ดินต่างฟ้า ตอนจบ
จาการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในที่สุดก็จับตัวคนร้ายได้ภายในเวลาไม่เกิน 48 ชั่วโมง
คนร้ายให้การว่าถูกจ้างวานให้มายิงหม่อมหลวงการัณญภาสฌ์ เนื่องจากผู้ว่าจ้างมีทั้งความรักและความแค้นส่วนตัว เขาให้การว่าผู้ว่าจ้างนั้นมีความคลั่งไคร้ในตัวคุณชายมากจนเกินเหตุ เขาอยากให้คุณชายสนใจในตัวเขา แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่เคยได้รับความสนใจสักนิด แม้แต่หางตา คุณชายยังแทบไม่เคยเหลียวมอง
ทว่าเหตุผลเหล่านั้นไม่ได้ทำให้เขาแค้นมากจนพอที่จะตัดสินใจทำแบบนี้ได้ แต่เพราะวันหนึ่งเขาดื่มเหล้าจนเมาหัวราน้ำ และต้องตื่นขึ้นมาพบกับข้อความอันแสนเจ็บปวด ความแค้นเลยปะทุออกมาจนยากเกินจะควบคุม
คุณชายหลงไอ้เด็กปั๊มจนหัวปรักหัวปรำ รักมันมากกว่าเขา ทั้งๆ ที่ไอ้เด็กปั๊มนั่นไม่มีอะไรเทียบเท่าเขาเลย แต่เขาก็รู้ว่าอีกไม่กี่วันคุณชายก็จะถูกจับให้แต่งงานกับผู้หญิง พอคิดถึงเรื่องนั้นจึงทำให้เขายับยั้งช่างใจที่จะไม่ทำอะไรรุนแรงเอาไว้ได้
แต่แล้วพอถึงวันงาน ทุกอย่างกลับพังทลาย แผนที่เขาร่วมกันวางไว้กับหม่อมราชวงศ์กริชกรดันพังย่อยยับ คุณชายเลือกที่จะพาไอ้เด็กปั๊มนั่นหนี
“จับตาดูพวกมันเอาไว้ ถ้างานแต่งล่ม และคุณชายพาไอ้ข้าวหนีไป ให้จัดการคุณชายทันที” นั่นคือคำสั่งที่คนร้ายได้รับซึ่งเสียงทั้งหมดคนร้ายได้บันทึกข้อความการสนทนาเอาไว้อย่างรอบคอบ เผื่อวันหนึ่งตนเองถูกหักหลังหรือถูกจับได้ จะได้มีหลักฐานดำเนินคดีให้กับตำรวจ
“ทำไมต้องยิงคุณชายล่ะครับ ในเมื่อคุณเองก็รักคุณชาย แต่เกลียดไอ้เด็กปั๊มนั่นไม่ใช่เหรอ” นี่คือคำที่คนร้ายเอ่ยถามกับผู้ว่าจ้าง
“เพราะเกลียดมันน่ะสิ... ถึงต้องให้มันรับรู้ถึงความเจ็บปวดเมื่อต้องสูญเสียคนที่รักไปบ้าง และในเมื่อคุณชายเองก็ไม่เคยคิดที่จะเหลียวแลฉัน ก็กำจัดมันไปซะ!!!”
คนร้ายสะกดรอยตามจนกระทั่งไปถึงสนามบินสุวรรณภูมิ เขาทำงานอย่างมืออาชีพสามารถหลีกเลี่ยงการตรวจพบเจออุปกรณ์ที่ใช้ลงมือจากด่านทุกด่านจนกระทั่งได้ทำการลงมือตามที่ได้รับคำสั่ง แต่ดันผิดพลาดเพราะผู้ที่ถูกยิงไม่ใช่คุณชายแต่กับเป็นไอ้เด็กปั๊มที่เอาตัวมาบังเอาไว้...
หลังจากที่ได้รับฟังคำให้การของคนร้าย... ตำรวจก็บุกไปจับผู้อยู่เบื้องหลังการว่าจ้างทั้งหมดทันที
ปอม... ไม่ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา เพราะความหลง ความแค้น ความผิดหวังและความขาดสติและเหตุผลส่วนตัวอื่นๆ ทำให้เขาตัดสินใจทำเรื่องที่โหดร้ายจนลืมนึกทุกผลที่จะตามมา
ผลจากการกระทำของเขานอกจากจะทำให้คนอื่นเดือดร้อน ยังทำให้ตัวเองรวมถึงคนในครอบครัวเดือดร้อนไปด้วย พ่อแม่และพี่ชายของปอมต้องเสียใจและผิดหวัง และไม่ว่าพวกเขาจะคร่ำครวญอย่างไร ก็ไม่สามารถหลีกหนีโทษจากการกระทำไม่พ้น
โชคดีที่การว่าจ้างฆ่าคนอื่นโดยเจตนาไม่สำเร็จ... โทษจึงไม่ร้ายแรงถึงขั้นประหารชีวิต ส่วนโทษที่ได้รับจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่ที่ดุลยพินิจของศาล รวมถึงความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายต่อไป
หลังจากที่ปอมได้รับโทษตามกฎหมาย พี่ปั๊มที่หายหน้าหายตาไปนานก็ได้เดินทางมาเยี่ยมผมที่โรงพยาบาล
พี่ปั๊มดูไม่สดใสกระปรี้กระเปร่าเหมือนอย่างเคยอาจเพราะรู้สึกผิดกับสิ่งที่น้องชายกระทำ เขาละอายใจเกินกว่าจะมาพบหน้า แต่ผมก็เป็นคนขอร้องให้โด้พามาเพราะโด้แวะมาเยี่ยมผมบ่อยๆ
ผมพยายามอธิบายแล้วแม้คนที่ลงมือทำเรื่องเลวร้ายจะเป็นน้องชายสายเลือดเดียวกัน แต่คนที่ลงมือกระทำก็ไม่พี่ปั๊มเสียหน่อย ไม่จำเป็นต้องคิดมาก พี่ปั๊มเหมือนจะเข้าใจ แต่ถึงอย่างไรด้วยความเป็นพี่น้องกับคนร้ายจึงมีความรู้สึกผิดติดอยู่ในใจทำอย่างไรก็ไม่อาจแก้ได้สักที
นี่แหละหนา... ถึงมีคนชอบกล่าวว่าจะทำอะไรก็ให้คิดหน้าคิดหลัง คิดถึงคนในครอบครัวด้วย แม้ว่าตัวเองจะทำผิด ไม่ใช่ว่าจะต้องรับโทษหรือชดใช้กรรมเพียงคนเดียว แต่มันมีผลต่อคนในครอบครัวด้วย ทั้งความรู้สึกเสียใจ ทั้งหน้าที่การงานที่อาจมีปัญหา และโดนเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมจนอาจทำให้ไม่กล้าสู้หน้า เฉกเช่นกับที่พี่ปั๊มกำลังเผชิญอยู่ตอนนี้
...เส้นทางความรักของผมกับคุณชายไม่ได้โดยด้วยกลีบกุหลาบ แต่กลับเต็มไปด้วยขวากหนาที่พร้อมจะทิ่มแทงหากใครคนใดคนหนึ่งไม่อดทนก็คงจะพังทลายลงได้ทันที
หลังจากที่กล้องวงจรปิดขณะที่ผมใช้ตัวบังกระสุนให้คุณชายถูกเผยแพร่ออกไปตามสื่อสาธารณะ ประชาชนก็เริ่มให้ความสนใจกับเหตุการณ์นี้ ผมกับคุณชายกลายเป็นที่พูดถึงในโลกโซเชียล หลายคนชื่นชมในการกระทำของผม แต่ก็มีอีกกลุ่มหนึ่งที่กล่าวหาว่าคนอย่างผม ‘โง่’ ยอมเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อคนคนหนึ่ง ...ทุกอย่างมักมีสองด้านเสมอ
ผมถูกนักข่าวมาขอสัมภาษณ์ตั้งแต่วันแรกที่คุณชายพาผมนั่งรถเข็นแล้วจูงลงไปรับบรรยากาศในสวนของโรงพยาบาล
“พวกคุณสองคนเป็นอะไรกันคะ” นั่นคือคำถามแรกที่นักข่าวโพล่งมา ทำเอาผมตกใจจนผงะต้องหันไปมองหน้าคุณชายเพราะไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไรดี
คุณชายส่งยิ้มให้ผม ก่อนจะกันนักข่าวออกแล้วจัดการตอบคำถามแทนผม
“เราสองคนเป็นครอบครัวเดียวกันครับ”
“พี่น้องหรือญาติกันเหรอคะ แต่หม่อมราชวงศ์กริชกรมีลูกชายเพียงคนเดียวนะคะ ส่วนใหญ่ก็ไม่ปรากฏข้อมูลของคุณต้นข้าวนะคะ นามสกุลก็ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกัน” นักข่าวเอ่ยถามต่อด้วยความสงสัย “มันมีอะไรมากกว่านั้นใช่ไหมคะ”
“ถูกต้องแล้วครับ เราไม่ใช่ญาติกัน ผมเองก็ไม่รู้ว่าควรเรียกว่าอะไรเพราะทั้งผมและข้าวเองก็ไม่เคยตกลงคบกัน... แต่เรามีความรู้สึกดีดีต่อกัน มีความรัก มีความห่วงใยต่อกัน สำหรับผม ข้าวคือคนสำคัญครับ” คุณชายหยุดพูดแล้วหันมาขยับยิ้มแถมกระพริบตาให้ผมราวกับพระเอกในซีรี่ย์เกาหลี เรียกเสียงฮือฮาจากนักข่าว “เดี๋ยววันนี้ผมขอตัวพาข้าวพักผ่อนก่อนนะครับ เพิ่งพาออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์วันแรกอยากให้ข้าวได้พักผ่อนเต็มที่ ถ้าพี่ๆ อยากสัมภาษณ์อะไรเดี๋ยวผมจะแจ้งอีกทีนะครับ”
นักข่าวทุกท่านยินยอมด้วยความว่าง่าย
“แต่เดี๋ยวค่ะ ขออีกหนึ่งคำถามนะคะ... เมื่อกี้คุณชายบอกว่าคุณข้าวคือคนสำคัญ... แล้วสำหรับคุณข้าวล่ะคะ คุณชายคืออะไร”
ผมสะดุ้งอีกครั้งให้กับคำถาม ไม่ได้เตรียมตัวมาก่อนเลยว่าการออกจากห้องผู้ป่วยครั้งแรกต้องมาเจอกับสถานการณ์เช่นนี้
ผมหันตาไปมองคุณชายด้วยความเขิน... ผู้ชายก็เขินเป็นนะครับ... คุณชายยักคิ้วก่อนจะพยักหน้าให้เหมือนบอกเป็นนัยๆ ว่าให้ผมตอบถามสักที
ผมหันกลับมามองเหล่านักข่าวอีกครั้ง สังเกตเห็นสีหน้าและแววตาของทุกคนแสดงออกถึงความตื่นเต้น บางคนหน้าแดงราวกับลูกมะเขือเทศ ผมไม่แน่ใจว่าอากาศที่นี่ร้อนเกินไปหรือไร แต่ผมว่าอากาศตอนนี้กำลังดีนะ... บางคนยิ้มแก้มปริทำปากขมุบขมิบไปมา บางคนก็กะพริบตาถี่ๆ จนผมรู้สึกหนักใจว่าต้องตอบคำถามนั่นโดยไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ใช่ไหม ในเมื่อจำเป็น ผมก็จะตอบ
“คุณชาย...” รู้สึกว่าเสียงของตัวเองสั่นจัง อาจเพราะอาการเขินจัดกำลังเร่งงาน “คือ... ฟ้าของผมครับ”
ผมไม่ใช่คนที่มีความมั่นใจ ไม่เคยตกอยู่ในสภาพที่มีคนจ้องและรุมถามคำถามแบบนี้ คำถามของผมอาจเข้าใจยากเกินไป ทุกคนเลยเงียบกริบ ผมจึงรีบอธิบายต่อ
“ฟ้าที่คอยมอบแสงสว่างในยามกลางวันและฟ้าที่คอยแต่งแต้มสีสันในยามค่ำคืน คุณชายคือฟ้าที่ไม่ว่าผมจะอยู่ที่ไหน เมื่อไหร่ผมก็จะมองเห็นและเฝ้านึกถึงได้ตลอด ฟ้าที่มีทั้งร้อน หนาว และบ้าคลั่งเมื่อยามมีเมฆฝน แต่สุดท้ายฟ้าก็กลับมาสดใสอบอุ่นได้เหมือนเดิม และมีเพียงฟ้าผืนนี้แหละที่คอยเฝ้ามองดูผมซึ่งเป็นเพียงเศษดินตลอดเวลา ไม่ว่าจะทุกข์ สุข เศร้า หัวเราะ หรือร้องไห้ ฟ้าผืนนี้ไม่เคยคิดที่จะทิ้งผมเลยครับ”
ผมหยุดพูดแล้วหันไปมองหน้าคุณชาย... น้ำตาของเขาคลออยู่เต็มเบ้า ไอ้เด็กขี้แยกำลังจะร้องไห้อีกแล้ว ผมเลยจัดการทิ้งประโยคเด็ดๆ ให้กับนักข่าวเป็นการส่งท้ายโดยหวังว่านั่นจะทำให้คุณชายซาบซึ้งจนน้ำตาไหล
“คุณชายคือครึ่งชีวิตของผมครับ” ผมยกมือขึ้นมาจับมือของคุณชายที่วางไว้อยู่ที่ไหล่ของผม เพื่อบิ้วอารมณ์
ได้ผล... คุณชายปล่อยโฮต่อหน้าสื่อ นักข่าวช่างภาพรีบเบี่ยงเบนความสนใจจากผมไปหาคุณชาย เกิดเสียงดังแชะๆ อยู่หลายครั้งจนกระทั่งผมต้องขอร้องให้พวกเขาหยุดแบบอ้อมๆ
“เดี๋ยวผมขอพักก่อนนะครับ ยังไงวันนี้ขอบคุณมากๆ นะครับ สวัสดีครับ”
นักข่าว ช่างภาพทุกรายให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี พอทุกคนจากไป คุณชายก็โน้มตัวลงมากอดคอผม หอมแก้มผมหนักๆ ราวกับต้องการบอกให้ผมรู้ว่า... เขารัก เขาหลงผมมากแค่ไหน
“พอได้แล้ว” จนผมต้องบอกให้คุณชายหยุด “เป็นเด็กขี้แยตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”
คุณชายส่ายหน้าไม่พูดอะไร แต่ยังกอดคอ หอมแก้มและจับมือเอาไว้อย่างแนบแน่น...
บางทีการไม่พูดอะไรออกมา แต่แสดงออกด้วยภาษาทางกายอาจทำให้เรารับรู้ถึงความรู้สึกดีๆ มากว่าการที่เอาแต่พูดจาสวยหรูที่เคยไม่เคยคิดจะกระทำ
‘ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างครับ’ ผมพูดในใจพลางบีบมือคุณชายเอาไว้แน่นเป็นสัญญาณให้เขารับรู้เช่นกันว่าผมกำลังรู้สึกเช่นได้
คุณชายยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาหยดสุดท้าย ก่อนจะใช้มืออีกข้างมาขยี้ศีรษะของผมเบาๆ แล้วเข็นรถของผมต่อไป...
ผมไม่รู้ความสุขแบบนี้มันจะอยู่ไปได้นานแค่ไหน แต่ผมจะเก็บความรู้สึกที่อบอุ่นของผู้ชายคนในไว้ในใจของผมตลอดไป
‘ผมรักคุณชายนะครับ’
จบแล้วจ้า...
ฝากติดตามเรื่องใหม่ด้วยนะครับ
จิตวิทยาใจ >>
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60212.0ซื่อสัตย์ >>
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61134.0