี้มันไม่รวมอยู่ในขีดจำกัดของเขา เกือบจะได้วางมวย ปล่อยหมักเข้าที่หน้าช้ำๆ นั่นเข้าให้อีกรอบหากไม่มีสัมผัมนิ่มแฝงความอบอุ่นมากุมรอบมือเพื่อดึงความสนใจจากเขาไปเสียก่อน

“พี่กิว ใจเย็นๆ ครับ”

คนที่นั่งเคี้ยวลูกชิ้นอยู่หลังเขาจนถึงเมื่อครู่ ตอนนี้กลับมายืนอมยิ้มแก้มตุ่ยมองเขา พายยื่นลูกชิ้นเสียบไม้ที่อยู่ในมือมาจ่อปาก แล้วกิวจะทำอะไรได้ล่ะนอกจากต้องอ้าปากรับเจ้าลูกกลมๆ นั้นมาใส่ปากตัวเองแล้วยืนเคี้ยวให้น้องดู สภาพไม่ต่างกับเด็กที่โดนคุณครูลงโทษสักเท่าไหร่ จนเห็นว่าเขากลืนลงคอแล้วนั่นแหละอีกฝ่ายถึงได้พอใจ

“มีของลงท้องจะได้อารมณ์ดี รีบแข่งให้เสร็จ รีบชนะกลับมานะ แล้วพายจะรออยู่ตรงนี้กับพวกพี่ๆ นะครับ”

“ฮะๆๆ เออ มึงรีบไปเตรียมตัวเหอะกิว อีกห้านาทีเอง เดี๋ยวพวกกูอยู่กับน้องให้” รูทโอบบ่าน้องหัวเราะร่า ไม่วายยังโบกมือไล่เขาอีก “ชนะแล้วรีบกลับมา ย้ำนะ ชนะ แล้วรีบกลับมา”

คำพูดย้ำนั้นทำให้กิวรู้แน่ชัดว่าตนต้องชนะกลับมา เขาพยักหน้ารับแล้วเข็นเจ้านินจาคันโปรดไปยังจุดสตาร์ท แต่ก็ไม่ลืมที่จะหันกลับมาเหมือนนึกอะไรขึ้นได้

“รูท เรื่องที่กูฝากไว้มึงไม่ลืมใช่ไหม?”

“อืม เตรียมไว้พร้อมก่อนมึงจะบอกอีก ไม่ต้องห่วง”

กิวเข็นรถผ่านหน้าดอมที่ตั้งท่าเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างโดยไม่คิดจะหันไปสนใจ ตอนนี้สิ่งที่ชายหนุ่มต้องให้ความสนใจคือการเอาชนะอีกฝ่ายด้วยการแข่งรถให้ได้ ไม่ใช่ไปต่อปากต่อคำอย่างที่อีกฝ่ายต้องการ

รถบิ๊กไบค์คันใหญ่สมชื่อสี่คันจอดเรียงกันบนเลนขาเข้า กติกาในรอบนี้ก็ง่ายแสนง่าย เพียงแค่ใครขับไปยังสุดฟากถนนแล้ววนกลับมาได้ก่อนก็ถือว่าเป็นผู้ชนะ รับทั้งของรางวัลและชื่อเสียงที่หลายๆ คนกระหายอยากจะครอบครอง

ธงสัญญาณถูกยกขึ้นแล้ว กิวหันหน้ามองไปยังข้างสนาม พายยังนั่งอยู่ที่เดิมโดยที่ในมือเปลี่ยนจากลูกชิ้นเป็นไอศครีมโคนแล้ว ไม่รู้ว่าใครไปซื้อมาให้และไปซื้อมาตอนไหน แต่เวลามารวมกลุ่มกันพายมักจะได้ของกินติดไม้ติดมือกลับบ้านเสมอและเจ้าตัวดูท่าจะชอบเสียด้วยถึงได้ยิ้มเสียขนาดนั้น ยิ่งเมื่อสบตากับเขารอยยิ้มก็พลันกว้างขึ้น กิวรู้สึกว่าหัวใจตัวเองพองโต เขาส่งยิ้มกลับไปให้แม้จะรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายมองไม่เห็นเพราะมีหมวกกันน็อคบดบังอยู่ ได้รับกำลังใจแล้วเขาก็หันกลับมาใช้สมาธิอยู่กับปัจจุบัน มือแกร่งบิดคันเร่งเตรียมตัวออกสตาร์ท เครื่องยนต์ส่งเสียงดังกระหึ่มอีกรอบก่อนจะพุ่งทะยานสู่ถนนเบื้องหน้าเมื่อธงถูกสะบัดลง
สายลมพัดผ่านกายให้พอรู้สึกหนาวยามที่เร่งความเร็ว ในหูอื้ออึงไปหมดเพราะได้ยินเพียงเสียงตัวเครื่อง หน้าปัดค่อยๆ ไต่ระดับไปที่ความเร็ว 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง และค่อยๆ เพิ่มขึ้น ร่างสูงชะลอและเริ่มทรงตัวประคองเมื่อเห็นโค้งแรกอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่โดยไม่ได้สนใจว่ารถคันข้างๆ ค่อยๆ ขยับชิดไต่ระดับมาเทียบข้างกัน โค้งแรกผ่านไปโดยที่ความเร็วยังไม่ตกและเขาสลัดตัวออกจากคู่แข่งอีกสองคนได้แล้ว เหลือแต่คนที่สูสีกับเขามาตลอดเหมือนทุกการแข่งขันที่ยังผลัดกันนำผลัดกันถอย

รถคันโตสองคันเริ่มชะลอตัวแล้ววกกลับ ไม่รู้ว่าเสียหลักตอนหักโค้งหรืออย่างไรรถคันของดอมถึงไปแถมาเสียใกล้เขา มือแกร่งเบนหัวรถออกเล็กน้อยเพื่อหลบการเฉี่ยวชน แต่ไม่นานมันก็แถมาใกล้รถเขาอีกหลายต่อหลายครั้งบนเส้นทางตรง กิวมั่นใจแน่แล้วว่าอีกฝ่ายอยากจะเล่นลูกไม้สกปรก ได้... หากอยากจะเล่นสกปรกมาเขาก็จะเล่นบ้าง เส้นชัยอยู่ไม่ไกลเพียงแค่ไม่กี่ร้อยเมตรตรงหน้า ตาคมเหลือบมองผ่านช่องว่างของหมวกกันน็อคขณะที่ค่อยๆ ลดความเร็วเครื่อง ดอมคงชะล่าใจจึงรีบเร่งเครื่องมาเทียบกับตัวรถ หันมามองเขาสักครู่ก่อนทำท่าจะยื่นขามาถีบตัวรถเขา เห็นแบบนั้นกิวจึงหักออกซ้ายเร่งเครื่องขึ้นนำหน้า เฉียดปลายเท้าที่ถีบออกมาไปเพียงนิดเดียว กิวไม่สนใจจะหันไปมองว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น เขาทำเพียงบิดแฮนด์รถจนทิ้งห่างแล้วมุ่งไปยังธงที่โบกสะบัดรออยู่ตรงหน้าเท่านั้น

เสียงโห่ร้องและเสียงปรมมือดังระงมเมื่อเขาค่อยๆ ชะลอตัวและจอดลงตรงริมถนนแล้วลงมือถอดหมวกกันน็อค เพื่อนร่วมทีมเดินแทรกฝูงชนที่ยืนออเพื่อดูการแข่งขันนัดนี้เข้ามาตบบ่าแสดงความยินดีกันถ้วนหน้า ซึ่งกิวก็เพียงพยักหน้ารับและเอ่ยขอบคุณตามปกติ

“เอ้าๆ พวกมึงหลบหน่อยครับ แขกกิตติมศักดิ์เขาจะมาแสดงความยินดีกับไอ้เฮียกิวแล้ว”

หมี่เอ่ยทะลุกลางปล้องพลางทำท่าทางให้ฝูงชนแหวกตัวออกแล้วหันไปหัวเราะ แท๊กมือกับเพื่อนๆ ที่ยืนยิ้มกริ่มอยู่ไม่ไกลกัน พายหันแยกเขี้ยวใส่พวกพี่ชายที่ดูไม่ทุกข์ร้อนอะไรแล้วเดินตรงมาหาเขา แม้จะมาอยู่ต่อหน้าแต่ต่างคนก็ต่างเงียบเอาแต่ส่งยิ้มบางให้กัน

“ครับท่านผู้ชม เป็นปลากัดก็ท้องไปสองโหลแล้ววว”

อย่าให้รู้นะว่าใครเป็นคนพูดประโยคนี้ กิวจะเข้าไปตบรางวัลงามๆ ที่ทำให้น้องหน้าแดงกลางฝูงชนแบบนี้

“พี่ชนะแล้วนะ”

 “อื้อ... ยินดีด้วยนะครับ”

เห็นใจคนตัวเล็กที่ยื่นหน้าแดงไปถึงหูเพราะคำแซวของเพื่อนกิวเลยเลือกเป็นคนเอ่ยปากก่อน และไม่ผิดกับที่คาด ในที่สุดพายก็เอ่ยปากได้สักที มือหนายีหัวกลมๆ แบบที่ทำเป็นประจำพอได้รับสัมผัสที่คุ้นเคยคนอายุน้อยกว่าก็เผยยิ้มกว้างจนตาหยี

“แล้วมึงเป็นไง เมื่อกี้โดนหรือเปล่า?”

เมื่อเล็งเห็นว่าถึงเวลาพักจึงเอ่ยแทรกบรรยากาศละมุนๆ ไม่เข้ากับสถานที่ของทั้งคู่ ดูท่าพัฟคงจะเห็นจังหวะโค้งสุดท้ายที่เขาเกือบจะโดนสอยลงข้างทาง แต่เพราะแข่งกับดอมมาหลายต่อหลายนัดจึงได้รู้และเห็นมาบ้างว่าอีกคนชอบเล่นไม้ไหนจึงใช้วิธีเอาตัวรอดได้ไม่ยาก

“เกือบแต่ไม่โดน ไม่คิดว่าครั้งนี้จะกล้าเล่นขนาดนี้”

“มันคงโมโหที่เล่นมึงไม่ได้แถมโดนต่อยด้วย” พัฟยกมือเสยผมแบบที่ชอบทำจนติดนิสัย “ถามจริง มึงไปทำอะไรให้มันเกลียดหน้าขนาดนั้น?”

กิวส่ายหน้า คำถามนี้กิวก็อยากจะรู้เหมือนกัน ตั้งแต่ขึ้นเรียนชั้นมัธยมปลายเขาก็รู้เพียงว่าดอมเป็นลูกชายของเจ้าของบริษัทใหญ่ที่ทำธุรกิจคล้ายๆ กับผู้เป็นพ่อของตน แต่ไม่เคยคุย ไม่เคยเข้าไปสุงสิงหรือคิดจะทำความรู้จัก ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อไหร่ที่เขาโดนอีกฝ่ายตั้งตนเป็นศัตรูด้วย แต่มารู้อีกทีก็โดนพูดจาหาเรื่องและท้าตีท้าต่อยกันไปเสียแล้ว

“กูว่าครั้งนี้มันเล่นแรงไป ไม่โดนก็ไม่อะไร แต่ถ้ามึงโดนขึ้นมาเมื่อกี้ต้องเจ็บหนักแน่ๆ มึงควรจะใช้อำนาจหัวหน้าคนใหม่จัดการมันสักทีนะ”

เพราะการแข่งครั้งนี้มีกติกาว่าผู้ชนะจะได้ขึ้นเป็นคนคุมถิ่นแถบนี้ทั้งหมด หรือก็คือเห็นหัวหน้าแก๊งค์นั่นเอง และการเป็นหัวหน้าก็หมายถึงการกุมอำนาจเหนือแก๊งค์ทั้งหมดจนกว่าการแข่งใหญ่รอบหน้าจะมีคนมาโค่นตำแหน่งตัวเองได้ หากครั้งหน้าชนะอีกก็ขึ้นเป็นหัวหน้าต่อไป วนไปเช่นนี้ตามกฏของการแข่งรถริมถนน

พูดคุยสัพเพเหระไปได้ครู่นึงโฆษกก็ประกาศชื่อให้เขาไปรับและแจ้งทุกกลุ่มที่มาเข้าร่วมการแข่งว่าจะต้องขึ้นตรงต่อเขาเท่านั้น ซึ่งทั้งหมดก็เกือบจะผ่านพ้นไปด้วยดีถ้าไม่ใช่เพราะคนที่เพิ่งแข่งกันมาเมื่อครู่เกิดโวยวายขึ้นมาว่าไม่ยอมรับผลการแข่งขัน

“ทำไมกูต้องยอมรับว่ามันเป็นหัวหน้า! แค่แข่งชนะนิดหน่อยอย่ามาทำเป็นได้ใจนะเว้ย!”

“อ้าวๆ แพ้แล้วพาลเหรอวะไอ้ดอม ไหนตอนแรกบอกไอ้กิวกลัวจะแพ้ ตอนนี้เป็นมึงดิ้นเองเนี่ยนะ? ตลกฉิบหาย”

“ไม่เกี่ยวกับมึงไอ้รูท เก็บปากไว้เลียตีนเจ้านายมึงเหอะ”

“ก็ดีกว่าปากเบี้ยวเพราะโดนอัดหน้าแบบมึงแล้วกัน”

คนโดนหยามถลาตัวเขามาคว้าคอเสื้อรูท แต่อีกฝ่ายก็หาได้กลัวเกรง หนุ่มตี๋ประจำกลุ่มยังมีอารมณ์ยักคิ้วหลิ่วตากวนส้นตีนอีกฝ่ายต่อ เห็นแบบนั้นคนอารมณ์ร้อนก็ถึงจุดเดือด หมัดหลุนๆ ถูกซัดออกมาเต็มแรง แต่มันก็ไม่ถึงจุดหมายเมื่อมีฝ่ามือใหญ่ออกมารับแรงชกนั้นเสียก่อน

“.....ช้าว่ะ เกือบถึงหน้ากูแล้วนะพัฟ”

“แต่มึงก็ไม่โดนไง”

ยังจะมีเวลาคุยกันโดยไม่สนคนที่โกรธจัด ดอมเหมือนโดนเหยียบหน้า โกรธจนสติแทบจะแตกอยู่แล้ว พลันสายตาคมที่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดก็เหลือบไปเห็นคนตัวเล็กที่ยื่นอยู่ข้างๆ พี่ชายตัวเอง ในเมื่อลงที่มันไม่ได้ ลงที่คนรักมันก็คงไม่ผิด เพราะคิดตื้นๆ เช่นนั้น ร่างสมส่วนจึงปรี่เข้าไปใกล้พายหมายจะชำระแค้นให้สาสม แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไรร่างของตนก็ถูกกระชา ลอยหวือไปกระแทกกับพื้นด้วยฝีมือของคนที่ตนเพิ่งเอ่ยปากว่าไม่ยอมรับไปเมื่อครู่นี้

“ไปเอารถมันมา”

พายยืนนิ่ง ยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อครู่เขาจำได้ว่าผู้ชายที่ชื่อดอมพุ่งตรงมาทางเขาแต่พี่กิวมาจากไหนไม่รู้คว้าคอเสื้อผู้ชายคนนั้นแล้วผลักเสียจนก้นจ้ำเบ้าแล้วเอาตัวมาบังเขาไว้ แผ่นหลังแกร่งใต้เสื้อยืดนั้นเกรงเขม็งและปล่อยออร่าไม่น่าเข้าใกล้ออกมาอย่างชัดเจน เพราะอยู่ด้านหลังเขาจึงมองไม่เห็นสีหน้าพี่กิว แต่เขาคิดว่าจะต้องน่ากลัวมากแน่ๆ เพราะผู้ที่ทรุดลงไปกองกับพื้นถึงได้หน้าซีดเผือดขนาดนั้น

ไม่นานนักรถคันใหญ่ของอีกฝ่ายก็ถูกพี่นันเข็นมาด้วยสีหน้าอาลัยอาวรณ์อย่างบอกไม่ถูก แม้ตอนแรกจะไม่รู้ว่าทำไมพี่ที่มักจะซื้อขนมให้เขาบ่อยๆ ถึงทำสีหน้าเช่นนั้น แต่พอเห็นตอนที่ฝ่าเท้าเน้นๆ ถีบอัดเข้าตัวรถจนหงายโครมลงกับพื้นพายก็รู้แน่แล้วว่าพี่กิวจะทำอะไร แม้จะมีเสียงโวยวายจากคนที่โดนรั้งแขนให้นั่งอยู่กับพื้นมองดูรถคันโปรดถูกกิวกระทืบซะตัวถังบุบ แฮนด์ที่ขูดกับพื้นบิดเป็นรอยถลอก พายเคยถามพี่พัฟอยู่เหมือนกันว่าราคารถแบบที่พวกพี่กิวขี่อยู่ที่ประมาณเท่าไหร่ซึ่งราคาของมันก็มากพอจะทำให้ขนหน้าแข้งพายร่วงจนโล้น

“ไอ้กิวทำเหี้ยอะไรของมึง! นั่นรถกูนะเว้ย มึงไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้!”

“ต่อไปนี้กูมีสิทธิ์ทุกอย่าง”

ร่างสูงหยุดการกระทำของตนขณะมองสีหน้าเจ็บแค้นของผู้ที่นั่งมองเขาเหยียบอัดรถของตัวเอง Ducati Monster S2R สีขาวแดงตอนนี้เป็นรอยขูดขีด กระจกรถก็บิดเพราะแรงกระแทก แน่นอนว่าค่าซ่อมชิ้นส่วนแต่ละอย่างรวมแล้วไม่น้อยไปกว่าราคาตัวรถเลย

“คนเป็นหัวหน้ามีสิทธิ์ทุกอย่างมึงจำไว้”

“มึงจะตั้งกฎขึ้นมาเองแบบนี้ไม่ได้!”

“กูไม่ได้ตั้งกฎแต่กูคือกฎ”

“..........”

“และกฎข้อเดียวของกูคือ ทุกคนที่หาเรื่องพายเท่ากับหาเรื่องกูด้วย จำเอาไว้ ไม่งั้นมึงได้เป็นเหมือนรถมึงแน่”

ว่าแล้วกิวก็กระทืบเท้าลงบนรถคันสวยที่ยามนี้เต็มไปด้วยรอยขูดขีดและบุบเป็นช่วงๆ อย่างเต็มแรงอีกครั้ง ตาคมมองสบเจ้าของรถอีกครั้งก่อนจะเรียกให้รูทเอาสิ่งของที่จัดเตรียมเอาไว้มาให้ ซองสีน้ำตาลถูกส่งให้ ชายหนุ่มเปิดดูของข้างไหนแล้วยกยิ้มก่อนจะจะโยนลงไปตรงหน้าให้อีกฝ่ายได้เปิดดู และปฏิกิริยาก็ไม่ต่างจากที่กิวคาดไว้เท่าใดนัก สีหน้าของคนปากเก่งจนถึงเมื่อครู่ซีดเผือดเป็นไก่ต้ม

“ถ้าหน้าไม่เละกูกะจะจับมึงมาทำแบบในรูป อ่อ... รูปและข้อมูลทั้งหมดนี่จะส่งถึงมือพ่อมึงแน่ถ้ายังมายุ่งกับคนของกูอีก”

ดอมหน้าแดงสลับเขียว ไม่คิดว่าจะมีคนล่วงรู้ถึงงานอดิเรกและสืบค้นข้อมูลมาได้ถึงขนาดนี้ รูปตัวเขาในชุดแฟนซีหลากหลายและชุดคอสเพลที่ตนจำได้ว่าไม่มีทางหลุดไปไหนได้ และไม่น่ามีใครรู้เพราะตนได้โพสในเฟสลับกลับถูกล้างอัดออกมา ย้ำแน่ชัดแล้วว่าความลับของตนถูกอีกฝ่ายกุมเอาไว้

“หรือถ้าอยากได้ลูกค้า คนของกูก็พร้อมจะต่อคิว”

“ไอ้เหี้ยกิว!”

หึ... กิวพ่นลมหายใจขณะหยักยิ้ม เคลียร์เรื่องตรงหน้าเสร็จเขาจึงปรับอารมณ์ให้คงที่ก่อนจะหันไปหาคนที่ยื่นอยู่ด้านหลัง ใบหน้าหวานดูงุนงงกับสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้าแต่ก็ไม่ถามอะไร เพียงแค่ยืนมองเขานิ่งๆ

คงทำให้กลัวเสียแล้ว ความจริงกิวก็อยากจะมาจัดการด้วยตัวเองโดยที่น้องไม่ต้องรับรู้ แต่คิดว่าหากปิดไว้อนาคตก็คงต้องบอกอยู่ดี และแม้จะยังไม่ได้พูดคุยกันอย่างจริงจัง แต่เขาก็อยากจะให้พายได้เตรียมใจว่าการที่จะมาอยู่เคียงข้างผู้ชายอย่างเขามันต้องมีเรื่องสกปรกประเภทนี้มาให้เห็นเรื่อยๆ ถึงจะบอกว่าอยากล้างมือ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น กิวสบตาน้องแล้วเสหลบ เป็นครั้งแรกที่ไม่อาจสบตา ไม่อยากเห็นแววความผิดหวังในดวงตาของพาย

“พี่กิว.....”




ต่อข้างล่างนะคะ >>>
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-03-2015 20:04:26 โดย ennewiis »

ออฟไลน์ ennewiis

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 47
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0
เขาเงียบ เสมองใบหน้าน้องแล้วเขาก็เงียบ กลับเป็นพายที่ส่งยิ้มมาให้

“.....กลับบ้านกันเถอะ วันนี้พี่กิวต้องไปส่งพายก่อนแม่กลับบ้านนะ ลืมแล้วเหรอ?”

“..........”

“ถ้าพี่กิวไม่ไปส่งพายก็ต้องกลับเองอ่ะดิ พี่พัฟจะไปส่งพี่รูทใช่มั้ยล่ะ?”

ศอกเล็กแทงเข้าไปที่เอวของผู้เป็นพี่เบาๆ พัฟจึงรีบเออออ พยักหน้าให้เพื่อน โดยมีรูทที่โดนพวงไปด้วยพยักหน้าหงึกหงักไปตามน้ำโดยที่ไม่ทันคิด

“หือ? อ๋อ... เออ กูต้องไปส่งรูทว่ะ อาจจะค้างด้วย”

“เออๆ วันนี้พวกกูจะเล่นเกมกันโต้รุ่ง มึงไปส่งน้องเลย”

“เห็นมั้ย น่ะ อย่าทำหน้าเหมือนบับเบิ้ลบีสิครับ แค่ให้กลับบ้านเอง”

มือนิ่มหยิกแก้มเขาเบาๆ แล้วหัวเราะ จนกิวต้องยอมแพ้แล้วยิ้มตาม เขาหันไปบอกลาสมาชิกที่มารวมกลุ่มกันในวันนี้ ปล่อยให้พายได้คุยนัดแนะกับพี่ชายตัวเองสักพักก็พากันแยกตัวจากกลุ่มเพื่อนเพื่อพาคนตัวเล็กไปส่งบ้านอย่างที่ตั้งใจไว้แต่แรก

สายลมช่วงค่ำคืนกระทบผิวกายยามขับฝ่า ตอนนี้ท้องถนนว่างโล่งแล้วจึงไม่จำเป็นต้องใช้ความเร็วเพื่อแข่งขันกับเวลามากนัก แต่จะให้มาตากน้ำค้างตอนกลางคืนก็กลัวคนที่นั่งซ้อนท้ายจะจับไข้เอา ความเร็วคงที่ ถนนรถโล่ง ใช้เวลาไม่นานนักบ้านหลังใหญ่ย่านใจกลางเมืองก็อยู่ตรงหน้า

ไฟในตัวบ้านยังไม่เปิดแสดงว่าผู้เป็นแม่ของสองพี่น้องยังไม่กลับมา หมวกกันน็อคใบใหญ่ที่ให้น้องใส่ถูกเก็บลงใต้เบาะนั่ง ส่วนคนตัวสูงก็ยืนพิงรถรอให้น้องเดินเข้าบ้านเหมือนปกติแต่ท่าทางลุกรี้ลุกลนของพายทำให้กิวต้องเลิกคิ้วมองอย่างแปลกใจ

“.....วันนี้พี่กิวเท่มากเลยรู้เปล่า ตอนแข่งรถอยู่น่ะ ถ้าเป็นพายคงทำไม่ได้หรอก”

“พี่รู้ แค่ประคองรถก็คงไม่ไหวแล้ว”

“น่ะ ก็แบบนี้ตลอด คนที่ยืนทำหน้าบับเบิ้ลบีเมื่อกี้นี้ไปไหนแล้วนะ?”

เมื่อโดนพูดถึงท่าทางของตนเองตอนที่ยังอยู่ที่สนามแข่งกิวก็นึกขึ้นมาได้ คนตัวโตกวักมือหมายให้พายเดินเข้ามาใกล้ๆ ซึ่งน้องก็ทำตาม กิวคว้ามือเล็กมาจับไว้ บีบและลูบไล้เบาๆ อย่างทะนุถนอม เจ้าของมือนี้เรียกความเป็นตัวตนของเขากลับคืนมาได้หลายรอบแล้ว และเขาก็ดีใจที่อีกฝ่ายหยิบยื่นโอกาสนี้มาให้

“พี่มีบางอย่างอยากจะบอกพาย แต่พี่ยังบอกตอนนี้ไม่ได้”

“อื้อ... พายรู้”

ใช่ พายรู้ว่าสิ่งที่คนตรงหน้าอยากจะบอกคืออะไร ตัวเขาเองก็อยากจะบอกเช่นกัน แต่เพราะต่างฝ่ายต่างก็รู้ว่ามันยังไม่ถึงเวลา พายได้ฟังมาจากพี่ชายเหมือนกันพวกเรื่องครอบครัวของพี่กิว สิ่งที่พี่กิวกำลังจะทำ และสิ่งที่พี่กิวต้องทำหากการเดิมพันครั้งนี้ไม่สำเร็จ คนตัวเล็กบีบมือใหญ่ที่ยังคงความร้อนจากการออกแรงบิดแฮนด์รถคันใหญ่คล้ายจะให้กำลังใจ

“พี่กิวไม่ต้องกังวลหรอก ถึงเวลาพี่ค่อยบอกพายก็ได้ เพราะพายก็จะบอกพี่เหมือนกัน”

“..... แล้วถ้าวันนั้นมาไม่ถึงทำไง?”

“พูดเหมือนพี่กิวแน่ใจว่ามันจะมาไม่ถึง”

กิวยอมรับว่าตนก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่ตอนนี้จะสำเร็จหรือไม่ ถึงจะปากดี มีความตั้งใจ แต่ใครจะไปรู้ว่าอนาคตจะเป็นเช่นไรและความไม่มั่นใจคงปรากฏบนใบหน้าของเขาอยู่แน่ๆ พายถึงได้ละมือข้างนึงของตนจิ้มเข้าที่กลางหว่างคิ้วเขา

“หน้าแก่อยู่แล้วขมวดคิ้วแบบนี้ยิ่งแก่นะ”

พูดเองก็หัวเราะเองจนคนที่นั่งทำหน้าเครียดต้องหัวเราะตาม

“.....พายให้กำลังใจพี่อยู่นะ พวกพี่ๆ คนอื่นก็เหมือนกัน รู้เปล่าว่าพี่พัฟมันมาสอนการบ้านพายบ่อยกว่าแต่ก่อนอีกนะ แล้วก็มาบ่นว่าพายเข้าใจยาก ทีพี่กิวยังเข้าใจที่มันพูดเลย ก็ทำไงได้พายไม่เก่งนี่หว่า”

“พี่เชื่อว่าถ้าพายพยายามพายก็ทำได้”

“พายก็เชื่อแบบนั้นเหมือนกัน”

“..........”

“ถ้าพี่กิวพยายามพี่กิวก็ทำได้ ถึงแม้จะได้ไม่ดีแต่ก็ถือว่าพี่ทำได้ เพราะงั้นพี่กิวอย่ากดดันตัวเองมากไปนะ”

“ครับ เข้าใจแล้ว”

มือของทั้งคู่ประสานเข้าหากันอีกครั้ง พายออกแรงน้อยๆ เพื่อแกว่งมือของทั้งคู่ให้เหมือนเวลาเล่นโล้ชิงช้า ความเงียบที่ไม่ทำให้อึกอัดโอบล้อมกายของทั้งสอง เสียงหมาเห่าจากที่ไกลๆ พาลให้คิดไปถึงเจ้าลูกสุนัขที่ถูกทิ้งอยู่ที่บ้าน ป่านนี้คงชะเง้อหน้าคอจนเบื่อ หรือไม่ก็หลับไปแล้วกระมัง

“หลังจากนี้พี่อาจจะไม่พาไปเที่ยวเหมือนแต่ก่อน ไม่เป็นไรเนอะ?”

“อื้อ ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวพายไปให้กำลังใจถ้าว่าง”

ใช่ๆ ทำขนมไปให้กินด้วยก็น่าจะดี เขาบอกว่าคนที่ใช้สมองต้องการของหวาน พายคิดแล้วยกยิ้ม

“อาจจะไม่ไปรับตอนเลิกเรียนด้วย”

“แต่ก่อนพายก็กลับเองนะ ลืมไปหรือเปล่า?”

เห็นเขาเป็นเด็กหรือไงถึงต้องไปรับไปส่งทุกเช้าเย็น กิวเห็นน้องทำหน้ายู่ก็เป็นฝ่ายยิ้มแทน ลืมไปซะได้ว่าก่อนหน้านี้น้องก็เคยทำอะไรด้วยตัวเอง คงเพราะเคยชินไปเสียแล้ว

“อาจจะคุยกันน้อยลงด้วย”

“คุยกันน้อยลงไม่ได้หมายความว่าไม่ได้คุยนี่ครับ ไลน์ก็มี เวลาว่างก็มาเปิดอ่านแล้วตอบกลับก็ได้ ทำอย่างกับหูติดโทรศัพท์ตลอดอย่างนั้นแหละ”

กิวหัวเราะในลำคอ ไม่รู้ตอนเด็กๆ พัฟมันเลี้ยงน้องด้วยอะไร ถึงได้เข้าใจอะไรง่าย ยอมรับอะไรง่ายๆ เสียเหลือเกิน

“อืม... แล้วถ้าที่อุตส่าห์ทำมาทั้งหมดมันได้ผลตอบกลับไม่ดีล่ะ?”

แล้วก็วนกลับมาที่เรื่องเดิม พายนิ่งคิดแต่ก็ไม่หยุดแกว่งมือที่ยังกุมกระชับกันอยู่ เหมือนว่าเจ้าตัวเพลินกับการกระทำของตัวเองไปแล้ว แต่กิวเองก็รู้สึกสนุกตามไปด้วยเหมือนกัน ตาคมมองใบหน้าของคนที่กำลังครุ่นคิดไปเรื่อยๆ พายติดอาการกัดปากเวลากำลังใช้ความคิด ถึงเขาจะเตือนกี่ทีน้องก็เลิกทำไม่ได้สักทีหลังๆ เขาเลยเลิกพูดไปแต่จะมาล้อแทนเวลาเจ้าตัวบ่นว่าเจ็บปาก และขณะที่ยังสำรวจดวงหน้าหวานอยู่นั้นพายก็เอ่ยคำตอบกับเขา เป็นคำตอบที่คาดไม่ถึงจนกิวต้องหัวเราะเสียงดังอย่างที่ไม่ค่อยได้ทำแล้วคว้าร่างเล็กๆ ของน้องมากอดเสียแน่น




“ถ้าพี่กิวแพ้พนันกับคุณพ่อ เดี๋ยวพายจะไปฉุดพี่กิวให้หนีตามพายเอง!”



To be continue


-------------------------------------------------------------------


Talk : สวัสดีค่ะมิตรรักแฟนเพลง(?)

ตอนนี้มาซะยาวเลย ตกใจเหมือนกันเพราะนานๆ จะยาวได้ขนาดนี้ คาดว่าตอนหน้าก็จะยาวเหมือนแบบนี้อีกค่ะ เพราะตอนหน้าจะเป็นตอนสุดท้ายของคู่พี่กิวน้องพายแล้ววว แล้วเดี๋ยวจะมีตอนพิเศษของทั้งคู่ ตอนพิเศษของคู่ที่ทุกคนอาจจะงงว่า เฮ้ย! มาได้ไง ตามด้วยคู่ของพี่พัฟกับพี่รูทซึ่งจะไปคาบเกี่ยวกับภาคมหาวิทยาลัยของน้องค่ะ (บอกก่อนเลยว่าไม่ยาวเท่าไหร่ค่ะ) แล้วก็อาจจะมีแบบตอนจบเหมือนที่แต่งมาก่อนหน้า เพราะรู้สึกว่าอยากเขียนคู่พี่กิวน้องพายอีกจัง :hao7:

หวังว่าทุกคนจะรอติดตามเหมือนที่เป็นมานะคะ ขอบคุณสำหรับคอมเม้นและกำลังใจทั้งในบอร์ดและในเพจค่ะ
แล้วเจอกันตอนหน้าน้าาา :L2:

ออฟไลน์ chisarachi

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1019
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +49/-1
แก้คำผิดค่ะ
กูรูทว่ามึงห่วงน้องนะพัฟ >>> กูรู้ว่ามึงห่วงน้องนะพัฟ

กรี๊ดดดดมาแล้วเอาจริงนี่ไม่อยากให้จบนะ อยากให้ต่อไปเรื่อยๆแบบบางรักซอยเก้าเลย
อ่านเรืองนี้แล้วอารมณ์ดี
ชอบพี่กิวกับน้องพายมากกกกกก

ออฟไลน์ nunnuns

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1972
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-3
แงงงงงงงง อยากอ่านน้องพายอีกจังเลยยย ไม่อยากให้จบคุ่นี้เลยจ้า ยังไม่ได้อ่านตอนพ่อแม่กิวเลยว่าจะหลงสะใภ้ขนาดไหน55555 จะเท่ากับที่คนอ่านรักไหมน้าาาา เป็นกำลังใจให้ค่ะนักเขียน สู้ๆ

ออฟไลน์ ennewiis

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 47
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0
หัวหน้าแก๊งค์ (ภาคหลัก)
ตอน สุดปลายความฝัน





ปลายทางความฝันของแต่ละคนสิ้นสุดไม่เท่ากัน


ปลายทางความฝันของบางคนอาจจะใกล้ ปลายทางความฝันของ บางคนอาจจะไกล แต่ไม่มีใครรู้ขีดจำกัดความฝันของเราได้มากเท่ากับตัวเราเอง และไม่มีใครจะสามารถทำให้เราเดินตามความฝันได้นอกจากตัวเราเองเช่นกัน






ศาลาเล็กริมน้ำช่วงพักกลางวันมักมีคนมาจับจองพื้นที่เพื่อรวมกลุ่มกันกินข้าวและพูดคุยเรื่องสัพเพเหระกันเป็นปกติ บทสนทนาและเสียงหัวเราะล้อมรอบกายชนิดที่หากมีใครตั้งคำถามประเภท โรงเรียนชายล้วนมีตั้งวงเม้าท์กันบ้างไหมคะ?” หรือ “ผู้ชายก็ขี้เม้าท์เหมือนกันใช่ไหมคะ?” ในเว็บไซต์ชื่อดังตอนนี้พายจะรีบเข้าไปตอบว่าใช่ทันทีแบบต้องไม่คิดอะไรทั้งนั้น เพราะบรรยากาศรอบตัวเขามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ

คางเล็กเกยลงบนโต๊ะไม้แล้วค่อยๆ ไถลหน้าไปแนบอย่างไม่กลัวเปื้อน นี่ก็ผ่านเหตุการณ์กระทืบรถระทึกขวัญของพี่กิวมาได้สักพักใหญ่ ข่าวลือของตัวเขาเองค่อยๆ เลื่อนหายไปทีละนิดจนไม่มีใครเอาไปพูดกันแล้ว เพื่อนๆ ก็พูดคุยกับเขาเช่นปกติไม่มีสายตาเคลือบแคลงสงสัยอะไรอีก คาดว่าเป็นเพราะได้ธีร์กับวินช่วยพูดให้นั่นแหละ แต่เอาเข้าจริงหากยังมีเข้ามาถามเขาก็จะตอบไปตามความจริงเหมือนกัน สำหรับเด็กหนุ่มแล้ว ตนยึดหลัก “ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย ถ้าคนไม่รู้ความจริงแล้วเอาไปพูดก็ช่างหัวมัน มาตลอด

“เออ อาทิตย์หน้าก็สอบกลางภาคแล้ว พวกมึงอ่านอะไรกันยัง?”

ใครสักคนในกลุ่มพูดขึ้นแล้วก็ตามด้วยเสียงบ่นโอดโอยของคนอื่นๆ นั่นสินะ อาทิตย์หน้าก็สอบกลางภาคแล้ว เขาเองก็ยังไม่ได้อ่านอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยเหมือนกัน

จะว่าไปแล้ว ช่วงนี้เขาก็เห็นพี่ชายนัดติวกับเพื่อนในกลุ่มอยู่บ่อยๆ เพราะกำลังเข้าสู่ช่วงสอบตรงของมหาวิทยาลัยต่างๆ แล้ว สำหรับรุ่นพี่ที่กำลังจะจบชั้นม.6 ถือเป็นเรื่องสำคัญไม่ใช่น้อย ถึงได้ต้องติวกันเอาเป็นเอาตายขนาดนั้น ยิ่งเป็นคนที่ไม่ค่อยจับหนังสือ หากจะแข่งกับนักเรียนโรงเรียนอื่นให้ได้ก็คงต้องพยายามมากขึ้นเป็นสองเท่า เหมือนที่พี่กิวกำลังทำอยู่...

“เฮ้อ...”

พายก็ถอนหายใจหนักเสียจนวินที่นั่งอยู่ด้านข้างต้องหันมามองด้วยความสงสัย

“นานๆ จะเห็นพายถอนหายใจสักที มีอะไรหรือเปล่า? เล่าให้เราฟังได้นะ”

“เปล่าๆ” พายยิ้มให้เพื่อนทั้งที่สีหน้ายังคงความเบื่อหน่าย “เราแค่คิดอะไรนิดหน่อยน่ะเลยเผลอถอนหายใจ ขอบใจนะวิน”

ขอบคุณเพื่อนแล้วก็ถอนหายใจอีกรอบโดยไม่รู้ตัว วินกับธีร์หันมองหน้ากันงงๆ ปกติพายเป็นคนร่าเริงมาก ไม่ค่อยมีช่วงเวลาที่ทำสีหน้าเหนื่อยอ่อนแถมถอนหายใจเช่นนี้สักเท่าไหร่หรอก ธีร์ยื่นมือข้ามโต๊ะอีกฝั่งมาสะกิดขวันบนหัวเพื่อนเบาๆ ปกติแล้วเขาจะต้องโดนด่าเพราะอีกฝ่ายไม่ชอบให้เล่นขวัญตามความเชื่อของเพื่อน แต่ครั้งนี้พายเพียงแค่เหลือบตามอง มุ่ยหน้าใส่เขาแต่ไม่ยักกะมีท่าทีอะไร

“เฮ้ย มึงเป็นอะไรวะพาย ปกติมึงไม่ใช่แบบนี้นี่ ด่ากูสิด่ากู”

“คนปกติที่ไหนเขาจะชอบโดนด่าวะ บ้าแล้วธีร์”

การตอบสนองของเพื่อนยิ่งทำให้ธีร์กับวินงงหนักกว่าเดิม

“ทำหน้าหงอยเหมือนโดนแฟนทิ้งไปได้ ทำไมวะ? เฮียกิวเขาหนีไปมีชู้หรือไง?

“ปากหมา แล้วกูกับพี่กิวก็ไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย...”

“โอ้ยยยย ยังจะกล้าพูดว่าไม่ได้เป็นอะไรกัน เทียวรับเทียวส่งทุกเช้าเย็น กลางวันก็โทรคุยกัน วันหยุดยังไปเที่ยวกันสองต่อสอง เชื่อก็กลายเป็นแมวแล้ว! เดี๋ยวเจอโบกด้วยหลังมือ”

ฟังคำเพื่อนแล้วก็ได้แต่มุ่ยหน้า ก็ตอนนี้ไม่ได้เป็นอะไรกันจริงๆ นี่หว่า

“จะว่าไปช่วงนี้พี่เขาก็ไม่ได้มารับพายเลยนี่ ทะเลาะอะไรกันหรือเปล่า?”

“เปล่าหรอก พี่เขามีติวน่ะวิน ช่วงนี้ก็ใกล้จะสอบตรงคณะที่พี่เขาอยากเข้าแล้ว...”

พายเริ่มเล่ารายละเอียดที่ตนรู้มาให้เพื่อนๆ ฟัง ทั้งเรื่องที่โดนพักการเรียนเพราะมีเรื่อง และเรื่องที่กิวเดิมพันไว้กับบุพการีของตน พอฟังแล้วเพื่อนทั้งสองก็นิ่งไปก่อนที่วินจะพยักหน้าอย่างเข้าใจ

“พี่เขาเลยต้องพยายามมากขึ้นเป็นเท่าตัวสินะ” เพื่อนคนนี้ของเขาเข้าใจอะไรง่ายเสมอ “พายก็เลยเหงาที่ไม่ค่อยได้เจอพี่กิว... เราเข้าใจ เวลาต้องห่างจากคนที่ชอบเราก็เป็นเหมือนกัน”

พายพยักหน้ารับ ที่จริงตอนแรกพายก็ไม่รู้สึกอะไรหรอก ถึงจะอายุน้อยความแต่พายก็รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่กิวควรจะทำมากที่สุดในตอนนี้ แต่ผ่านไปสักพักมันก็อดเหงาไม่ได้ก็อยู่ดีๆ ต้องห่างจากคนซึ่งเขากำลังรู้สึกดีๆ ด้วย คนที่มารับมาส่งและพาเที่ยวอยู่บ่อยๆ แม้จะได้พูดคุยกันผ่านโทรศัพท์บ้าง โปรแกรมแชทบ้าง แต่มันก็ไม่เหมือนกับเวลาเจอหน้ากันตรงๆ เสียหน่อย

“เดี๋ยว! แล้วทำไมวินไปเข้าใจมันอ่ะ แล้ววินชอบใครอยู่ เฮ้ยยยย ไม่เอาดิ บอกเรามาเดี๋ยวนี้นะ!”

“ก็... ไม่รู้สินะ”

พายรู้สึกสบายใจมากขึ้นที่ได้เล่าเรื่องพวกนี้ให้เพื่อนๆ ได้รับรู้ และรู้สึกดีที่มีคนเข้าใจ และเสียงโวยวายของธีร์ที่กำลังเขย่าตัววินซึ่งเอาแต่นั่งอมยิ้มก็ทำให้เขาต้องเปล่งเสียงหัวเราะออกมาจนได้

 “แล้วพาย... คิดยังไงกับพี่เขาล่ะ?”

วินเลิกให้ความสนใจกับความงอแงของธีร์แล้วหันมาถาม

ไม่ต้องคิดนานพายก็รู้ว่าตัวเองชอบกิว ความจริงมันมากกว่าชอบมาได้สักพักแล้วและเขาก็รู้ว่าอีกคนรู้สึกไม่ต่างอะไรกับเขา คนตัวโตหน้าดุที่ตอนแรกเห็นแล้วก็ขยาดแต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรจึงได้ยื่นมือเข้าไปช่วย หลังจากนั้นเขาก็โดนตามตื้อตลอด ตื้อทุกวันจนใจอ่อนยอมที่จะออกไปไหนมาไหนด้วย ไม่น่าเชื่อว่าหลังจากนั้นเขาจะสามารถสนิทกับผู้ชายแบบพี่กิวได้ และก็ไม่น่าเชื่อว่าผู้ชายปกติ เคยคบเพื่อนผู้หญิงในห้องสมัยเรียนม.ต้นอย่างพายจะรู้สึกดีกับผู้ชายด้วยกันได้มากขนาดนี้

พายคิดว่ามันอาจเป็นเพราะสายตาที่แสดงถึงความจริงจังทุกครั้งยามที่มองเขา หรือไม่ก็คำพูดจาหวานหูที่ไม่น่าเชื่อว่าคนปากหนักอย่างพี่กิวจะพูดได้ ซึ่งมันทำให้อัตราการเต้นของหัวใจผิดปกติ คิดอีกทีคงเป็นมือใหญ่ที่มักจะแสดงความเอ็นดูด้วยการยีหัวเขาจนยุ่ง ไหนรอยยิ้มละมุนที่ใครต่อใครบอกว่าหาได้ยากยิ่งจากคนหน้าดุ แต่เขากลับได้เห็นแทบทุกครั้งเวลาที่พบหน้ากัน นิสัยช่างอ้อนที่เจ้าตัวคงไม่รู้ตัวแต่มันโดนเอามาใช้กับเขาบ่อยๆ ในรูปแบบกึ่งคำสั่งนั่นอีก แต่พายคิดว่าสิ่งที่ตนชอบมากที่สุดคงเป็นอ้อมกอดแข็งแรงหากเต็มไปด้วยความอบอุ่นซึ่งทำให้เขารู้สึกปลอดภัยทุกครั้ง... คิดแล้วก็เขินจนหน้าร้อนไปหมด

“แดงเป็นกุ้งขนาดนี้ก็ไม่ต้องเดาแล้วมั้ง หมั่นไส้จริงๆ คนมีความรัก!”

แซวแล้วก็ทำหน้าบูดเบี้ยวก่อนจัดการบิดแก้มแดงของเพื่อนเสียแรงจนได้เสียงร้องโอดโอ้ย บังอาจมาทำให้อิจฉาก็ต้องโดนแบบนี้สักทีนั่นแหละถึงจะสาแก่ใจผู้ชายชื่อธีร์

นั่งเล่นกันไปได้สักพักออดเข้าเรียนก็ดังขึ้น ดีที่คาบบ่ายพวกเขาไม่ต้องเรียนวิชาที่หนักมากเท่าไหร่ หลังจากหมดคาบเรียนสุดท้ายแต่ละคนจึงยังอยู่ในสภาพเต็มร้อยพร้อมจะออกไปเดินแกร่วที่ห้างสรรพสินค้าก่อน แต่เนื่องจากวันนี้พายต้องกลับบ้านเองจึงได้แยกกับเพื่อนตั้งแต่ป้ายรถโดยสาร

แม้จะยังเหนื่อยกับการฝ่ามรสุมคนบนรถแต่พายก็ไม่คิดจะหยุดพัก หรือเถลไถลไปไหนก่อนเข้าบ้าน ขาเรียวก้าวเข้าซอยบ้านอย่างรวดเร็วเพื่อหนีจากสภาพอากาศและแดดยามเย็นที่ยังคงตกกระทบผิวกาย ดีหน่อยที่บ้านของเขาอยู่แค่เกือบกลางซอยจึงใช้เวลาไม่นานนักในการจ้ำ

“หือ?”

พายเปล่งเสียงคล้ายไม่แน่ใจอยู่ในลำคอเมื่อมาถึงหน้าบ้านแล้วพบว่ามีบิ๊กไบค์คันใหญ่แสนคุ้นตาจอดเคียงกับสกู้ปปี้ของพี่ชาย ยิ่งมาเห็นใกล้ๆ ยิ่งแน่ใจว่ามันเป็นรถของพี่กิว ช่วงนี้นักเรียนชั้นม.6 เลิกเรียนเร็วกว่าปกติ เป็นมาตรการที่โรงเรียนหลายๆ โรงเรียนทำเพื่อให้นักเรียนได้ใช้เวลากับการทบทวนบทเรียนให้มากขึ้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่พัฟจะกลับถึงบ้านแล้ว แต่กับคนที่คุยกันเมื่อตอนเลิกเรียนแล้วไม่บอกว่าจะมาบ้านนี่สิเขาถึงได้แปลกใจ

“มาพอดีเลย งั้นกูไปหาอะไรมาให้พวกมึงกินก่อนแล้วกัน”

พอก้าวเท้าเข้าสู่ตัวบ้านพัฟก็คว้ากุญแจรถแล้วเดินสวนออกไป ไม่วายพยักเพยิกไปทางคนที่นั่งอยู่บนโซฟาด้วย

“พี่กิวเป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”

พายถามเมื่อเห็นว่ารอยยิ้มที่อีกฝ่ายส่งมาให้ไม่เหมือนเวลาปกติ อย่างที่รู้กันว่ากิวไม่ใช่คนยิ้มบ่อยนัก และส่วนมากที่ยิ้มก็คือต่อหน้าพาย จึงไม่แปลกเลยที่เขาจะจับความผิดปกตินั้นได้อย่างรวดเร็ว

“คะแนนไม่ถึง”

“คะแนน... ไม่ถึง?”

กิวพยักหน้าแล้วหยิบกระดาษที่เมื่อครู่ยังวางอยู่บนโต๊ะมาส่งให้เมื่อพายเดินมาใกล้โซฟาที่นั่งอยู่ มันเป็นใบคะแนนรวมที่ดูเหมือนว่าคนตัวโตจะไปขอมาจากฝ่ายทะเบียนเพื่อใช้ในการยื่นสอบ และอีกใบเป็นเกณฑ์การยื่นสอบตรงของมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง เมื่อไล่ตามแต่ละบรรทัดจึงสรุปได้ว่าคะแนนของกิวไม่เพียงพอที่จะลองเข้าสอบตรงในคณะวิศวกรรมศาสตร์ของมหาวิทยาลัยได้

“แล้วพวกพี่พัฟล่ะครับ?”

“พวกนั้นคะแนนเกินเกณฑ์อยู่แล้ว จะเข้าคณะไหนก็ได้”

“แต่ก็ยังมียื่นคะแนนนะครับพี่กิว ไว้ลองยื่นคะแนนสอบเอาก็ได้นะ”

รู้ว่าคนเป็นพี่อยากจะเข้าสอบรอบตรงเพื่อจะได้ไม่ต้องมาแข่งขันในรอบใหญ่ แต่เพราะมีช่วงนึงที่เกเรเกินไปจึงทำให้ผลคะแนนเรียนดรอปลง แต่พายคิดว่าในเมื่อยังไม่ถึงรอบสุดท้ายก็ยังมีโอกาสลุ้นอยู่

“พวกพี่ๆ ช่วยติวให้ตั้งเยอะ ต้องได้คะแนนดีอยู่แล้วเนอะ พี่กิวอย่าเพิ่งท้อนะครับ”

“อือ... กอดหน่อย”

สายตาละห้อยเหมือนสุนัขสายพันธุ์ใหญ่กำลังหงอยกับแขนที่อ้ากว้างคล้ายกำลังรอให้เขาเดินเข้าไปในอ้อมกอดเอง แม้จะปรับตามอารมณ์ที่เปลี่ยนไปมาแทบไม่ทัน แต่พายก็ยอมเดินเข้าไปในอ้อมกอดด้วยความเต็มใจ กิวแนบหน้ากับหน้าท้องแบนราบกั้นด้วยเสื้อนักเรียนสีขาว พายไม่ว่าอะไรเพียงลูบมือบนกลุ่มผมที่ถูกตัดเป็นทรงตามแบบที่วัยรุ่นวุยเรียนชอบทำกัน แม้ในสายตาคนนอกอาจจะมองเหมือนเป็นการปีนเกลียว แต่พายกลับรู้สึกว่าวิธีนี้คือวิธีที่ดีที่สุดในการปลอบประโลมผู้ชายคนนี้

“หัวหน้าแก๊งค์เขาขี้อ้อนแบบนี้ทุกคนหรือเปล่าครับ?”

“มีกฎที่ไหนห้ามหัวหน้าแก๊งค์อ้อนแฟน?”

“ไม่มีครับ แต่เราไม่ใช่แฟนกันพี่กิวก็มาอ้อนพายแบบนี้ไม่ได้สิ”

“ไม่อ้อนแฟนอ้อนแม่บับเบิ้ลบีก็ได้วะ” ว่าด้วยน้ำเสียงสบายๆ แล้วจึงเงยหน้ามองพายที่กำลังหัวเราะ “...เท่ากับไม่เป็นแฟนแต่เป็นเมียเลยนะนั่น”

เสียงหัวเราะเงียบลงแทนที่ด้วยอาการหน้าแดงของคนในอ้อมกอด พายบ่นงุบงิบเสียงเบาและส่งสายตาคาดโทษมาให้เขา อารมณ์ที่ขุ่นมัวถูกปัดเป่าออกไปแล้ว รอยยิ้มที่ส่งให้คนตัวเล็กอีกครั้งจึงเป็นรอยยิ้มที่เจือไปด้วยความอบอุ่นเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา แม้จะเขินแต่พายยังยิ้มตอบอยู่ดี

“.....เหนื่อยแน่เลย”

“อื้อ... หลังจากนี้พี่กิวต้องหัวฟูเหมือนอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์บนปกหนังสือแหง”

ล้อเองก็ขำเอง คงจินตนาการเขาในสภาพหัวฟูฟ่องไปแล้วแน่ๆ

“ไม่ถึงสองเดือนก็สอบใหญ่แล้ว พายก็ต้องสอบพรีช่วงนั้นเหมือนกัน มาพยายามด้วยกันนะครับ”

กิวส่งเสียงตอบรับในลำคอ ใช้โอกาสนี้กระชับกอดให้แน่นมากขึ้นอีกราวกับตนจะได้รับพลังใจจากพายด้วยวิธีนี้ จนกระทั่งพัฟที่ไปซื้อข้าวกลับมาถึงบ้านนั่นแหละถึงได้ผละออกจากกัน ซึ่งกิวก็ให้เหตุผลกับตัวเองว่าgเขายอมปล่อยเพราะกลัวน้องจะเมื่อยที่ต้องยื่นนานๆ ไม่ใช่เพราะกลัวน้องจะเขินจนตัวระเบิดจากเสียงกระแอมในลำคออย่างล้อเลียนของเพื่อนแต่อย่างใด



เวลาในแต่ละวันแม้จะดำเนินไปอย่างเชื่องช้าแต่พอมาย้อนดูอีกครั้งกลับรู้สึกว่ามันช่างรวดเร็ว พายผ่านพ้นจากการเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ได้เกือบสองอาทิตย์แล้ว ยอมรับว่าการเรียนในสาขาวิชาที่ตนไม่ถนัดและต้องสอบเพื่อเลื่อนชั้นเรียนเป็นเรื่องที่อยากมาก แต่เพราะได้เพื่อนๆ ในกลุ่มช่วยกันติวในวิชาที่ถนัด ทั้งยังได้รับกำลังใจจากครอบครัวและคนสำคัญจึงทำให้เขาค่อนข้างมั่นใจว่าผลคะแนนจะออกมาไม่น่าเกลียดนัก

ช่วงสองเดือนที่ผ่านมาทั้งพายและกิวต่างต้องวุ่นอยู่กับการเตรียมตัวสอบ ระหว่างนั้นมีข่าวดีคือพี่พลสามารถสอบตรงเข้าคณะครุศาสตร์อย่างที่หวังได้ จึงมีเวลามาช่วยติวให้เพื่อนในกลุ่ม และพี่รูทก็ติดตรงคณะวิศวกรรมศาสตร์ในมหาวิทยาลัยแรกที่เลือกได้ แต่เจ้าตัวกลับเลือกจะไปยื่นคะแนนกับเพื่อนคนอื่นๆ ด้วยเหตุผลว่า

ไม่มีกูคุมพวกมึงก็ทำตัวเหลวไหลอีก เข้าที่เดียวกันนั่นแหละดีแล้ว

ซึ่งพี่พัฟแอบมากระซิบกับเขาทีหลังว่าความจริงแล้วเพราะพี่รูทขี้เหงาแถมติดเพื่อนมากต่างหาก

และวันนี้ทุกคนในบ้านวิรุฬธนกิจก็ได้โอกาสมายืนล้อมวงกันอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เครื่องใหญ่ของลูกชายคนโต ตอนนี้เกือบจะเที่ยงวันแล้วซึ่งหมายถึงผลการสอบพร้อมจะให้เปิดดูแต่เว็บไซต์ที่ใช้ประกาศผลดันล่มเสียได้ คลิกขวารีเฟรชตั้งหลายรอบก็ยังไม่เกิดผลอะไร

“สงสัยคนรอดูเยอะแน่เลย โหยยย ตื่นเต้นๆ”

“ตื่นเต้นแทนพี่เขาหรือตื่นเต้นแทนใครกันนะ?”

 “โธ๋ ม๊าครับ... ผลสอบพี่พัฟสุดที่รักของพายทั้งคน จะไม่ตื่นเต้นได้ยังไง”

คุณนายอรอนงค์หัวเราะเมื่อลูกชายคนเล็กหันมาทำหน้ามุ่ยใส่ขณะที่พัฟกลั้วขำในลำคอ นั่งรีเฟรชหน้าจอไปได้อีกสักพักหน้าจอจึงขึ้นให้ลงทะเบียนเพื่อเข้าดูผล พัฟทำตามแต่ละขั้นตอนที่ระบบแจ้งจนกระทั่งถึงหน้าดูผล คะแนนแต่ละวิชาของเขาไม่แย่เท่าไหร่นักแต่สิ่งที่ต้องลุ้นคือเขาจะสามารถเข้าเรียนในคณะที่เลือกไว้ได้หรือเปล่า นิ้วเรียวคลิกเลือกหัวข้อนั้นหัวข้อนี้อ่านเล็กน้อยก่อนจะถึงหน้าสำคัญ พัฟสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ รู้สึกเหมือนแม่และน้องที่ยื่นอยู่ข้างๆ ก็เผลอทำตามเขาไปด้วย เสียงคลิกดังเบาๆ เมื่อเขากดเข้าแถบแสดงผล สิ่งที่ปรากฏบนหน้าจอชวนให้ลมหายใจชะงักไปชั่วครู่

ทั้งห้องปกคลุมไปด้วยความเงียบ หลังจากนั้นไม่นานพัฟก็รู้สึกเหมือนมีคนโถมตัวเข้าหาแล้วกอดเขาแน่น

“พี่พัฟจะเป็นนักศึกษาแล้ว!”

คนบนเก้าอี้ส่งเสียงตอบรับในลำคอขณะกอดตอบน้องชาย ผลที่ประกาศบนหน้าจอนั้นแสดงให้รู้ว่าเขาติดคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยที่เลือกเป็นอันดับ 4 จาก 5 อันดับ แม้จะไม่ใช่มหาวิทยาลัยใหญ่โตมีชื่อเสียงดีเด่นแต่ก็จัดว่าเป็นสถาบันที่มีคุณภาพอีกแห่งหนึ่งของประเทศ

“ยินดีด้วยนะลูก แล้วนี่ต้องซื้อชุดนักศึกษากี่ชุดดีล่ะ? ปีแรกต้องเรียบร้อยเอาไว้ก่อนนะลูก ถ้าให้ไปซื้อเองเดี๋ยวผิดจะแย่เอา แม่ไปซื้อให้ดีกว่า ต้องจดรายการก่อน”

“ม๊าครับ ใจเย็นๆ พัฟยังไม่ได้กำหนดการจากมหาลัยเลย”

“อ้ะ จริงด้วยสิ แม่ก็ตื่นเต้นไปหน่อย สงสัยติดน้องพายมา”

คุยเล่นกันสักพักโทรศัพท์บนโต๊ะก็แผดเสียงร้อง ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นเพื่อนในกลุ่มที่โทรมาถามผลสอบนั่นแหละ เท่าที่รู้มาคือพี่รูทลอยลำ คะแนนการสอบนำลิ่วจนสามารถเข้าได้แทบทุกคณะอยู่ที่เจ้าตัวจะเลือก น่าเสียดายที่พี่หมี่กับพี่นันคะแนนไม่มากพอจะเข้าคณะเดียวกับเพื่อนได้แต่ก็ยังอยู่ในสถาบันเดียวกัน เท่ากับตอนนี้ทั้งกลุ่มเหลือเพียงคนเดียวที่ยังไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดียังไง

จากความตื่นเต้นกลายเป็นความกังวลใจ เมื่อคืนก่อนที่จะเข้านอนคนที่อยู่ปลายสายบอกว่าถ้าทราบผลแล้วจะรีบโทรหาเขาทันที แต่เวลาล่วงเลยกำหนดประกาศผลจนจะครึ่งชั่วโมงอยู่แล้วก็ยังไม่มีวี่แววว่าอีกฝ่ายจะติดต่อมา

“พี่เขาอาจจะติดธุระอยู่ก็ได้นะลูก มาช่วยม๊าทำขนมเค้กฉลองให้พี่พัฟดีกว่า”

ผู้เป็นแม่เสนอกิจกรรมที่พายชอบที่สุดมาหลอกล่อ พอเห็นพายพยักหน้ารับแม่ก็ลูบหัวเขาแล้วผละตัวเพื่อไปเตรียมอุปการณ์ที่จำเป็น ความจริงพายยังไม่มีอารมณ์อยากจะทำเค้กสักเท่าไหร่ ใจยังกังวลจนต้องมองตามโทรศัพท์เครื่องสีดำของตนตลอด แต่ก็ไม่อยากจะทำให้เสียบรรยากาศในวันดีๆ ของพี่ชาย

“ถ้าบ่ายมันยังไม่โทรมาเดี๋ยวกูพาไปหา”

“ขอบคุณนะพี่พัฟ... อ้าว ลืมอะไรเหรอครับม๊า?”

เมื่อเห็นมารดาเดินกลับมาพายก็ถามด้วยความฉงน ยิ่งเห็นรอยยิ้มบางประดับบนใบหน้าก็ยิ่งสงสัย

“ม๊าว่าเค้กคงต้องรอวันอื่นแล้วจ้ะ”

สิ้นคำคุณอรอนงค์ พายก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์แสนคุ้นหูมาจอดที่หน้าบ้าน เมื่อมองลอดประตูไปจึงเห็นว่าเป็นคนที่รออยู่นั่นเอง พายรีบสาวเท้าเพื่อเปิดประตูต้อนรับอีกฝ่าย กิวยังอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นที่ปกติจะไม่ใส่เลยหากเดินทางด้วยรถบิ๊กไบค์ แสดงว่าคงรีบมากจริงๆ

“ไหนพี่บอกจะโทรมา...”

“คอมที่บ้านฟังเลยต้องไปร้านเน็ต” กิวล้วงเอากระดาษที่ถูกพับมาส่งให้ “รู้แล้วก็รีบมานี่เลย”

พายค่อยๆ เปิดกระดาษซึ่งยับจากการถูกพับและใส่ไว้ในกางเกงออก มันถูกพิมพ์ออกมาจากหน้าเว็บไซต์เดียวกับที่พี่ชายของเขาดูเหมื่อไม่นานมานี้ ตารางคะแนนที่โชว์อยู่นั้นแสดงให้เห็นว่าผลการสอบของแต่ละวิชามีมากกว่า 70 คะแนนทั้งสิ้น แสดงให้เห็นว่าความตั้งใจของกิวไม่เสียเปล่า พายไล่สายตาอ่านประกาศจนไปหยุดอยู่ที่การประกาศผลเข้าเรียน

“อันดับที่ 3 คณะวิศวกรรมศาสตร์... พิจารณาผลผ่านเพื่อเข้าเรียนต่อในระดับปริญญา... แปลว่าพี่กิวเข้ามหาลัยได้แล้ว...”

“อือ”

“งี้ก็ชนะเดิมพันแล้วดิ”

“ก็ตามนั้น”

“พี่กิวเก่งสุดยอด ยินดีด้วยนะครับ!”

กิวเกือบทรงตัวไม่ทันเมื่อร่างเล็กโถมเข้าหาแล้วกอดเขาเสียแน่น ปากก็พูดว่าดีใจๆ ไม่หยุด ตอนที่รู้ผลเขาก็ดีใจมากเหมือนกัน อยากจะโทรหาคนในอ้อมกอดแต่คิดว่ามาบอกต่อหน้าคงจะดีกว่า และเขาก็คิดไม่ผิดจริงๆ

ร่างสูงยกมือไหว้เจ้าของบ้านและทักทายเพื่อนทั้งที่ยังโดนน้องกอดอยู่ คุณอรอนงค์รับไหว้และแย้มยิ้มอย่างใจดีให้เขา พร้อมทั้งปรามลูกชายคนเล็กเจือเสียงหัวเราะเพราะพายเกาะเขาเสียเหมือนลูกลิง จนเจ้าตัวต้องอมยิ้มเขินและส่งใบประกาศผลให้แม่ของจนดู ท่าทางดีใจเสียยิ่งกว่ากิวที่เป็นเจ้าของผลสอบเสียอีก

“ยินดีด้วยนะลูก นี่ก็เท่ากับอยู่มหาลัยเดียวกันทั้งกลุ่มเลยสิ?”

“มีพลที่แยกไปครับม๊า รายนั้นได้ครุศาสตร์อย่างที่ฝันเลยต้องเรียนอีกม.” พัฟชี้แจงพร้อมยื่นมือไปตบบ่าเพื่อนเบาๆ “ส่วนกิวมันเลือกคณะผิดจากที่ฝันแต่ดันติด”

โดยเพื่อแซวกิวก็ทำได้แต่ยอมรับ เขาเพิ่งมารู้ว่าตัวเองเข้าใจผิดเกี่ยวกับอาชีพที่จะได้ทำในอนาคตของแต่ละคณะเหมือนที่หลายๆ คนเป็นกัน กว่าจะรู้ว่าความฝันที่ต้องการจะทำจริงๆ นั้นแท้จริงแล้วต้องเรียนอะไรเขาก็ส่งแบบประเมินความต้องการและยื่นคะแนนสอบไปเสียแล้ว นอกจากจะไม่เตือนแต่ละคนยังแห่กันมายื่นคะแนนเหมือนเขาเสียอีก

ยืนคุยท่ามกลางแสงแดดนานๆ ไม่ใช่เรื่องดีนัก อรอนงค์จึงชักชวนให้เพื่อนของลูกชายที่ในอนาคตคงมาเป็นลูกชายของเธออีกคนเข้าบ้าน หากกิวกลับขอตัวกลับบ้าน พร้อมทั้งขอยืมตัวลูกชายคนเล็กไปด้วย ซึ่งเธอก็ไม่คัดค้านแต่อย่างใด ซ้ำยังคะยั้นคะยอให้ไปเพื่อที่เธอจะมีโอกาสไปออกเดทกับลูกชายคนโตสองต่อสองแบบที่ไม่ได้ทำมานานแล้ว

 “ขอบคุณครับคุณน้า”

“เรียกม๊าตามสองคนนี้ก็ได้ลูก ไหนๆ อนาคตก็ต้องดองกันแล้ว ใช่ไหมน้องพาย?”

“พะ... พายไม่รู้หรอก”

หยอกลูกชายตัวเองให้หน้าแดงเล่นแบบนี้สมกับเป็นคุณแม่ผู้มีอารมขันเสมอเสียจริง แม้จะไม่เคยตรงๆ แต่กิวนั้นรู้สึกเสมอว่าตนเองรักและเคารพแม่ของน้องแค่ไหน อาจจะเพราะครอบครัวของตนเองไม่ค่อยมีความอบอุ่นเช่นนี้ให้สัมผัส พอมีผู้หยิบยื่นมาให้เขาจึงรู้สึกประทับใจเป็นพิเศษ กิวเอ่ยขอบคุณแล้วส่งหมวกกันน็อคของตนให้น้องใส่ ปกติแล้วเขาจะพกเผื่อไว้เสมอแต่ด้วยความเร่งรีบวันนี้จึงไม่ได้พกมา

“พี่กิวจะพาพายไปไหนเหรอ?”

“ไปเจอพ่อแม่พี่ไง”

“ห๊ะ!?” พายตกใจจนหน้าเหวอ แม้จะรู้ดีอยู่แล้วว่าวันนี้ต้องมาสักวันแต่ไม่คิดว่าจะมาเร็วขนาดนี้ “ไปตอนนี้เลยเหรอครับ...?”

“อือ จับดีๆ”

ไม่รอให้ปฏืเสธกิวก็คว้ามือน้องให้มากอดเอวตนเอาไว้ก่อนจะสตาร์ทเครื่องยนต์แล้วเคลื่อนรถออกสู่ถนนใหญ่

จากหมู่บ้านบริเวณใจกลางกรุงมาสู่ย่านชานเมืองด้วยความเร็วของบิ๊กไบค์ทำให้ใช้เวลาไม่นานนัก ยังไม่ทันที่พายจะทำใจให้พบกับพ่อแม่ของพี่กิวได้ บ้านเดี่ยวที่เหมือนกับหลุดมาจากโฆษณาก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า ประตูอัลลอยด์เลื่อนเปิดโดยอัตโนมัติทั้งที่กิวยังไม่ทันได้หยุดรถเลยด้วยซ้ำ เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าคนในบ้านก็กำลังรอคอยเขาอยู่เช่นกัน

พายไม่เคยกดดันขนาดนี้ แม้แต่การพรีเซนท์งานหน้าห้องกับคุณครูที่ได้ชื่อว่าโหดแค่ไหนเขาก็ผ่านมาได้แบบสบายๆ เสมอ แต่เมื่อต้องมาพบกับพ่อแม่ของพี่กิวพายดันประหม่า วางตัวไม่ถูกได้แต่เดินตัวติดกับพี่กิวตลอดทางเข้าบ้านจนแม้แต่เห็นเงาร่างของผู้ใหญ่ทั้งสองท่านที่นั่งรออยู่พายก็ยังคลายความประหม่าไม่ได้

ตั้งแต่รู้จักกันมากิวไม่ค่อยเล่าเรื่องครอบครัวให้ฟังเท่าไหร่ หากหลุดมาก็จะใช้ความเงียบเข้าข่มจนพายไม่อยากจะถามต่อด้วยกลัวจะเสียบรรยากาศ ดังนั้นจึงสามารถสรุปได้โดยง่ายว่าความสัมพันธ์ในครอบครัวของอีกฝ่ายไม่ดีนัก แถมยังเอาอนาคตของพวกตนมาเดิมพันด้วยอีก เช่นนี้แล้วจะไม่ให้เขาประหม่าได้อย่างไร

“สวัสดีครับ...”

ไม่รู้จะใช้สรรพนามเช่นไรแต่ก็ถือคติไปลามาไหว้ตามที่แม่และพี่ได้สอนไว้เสมอ ผู้หญิงท่าทางใจดีที่พายเดาว่าเป็นคุณแม่เผยรอยยิ้มแล้วรับไหว้จากเขา ข้างกันนั้นเป็นผู้ชายท่าทางเคร่งขรึม โครงหน้าและรูปร่างคล้ายกับคนที่ยืนเคียงข้างเขาในตอนนี้กลับเพียงมองนิ่งๆ นั่นยิ่งทำให้พายประหม่าจนอยากจะซ่อนตัวอยู่แต่ด้านหลังของกิว

“ผลสอบออกแล้ว” กิววางกระดาษแผ่นเดิมบนโต๊ะกลม “หวังว่าคุณจะทำตามที่เคยคุยกันไว้”

ชั่วครู่หนี่งที่พายเห็นความเย็นชาปรากฏบนใบหน้าเมื่อได้ฟังคำพูดเหินห่างของผู้เป็นลูก แต่อีกครู่หนึ่งในแววตาของทั้งสองก็มีประกายความยินดีจากการที่เห็นผลบนกระดาษนั่น พายเห็นภาพของแม่ซ้อนทับกับคนทั้งคู่ แม่ก็มีสายตาเช่นนี้เหมือนกันตอนที่เห็นผลสอบของพี่พัฟ และนั่นทำให้พายรู้ว่าคุณพ่อกับคุณแม่รักพี่กิวไม่ต่างกับแม่ของเขาเลย เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าเพราะอะไรครอบครัวของพี่กิวจึงเป็นเช่นนี้

“ฉันยังไม่อยากพูดเรื่องนี้ตอนนี้...”

“อ้ะ งั้นเรามาทานข้าวกันก่อนเถอะ วันนี้แม่...ทำอาหารเตรียมไว้แล้ว” พายจับได้ถึงความไม่มั่นใจในสรรพนามที่ใช้แทนตนเอง เมื่อเหลือบมองคนข้างๆ ก็รับรู้ได้ว่ากิวรู้สึกไม่แพ้กัน

“ผมว่าจะไปกินข้าวข้างนอก ไปเถอะ”

ข้อมือเรียวถูกกำและออกแรงเล็กน้อยเพื่อจูง พายรู้ว่าผู้เป็นพี่ไม่อยากจะอยู่ในบรรยากาศเช่นนี้ หากแต่ลึกๆ แล้วเด็กหนุ่มรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องเมื่อเห็นสีหน้าโศกเศร้าของหญิงสาวผู้เป็นแม่ พายตัดสินใจฝืนตัวไม่เดินตาม มือข้างที่ไม่ถูกจับวางลงบนอุ้งมือร้อนเรียกให้อีกฝ่ายหันกลับมามอง

“พายหิวมากแล้วรอไปข้างนอกไม่ไหวหรอกครับพี่กิว”

“.....งั้นสั่งอะไรมากินบนห้อง”

“คุณน้าบอกว่ามีอาหารเตรียมไว้แล้วนี่ครับ ไม่ต้องสั่งหรอกเนอะ? พายอยากชิมอาหารฝีมือคุณน้า”

กิวทำหน้ากลืนไม่เข้าคลายไม่ออก ด้วยตัวเองไม่เคยขัดใจน้องได้เลยสักครั้ง ยิ่งเห็นสีหน้าและรอยยิ้มที่แสดงว่าตัดสินใจแน่วแน่แล้วเขาก็ไม่กล้าเอ่ยทักท้วง เพียงแต่เดินกุมมือพายมุ่งตรงไปยังห้องอาหารที่อยู่ใกล้ๆ กันแทน

อาหารถูกเด็กรับใช้ยกมาเสิร์ฟทีละจานจนเกือบเต็มครึ่งโต๊ะ ทั้งที่มีผู้ร่วมโต๊ะเพียงสี่คนเท่านั้น และรสชาติแต่ละจานก็อร่อยเหมือนรสมือแม่ของตนเอง พายจึงรู้ได้ว่าคุณนายประภัสสรตั้งใจเพียงใดที่จะทำอาหารแต่ละจานออกมาและหากเดาไม่ผิดมื้อนี้คงเป็นการฉลองสอบเข้าของพี่กิวที่นั่งหน้าบูดด้วยนั่นแหละเพราะแต่ละอย่างเป็นของที่เจ้าตัวชอบทั้งนั้น

“พี่กิวเคยบอกพายไม่ใช่เหรอว่าชอบผัดผัก กินเยอะๆ สิครับ”

ว่าแล้วก็ตั้งผัดผักให้เสียจนพูนจานพร้อมด้วยกับข้าวจานอื่นอีกอย่างละเล็กละน้อย

“เรานั่นแหละกินเข้าไป ตัวเล็กจะตายอยู่แล้ว”

“ตัวเล็กเลี้ยงง่ายนะครับ พี่อยากให้พายตัวโตแบบพี่พัฟเหรอ? อยากเลี้ยงหมีควายเหรอ? อุ้ย... ขอโทษครับ แหะๆ”

พายหัวเราะแหยๆ ลืมตัวพูดเหมือนปกติต่อหน้าผู้ปกครองเข้าเสียแล้ว ยังดีที่คุณแม่ของพี่กิวดูจะไม่ถือสาแถมยังยิ้มให้เขาด้วย ส่วนคุณพ่อก็ยังทำหน้านิ่งทานอาหารเหมือนพายไม่มีตัวตนอยู่ในห้องนี้ด้วย แต่เขาก็เห็นนะว่าคุณพ่อก็แอบมองบรรยากาศรอบโต๊ะเป็นระยะเหมือนกัน






ต่อข้างล่างนะคะ >>>
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-03-2015 20:33:32 โดย ennewiis »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ennewiis

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 47
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0
มื้ออาหารที่เรียกได้ว่าพร้อมหน้าพร้อมตาเป็นครั้งแรกของครอบครัวผ่านพ้นไปด้วยดี แม้กิวจะทำหน้าบูดตลอดเวลาแต่ก็ทานข้าวที่พายตักให้จนหมด ก่อนที่จะโดนบิดาเรียกให้ไปคุยที่ห้องทำงานส่วนตัว พายจึงขอช่วยเก็บจานชามอยู่ที่ฝั้งนี้แทน

“พายรู้ไหมว่านี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ตากิวยอมทานข้าวที่บ้าน”

หญิงสาวเอ่ยขึ้นหลังจากที่ชวนให้พายมานั่งด้วยกันที่ห้องนั่งเล่น

“ที่จริงตอนเด็กๆ เขาก็อยู่ทานตลอดแหละเพราะมีแม่นมจัดเตรียมให้ แต่หลังจากที่แม่นมลาออกไปเขาก็ต้องหาอะไรทานนอกบ้านตลอดเพราะแม่ไม่มีเวลามาดูแลเขา... หวังว่ามื้อนี้คงจะถูกปากเขานะ”

“พายว่าพี่กิวชอบนะครับ ไม่งั้นพี่กิวจะไม่แตะอีกเลยหลังจากกินคำแรกเข้าไป”

“งั้นหรือจ้ะ ได้ยินแบบนี้แม่ก็ดีใจ ไม่ได้ลงมือทำเองมานานแล้ว กลัวเหมือนกันว่าจะไม่อร่อย... จะว่าไป พายก็ชอบใช่ไหมลูก ไม่มีอะไรที่ทานไม่ได้นะ?”

คำถามด้วยความเป็นห่วงชวนให้อบอุ่นใจ พายส่ายหน้าแล้วยิ้มกว้างให้

“พายทานได้หมดเลยครับ แม่กับพี่พัฟฝึกให้ทานทุกอย่างให้เป็นไม่งั้นจะโดนตี พี่พัฟมือหนักมาก พายไม่กล้าหือหรอก”

แล้วเขาก็เล่าเรื่องราวของครอบครัวตัวเองให้ฟัง คุณประภัสสรทำสีหน้าสนใจยามที่ฟังเขาเล่าเรื่องราวไปด้วย หัวเราะไปตามเรื่องตลกที่พายเล่าไปด้วย ยิ่งทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนกำลังคุยกับแม่จริงๆ โดยที่ไม่รู้สึกหระหม่าเท่ากับตอนแรกๆ แล้ว และยังปลอบโยนเขาอีกด้วยเมื่อเล่าถึงว่าเขาเสียพ่อไปตั้งแต่เด็ก

“พายไม่เป็นไรครับ แม่กับพี่พัฟดูแลพายดีมาตลอด มีพี่กิวมาเพิ่มอีกคนเหมือนพายมีพ่อทีเดียวสองคนเลยนะครับ อ้ะ ต้องนับเป็นสาม รวมคุณพ่อแท้ๆ ด้วย”

“ทั้งที่อายุเท่านี้แต่กลับเข้าใจอะไรได้ง่ายๆ พายเข้มแข็งมากจริงๆ จ้ะ คุณแม่ของพาย... คุณอรอนงค์สินะ แม่ก็เคยได้ยินชื่อเหมือนกันถึงจะทำธุรกิจไม่เหมือนกันเลยก็เถอะ ไม่คิดว่าจะเก่งขนาดนี้ ถ้าได้เจอกันก่อนคงจะขอวิธีมาเลี้ยงลูกตัวเองบ้าง เอาแต่ทำงานจนรู้ตัวอีกทีกิวก็เข้าไปอยู่ในโลกแบบนั้นไปซะแล้ว ช่างเป็นแม่ที่ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ...”

เธอทำหน้าเศร้าและพายดูออกว่ามันไม่ใช่การเสแสร้ง

“แต่คุณน้าก็ทำเพื่อพี่กิวจะได้ไม่ลำบากไม่ใฃ่เหรอครับ? พายคิดว่าพี่กิวก็รู้ เพียงแต่น้อยใจแล้วก็งอแงไปหน่อยเท่านั้นเอง พี่กิวเขาชอบงอแงครับ”

“งั้นเหรอจ้ะ ถ้าเป็นแบบนั้นจริงก็ดีสินะ... จะว่าไปเรียกแม่เถอะจ้ะ กิวรักใครแม่ก็รักด้วย” เธอว่าพร้อมยื่นมือมาจับกับมือของพาย “ถ้าเป็นพายแม่ก็วางใจ ฝากตากิวด้วยนะ”

มือบอบบางกุมมือเขาไว้ แม้จะแผ่วเบาหากทว่าหนักแน่น เธอเชื่อมั่นจากใจจริงๆ ว่าเป็นเด็กคนนี้เธอจะสามารถฝากฝังความสุขของลูกชายไว้ได้ และเธอก็แน่ใจ ถึงพายจะเป็นผู้ชายแต่ลูกของเธอก็ไม่ได้เลือกคนผิด ต้งองยอมรับว่ากิวตาถึงมากจริงๆ

ด้านเด็กชายเมื่อได้ยินก็นิ่งไป ไม่ใช่ว่าไม่เต็มใจ หากแต่ไม่คาดคิดว่าจะเจอคำพูดเหนือความคาดหมายขนาดนี้ พายรู้ดีว่าตัวเองกำลังหน้าแดงเพราะรู้สึกถึงความร้อนที่เห่อขึ้น ทำได้แค่พยักหน้าด้วยความเงอะงะ แต่เท่านั้นก็ทำให้เธอพอใจแล้ว



กิวมองไปรอบห้องทำงานของพ่อ สถานที่ซึ่งเขาไม่คิดจะย่างเท้าเข้ามาอีกหลังจากสมัยยังเด็กแอบลอบเข้ามาเล่นแล้วโดนจับ หลังจากนั้นยังโดนต่อว่าเสียยกใหญ่จนเข็ดขยาด มันเปลี่ยนไปเล็กน้อยจากที่เขาจำได้ โต๊ะทำงานไม้สักนั้นเมื่อสมัยก่อนยังไม่มีกองงานวางมากเท่านี้ หนังสือในห้องก็ไม่เยอะสักเท่าไหร่ เก้าอี้นวมนั้นก็เริ่มซีดแล้ว หลายๆ อย่างเปลี่ยนไป หากแต่กรอบรูปครอบครัวยังคงวางอยู่บนโต๊ะทำงานไม่เคยเปลี่ยนแปลง

“คิดยังไงถึงเข้าคณะวิศวะแทนที่จะเป็นบริหารระหว่างประเทศ”

“ผมตกลงว่าจะเข้ามหาลัยให้ได้ ไม่ได้พูดเจาะจงว่าจะเข้าคณะอะไร”

“เข้าได้ไม่ใช่ทั้งหมด เรียนให้จบถึงจะสำคัญกว่า”

ผู้เป็นพ่อกล่าวไว้เพียงเท่านี้แล้วเงียบไป บรรยากาศในห้องคล้ายกับจะกดดันมากขึ้นเรื่อยๆ ดวงตาภายใต้กรอบแว่นมองกระดาษสลับกับตัวเขาจนทำให้รู้สึกอึดอัด กิวไม่ชอบให้ใครมองด้วยสายตาประเมิณค่าเช่นนี้ เขาตั้งท่าจะหันหลังกลับ พอดีกับที่ฝ่ายบิดาเอ่ยขึ้นมา

“ลูกค้าที่บริษัทมีที่ต้องการคนจบวิศวะเหมือนกัน จบแล้วฉันจะถามลู่ทางให้”

“....ผมไม่ได้ต้องการใช้เส้นสาย” เขาพูดพร้อมสีหน้าไม่พอใจ

“ถามหาลู่ทางไม่ใช่การฝากทำงานแกวางใจได้ สายงานแบบนี้ไม่ใช่แค่มีเส้นสายก็ทำได้ ไม่ได้ศึกษาก่อนเลือกหรือไง?”

“งั้นก็ขอบคุณ ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัว”

“เดี๋ยวกิว เอาของบนโต๊ะไปด้วย”

ร่างสูงหันกลับมา กลางโต๊ะทำงานมีซองสีน้ำตาลสำหรับใส่เอกสารวางอยู่ มันถูกประทับว่าเป็นเอกสารทางราชการ คนตัวสูงขมวดคิ้ว เมื่อเห็นคุณการุณย์พยักหน้าเหมือนอนุญาตกิวจึงหยิบมันขึ้นมาเปิดดู ข้างในนั้นมีกระดาษอยู่หนึ่งแผ่น ความสงสัยชักนำให้ดึงมันขึ้นมาดู

“ฉโนด...?”

ในมือของกิวเป็นฉโนดที่ดินหลายไร่ที่ตนก็ไม่รู้ว่าอยู่ส่วนไหนของประเทศไทย แต่ที่ตกใจมากกว่านั้นค่ะชื่อผู้เป็นเจ้าของที่ดิน มันถูกลงชื่อเป็นชื่อเขา กวินทร์ อัครเดชไพศาลสกุล...

“ถ้าเลิกยุ่งเรื่องรถไม่ได้แกก็ไปเป็นช่างซ่อมรถซะ ตอนนี้มีคนในบริษัทดูแลอยู่ เวลาว่างแกก็เข้าไปทำหน้าที่เจ้าของมันสักหน่อยก็ไม่มีปัญหา”

“..........”

“ส่วนเรื่องยาพวกนั้นฉันจะไม่ยุ่ง แกทำตัวเอง หาวิธีด้วยตัวเองแล้วกัน”

ขณะพูดอีกฝ่ายหันมองไปมองนอกหน้าต่างทำให้กิวไม่เห็นสีหน้าของพ่อ เขาไม่รู้ว่ามันนานมากแค่ไหนแล้วที่ได้มองแผ่นหลังของคนตรงหน้าแบบนี้ แต่ก่อนพ่อเป็นคนรูปร่างสูงใหญ่เหมือนกันเขา แต่ยามนี้แม้จะยืนหลังตรงเท่าไหร่แต่บ่ากว้างกลับงอเล็กน้อยตามวัย ผมแซมด้วยสีดอกเลาตามวันเวลาที่พ้นผ่าน บิดาของตนดูแก่ไปมากจากที่เขาเห็นเมื่อตอนยังเด็ก

แม้จะดื้อแพ่งต่อต้านการกระทำของบิดาเพียงใด แต่เมื่อโตขึ้นเขาก็รู้ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายทำก็เพื่อครอบครัว หากแต่การกระทำและคำพูดที่ทำไปแล้วก็ไม่สามารถเรียกกลับมาได้

“แล้วก็เด็กคนนั้น... ที่ชื่อพาย”

“...........”

“...ท่าทางจะเป็นเด็กดี ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะมาเอาแก” คุณการุณย์หันมามองหน้าลูกชาย ยังไม่ทิ้งมาดผู้นำที่มีอยู่ในตัว “อย่าพาลูกเขาเดินทางผิดแล้วกัน”

นิ่งไปได้สักครู่ชายหนุ่มก็ยกยิ้ม คาดไม่ถึงว่าจะได้รับคำพูดเช่นนี้จากผู้ที่เคยเห็นต่างกับเขามาโดยตลอด กิวพยักหน้า มองดวงตาที่เต็มไปด้วยความจริงจังอย่างไม่หวาดวั่นแล้วจึงพยักหน้า

“ครับพ่อ”

หลังจากพูดคุยกกันเสร็จกิวก็ขอตัวพาน้องกลับบ้าน แม้คุณประภัสสรอยากจะรั้งให้อยู่นานกว่าเดิมสักหน่อยแต่เมื่อลูกชายเอ่ยปากว่าตนมีเรื่องจะคุยกับพาย ผู้เป็นแม่ก็ได้แต่ยินยอม ไม่วายให้พายสัญญาด้วยว่าจะแวะมาที่บ้านอีกหากมีโอกาส และไม่รู้ว่าคุยกันอีท่าไหนถึงได้ตกลงแล้วด้วยว่าพายจะเป็นคนสอนให้เธอทำขนมเค้กด้วย

และเมื่อพายเอ่ยขอลากลับ ผู้นำของบ้านก็ทำเรื่องน่าประหลาดใจด้วยการบอกน้องว่าจะมาเมื่อไหร่ก็ได้ที่บ้านต้อนรับเสมอ เล่นซะคนตัวเล็กทำอะไรไม่ถูกได้แต่ยิ้มกว้างเสียจนแก้มแทบปริ



ผืนน้ำไหวน้อยๆ ล้อกับประกายแดดยามเย็นนั้นสวยงามนัก พายอมยิ้มขณะมองความสวยงามตรงหน้า ไม่รู้ว่าพี่กิวคิดอะไรถึงได้ขับรถพาเขามานั่งเล่นริมแม่น้ำเจ้าพระยาแบบนี้ แต่เขาก็ไม่ได้ไม่พอใจอะไร ดีเสียอีกที่ได้ดูวิวสวยๆ และนั่งรับลมเย็นๆ ที่หาโอกาสได้ยากยิ่งในเมืองหลวง

“พาย.....”

“ครับพี่กิว?”

พายหันไปหาผู้ที่นั่งอยู่คียงข้างกัน ตอนนี้อะไรๆ ก็ดูจะดำเนินไปในทางที่ดีขึ้นซึ่งมันทำให้พายรู้สึกมีความสุขมากจนไม่อาจหุบยิ้ม และมันคงจะส่งต่อได้ด้วยไม่งั้นพี่กิวคงไม่ยิ้มเหมือนกับเขาหรอก

“จำเรื่องที่เราคุยกันก่อนหน้านี้ได้มั้ย?”

“หือ? เรื่องอะไรล่ะครับ? พี่กิวคุยกับพายเยอะแยะเลยนะ”

ไม่รู้ว่าเจ้าตัวรู้หรือเปล่าว่าสกิลการโกหกของตนไม่ได้เนียนเลยแม้แต่น้อย ยามนี้แก้มใสเริ่มขึ้นสีระเรื่อฟ้องว่าตัวเองกำลังเขินอีกแล้ว แถมดวงตาที่ทำให้เขาหลงใหลยามจ้องมองยังทำทีเป็นมองเรื่อยเปื่อย ชมนกชมไม้ไปเรื่อยอีก

“พี่รักพาย”

จะบอกรักเด็กดื้อต้องบอกทีเผลอ เป็นความเชื่อที่กิวคิดขึ้นเอง

“แล้วพายล่ะ มีอะไรอยากบอกพี่หรือเปล่า?”

โดนพูดความรู้สึกที่สื่อถึงกันได้มาตลอดตรงๆ เช่นนี้ พายแน่ใจว่าเมื่อเจอสถานการณ์แบบนี้ต่อให้ทำใจไว้แล้วก็ต้องรับมือต่อไม่ถูก ยิ่งต้องมามองตาสีเข้มดเจือความแน่วแน่ของคนตรงหน้าแล้ว ลมหายใจก็เหมือนจะขาดห้วงก่อนที่ก้อนเนื้อภายในอกซ้ายจะเริ่มเต้นแรงขึ้นและแรงขึ้นจนรู้สึกว่ามันเหมือนจะหลุดออกมา ยิ่งมาโดนกุมมือพายยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นสาวน้อยวัยแรกแย้มที่ริมีความรัก

“พายครับ?”

อย่ามาพูดเพราะด้วยสีหน้าแบบนี้นะ!

กิวรอ และรออย่างใจเย็นเพื่อจะดูว่าคนขี้เขินจะตอบกลับมาอย่างไร เขายิ้มและน้องก็ยิ้มให้เขาด้วยวงหน้าแดงระเรื่อ แต่แล้วรอยยิ้มบนใบหน้าใสก็จางลง ท่าทางของอีกคนเหมือนกำลังไม่แน่ใจอะไรบางอย่าง แต่กิวเลือกที่จะไม่ถามเพื่อให้พายเอ่ยมันด้วยตัวเอง

“พี่กิวก็รู้ว่าพายคิดยังไง แต่พายกลัว... กลัวว่าถ้ามันเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบของเราทั้งคู่จะทำยังไง...”

รู้ว่าน้องยังเด็กจึงสับสนในความรู้สึก และเขาเป็นคนที่เข้ามาในตอนที่พายไม่มีใครพอดี จึงไม่แปลกหากอีกฝ่ายจะรู้สึกเช่นนี้ และกิวก็ไม่ใช่คนใจร้ายพอที่จะดึงดันเอาความสับสนตอนนี้มาเป็นบ่วงกักขังความรักของอีกคน

“ไม่รู้หรอก พี่ไม่รู้” กิวตอบไปตามความรู้สึกจริง “แต่ตอนนี้พี่รักพายและพายรักพี่ พี่ขอรู้แค่นี้ และถ้าพายไม่พร้อมเรายังไม่ต้องมีชื่อเรียกความสัมพันธ์ของเราก็ได้ แค่ให้โอกาสพี่อีกครั้งเหมือนที่เราเคยให้ พี่ขอแค่นั้น...”

“.....ทีวันนี้ล่ะพูดยาวเชียว”

“พายก็พูดสั้นเชียว”

“ก็คนมันเขิน... อย่ามาล้อนะ”

โดนค้อนควับเข้าให้เมื่อพูดจาไม่เข้าหู กิวหัวเราะแล้วไม่เอ่ยอะไร เขายังคงรอคำตอบที่คาดหวังจากอีกคนอยู่ และพายก็รู้ หน้าหวานแดงก่ำกอบกับอาการเผลอขบริมฝีปากอย่างที่ตนชอบทำเวลาประหม่านั้นช่างน่ารักน่าชังเสียจริง

“พ... พายก็รักพี่กิว...”

อ้อมแอ้มคำตอบเสียงเบา แต่แม้จะเบาก็ชวนให้หัวใจพองโตอย่างน่าประหลาด

หากช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดตั้งแต่เกิดมาสามารถบันทึกลงเมมโมรี่ได้ กิวจะยัดความสุขที่ตนเองมีในตอนนี้แล้วเซฟให้แน่นหนาที่สุดเหมือนเป็นสมบัติล้ำค่าในชีวิตของเขา

“กอดหน่อย”

จากเขินต้องหลุดขำ พายหัวเราะร่า มาอีกแล้วประโยคออดอ้อนปนคำสั่งและการอ้าแขนกว้างๆ รอ แล้วจะให้เขาทำไงได้ล่ะ นอกจากจะยอมตามใจ อ้าแขนแล้วกอดกลับไปแน่นๆ ไม่แพ้กัน

“ถ้าอนาคตเรื่องของเราเป็นแบบนิยายก็ดีนะครับ” น้องว่าขณะเกยคางไว้บนบ่าแกร่ง   

“หือ เป็นแบบไหนล่ะ?”

“ก็มีพี่กิว มีพาย และก็มีทุกคนอยู่ด้วยกันตลอดไปไงครับ”

คำตอบที่แสนบริสุทธิ์จากคนในอ้อมกอดช่างไร้เดียงสาจนกิวเผลอกลั้วหัวเราะในลำคอ เขากระชับอ้อมกอดของตัวเองให้แน่นขึ้น สูดกลิ่นผมและกลิ่นกายหอมๆ ให้เต็มปอดแล้วจึงเอ่ยสิ่งที่คิดอยู่ออกมา ซึ่งคำพูดนั้นก็ชวนให้พายหัวเราะตามไปด้วย



แม้จุดเริ่มต้นของเราอาจจะไม่สวยงามเท่ากับคนอื่น
หากปลายทางความฝันขอแค่มีกันเพียงเท่านั้นก็น่าจะพอ



“หัวหน้าแก๊งค์คนนี้จะทำความฝันของพายให้เป็นความจริงเอง”




หัวหน้าแก๊งค์ (ภาคหลัก) จบ



-------------------------------------------------------------------

Talk : สวัสดีประจำวันอาทิตย์ค่ะ!

หัวหน้าแก๊งค์ (ภาคหลัก) ก็จบลงไปแล้ว โหว่งๆ เหมือนกันแต่พอคิดว่าหลังจากนี้จะมีตอนพิเศษและภาคมหาลัยมาให้ติดตามกันอีกเกือบสิบตอนก็ยังฮึ้ดอยู่ค่ะ ได้อัพเดทไปแล้วว่าจะลงอะไรบ้างในแฟนเพจของเราเอง สามารถเข้าไปเช็คกันได้นะคะ I M A N N E W ♥ หวังว่าจะมีคนติดตามกันอยู่นะคะ :katai2-1:

แล้วเจอกันในตอนพิเศษ+ภาคมหาลัยนะคะ :pig4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-03-2015 14:10:40 โดย ennewiis »

ออฟไลน์ ennewiis

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 47
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0
หัวหน้าแก๊งค์ (ตอนพิเศษ)
ตอน สานสัมพันธ์ครั้งใหม่






 เขาเกลียดมัน



ผู้ชายตัวใหญ่ท่าทางหยิ่งยโสที่มักใช้หางตาเหลือบมองเขาทุกครั้งเวลาที่เดินผ่าน หลังๆ เหิ่มเกริมเข้ามาแย่งพื้นที่ทำกินของเขาด้วยการขายของตัดหน้า ยิ่งมาโดนทำลายความมั่นใจในฝีมือการแข่งรถของตัวเองก็ยิ่งทำให้ความเกลียดมันเพิ่มมากขึ้นอีก พอมีโอกาสได้รู้จุดอ่อนของอีกฝ่ายเขาจึงไม่รอช้าที่จะเอาคืนด้วยการทำให้มันอับอาย แต่ใครจะไปรู้ว่านอกจากจะไม่สำเร็จมันยังย้อนกลับมาทำให้เขาขายขี้หน้าคนทั้งกลุ่ม!

ดอมพยุงรถที่โดนถีบอัดลงกับพื้นขึ้นมาตั้ง เมื่อเห็นความเสียหายเขาพลันรู้สึกว่าบาดแผลบนหน้าเจ็บแปลบ สภาพรถคันโปรดของเขาเละเทะไม่มีชิ้นดี กระจกมองข้างแตกร้าว แฮนด์รถขูดกับพื้นถนนจนถลอกปอกเปิก ยิ่งบริเวณตัวถังรถยิ่งไม่ต้องพูดถึงมันทั้งบุบ มีรอยขูดขีดจนสีสวยๆ ของตัวรถลอกออก หากประเมินราคาค่าซ่อมแซมคงไม่น้อยไปกว่าการเปลี่ยนคันใหม่ คิดแล้วก็นึกเสียใจ ไม่น่านำอะไหล่ราคาแพงมาลงเดิมพันในครั้งนี้เลย เสียทั้งเงิน เสียทั้งรถ และยังเสียหน้าอีก

ดอมมีงานอดิเรกเช่นนี้มาตั้งแต่เริ่มขึ้นชั้นม.ปลาย มันเริ่มเพราะเขาไปถูกใจเสื้อผ้าประดับลายลูกไม้ในห้องนอนของพี่สาวแล้วนำมาใส่ เขารู้ตัวดีว่าเขาไม่มีใจเบี่ยงไปทางความต้องการเป็นผู้หญิง หากแต่ชอบที่จะใส่มันเท่านั้น และด้วยรูปร่างที่ไม่ผอมเกินไป อุดมไปด้วยกล้ามเนื้อพอเหมาะ บวกกับใบหน้าได้รูปที่รับมาจากผู้เป็นแม่เต็มๆ จึงทำให้ไม่ยากนักที่จะประโคมเครื่องสำอางค์ลงบนหน้าแล้วถ่ายรูปให้คนอื่นเข้าใจผิดเล่น แน่นอนว่าไม่มีใครระแคะระคายว่าเป็นเขา เพราะคนในโลกออนไลน์กับชีวิตจริงที่ห้าวหาญ กล้าท้าตีท้าต่อย และชื่อเสียงยามอยู่ในวงการธุรกิจทั้งเบื้องหน้าและโลกมืดคงช่วยปกปิดได้เป็นอย่างดี

แล้วใครกันที่มันสู่รู้! จนบัดนี้ดอมก็ยังเดาไม่ออก

 “เหี้ยเอ้ย...”

คิดแล้วก็ได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ไม่น่าเชื่อว่าคนอย่างเขาจะมาโดยเผยความลับได้ง่ายๆ เช่นนี้ งานอดิเรกที่มานานเกือบสามปีไม่เคยมีใครล่วงรู้ หากพอโดนรู้ก็ดันเป็นศัตรูคู่อาฆาตที่เขาเกลียดนักหนาอีก

“สบถไม่เหมาะกับชุดสวยๆ ในรูปเลยนะ”

เสียงทักจากด้านหลังทำให้เขาสะดุ้ง ตาคมหันไปมองต้นเสียงจึงพบกับบุคคลที่เขาไม่คาดคิดว่าจะยังอยู่แถวนี้ด้วย เพราะนึกว่าจะตามเพื่อนในกลุ่มของตนกลับไปแล้ว

“ไม่ต้องมาเสือก กลับไปเลียแข้งเลียขาเจ้านายมึงไป”

“กิวไม่ใช่เจ้านาย มันเป็นเพื่อนที่ดี”

“เหอะ!”

ดีกับมึงคนเดียวน่ะสิ! ดอมสบถอยู่ในใจพลางก้าวขาเดินไปด้วย อยากจะอยู่ห่างใครก็ตามที่ข้องเกี่ยวกับกิวมากที่สุดด้วยยังหงุดหงิดอารมณ์ไม่ดีกับเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านพ้นมา และอับอายเพราะมั่นใจแน่ว่าอีกฝ่ายก็ต้องเห็นรูปทั้งหมดนั้นอยู่แล้ว ใจจริงอยากจะขึ้นรถแล้วขับออกไปเลย หากแต่รถพังเช่นนี้เขาก็ไม่อยากจะขับกลับให้คนที่บ้านต้องเป็นห่วงจึงตัดสินใจจะนำไปจอดที่ลานจอดรถแถวนี้แล้วจะให้คนที่บ้านมารับในวันถัดไป ส่วนตัวเองก็จะนั่งแท็กซี่กลับบ้าน

เดินไปได้ไม่ถึงไหนก็ต้องหยุดเพราะยังได้ยินเสียงฝีเท้าที่ก้าวตามมา พอหันกลับไปมองก็ยังเจอกับคนที่เขามาทักเขาเมื่อครู่ ในมือของอีกฝ่ายยังถือซองสีน้ำตาลที่ใส่รูปเขาไว้อยู่ เห็นแล้วก็ยิ่งหงุดหงิดจนต้องตะคอกไล่

“ตามมาทำไม?! ซองเหี้ยนั่นก็ทิ้งไปสักทีเถอะ!”

“วันนี้ขับรถอู่มาจอดไว้ที่ลานตรงนั้น” เขาว่า ชี้นิ้วไปทางลานซึ่งเป็นที่เดียวกับที่ดอมตั้งใจจะไปแล้วจึงยกซองเจ้าปัญหาขึ้นมาโบก “สวยดี เลยจะเก็บไว้ตอนช่วยตัวเอง”

“ไอ้สัส!”

ด่ากลับไปหวังให้สะทกสะท้านกับคำพูดด้านๆ ที่พ่นออกมาบ้าง แต่กลับไม่เกิดผลเมื่อชายหนุ่มทำเพียงแค่ยักไหล่

ดอมตั้งใจจะเร่งฝีเท้าให้ไวขึ้นแต่เมื่อเดินมาได้สักพักก็โดนแซงขึ้นหน้า แฮนด์และตัวรถโดนรั้งไปยังอีกฝั่งเล่นเอาเขาที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัวเซตามแรงดึงไปด้วย ดอมหยุด คนที่ดึงรถเขาไว้ก็หยุด ยืนมองหน้ากันริมถนนบนเส้นทางไร้ผู้คน

ยิ่งเห็นหน้าตรงๆ ดอมก็ยิ่งหมั่นไส้ คิดไว้ตั้งแต่ครั้งแรกที่พบเจออีกฝ่ายที่อู่ซ่อมรถเจ้าประจำที่เขาไปใช้บริการแล้วว่าหมอนี่มันหน้าตาดี ใบหน้าคมเข้มสีน้ำผึ่งรับกับคิ้วเข้มและดวงตาคม แถมจมูกเป็นสันกับริมฝีปากรูปกระจับที่ห้อยเกินปกติแบบที่ดอมเคยด่าในใจว่า “ไอ้ห้อย” แต่กระนั้นมันก็ดูดีชนิดที่ถ้าเดินตามย่านร้านค้าก็อ่านจะทำให้ใครต่อใครหันมาสนใจได้

“อะไรนักหนา เพื่อนมึงยังหาเรื่องกูไม่พออีกหรือไง”

“ได้ข่าวว่าไปหาเรื่องเขาก่อน ใครใช้ให้ไปยุ่งกับเด็กกิวแบบนั้นล่ะ”

โดนตอกกลับมาตรงๆ เช่นนี้ก็เกิดอาการหน้าชา เพราะเป็นเรื่องจริงที่เขาไปหาเรื่องเพื่อนของคนตรงหน้าก่อน แต่ใครจะไปคิดล่ะว่าคนที่ไม่เคยจะสนใจว่าอะไรจะเกิดขึ้นรอบกายตัวเองจะจริงจังกับเรื่องของเด็กผู้ชายคนนั้นขนาดนี้ เขาก็แค่ทำเพราะอยากจะดูปฏิกิริยาและลงโทษที่เด็กมาปากดีกับเขาเฉยๆ

“เออ! กูผิดเองแหละที่เสือกไปยุ่งกับเด็กมัน พอใจแล้วก็คืนรถกูมา!”

ตั้งท่าจะดึงรถตัวเองกลับมาแต่อีกฝ่ายกลับเดินเข็นรถนำไปเสียก่อน

“กูบอกให้เอารถกูมาไง!”

“เอาไปที่ร้านเดี๋ยวพรุ่งนี้มาซ่อมให้”

“ไม่จำเป็น เดี๋ยวกูให้คนที่บ้านเอาไปซ่อม มึงไม่ต้องยุ่ง!”

กระชากเบาะหลังไว้เพื่อยื้อให้หยุดเดิน แต่เพราะแรงที่มีอยู่น้อยกว่าบวกกับที่เสียแรงไปเยอะจึงทำให้รถแค่กระตุกเบาๆ เท่านั้น

“อู่อยู่ใกล้ๆ ถ้าไม่ให้ซ่อมพรุ่งนี้ก็ค่อยมาเอา จอดไว้ตรงนี้มันอันตราย”

“โว๊ะ! อยากทำอะไรก็ทำไปเลยไป มึงอยากเข็นมากก็เข็นไปเลย”

ดอมปล่อยมือ ส่งเสียงฮึดฮัดขัดใจในลำคอแล้วชิ่งออกตัวเดินนำก่อน แต่ไม่รู้เพราะขาเขาสั้นหรืออีกคนขายาวกันแน่ ไปๆ มาๆ ถึงได้กลับมาเดินตีคู่ข้างกันเช่นเดิม ตาเรียวเหลือบมองร่างสูงเคียงกัน ชั่วครู่เดียวก็สะบัดหน้าหนีอย่างไม่พอใจ ท่าทางดื้อรั้นเหมือนลูกแมวพยายามทำตัวเย่อหยิ่งขับรอยยิ้มที่มุมปากหยัก ก่อนเขาจะเริ่มเอ่ยถาม

“ทำหน้าแบบนั้นไม่เจ็บแผลหรือไง? ยังบวมอยู่เลยนะ”

โดนทักจึงได้รู้สึกถึงความเจ็บ หน้าเขายังระบมมากจริงๆ เพราะเพิ่งผ่านเหตุการณ์ชุลมุนไปได้ไม่นานดีให้แผลประสาน นี่ถ้าหากเมื่อครู่คู่กรณีลงซ้ำที่หน้าอีกเขาคงต้องได้แผลแตกอีกสักแผลสองแผลแน่ๆ ก็เคยคิดอยู่หรอกว่าคนตัวใหญ่ ร่างควายแบบไอ้กิวต้องหมักหนัก แต่ใครจะไปคิดว่ามันจะชกซ้ำมารัวๆ ล่ะว่ะ หน้าเน้อแหกหมอก็เย็บไม่ทัน

“เพราะเพื่อนใครล่ะ?”

“ก็ดอมไปทำให้มันโกรธเอง ขอโทษแทนกิวด้วยแล้วกัน หมัดมันหนักไปหน่อย”

เอ่ยขอโทษพร้อมด้วยรอยยิ้มที่ใครต่อใครมองก็ต้องบอกว่าดูดีแต่ในสายตาดอมมันสุดแสนจะกวนตีน ทำเหมือนยิ้มให้เด็กอนุบาลไม่รู้จักโตไปได้ เขาเบะปากแต่ก็ต้องเบ้หน้าเมื่อความเจ็บแล่นขึ้นมาอีกครั้ง

ลานจอดรถที่ดอมหมายมั่นว่าจะฝากรถไว้อยู่ไม่ไกลนัก ใช้เวลาเดินเท้ากันไม่เท่าไหร่ทั้งสองก็มาถึงรถกะบะบุโรทังคันเก่าที่เห็นครั้งแรกดอมยังนึกว่าเป็นเศษเหล็กที่ทิ้งไว้รอขาย แต่เมื่ออีกฝ่ายเริ่มเอาอุปกรณ์ที่มีทั้งบันได และผ้าปูพลาสติกมารองเพื่อใช้นำรถขึ้นด้านหลังเขาก็ต้องยอมตามน้ำ ปล่อยให้คนตัวสูงจัดการนำรถของเขาขึ้นไปจอดพร้อมขนอยู่บนนั้นแต่โดยดี ก่อนที่เขาจะย้ายมวลสารร่างไปนั่งอยู่ข้างที่นั่งคนขับอย่างอิดออดหลังเถียงกันจนหมาหอนไล่จากไกลๆ

“ไม่เคยคิดว่าจะได้ตุ๊กตามานั่งหน้ารถแบบนี้นะเนี่ย” ชายหนุ่มเอ่ยขณะบิดกุญแจสตาร์ทรถ “เสียแต่ตุ๊กาตัวนี้หน้าบึ้งไปหน่อย ถ้ายิ้มหวานเหมือนในรูปคงจะดีกว่านี้

รอยยิ้มกวนตีนถูกส่งให้อีกครั้ง แต่ดอมหมดแรงจะเถียงจึงได้แต่เบือนหน้าออกไปมองนอกรถ ทั้งที่ด้านนอกก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าต้นหญ้าที่ขึ้นสูง แต่เขาก็รู้สึกดีกว่าต้องมองหน้าสารถีจำเป็นที่ตนรับมือไม่เคยได้

เขาเจออีกฝ่ายครั้งแรกตอนนำรถไปซ่อมที่อู่ประจำ เห็นหน้าตอนแรกก็ตั้งแง่ด้วยทั้งทีเพราะรู้ว่าเป็นคนของกิว แต่พอได้เจอกันบ่อยครั้ง และรถที่นำไปซ่อมแต่ละคันก็นำมาใช้ได้ดีโดยที่ไม่ต้องเขาอู่บ่อยเช่นแต่ก่อนจึงทำให้ดอมรู้ว่าฝีมือการซ่อมรถของผู้ชายคนนี้ไม่ใช่เล่นๆ ถูกใจฝีมือจึงได้พูดคุยกันบ่อยครั้ง แต่ถึงกระนั้นก็ไม่อาจทัวสนิทสนมมากเกินไปได้เพราะสถานภาพไม่เหมาะไม่ควรเท่าใด และเขาก็ถือทิฐิไม่ยอมสนิทสนมกับใครจนเกินไปโดยเฉพาะเพื่อนของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นศัตรู ถึงจะอยากพูดคุยให้มากกว่าที่เป็นอยู่ก็เถอะ

ดอมมองดูความมืดข้างนอกที่สลับด้วยแสงไฟข้างทางเป็นช่วงๆ เขาไม่เคยนั่งรถเปิดกระจกเช่นนี้มาก่อนเพราะที่บ้านไม่ค่อยชอบการกระทำเช่นนั้นเท่าไหร่ และความจริงดอมก็ไม่ค่อยชอบนักเพราะฝุ่นที่เยอะอาจจะทำให้สิวขึ้นในจุดที่เด่นชัดเกินกว่าจะปกปิดได้ สายลมเย็นๆ ยามค่ำคืนที่พัดมากระทบหน้าทำให้เขาเกือบเคลิ้มหลับแล้วหากไม่ได้เสียงของคนข้างๆ เรียกเอาไว้

“ถามอะไรหน่อยได้ไหม?”

อาจจะเพราะความสบายจึงทำให้เขาลืมตัวตอบรับไปอย่างง่ายดาย

“เอาสิ”

“ทำไมถึงตั้งแง่กับกิวขนาดนั้น?”

“หมั่นไส้” ดอมตอบกลับไปทันที เขาเหลือบไปเห็นอีกฝ่ายเลิกคิ้วทั้งที่ยังมองท้องถนนเบื้องหน้า “ใครๆ ก็พูดว่ามันดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้ตั้งขึ้นม.ปลาย ขนาดที่บ้านยังเอ่ยถึงมันในฐานะลูกของประธานอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ ขนาดพ่อแม่ยังชมมัน พี่สาวยิ่งไม่ต้องพูดถึง ถวายตัวได้คงใส่พานให้มันถึงที่ ขนาดมีข่าวว่ามันทำเรื่องแย่ๆ ซึ่งมันก็ทำจริงๆ ซะด้วย ยังจะมีคนปกป้องมันโคตรน่ารำคาญ โคตรหมั่นไส้”

“เหมือนเด็กขี้อิจฉาเลยนะแบบนั้น”

“แล้วแต่จะคิด”

รู้อยู่แล้วว่าความคิดของเขามันเด็ก แต่หากต้องมานั่งฟังพ่อแม่พูดชมใครก็ไม่รู้มาตลอดตั้งเด็ก แถมพี่สาวก็ยังคลั่งไคล้ในความหล่ออย่างไม่ลืมหูลืมตา แถมพอเขาเอาไปบอกว่าคนที่ชมกันนักหนาความจริงไม่ใช่คนดีเลยกลับโดนหาว่าใส่ความ อาจจะเป็นเพราะแบบนั้นด้วยถึงทำให้เขาอยากจะริลองเดินมาตามเส้นทางนี้ และก็พบว่ามันสนุกเกินกว่าจะวางมือ แถมยังมีเงินใช้ มีของดีๆ มีคนมาห้อมล้อมให้ความสนใจสนใจอย่างที่ต้องการมาลอด

“ที่แต่งหญิงนี่ที่บ้านรู้หรือเปล่า?”

“ไม่รู้” ว่าแล้วก็นึกอะไรได้ดอมจึงเป็นฝ่ายถามกลับบ้าง “ใครเป็นคนหารูปพวกนั้นมา”

“คงเป็นรูท รายนั้นเก่งเรื่องพวกนี้”

“ทำไม่เดาหวยไม่ถูกแบบนี้วะ”

ที่จริงควรจะต้องโมโหแต่ไม่รู้ทำไมตอนนี้ดอมถึงไม่ได้ใส่ใจแล้ว หากกลับรู้สึกปลอดโปร่งที่ได้รู้เรื่องพวกนี้ และได้ระบายเรื่องราวที่มีอยู่ในใจออกไป

“แล้วที่แต่งเพราะประชดพ่อแม่หรือเปล่า?”

“เปล่า แค่ชอบ รู้สึกว่าเหมาะดี”

“ก็เหมาะจริงๆ นั่นแหละ” อีกฝ่ายว่า ใช้เวลาช่วงนึงขณะชะลอรถหันมายิ้มให้เขา “สวยมากเลย”

ไม่รู้ทำไมหน้าถึงได้ร้อนอย่างไม่มีสาเหตุ หัวใจสั่นไหวเพราะคำพูดและรอยยิ้มขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัวจนดอมต้องกลบเกลื่อนด้วยการพ่นลมหายใจแรงๆ แล้วหันออกไปมองนอกตัวรถเช่นเดิม ดอมเงียบ คนด้านข้างก็เงียบ ทั้งสองปล่อยให้เสียงเครื่องยนต์และเสียงลมหวีดหวิวดังกลบทุกสิ่งทุกอย่าง ถนนด้านข้างก็มีต้นหญ้าสูงๆ สลับกับบ้านเรือนที่ตั้งห่างกันเช่นเคยเดิม แต่ไม่รู้ทำไมดอมกลับเผลออมยิ้มให้กับทิวทัศน์ด้านนอกนั้น

รถคันเก่ามาจอดที่หน้าอู่ตอนเวลาเกือบตีหนึ่ง รถแสนรักของดอมถูกเข็นลงมาจอดไว้หน้าโกดังรถเพราะอีกฝ่ายไม่มีกุญแจเปิดเข้าไป แต่เพียงแค่นี้ก็ไม่น่าเป็นห่วงว่ารถจะหายอีกแล้ว เพราะถึงอย่างไรก็เป็นภายในรั้วบ้านเจ้าของอู่ คงไม่มีใครกล้าปีนข้ามรั้วปักแก้วเข้ามาให้เจ็บตัวเล่นหรอก

“เสร็จแล้วฉันกลับละ ขอบคุณนายด้วย”

จากอู่ถึงตัวบ้านเขาไม่ไกลกันเท่าไหร่ แค่เดินเข้าซอยแรกไปจนสุดก็เจอ ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาแม้จะเป็นยามดึกดื่นค่ำคืนแล้ว

“แน่ใจนะว่าไม่ให้ไปส่ง โดนฉุดไปช่วยไม่ทันหรอกนะ”

“ปากหมา เป็นผู้ชาย ใครเขาจะมาฉุดวะ!”

“ก็ไม่แน่หรอก” รอยยิ้มกวนตีนกลับมาอีกครั้ง คราวนี้มันยกซองสีน้ำตาลขึ้นมาโบกด้วย “สวยเกินผู้หญิงขนาดนี้จะมีคนเข้าใจผิดก็ไม่แปลก”

“โอ้ย! ก็เรื่องกูเหอะ ลาขาด”

ดอมหันหลังให้อีกฝ่าย ตั้งใจจะเดินหนีไม่อยู่รอให้โดนกวนประสาทอีก หากข้อมือกลับโดนรั้งไว้ให้ต้องหันมาขมวดคิ้วส่งสายตาอาฆาตอีกรอบ แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรอีกฝ่ายได้เมื่อเจ้าตัวยังคงยกยิ้ม


ยิ้ม และยิ้ม ยิ้มแม่งอยู่นั้น พ่อมึงเป็นตัวตลกโบโซหรือไง!? ไอ้ห้อยเอ้ย!!


“แค่จะบอกว่าเรื่องไอ้กิวน่ะ ไม่ต้องน้อยใจให้มันมากนักหรอก”

“เหอะ ไม่ต้องให้มึงบอกหลังจากนี้กูก็ตั้งใจไว้แล้ว”

“ก็ดีแล้ว... ทำตัวดีๆ ไม่แน่ได้กิวเป็นเพื่อน เสริมบารมีอีกนะ”

เพื่อนมึงกูไม่อยากได้มาเสริมบารมีหรอก แล้วนี่อะไรเสือกมายีหัวกูอีก... ดอมคิดแล้วมุ่นคิ้วขณะรับฟังคำพูดไพเราะและการกระทำเหมือนกำลังปลอบเด็กน้อย แต่ก็ต้องยอมรับว่ามือใหญ่ๆ ของอีกฝ่ายมันชวนให้รู้สึกดีอยู่เหมือนกัน

“แล้วก็นะ... ไม่ต้องทำตัวให้เด่นมากนักก็ได้”

“?”

คำพูดน่าฉงนทำให้ดอมงุนงง เห็นเขาทำสีหน้าเช่นนั้นอีกฝ่ายก็เหมือนจะพึงใจมุมปากที่ยกอยู่ถึงได้ยกสูงขึ้น มือที่ลูบหัวอยู่ก็เปลี่ยนจากยีมาเป็นลูบเบาๆ คล้ายเวลาต้องการปลอบโยน ทั้งคู่อยู่ในสภาพนั้นจนกระทั่งใบหน้าคมเข้มที่ดอมเคยเผลอนึกชมในใจจะเลื่อนเข้ามาใกล้ชนิดที่ลมหายใจร้อนๆ สามารถกระทบหน้า รอยยิ้มละมุนเด่นบนใบหน้าหล่อเหลา และเขายังเห็นเงาของตัวเองในตาของอีกฝ่ายได้ สถานการณ์ที่ไม่เคยประสบพบเจอแม้แต่กับเพศตรงข้ามทำให้อกด้านซ้ายเริ่มเต้นไม่เป็นส่ำจนดอมกลัวว่าคนตรงหน้าจะได้ยิน

 “เพราะถึงไม่ต้องทำอะไรฉันก็สนใจนายอยู่ดี รู้ตัวบ้างหรือเปล่า?”

เจ้าของรอยยิ้มแกล้งกระเถิบมาใกล้จนริมฝีปากเฉียดเแก้มเขาแล้วกระซิบเบาๆ เพียงเท่านั้นก่อนจะผละห่างออกไป ปล่อยให้ดอมยืนอึ้งประมวลผลคำพูดที่เพิ่งได้ยินครู่

“..........”

“เงียบ... สงสัยจะช็อต”

“..........”

“ดอม ถ้ายังอึ้งอยู่ เดี๋ยวจับปล้ำซะตรงนี้เลยนะ”

เมื่อเห็นดอมยังเงียบอยู่อีกฝ่ายจึงแสร้งถอนหายใจเฮือกใหญ่ ฝ่ามือใหญ่เปลี่ยนจากหัวกลมๆ มาวางที่แก้มแล้วใช้นิ้วโป้งเกลี่ยเบาๆ ก่อนจะช่วงชิงริมฝีปากของเขาด้วยปากของตนที่เคยโดนปรามาสไว้ว่าห้อยอย่างรวดเร็ว และสัมผัสนิ่มหยุ่นนั่นแหละที่กระชากสติของดอมให้เข้าที่ แขนเรียวรีบผลักอกกว้างออก

“ทะ... ทำอะไรของมึงเนี่ย?!”

“ก็เห็นอึ้งเลยจะปลุก”

“ปลุกบ้านมึงใช้วิธีนี้เหรอ!?” หลังมือถูกยกมาถูที่ริมฝีปาก หน้าขาวซึ่งได้จากแม่มาเห่อร้อนไปหมด

ร่างสูงหัวเราะกับท่าทางของเขาเสมือนพึงพอใจเต็มที่ ดอมปรายตาเรียวมองอย่างอาฆาต นี่มันเข้าข่ายลวนลาม! อาชญากรรมทางเพศ! คนที่เพิ่งเคยคุยกันแบบจริงจังครั้งแรกใครเขาจะทำแบบนี้ ยิ่งเป็นผู้ชายเหมือนกันใครมันจะมาทำเรื่องแบบนี้กัน!
ยกเว้นไอ้กิวไว้คนนึง

“เอาหน่ะๆ แค่นี้ไม่สึกหรอก”

พูดเสียงสบายๆ ขณะยื่นมือทำท่ายอมแพ้ แต่ประโยคที่ต่อมาทำให้ดอมต้องด่ากราดไปด้วยเสียงดังชนิดที่หมาแถวบ้านสะดุ้งตื่นมาเห่าแทบไม่ทัน

“แต่จูบบ่อยๆ ก็ไม่แน่นะ ไหนลองอีกที”

 “ลองบ้านบรรพบุรุษมึงสิ! ปล่อยนะ! ไอ้... ไอ้... ไอ้เหี้ยพล! กูเกลียดมึง! อื้อออ”





หัวหน้าแก๊งค์ (ตอนพิเศษ) จบ



------------------------------------------------------------------

Talk : สวัสดีค่า

ตั้งใจให้เดากันเล่นๆ ว่าใครคู่ใคร เดากันออกไหมคะ?

หลายๆ คนคงจะสงสัยว่าคู่นี้มันมาได้ไง แล้วจะมีภาคต่อมั้ย บลาๆๆ
ความจริงเราก็ยังมึนกับตัวเองค่ะว่างอกคู่นี้มาได้ยังไง อาจจะเพราะสงสารดอมมั้ง คนอื่นเขาแฮปปี้แล้วทำไมดอมต้องอาภัพคนเดียว แถมคนสวยนิสัยห้าวๆ คนนี้ก็เป็นแบบที่เราชอบด้วยค่ะ เลยขอจัดคู่ให้เขาหน่อย แต่สำหรับคู่นี้จะไม่มีตอนต่อนะคะ (ณ ตอนนี้) แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้ล่ะเนอะ

ความจริงแล้วดิมกับรูทนิสัยออกจะคล้ายกันอยู่ค่ะ ที่เห็นว่ารูทชอบต่อปากต่อคำเพราะหมั่นไส้ขี้หน้ากันนั่นแหละ แต่อนาคตอาจจะเป็นเพื่อนกันได้ก็ได้นะ จะไปแก้ไขจุดนี้ในส่วนของภาคมหาลัยด้วยค่ะ เนื่องจากภาพมหาลัยแต่ก่อนเลยทำให้ต้องแก้ไขลายละเอียดเยอะเลย หากว่าอ่านแล้วงงๆ ต้องขออภัยด้วยนะคะ

แล้วเจอกันในตอนพิเศษ 4 ค่ะ คู่ไหนต้องรอดูนะ :pig4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-03-2015 20:33:50 โดย ennewiis »

ออฟไลน์ quiicheh.

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-9
ตายละดอมมมมมมมเสร็จคุณครูใช่ไหมคะนี่
แต่ตอนที่แบบคุณพ่อคุยกะพี่กิวมันใช่
แบบบบบคุยกันได้สักที
น้องพายน่ารักตั้งแต่ต้นเรื่องยันตอนนี้

ออฟไลน์ chisarachi

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1019
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +49/-1
จบแล้ววววว
นี่มาดูอ้าวลืมเม้นตอนที่แล้ว5555 5
ชอบพี่กิวที่แมนมากกกกกกกกก
น้องพายน่ารัก เป็นดวงใจของพี่กิว
เป็นความน่ารักของพี่กิว
เป็นเหมือนตัวเชื่อมความสัมพันธ์
เป็นสุดที่รัก
เป็นทุกอย่างเลยย ย
อยากอ่านตอนพี่กิวโกรธน้อง55 5 55
อยากรู้ว่าคนที่รักน้องพายได้ขนาดนี้เวลาโกรธจะเป็นแบบไหน


ออฟไลน์ ennewiis

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 47
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0
ตายละดอมมมมมมมเสร็จคุณครูใช่ไหมคะนี่
แต่ตอนที่แบบคุณพ่อคุยกะพี่กิวมันใช่
แบบบบบคุยกันได้สักที
น้องพายน่ารักตั้งแต่ต้นเรื่องยันตอนนี้

ดีใจที่เขาคุยกันได้สักทีค่ะ เพราะพี่กิวเราก็แค่ดื้อแพ่งเท่านั้นเองงงงงง (เสียงสูงมาก)
ความจริงคุณพ่อน่ารักมากๆ นะคะโดยเฉพาะกับน้องพาย 555555555555555555555555555
มาหลงรักน้องของพี่กิวกันค่ะ  :hao3:
ขอบคุณที่ติดตามเสมอค่ะ

ออฟไลน์ ennewiis

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 47
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0
จบแล้ววววว
นี่มาดูอ้าวลืมเม้นตอนที่แล้ว5555 5
ชอบพี่กิวที่แมนมากกกกกกกกก
น้องพายน่ารัก เป็นดวงใจของพี่กิว
เป็นความน่ารักของพี่กิว
เป็นเหมือนตัวเชื่อมความสัมพันธ์
เป็นสุดที่รัก
เป็นทุกอย่างเลยย ย
อยากอ่านตอนพี่กิวโกรธน้อง55 5 55
อยากรู้ว่าคนที่รักน้องพายได้ขนาดนี้เวลาโกรธจะเป็นแบบไหน


ใช่ที่สุดเลยค่ะ ตั้งใจให้น้องมาเป็นทุกอย่างของพี่กิวนี่แหละ แถมน้องก็เต็มใจเสียด้วย  o22
รู้สึกอิจฉาพี่กิวระดับสิบค่ะ 55555555555
ตอนที่พี่กิวโกรธน้องนี่เรายังคิดอยู่เลยค่ะว่าจะเป็นยังไง... ฮู้ยยยย
ขอบคุณที่ติดตามเสมอค่า

ออฟไลน์ ่jjay

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 454
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-0
จบแล้ววววววววว :katai2-1: รออ่านตอนพิเศษนะคะ :hao7:

ดอมมีคู่ด้วย เริดดดดดดดดดด :katai3:

ออฟไลน์ ennewiis

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 47
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0
จบแล้ววววววววว :katai2-1: รออ่านตอนพิเศษนะคะ :hao7:

ดอมมีคู่ด้วย เริดดดดดดดดดด :katai3:

ตอนพิเศษตอนต่อไปคาดว่าจะเป็นพรุ่งนี้ค่ะ
ขุ่นดอมเขาจะเปล่าเปลี่ยวก็กระไร จัดให้เขาสักหน่อย 5555555555555
ขอบคุณที่ติดตามค่า

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ himecrazy

  • Alon€ In th€ DarK
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ennewiis

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 47
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0
หัวหน้าแก๊งค์ (ตอนพิเศษ)
ตอน เพื่อนสนิท






 ความอยากรู้อยากเห็นเป็นพื้นฐานอย่างหนึ่งของมนุษย์

ยิ่งเป็นเรื่องของคนที่เรากำลังให้ความสนใจ ยิ่งต้องอยากค้นหา อยากรู้เรื่องราวของเขา โดยเฉพาะถ้าเรื่องนั้นเป็นเรื่องของคนที่เขาชอบด้วยแล้วล่ะก็ ใครจะไม่อยากรู้กันล่ะ จริงไหม?

และตอนนี้ธีร์ก็เป็นหนึ่งในคนจำพวกนั้น

 “ธีร์ วันนี้ต้องไปไหนหรือเปล่า? เราอยากไปร้านหนังสือน่ะ”

“ก็ไปสิ”

ธีร์ตอบไปห้วนๆ เพื่อแสดงออกว่าตนกำลังไม่พอใจ

“ฮะๆ อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ไปกัน เดี๋ยววันนี้เราเลี้ยงไอติม”

ไม่รู้หรอกว่าตนทำหน้าแบบไหน แต่คงไม่น่ากลัวเท่าไหร่เพราะวินเพียงหัวเราะแล้วคว้ากระเป๋าของเขาไปถือคล้ายจะกระตุ้นให้ออกจากห้องเรียนกันสักที

วันนี้เพื่อนสนิทอีกหนึ่งคนในกลุ่มเขาขอตัวกลับก่อนและแยกไปตั้งแต่ถึงป้ายรถหน้าโรงเรียน พายให้เหตุผลว่าเพราะวันนี้ไม่มีคนมารับ กลัวว่าการโดยสารรถประจำทางจะทำให้เดินทางช้า หากไปเที่ยวอีกคงจะกลับช้ามากเกินแล้วที่บ้านจะเป็นห่วง แต่เขามั่นใจว่าต้องมีสาเหตุอื่น ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องของพี่ชายตัวโตที่หายไปทั้งที่ปกติจะคอยมาเทียวรับเทียวส่งนั่นแหละ

ห้างสรรพสินค้าช่วงเย็นเช่นนี้มีคนเยอะไม่น้อยไปกว่าวันหยุดสุดสัปดาห์เลย ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็มีแต่ผู้คน บางครั้งเห็นกลุ่มเพื่อนทั้งในและต่างโรงเรียนเดินผ่านไปก็มี แต่ทั้งคู่ก็ไม่คิดจะทักทายอย่างจริงจังเท่าไหร่

ใช้เวลาไม่กี่อึดใจร้านหนังสือที่เป็นจุดหมายก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า ทั้งสองจัดแจงฝากกระเป๋าไว้ที่เคาท์เตอร์แคชเชียร์และเดินไปหามุมหนังสือที่วินตั้งใจไว้ว่าจะมาดู และก็เป็นเหมือนทุกครั้งที่เมื่อเข้าร้านหนังสือวินจะบอกให้เขาไปหาที่นั่งรอก่อนแล้วตนจะเป็นฝ่ายไปเดินหาสิ่งที่ตัวเองต้องการเอง ซึ่งปกติธีร์จะงอแงขอตามติดไปด้วยทุกครั้ง แต่วันนี้เขากลับยินยอมที่จะทำตามคำบอกด้วยไม่มีอารมณ์จะต่อล้อต่อเถียงเท่าไหร่ หรือง่ายๆ คือเขากำลัง โคตรเซ็ง ที่ยังไม่ได้คำตอบที่ต้องการสักที

ธีร์สนิทกับวินอยู่บ้านติดกันมาตั้งแต่ยังจำความได้ นั่นทำให้พวกเขาสนิทกันมานานนมแล้ว ไม่ว่าจะกิน จะเดิน จะเล่น จะเรียน ทั้งคู่ทำด้วยกันมาตลอด ไม่ว่าเขาจะมีเรื่องอะไร ทั้งดี ไม่ดี หรือแม้กระทั่งความลับพวกเขาก็บอกกันและกันมาตลอด แทบจะเรียกได้ว่าระหว่างพวกเขาไม่เคยมีเรื่องปิดบังกันเลย

เขารู้ตัวมานานแล้วว่ากำลังรู้สึกดีๆ กับเพื่อนสนิทในรูปแบบที่ไม่สมควร และวินก็รู้เพราะเขาแสดงออกให้เห็นอย่างชัดเจน แต่อีกฝ่ายกลับไม่พูดอะไรแล้วใช้ชีวิตอยู่กับเขาเหมือนที่เคยเป็นมาแบบปกติ ซึ่งเขาก็ยอมรับในส่วนนั้นมาตลอด และพึงพอใจกับความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสอง จนมากระทั่งวันนี้ที่เขาได้ยินจากปากของวินเองว่า วินมีคนที่ชอบแล้ว

ยามที่ได้ยินเช่นนั้น เขารู้สึกเหมือนใจตัวเองตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม มันมึนชาไปหมด ทั้งงุนงง สับสน และเสียใจ อยากจะรู้ว่าคนๆ นั้นเป็นใคร เป็นผู้หญิงหรือเป็นผู้ชาย อายุมากกว่าหรือน้อยกว่า ไปรู้จักกันอีท่าไหน แล้วเขารู้จักคนๆ นั้นด้วยหรือเปล่า บลาบลาบลา เยอะแยะมากมายเต็มไปหมด หากเพื่อนสนิทที่ตนแอบคิดไม่ซื่อ (บางทีอาจจะใช้คำว่าแอบไม่ได้เพราะอีกฝ่ายก็รู้ตัว) กลับไม่แม้แต่จะตอบคำถามใดๆ เพียงแค่ส่งยิ้มละมุนตามแบบฉบับของเจ้าตัวให้เท่านั้น แล้วแบบนี้จะให้เขาคิดยังไง

“เฮ้อ...”

เคยมีคนบอกว่าถ้าถอนหายใจหนึ่งครั้วความสุขก็จะลดลงไปหนึ่งวัน เขาไม่รู้หรอกว่ามันเป็นเรื่องจริงไหม แต่ถ้าคำพูดนั้นจริง เขามั่นใจว่าวันนี้เขาทำความสุขหายไปเกือบครึ่งชีวิตแล้ว

“ถอนหายใจอีกแล้ว วันนี้ธีร์ถอนหายใจหลายรอบแล้วนะ”

“ก็เพราะใครล่ะ?”

“เพราะเราเ? ไม่เอาหน่าธีร์ โตๆ กันแล้วนะ จะมางอนอะไรกับเรื่องแค่นี้ล่ะ”

เพราะเป็นเรื่องของวินเขาถึงได้งอนไม่ใช่หรือไง!? ธีร์อยากจะตะโกนใส่หน้าอีกฝ่ายหากทำได้เพียงแค่ขมวดคิ้วให้กับคำพูดนั้น รู้ว่าหากเขาพูดไปก็คงไม่มีอะไรเกิดขึ้นอยู่ดีนอกจากการหัวเราะเบาๆ แล้วเดินหนีไป

“.....วินไปเลือกหนังสือเถอะ เดี๋ยวเรารออยู่ตรงนี้แหละ”

“วันนี้ไม่ยักดื้อขอไปด้วยแหะ ลืมเหรอ?” เอ่ยเย้าเพื่อนเล็กน้อยพร้อมรอยยิ้ม

“เปล่าอะ ไปเลือกหนังสือเถอะ”

วินเลิกคิ้ว ไม่เคยมีสักครั้งที่ธีร์มีท่าทางเช่นนี้กับเขา แต่ก็รู้ว่าเพราะการกระทำของตัวเองด้วยนั่นแหละที่ทำให้เพื่อนมีท่าทีไม่พอใจ จึงเลือกที่จะไม่พูดเย้าอะไรแล้วปลีกตัวมาค้นหาหนังสือต่อเพราะกลัวว่าจะทำให้ร่างสูงตรงหน้าไม่พอใจไปมากกว่านี้

ธีร์มองตามแผ่นหลังที่เดินจากไป แม้จะรู้อยู่แล้วว่ามันไม่ดีที่ไปหงุดหงิดใส่แบบนั้น แต่ความอึดอัดและความน้อยใจมันมีมากเกินกว่าจะรั้งอารมณ์ตัวเองไหว เห็นทีหลังจากที่เลือกซื้อหนังสือเสร็จเขาคงต้องขอตัวกลับก่อน หากไปร้านไอศกรีมตามที่โดนชักชวนไว้แต่แรกเขากลัวว่าจะระงับอารมณ์ไม่อยู่ จนเผลอพูดจาไม่ดีใส่อีก

“ธีร์ไปกันเถอะ”

ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมงก่อนที่ร่างคุ้นตาจะเดินกลับมาหาเขาพร้อมหนักสือหลายเล่มในมือ ธีร์พยักหน้าขณะเอื้อมไปคว้าหนังสือมาถือไว้เอง จ่ายเงินเสร็จเรียบร้อยพร้อมรับกระเป๋านักเรียนกลับคืนมาวินก็ช่วยเขาลงไปโซนอาหารชั้นล่างเพื่อจะเลี้ยงไอศกรีมอย่างที่บอกตอนอยู่โรงเรียน

“วิน คือเราตั้งใจ...”

เด็กหนุ่มตั้งท่าจะเอ่ยปากปฏิเสธหากมีเสียงบุคคลที่สามแทรกขึ้นมาก่อน

“อ้าว วิน มาทำอะไรน่ะ?”

“พี่ภัทร! สวัสดีครับ”

ชายหนุ่มรูปร่างดีในชุดนักศึกษาของมหาวิทยาลัยชื่อดังละแวกนี้เดินเข้ามาใกล้พร้อมรอยยิ้ม เห็นวินยกมือไหว้เขาจึงรีบไหว้ตาม สงสัยอยู่เหมือนกันว่าผู้ชายตรงหน้านี้คือใคร เพราะเขาจำไม่ได้ว่าเคยรู้จักคนชื่อภัทรมาก่อน

“สวัสดีครับ วิน สวัสดีครับ...?”

เงียบแล้วยิ้มให้คนที่อยู่ข้างๆ ราวกับจะถามไถ่ชื่อ

“ธีร์ครับ เพื่อนวินเอง ชื่อธีร์”   

“สวัสดีครับธีร์”

“.....สวัสดีครับ”

คำแทนตัวที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนทำให้ธีร์ต้องขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ เขามองใบหน้าด้านข้างของวินสลับกับคนชื่อภัทร วินดูจะมีความสุขที่ได้เจอกับคนๆ นี้เพราะรอยยิ้มบนหน้าได้รูปนั้นกว้างกว่าทุกครั้ง

“นี่พี่ภัทร พี่ที่สอนดนตรีให้เราตอนอยู่ชมรมน่ะธีร์ พี่เขาสอนเก่งมากเลยนะ ขนาดเราที่ไม่ได้เป่าฟลุ๊ตมานานแล้ว พี่เขาย้ำให้ทีเดียวเราก็เป่าได้เลย เสียดายที่พี่เขามาได้แค่เดือนละครั้งเอง”

“ไม่หรอกๆ วินเก่งอยู่แล้ว ไม่ได้พี่สอนก็ทำได้” พี่ภัทรยิ้ม

“ไม่ครับ! เพราะพี่ภัทรสอนต่างหากวินถึงจำได้”

วินกับพี่ภัทรคุยสัพเพเหระในเรื่องที่เขาไม่รู้จักจึงทำได้เพียงแค่ยืนเฉยๆ ขณะมองสำรวจคนทั้งคู่ ไม่แปลกที่เขาจะไม่เคยเห็นผู้ชายคนนี้เพราะเขากับเพื่อนอยู่กันคนละชมรม ตัวธีร์ชอบเล่นกีฬาจึงเลือกเข้าชมรมกรีฑา ในขณะที่วินชอบเล่นดนตรี จึงเข้าวงเครื่องเป่าของโรงเรียน

ดูท่าทางการคุยจะกินเวลานานเพราะดูเหมือนทั้งสองคนจะติดลม ธีร์เหม่อมองรอบๆ ตัวจนกระทั่งเสียงหัวเราะของวินลอยมากระทบหูเขา เสียงใสกังวาลที่เขาชอบทำให้ต้องหันกลับไปมอง ดูเหมือนเรื่องที่พี่ภัทรพูดเมื่อครู่จะตลกจนเพื่อนเขาต้องขำเสียหน้าดำหน้าแดง ธีร์มองแล้วลอบยิ้ม เขาชอบเวลาวินหน้าแดง แม้จะไม่เคยเห็นอีกฝ่ายหน้าแดงแล้วช้อนตามองเขาด้วยท่าทางเขินอายเหมือนคุยกับคนที่ชอบแบบนั้น...

คิดได้ตรงนี้เขาก็ชะงัก รู้สึกเหมือนมุมปากที่ยกจนถึงเมื่อครู่ตกอย่างกะทันหัน ใช่ เขาไม่เคยเห็นท่าทางแบบนั้นของคนที่อยู่ข้างกายเขาตลอด ความกระตือรือร้นที่จะเล่าเรื่องที่พบเจอมาก็ไม่มี และเมื่อนึกย้อนไปถึงคำพูดที่วินบอกกับพายนั้นเหมือนกับว่าวินไม่ค่อยได้เจอคนที่ชอบสักเท่าไหร่นัก... วินเจอพี่ภัทรเดือนละครั้ง และเดือนละครั้งมันค่อนข้างนานสำหรับคนที่รอคอย...

อย่างนี้นี่เอง เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมวินถึงไม่พูดเรื่องคนที่ชอบ เพราะถึงพูดไปเขาก็คงไม่รู้จัก จนกระทั่งวันนี้...

“ธีร์... ธีร์! ฟังเราอยู่หรือเปล่า?”

เสียงและแรกตีเบาๆ บนต้นแขนเรียกสติเขากลับคืนมาเพื่อมองภาพตรงหน้า วินหันมาคุยกับเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ และข้างๆ กันพี่ภัทรก็กำลังมองเขาด้วยรอยยิ้มแบบเดียวกับที่ส่งให้ตั้งแต่ครั้งแรก

“โทษที เราเหม่อไปหน่อย มีอะไรเหรอ?   

“ไปกินไอติมกัน ที่เราบอกไงว่าจะเลี้ยง เนี่ยๆ เดี๋ยวพี่ภัทรไปด้วย ไปกันสามคนสนุกดี”

คงมีแค่สองคนมากกว่าที่สนุก... แม้ไม่ได้พูดไปแต่เขาก็คิดเช่นนั้นจริงๆ

“วินไปกับพี่ภัทรเถอะ เราต้องกลับบ้านก่อน มีธุระน่ะ” เขาโกหกและแน่นอนว่าอีกคนไม่มีทางรู้

“อ้าว... งั้นเรากลับด้วยก็ได้...”

แม้จะพูดแบบนั้นแต่ธีร์รู้ว่าวินไม่ได้อยากกลับตอนนี้ไอศกรีมเป็นของหวานที่คนตรงหน้าเขาชอบมาที่สุด และแน่นอนถ้าได้กินกับคนที่ชอบก็คงทำให้วินมีความสุขมากที่สุด แล้ว “เพื่อน” ที่ดีอย่างเขาจะทำลายควาสุขของเพื่อนได้ยังไง

“ไม่ต้องหรอก เรากลับคนเดียวได้ วินไปกับพี่เขาเถอะ เรารีบมากเลยขอตัวก่อนแล้วกันนะ”

“เดี๋ยวก่อนสิธีร์ ธุระอะไรทำไมต้องรีบขนาดนี้...”

“ธุระส่วนตัวน่ะ เราไปก่อนนะ สวัสดีครับพี่ภัทร ไปนะวิน”

เอ่ยลาจบเขาก็หันหลังแล้วรีบเดินออกมาจากที่ตรงนั้นโดยไม่รอฟังอีกฝ่ายได้เอ่ยอะไรอีก

ธีร์จำไม่ได้ว่าหลังจากนั้นเขากลับมาถึงบ้านได้ยังไง มาจำได้อีกทีก็ตอนทิ้งร่างตัวเองลงบนเตียงแล้ว หมอนใบใหญ่ถูกใช้ปิดบังใบหน้า ตอนนี้ร่างกายมันชาไปหมด อกด้านซ้ายก็ปวดหนึบ รู้สึกเหมือนมันเต้นชาจนเกือบจะหยุดเต้น และเขารู้ดีว่านี่คืออาการของคนที่เพิ่งอกหัก

“.....ตลกเหี้ยๆ ชอบเขามาตั้งนานเพิ่งมารู้วันนี้ว่าเขาชอบใคร”

ธีร์พึมพำพยายามหัวเราะให้เหมือนกับที่เขาพูดว่าตลก แต่มกลับทำไม่ได้ แถมยังรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างไหลออกมาจากหางตาแล้วซึมหายไปกับหมอน

“เพื่อนสนิทมันก็เป็นได้แค่เพื่อนสนิทนั่นแหละมึง มันเปลี่ยนไปเป็นคนรักกันไม่ได้หรอก”

จำไม่ได้อีกเหมือนกันว่าใครเป็นคนพูด แต่เวลานี้ประโยคมันวนเวียนอยู่ในหัวซ้ำๆ คล้ายกับต้องการให้เขาจำให้แม่นว่ามันเป็นความจริง เพื่อนสนิทเปลี่ยนจากเพื่อนมาเป็นแฟนไม่ได้ ไม่มีทาง และไม่มีวันจะเปลี่ยนแปลงได้ สิ่งเดียวที่เขาสามารถทำได้ตอนนี้คงมีแค่การพยายามกลับไปเป็นเพื่อนกันและตัดใจ้จากความรักนี้เสียที...



ตึกๆ ตึกๆ ตึก

เสียงทึบหนักๆ บนหัวนอนปลุกให้เขาตื่นจากฝัน ไม่รู้ว่าเผลอหลับไปตั้งแต่ตอนไหน ธีร์ขยี้ตาพลางหันไปมองที่ต้นเสียง ดูเหมือนเสียงจะมาจากอีกฝั่งหนึ่งของผนัง ซึ่งตรงนั้นเป็นจุดเดียวกับที่ตั้งเตียงของวิน...

การที่ห้องของเขาสองคนอยู่ในจุดเดียวกันไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่เป็นความตั้งใจล้วนๆ อย่างที่บอกว่าพวกเขาไปไหนมาไหนด้วยกันตั้งแต่เด็กๆ แถมยังงอแงไม่ยอมแยกจากกันแม้กระทั่งตอนนอน ดังนั้นพ่อแม่ของเขาเลยหลอกล่อว่าให้เอาหัวเตียงมาชนกัน แม้จะอยู่คนละฟากแต่ก็เหมือนได้อยู่ด้วยกันแล้ว ความจริงแล้วห้องของพวกเขามีระเบียงแต่เพราะตอนแยกห้องนอนยังเด็กมากเขาจึงต้องล็อกประตูไว้ เวลาเหงาก็ได้แต่เคาะผนังเรียกกัน แต่พอโตแล้วจึงเปลี่ยนเป็นไปนั่งที่ระเบียงคุยกันแทน และเสียงทึบที่ดังเป็นจังหวะเมื่อครู่ก็คือสัญญาณตรวจเช็คว่าแต่ละฝ่ายหลับหรือยัง หากไม่หลับก็ให้เคาะกลับแล้วไปรอที่ระเบียงนั่นเอง

ความจริงเรื่องเมื่อตอนเย็นยังติดใจเขาอยู่ ถึงใจนึงจะบอกตัวเองว่ายังไม่ควรไปพบหน้าวินตอนนี้ แต่อีกใจก็กลัวว่าคนที่อยู่อีกฝั่งของห้องจะกังวลเรื่องที่เขาหนีกลับมาก่อนจนไม่ยอมนอน ธีร์จึงตัดสินใจว่าจะไปเจอแค่ครู่เดียวแล้วรีบขอตัวกลับ อ้างว่าง่วงนอนหรืออะไรตอนนี้ก็คงไม่แปลก

ตึกๆ ตึกๆ ตึก

กำปั้นใหญ่เคาะผนังเป็นจังหวะก่อนก้าวลงจากเตียงเพื่อออกไปพบปะอีกคนที่ระเบียง สูดลมหายใจแล้วถอนออกมาเฮือกใหญ่ พยายามยกยิ้มมุมปากเหมือนเช่นทุกทีแต่มันกลับกลายเป็นรอยยิ้มแหยแต่ก็ดีกว่าหน้าบึ้งๆ แล้วกัน เมื่อเขาเดินออกไปก็เจอวินนั่งรับลมอยู่แล้ว เขาแสร้งทำเป็นขยี้ตางัวเงียขณะเอ่ยทักเพียงสั้นๆ

“ไง...”

 “นี่ธีร์นอนทั้งชุดนักเรียนเลยเหรอ?” วินเลิกคิ้วมองเขา

พอโดนทักจึงรู้สึกตัว ทันทีที่เขากลับมาก็มานอนซึมอยู่บนห้องนอนแล้วก็หลับไปทั้งที่ยังไม่ทันได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเลย

“อ่า... พอดีธุระมันยุ่งๆ กลับมาถึงก็เหนื่อยเลยนอนเลยน่ะ”

“เหรอ.....”

แล้วพวกเขาก็เงียบไปทั้งคู่ ถ้าเป็นช่วงที่อารมณ์ของเขาคงที่บรรยากาศแบบนี้จะสงบชวนให้ธีร์รู้สึกสบายใจ และถึงจะมีรั้วบ้านกันเขาก็มีความสุขเพราะได้อยู่กับคนข้างๆ แต่เวลานี้ความเงียบที่ปกคลุมช่างน่าอึดอัด ธีร์ไม่รู้จะพูดอะไร และดูเหมือนวินก็ไม่ต้องการจะพูดอะไรเช่นกัน ต่างฝ่ายเพียงนั่งมองตรงไปข้างหน้า มองดูต้นไม้สูงใหญ่และหลังคาบ้านของละแวกบ้านใกล้เรือนเคียง

“ธีร์โกรธอะไรเราเหรอ?”

“เปล่านี่ เราจะโกรธวินทำไม” .....เราแค่เสียใจที่รู้ว่าคนที่วินชอบไม่ใช่เรา

“ก็เราไม่บอกธีร์ว่าคนที่เราชอบคือใคร แล้วหลังจากนั้นธีร์ก็แปลกไป.....”

รู้สึกดีใจที่วินยังเป็นห่วงความรู้สึกเขา แต่หากเป็นแบบนี้ต่อไปเขาต้องถูกความเป็นห่วงในแบบฉบับเพื่อนทำให้คิดเกินเลยอีก ดังนั้นเขาจึงควรจะแยกตัวกลับเข้าห้องของตัวเองได้แล้ว

“เรารู้แล้วล่ะว่าวินชอบใคร เราไม่ได้โกรธหรอก ไปนอนเถอะ”

“ธีร์จะรู้ได้ยังไงว่าเราชอบใคร เรายังไม่ได้บอกเสียหน่อย”

“เรารู้แล้วกัน... นี่ก็ดึกมากแล้ว รีบเข้าห้องเถอะ เดี๋ยวจะไม่สบาย”

ธีร์ว่าขณะยันตัวขึ้นจากพื้นโดยมีสายตาของวินมองตาม เขาไม่รู้ว่าคำพูดที่ส่งผ่านไปจะทำให้อีกฝ่ายเข้าใจหรือเปล่าว่าเขารู้เรียบร้อยแล้วว่าคนที่วินชอบคือพี่ภัทร ส่วนเขาก็ไม่ได้โกรธอะไร และตอนนี้เขาก็อยากจะกลับเขาห้องนอนแล้ว หากเมื่อเขาตั้งใจจะหมุนตัวเดินกลับเข้าห้องกลับโดนมือที่ยื่นมาจากระเบียงติดกันหยุดเขาไว้ วินมองเขา ด้วยสายตาเต็มไปด้วยความงุนงงสงสัย

“หรือว่า... ธีร์... คิดว่าเราชอบพี่ภัทร?”

“..........”

เขาไม่ตอบหากแต่เงียบและหันหลบสายตาของวิน แต่นั้นก็เป็นคำตอบที่กระจ่างพอแล้ว

“.....จริงเหรอเนี่ย ธีร์คิดจริงๆ เหรอ?”

“แล้วไม่ใช่หรือไง วินดูดีใจจะตายที่เจอเขา แถมเรายังจำได้ว่าวินพูดกับพายเรื่องที่วินไม่ได้เจอคนที่ชอบบ่อยๆ พี่ภัทรเข้าข่ายทุกอย่าง ถ้าไม่ใช่พี่ภัทรแล้วจะเป็นใคร” เหมือนอารมณ์ที่กักเก็บไว้มันปะทุออกมา ธีร์จึงกล่าวความในใจออกมารวดเดียวโดยไม่เก็บกักไว้ “เราง่วงแล้ว ไว้ค่อยคุยกันพรุ่งนี้นะ”

ธีร์รั้งข้อมือตัวเองกลับหวังให้วินปล่อย แต่นอกจากจะไม่ปล่อยแล้ววินยังรั้งข้อมือเขาไว้แน่นกว่าเดิมจนเขาต้องมุ่นคิ้ว

“ธีร์เข้าใจผิดนะ เราไม่ได้ชอบพี่ภัทรสักหน่อย”

“ช่างเถอะ ไว้ค่อยคุยกันนะ”

“ไม่เอา! เราไม่ได้ชอบพี่ภัทร  ธีร์เข้าใจเราผิด เข้าใจคำพูดเราผิดหมดเลย ให้เราอธิบายบ้างสิ”

สิ้นคำตัดพ้อต่างฝ่ายต่างก็เงียบไปอีกครั้ง ธีร์ชั่งใจ อยากจะฟังคำอธิบายแต่ก็กลัวว่าคำอธิบายจะทำให้เขาเจ็บกว่าเดิม แต่สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะพยักหน้า หันกลับไปมองวิน สบตาเพื่อให้รู้ว่าเขากำลังรอฟังอยู่

“ธีร์เข้าใจผิด เราไม่ได้ชอบพี่ภัทร เราแค่ชื่นชมเขาที่พี่เขาเก่งแล้วเขาก็ใจดีกับเรามาก.....”

“แค่ชื่นชมเจอกันไม่ต้องทำหน้าแดงแบบนั้นก็ได้มั้ง”
 
ธีร์พ่นลมหายใจดึงหึแล้วเบนสายตาหลบคล้ายกับจะไม่เชื่อ

 “พี่ภัทรเหมือนพี่ชายที่เราฝันอยากจะมีเราเลยชอบที่จะอยู่กับพี่เขา เราเล่าทุกอย่างให้พี่เขาฟังเหมือนที่เราเล่าให้ธีร์ฟัง...” วินเอ่ยถึงตรงนี้ก่อนจะเงียบไป สูดลมหายใจเข้าเหมือนกับจะตัดสินใจอะไรบางอย่างได้ “และเราก็เล่าให้พี่เขาฟังด้วยว่าเราชอบใคร วันนี้ที่เราหน้าแดงก็เพราะพี่เขาแซวนั่นแหละ”

“............”

“.....และที่เราบอกพายเราเปล่าพูดว่าเราไม่ได้เจอคนที่ชอบบ่อยๆ สักหน่อย เราบอกว่าเวลาเราไม่ได้เจอเขาเราก็เหงาเหมือนกัน... วินเข้าใจผิดไปเองนะ”

รู้สึกเหมือนมีดอกไม้บานอยู่ในใจหลังจากที่เดินเล่นในตรมทั้งวัน ยิ่งมาเจอวินว่าง่ายแบบที่ไม่ค่อยได้เห็นแบบนี้ยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนบ้า งอแง หงุดหงิด คิดมากไปเองคนเดียวจนรู้สึกผิดกับอีกฝ่ายอยู่เหมือนกัน

“เราขอโทษนะที่เราเข้าใจผิด”

เอ่ยขอโทษอย่างจริงใจพลางส่งยิ้มให้ รู้ดีว่าเรื่องนี้ตัวเองเป็นคนผิดจริง

“อือ ทีนี้ก็เข้าใจถูกซะนะ” วินว่าแล้วหัวเราะ

“แล้วเรื่องคนที่ชอบล่ะว่าไง? จะบอกเราได้หรือยัง?”

พอถามไปแบบนี้วินก็เงียบไป เหมือนลืมว่าเมื่อครู่ตนเองเป็นคนพูดเองแท้ๆ ว่าจะบอกทุกอย่าง วินทำหน้าเหรอหราก่อนจะปล่อยมือธีร์ที่จับไว้อยู่นานออก แสร้งทำเป็นหาวปากกว้างแล้วขยี้ตาแสดงออกให้รู้ว่าตัวเองกำลังง่วงเต็มที่

“เราง่วงแล้วอ่ะ ไว้คุยกันพรุ่งนี้แล้วกันนะ”

“วิน..... บอกมาเดี๋ยวนี้เลย”

วินอมยิ้ม เป็นยิ้มแบบที่เคยใช้กับเขาตอนที่ตั้งใจเลี่ยงประเด็นเรื่องนี้ไป แต่พอธีร์เริ่มทำหน้าบึ้งวินก็ยกมือในท่าทางยอมแพ้แล้วแจงเงื่อนไข

“เราจะไม่บอกชื่อแต่จะบอกใบ้ให้แล้วกัน”

แม้จะรู้สึกเหมือนเสียเปรียบกับสิ่งที่ตนเจอและรู้สึกไปเองมาทั้งวัน แต่ก็ยังดีกว่าโดนเบี่ยงประเด็นไปเลยโดยที่เขาต้องมานั่งคาดเดาเอาเองทีหลังว่าคนที่วินชอบเป็นใคร หากเป็นเช่นนั้นอีกเขาคงเป็นบ้าตายก่อนที่จะล่วงรู้ความจริงแน่ๆ

“คนที่เราชอบธีร์ก็รู้จัก... ต้องเรียกว่ารู้จักดีเลยด้วยซ้ำ”

“หือ?”

“เขาเป็นคนนิสัยดี ชอบช่วยเหลือคนอื่น แต่ติดที่นิสัยกวนตีนไปหน่อยเลยโดนเพื่อนด่าแทนคำขอบคุณบ่อยๆ น่าจะเป็นพายมั้งที่ด่าบ่อยสุด” วินทำท่าครุ่นคิดแล้วพยักหน้ากับตัวเอง

“...........”

“ปกติเราจะอยู่กับเขาเกือบตลอดเวลา แต่พอเขาเข้าชมรมกรีฑาเราเลยต้องแยกกับเขาบ่อยๆ สุดท้ายเราเลยไปเข้าวงเครื่องเป่าของโรงเรียน จะได้ใช้เวลาที่รอเขากลับบ้านให้เป็นประโยชน์ด้วย คุ้นหรือยัง?”

มาถึงตรงนี้ธีร์เริ่มรู้สึกเหมือนมุมปากเขายกยิ้ม ในอกพองฟูเต็มไปด้วยความหวัง ทั้งที่ตอนแรกมันดับหายไปแล้วรอบนึง

“แต่เสียดายที่เขาความรู้สึกช้าไปหน่อยเลยไม่ได้รู้เรื่องพวกนี้เลย ขนาดเรื่องคนที่เราชอบเขายังไม่รู้ แถมมาเข้าใจเราผิดอีก ธีร์ว่าน่างอนกลับมั้ยล่ะ?”

“อื้อ... น่างอนกลับจริงๆ นั่นแหละ”

“เนอะ แล้วทีนี้รู้แล้วใช่มั้ยว่าใคร ไม่ต้องถามแล้วนะ เราใบ้ให้เยอะแล้ว”

“อื้อ ไม่ถามแล้วล่ะ”

ธีร์ยิ้มกว้างจนโดนวินบอกว่าเกลียดรอยยิ้มแบบนี้ของเขา แต่จะทำยังไงได้นอกจากยิ้มกว้างกว่าเดิม ไม่ได้ตั้งใจจะกวนตีนเหมือนคนที่วินชอบหรอกนะ แต่มันดันยิ้มเอง เขาก็ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่เขาก็ไม่จำเป็นต้องหาคำตอบอะไรแล้วในตอนนี้

“ใบ้ให้แล้วก็รีบไปนอนเลย ตอนแรกอยากไปมากไม่ใช่เหรอ”

“ตอนนี้เริ่มไม่อยากไปแล้ว ข้ามไปนอนห้องวินได้มั้ยล่ะ?” ยักคิ้วต่อรอง

“อย่ามาตลก รีบไปนอนเลย เราง่วงแล้วจริงๆ”

แม้จะบอกว่าง่วงแต่หน้านี่แดงเสียยิ่งกว่าตอนที่มองพี่ภัทรอีก คนง่วงเขาหน้าแดงแบบนี้ทุกคนหรือเปล่าธีร์ก็ไม่รู้ แต่เขาก็อยากรู้แค่เรื่องของคนตรงหน้าเท่านั้นนี่แหละ มองตา ส่งยิ้มให้กันสักพักคราวนี้วินก็หาว และมันเป็นหาวจริงๆ ที่ไม่ได้แกล้งทำเพื่อเบี่ยงประเด็นเหมือนเมื่อครู่นี้ ธีร์จึงเอ่ยบอกลาแล้วไล่ให้อีกคนไปนาน คนตัวเล็กพยักหน้าพลางอมยิ้มแก้มแดงมาให้เขา น่ารักจนอยากจะปีนข้ามรั้วไปนอนด้วยจริงๆ แต่ก็ยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะที่ควร

“ธีร์!”

“ครับ ว่าไงเหรอวิน?”

พอโดนเรียกจากคนที่โผล่หน้าออกมาจากในห้องนอนข้างๆ เขาก็ถอยหลังกลับมามอง ก่อนจะเกือบเสียหลักสะดุดขอบประตูเพราะคำบอกลาสุดแสนจะน่ารักที่อีกฝ่ายฝากไว้ก่อนจะรีบหลบเข้าห้องแล้วปิดประตูระเบียงหนีไป

“.....ฝากบอกคนที่เราชอบด้วยว่าคืนนี้หลับฝันดี แล้วเราจะฝันถึงเขาด้วย”

คนอะไรก็ก็ไม่รู้ น่ารักฉิบหายเลย!



หัวหน้าแก๊งค์ (ตอนพิเศษ) จบ



-------------------------------------------------------------------

Talk : สวัสดีค่า   

มาสั้นๆ กับคู่ธีร์วินตอนต่อจากภาคหลักช่วงต้นตอน 12 ค่ะ ตอนแรกตั้งใจจะให้มันสั้นกว่านี้ (และเปลี่ยนชื่อจากที่แจ้งในเพจมาใช้ชื่อนี้ด้วย) พอเริ่มสร้างตัวละครพี่ภัทรก็เกือบจะปล่อยคาให้จบแบบธีร์เฮิร์ทแล้ว แต่ทำไม่ได้จริงๆ ค่ะ เพราะเขาเป็นเพื่อนที่ดีมากของน้องพาย และคงไม่มีใครเหมาะกับวินเท่าธีร์อีกแล้ว สุดท้ายเลยต่อให้ยาวออกมาค่ะ เพราะแต่งเพิ่มแบบทันทีที่คิด อาจจะมีประโยคแปลกๆ หลุดไป ต้องขออภัยด้วยนะคะ

ตอนหน้าพี่กิวกับน้องพายจะกลับมาอีกครั้ง รอกันก่อนนะคะ
ขอบคุณที่ติดตามมาตลอดค่า


ออฟไลน์ ennewiis

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 47
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0
หัวหน้าแก๊งค์ (ตอนพิเศษ)
ตอน อมยิ้ม VS น่ารัก






 ตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็ก พายมักจะได้ยินใครต่อใครพูดเสมอว่าเขาน่ารัก

ครั้งแรกที่ได้ยินนั้นพายไม่พอใจนัก เขารู้สึกเหมือนเด็กผู้ชายทั่วไปที่เชื่อว่าคำว่าน่ารักควรจะใช้กับเด็กผู้หญิงเท่านั้น แต่พอนานวันเข้าจากไม่พอใจแปรเปลี่ยนเป็นความคุ้นเคย ได้ยินใครพูดก็อมยิ้ม ไม่ก็เอ่ยขอบคุณกลับไป ด้วยรู้สึกว่าใครอยากจะพูดอะไรก็พูดไป เราห้ามความคิดและคำพูดของผู้อื่นไม่ได้อยู่แล้ว ทำใจให้ชินเสียดีกว่า

แต่ตอนนี้พายกลับรู้สึกว่าคำว่าน่ารักไม่ได้เหมาะกับตน แต่เป็นใครอีกคนที่ก้าวเท้าเข้ามาในชีวิตของเขามากกว่า

I’m Kiw: รออยู่ข้างลานน้ำพุ

พายอ่านประโยคสั้นๆ แต่ได้ใจความที่ถูกส่งมาทางโปรแกรมแชทชื่อดังแล้วอมยิ้ม ดูท่าการต้องนั่งอุดอู้ในห้องเรียนอีกกว่าครึ่งชั่วโมงคงไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อเท่าไหร่แล้ว

หลังจากผ่านด่านการสอบอรหันต์มาได้หลายครั้ง ในที่สุดพายก็ได้เข้ามาอยู่ในมหาวิทยาลัยเดียวกับพี่ชายกับคนรัก (ที่เพิ่งตกลงคบกันอย่างจริงจัง) ของตน และตอนนี้พายก็อยู่ระหว่างการเรียนปรับพื้นฐานเพื่อจะได้เริ่มการเรียนการสอนอย่างเต็มรูปแบบในอีกสองอาทิตย์ข้างหน้า นับเป็นประสบการณ์ใหม่อันน่าตื่นเต้นที่เขากำลังเฝ้ารอเพื่อพบเจอ

คาบเรียนมีถึงแค่ตอนเที่ยง ทันทีที่อาจารย์ประกาศหมดคาบพายก็รีบเก็บข้าวของยัดลงกระเป๋า เอ่ยลาเพื่อนๆ ที่เพิ่งรู้จักกันในคลาสด้วยรอยยิ้มแล้วรีบบึ่งลงมายังลานน้ำพุที่ใครบางคนกำลังรอเขาอยู่

ร่างสูงโปร่งที่กำลังยืนปล่อยควันสีชาวเทาทิ้งบุหรี่ในมือลงพื้นแล้วขยี้มันด้วยเท้าทันทีที่เห็นเขากึ่งวิ่งกึ่งเดินลงจากบันได บริเวณนี้เป็นเขตที่สร้างไว้สำหรับให้นักศึกษามาพักผ่อนหย่อนใจ แต่ไปๆ มาๆ กลับการเป็นเหมือนแหล่งสำหรับให้นักศึกษาแวะมาสูบบุหรี่กันเสียอย่างนั้น แม้จะไม่ชอบแต่พายรู้อยู่เรื่องที่กิวยังไม่เลิกสูบบุหรี่ และเขาก็ไม่คิดจะห้ามหรือบังคับให้เลิกด้วยรู้ว่ามันเป็นเรื่องยาก และถึงแม้กิวจะสูบแต่ก็จะระวังเรื่องกลิ่นไม่ให้มารบกวนเขาอยู่เสมอ อย่างเช่นตอนนี้ คนตาดุมองมาทางเขาแล้วชี้ให้รออยู่ตรงชานบันไม่ต้องเดินมาหา ส่วนตัวเองก็ใช้หลังมือปัดๆ เสื้อยืดสีขาวขนาดพอดีตัวที่ใส่อยู่รวมไปถึงเดฟเข้ารูปเพื่อไล่กลิ่น แถมยังหยิบลูกอมรสมิ้นต์ที่เขาให้ไว้โยนเข้าปากอีกด้วย การกระทำที่บ่งบอกถึงความใส่ใจนั้นทำให้พายอดไม่ได้จนต้องอมยิ้ม

“ยิ้มอะไร?”

กิวถามเมื่อเดินเข้ามาใกล้ กลิ่นบุหรี่ราคาแพงยังลอยมากระทบจมูกจางๆ แต่ไม่ได้ทำให้ระคายหรือรู้สึกรังเกียจ พายยังอมยิ้มขณะส่ายหน้าไปมาไม่ยอมตอบอะไร กิวจึงยักไหล่ คว้ากระเป๋าหนังสือมาไวในมือ โอบไหล่น้องเดินไปที่รถยนต์คันสวยซึ่งจอดอยู่ไม่ไกลนักโดยไม่เอ่ยคาดคั้นอะไร

จะให้เขาบอกได้ไงล่ะว่ายิ้มเพราะพี่กิวทำตัวน่ารัก

อาหารมื้อเที่ยงของวันนี้เป็นบุฟเฟต์ปิ้งย่างที่พายชอบ ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้ชอบอาหารจำพวกปิ้งย่างแท้ๆ แต่เพียงเพราะเขาบ่นอยากกินอีกฝ่ายเลยตามใจพามา แม้เขาจะปฏิเสธให้เข้าร้านตามใจอีกฝ่าย แต่คนโตกว่าก็ยังดึงดันโอบไหล่พาเขาเดินเข้าร้านบุฟเฟต์ชื่อดังอยู่ดี

“พี่กิวกินบ้างสิครับ ปิ้งอย่างเดียวไม่กินได้ไง”

“เรานั่นแหละกินไป” ว่าแล้วก็คีบหมูย่างพริกไทยดำใส่จานเขาอีกชิ้น “ตัวเล็กจะตายอยู่แล้ว พัฟมันให้กินอะไรบ้างหรือเปล่า”

“พายกินเยอะแล้วเถอะ ตัวสูงขึ้นมาตั้งเยอะแล้วด้วย พี่กิวนั่นแหละครับกินเข้าไป เอาไปเลยหมู ไก่ ปลา นี่ๆ”

เนื้อทั้งหลายแหล่ถูกคีบใส่จานคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม แม้จะโดนทำหน้าดุใส่พายก็ไม่สน มือเรียวคว้าของสดมาลงกระทะและคีบเอาชิ้นที่สุกแล้วใส่จานกิวอยู่เรื่อยๆ

“อิ่มแล้ว พายจัดการไปเลย”

ผ่านไปครึ่งชั่วโมงกิวก็วางตะเกียบในมือลง พอได้ยินแบบนั้นพายก็ทำตาโต มองของสดที่ยังนอนรออยู่บนโต๊ะแล้วบ่นงุบงิบ เขาเพิ่งสั่งมาใหม่เสียหลายถาดแต่คนตรงหน้ากลับทิ้งให้กินคนเดียวแบบนี้มันใช้ได้ที่ไหน แล้วทำไมตอนถามว่าเอาอีกหรือเปล่ากลับบอกให้เขาสั่งมาตามใจชอบ เหลือเยอะแบบนี้โดนค่าปรับบานแน่!

“พี่กิวช่วยพายหน่อยสิ แบบนี้กินคนเดียวไม่หมดหรอก” ว่าแล้วก็คีบเนื้อในเตาวางบนจานให้

“กินไม่หมดก็ไม่ต้องกิน เดี๋ยวจ่ายเงินให้เขาไป”

ว่าแล้วก็ตั้งท่าจะเรียกเก็บเงิน แต่โดนเอ่ยห้ามไว้เสียก่อน พายคว้าแต่ละถาดที่วางอยู่บนโต๊ะมาคีบลงกระทะย่างทีละชิ้น

“เราสั่งมาแล้วแบบนี้เขาก็เอาไปทิ้งน่ะสิครับ เปลืองจะตาย... อ่ะ”

ไก่ย่างชุ่มซอสถูกยื่นมาให้ตรงหน้าพร้อมเสียง ‘อ้ามมม’ ทำให้กิวต้องอ้าปากรับอย่างเสียไม่ได้ พอยอมรับไก่เข้าปากคนป้อนกิตติมศักดิ์ก็ยิ้มหวานเสียจนมองแล้วใจกระตุกให้เขา แล้วจึงส่งเนื้อเข้าปากตัวเองบ้าง เคี้ยวไปยิ้มไปเสียจนแก้มตุ่ย

“เลอะปากหมดแล้ว เป็นเด็กหรือไง?” มือใหญ่ยื่นข้ามเตามาเช็ดปากให้

“ขอบคุณครับ... มา พี่กิวอ้าปากเร็ว”

มีชิ้นแรกย่อมต้องมีชิ้นที่สองและสามตามมา แม้ตอนแรกจะตั้งใจหยุดกินแล้ว แต่เพราะมีมือขาวๆ จากคนตัวขาวฝั่งตรงข้ามคอยส่งเนื้อเข้าปากให้ตลอดจึงต้องยอมอ้าปากรับเนื้อชิ้นโตอยู่เรื่อยๆ ด้วยไม่อยากจะขัดใจ โดยที่ไม่รู้เลยว่าท่าทางของตัวเองทำให้คนป้อนต้องอมยิ้มแล้วเอาแต่ชมเปราะว่าพี่กิวน่ารักอยู่ในใจ

“ยิ้มอะไรตั้งแต่อยู่ในร้านแล้ว?”

“ก็ของกินอร่อย จะไม่ให้ยิ้มได้ยังไงล่ะครับ” ตอบพลางลูบท้องตัวเอง “พี่กิวไม่ชอบให้พายยิ้มเหรอ? งั้นทำหน้าบึ้งก็ได้”

ว่าแล้วก็กอดอก ยู่ปากทำทีเป็นขมวดคิ้วเหมือนเวลาไม่พอใจอะไรสักอย่าง ทำหน้าทำตาแบบที่ตัวเองเรียกว่าหน้าบึ้งเต็มที่ แต่หน้าแบบนั้นกลับทำให้กิวต้องยกยิ้ม พร้อมดีดหน้าผากเนียนเบาๆ อย่างหมั่นเขี้ยว

“กวน”

“ก็พี่กิวไม่ชอบให้พายยิ้มนี่ ยิ้มทีไรถามตลอดเลย”

“ไม่ใช่ไม่ชอบให้ยิ้ม” ว่าจับจูงมือบางให้ออกเดินไปด้วยกันโดยไม่สนใจสายตาที่มองมายังทั้งคู่ “แต่ยิ้มทีโคตรน่ารัก น่ารักแล้วก็มีแต่คนมอง ไม่ชอบ หวง”

คำพูดทื่อๆ น้ำเสียงคมเข้มแต่เต็มไปด้วยความรู้สึกบอกให้พายรู้ว่าคนตัวโตคิดเช่นนั้นจริงๆ จากที่แกล้งทำหน้าบึ้งกลับต้องเผลออมยิ้ม พายปล่อยให้กิวจับจูงมือตัวเองลากเข้าร้านนั้นที ร้านนี้ทีด้วยความเต็มใจ เขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเดินอยู่บนปุยเมฆนุ่มๆ หัวใจเต้นระรัวและพองโตอย่างหยุดไม่อยู่จนต้องยิ้มกว้างขึ้นอีก ยิ่งโดนมองด้วยสายตาดุๆ ราวกับจะปรามให้หยุดพายก็ยิ่งฉีกยิ้มอย่างไม่เกรงกลัว

ก็จะให้เขาหุบยิ้มได้ยังไงในเมื่อพี่กิวยังทำตัวน่ารักแบบนี้

เดินเล่นกันได้สักพักใหญ่สองมือของกิวก็เต็มไปด้วยเสื้อผ้ารวมไปถึงของใช้ทั้งของพายและของตัวเอง แม้ตอนแรกคนแก่กว่าจะดึงดันว่าซื้อแค่ของเขาก็พอ แต่ด้วยนิสัยอย่างพายมีหรือจะยอมให้เป็นแบบนั้น พอกิวหยิบอะไรลงตะกร้า มือเล็กก็คว้าขอองที่คิดว่าเหมาะกับอีกฝ่ายลงตะกร้าด้วยเหมือนกัน สุดท้ายเลยได้ของในจำนวนเท่าๆ กันไปโดยปริยาย

“พี่กิวซื้อของให้พายเยอะไปแล้ว คราวหลังไม่เอาแล้วนะครับ”

พอเอาของขึ้นหลังรถและจัดการขึ้นไปนั่งประจำที่แล้วพายก็แตะหลังมือใหญ่ที่เอื้อมมาคาดสายนิรภัยให้เขาพร้อมเอ่ยสิ่งที่คิดเอาไว้ ตั้งแต่ก่อนจะคบกันแล้วที่พี่กิวมักจะซื้อข้าวของให้เขาทันทีที่เขาพูดว่าอยากได้อะไร แม้บางครั้งจะเป็นเพียงการบ่นเรื่อยเอย อีกไม่กี่วันเด็กหนุ่มก็จะได้ของชิ้นนั้นมาไว้ในครอบครองทันที

“ไม่เป็นไร อยากได้อะไรก็บอก มีเงินแล้วซื้อให้ได้”

พายรู้ว่านี่คืออีกวิธีที่กิวใช้ในการแสดงความรัก แม้ชายหนุ่มและครอบครัวจะกลับมาคุยกันเป็นปกติ รวมถึงใช้เวลาด้วยกันมากขึ้นแล้วก็ตาม แต่คนตัวโตก็ยังเคยชินกับการใช้เงินแสดงความรักเหมือนที่เขาเคยได้รับมาเมื่อครั้งยังเด็ก พายรู้และก็คิดว่าต้องเป็นตนนี่แหละที่จะต้องเปลี่ยนแปลงนิสัยนี้ของกิวเสียที

“พายรู้ว่าพี่กิวมีเงิน แต่พายไม่ได้อยากใช้เงินพี่ทุกครั้งนะครับ” นิ้วโป้งเล็กเกลี่ยหลังมือใหญ่เบาๆ “ไม่อยากให้คนอื่นมาหาว่าพายเกาะพี่กินแล้วด้วย...”

“ใครว่าพาย?”

กิวเอ่ยแทรก ดวงตาคมเข้มหรี่ลงพร้อมทอประกายแสงกร้าวอย่างไม่สบอารมณ์

“เปล่าครับ พายแค่ไม่อยากให้เป็นเหมือนตอนม.ปลายเฉยๆ...”

แม้เรื่องที่โดนเอาไปติดป่าวประกาศว่าเขาทำอาชีพขายเรือนร่างจะผ่านไปนานแล้ว และพายก็เคลียร์เรื่องนี้กับพี่ดอมเรียบร้อยแล้ว แต่เขาก็ยอมรับว่าเขายังฝั่งใจ และไม่ต้องการให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีก

คำตอบของเขาทำให้กิวเงียบไป แต่พายก็รู้ว่ามันไม่ได้หมายความว่าเงียบแล้วกิวจะยอมรับฟังหรือทำตามแต่อย่างใด หากต้องการให้อีกฝ่ายยอมรับและทำตามทีแต่จะต้องยื่นคำขาดให้กิวตอบตกลงให้ได้

“นะครับพี่กิว?”

“..........” เงียบแบบนี้แสดงว่าไม่ตกลง

พายมองหน้าบึ้งๆ ของกิว ในหัวก็ขบคิดหาวิธีการที่พอดีกับความต้องการของทั้งสองฝ่าย เขาไม่อยากเป็นฝ่ายได้รับเพียงอย่างเดียว แต่ก็ไม่อยากให้ชายหนุ่มรู้สึกว่าเขาอึดอัดใจที่ต้องรับของจากตนเองด้วยเช่นกัน นั่งเงียบมองตากันได้สักพักร่างบางก็คิดหาวิธีได้จึงลองเสนอออกมา

“...ถ้าพายอยากได้อะไรพายจะซื้อเอง แต่ถ้าเงินไม่พอหรืออยากให้พี่กิวซื้อให้ก็จะบอกพี่ทันที เอาแบบนี้เป็นไงครับ?”

“ไม่” กิวตอบกลับทันที  “เอาเงินพี่ไปใช้ส่วนของพายเก็บเข้าบัญชี ไม่งั้นก็ทำแบบเดิม”

โดนยื่นคำขาดถึงขนาดนี้แม้จะไม่อยากตอบตกลงแต่พอคิดถึงความสบายใจของชายหนุ่มแล้วพายก็ได้แต่ต้องพยักหน้า พอได้คำตอบที่ถูกใจมือใหญ่ก็วางแปะบนหัวกลมแล้วลูบเบาๆ ด้วยความเคยชิน ตากลมแอบเห็นมุมปากหยักยกขึ้น แม้จะเพียงเล็กน้อยแต่ก็ชวนให้คนตัวเล็กยิ้มตามไปด้วย

กิวเป็นคนหน้าตาดี เรียกได้ว่าหล่อเลยด้วยซ้ำ ขนาดพี่พัฟยังมาเล่าให้ฟังว่ามีคนเสนอชื่อให้เป็นเดือนประจำคณะแต่เจ้าตัวไม่เอาเด็ดขาดเพราะไม่ชอบเรื่องน่ารำคาญแบบนั้น และแม้จะชอบตีหน้านิ่งขึงจนทำให้ใครต่อใครเกรงใจและหวาดกลัว แต่ก็ต้องยอมรับว่าความนิ่งและบรรยากาศอันตรายรอบตัวนั้นกลับเป็นเสน่ห์ดึงดูดประจำตัวของเขา

“ยิ้มอีกแล้ว จะยิ้มอะไรเยอะแยะ หืม?” มือใหญ่ผละจากหัวกลมมาดึงแก้มใส

“ก็พี่กิวยิ้ม พายเลยยิ้มไงครับ” ฉีกยิ้มกว้างเสียจนแก้มใสมีรอยบุ๋มลงไป

“ก็ไม่เห็นต้องยิ้มกว้างแบบนี้”

“เวลามีความสุขต้องยิ้มสิครับ ใครๆ ก็บอกว่าพายยิ้มกว้างแล้วดูดี” คราวนี้ยิ้มทั้งปากยิ้มทั้งตา แต่เป็นกิวที่หุบยิ้มลงแล้วเริ่มทำหน้าบึ้ง

“...คราวหลังอยู่นอกบ้านห้ามยิ้ม”

“อ้าว พายจะทำแบบนั้นได้ยังไงล่ะ...  ไหนให้เหตุผลพายหน่อยครับว่าทำไมอยู่นอกบ้านห้ามยิ้ม”

คว้ามือใหญ่ที่ตั้งท่าจะผละไปให้มาแนบใบหน้าตัวเองแล้วเอียงซบ ไม่วายส่งยิ้มให้ขณะสบตาคมที่ยามนี้ติดจะขุ่นมัวเพราะโดนขัดใจ แม้จะแอบหงุดหงิดแต่เจอไม้นี้เข้าไปกิวก็ได้แต่ถอนใจ ใช้นิ้วโป้งเกลี่ยแก้มใสแล้วเอ่ยปากตอบไปตรงๆ



“พายน่ารัก ยิ้มแล้วใจพี่สั่น คนอื่นก็ชอบมอง หวง ไม่ชอบ ไม่ต้องยิ้มเลย”



พี่กิวนั่นแหละที่น่ารัก น่ารักมากด้วย อย่ามาทำตัวน่ารักใส่พายแบบนี้นะ!



หัวหน้าแก๊งค์ (ตอนพิเศษ) จบ



-------------------------------------------------------------------


Talk : สวัสดีค่า กลับมาอีกครั้งหลังหายไปนานอยู่เหมือนกันเพราะติดภารกิจงานหนังสือ

ตอนนี้อาจจะสั้นไปสักหน่อยแต่ก็หวังว่าตอนนี้จะทำให้หลายๆ คนอมยิ้มไปกับความน่ารักของพี่กิวกับน้องพายนะคะ คนนึงชอบยิ้มอีกคนชอบทำหน้าขรึม แถมยังขี้หวงขนาดไม่ยอมให้น้องไปยิ้มให้ใครแบบนี้ พี่กิวนี่น่าตีจริงๆ ค่ะ (แต่ก็น่ารักแบบที่น้องพายบอกจริงๆ นั่นแหละเนอะ)

ตอนหน้าน่าจะเป็นตอนของเพื่อนหัวหน้าแก๊งค์แล้วค่ะ หวังว่าทุกคนจะยังไม่ลืมพี่พัฟพี่รูทเนอะ หุๆๆๆ

ขอบคุณสำหรับกำลังใจ และขอบคุณที่ติดตามมาตลอดค่ะ

ออฟไลน์ mjpnta

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 86
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
อั้ยยยยย พี่กิวน่ารักจริงด้วยยย :-[

ออฟไลน์ nunnuns

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1972
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-3
ชอบคู่นี้จังเลยยยยย กวใส่ใจน้องเสมอต้นเสมอปลายมากเลย ส่วนของพายกฌเหมือนแสงอาทิตย์ เป็นแสงสว่างของพี่กิว น่าเอ็นดูจังเลยลูกกก รอคู่นี้น้าาา ส่วนคู่อื่นก็ติดตามด้วยจ้า

ออฟไลน์ ่jjay

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 454
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-0
ยิ้มมมมมมมไปกับน้องพายพี่กิว น่าร้ากกกกกกก :กอด1:  :pig4:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
เออ น่ารัก พากันน่ารักเข้าไป ทำให้หลงรักขนาดนี้เพราะว่าน่ารักนี้แหละ

ออฟไลน์ k00_eng^^

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 647
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-2
พี่กิวจะน่ารักเกินไปแล้ว

ออฟไลน์ chisarachi

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1019
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +49/-1
ชอบตอนนี้อ่าาา แบบเห็นถึงความใส่ใจที่พี่กิวมีให้น้องเลยย ย
แบบมันกร๊ดมากกกกกกกกกกกกกกกกกกก
แต่งตอนพิเศษของน้องเยอะๆนะ5555
ตอนที่พี่กิวไม่ยอมน้องเรื่องการใช้เงิน
ทำไมรู้สึกพี่กิวหล่อขึ้น5555
แบบนางก็มีมุมดื้อๆกับน้องเหมือนกันนะ

ออฟไลน์ ennewiis

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 47
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0
หัวหน้าแก๊งค์
ตอน (คู่)เพื่อนของหัวหน้า






”โอ้ยยย อิจฉาว่ะแม่ง!”

ทันทีที่เดินมาถึงโต๊ะประจำของตึกคณะชายหนุ่มรูปร่างเล็กก็ป้องปากเอ่ยเสียงดังเรียกความสนใจของคนที่นั่งอยู่โดยรอบให้หันมอง แต่เมื่อเห็นว่าเจ้าของประโยคนั้นคือใคร คนส่วนใหญ่จึงเลิกให้ความสนใจแล้วหันกลับไปวุ่นวายกับกิจกรรมตรงหน้าตัวเองต่อเนื่องจากเคยชินเสียแล้วกับเหตุการณ์ที่คล้ายกับเดจาวูนี้

“ก็เห็นเป็นแบบนี้แทบทุกวัน มึงน่าจะชินได้แล้วนะ”

หมี่ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามว่า วันนี้คณะของเขามีเรียนแค่รอบเช้าจึงได้โอกาสมานั่งกินข้าวเที่ยงกับเพื่อนในแก๊งค์ก่อนจะลากสังขารกลับบ้าน

“กูชินแล้ว แต่กูอิจฉา! มึงเข้าใจมั้ยว่ากูอิฉา!?”

หนุ่มตี๋ทำหน้ามุ่ยรับเสียงหัวเราะของเพื่อน แม้จะบอกว่าอิจฉาแต่ก็ไม่วายเอาแต่มองร่างของคนสองคนที่นั่งอยู่ห่างจากเก้าอี้หินของตนไปไม่เท่าไหร่

แหม ไอ้กิว ปากบอกว่าต้องแยกโต๊ะนั่งติวเพราะกลัวน้องไม่รู้เรื่องที่พวกกูเสียงดัง แต่กูเห็นนะว่ามึงแอบหอมแก้มน้องเมื่อกี้! แยกโต๊ะติวห่าอะไร แยกโต๊ะไปลวนลามน้องได้ง่ายๆ สิไม่ว่า สตอเบอรี่จริงนะมึง!

ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด ทำไมน้องถึงได้หลงคารมเพื่อนวัยเด็กของตัวเองได้ง่ายขนาดนี้ก็ไม่รู้

ไม่ใช่ว่าเขาไม่เห็นด้วยที่กิวกับพายคบหากัน เขาออกจะยินดีด้วยซ้ำที่เพื่อนสนิทได้เจอคนที่มาช่วยให้ชีวิตไร้สาระของมันเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น แม้ว่าคนๆ นั้นจะเป็นผู้ชาย แถมเป็นน้องของเพื่อนสนิทอีกคนนึงก็เถอะ แต่ระยะเวลาที่ผ่านมาหลายปีตั้งแต่พายเป็นเพียงเด็กม.ปลายจนตอนนี้มาเป็นนักศึกษาปีสองแล้ว และเรื่องราวต่างๆ ที่ได้เจอมาด้วยกันก่อนที่ทั้งคู่จะเปลี่ยนความสัมพันธ์จากคนที่กำลังดูใจเป็นคนรักก็ช่วยยืนยันได้อยู่แล้วว่าคู่นี้เหมาะสมที่จะยืนอยู่เคียงข้างกันขนาดไหน

แถมไม่รู้ว่าช่วงนี้เป็นอะไร อาจจะเพราะโปรเจกเยอะจนไม่ค่อยได้เจอกัน หรือเพราะเป็นปสุดท้ายแล้วที่จะได้ใช้เวลาอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยกับคนรัก เพื่อนตัวดีของเขาถึงได้ขยันพาน้องมาสวีทให้เห็นเสียเหลือเกิน ถึงแต่ก่อนมันจะทำเหมือนกันก็เถอะ แต่ก็ไม่ใช่ทุกวี่ทุกวัน ทุกเวลาพักแบบนี้! ยิ่งเมื่อครู่ที่เขาโวยวายพอน้องส่งยิ้มให้มันยังมองน้องแล้วหันมาจ้องเขาแบบไม่พอใจอีก โธ่ ไอ้พวกขี้หวงแม้กระทั่งกับเพื่อน ไม่รู้หรือไงว่าแค่นี้กูอิจฉามึงฉิบหายแล้วครับไอ้เพื่อนกิว!

“ทำไมทำหน้าแบบนั้น งอแงอะไรอีก?”

มือใหญ่วางแปะลงมาบนหัวของรูทที่ยังทำหน้าบึ้งอยู่ ไม่ต้องมองก็รู้ว่าเป็นมือของใคร ในเมื่อคนที่กล้าทำกับเขาแบบนี้มีเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น

“อ๋อ... สงสัยเพราะเห็นฉากบาดใจ”

“กวนตีนละไอ้พัฟ ไปลากน้องมึงมานั่งนี่เลย ไปไป๊” ปัดมือที่วางบนหัวออกแล้วบุ้ยใบ้ไปทางที่ออร่าสีชมพูเปล่งประกายออกมา

“เวลาอยู่กับคนที่ชอบไม่มีใครอยากให้คนเข้าไปขัดหรอก ยิ่งไอ้กิวยิ่งแล้วใหญ่”

“พูดเหมือนมึงรู้ดี มีคนที่ชอบแล้วหรือไง?”

ว่าแล้วก็ละสายตาจากคู่รักบรรลือโลกมาสบตาเจ้าของใบหน้าคมคาย แต่ดูเหมือนพัฟไม่ใคร่อยากจะตอบคำถามของเขาเท่าไหร่นัก อีกฝ่ายจึงเพียงแค่ยักไหล่ด้วยท่าทางที่สาวแท้สาวเทียมต้องกรีดร้องทันทีที่ได้เห็นแล้วเอ่ยแบบง่ายๆ

“มึงก็น่าจะรู้” ว่าแล้วก้มมองนาฬิกาบนข้อมือ “มีเวลาอีกเกือบชั่วโมง ร้านหน้าม.กับกูไหม?”

“ถ้าร้านเค้กก็โอเค เลี้ยงกูด้วย”

รูทลุกขึ้นคว้ากระเป๋าและออกเดินนำไปก่อนโดยไม่ให้พัฟได้เอ่ยปฏิเสธ ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มราวกับลืมไปหมดแล้วว่าเมื่อสักครู่ยังอิจฉาตาร้อนเพื่อนจนหน้าบูดบึ้งไปหมด ด้านพัฟที่โดนทิ้งไว้ข้างหลังได้แต่ส่ายหน้าอย่างปลงตกแต่ก็ยอมผละกายออกจากกลุ่ม เดินตามแผ่นหลังบางมุ่งสู่ร้านเค้กเจ้าประจำ ทำทีเป็นไม่สนใจสายตารู้ทันและเสียงผิวปากเบาๆ จากเพื่อนในกลุ่มที่นั่งอยู่โดยรอบ

ร้านกาแฟหน้ามหาวิทยาลัยยามเที่ยงมีผู้ใช้บริการไม่น้อยกว่าตอนเย็นเท่าใดนัก เมื่อทั้งคู่มาถึงร้านก็โดนเชิญขึ้นไปนั่งบนชั้นสองที่ยังพอมีที่นั่งเหลืออยู่ ยังดีที่ร้านนี้มีของคาวให้ด้วย พัฟจึงสั่งอาหารกลางวันให้ตัวเองโดยไม่ลืมสั่งเรนโบว์เค้ก และสตอเบอรี่ชีสเค้กเพิ่มซอสสตอเบอรี่แบบที่คนตรงข้ามเชาชอบด้วยอีกสองชิ้น ได้ยินเสียงกระซิบกระซาบจากผู้หญิงในชุดเครื่องแบบที่นั่งโต๊ะข้างๆ ตอนที่เขาสั่ง แต่ก็ไม่ใคร่สนใจนัก ทั้งคู่นั่งรออยู่สักพักเครื่องดื่มผสมโซดาถูกนำมาเสิร์ฟ พร้อมทั้งเรนโบว์เค้ก และสตอเบอรี่ชีสเค้กราดซอสสีแดงชุ่มๆ

“อื้มมม เค้กหวานๆ อร่อยที่สุดในโลก!”

รูททำหน้าเคลิ้มทันทีที่เนื้อเค้กละลายอยู่ในปาก เขาชอบเค้กเนื้อนิ่ม รสหวานหอมมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กแล้ว ถึงใครจะบอกว่าเป็นผู้ชายชอบของหวานจะดูแปลกก็เถอะ แต่เขาชอบไปแล้วก็ไม่สนใจคำพูดคนอื่นหรอก

“ลองหน่อยไหมพัฟ?” ว่าแล้วก็ตักเค้กส่งให้ ได้ยินเสียงกรี๊ดเบาๆ จากโต๊ะข้างๆ ดูท่าจะเอาแต่มองมาที่พวกเขาตั้งแต่ตอนสั่งออเดอร์แล้ว

“ไม่เอา กินไปเถอะ”

“โธ่ๆ กลัวว่าสาวๆ จะเอาไปเม้าท์หรือไงว่าเจ้าของหนุ่มหล่อประจำคณะวิศวะชอบกินเค้กกับเพื่อนหนุ่ม”

ชายหนุ่มได้รางวัลนี้มาตั้งแต่ตอนขึ้นปีหนึ่ง ความจริงทั้งพัฟและกิวต่างโดนตั้งความหวังให้ลงแข่งชิงรางวัลเดือนคณะและเดือนมหาวิทยาลัยแต่ทั้งคู่กลับเลือกจะปฏิเสธ กิวให้เหตุผลง่ายๆ ว่าวุ่นวาย และพัฟก็เห็นด้วยกับเพื่อนเลยขอสละสิทธิ์ตั้งแต่ช่วงแรกๆ แต่ก็ไม่วายโดนยัดเยียดรางวัลต่างๆ นานาให้ทีหลังอยู่ดี

“พูดอย่างกับตัวเองสน” พัฟตอกกลับ “ใครวะที่ลากเข้าร้านเค้กเป็นว่าเล่นตั้งแต่ตอนอยู่ม.ปลาย”

“อ้าว ใครวะ ต้องเก่งและหน้าตาดีมากจริงๆ นะเนี่ยถึงลากคนแบบมึงเข้าร้านเค้กที่เกลียดแสนเกลียดได้”

“แล้วแต่มึงจะคิดเลย”

รูทหัวเราะ เป็นจังหวะเดียวกับที่อาหารจานด่วนของอีกคนมาเสิร์ฟพอดีเขาจึงไม่คิดจะต่อล้อต่อเถียงปล่อยให้เพื่อนลงมือจัดการกับอาหารตรงหน้าไป ส่วนตนก็ละเลียดเนื้อเค้กที่โปรดปรานที่ละนิด

เขาเป็นคนชอบกินเค้กตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เพราะพ่อและแม่ต่างก็ชอบทานด้วยกันทั้งคู่ จึงไม่ลืมที่จะเผื่อแผ่มาถึงเขาด้วย แต่หลังจากที่ท่านทั้งสองเสียไปด้วยอุบัติเหตุไม่คาดฝัน และรูทต้องย้ายมาอยู่กับคุณยายสองคน ทำให้อัตราการกินเค้กลดลงเพราะคุณยายไม่ชอบทานของหวานเท่าใดนัก ดังนั้นเวลามีโอกาสได้กินเค้กเขาจึงไม่เคยสั่งน้อยกว่าสองชิ้น ยิ่งพอได้รู้จักกับพัฟที่เอาแต่ตามใจ ยอมเลี้ยงน้ำเลี้ยงขนมอยู่บ่อยๆ รูทก็เลยได้ที จัดเต็มที่แบบไม่เกรงใจ

ยังจำครั้งแรกที่อีกฝ่ายชวนไปกินข้าวแล้วเขาขอให้พาไปร้านเค้กได้อยู่เลย พัฟดูจะสับสนแต่ก็ยอมพาไป เพิ่งมารู้ทีหลังว่าเจ้าของเค้กร้านนั้นเป็นลูกค้าประจำที่สั่งอุปกรณ์ทำเค้กจากบริษัทที่แม่ของชายหนุ่มเป็นเจ้าของ และที่พัฟไม่ปฏิเสธที่จะพาเขาไปร้านเค้กเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ ก็เพราะเขาชินเสียแล้ว ก็ที่บ้านทำธุรกิจนำเข้าอุปกรณ์เบเกอรี่ แถมทั้งแม่และน้องชายก็ทั้งชอบทำและชอบกินอีก เรียกได้ว่าคุ้นเคยและคลุกคลีในวงการนี้โดยตรงเลยก็ว่าได้

แถมช่วงหลังกลับเป็นเขาเสียอีกที่ถูกพาไปชิมร้านนั้นร้านนี้ในเครือลูกค้าบริษัท แน่นอนว่ารูทไม่ปฏิเสธหรอก

“อยากกิน...”

พัฟที่จัดการกับจานหลักของตัวเองเสร็จแล้วเอ่ยพลางจ้องมาที่ สตอเบอรี่ชิ้นโตที่ถูกประดับมาเป็นพืเศษบนเค้กของเขา แม้คนตัวโตตรงหน้าจะไม่พิสวาศเค้กเท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นผลไม้ที่ประดับบนเค้กของเขาจะไม่ยอมพลาดแน่นอน

เน้นว่าบนเค้ก ‘ของเขา’ ด้วยนะ กับคนอื่นไม่เห็นมันกิน แต่ตอนมากินกับเขามันจ้องเอาผลไม้ตลอด

“ก็กินสิ มึงพูดแล้วมันจะลอยเข้าปากเองหรือไง?” ยื่นช้อนอีกอันที่ไม่เลอะให้ แต่พัฟกลับส่ายหน้า

“มึงป้อนดิ”

นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่เขาไม่รู้ว่ามันเป็นอะไร ต้องให้เขาป้อนตลอด จะกินบ้าบออะไรต้องให้เขาป้อน ดีนะที่ข้าวเมื่อกี้ไม่บอกให้เขาป้อนด้วย

“ให้กูป้อนตลอด กูป้อนแล้วรสชาติมันจะดีขึ้นหรือไง?” ถามคำถามเดียวกับที่ถามทุกครั้ง

 “อือ ให้มึงป้อนอร่อยกว่า” และคำตอบที่พัฟตอบทุกครั้งก็ยังเหมือนเดิม

แล้วก็ตามด้วยเหตุการณ์เดิมๆ สตอเบอรี่ลูกโตถูกส่งเข้าปากที่อ้ากว้าง ได้ยินเสียงกรี๊ดจากโต๊ะข้างๆ อีกแล้ว แต่มันคงดังไม่มากพอจะกลบเสียงที่ดังอยู่ในอกของเขาตอนนี้

“มึงแม่งชอบทำตัวประเจิดประเจ้อ”

“มึงก็ชอบทำเป็นไม่รู้เรื่อง”

เจอประโยคตอกหลับแบบนี้รูทก็ได้แต่หัวเราะ ไม่อาจเถียงต่อได้ด้วยสิ่งที่พัฟพูดมาเป็นเรื่องจริง เขารู้อยู่แล้วว่าคนตรงหน้ารู้สึกเช่นไรกับเขา รู้ถึงการแสดงออกในแง่มุมที่ผิดปกติจากเพื่อนผู้ชายทั่วไปมักจะทำกัน และรู้ด้วยว่าตนเองก็ยินดีที่จะให้ความสัมพันธ์ระหว่างตนกับพัฟเป็นไปในทางที่ดีขึ้น

หากก็ต้องยอมรับว่าตนกำลังกลัว กลัวในสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ไม่ว่าจะสายตาของคนภายนอก ความรู้สึกของผู้เป็นยายที่ถ้ารู้ว่าหลานชายเพียงคนเดียวคบกับผู้ชายแล้วอาจจะไม่ยอมรับ ที่สำคัญที่สุดคือ การจะเปลี่ยนจากตำแหน่งเพื่อนที่สนิทกันมากไปสู่การเป็นคนรักมันไม่ง่ายเหมือนที่ใครต่อใครพูดกันหรอก

“มึงก็รู้ว่ามันยากนี่หว่า... รีบกินเหอะเดี๋ยวไม่ทันเข้าเรียน คลาสนี้อาจารย์เรียกชื่อด้วย”

รูทตัดบทแล้วก้มหน้าก้มตาจัดการเค้กตรงหน้าต่อ รับรู้ถึงสายตาที่มองจ้องทุกการกระทำแต่ก็เลือกจะเมินเฉยและปล่อยให้มันเงียบหายไปเหมือนทุกที

หลังเลิกเรียนกิจวัตรประจำวันของพวกนักศึกษาก็ยังเหมือนเดิม บางส่วนกลับบ้าน บางส่วนเที่ยวเล่น วันนี้รูทเลือกที่จะอยู่ฝ่ายกลับบ้านเพราะงานที่อาจารย์สั่งไว้เมื่อคาบก่อนยังไม่เสร็จสมบูรณ์ดี รูทจัดการบอกลาเพื่อนในกลุ่มจนครบแล้วเดินเคียงข้างร่างสูงโปร่งไปขึ้นรถมอเตอร์ไซค์กลับบ้านเหมือนปกติ

ตาเรียวเหลือบมองคนด้านข้าง ถึงพัฟจะยังคงใบหน้านิ่งเฉยและเอ่ยลาเพื่อนพ้องรวมไปถึงรุ่นน้องเหมือนยามปกติแต่บรรยากาศรอบตัวที่แปลกไปทำให้รู้ว่าแม้จะไม่พูดหากอีกฝ่ายยังคิดเรื่องที่ทั้งคู่คุยกันตอนอยู่ร้านกาแฟ เพราะพัฟจะเป็นแบบนี้ทุกครั้ง ทำทีเหมือนไม่มีอะไรแม้จะไม่พอใจในคำตอบก็ตาม

“มึง วันนี้น้องพายไม่อยู่บ้านใช่ป่ะ?”

“อืม ที่บ้านกิวชวนน้องไปกินข้าวด้วย”

“งั้นมึงก็ไปบ้านกูได้ดิ ยายกูบ่นว่าคิดถึง อยากให้พ่อรูปหล่อปกินข้าวกับยายบ้าง กูล่ะหมั่นไส้”

สมัยยังเด็กคนที่จะไปฝากท้องที่บ้านเขาเป็นประจำคือกิว ถัดมาหลังจากที่รู้จักกับพัฟแล้วก็ลากกันไปทั้งสองคน แต่พอกิวเจอพายและตามเทียวไล้เทียวขื่อน้องคนที่มักจะไปฝากท้อง กินข้าวเย็นอยู่เสมอเลยเหลือแค่พัฟคนเดียว และไม่รู้ว่าผู้เป็นยายติดใจอะไรเจ้าหนุ่มหน้านิ่งนี่หนักถึงได้ชมเช้าชมเย็น หาโอกาสให้พากลับบ้านไปกินข้าวด้วยประจำ





“กูไม่เข้าใจ”

หลังมื้ออาหารเสร็จสิ้นลงทั้งคู่ก็ขึ้นไปคลุกอยู่บนห้องของรูทอย่างที่เคยทำ กองหนังสือเรียนและแบบร่างโปรเจควางเกลื่อนอยู่บนพื้นทำให้พวกเขาต้องขึ้นมานั่งขัดสมาธิตัดกระดาษที่เตรียมประกอบอยู่บนเตียง ระหว่างที่รอเขาวาดแบบให้ตัด อีกฝ่ายก็เอ่ยทำลายความเงียบ

“หือ? แบบที่ร่างเมื่อกี้เหรอ? ขนาดไม่เข้าใจมึงยังวาดได้เนอะ”

“ไม่ใช่ กูไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเราคบกันไม่ได้ทั้งที่เรารู้สึกเหมือนกัน”

รูทใช้หางตาเหลือบมองคนข้างกาย รับรู้ได้ว่าพัฟกำลังจ้องมองเขาอยู่เช่นกัน รูทได้แต่คิดในใจว่าพลาดแล้ว ปกติหากเขาตัดบทเหมือนเมื่อตอนกลางวันพัฟจะไม่หยิบยกเรื่องนี้มาพูดอีกจึงลืมไปเลยว่าเขายังคุยเรื่องนี้ค้างอยู่

ตาคมที่สบมาแน่วแน่และมั่นคงราวกับจะไม่ยอมปล่อยให้เขาชิ่งตัดบทหนีอีกแล้ว เห็นท่าทีแบบนั้นรูทก็ได้แต่ขบริมฝีปากอย่างชั่งใจ ไม้บรรทัดและดินสอในมือถูกวางลงข้างตัวอย่างจำยอม คงได้เวลาที่ต้องคุยเรื่องนี้อย่างจริงจังเสียทีหลังจากผลัดไว้มาเนิ่นนาน

“พัฟ มึงก็รู้ว่ามันยาก กับการที่เพื่อนสนิทจะเปลี่ยนฐานะมาเป็นคนรักกัน ถึงเราจะรู้สึกเหมือนกันก็เถอะ.....”

“แค่เรารักกันมันไม่พอหรือไง? มึงจะคิดอะไรมากมาย”

นานๆ ทีจึงจะเห็นอีกฝ่ายดื้อแพ่งแบบนี้ หน้านิ่วคิ้วขมวดและการใช้คำพูดเหมือนเด็กๆ จนรูทเผลออมยิ้ม

“เพราะมึงก็คิดน้อยไปกูเลยต้องคิดแทนนี่ไง เราเป็นผู้ชายเหมือนกัน น้องมึงก็คนนึงแล้ว ถ้ามึงอีกคนแม่จะรับได้เหรอ ไหนจะยายกูอีก มันยากว่ะพัฟ” รูทว่าตามที่ตนคิด “ไหนจะเรื่องที่เราเป็นเพื่อนสนิทกันมาตลอดอีก ถ้าเราคบกันแล้ววันนึงมึงกับกู ใครสักคนเกิดเปลี่ยนไปความเป็นเพื่อนของเราก็คงไม่เหลือเหมือนกัน กูไม่อยาให้เป็นแบบนั้น”

“.....มึงพูดแบบนี้เหมือนดูถูกความรู้สึกของกูนะรูท”

“กูไม่ได้ดูถูกพัฟ กูพูดในสิ่งที่มันเป็นไปได้ กูพูดในสิ่งที่กูกลัว”

ใช่ เขากลัว กลัวว่าหากวันนึงที่เขาตกลงจะเดินไปด้วยดันแล้วฝ่ายใดฝ่ายนึงเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาสิ่งที่สร้างมาด้วยกันมันจะไม่เหลืออะไรเลย และรูทก็ไม่ยอมให้มันเป็นแบบนั้น เขาเลยเชื่อมาตลอดว่าความสัมพันธ์ในตอนนี้เป็นความสัมพันธ์ที่ดีที่สุด

จบประโยคของรูททั้งคู่ก็เงียบไป เป็นความเงียบที่ชวนให้อึดอัด แต่รูทถึงว่าตนเองพูดในเรื่องที่ต้องการหมดแล้ว เหลือแค่พัฟเท่านั้นที่จะยอมรับมันได้หรือไม่

“.....กูก็กลัวไม่ต่างกับมึงหรอกรูท” คนตัวโตเป็นฝ่ายเอ่ยทลายความเงียบ “แต่กูตัดสินใจแล้ว ถ้ามึงพร้อมจะเดินเคียงข้างกู ต่อให้เจออะไรกูก็ข้ามมันไปให้ได้และจะพามึงไปด้วย”

“..........”

“แค่มึงตอบมาคำเดียวว่าได้ สิ่งที่มึงกลัวจะเหลือแค่ให้ยายมึงยอมรับเรื่องของเราเท่านั้น”

คำพูดที่หลุดปากออกมาพร้อมสายตาคมเข้มที่มองมาชวนให้รู้สึกว่าหากเป็นคนตรงหน้าต้องทำตามที่ตนเองพูดให้ได้แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องที่ยากลำบากแค่ไหนก็ตาม และจากที่รู้จักกันมาหลายปี ผู้ชายคนนี้ก็ทำอย่างที่ว่าได้แทบทุกครั้งเสียด้วย แต่ครั้งนี้มันไม่ง่ายเหมือนที่เคยผ่านมานี่สิ

“.....เรื่องแบบนี้พูดง่ายทำยากนะเว้ย”

“กูทำได้แน่”

คำพูดที่ฟังดูก็รู้ว่าไม่มีวันเปลี่ยนใจทีหลังหากลั่นวาจาแล้วนั้นจริงจังมากเสียจนรูทเกือบจะหลุดหัวเราะแต่เมื่อคิดว่าหากหัวเราะไปจะทำให้พัฟคิดเป็นอื่นเขาก็ต้องกลั้นเอาไว้ แล้วมองสำรวจใบหน้าแน่วแน่มั่นคงของคนที่กำลังเฝ้ารอคำตอบจากเขา

พัฟจริงจังกับเรื่องนี้มาก ความรู้สึกนั้นแสดงออกบนใบหน้าคมเข้มติดจะนิ่งเฉย ตอนแรกที่เจอกันเขาคิดว่ามันแค่เป็นคนขี้เก๊กดีแต่ปากคนนึง แต่เมื่อรู้จักกันไปเรื่องๆ รูทก็ต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ พัฟไม่ใช่คนขี้เก๊กอะไรเลย เพียงแค่เป็นคนหน้านิ่งแม้นิสัยจะไม่นิ่งก็ตามเพราะความเคยชิน เห็นว่าตอนพายเด็กๆ แค่เห็นหน้ามันก็ไม่กล้าดื้อแล้วมันเลยติดทำหน้าแบบนี้มาตลอด แถมไม่ค่อยชอบยิ้ม มุมปากก็เลยตกอยู่เสมอ

และพัฟก็ไม่ใช่คนดีแต่ปาก หากเป็นคนพูดน้อย นานๆ ถึงจะพูดประโยคยาวๆ กับเขาบ้าง พูดจริงทำจริง ต้องมั่นใจแล้วว่าตัวเองทำได้แน่ๆ ถึงกล้าเปิดปากบอกสิ่งที่จะทำให้คนอื่นได้รับรู้ ครั้งนี้ก็เช่นกัน เจ้าตัวคงมั่นใจมากว่าจะทำให้ยายเขายอมรับได้ ถึงได้ลั่นวาจาออกมาเช่นนั้น

ใจนึงก็อยากจะบ่นที่มันที่มันให้ความสำคัญเรื่องของเขามากกว่าโปรเจคที่กองอยู่บนพื้น แต่ก็นะ เพราะเป็นคนแบบนี้แหละ ถ้าไม่นับเรื่องครอบครัวตัวเองพัฟก็เห็นเรื่องของเขาสำคัญมากที่สุดมาตลอด คอยเอาใจใส่และทำทุกอย่างเท่าที่ตนทำได้เพื่อเขาชนิดที่เพื่อนเห็นก็ยังรู้ว่ามันเป็นประเภทเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ ทำไปทำมาเขาก็เลยคล้อยตาม พลอยคิดไม่ซื่อกับมันไปด้วยอีกคน
และในเมื่อพัฟพูดจูงใจเขามาเสียขนาดนี้ จะลองคล้อยตามอีกรอบคงไม่เป็นไร

รูทมองหน้าแน่วแน่นั่นอีกครั้งราวกับจะค้นหาก่อนจะแสร้งทำทีเป็นถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย แม้กระนั้นพัฟก็ยังคงนิ่งราวกับหมาตัวโตที่กำลังรอคำสั่งจากเจ้าของ สุดท้ายรูทก็ต้องยอมเผยรอยยิ้มแล้วเปล่งคำตอบออกไป ก่อนจะต้องโวยวายจากอาการเขินเพราะโดนรั้งเข้าไปกอดเสียแน่น



“ได้ กูจะลองเดินข้างมึงดู”




(คู่)เพื่อนของหัวหน้า จบ



-------------------------------------------------------------------


 Talk : สวัสดีค่ะ   

หลังจากปล่อยให้เขาจีบกันพักใหญ่มากๆ ในที่สุดพี่พัฟกับพี่รูทก็ตกลงว่าจะเดินเคียงข้างกันสักทีนะคะ เป็นคู่รักที่แสดงออกแต่ไม่บอกใคร จะเรียกแบบนี้ก็ไม่ผิดค่ะ หลายๆ คนอาจจะอยากให้ลงไปในตอนเลยว่าเป็นคนรักกัน อยากให้บอกรัก ต้องบอกเลยว่าสำหรับคู่นี้ยากค่ะ ปากหนักกันทั้งคู่ แต่ไม่แน่เขาอาจจะไปกระซิบกันทีหลังก็ได้นะ ฮิๆๆ

หลังจากนี้จะมีอีกสองตอนที่จะลงเล้าเป็ด และอีกสองตอนที่ตั้งใจจะลงในหนังสือ แล้วจะเกลาภาษาก่อนส่งให้พิจารณาต้นฉบับค่ะ แต่เพราะอะไรหลายๆ อย่างเลยไม่แน่ใจว่าหนังสือจะได้คลอดไหม เอาเป็นว่า หากมีโอกาสคงได้เจอกันนะคะ :hao6:

แล้วเจอกันตอนหน้า ขอบคุณที่ติดตามและให้กำลังใจมาตลอดค่ะ :pig4: :3123:

ออฟไลน์ chisarachi

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1019
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +49/-1
ขอในหนังสือตอนพิเศษยาวๆ หนาๆนะคะ5555555555555
คิดถึงน้องพายยย

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด