อยากเป็นคนนั้น..คนที่เธอรักกันด้วยหัวใจ
อยากเป็นคนนั้น.......คนที่เขาได้มีเธอข้างกาย
อยากจะทำทุกทาง....เพื่อให้เธอหันมองและสนใจ
แต่ไม่รู้ต้องทำยังไง ไม่รู้ต้องทำแค่ไหน.......เธอจะรักกัน
ปูน??
รูปร่างท่าทางน่าจะใช่แต่ปูนไม่เคยรู้จักบ้านผมเพราะงั้นเลยคิดว่าไม่น่าจะมาถูกได้ ผมกำลังจะเดินลงไปดู เจอแม่ถือจานข้าวเกรียบทอดสวนทางเข้ามา
“ปิง ใครมาน่ะลูก ลงไปดูซิใช่มาบ้านเรารึเปล่า”
“ครับ เดี๋ยวปิงลงไปดู”
ผมวิ่งลงบันไดไม้เตี้ย ๆ ตัดทางเดินแคบ ๆ ผ่านต้นไม้ดอกไม้ จนมาถึงรั้วไม้หน้าบ้าน คนที่อยู่ในเงามืดถึงได้ขยับตัวออกมาพร้อมๆกับเสียงเล็กของสิ่งที่อุ้มอยู่ในอ้อมอกดังขึ้น
“บ๊อกๆ”
“ปูน!?”
“ไง....”
เขากล่าวทักทายแค่สั้น ๆ ใบหน้านั้นยังคงยิ้มแย้ม แต่ทำไมผมถึงรู้สึกว่ามันแฝงไว้ด้วยความเศร้าสร้อย
“ปูนรู้จักบ้านผมด้วยเหรอ เข้ามาดิ่” ผมก้มเปิดรั้วให้ ปูนเดินเข้ามา เจ้าอ้วนหมูปิ้งในอ้อมอกเขาดิ้นใหญ่ มันทำท่าดีใจเมื่อเห็นผม
“หมูปิ้งอย่าดื้อครับ ไปหาพี่ปิง”
เขายื่นน้องมาให้ ผมรับมาอุ้มกระชับอก เจ้าหมาน้อยเลียแก้มผมใหญ่ร้องหงิงๆดีใจ ผมเลยจูบหัวมันเบา ๆ
“ครับๆกูรู้แล้วว่ามึงดีใจ นิ่ง ๆ ดิ่วะหมูเน่านี่”
ปูนอมยิ้มลูบหลังมัน น้องซุกลงที่อกผม ออดอ้อนออเซาะ
“ขึ้นไปหวัดดีแม่กันปูน วันนี้คนเยอะหน่อยนะ นายมาถูกวันพอดีกับข้าวเยอะแยะเลยล่ะ”
“เห็นรถจอดเยอะเลย มีแขกเหรอผมกวนรึเปล่า”
“อ๋อไม่ๆ ขึ้นมาสิ” ผมนำเขาขึ้นมาที่ระเบียงไม้ที่ยกสูงจากพื้นไม่มากนักสักหนึ่งเมตรเห็นจะได้ ปูนยกมือขึ้นไหว้แม่
“จ้าไหว้พระเถอะลูก นั่งก่อนนะเดี๋ยวแม่เข้าไปหาอะไรมาให้กิน” ปูนหันมาอีกทางสีหน้าเขาดูตกใจตั้งแต่ตอนก้าวขึ้นบันไดมาแล้วเห็นว่าเป็นใครบ้างที่นั่งอยู่แล้ว แต่ผมพาเขาไปสวัสดีแม่ก่อนเท่านั้น
“สวัสดีครับคุณเอย์คุณซีซ่าร์พี่คเชนทร์”
“นั่งนี่ก็ได้” พี่เชนพยักหน้าเรียก ปูนยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมมองตามหมูปิ้งกับผม ผมอุ้มน้องเดินเข้าไปหาพี่เอย์ “น้องชื่อหมูปิ้งครับ”
พี่เอย์พยักหน้าเอื้อมมือขึ้นมาลูบหลังมัน หมูปิ้งยิ้ม ตากลม ๆตื่นเต้นดีใจ ลิ้นสีแดงสดไล้เลียหลังมือมันเบา ๆ ทักทาย
“ขี้อ้อนนะมึง” มันค่อนคอดเจ้าหมูแต่สายตานี่คาดโทษผมน่าดู
“ปูนนั่งสิ เดี๋ยวกินข้าวพร้อมกันนะ” ผมบอก
“ไม่เป็นไรครับปิง ผมแวะมาธุระน่ะ เดี๋ยวจะกลับแล้ว”
“เฮ้ย ทำไมล่ะ” ผมเดินเข้าไปหา
“เอ่อ....” ปูนอึกทำท่าเหมือนมีเรื่องอยากจะพูด “ลงไปคุยด้านล่างได้ไหม” เขาพูดเสียงเบา บุ้ยใบ้ไปที่ม้านั่งยาวใต้ต้นไม้ แถวริมรั้งเตี้ยๆที่ติดกับบ้านของพี่เอย์
“โอเคงั้นเดี๋ยวเราลงไปคุยด้านล่างกัน” ผมหันไปที่โต๊ะ พี่เอย์นั่งกดมือถือเล่นอยู่
“ปล่อยหมูปิ้งไว้แถวนี้ได้ไหม”
“ได้ครับ”
ผมวางน้องลงที่พื้น มันตื่นเต้นใหญ่วิ่งส่ายตูดหันหน้าหันหลัง พี่ซ่าร์ลุกขึ้นมาเล่นกับมัน เจ้าหมูอ้วนเข้าได้กับทุกคน มันฉอเลาะพี่เขาใหญ่เดินไปดม ๆ ขาพี่เชนอีกด้วย ผมล่ะลุ้นแทบระทึกกลัวมันไปแงะขาพี่เอย์เดี๋ยวจะโดนเตะกลับมา คุณชายมาดนิ่งๆแบบนี้เดาใจยากเหลือเกิน
“ปูนลงไปรอก่อนนะเดี๋ยวผมตามลงไป” ผมบอกปูนลงไปรอก่อนที่จะเดินเข้ามาหาพี่เอย์ จิ้มแตงโมป้อนมัน
“พี่เอย์ครับเดี๋ยวผมขึ้นมานะ รู้สึกเหมือนเขามีเรื่องอยากคุย เดี๋ยวคืนนี้ผมเล่าให้ฟัง พี่เอย์เด็กดีไม่งอแงนะครับนะ” ผมกระซิบมันเบา ๆ ตบลงที่ไหล่พี่เอย์กัดปากใส่ ผมเลยชกพุงมันไปเบา ๆ แล้วเดินตามปูนลงมาหันกลับไปมองอีกที เห็นมันก้มหน้าเล่นมือถือทำท่าไม่สนใจ แต่ผมเหงื่อตกคิดแล้วว่าคืนนี้คงเป็นผมที่ซวยอีกแหง๋ๆได้ง้อกันยาวแน่ เพราะถ้ามันเฉยๆเมื่อไหร่นี่ผมหวั่นทุกทีอ่ะ
“บ้านปิงน่ารักดีนะ ไม่คิดว่าจะมีบ้านสวนเล็กๆที่อยู่ใจกลางเมืองใหญ่แบบนี้ ผมวนรถสองรอบแหนะกว่าจะหาเจอ” ปูนนั่งรอผมอยู่แล้วที่ม้าไม้ ท่าทีสบาย ๆ ดูเหมือนเขาจะชอบสวนเล็กๆแบบนี้มาก
“เออ ว่าจะถามอยู่เนี่ย ปูนรู้ได้ยังไงว่าบ้านผมอยู่ที่นี่ ยังอุตส่าห์หาเจอนะ”
“ถามพนักงานของยูเซย์น่ะ น้องคนที่เข้าไปประจำแทนปิงกับพี่คเชนทร์ไง ไม่ได้เจอกันเลยมีแต่คุยมือถือ แต่ก็ยังรู้สึกว่าปิงไม่เปลี่ยนไปเลยนะ”
“ผมไม่เปลี่ยนหรอกยังเป็นปิงคนเดิมนั่นแหละ ช่วงนั้นยุ่งมากจริง ๆ ไม่ได้บอกปูนเลยว่าครบกำหนดสัญญากับอัศวแล้ว แต่ก็คิดนะว่าถ้ามีอะไรเดี๋ยวปูนคงโทรหาแหละเพราะมีเบอร์อยู่แล้วนี่”
“ปิงเคยคิดเรื่องของผมด้วยเหรอ”
“คิดดิวะ ก็ปูนเป็นเพื่อนผมนี่ ว่าแต่มีอะไรมาหาผมถึงบ้านนี่อย่าบอกนะว่าแค่ผ่านมาคุยเล่นน่ะ”
“คึคึ” เขาหัวเราะ ผมนี่อยากจะมะเหงกเขกหัวมันนัก ผมพูดอะไรขำตรงไหนนักหนา ปูนชอบมองหน้าผมแล้วหัวเราะ บางทีก็ยิ้มอยู่คนเดียว
“ผมตกใจมากเลยตอนที่รู้ว่าคุณเอย์ออกจากบริษัท คนเขาพูดกันให้ทั่วเลย แผนกวิศวกรรมเลยต้องดึงรองกรรมการขึ้นมาทำแทน ท่านประธานวิ่งวุ่นมากท่านดูอารมณ์ไม่ดีอยู่ตลอดเลย ตั้งแต่คุณเอย์ออกไปงานทุกอย่างที่ทำค้างไว้มีคุณซีซ่าร์สานต่อให้ แต่นั่น...ก็ยังไม่ตกใจเท่ากับเมื่อกี้ตอนที่เห็นว่าทั้งสองคนนั่งอยู่บนบ้านปิงหรอก”
“พี่เขามาทานข้าวกันน่ะ เรารู้จักกันมานานแล้ว”
“ปิง”
“ครับ ว่าไง?” ลมโกรกผ่านเข้ามาพอดีผมยกมือเสยๆเส้นผมไม่ให้บังสายตา ช่วงนี้ผมยาวมากจริง ๆ คงต้องหาเวลาไปซอยออกสักหน่อย มองขึ้นไปที่บนระเบียงเจอพี่เอย์มองลงมาเช่นกัน
“มีอะไร? จะบอกได้หรือยัง มาหาผมวันนี้มีเรื่องอะไรมาใช่ไหม” ผมถามเข้าเรื่องเลย คิดว่าถ้านานไปไม่ดีแน่ สายตาคนที่อยู่ข้างบนบ้านนี่เขม่นผมมากแล้ว
“เก่งจังนะ รู้ได้ยังไงว่าผมมีเรื่องมา”
“ก็ดูหน้าซะก่อน ปกติปูนไม่เป็นแบบนี้หรอก” ผมลุกขึ้นยืน เอื้อมมือเด็ดดอกไม้มาดมเล่น ยางสีขาวของดอกลีลาวดีไหลลงตามก้านดอก
“แบบไหนครับ” ปูนเงยหน้ามอง เขาถามผมกลับมา จริง ๆ แล้วผมกับปูนเจอกันบ่อยนะช่วงที่ไปทำงานที่อัศวถึงผมจะออกมาแล้วเขาก็ยังโทรมาหาอยู่ตลอดคุยโน่นนี่กัน จนรู้สึกว่าสนิทกันไประดับนึงเลยล่ะ
“รอยยิ้มของนาย ไม่เหมือนเดิมเลยถึงจะยิ้มให้กับผมแต่มันไม่ใช่รอยยิ้มอย่างที่ผมเคยเห็น เมื่อก่อน”
“หึหึ ยอมแพ้ให้กับปิงจริงๆเลย”
“งั้นก็บอกได้หรือยัง มีอะไรถึงมาหาผมถึงที่นี่”
“ผม....เพิ่งเลิกกับแฟนมา เมื่อกี้นี้เอง”
“ห๊ะ!?” ผมอุทานขึ้น จะว่าตกใจมากก็ได้
“ปลอบหน่อยดิ มาเพื่อให้ปลอบโดยเฉพาะเลยนะ” สายตาเขาดูเศร้า ๆ ริมฝีปากระบายรอยยิ้มคล้ายคนที่กำลังปลอบใจตัวเองอยู่ ครั้งล่าสุดที่เราคุยโทรศัพท์กัน ถึงแม้จะใช้เวลาไม่นาน วันนั้นรู้สึกผมจะค้างที่ทำงาน เห็นว่าเขากำลังมีปัญหากับแฟน แต่ก็ยังไม่แน่ใจ เหมือนปลายทางจะต่อว่าเขาอยู่หรืออะไรยังไงสักอย่าง ตอนนั้นปูนบอกขอตัดสายวางไปก่อน แล้วหลังจากนั้นก็ยังไม่ได้โทรหาผมอีกเลย
“ปลอบเหรอ?”
“ใช่ ปลอบหน่อยดิวะ”
ผมฟาดผั๊วะลงไปที่หัวทุยๆของเขาหนักๆหนึ่งที ปูนร้องจ้าเลยยกมือลูบแล้วบอกเจ็บ ๆ
“ก็เนี่ย ปลอบให้แล้วจะมาโวยอะไรล่ะ”
“หูยยยมือหนับฉิบเป๋งเลย”
“ไม่ได้หนักแค่มือนะ ตีนก็หนักมากไม่แพ้กัน”
“ดุจังเลยนะ คึคึ” ปูนหัวเราะขึ้นมาอีกแล้ว คราวนี้ผมจ้องหน้าเขาเอาเรื่อง
“ยอมแล้วๆ ไม่หัวเราะแล้วครับ ปลอบแบบปิงเนี่ยผมหายช้ำใจได้จริง ๆ แต่เปลี่ยนมาเจ็บตัวแทน อูยหัวโนไหมเนี่ยดูให้หน่อยดิ่”
“ไม่ดู ปล่อยให้มันแตกไปเลยสมน้ำหน้า”
“ใจร้ายว่ะ แต่ขอบคุณนะที่รับฟังผม”
“ถ้าพูดออกมาแล้วสบายใจก็พูดเถอะ ปูนเป็นเพื่อนผมนะมีอะไรปรึกษาได้ทุกเรื่อง มีอะไรอยากจะพูดอีกไหม”
“ไม่ล่ะ ก็แค่อยากจะบอกไงว่าผมเลิกกับแฟนผมแล้ว”
“ถ้าอย่างงั้นไปกินข้าวกันเหอะ เดี๋ยวแม่เรียกแล้ว”
ผมชวนเขาขึ้นบ้าน เห็นแม่กับพี่ขมหมาบาสกับหมาวุฒิทยอยเอากับข้าวออกมาแล้ว พี่เอย์นั่งตาเขียวส่งสายตาระยะไกลจ้องผมอยู่ ผมโบกมือให้ เจอมันเขวี้ยงอะไรไม่รู้มาคิดว่าเป็นเศษใบไม้แถวนั้นเพราะเห็นบางอย่างปลิว ๆ
“ป่ะ” ผมชวนอีกครั้ง ปูนลุกขึ้นเขาเหยียดแขนออกจนสุดทำท่าบิดขี้เกียจเขาตัวสูงกว่าผมไม่มากนะรูปร่างพอๆกับพี่เชนพี่เอย์ ปูนเอื้อมมือไปเด็ดลีลาวดีใหญ่มาหนึ่งดอก
“ขอนะ สวยดี”
“ไม่ใช่แค่สวยหรอก หอมด้วย บ้านผมชอบลีลาวดีกันทั้งบ้าน”
“เป็นดอกไม้ที่มีเสน่ห์นะ คงเหมือนเจ้าของบ้านล่ะมั้ง”
“ใคร? แม่ผมเหรอ”
“กวนนักนะ”
“ก็ถ้าหมายถึงผม ของมันก็แน่อยู่แล้วล่ะนะ เฮ้ย! ระวังหน่อยสิยางมันอันตราย เดี๋ยวกระเด็นเข้าตาหรอก” จู่ ๆ ปูนเอื้อมมือเด็ดออกมาอีกดอก ผมกลัวยางจะกระเด็นใส่เลยปรามเอาไว้
“ปิง...”
“หื้ม? ขึ้นไปกันเถอะพี่ๆเขาเรียกแล้ว ขึ้นไปทานข้าวด้วยกันนะ” หมาบาสมันโบกมือเรียกผมไวๆ แอบมองไปที่พี่เอย์อีกแวบเจอคุณชายหน้าหงิกไปแล้ว บาสมันกำลังอุ้มหมูปิ้งยัดใส่อกพี่เชน แต่ผมเห็นพี่เอย์ยื่นมือมามันตบหัวน้องด้วยนะ
“ไม่ดีกว่า ฝากบอกคุณแม่ปิงให้ด้วย เดี๋ยวผมจะกลับแล้วล่ะ”
“อ้าว!”
“แค่แวะมาบอกน่ะ บอกแล้วไงมาให้ปิงช่วยปลอบ”
“ตลกไปไหมวะ ปูน?”
ปูนยิ้มกว้าง หันไปผิวปากเรียกหมูปิ้ง เจ้าอ้วนเห่าเสียงเล็กๆลงจากตักพี่เชนมายืนส่ายตูดแกว่งหางอยู่ที่หัวบันได ผมเดินเข้าไปอุ้มมันมาให้เขา ปากน้องมอมมากดูเหมือนพี่ซ่าร์จะป้อนอะไรมันสักอย่าง
“ดูอีกทีก็ยังยืนยันคำเดิมนะ บ้านปิงน่ารักจริง ๆ ไม่คิดว่าจะมีบ้านสวนแบบนี้กลางกรุงเทพเลย คล้าย ๆ รีสอร์ท ยิ่งบ้านหลังนั้นยิ่งสวยสะดุดตา ผมชอบดีไซน์มากๆ งานก่อสร้างที่รับผิดชอบอยู่ยังไม่เคยได้คุมการก่อสร้างบ้านสวนแบบนี้เลยสักครั้ง หลังนั้นน่ะบ้านในฝันผมเลยก็ว่าได้”
ปูนชี้ไปที่บ้านหลังข้าง ๆ ผมคิดว่าเขาไม่รู้ว่านั่นเป็นร้านและบ้านของพี่เอย์
“เจ้าของเขาทำงานอะไรอ่ะปิง ออกแบบได้สวยนะ ไอเดียดีมาก”
“เจ้าของเขาก็นั่งอยู่บนบ้านเมื่อกี้ไง ปูนเองก็ยังสวัสดีไปเลย”
ปูนเบิกตาขึ้นทำท่าแปลกใจพอสมควร ผมจึงไขความข้องใจของเขาให้ “บ้านพี่เอย์น่ะ”
“เฮ้ย จริงดิ่?”
“ครับจริง” ผมกระชับหมูปิ้งอุ้มดีๆตัวมันหนักเหมือนกันนะขนนุ่มมากแต่ยังไม่ยาว วันนี้มัดจุกสีฟ้ารูปสับปะรด ชิสุทำไมน่ารักน่าชังงี้วะ
“หึหึหึ” เสียงปูนหัวเราะออกมาเบา ๆ อีกครั้ง คราวนี้เป็นผมแล้วที่แปลกใจ ถามไปว่าปูนหัวเราะอะไร เขายังขำอยู่ไม่หยุด
“เป็นไรมากไหมมึง” ผมประชด
“โห เดี๋ยวนี้ขึ้นมึงกูเหรอ”
“ก็ผมไม่เข้าใจนี่ ปูนหัวเราะอะไรเสียงแปลกๆ”
“เปล่าๆไม่ได้ขำปิงหรอก ผมหัวเราะตัวเองน่ะ นี่ถ้าซื้อหวยนะ รวยแล้ว”
“ทำไม?” ไอ้หมอนี่ยิ่งพูดยิ่งชวนงง เราเดินกันมาถึงที่รั้ว ผมมาส่งเขา
“ปิงครับ” ปูนเรียกขึ้น ผมมัวแต่ก้มลงเล่นกับหมูปิ้งที่อุ้มอยู่ ขานรับ
“คุณเอย์เขาเป็นคนพิเศษของปิงใช่ไหม?”
ผมหยุดมือที่กำลังจะยื่นออกไปผลักประตูรั้วทันทีที่ได้ยินคำถาม หน้าตาปูนจริงจังมาก เขาจ้องผมเหมือนกับว่าอยากจะค้นหาคำตอบจากในดวงตาเสียให้ได้
“ขอโทษนะที่ถาม แต่ได้โปรดบอกความจริงกับผม เรื่องคุณเอย์กับปิงน่ะจริงใช่ไหมครับ?”
ความจริงแล้ว เรื่องผมกับพี่เอย์ก็ไม่ได้เป็นความลับอะไรนะแต่จะให้มานั่งเปิดเผยประกาศตัวปาวๆมันไม่ใช่อ่ะ คือถ้าจะรู้ก็รู้เองแล้วก็เงียบไปดิ่ อะไรแบบนั้น แต่ปูนมาแปลกเขาถามผมถึงสองครั้งพยายามจะเอาคำตอบให้ได้ ผมชั่งใจอยู่นิดหน่อยก่อนพูดความจริงออกไป
“ใช่ครับ พี่เอย์เป็นคนพิเศษของผม”
“หึหึหึ” เขาระบายเสียงหัวเราะออกมาอีกแล้ว พร้อม ๆ กับรอยยิ้มจาง เจ้าหมูปิ้งพยายามจะตะกายออกไปหาปูน ผมเลยส่งมันให้เขา ปูนรับไปอุ้มไว้ หมูปิ้งเลียแก้มเขาใหญ่
“ไม่เป็นไรหมู พี่ปูนไม่เป็นไรครับหยุดเลียได้แล้ว”
“บ๊อกๆ” หมาน้อยเสียงเล็กๆ
“หมูปิ้งว่าพี่ปิงน่ารักไหมครับ หื้ม? หมูชอบพี่ปิงไหม อยากให้พี่ปูนพามาหาพี่ปิงบ่อยๆไหมครับ”
“บ๊อกๆ” เจ้าหมูขานรับเสียงเล็กเสียงน้อย ผมอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ ลูบหัวมันอย่างเอ็นดู
“ถ้าอยากมาเมื่อไหร่ก็มาได้ ถ้าหากไม่เจอผมปูนแวะเข้าไปคุยกับพี่เอย์ที่บ้านนั้นก็ได้ ไม่งั้นก็นั่งคุยกับแม่กับพี่ขม”
“ขอบคุณนะครับปิง”
“เฮ้ยไม่เป็นไร เกรงใจทำไมเราเพื่อนกัน มีอะไรไม่สบายใจก็มาเล่าให้กันฟัง”
“ทำไมผมไม่เจอปิงเร็วกว่านี้นะ เร็วกว่านี้สักสามสี่ปีแบบนั้นพอจะทันไหม”
“พูดอะไรน่ะปูน ล้อผมเล่นใช่ไหม”
“เปล่านะ ผมพูดจริง ๆ ทำไมเราไม่รู้จักกันมาตั้งแต่แรก เป็นเพื่อนกันตั้งแต่เรียน ปิงกับผมจะต้องเป็นเพื่อนสนิทกันได้แน่ ๆ”
“ถ้าเพื่อนสนิทน่ะ เริ่มจากตอนนี้เลยก็ยังได้ ไม่เห็นจำเป็นต้องพูดคำว่าเสียดายเลยนี่ ความสัมพันธ์ของเพื่อนจะเกิดขึ้นตอนไหนไม่สำคัญหรอก หากแต่มันจะเป็นความสัมพันธ์ที่อยู่กับเราสองคนไปไม่มีวันจบสิ้นนะ”
“หมายความว่า
‘เพื่อน’ ดีกว่า
‘คนพิเศษ’ งั้นดิ”
“ไม่ใช่แบบนั้น ดีเหมือนกันแต่อยู่คนละฐานะ”
“ล้อเล่นน่า อย่าจริงจังสิ” เขายื่นหมูปิ้งเข้ามาหา ผมทำหน้าสงสัยทั้งที่จะขึ้นรถอยู่แล้วทำไมถึงทำท่าเหมือนจะยื่นหมูมาให้ผมอุ้มอีก
“รักน้องไหม?”
“หือ??”
“รักหมูปิ้งไหม?”
“รักสิ น้องน่ารัก”
“.....”
“มีอะไรปูน?”
“เปล่า แค่รู้สึกว่าอยากเจอกันเร็วกว่านี้จริง ๆ ให้ตายเหอะ ถ้าผมฉกนายมาจากเขาได้ ผมก็อยากจะทำนะ”
“อะไรของมึง พูดจา” ผมตกใจเลย คิดว่าตัวเองหูฝาดกับประโยคท้าย ๆ ของเขาหรือยังไงกันแน่ อยากจะถามให้แน่ใจ กำลังจะอ้าปากถามปูนกลับชวนคุยเรื่องอื่น
“ถ่ายรูปด้วยกันหน่อยสิ ได้ไหม” เขาเอามือถือขึ้นมา ยื่นแขนออกไปจนสุด ผมกระชับหมูเข้าที่อกปูนย่อตัวลงนิดๆเอนหัวเข้าไปชนหัวเล็กๆของเจ้าหมู เสียงแชะดังขึ้นสองทีก่อนที่เฟรมของกล้องจะปิดลง
ปูนหันมามองหน้าผม เขารับเอาน้องไปอุ้มไว้คืน
“ยินดีด้วยนะปิง ดีใจกับนายทุกอย่าง ดีใจที่ได้รู้จักถึงแม้จะช้าไปมากแต่ผมก็ดีใจอยู่ดี ขอให้มีความสุขกับคนพิเศษของปิงนะ”
“ขอบใจมาก นี่คือคำอวยพรเหรอวะ” ผมพรูลมหายใจโล่งอก คิดว่าเมื่อกี้คงมีอะไรผิดพลาดแน่ ๆ อาจจะได้ยินอะไรผิด อย่างปูนจะมาพูดในเชิงนั้นกับผมคงไม่ใช่ วันก่อนยังบอกกับผมเรื่องแฟน ถึงวันนี้จะมาบอกว่าเลิกกันแล้วแต่อย่างไรเสียแฟนเขาก็คงจะสวยน่ารักเหมาะสมกับปูนแน่ ๆ
ผมมันแย่ชะมัดคิดสงสัยเขาไปได้ยังไง
“เปล่า นี่คือคำยินดี”
“แล้วมันต่างกันตรงไหน”
“ต่างตรงที่ความรู้สึกไง”
“พักนี้พูดอะไรไม่ค่อยรู้เรื่องนะปูน หรือว่าวันนี้โดนหักอกมาใจเลยไม่อยู่กับเนื้อกับตัวใช่ไหม” ผมยกมือขึ้นเกาหัว ไม่ค่อยเข้าใจคำพูดเขามากนัก แต่ก็คิดว่าปูนคงกำลังสับสนเลยพูดจาวกวนไม่รู้เรื่อง
“หึหึ คงงั้นแหละ ไปนะ หมูปิ้งบ๊ายบายพี่ปิงซิ ฝากบอกแม่กับพี่ๆเขาด้วยนะปิง ผมขอตัวกลับก่อน”
“อย่าไปคิดอะไรมาก ปูนเป็นคนดีผมว่าสักวันนึงปูนต้องเจอคนดีที่เข้ากันได้และเขารักปูนจริง ๆแน่”
“ขอบใจนะ” ปูนเอาน้องวางลงที่เบาะหมูปิ้งรู้งานกระโดดไปนั่งเชิดอยู่ที่เบาะคนนั่งข้างๆทันที หันหน้ามามองผมลิ้นห้อย
“ขับรถดีๆล่ะ”
ปูนขึ้นรถไปแล้ว กระจกค่อยเลื่อนตัวลงช้า ๆ เขาคาดเข็มขัดทุกอย่างเรียบร้อย
“มีอะไร?” ผมก้มลงถาม
“ปิง ผมเลิกกับแฟนแล้ว”
“อ่าฮะ ผมรู้แล้วก็ปูนบอกผมแล้วนี่”
“แล้วปิงรู้ไหม? ว่าแฟนผมน่ะ
เป็นผู้ชายนะ”
“ห๊ะ!!??”“ผมคบกับเขามาปีเศษๆแล้ว ไม่รู้ทำไมพอผมได้รู้จักกับปิง ผมกลับมีความรู้สึกว่าที่แล้วๆมาทุกๆคนรวมถึงเขาคนนั้นก็ยังไม่ใช่ เราเริ่มคุยกันน้อยลง ไม่ว่าเขาหรือผมจะพูดเรื่องอะไรมันดูเหมือนเข้ากันไม่ได้เลย ผมคิดถึงขนาดที่ว่าทำยังไงผมถึงจะเสาะหาคนแบบนายได้ ปิงเป็นคนที่ใช่สำหรับผมมากๆเลย คนที่ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าความสัมพันธ์ที่ดำเนินต่อไปเรื่อย ๆโดยไม่เอาเรื่องเงินทองหน้าตาหรือฐานะชาติตระกูลมาเกี่ยวข้อง ผมไม่รู้เลยว่าผมต้องไปหาคนแบบนี้จากที่ไหน”
ผมอึ้งไปหลายวินาทีเหมือนกันคำพูดร่ายยาวของปูนที่ผมไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับไปแม้แต่น้อย รู้สึกตัวอีกทีคือมือของใครสักคนสอดเข้ามาจับมือที่เย็นเฉียบของผมไว้ มองเห็นไฟท้ายรถที่ทิ้งห่างออกไปไกลโข เสียงหมาบาสตะโกนเรียกแว่วมาจากด้านบน เป็นพี่เอย์มันเดินลงมาตาม ผมรีบก้มลงปิดรั้วแล้วเดินขึ้นบ้านมาด้วยกัน
“แม่ครับปูนกลับแล้วนะ”
“เพื่อนปิงเหรอลูก ไม่เคยเห็นเลย”
“ครับ รู้จักกันตอนไปทำงานที่อัศวน่ะ” พี่เอย์นั่งลงแล้วผมขยับเข้าไปตาม แม่กับพี่ขมนั่งด้วยกัน บาสกับวุฒิและพี่เชนพี่ซ่าร์
“ทานกันเลยลูก พี่ๆเขารอเรานานแล้ว”
ผมตักกุ้งทอดกระเทียมพริกไทใส่จานให้พี่เอย์ นึกเสียใจมากเหมือนกันที่มัวแต่คุยกับปูนเลยไม่ได้ทำเมนูนี้ให้มันเลย จานนี้แม่คงเป็นคนผัดให้ พี่เอย์ไม่ได้ถามไม่ได้พูดอะไร นั่งทานไปเงียบๆ เวลาที่อยู่ต่อหน้าคนอื่นพี่เขาจะเงียบขรึมดูเป็นผู้ใหญ่แบบนี้เสมอ ไม่ค่อยง๊องแง๊งออดอ้อนผมแบบที่คุณเห็นอยู่บ่อย ๆ หรอก ผมเคยถามว่าทำไมถึงทำแบบนั้น มันบอกก็นิสัยแบบนี้ จะอ้อนเฉพาะคนที่อยากอ้อน พูดเอาแต่ใจเฉพาะกับคนที่ตัวเองรัก ทั้งด้านที่อ่อนแอ ด้านที่ไร้ค่า ทุกๆอย่างของมันมีผมเท่านั้นที่มันอนุญาตให้เห็นตัวตนของมันได้ คนอื่นมันไม่สนใจ
ผมตักมะเขือเทศฝานแช่เย็นใส่จานให้มันอีกชิ้น พี่เอย์จิ้มเข้าปากท่าทางเอร็จอร่อย
“พี่ไม่ถามผมเหรอ ว่าปูนเขามาทำไม”
“ไม่ถาม ไม่อยากรู้”
“ไม่อยากรู้แต่ก็อุตส่าห์ลงไปรับเนาะ เออดีเหมือนกัน กะว่าจะเล่าสักหน่อย งั้นไม่ต้องเล่าละ” พี่เอย์หยุดมือจากอาหารทันที ผมหันไปยิ้มยั่วมัน เจอมันหรี่ตาคาดโทษ
“เดี๋ยวคืนนี้กูมีวิธีรีดข้อมูลทุกอย่างจากมึงก็แล้วกัน ตอนนี้ยังไม่ต้องพูดอะไรก็ได้ ไว้กูจะค่อย ๆ ถามเอาจากร่างกายมึงเอง.....จุ๊ๆ ทุกตารางนิ้วเลย” เสียงกระซิบมันเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็งขั้วโลกเหนือ สีหน้านิ่งไม่ขยับแม้แต่นิด ยิ่งมันทำท่าเฉยๆนะผมยิ่งกลัวเลยให้ตายเหอะ ผมนี่นั่งเฉยอยู่ไม่สุขแกล้งเตะขามันเล่น พี่เอย์หันมามองหน้า ผมเตะอีกครั้งมันกระทืบเท้าผมมาแบบเต็มแม็ค เจ็บดิ่หน้าเหยเกเลยแหละ พอเห็นผมไม่พูดมันกระทืบมาอีกสามสี่ครั้งแล้วให้ตาย คุณชายเอาแต่ใจนี่จริง ๆ เลย
“เอย์เติมอีกไหมลูก เชนล่ะเอาไหม ซีซ่าร์ด้วย ส่วนเจ้าปิงเดินไปเติมเองเลยไป”
“หูยแม่ลำเอียงนี่ พี่ขมครับปิงไม่อิ่มอ่ะ” ผมอ้อนพี่ขมดีกว่าแม่อีก เดี๋ยวนี้ไม่สนใจผมแล้ว
“เอาอีกจริงเหรอเดี๋ยวก็อ้วนหรอก ไม่หล่อนะเรา”
“อ้วนไม่กลัว กลัวไม่อ้วน” ผมเลื่อนจานส่งให้ พี่ขมหัวเราะ คนใจดีเติมข้าวให้หนึ่งทัพพีน่ารักมาก พี่เอย์เองก็เลื่อนส่งให้ พี่ซ่าร์ขอเติมอีกบ้าง เจอพี่เชนแย่งจานคืนมา
“มึงอ่ะอ้วนแล้ว พอเลย”
“บ้า อย่ามายุ่งนะกับข้าวอร่อยกูก็อยากกินอีกเยอะๆสิ” พี่ซ่าร์ถลึงตาใส่
“ไม่เอาพอแล้วมันหนักนะ มึงไม่เข้าใจรึไง”
“พูดอะไรของมึง”
“ไหนว่าคืนนี้จะแวะไปเอาเสื้อ ถ้าจะไปไม่ต้องเติม แต่ถ้าจะเติมให้ได้คืนนี้ไม่ต้องไป”
ตึ่ง! เสียงเก้าอี้พี่เชนครูดไปกับพื้นอย่างดัง คนถีบทำท่าไม่ทุกข์ไม่ร้อน พี่เชนขยับเก้าอี้ตัวเองกลับเข้าที่เดิมหันไปจ้องพี่ซ่าร์ใหญ่
“ไม่เติมก็ได้วะ จิ๊!”
คู่กรณีสบถขึ้น พี่ขมนี่งงเลย ตกลงพวกมึงเป็นอะไรกันแกคงคิดแบบนี้มั้ง
“ไม่เอาไม่เอา ไม่แกล้งกัน ถ้าอิ่มกันแล้วก็กินผลไม้กันนะลูก แตงโมกับมะละกอสุก พี่ขมเขาหั่นเอาไว้ให้”
“แม่ครับ เอย์อยากทานมะเขือเทศอีก”
“จ้าๆ ของเอย์แม่เตรียมไว้ให้แล้ว อ่ะนี่เย็น ๆ เลยจิ้มซอสมะเขืออีกไหม”
“ขอบคุณครับแม่”
“ทานกันไปนะแม่กับพี่ขมเข้าครัวก่อน”
พวกเราหกคนนั่งเล่นคุยกันไปเรื่อย ไอ้บาสมันเอาไลน์สาวๆเข้ามาอวด มีสอนเทคนิคสามีรักสามีหลงอะไรของมันผมเลยโบกหัวมันไปที ส่วนไอ้วุฒินั่งเล่นเกมส์สู้กับพี่เอย์อยู่ พี่เชนพี่ซ่าร์คุยอะไรกันสักอย่างแต่หน้าตานี่เหมือนคนกัดกัน
จนกระทั่งสมควรแก่เวลา