CHAPTER 21 ...คนที่อยู่...เขาเกลียดนิยายรักประโลมโลก ไม่ชอบละครรักเคล้ากลิ่นน้ำคลอง เขาเคยเสียดสีเพื่อนบางคนที่อกหักแล้วยังพร่ำเพ้อด้วยซ้ำ
เพราะชีวิตของรัตติกาลห่างไกลจากเรื่องพวกนี้ ตั้งแต่ที่เริ่มมีความสนใจในเพศรสเขาก็ไม่เคยพาตัวเองเข้าไปอยู่ในวังวนไร้สาระนั่นมาก่อน เขาไม่เคยอกหัก ไม่เคยถูกทิ้ง ไม่เคยต้องเป็นฝ่ายถูกเลือก ความขี้เบื่อและแสนเอาแต่ใจมันทำให้เขาไม่จดจ่ออยู่กับใครได้นาน ดังนั้นเขาจึงมักที่จะเขี่ยและทิ้งของที่หมดความสนใจไปอย่างง่ายดาย และต่อให้ของเหล่านั้นจะฟูมฟายแทบเป็นแทบตายยังไง...เขาไม่เคยใส่ใจ
แต่ตอนนี้เป็นเขาเสียเองที่กำลังฟูมฟาย เขากำลังทำอย่างที่นิยายพวกนั้นเขียนไว้ เขากำลังทำเรื่องงี่เง่าไร้สาระเหมือนอย่างในละคร กลายเป็นคนที่เขาเคยเสียดสีว่าโง่งมงายไร้สติ
ถ้านี่จะเป็นกรรม...มันคงตามสนองเขาแบบจุกจนถึงลิ้นปี่
รัตติกาลได้แต่แค่นยิ้มกับความจริง มันง่ายจริงๆกับการทิ้งใครสักคน เขารู้ดี เพราะเขาผ่านมันมาแล้ว ง่ายดายเสียจนลืมไปแล้วว่าแต่ละคนเป็นใคร ต่อให้เดินสวนกันเขาก็คงจำคนเหล่านั้นไม่ได้ ในเมื่อไม่มีความหมายก็เลยไม่มีค่าอะไรให้จดจำ
เขาจะกลายเป็นหนึ่งในคนพวกนั้นรึเปล่านะ
ทิวาจะลืมเขารึเปล่า? ถ้าได้เดินสวนกันเขาจะมีความหมายพอให้ทิวาจดจำมั้ยนะ? หรือเพราะเขาไม่มีค่า ไม่มีความหมายมากพอ คนๆนั้นถึงได้ทิ้งเขาไป คิดแล้วก็อยากจะหัวเราะกับตัวเองให้สุดเสียง เพียงแต่ลำคอมันตีบตันจนไม่อยากจะเอื้อนเอ่ยอะไร ทิวาเป็นครั้งแรกสำหรับเขาในหลายๆเรื่อง เขาทั้งรักทั้งหลงอย่างไม่ลืมหูลืมตา ทำให้เขาอยากจะเป็นผู้ให้มากกว่าจะรับ ทำให้เขานอนไม่หลับถ้าไม่ได้กกกอดไว้ข้างกาย ...แล้วโดนทิ้งไว้เพียงลำพัง
ร่างหนาพิงกำแพงเบื้องหลังคล้ายหมดแรง ขาสองข้างชันขึ้นรองรับท่อนแขนที่วางพาด เขาไม่รู้ว่าอยู่ในท่านี้มานานขนาดไหน หรือแม้แต่อยู่ในห้องนอนเงียบๆนี้มานานเท่าไหร่ เขาแค่ไม่มีกำลังจะไปไหน ไม่มีเรี่ยวแรงจะทำอะไร ทิวาหอบพลังงานของเขาติดตัวไปด้วยอย่างใจร้ายที่สุด มีเพียงหน้าต่างที่คลุมด้วยผ้าม่านสีขาวบางๆเท่านั้นที่ทำให้เขารู้วันเวลา ยามค่ำคืนกำลังจะพ้นไปอีกครั้งพร้อมการกลับมาของแสงสีแดงระเรื่อของอาทิตย์วันใหม่
กี่วันแล้วนะ... สองวัน หรือสามวัน ที่เขาเอาแต่ไปตามหาทิวาในทุกที่ๆเคยไป เขานั่งรอเผื่อว่าทิวาจะเดินผ่านมาให้เห็น การที่เขาไปหาเอกสิทธิ์ที่บริษัททำให้รู้ว่า ทิวาขอลาพักร้อนแบบไม่มีกำหนดโดยการโทรมาลาเพียงเท่านั้น มันไม่ใช่สิ่งที่คนรักงาน รักหน้าที่อย่างทิวาจะทำ แต่นั่นก็บอกเขาได้ทุกอย่างว่าทิวาตั้งใจจะทิ้งเขาจริงๆ
เขากลับมาจากเพชรบุรีเมื่อตอนหัวค่ำ ไปนั่งรออยู่เพียงลำพังหน้าบ้านหลังเล็กสีขาวที่เราเคยไป ที่ๆทิวาเคยเปรยไว้ว่าอยากจะกลับมาอีกครั้ง เขารอนานหลายชั่วโมงทั้งๆที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่เขาไม่รู้จะทำอย่างไรดีแล้ว เขาไม่รู้ว่าจะไปตามหาที่ไหน แม้แต่ผู้ชายคนนั้นที่เขาเห็นที่ห้อง คนที่อ้างว่าเป็นเพื่อน ก็ยังหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยในคราวที่เขาตื่นขึ้นมา
เหล้าชั้นดีที่เก็บไว้ขวดสุดท้ายหมดไปแล้ว เศษซากของมันยังคงกลิ้งไปมาอยู่ที่ปลายเท้า ไม่ต่างจากขวดทรงกลมของยี่ห้ออื่นๆ เขาอยากเมา อยากจะหลับโดยไม่ต้องคิดอะไร แต่ยิ่งดื่มเท่าไหร่เขาก็ยิ่งคิดเท่านั้น ยิ่งคิด...ก็ยิ่งหลับไม่ลง
เสียงโทรศัพท์ครั้งสุดท้ายที่ได้ยินคือเมื่อเย็นวาน และหลังจากนั้นมันก็เงียบหายไป อาจจะแบตเตอร์รี่หมดหรือเพราะคนโทรขี้เกียจจะเซ้าซี้ต่อ ก็ในเมื่อสายเรียกเข้ามันไม่ได้มาจากทิวาเลยสักครั้ง เขาก็ไม่รู้จะสนใจไปทำไม
แสงแดดส่องผ่านผ้าม่านเข้ามาแล้ว เวลามันช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่เขาจะทันรู้ตัว เขาควรจะทำอะไรต่อดีนะ... นั่งมันไปอย่างนี้เรื่อยๆ หรือข่มตานอนให้มันหลับๆไปซะ
รัตติกาลที่เคยเข้มแข็งกลับดูอ่อนแอน่าสมเพชเหลือเกินในยามนี้
เสียงบางอย่างแว่วเข้ามาให้ได้ยินแต่เขาไร้ซึ่งความสนใจที่จะค้นหา จนกระทั่งบานประตูห้องนอนที่ปิดเงียบมานานค่อยๆเปิดออก พร้อมกับร่างของใครคนหนึ่ง เสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามาหยุดยืนเบื้องหน้าก่อนจะทรุดตัวลงนั่ง รัตติกาลเบือนใบหน้าหนีไปอีกทาง ไม่อยากจะให้ความรู้สึกบางอย่างที่ตีตื้นขึ้นมาในอกทำให้เขากลายเป็นคนอกตัญญู
“เดียว...ลูกแม่” กระแสเสียงสั่นไหวพลอยให้คนฟังหลับตาแน่นไม่อยากรับรู้ “เกิดอะไรขึ้น?...ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะลูก”
รัตติกาลอยากจะแค่นหัวเราะออกมา แต่เขาก็ทำได้แค่เก็บกลืนมันลงไป พยายามข่มความโกรธเอาไว้จนสุดความสามารถ แต่แม่ของเขาก็ยังไม่เข้าใจ ยังคงหาคำตอบและหวังว่าจะได้อย่างที่เคยเป็น
“ลูกไม่ไปทำงานตั้งห้าวัน ทุกคนโทรหาก็ไม่รับสาย”
งั้นเหรอ... ห้าวันแล้วใช่มั้ยที่ทิวาทิ้งเขา
“ทำไมดื่มเยอะอย่างนี้ ทำไมถึงอยู่ในสภาพแบบนี้”
เขาก็ไม่ได้อยากนึกถึงสภาพตัวเองสักเท่าไหร่ มันคงไม่ต่างจากพวกไร้บ้านที่น้ำท่าไม่ได้แตะต้องเนื้อตัว
“บอกแม่สิลูก มันเกิดอะไรขึ้น”
หึ...เขาหลุดจนได้ หลุดพ่นลมหายใจอย่างเยาะในคำถาม และมันก็กลายเป็นรอยร้าวเล็กๆให้น้ำที่กักเก็บไว้แทรกซึมออกมา
“แม่อยากจะรู้อะไรล่ะ? อยากจะรู้ว่าผมโดนทิ้งยังไงน่ะเหรอ”
“เดียว มันหมายความว่ายังไง”
“แม่ไปพูดอะไรกับทิวครับ... แต่นั่นคงไม่สำคัญหรอกใช่มั้ย เพราะในที่สุดแม่ก็ทำสำเร็จแล้ว เขาทิ้งผม...ทิ้งผมไปแล้ว”
“เดียว...”
รัตติกาลเม้มริมฝีปากแน่น พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะเก็บคำบริภาษต่างๆกลืนลงคอ แต่มันก็ยากเหลือเกินในเมื่อมันหลุดออกจากปากไปแล้ว มันก็ยากจะเก็บส่วนที่เหลือเอาไว้
“สมใจแม่แล้วสินะ เอาเลยครับ อยากจะหาผู้หญิงอีกสักกี่คนให้ผมก็เชิญตามสบาย ผมจะไม่ขัดขืนอีกแล้ว อยากจะมีหลานอีกสักกี่คนผมจะทำให้ แต่ช่วยบอกผู้หญิงคนที่แม่ต้องการด้วยนะว่าเขาจะไม่มีสิทธิ์มีเสียงอะไรในตัวผมทั้งนั้น ต่อให้ผมไปทำระยำกับใครสักกี่คนเขาก็ต้องรับผมให้ได้ ถ้าหลานเป็นสิ่งที่แม่อยากมีนักหนาผมจะให้มันเกิดมาไม่ว่าจะสักกี่คน แต่ผมจะไม่ยอมรับมันเป็นลูกเด็ดขาด! แม่ชนะแล้ว!! จะให้ผมแต่งวันนี้หรือพรุ่งนี้ก็บอกมาได้เลย ผมไม่สนอะไรอีกทั้งนั้น”
“เดียว...ลูกแม่...” เสียงที่แทบจะคราวชื่อเขาออกมามันสั่นไหวรุนแรง ไม่นานนักเสียงสะอื้นไห้ก็ตามมาให้ได้ยิน แต่เขาก็หน้ามืดเกินกว่าจะสนใจ “อย่าทำกับแม่แบบนี้...”
“แล้วแม่ทำกับผมแบบนี้ได้ยังไง...” เสียงเขาเองก็สั่นไหวไม่แพ้กัน แต่มันต่างกันตรงที่เขาไม่มีน้ำตาจะไหลออกมาอีกแล้ว “ผมรักของผม... ทำไมล่ะแม่ ทำไมแค่ไม่ปล่อยผมไป”
“แม่ขอโทษ ลูกจ๋า แม่ขอโทษ”
คุณราตรีปล่อยหยาดน้ำใสๆให้ทะลักออกจากตาอย่างสุดกลั้น ยกอ้อมแขนโผกอดลูกชายเอาไว้อย่างปวดร้าว
เธออดทนรออย่างที่สามีบอก จนเมื่อถึงกำหนดสามวันลูกชายเธอก็ยังเงียบหายไป แต่เธอกลับคิดว่ามันเป็นการดื้อแพ่งแบบเด็กๆ ไม่เข้างาน ไม่รับโทรศัพท์ เธอปล่อยให้มันดำเนินต่อไปด้วยอยากรู้ว่าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนจะมาไม้ไหนกับเธอ แต่เมื่อหลายวันเข้า ความกังวลมันทำให้เธออดห่วงไม่ได้ ความเป็นห่วงทำให้เธอต้องมาที่ห้องของลูกชายอีกครั้ง ข้างในเงียบสนิทราวกับไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ และเมื่อเปิดประตูห้องนอนเข้ามาเธอถึงได้รู้...
มันสายไปแล้ว
รัตติกาลไม่ได้อยู่ในสภาพที่เธอเคยคุ้น ผู้ชายที่ท่าทางสิ้นหวังตรงหน้าเหมือนคนที่เธอไม่เคยรู้จัก ผมเผ้ายุ่งเหยิงกับหนวดเคราเขียวครึ้ม มันต่างจากลูกชายที่เธอเห็นมาตลอดชีวิต ขวดเหล้ามากมายกองกลิ้งอยู่แทบเท้า เหมือนคนไร้ชีวิต เหมือนคนจิตใจหลุดลอย
ความคิดชั่วแล่นของเธอ...กำลังฆ่าลูกตัวเองทั้งเป็น
“แม่ผิดไปแล้ว...”
คำขออภัยด้วยน้ำตาของเธอถูกปัดทิ้งด้วยความเงียบงัน รัตติกาลเพียงแค่นั่งแข็งทื่ออยู่ในวงแขนเธอ เนิ่นนานจนน้ำตาเกือบจะแห้งเหือด
“ผม...ผมข่มขืนทิว”
คำสารภาพด้วยน้ำเสียงราบเรียบดังอยู่ข้างหู คุณราตรีผละอ้อมกอดจากลูกชายแทบจะทันที ดวงตาคมเบิกกว้างกับคำบอกเล่าที่ไม่คาดคิด รัตติกาลไม่ได้มองหน้าเธอด้วยซ้ำ ลูกชายเธอแค่พูดมันออกมาราวกับการสารภาพบาป
“ผมหลงเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น เขาเมา แล้วผมใช้โอกาสนั้น”
“เดียว!!” ความตกใจที่มากเกินจะรับ พร้อมกับความผิดหวังที่ประดังขึ้นมา เธอมองคนตรงหน้าราวกับเป็นใครสักคนที่ไม่ใช่ลูกชายที่เธอเลี้ยงมาแต่เยาว์
“แต่ผมกลับยิ่งหลงเขามากกว่าเดิม ผมตามเขา ข่มขู่เขา ให้เขายอมผม ผมทำทุกทางเพื่อที่จะได้กอดเขาไปเรื่อยๆ”
“ลูกทำแบบนั้นได้ยังไง!” รัตติกาลเป็นลูกชายที่น่ารักสำหรับเธอ แม้จะรู้ดีว่าอาจจะร้ายไปบ้างสำหรับใครคนอื่น แต่ลูกไม่เคยทำให้เธอผิดหวังหรือช้ำใจ แต่สิ่งที่รัตติกาลกำลังบอกเธออยู่ในตอนนี้มันแทบถล่มความเชื่อใจจนหมดสิ้น
“เป็นผมที่อ้อนวอนขอโอกาสแก้ตัว ขอร้องเขาไม่ให้ทิ้งผมไป ผมรักเขาครับแม่ รักมากจริงๆ”
เธอหมดคำพูดที่จะเอ่ย หมดแรงที่จะประคองตัวให้ลุกยืน รัตติกาลซุกใบหน้าลงกับฝ่ามือเงียบงันคล้ายอยากจะหลบหนีไปให้พ้น แต่นั่นยังไม่เท่ากับที่เธอรู้สึก
เธอทำอะไรลงไป...
เธอกล่าวหาเด็กคนนั้นว่ายื้อลูกชายเธอไว้ รั้งอนาคตลูกชายคนเดียวของเธอ บอกให้เด็กคนนั้นปล่อยรัตติกาลไปเสีย... ทั้งๆที่...ทั้งๆที่เรื่องทั้งหมด ลูกชายของเธอเป็นคนก่อมันขึ้นทั้งสิ้น
เธอก็เลวร้ายไม่ต่างจากลูกชายตัวเอง
“แม่กลับไปเถอะ ผมขอร้อง...” รัตติกาลคลายฝ่ามือออกจากใบหน้า ดวงตาคมจ้องมองเธอเป็นครั้งแรก หากนัยน์ตาดำนั้นช่างไร้แววสุกใสอย่างที่เคยมี
“กลับบ้านกับแม่เถอะนะ อย่าทำแบบนี้เลย”
“ให้เวลาผมอีกหน่อยนะครับ แล้วผมจะทำทุกอย่างที่แม่ต้องการ”
“ไม่นะเดียว แม่... ยกโทษให้แม่นะ”
“...มันไม่สำคัญอีกแล้วกับความรู้สึกของผม เพราะฉะนั้นแม่ไม่ต้องไปใส่ใจมันหรอก”
“เดียว...”
“กลับไปเถอะครับ ผมอยากอยู่คนเดียว”
รัตติกาลเลือกที่จะก้มหน้าแนบกับฝ่ามืออีกครั้ง คล้ายเป็นการประกาศว่าไม่ต้องการจะเห็นหน้าเธออีก แม้เธอยังไม่อยากจะกลับไปแต่ในตอนนี้เธอควรจะตัดใจ การเผชิญหน้ากันมันไม่ช่วยอะไรเลยกับรัตติกาลในตอนนี้
“แม่จะกลับมาใหม่นะ”
ไร้เสียงตอบรับตามคาด คุณราตรีฝืนทุกเรี่ยวแรงเพื่อลุกขึ้นยืน มองสภาพโทรมๆของลูกชายเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้องไป ร่างกายหนักอึ้งจนเกือบจะล้มทั้งยืน และหลังจากที่บอกคนรถถึงสถานที่ๆต้องการจะไปต่อ ดวงตาคมของเธอก็ปิดสนิทแน่นราวกับไม่อยากรับรู้อะไรอีก
ที่เดียว... ไม่สิ คนเดียวที่คุณราตรีจะพึ่งพิงใจได้ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็คือคุณชัย เธอมาหาสามีที่โรงแรมส่วนบริหาร รอคอยจนกระทั่งคุณชัยสั่งงานเลขาและย้ำปิดท้ายว่าห้ามรบกวน ทุกสิ่งที่เธอเห็นและได้ยินจึงถูกก่ายทอดออกไปทันที เหมือนเช่นเคยที่สามีรับฟังอย่างตั้งใจ และไม่มีการขัดจังหวะ
“ผมอยากจะตบกะโหลกได้ลูกเลวนั่นจริงๆ” เสียงคุณชัยเข้มขึ้น บอกให้รู้ว่าสามีเธอนั้นกำลังโมโหเข้าขั้น “ข่มขืนเลยงั้นเหรอ หัวคิดมันทำด้วยอะไร! ถ้าเรื่องไม่เป็นอย่างที่มันคิดล่ะ ชื่อเสียงมันคงได้ป่นปี้”
“เรื่องมันผ่านไปแล้ว” คุณราตรีพยายามแก้ตัวแทนลูกชาย แต่ยิ่งกลายเป็นเพิ่มเชื่อไฟเข้าไปอีกระรอก
“มันมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีบ้างมั้ย อายุเท่าไหร่แล้ว แต่ยังคิดทำอะไรเลวทรามได้ขนาดนี้” คุณชัยสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามที่จะสงบสติลง “ที่ผมควรจะสนใจตอนนี้คือความรู้สึกของเด็กคนนั้น ผมอาจจะตามหาตัวเพื่อบอกว่าดีแล้วที่ทิ้งเจ้าเดียวไป”
“คุณคะ...” คุณราตรีถึงกับโอดครวญ “คุณไม่เห็นสภาพลูก ไม่รู้หรอกว่ามันน่าสงสารขนาดไหน”
“เฮ้อ~ แล้วเราจะทำยังไงต่อไปดีล่ะ...บอกตรงๆนะคุณตรี ผมเองก็จนปัญญา”
“ฉันอยากตามหาตัวทิวาค่ะ อยากจะขอโทษที่พูดหลายอย่างออกไปโดยที่ไม่รู้เรื่องราวสักนิด”
“ผมคงแล้วแต่คุณ ผมจะเรียกคุณสมพงเข้ามาแล้วกัน เผื่อว่าเขามีคนรู้จักพอจะจัดการให้ได้” คุณราตียิ้มรับ อย่างน้อยคุณสมพงที่เป็นทนายมือดีของตระกูลคงจะพอจัดการหานักสืบเก่งๆที่ไว้ใจได้ให้เธอ “แต่ผมขอสั่งห้ามเลยนะ เดียวจะรู้เรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด”
“ทำไมล่ะคะ?”
“ถ้ามันรักเขาจริงอย่างที่ปากพร่ำพูด มันต้องหาทางเอาเอง และถ้ามันอยากจะเป็นไอ้ขี้แพ้อยู่ในสภาพนั้นไปตลอดทั้งปีทั้งชาติ ผมก็จะตามใจมัน”
คุณราตรีได้แต่ถอนใจ รัตติกาลทำให้คุณพ่อผู้แสนใจดีและเข้าอกเข้าใจโกรธเข้าให้แล้วจริงๆ
๏
๏
๏
“หมายความว่ายังไงที่ทิวขอลาออก”
เอกสิทธิ์ได้แต่สายหน้าอย่างจนใจกับคำถามของผู้เป็นบิดา เขาพึ่งได้รับจดหมายลาออกจากทิวาเมื่อเช้านี้เอง จดหมายในซองสีขาวถูกนำส่งมาให้เลขาของเขาโดยพนักงานส่งเอกสาร พร้อมทั้งยังแนบรายระเอียดงานอีกเล็กน้อยเพื่อให้คนใหม่ได้สารต่อมาด้วย เขายังจำตัวเองตอนอ่านจดหมายนั่นได้ว่ามือตัวเองสั่นเพราะความโมโหแค่ไหน เขาไม่ได้โกรธเพราะมันกะทันหันและหาคนแทนตำแหน่งไม่ทัน ทิวาเป็นคนที่ทำงานเรียบร้อยมาตั้งแต่ไหนแต่ไร การที่จะมีใครก้าวเข้ามารับงานต่อจึงไม่ใช่เรื่องยากเกิน แต่เขาโกรธในฐานะพี่ชาย
อาทิตย์ก่อนเขาได้รับโทรศัพท์จากทิวาว่าจะขอลาพักร้อนโดยไม่ยอมระบุวันเวลาที่แน่นอน เขายอมน้องโดยไร้ข้อซักถาม เพราะมันไม่ใช่เรื่องปกติเลยสำหรับทิวาที่จะทำการอะไรแบบนี้ เขารู้ว่าน้องอาจจะมีเรื่องกลุ้มใจ อาจจะขอเวลาเพื่อไปสะสางความคิด แต่ไม่คิดเลยว่าอาทิตย์ต่อมาเรื่องราวมันจะเลยเถิดไปถึงขนาดนี้
เขาอาจจะไม่ใช่พี่ชายที่ดีอะไรนัก ไม่ได้สนิทสนมถึงขนาดแลกเปลี่ยนสิ่งที่อยู่ในใจ แต่เขาก็ยังเป็นพี่ชายอยู่นั่นหมายความว่าเขาควรจะได้รับรู้อะไรบ้าง แต่สิ่งเดียวที่เขารู้คือวันรุ่งขึ้นหลังจากการอนุญาต รัตติกาลมาหาเขาในสภาพที่เรียกได้ว่ารีบร้อน และกลับไปอย่างผิดหวังเมื่อเขาให้คำตอบไปตามจริง
“ผมคิดว่าทิวอาจจะกำลังมีปัญหา แต่ไม่คิดเลยว่าน้องจะลาออกแบบปุบปับอย่างนี้” เอกสิทธิ์ชี้แจง เขามองบิดาที่รีบร้อนขึ้นมาจากใต้หลังจากที่ทราบข่าว พ่อเขาก็ตกใจกับการกระทำนี้ไม่แพ้กัน
“ไปดูที่คอนโดรึยัง”
“ไปแล้วครับ ข้าวของทุกอย่างยังอยู่เหมือนเดิม ทิวแทบไม่เอาอะไรไปด้วยเลย”
“ถ้าไม่อยู่ที่นั่นแล้วทิวจะไปไหนได้ บ้านเพื่อนคนอื่นล่ะ”
“ผมไม่รู้จักเพื่อนคนอื่นของทิวหรอกครับ” คำตอบของเขาเหมือนตัดความหวังของบิดา สิ่งที่ทิวาทำในครั้งนี้ต่างบอกให้พ่อกับเขาได้รู้ว่า แม้จะได้ชื่อว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน แต่เราสองคนแทบไม่รู้เรื่องส่วนตัวของทิวาสักนิด
“แล้วจัญญาล่ะ? ต้องรู้อะไรบ้างสิ”
“ผมไปหาถึงโรงพยาบาลด้วยซ้ำ ไอ้เด็กนั่นเอาแต่ส่ายหน้าไม่รู้ไม่เห็น”
“พ่อจะไปถามเอง ต่อให้เค้นคอกัน พ่อก็ต้องรู้ให้ได้” เอกสิทธิ์ยินดีอย่างยิ่งที่บิดาจะทำแบบนั้น จัญญาจะต้องรู้เรื่องอย่างแน่นอน แต่ด้วยความกวนส่วนตัวทำให้บ่ายเบี่ยงไม่ยอมตอบ “ทิวไม่ใช่คนไร้ความรับผิดชอบแบบนี้ มันจะต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแน่”
คำคาดเดาของคุณอนันต์ทำให้เขาเงียบลง คนเป็นพี่ไม่แน่ใจนักว่าจะพูดมันอกไปดีไหม มันเป็นแค่ข้อสันนิฐานที่ออกจะแน่ชัดเมื่อรัตติกาลบุกมาหาเขาถึงที่
“หนึ่งพอรู้อะไรบ้างมั้ย?”
เอกสิทธิ์เม้มริมฝีปากแน่น แล้วถ้าเรื่องที่ทิวาหนีหายไปเป็นเพราะใครคนนั้นล่ะ? เขาจะเก็บความคิดนั้นไว้กับตัวดี หรือว่าจะพูดออกไปดีนะ
“ทำหน้าแบบนั้นหมายความว่ายังไง” ลูกชายคนโตสะดุ้งเล็กน้อย ดวงตารูปเหยี่ยวที่ได้รับมาตามกรรมพันธุ์เงยขึ้นสบสายตาบิดา เขากลัวว่าเรื่องราวมันจะวุ่นวายไปกว่าเดิม แต่....
“ผมก็แค่สันนิฐานนะครับ...”
แต่ใช่ว่าตอนนี้มันจะไม่วุ่นวายเสียเมื่อไหร่
“ผมคิดว่า...เรื่องนี้อาจจะเกี่ยวกับคุณรัตติกาล”
“รัตติกาล? เอ้อ! ที่แม่เขาพายัยสองไปเจอใช่มั้ย ที่ว่าเป็นเพื่อนของทิวด้วย” เอกสิทธิ์พยักหน้ากับความช่างจำของบิดา
“ผมคิดว่า...”
“............”
“ทิวกับคุณรัตติกาล...”
“.............”
“สองคนนั้น...คบกันอยู่”
“....คบกัน” คุณอนันต์ทวนคำ เค้าหน้าเริ่มเครียดขรึม “แบบเพื่อน...”
“...แบบ...คนรัก...”
“..............”
̊ ̊
̊ ̊
̊ ̊
_____________________________________________________________ TBC. __________________ รักคนอ่าน
รักคนเม้น
Untill we meet agaiN