สวัสดีค่ะ เอาตอนที่ 21 มาฝากนะคะ
ขอโทษที่ทำให้รอค่ะ และต้องขอบคุณมาก ๆ สำหรับการติดตาม
ยังไงก็มาตามเอาใจช่วยเต็มในตอนหน้า ตอนที่ 22 เป็นตอนสุดท้ายของเรื่องคุณบุรุษไปรษณีย์ฯ นะคะ
ตอนที่ 21 : คำถามของคุณย่า
การจราจรที่แทบจะเป็นอัมพาตของกรุงเทพมหานครทำให้รถเก๋งสีดำเข้ามาจอดในบริเวณที่จอดรถของคอนโดมิเนียมใจกลางกรุงล่าช้ากว่าเวลาที่ประมาณเอาไว้เกือบหนึ่งชั่วโมง ทันทีที่รถจอดสนิทร่างสูงของใครคนหนึ่งก็ผุดลุกขึ้นจากโซฟาที่หน้าเคาท์เตอร์ต้อนรับก่อนจะเปิดประตูพรวดออกมายืนฉีกยิ้มรอเจ้าของรถที่เปิดประตูออกมา
เป็นเวลานานทีเดียวที่ไม่ได้พบหน้ากัน...
กีรติไขกุญแจเปิดประตูก่อนจะเบี่ยงตัวหลบให้เพื่อนเดินเข้าไปในห้อง พอเข้ามาได้เต็มฟ้าก็เดินสำรวจไปรอบ ๆ ด้วยความรู้สึกที่ว่าสภาพของมันดีกว่าหอพักที่เคยอาศัยอยู่เมื่อตอนเริ่มทำงานมากโข ทั้งที่กีรติเล่าให้ฟังนานแล้วว่าย้ายมาอยู่ที่นี่แต่ก็ยังไม่มีโอกาสได้มาเหยียบให้เป็นมงคลแก่ฝ่าเท้าเลยสักครั้ง
"เป็นอะไรวะ ทำหน้าอย่างกับมีกรดในกระเพาะ"
คนถูกแซวช้อนตามองหัวเราะขื่น ๆ พลางทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟา "เออ คงมีจริงแหละมันถึงได้รู้สึกอึดอัดขนาดนี้" เสียงเรียบนิ่งทำให้คนเป็นเพื่อนกันมาเกือบสิบปีรู้ได้ทันทีว่าต้องมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นแน่ ๆ ดวงตาคมซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของหนุ่มใต้จ้องมองเสี้ยวหน้าที่เพียงเห็นก็รู้ว่าอีกฝ่ายคงมีเรื่องบางอย่างให้คิด ยิ่งลมหายใจหนัก ๆ ที่ถูกผ่อนผ่านปลายจมูกยิ่งให้อดเป็นห่วงไม่ได้
"เกิดอะไรขึ้นวะ วันนี้ไปบ้านเขามาไม่ใช่เหรอ"
"อือ"
"แล้วเป็นยังไงบ้าง ไม่ดีเหรอ"
"ดี ทุกคนน่ะดี ยกเว้นคุณย่าเขา"
"ทำไมวะ คุณย่าเขาพูดไม่ดีเหรอวะ"
"ถ้าพูดก็ดีสิ นี่เล่นไม่พูดอะไรเลย อึดอัดว่ะ"
"คิดมากน่า" พูดจบกีรติก็เดินมานั่งลงพร้อมกับขยี้ผมคนนั่งข้างกัน
"เวลาถูกมองด้วยสายตาเย็นชาแบบนั้น มันรู้สึกเหมือนเป็นตัวน่ารังเกียจยังไงไม่รู้ว่ะ" เต็มฟ้ากล่าวพลางเอนศีรษะวางลงบนพนักโซฟา ดวงตาเลื่อนลอยจ้องมองเพดานโล่ง ๆ พลันภาพเก่าก็วนกลับมาฉายซ้ำอีกครั้ง สายตาเย็นชาของนายทหารยศสูงผู้นั้นยังคงชัดเจนอยู่ในห้วงแห่งความทรงจำ ถ้าไม่นับรวมครั้งนี้ก็ไม่มีครั้งไหนที่ทำให้รู้สึกไร้ตัวตนได้เท่าครั้งนั้นอีกแล้ว
“เฮ้ย! คิดมากว่ะ ตัวน่ารังเกียจอะไรกัน จะไปสนใจอะไรกับคนที่ไม่ชอบเรา ทำไมไม่รักษาความรู้สึกของคนที่รักเราให้มาก ๆ วะ”
“เฮ้อ!!!! ถ้ามันหยุดคิดกันได้ง่าย ๆ ก็ดีสิวะ แบบกดปุ่มหยุดไปเลยยิ่งดี”
“มา เดี๋ยวกดให้” พูดจบก็รั้งคออีกฝ่ายเข้ามาหาตัวก่อนจะใช้มือข้างที่เหลือตบลงกลางกระหม่อมแบบเน้น ๆ จนคนไม่ทันระวังตัวร้องโอดโอย
“ไอ้เก้!! ตบมาได้ เจ็บนะโว้ย! หัวแตกหรือเปล่าวะ” เต็มฟ้าโวยวาย กว่าจะดิ้นหลุดไม่ได้โดนซ้ำก็เล่นเอาหอบแฮ่ก พอตั้งตัวได้ลูบศีรษะตัวเองพร้อมกับส่งสายตาขุ่น ๆ ให้เจ้าของมือหนักที่กำลังนั่งหัวเราะชอบใจ
“เยอะไป หัวตงหัวแตกอะไร ก็ทำให้เจ็บ จะได้ไม่ฟุ้งซ่าน” หนุ่มผิวเข้มพูดกลั้วหัวเราะพลางสบตาคนตรงหน้า ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงใดก็ยังมีความปรารถนาดีให้แก่กันเสมอ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใดก็ยังมีความรู้สึกดี ๆ ที่พร้อมจะมอบให้ หากวันนี้ได้เป็นเพื่อนก็จะทำหน้าที่ของเพื่อนให้ดีที่สุด นี่คือคำสัญญาที่กีรติตะโกนก้องอยู่ในใจโดยที่อีกฝ่ายไม่มีวันได้ยิน รู้สึกสบายใจเมื่อในที่สุดริมฝีปากบางก็ยิ้มน้อย ๆ อีกครั้ง....
ทั้งที่เป็นวันหยุดยาวแต่ทั้งกีรติและดุ่ยยังต้องเร่งทำงานเพื่อให้เสร็จตามกำหนด หนุ่ม ๆ จึงตกลงกันว่าจะใช้เวลาหลังเลิกงงานเป็นเวลาพบสังสรรค์กัน ตั้งแต่เช้าเต็มฟ้าจึงฆ่าเวลาด้วยการเดินเตร็ดเตร่อยู่ในห้างสรรพสินค้าเพื่อเลือกซื้อของขวัญให้คนสำคัญในโอกาสพิเศษที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่วันข้างหน้าจนแทบจะลืมคนที่ร่วมทางมาจากลำปางไปเสียสนิท มองนาฬิกาข้อมือเห็นว่าจวนได้เวลาเลิกงานจึงรีบออกจากห้างสรรพสินค้าเพื่อขึ้นรถไฟฟ้าไปยังที่ที่ได้นัดหมายกันเอาไว้
หากจะเปรียบเทียบอากาศหน้าหนาวในกรุงเทพฯ กับลำปางแล้วก็ช่างต่างกันลิบลับ ยังคงเป็นเมืองที่แออัดในความรู้สึกของเด็กหนุ่มที่มีภูมิลำเนาอยู่ในต่างจังหวัด แม้จะเข้ามาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่เสียหลายปีแต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกชินตากับภาพที่เห็นอยู่เลยแม้แต่น้อย ยิ่งในชั่วโมงเร่งด่วนเช่นนี้ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เต็มไปด้วยฝูงชนที่ต่างก้มหน้าก้มตาอยู่ในโลกใบเล็ก ๆ บนฝ่ามือของตัวเอง บนถนนคลาคล่ำด้วยยวดยานพาหนะ ส่งเสียงดังจนน่ารำคาญ ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์มือที่สั่นอยู่ในกระเป๋าออกมาดูแต่คนที่โทร.เข้ามาก็วางสายไปเสียก่อน รู้สึกตกใจอยู่เหมือนกันที่หน้าจอแสดงตัวเลขของสายที่ไม่ได้รับเป็นสิบสาย ซึ่งเจ้าของเบอร์ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คือคนที่ยังไม่ได้คุยกันเลยหลังจากแยกกันตั้งแต่เมื่อวานตอนค่ำนั่นเอง
เต็มฟ้าถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะตัดสินใจเก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกง ก้าวลงบันไดเลื่อนมุ่งสู่สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินที่อยู่ด้ายล่าง พลันสายตาก็ปะทะเข้ากับร่างสูงของใครคนหนึ่งที่เห็นยืนอยู่ไกล ๆ ในฝั่งตรงข้ามกัน แว่นสายตากรอบหนาไม่อาจบดบังดวงตาคู่นั้นที่เคยให้ความรู้สึกวูบไหวยามเมื่อได้สบประสานกันได้เลย โชคดีที่เขาไม่ได้มองมาทางนี้แต่กำลังมองไปยังสาวน้อยร่างเล็กที่ยืนเกาะแขนกันไม่ห่าง เสื้อกาวน์แขนสั้นปักด้วยด้ายสีเขียวทำให้รู้ว่าเธอเป็นนักเรียนแพทย์ของมหาวิทยาลัยที่เต็มฟ้าสำเร็จการศึกษา ผมสีน้ำตาลเข้มดัดเป็นลอนหลวม ๆ เข้ากับหน้ารูปไข่เคลือบทับด้วยเครื่องสำอางบาง ๆ ยิ่งทำให้เธอดูสวยเด่นกว่าบรรดาหญิงสาวมากมายที่ยืนเบียดเสียดกันอยู่บนบันไดเลื่อน ใคร ๆ ที่ได้มองคงก็ว่าเหมาะสมกัน...นายแพทย์หนุ่มหล่ออดีตเจ้าของตำแหน่งเดือนคณะแพทยศาสตร์กับนักเรียนแพทย์สาวสวย ภาพนั้นขยับเข้ามาใกล้เข้ามาทุกทีกระทั่งเมื่อถึงจุดที่สวนกันระยะห่างระหว่างคนสองคนใกล้แค่เอื้อม แต่เต็มฟ้าก็ไม่คิดจะเอื้อมมือคว้า เขาเลือกที่จะปล่อยให้ภาพนั้นค่อย ๆ ผ่านไป ไม่คิดแม้แต่จะเหลียวกลับไปมองด้วยซ้ำ
ทันทีที่ขึ้นมาจากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน ท้องฟ้าก็เปลี่ยนเป็นสีม่วงแต้มด้วยริ้วเมฆสีส้มให้บรรยากาศชวนเหงาอย่างไรบอกไม่ถูก นึกถึงตอนสมัยเรียนหากเป็นเวลานี้เขาคงขลุกอยู่ในห้องปฏิบัติการเซรามิคไม่เช่นนั้นก็คงชวนเพื่อน ๆ นั่งล้อมวงกินข้าวกันอยู่ที่ร้านประจำร้านไหนสักร้านรอบ ๆ มหาวิทยาลัย เดินจากสถานีรถไฟฟ้าเพียงไม่นานก็เห็นป้ายบอกทางไปมหาวิทยาลัย ชายหนุ่มมองนาฬิกาข้อมืออีกครั้งพร้อมกับรีบเร่งฝีเท้าเมื่อเห็นว่าเลยเวลานัดมาเกือบห้านาที อาศัยช่วงจังหวะรถติดข้ามไปยังอีกฝั่งของถนนก่อนจะเลี้ยวเข้าซอยแคบ ๆ ที่ขนาบข้างด้วยร้านค้าแผงลอย จากนั้นก็ข้ามสะพานข้ามคลองแล้วมาหยุดที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งใกล้กับท่าเรือ ในร้านเต็มไปด้วยหนุ่มสาวคนทำงานและบรรดานักศึกษาที่เพิ่งเลิกเรียน เพราะราคาถูกและรสชาติที่ถูกปาก ทั้งเขาและเพื่อน ๆ ต่างก็ยกให้ร้านนี้เป็นหนึ่งในทางเลือกเมื่อต้องคิดว่าจะกินอะไรดี
“ไอ้เต็ม!!!” ชายหนุ่มร่างเล็กตะโกนเรียก พาให้คนอื่น ๆ ในร้านหันมามองกันเป็นตาเดียว เต็มฟ้ายกมือขึ้นเป็นสัญญาณว่าเขาเห็นแล้วก่อนจะเดินไปตามทางแคบ ๆ ระหว่างโต๊ะของนักศึกษากลุ่มใหญ่ที่คงจะพากันมาเลี้ยงฉลองเนื่องในโอกาสพิเศษเข้าไปยังโต๊ะที่อยู่ด้านในสุด ซึ่งอยู่ติดกับแนวทางเดินยกสูงขนานลำคลอง มีลูกกรงเหล็กซี่ห่างที่กั้นแบ่งอาณาเขต
“มาช้าจังวะ” หนุ่มเคราแพะกล่าวพลางยกแก้วน้ำอัดลมขึ้นดื่ม
“พอดีไปซื้อของให้น้องมา” เต็มฟ้ากล่าวเมื่อนั่งลง ทอดสายตามองไปรอบ ๆ ก็พบว่าที่นี่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากนัก ยังคงเต็มไปด้วยบรรยากาศสนุกสนานและเสียงหัวเฮฮาในหมู่เพื่อนฝูง ภาพผู้คนจำนวนมากที่กำลังรอเรือโดยสารอยู่บนโป๊ะเป็นสิ่งชินตาที่เห็นมาตั้งแต่สมัยเรียน ยามเมื่อเรือจอดเทียบท่าต่างคนก็ต่างก้าวลงเรือหาที่ยึดเกาะ เวลาเรือสวนกันก็ต้องยกผืนพลาสติกขึ้นกันตัวเองจากละอองน้ำสีดำสนิทที่กระจายฟุ้งอยู่ในอากาศจนแทบจะไม่มีเวลาได้ซึมซับกับทิศทัศน์ริมฝั่งน้ำ
“มาที่นี่ทีไรนึกถึงไอ้เด็กคณะพละคนนั้นทุกทีเลยว่ะ” พูดพลางใช้หลอดคนน้ำในแก้วอะลูมิเนียมไปเรื่อยเปื่อย
“อ๋อ ที่มันก้าวพลาดตกลงไปในคลองใช่ไหม” กีรติกล่าวเมื่อเงยหน้าจากหนังสือพิมพ์กีฬาในมือมองตามสายตาของเพื่อนรัก
“เออ ไม่รู้ว่าป่านนี้มันจะเป็นยังไงบ้าง”
“ได้ข่าวว่ามันเกือบติดทีมชาตินะ แต่เพราะต้องไปรักษาโรคผิวหนังเรื้อรังเลยตัดสินใจลาวงการ” น้ำเสียงจริงจังของพ่อหนุ่มเคราแพะทำเอาเต็มฟ้ารู้สึกสนอกสนใจในสิ่งที่เขากำลังพูดไม่น้อย คิ้วหนาเลิกขึ้นอยากแปลกใจไม่คิดว่าเพื่อนจะมีข้อมูลแน่นขนาดนี้
“จริง?”
“เชื่อเหรอวะ”
“ไอ้ดุ่ย เอาดี ๆ สิวะ” เต็มฟ้ากล่าวอย่างขัดใจ
“อ้าว ไอ้นี่ ใครจะไม่รู้กับมันวะ ข้าก็เจอมันครั้งเดียวตอนที่เห็นมันตะเกียกตะกายขึ้นมาจากน้ำครำนั่นแหละ เช้าวันรุ่งขึ้นก็จำหน้ามันไม่ได้แล้ว”
“โธ่...คิดว่าจะรู้จริง”
กีรติที่นั่งฟังอยู่นานส่ายหน้าน้อย ๆ ก่อนจะชะเง้อมองเข้าไปในครัวที่ดูจะวุ่นวายเหลือเกิน ตั้งแต่นั่งรอมาเกือบครึ่งชั่วโมงได้ยินเสียงตะหลิวกระทบกับกระทะไม่หยุดแต่ก็ยังไม่ได้อาหารสักที พลันสายตาก็เลื่อนมาหยุดที่ร่างของใครคนหนึ่งที่เพิ่งเดินออกจากทางเดินแคบ ๆ ข้างร้านตรงมาทางที่พวกเขานั่งอยู่ คงจะใช้ทางนี้เพื่อย่นระยะในการเดินไปที่ท่าเรือเหมือนกับคนอื่น ๆ
“เฮ้ย ๆ ไอ้ดุ่ย นั่นมันไอ้หน้าหล่อที่ไปนั่งกินข้าวบนฟู้ดคอร์ทตึกเรานี่หว่า”
ดุ่ยกลืนน้ำที่อมไว้ในปากลงคอก่อนจะหันมองตาม “เออ จริงด้วยว่ะ”
เต็มฟ้ามองสองคนตรงหน้าก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองหาอีกคนหนึ่งที่กำลังถูกพูดถึง รู้สึกเหมือนเคยเห็นหน้าแบบนี้ที่ไหนมาก่อน ในที่สุดก็นึกได้เมื่ออีกฝ่ายส่งยิ้มมาให้ ยิ้ม...เหมือนพี่ชายไม่มีผิด
“อ้าวเฮ้ย!? เต็ม มาทำอะไรแถวนี้” เภสัชกรหนุ่มหล่อทักทายเมื่อเดินมาหยุดที่โต๊ะ
“นัดเพื่อนกินข้าวน่ะ แล้วนายล่ะ”
“เราแวะมาหาเพื่อนแถวนี้ นี่ก็กำลังจะกลับ ว่าจะลองนั่งเรือสักหน่อย ไม่ได้นั่งนานแล้ว”
“กินข้าวด้วยกันก่อนไหม”
“อืม...” ศิลาก้มมองนาฬิกาข้อมือ เมื่อเห็นว่าคงไปไม่ทันเเวลาอาหารเย็นของที่บ้านแล้วจึงตอบตกลง ชายหนุ่มนั่งลงบนเก้าอี้ว่างข้างเต็มฟ้าพลางยิ้มให้สองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“นี่...รู้จักกัน?” กีรติถามด้วยความสงสัยพร้อมกับชี้นิ้วไปที่เพื่อนรักและคนแปลกหน้าสลับกัน
“อือ..รู้จัก” พูดจบก็คนถูกถามลุกขึ้นไปตักน้ำแข็งใส่แก้วก่อนจะเดินกลับมาวางให้ตรงหน้าของคนมาใหม่
“รู้จักกันได้ยังไงวะ” หนุ่มผิวเข้มพึมพำพลางหันไปสบตาเจ้าของเคราแพะที่นั่งส่ายหน้ายิกให้รู้ว่าเขาเองก็ไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนมาก่อน
“เรื่องมันยาว แกมีเวลาสักสามวันไหมจะเล่าให้ฟัง” เต็มฟ้าตอบแบบไม่ทุกข์ร้อน ทำเอาศิลาอดขำหน้างง ๆ ของสองคนที่นั่งอยู่อีกฝั่งของโต๊ะไม่ได้
“ลีลาทำไม ก็บอกเขาไปสิว่าเราเป็นน้องชายแฟนนาย” สิ้นเสียงเภสัชกรหนุ่มทุกคนก็ถึงบางอ้อ
“นี่เพื่อนเรา ชื่อเก้ ส่วนไอ้เคราแพะนี่ชื่อดุ่ย” เต็มฟ้ากล่าวก่อนจะหันไปแนะนำน้องชายของศิธาพัฒน์ให้เพื่อนทั้งสองรู้จักบ้าง “นี่ปุ้น”
“เราว่าเราคุ้นหน้าพวกนายนะ” พูดพลางใช้ปลายนิ้วถูคางไปมาอย่างใช้ความคิด
“น่าจะคุ้นอยู่หรอก ก็นายไปกินข้าวบนฟู้ดคอร์ทบนตึกที่พวกเราทำงานออกจะบ่อย บ่อยกว่าคนในนั้นเสียอีก” กีรติกล่าวขณะเทน้ำอัดลมสีดำลงในแก้ว
“อ๋อ ที่ครีเอทีฟสตูดิโอใช่ไหม เราว่าอาหารมันอร่อยดีนะ กินแต่อาหารโรงพยาบาลเบื่อจะแย่เลยลองเปลี่ยนบ้าง”
“เอ๊า ๆๆๆ พูดแบบนี้แสดงว่าไม่รู้ว่าความอร่อยที่แท้จริงมันเป็นยังไงใช่ไหม เดี๋ยววันหลังพี่ดุ่ยจะพาน้องปุ้นไปสัมผัสรสชาตินั้นนะครับ” พ่อหนุ่มเคราแพะแทรกขึ้น
“เฮ้ย! ขนาดนี้ยังว่าไม่อร่อยอีกเหรอ”
กีรติและดุ่ยสบตากันก่อนจะหันมาส่ายหน้าเป็นคำตอบ ถ้าไม่เป็นเพราะเขาทั้งสองคนกินบ่อยจนเบื่อ ศิลาคนนี้ก็คงลิ้นจระเข้เต็มที
“มีอะไรบ้างที่อร่อย” เต็มฟ้าถือโอกาสถาม ตัวเขาเองก็รู้สึกว่าไม่เห็นจะมีอะไรอร่อยจนต้องขึ้นไปกินทุกวัน ฟู้ดคอร์ทบนตึก ถ้าฝนไม่ตกหรืองานไม่เร่งจริง ๆ ก็แทบจะไม่ได้ย่างกลายเข้าไป
“ข้าวมันไก่ก็อร่อยนะ แต่เสียดายไปทีไรน้ำซุปหมดทุกที”
“หมดบ้าอะไร ร้านนั้นน่ะงกจะตาย บางทีก็ทำเนียนไม่ตักน้ำซุปให้นะ ไม่รู้จะเก็บไว้ทำไม” หนุ่มผิวเข้มโคลงศีรษะให้กับความไม่รู้อะไรเลยของคนที่เพิ่งได้พบกัน
“โห...มีแบบนี้ด้วยเหรอ งกน้ำซุปน่ะ แบบนี้คนกินแล้วติดคอก็แย่เลยสิ”
“มันมีเคล็ดลับโว้ย”
“เคล็ดลับ?” ท่าทางกวน ๆ กับรอยยิ้มมีเลสนัยทำให้ศิลามองคนเคราแพะด้วยสายตาไม่ไว้ใจ
“ใช่..เคล็ดลับ รู้แล้วเหยียบเลยนะ” คนพูดป้องปากกระซิบกระซาบ “ถ้าติดคอ แค่ลากลงไปกินในน้ำก็จบ”
ศิลาหรี่ตามองคนตรงหน้าอย่างเซ็งในอารมณ์ ‘รู้แล้วว่าควรจะเหยียบอะไร เหยียบน่าจะดีที่สุด’ พยายามเก็บอาการไว้ก่อนจะพูดต่อหน้าตาเฉย “นอกจากข้าวมันไก่ ก๋วยเตี๋ยวอีกนะ ไม่ต้องปรุงเลย”
“อร่อยขนาดนั้นเชียว?” กีรติมุ่นคิ้วสงสัย ‘ทำไมอร่อยหลายอย่างจังวะ?’
“ไม่รู้เหมือนกัน มันหกก่อนเลยไม่ทันได้ปรุง” พูดจบก็ยักคิ้วกวน ๆ รู้สึกสบายใจขึ้นมาหน่อยหลังจากได้เอาคืนบ้าง
“โห...คุณเภ-สัด……-ชะ-กอนครับ กวนตีนขนาดนี้ท่าจะคบกันยาวแล้วว่ะ ถ้ากินตีนนนนนน...ไก่แล้วเบื่อก็บอกนะ จะพาไปหาอร่อย ๆ กิน” สิ้นเสียงของพ่อหนุ่มเคราแพะ เสียงหัวเราะก็ดังขึ้นพร้อมกับมิตรภาพใหม่ที่เริ่มก่อตัว และนั่นก็คือภาพใคร ๆ มักจะได้เห็นเมื่อมีโอกาสแวะเวียนมาที่ร้านอาหารริมคลองแห่งนี้.....
(มีต่อค่ะ)