ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณกำลังใจจากทุกคนนะครับ และต้องขอโทษด้วยหากว่าการอัฟเดทช้าไปบ้าง ของแจงสาเหตุเป็นข้อๆนะครับ
๑) เวลางานของผมไม่แน่นอนครับ บางทีมีโทรศัพท์มาตามก็ต้องไปทันที
บางครั้งจึงขาดช่้วงในการเขียนไป ต่อไม่ค่อยติด ต้องใช้เวลานิดนึง
๒) ผมตรวจต้นฉบับหลายรอบครับ
เพราะเมื่ออ่านแล้ว ตัวเองจะต้องไม่รู้สึกว่ามันขัดๆตรงไหนในเรื่องการใช้คำต่างๆ จะได้ไม่ต้องมาแก้ไขหลังจากที่ลงไปแล้ว ซึ่งอาจทำให้ผู้อ่านสับสนได้
๓) เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในเรื่อง มันมีบางอย่างที่ผมอุบไว้ ไม่ได้เล่าในตอนที่เกิดเหตุการณ์นั้น แต่จะมาเปิดเผยสิ่งที่เก็บซ่อนไว้ ของเรื่องนั้นๆ ในอีกหลายตอนข้างหน้า ดังนั้น ผมต้องคอยตรวจย้อนไปย้อนมา ว่าเนือหาที่เขียนผ่านมา พอดีกับเนื้อหาของตอนที่เีขียนต่อมาหรือไม่ อย่างเช่นในตอนที่ ๓ ที่จะนำมาลงต่อนี้ จะมพฤติกรรมีบางอย่างของตัวละครบางตัว ไปสอดคล้องกับบางพฤติกรรมของตัวละครตัวอื่นในตอนที่ ๙ หรือบาง เหตุการณ์ในตอนนี้ ที่ผมไม่ได้เขียนรายละเอียด แต่จะไปเอ่ยถึงในประมาณตอนที่ ๑๓
ดังนั้นผมจึงต้องขออภัยล่วงหน้าครับ หากว่าบางครั้งผมมาอัฟเดทช้าไปบ้าง ขอบคุณทุกท่านครับ
(ขนาดคำนำก่อนอัฟเดทแค่นี้ ผมยังต้องอ่านทวนตั้ง ๑๐ กว่ารอบ
)
................................................................................
๓ มือกับสัมผัสที่แตกต่าง
แล้ววันต่อๆมา ผมก็มีเพื่อนมานั่งที่ห้องสมุดเป็นเพื่อน ก็คือ ตุ่ม กับ เต่า บางวันพวก ราญ , จก , ต่อ , กร ก็จะมานั่งทำงานหรืออ่านหนังสือด้วย แต่ก็ไม่บ่อยนัก การตามล่าสัตว์ประหลาดของขบวนมารเรนเจอร์ ก็ดูเหมือนจะลดน้อยลง คงเพราะเจอกันแต่ในชั้นเรียน พอออกมานอกห้องเรียนก็ไม่ได้เจอกันบ่อยเหมือนที่เคย แล้ววันหนึ่ง ผมก็โดน ๑ ในขบวนการเข้ามาประชิดตัวจนได้
คาบเรียนสุดท้ายของวัน ปอ รี่เข้ามานั่งเรียนที่โต๊ะติดกันทางด้านขวาของผม รังสีอำมหิตแผ่กระจายออกมาจากตัวมันเลยครับ ผมนึกอยู่ในใจแย่แน่คราวนี้ จะโดนมันแกล้งอะไรแปลกๆรึเปล่า หน้าตามันเอาเรื่องซะขนาดนั้น แต่เหตุการณ์ปรกติครับ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนหมดคาบเรียนวิชานั้น ผมก็โล่งอก เราคงคิดมากไปเอง คิดขอโทษ ปอ ในใจ ที่ระแวงไป พอคุณครูออกจากห้องแล้ว เพื่อนๆก็ทยอยกันออกไปแยกย้ายกันกลับบ้าน ผม กำลังเก็บของลงเป้ กำลังจะหยิบเป้สะพายบ่า ปอ ก็ คว้ามือขวาผมไปบีบเหมือนอย่างที่เคยทำกับผมบ่อยๆ กระดูกข้อนิ้วผมบดกันไปมา เจ็บครับ เจ็บ
“กลางวันหายไปทำอะไรที่ไหน บอกมา” ปอ ถามผมเสียงดุๆ มือซ้าย ปอ ก็บีบมือขวาผมแรงขึ้น
“.................................”
“เงียบทำไม ไม่ได้ยินเหรอที่ถามน่ะ เมื่อกลางวันหายไปไหนมา เมื่อเช้าก่อนเข้าเรียนด้วย มาแต่เช้าแล้วหายไปไหน”
“ปอ เอ็งบีบมือมันซะขนาดนั้น ตั้ม มันเจ็บจนพูดไม่ออกแล้ว ปล่อยมือมันก่อน” ตุ่ม เข้ามาห้ามทัพ
“อ้าวเจ็บเหรอ ... เห็นเงียบ ... ไม่น่าเจ็บนี่ ถ้าเจ็บต้องร้องแล้วสิ” ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ ปอ ก็ปล่อยมือผมแต่ยังไม่เลิกทำหน้าดุ
“ที่บ้านสอนไว้ เวลาเจ็บอย่าร้องโวยวายเป็นพวกไพร่ เหมือนไม่มีคนอบรมสั่งสอน” ผมตอบไปเฉพาะคำถามสุดท้าย
“เออ...อีผู้ดี แล้วตกลงหายไปไหนมา ทั้งเช้า ทั้งกลางวัน”
“ทำไมต้องบอกนายด้วย เราไปไหนมันเรื่องของเรา” เรื่องอะไรจะบอก ถ้าเกิดพวกนี้ตามไปถึงห้องสมุด ผมไม่แย่เหรอ
“อ้าว..........อีนี่ ไม่บอกใช่มั๊ย เดี๋ยวเจ็บ” พูดจบ ปอ ก็คว้ามือผมไปบีบอีก คราวนี้ทั้ง ๒ มือเลย บีบแรงกว่าทีแรกอีก ผมเจ็บจนกัดริมฝีปากตัวเองเลยครับ แต่ยังคงไม่มีเสียงอะไรลอดออกมาจกปากผม นอกจากน้ำตาที่เริ่มซึมเพราะความเจ็บ
“เฮ๊ย ปอ มึงกะจะบีบให้กระดูกมือ ตั้ม มันแตกเลยใช่มั๊ย ดูซิ ตั้ม มันเจ็บจนหน้าแดงไปถึงหูถึงคอแล้ว” ราญ เข้ามาห้าม ปอ อีกคนหนึ่ง ตอนนั้นในห้องเหลือกันอยู่ ๔ คนเท่านั้น
“ตั้ม มันไปนั่งอ่านหนังสือที่ห้องสมุด ไม่ได้ไปไหนกับใครหรอก”ตุ่ม บอกออกไป ผมฟังแล้ว งง งง ไปไหนนี่เข้าใจ แต่กับใครนี่ แปลว่าอะไร -*-
“อื้อ มันอยู่ที่ห้องสมุดตลอดแหละ ปอ บางทีพวกเราก็ไปนั่งทำงานกับ ตั้ม มันที่ห้องสมุดนั่นแหละ”ราญ บอกย้ำให้ ปอ ฟัง
“จริงรึเปล่า”
“..................................”
“ทำไมไม่ตอบวะ เดี๋ยวกูบีบมือหัก” ปอ ตวาดใส่ผม
“เอ็งก็ปล่อยมือกันก่อนสิ ปอ มันเจ็บจนน้ำตาซึมแล้ว ต่อให้มันอยากตอบ มันก็พูดไม่ออกหรอก เจ็บขนาดนั้น”
“ชิ.......เรื่องแค่นี้ทำเป็นลับลมคมใน” ปอ ปล่อยมือผม “กลับบ้านดีกว่าเว๊ย หมั่นไส้อีพวกผู้ดี” ปอ พูดจบก็หันไปหยิบเป้สะพายแล้วออกจากห้องไป
พอ ปอ ออกจากห้องไป ผมน้ำตาไหลเลยครับ ทั้งเจ็บ ทั้ง งง คิดแต่ว่าทำไมต้องมาหาเรื่องกัน กระทั่งการที่ผมไปนั่งอยู่ที่ห้องสมุด ผมหายไป มันน่าจะดีใจมากกว่าที่เห็นผมไม่อยู่ให้รำคาญลูกตา
“เราว่าไปหาน้ำแข็งปะคบมือหน่อยดีกว่านะ ดูซิ เหมือนจะช้ำเป็นจ้ำๆเลย ไปล้างหน้าล้างตาก่อน แล้วไปโรงอาหารกัน” ราญ พูดขึ้น พลางหยิบเป้ผมมาสะพายบ่าให้ แล้วก็จูงมือผมไปล้างหน้า จากนั้นก็ไปโรงอาหาร ขอน้ำแข็งจากร้านขายน้ำมาห่อผ้าเช็ดหน้า ประคบมือให้ผม โดยที่มี ตุ่ม ยืนมองอยู่ข้างๆ
“อย่าไปโกรธ ปอ มันเลย ไงก็เพื่อนห้องเดียวกัน” ตุ่มพูดเบาๆ
“ทำแบบนี้จะไม่โกรธได้ไง แต่ช่างเหอะ เดี๋ยวก็คงหายโกรธ”ผมพูดเสียงอ่อยๆหน้าสลด “โกรธน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่เราไม่เข้าใจ ทำไมต้องทำกับเราแบบนี้”ผมพูดต่อเบาๆ ขณะที่ยังคงก้มหน้ามองมือของตัวเองที่ ราญ กำลังเอาน้ำแข็งปะคบให้อยู่ โดยที่ไม่รู้เลยว่า ราญ กับ ตุ่ม หันไปมองหน้ากันแล้วส่ายหน้าให้กับความไม่เดียงสาของผม
อืม......มีคนมาลูบมือเบาๆนี่มันรู้สึกดีเน๊อะ ผมนึกในใจ แล้วผมก็เงยหน้า ผมก็เห็นสายตาของ ราญ ที่มองมาที่ผมนั้นเหมือนกับสายตาของพี่ๆที่คอยพยาบาลผมเวลาที่ไม่สบายจนถึ่งขั้นต้องนอนซมอยู่กับนเตียง ผมก็เลยยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดีให้ ราญ “ขอบใจนะ ราญ” ผมพูดออกไปเบาๆ
ราญเห็นผมยิ้มแบบนั้น ก็ยิ้มแล้วตอบกลับมา “ไม่เป็นไร น้องชายทั้งคน แค่นี้เรื่องเล็ก” ราญ มักเรียกผมเป็นน้องชายครับ เพราะผมอายุน้อยกว่า ราญ เกือบขวบปี แล้วตัวก็เล็กกว่า ราญ มาก ผมสูงแค่ไหล่ ราญ เองครับ
“เปลี่ยนอารมณ์ง่ายจริงนะนาย เมื่อกี้ยังทำท่าจะร้องไห้อยู่เลย ตอนนี้หน้าระรื่นแล้ว บอกตรงๆนะ บางทีพวกเราตามอารมณ์นายไม่ทันเลยหว่ะ ” ตุ่ม พูด แล้วเราสามคนก็หัวเราะขึ้นพร้อมกัน
..................................................................................
วันรุ่งขึ้น ผมมีเรียนตอน ๙ โมงเช้า แต่ผมตื่นสายกว่าที่ตั้งใจไว้ พอไปถึงโรงเรียนก็ได้เวลาเข้าเรียนพอดี พอผมไปถึงห้องโสตฯที่ต้องใช้เรียนในคาบวิชานี้ ผมก็รู้สึกถึงสายตาพิฆาตจาก ปอ ที่มองมาจากเก้าอี้แลคเชอร์หลังห้องทางด้านขวาใกล้ๆกับประตูทางหลังห้อง ผมมองหา ตุ่ม กับ เต่า ทางกลางๆห้องก็ไม่เจอ มองไปก็เห็น ๒ คนนั่งอยู่แถวกลางๆ ทางซ้ายมือของห้อง แล้วก็เห็น จก กวักมือเรียกให้ไปนั่งตรงเก้าอี้ที่ว่างอยู่ติดกับ ราญ ผมก็รีบเข้าไปนั่ง เพราะเห็นคุณครูท่านกำลังเดินมาพอดี ปรากฏว่า คาบวิชานั้นผมเรียนไม่รู้เรื่องเลยครับ ทำไมน่ะหรือครับ.......................
ผมสายตาสั้นไงครับ โดยเฉพาะตาขวา พอไปนั่งมุมซ้ายของห้อง กระดานดำจะอยู่ทางขวาของผม ผมมองกระดานดำไม่ได้ทันทีครับ เพราะซีกขวาผมจะเบลอๆมัวๆไปหมด เวลาที่มีอะไรขึ้นกระดานดำ ผมจะจดไม่ได้เลย ในส่วนที่ครูอธิบายด้วยปากเปล่า ผมก็จดไม่ทันครับ.............................เพราะผมปวดมือ
พอหมดคาบเรียนวิชานั้น ผมเลยขอยืมสมุดจดงานของ ราญ ตั้งใจว่าจะไปนั่งลอกที่ห้องสมุด เพราะคาบเรียนต่อไปเริ่มเรียนตอน ๑๑ โมง มีเวลาเกือบ ๑ ชั่วโมง พอได้สมุดจาก ราญ ผมวิ่งตื๋อไปห้องสมุดเลยครับ หาที่ว่างนั่งแล้วตั้งหน้าตั้งตาลอกเนื้อหาจากสมุดจดงานของ ราญ ลงสมุดจดงานของผม จดไปนึกไป ราญ นี่จดได้ละเอียดจริงๆ ขนาดครูท่านไอ ๒ ที ยังมีในสมุดเลยเนี่ย แค๊กๆ จดลงไปได้ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ ผมนั่งลอกไปยิ้มไป
สักพักก็เหมือนมีคนมาดึงเก้าอี้ตัวข้างๆออกจากโต๊ะ แล้วก็มีคนนั่งลงไปบนเก้าอี้ ผมก็ไม่ได้สนใจครับ เพราะตอนนั้นสมาธิแน่วแน่อยู่ที่สมุดตรงหน้า คิดอยู่แต่ว่าจะต้องลอกให้เสร็จก่อนเข้าเรียนคาบวิชาต่อไป จะได้คืนสมุดจดงานให้ ราญ สักพักก็มีเสียงพูดขึ้นมาเบาๆจากคนที่เข้ามานั่งข้างๆผม เสียงแผ่วๆเหมือนกระซิบ
“อยู่ห้องสมุดจริงๆเหรอเนี่ย แล้วเมื่อเช้าหายไปไหน มาดูที่ห้องสมุดไม่เห็นเจอ แล้วนี่มันวิชาของคาบเมื่อกี้นี่ มานั่งลอกทำไม ทุกทีเห็นจดทัน ทำไมวันนี้ต้องไปเอาของคนอื่นเค้ามานั่งลอก”
ผมได้ยินก็เลยเงยหน้าขึ้นมอง ว่ายุงตัวไหนมาบินทำเสียงหึ่งๆอยุ่ข้างหู.................... ปอ นั่นเองครับ
“....................................” ผมมองหน้ามัน งง งง “พูดธรรมดาก็ได้ทำไมต้องทำเหมือนกระซิบ นึกว่ายุงที่ไหนมาบินอยู่ข้างๆหู” กวนเล็กๆครับ ไม่ทันได้คิดอะไร เพราะปรกติผมคิดอย่างไรก็พูดไปอย่างนั้น แต่ปอมันยิ้มครับ แล้วพูดกับผมเบาๆ ด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรกว่าปรกติ
“ก็ห้องสมุด มันงดใช้เสียงนี่” เออ นะ.....มีเล่นมุก ผมขำเลยครับ เผลอหัวเราะแล้วยิ้มกว้างๆออกไป
“แล้วเมื่อกี้ ถามไรเราอะ ฟังไม่ถนัด”ผมถามถึงคำถามยาวๆในตอนแรกของ ปอ
“เมื่อเช้าทำไมไม่เห็นอยู่ในห้องสมุดเลย แล้วที่นั่งลอกอยู่นี่มันวิชาเมื่อกี้ จดไม่ทันเหรอไง” ปอ พูดขึ้นหลังจากนิ่งมองหน้ายิ้มๆของผมอยู่สักพัก
“เมื่อเช้าตื่นสาย มาถึงโรงเรียนก็ได้เวลาเข้าเรียนพอดี” ผมตอบไป “แล้ววิชาคาบเมื่อกี้จดไม่ทัน ก็เลยยืมสมุดจดงาน ราญ มาลอก”ผมยังคงยิ้มตอบ ปอ ไปดีๆครับ เพราะนิสัยผม ใครพูดกับผมเพราะๆ ผมก็จะพูดเพราะด้วย ถ้ามาตวาดใส่ ผมจะเงียบหรือไม่ก็ตวาดกลับไปเหมือนกัน
“ทำไมตื่นสาย ทุกทีเห็นมาก่อนเวลาเรียนตั้งนาน แปลว่าปรกติตื่นเช้า” ปอ ทำหน้าดุ แต่ยังพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตรเหมือนตอนแรก
“เมื่อคืนแพ้อากาศ มีไข้ด้วย พอกินยาเข้าไปมันก็หลับเพลินอะ เลยตื่นสาย” ผมอธิบาย ( ผมเป็นโรคภูมิแพ้อากาศ พออากาศเปลี่ยนผมจะมีไข้ น้ำมูกไหล ต้องมีกระดาษชำระพกติดกระเป๋าตลอดเวลา อย่างน้อย ๑ ม้วนครับ ใช่ครับ ๑ ม้วน เพราะบางวันเป็นมากๆนี่ไม่พอนะครับ ต้องขอ ๒ )
“แล้วเรื่องสมุดล่ะ ทำไมจดไม่ทัน”
“........................................” ผมก้มหน้าเงียบครับทีนี้ ไม่อยากบอก
ปอเห็นผมเงียบ ก็เลยเอามามาแตะหน้าผาก แล้วเอาหลังมือมาแตะๆที่คอผม ผมเงยหน้ามอง ปอ แบบ งง งง ปอมองหน้าผมยิ้มๆ
“ไข้ไม่มีแล้วนี่ ไหนเอามือมาดู” ปอ พูดเบาๆ แล้วก็หยิบเอาปากกาในมือขวาผมออก แล้วจับมือ ๒ ข้างผมหงายขึ้นดู
ผมก็ปล่อยให้ปอจับมือผมไป ไม่รู้จะพูดยังไง เพราะกำลัง งง กับน้ำเสียงและการระทำของมัน ปรกติมันพูดกับผมแต่ละที ตวาดแว๊ดๆ วันนี้มาแปลก พูดเบาๆ แถมอมยิ้มตลอด แล้วเวลาใครมาพูดกับผมเพราะๆ ผมก็สบายใจสิครับ อีกอย่างหนึ่ง ผมรู้สึกถึงความอ่อนโยนของมือที่มาจับมือผมอยู่ สัมผัสมันอ่อนโยนเหมือนตอนที่ ราญ ค่อยๆเอาน้ำแข็งปะคบมือให้ผมเมื่อวานนี้ แต่สายตาที่มองผม ไม่เหมือนความอ่อนโยนที่พี่มีให้น้องเหมือนสายตาของ ราญ มันดูอ่อนโยนประหลาดกว่านั้น แต่ตอนนั้นผมแปลสายตานั้นไม่ออกครับ ผมก็เลยก้มหน้ามองมือของผมที่ ปอ จับไว้
ปอ เอานิ้วกดๆไปตามฝ่ามือกับนิ้วมือผม บางจุดที่ ปอ กดนิ้วลงไป ผมขมวดคิ้วเลยครับ เพราะมันเจ็บๆ ปอ ก็คอยมองหน้าผมอยู่ตลอดเวลาครับ ตอนนั้น ซักพัก ปอ ก็ปล่อยมือผม แล้วเอามือมาขยี้หัวผมเบาๆ
“รีบๆเข้าแล้วกัน มีคนรออยู่นะ ไอ้ลูกหมาน้อย แล้วดูเวลาด้วย คาบต่อไปเรียนตึก ๑ เดี๋ยวเข้าห้องเรียนไม่ทัน” จากห้องสมุดชั้น ๕ ของตึก ไปยังห้องเรียนตึก ๑ ไกลเอาการอยู่ครับสำหรับเวลา ๑๐ นาที
ปอ พูดจบก็ลุกจากเก้าอี้ หันหลังเตรียมจะเดิน แล้วเหมือนว่าจะชะงักนิดหนึ่ง แล้วอุทานเบาๆ “เฮ๊ย...” แล้วปอก็เดินออกจากห้องสมุดไป สักพักก็รู้สึกก็เหมือนได้ยินเสียงฝีเท้าของใครอีกคนหนึ่งเดินออกไปจากห้องสมุดอีกคนหนึ่ง โดยที่ผมยังคงนั่งคิดถึงคำพูดของ ปอ ที่เรียกผมเมื่อสักครู่นี้
อืม.....ไอ้ลูกหมาน้อย.....เหรอ ทำไม ปอ เรียกผมแบบนั้น เพราะว่าพ่อผมชอบเรียกผมแบบนี้เสมอครับ....ไอ้ตั้ม ไอ้ลูกหมาน้อยๆของพ่อ..........
สักพักผมก็เลิกคิดแล้วกลับมาลอกงานในสมุดจดงานต่อจนเสร็จก่อนเวลาเข้าเรียนคาบวิชาต่อไปเล็กน้อย
........................................................
.................................
...................
เหตุการณ์ก็ผ่านไปเรื่อยๆครับ ขบวนมารเรนเจอร์ทั้ง ๕ ยังคงตามราวีสัตว์ประหลาดอย่างผมอยู่แบบเดิมๆทุกครั้งที่มีโอกาส จากภาคเรียนที่ ๑ ไปจนจบภาคเรียนที่ ๒ ของการเรียนในชั้น ม.๑