● เล่ห์รักฤดูร้อน ●
ยกที่ 52 – ไม่มาก ไม่น้อย
“หนึ่งปี ไม่มาก ไม่น้อย” สามภพเคยพูดไว้อย่างนั้น
คิดดูแล้ว..มันก็อาจจะใช่ หรืออาจไม่ใช่ คิมหันต์ไม่แน่ใจนัก หนึ่งปียาวนานพอสำหรับต้นไม้บางชนิดจะเติบโตจนผิดหูผิดตา ไอ้ดุ๊กดิ๊กโตเป็นหนุ่มแน่นและกอดเต็มไม้เต็มมือขึ้นอีกเป็นกอง เจ้ใหญ่ของเขาน้ำหนักขึ้นสามกิโลก่อนจะลดลงมาอยู่เท่าเดิมได้สำเร็จ เจ้สิพี่สาวคนรองเรียนจบเรียบร้อยรอรับปริญญาปีหน้า แมวจรจัดที่เพื่อนรักปิ่นหยกแอบให้อาหารอยู่หลังร้านเค้กโตเป็นหนุ่มจากเดิมที่ตัวกระเปี๊ยก
หนึ่งปี..เป็นระยะเวลาอันพอเหมาะพอเจาะ สำหรับการเปลี่ยนความรู้สึกคนจากเหม็นขี้หน้าสุด ๆ กลายเป็นชอบสุด ๆ ได้อย่างน่าแปลกใจ
ชอบ..?ก็นั่นแหละ...ประมาณนั้น ความจริงเขาบอกว่ารักไปแล้วด้วยซ้ำ แต่อย่าไปนึกถึงมันตอนนี้เลย
หลังการกระทำประเจิดประเจ้อของสามภพในห้องพักวันนั้น สถานภาพของเขาสำหรับรูมเมทก็คล้ายจะเปลี่ยนไปจากเดิมตลอดกาลอย่างหมดทางโต้แย้ง ถึงจุดนี้คงต้องยอมรับว่าอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด อีกหน่อยคงรู้ไปทั่ว สามภพเองใช่ว่าจะเป็นใครไม่รู้สักหน่อย หากไปถามคนห้าคนในมหาวิทยาลัย อย่างน้อยก็ต้องมีสักคนสองคนที่รู้จัก
ซาราห์จับเขานั่งสืบสวนอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่น่าเสียดายแทนเธอนิดหน่อยที่ได้อะไรไปไม่มากเท่าที่เจ้าตัวหวังนักหรอก เขาเองก็กะล่อนใช้ได้ หากฝ่ายตรงข้ามที่นั่งซักฟอกอยู่ไม่ใช่เจ้ใหญ่ที่เคารพรักแล้ว มีหรือจะล้วงข้อมูลอะไรจากปากเขาได้เยอะแยะ
“แล้วมีอีกหรือเปล่า...หล่อล่ำแบบนั้น” ซาราห์ถามกลับ เมื่อสิ้นหวังกับความอยากรู้อยากเห็นว่าระหว่างเขากับสามภพถึงขั้นไหนกันแล้ว “เพื่อนพี่ภพก็ได้”
เขาหยุดคิดเล็กน้อย เพื่อนเฮียหมาบ้าอย่างนั้นหรือ นึกออกอยู่คนหนึ่งที่เข้าเค้า “ชอบแบบหนุ่มผิวแทนไหมล่ะ”
“ล่ำไหม?”
คิมหันต์พิจารณาว่าที่พยาบาลสาวร่างบึ้กตรงหน้า เปรียบเทียบกับอีกคนในความทรงจำของตัวเอง “..น่าจะ..ล่ำกว่านาย..เอ่อ..เธอนิดหน่อย”
“กรี๊ด งั้นชอบค่ะ”
“ชื่อสรัญ”
เขาทิ้งท้ายแค่นั้น ท่ามกลางสายตาละเหี่ยใจของธนธร ผู้ซึ่งพยายามกู้ไฟล์ของตัวเองที่ลบไปกับมือคืนมา บ่นหงุงหงิงไปด้วยว่า “กูจะบ้าตาย” ข่าวดีหลังจากนั้นคือธนธรไม่เคยลอบตามเขากับสามภพเวลาออกไปไหนอีกเลย ส่วนข่าวร้ายคือพอไม่
ลอบตามแล้ว อีกฝ่ายก็เดินตามมาส่งแบบตรงไปตรงมาเลยต่างหาก แท็กทีมกับซาราห์ได้เป็นปี่เป็นขลุ่ยอย่างไม่น่าเชื่อ
ภาคเรียนที่สองเริ่มต้นและค่อย ๆ ผ่านไปเหมือนกระแสน้ำที่ไหลเอื่อย ดูเผิน ๆ เหมือนมันไม่ได้เคลื่อนไหวมากนัก แต่รู้ตัวอีกที..ปฏิทินบนนาฬิกาก็บอกว่ามันเป็นวันอาทิตย์ที่สิบห้าธันวาคม
หนึ่งปี ไม่มาก ไม่น้อยพรุ่งนี้วันที่สิบหกธันวาคม ครบกำหนดตามที่เคยตกลงเงื่อนไขพิลึกพิลั่นกับสามภพ
เขายังจำได้ดี เมื่อสามร้อยหกสิบสี่วันก่อน บนรถวีออสที่นั่งจนชิน ระหว่างทางกลับจากหัวหินถึงกรุงเทพ เพลงเกาหลีดังคลอเป็นแบกกราวด์ เขากระฟัดกระเฟียดบนเบาะนั่งโดยสาร หัวข้อพนันถูกตั้งขึ้นว่าภายในหนึ่งปีให้หลังเขาจะยอมให้สามภพจีบได้คนเดียว ถ้าทำให้รักได้จะยอมคบด้วย แต่ถ้าไม่สำเร็จ อีกฝ่ายจะเลิกยุ่งกับเขาและยอมทำอะไรก็ได้ตามที่เขาต้องการหนึ่งอย่าง
ข้อเสนอหอมหวานออกอย่างนั้นแท้ ๆ คิมหันต์ส่งเสียงจิ๊ขัดใจในลำคอ เขาไม่น่ารีบบอกรักเลย ทำฟอร์มแกล้งเฮียเพี้ยนสักหน่อยก็ดีหรอก ขอให้ทำอะไรก็ได้ตั้งอย่างหนึ่งเชียวนะ! ตอนนี้รู้ดีว่าพลาดโอกาสทองนั้นไปเสียแล้ว
“บ้าฉิบ”
เขาสบถเบา ๆ กับตัวเอง ท่ามกลางเสียงกรนของเพื่อนร่วมห้องในยามวิกาล นั่งตาค้างไม่หลับไม่นอนทั้งที่รูมเมทสลบไปแต่หัวค่ำหมดแล้ว จนเข็มวินาทีเคลื่อนผ่านเลขสิบสองเป็นรอบสุดท้ายของวัน ตัวเลขสิบห้าบนปฏิทินก็เปลี่ยนเป็นสิบหกต่อหน้าต่อตา
พร้อมกับที่มีข้อความแชทเด้งขึ้นในมือถือ
’วันจันทร์คาบสุดท้ายเลิกสี่โมงใช่ไหม?’สามภพมีตารางเรียนของเขา มีมาตั้งแต่อยู่มัธยมจนขึ้นมหาวิทยาลัย
‘ห้าโมงจะไปรับที่หอ’แถมยังไม่ถามกันสักคำว่าว่างหรือเปล่า
เขาพรมนิ้วบนโต๊ะแผ่วเบา เหม่อมองหน้าจอมือถืออยู่ครู่หนึ่งจนมันเริ่มหรี่แสงราวกับจะไว้อาลัยให้เจ้าของที่รู้ตัวดีว่าพ่ายแพ้สิ้นท่า ถอนหายใจหนึ่งเฮือกซึ่งถูกกลบด้วยเสียงกรนของซาราห์ไปอย่างน่าละเหี่ยใจ ความกังวลของเขาสู้เสียงกรนของรูมเมทยังไม่ได้เลย
ก่อนจอมือถือจะดับลงด้วยตัวเอง เขาเม้มปาก กดเลือกสติ๊กเกอร์แทนคำพูดเพื่อส่งกลับไป
เป็นรูปกระต่ายชูป้าย ‘Okay’สมาธิหายเกลี้ยงเลย
หนังสือกางอยู่บนโต๊ะ สายตาสามภพจับจ้องอยู่กับการเรียงตัวของคอลลาเจนไฟเบอร์ในเอ็นยึดปริทันต์ผ่านเลนส์กล้องจุลทรรศน์ แต่ใจลอยไปถึงเจ้าเด็กอีกคนที่ป่านนี้อาจกำลังอยู่ในแลบชีววิทยา ส่องกล้องดูระบบไหลเวียนเลือดของปลาทองที่นอนพะงาบอยู่ในสไลด์หลุมแก้วก็เป็นได้
เขานั่งเหม่ออยู่พักใหญ่ จนกระทั่งเสียงเรียกของเพื่อนดังขึ้นจากกล้องตัวข้าง ๆ
“เฮ่ย ภพ”
ชายหนุ่มชะงัก เงยหน้าขึ้นมองต้นเสียง สรัญมองเขาตอบด้วยสีหน้าไม่ค่อยสบายใจนัก ไฟกล้องจุลทรรศน์ยังเปิดค้างอยู่ ส่วนหนังสือโดนปัดกระเด็นไปอีกทาง
“ทำไม?”
“แก..จำรันได้เปล่าวะ”
เขาเลิกคิ้ว เข้าใจว่าสรัญคงเมาเซลล์รากฟันจนประสาทกลับไปแล้ว “แกจำตัวเองไม่ได้หรือ”
อีกฝ่ายโคลงศีรษะเร็ว ๆ รีบแก้ไขคำพูดของเขา “ไม่ ๆ ไม่ใช่ฉัน รัน..หมายถึงรัญชน์...เออนั่นแหละ รันที่เรียนวิศวะ ตอนนี้อยู่ปีสี่ นับอายุก็เท่าแกน่ะ”
สามภพนิ่วหน้า มองเพื่อนผิวแทนเหมือนเห็นเป็นตัวไร้สาระที่มาพล่ามเรื่องคนชื่อเหมือนตัวเอง
“ไม่รู้จัก”
“ตอนเรียนมัธยมนี่มีคนคบบ้างไหมวะ”
เขายักไหล่ เพื่อนสมัยมัธยมนั้นเลือกจำเฉพาะคนที่สนิท หากไม่ได้อยู่กลุ่มเดียวกันโดยเฉพาะถ้าอยู่คนละห้องแทบไม่ต้องพูดถึง อาจไม่ใช่จำไม่ได้ แต่ต้องเรียกว่าไม่เคยจำเลยด้วยซ้ำ
สรัญถอนหายใจเฮือก แต่เขาเมินเสียกลางบทสนทนาแล้วหันกลับมาสนใจจริงจังกับงานของตัวเอง รีบลงบันทึกและตอบคำถามในแลบให้เสร็จ เย็นนี้มีอะไรที่อยู่ในความสนใจมากกว่าเพื่อนร่วมโรงเรียนเก่า (เดาจากบริบทที่สรัญเอ่ย) ซึ่งเขาไม่เคยรู้จักมากนัก
สรัญยังบ่นพึมพำต่อ ได้ยินแว่ว ๆ ว่า “มึงมันแย่ ไม่รู้จักจำหน้าเพื่อนร่วมโรงเรียนไว้บ้าง” ไม่รู้อีกฝ่ายจะมาติดใจแค้นเคืองอะไรกับเรื่องมนุษยสัมพันธ์ของเขาซึ่งไม่ค่อยดีนักมาแต่ไหนแต่ไร แต่สามภพก็ไม่นับว่านั่นเป็นเรื่องน่าใส่ใจอยู่ดี
คาบสุดท้ายจบไปพร้อมกับความกระสับกระส่ายของเขา..และ...น่าแปลก...ของสรัญด้วย พวกเขาคว้ากระเป๋าแล้วถลาออกจากแลบในเวลาห่างกันเพียงเสี้ยววินาที จ้ำอ้าวลงบันไดทีละสองสามขั้น ต่างคนต่างเหลือบมองอีกฝ่ายอย่างข้องใจแวบหนึ่งแล้วก็แยกกันไปคนละทางตรงหน้าตึก ทิ้งท้ายพอเป็นพิธีว่าไว้เจอกันพรุ่งนี้ คิดว่าสรัญเองซึ่งคล้ายว่าจะเหม่อลอยเป็นระยะพอกับเขาในบ่ายวันนี้ก็คงมีเรื่องที่กำลังรอคอยอยู่เช่นกัน
สามภพสาวเท้าเร็ว ๆ กลับไปที่รถ วนเวียนอยู่กับความรู้สึกแปลกใจนิดหน่อย เพราะเขาไม่ค่อยได้เห็นเพื่อนเกย์ล่ำของตัวเองเป็นอย่างนี้บ่อยนัก แต่เพียงครู่เดียวก็โยนเรื่องนั้นทิ้ง มุดเข้าไปนั่งหลังพวงมาลัย ยิ้มกว้างกับตัวเองอย่างห้ามไม่อยู่เมื่อนึกถึงสีหน้าหลากหลายของเด็กหนุ่มซึ่งนัดกันไว้ตอนห้าโมง
ระยะทางสั้นนิดเดียว เขาถึงที่หมายก่อนเวลาราวครึ่งชั่วโมง จอดรถไว้ในลานจอดใกล้หอพักแล้วมาป้วนเปี้ยนอยู่แถวที่นั่งรอชั้นล่างสุดของหอ ลังเลว่าควรโทรหาคิมหันต์เลยหรือรอให้ใกล้ถึงเวลานัดก่อนค่อยติดต่อ
ทางเลือกไม่ยากเย็นนัก ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ตัดสินใจโทรหาตอนนั้นเลย
ฟังเสียงรอสายเพียงอึดใจก็มีคนรับ คิมหันต์อ้อมแอ้มกว่าปกตินิดหน่อย สังเกตจากวิธีพูดแล้วเจ้าตัวต้องจำได้แน่นอนว่าวันนี้ครบกำหนดที่เคยตกลงกัน แต่ที่น่าแปลกคือเสียงเอะอะเบื้องหลังซึ่งดังแทรกเข้ามาในสายนี่เอง
“ทำอะไรอยู่น่ะ”
“กำลังยุ่งนิดนึงอะเฮีย จำได้ปะที่เคยเล่าให้ฟังว่ามีรูมเมทที่ไม่รู้หายหัวไปไหนเป็นเทอมอยู่คน”
“อือ”
“ตอนนี้มันมาละ ชื่อไอ้อ้น ขนของมาไว้เต็มเลย ต้องเก็บกวาดหน่อยเพราะพวกผมใช้ตู้เตียงมันเป็นที่วางของหมดแล้ว รอก่อนนะ”
“ให้ช่วยไหม”
“เฮ่ยไม่ต้อง” อีกฝ่ายรีบปฏิเสธ “ไม่ใช่วันแรก ๆ ของเทอมเขาไม่ให้คนนอกขึ้นแล้วด้วย”
เขาพยักหน้า เรื่องนั้นรู้ดี แต่ถ้าอยากขึ้นไปจริง ๆ ทำไมจะทำไม่ได้ ถึงกระนั้นก็ยอมรออย่างสงบ เชื่อว่าคิมหันต์จัดการเองได้
“งั้นพี่รออยู่ชั้นล่าง”
เสียงสบถดังขึ้นแทรก ตามด้วยเสียงวี้ดว้ายของแม่สาวซาราห์ คิมหันต์เถียงไปหัวเราะไปกับเพื่อนตัวเอง จากนั้นสายก็ตัด
ชายหนุ่มกลอกตา ร่าเริงกันดีจริง เดี๋ยวหมั่นไส้ได้หิ้วไปนอนคอนโดฯ ตัวเองเป็นการถาวรเสียเลย
เขากวาดตามองไปรอบตัว โถงชั้นล่างสุดของหอพักในเวลาเย็นมีคนเดินสวนไปมาขวักไขว่เป็นระยะ ชายหญิงในชุดนักศึกษานั่งอยู่ตรงมุมนั้นมุมนี้ บางกลุ่มประชุมย่อย ๆ ปรึกษางาน บางกลุ่มแค่เหล่าสาว ๆ เมาธ์มอย ไม่ก็เด็กผู้ชายตะโกนชวนกันไปเล่นเกม
ที่ว่างสำหรับนั่งรอถูกจับจองเกือบหมด แต่ยังมองเห็นที่หนึ่งอยู่ในมุมจึงเดินตรงเข้าไป แวะหยิบหนังสือพิมพ์บนราวแขวนติดมือไปด้วย หย่อนตัวลงนั่งแล้วกางกระดาษเปื้อนหมึกเหม็น ๆ ก้มหน้าก้มตามองผ่านตัวหนังสือในนั้นโดยไม่ได้ใช้สมาธินัก แค่ต้องการแยกตัวเองออกจากเสียงจอแจของผู้คนโดยรอบซึ่งเขาไม่ได้ใส่ใจอยากรู้จัก
รัญชน์ยืดหลังตรง ถึงกับเผลอกลั้นหายใจ
เขามาที่นี่ตามคำรบเร้าของเฟรชชี่ในสายรหัส หลังจากโดนต่อยไปหนึ่งครั้งอ้นก็ไม่ค่อยถึงเนื้อถึงตัวอีก แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเลิกยุ่งกับเขาเป็นการถาวร เด็กหนุ่มผู้เป็นน้องเล็กในสายทำเหมือนเหตุการณ์คืนนั้นไม่เคยเกิดขึ้น ประพฤติตัวเป็นหนุ่มน้อยขี้อ้อนสร้างความรำคาญแก่รุ่นพี่ในสายที่เป็นผู้ชายทั้งหมดไปวัน ๆ แต่เป้าหมายคล้ายว่าเป็นแค่เพื่อความขบขัน พอโดนปรามหนัก ๆ ก็ยอมเชื่อฟังแต่โดยดี
เย็นวันนี้เจ้าตัวบอกว่าขนของมาเยอะ จะเอาไปเก็บไว้ที่ห้องพักในหอตามสิทธิ์ของตัวเองบ้าง แต่เพราะว่าขนมาเยอะจัดเลยมาอ้อนวอนขอให้ช่วย เพื่อนสนิทไม่ว่าง พี่คนอื่นในสายก็ไม่มีใครว่างอีกแล้วเช่นกัน (หรือไม่ก็โดนแกล้งเพราะความหมั่นไส้) เหลือเขาซึ่งยังพอมีเวลาหลังเลิกเรียนบ้างก่อนถึงเวลาที่นัดไว้กับสรัญจึงได้ช่วยขนของตามมาส่งถึงชั้นล่างสุดของหอพักนี้ ส่วนการย้ายจากชั้นล่างขึ้นไปข้างบนซึ่งเขาไม่ได้รับอนุญาตเพราะอยู่คนละหอพัก เจ้าตัวตามเพื่อนร่วมห้องซึ่งเป็นกะเทยสาวร่างใหญ่ชื่อซาราห์ลงมาช่วยได้หนึ่งคน
ความแปลกใจของเขาเริ่มขึ้นตั้งแต่เห็นสามภพปรากฏตัวในห้องโถงชั้นล่างของหอพักนี้ วนไปวนมาอยู่สองสามรอบ ก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู คุยกับคนในสายพร้อมรอยยิ้มบางเบา ครู่หนึ่งหลังจากนั้นก็มองไปรอบตัว เห็นมีที่นั่งว่างอยู่ข้างตัวเขาเองจึงได้เดินตรงเข้ามาพร้อมกับหนังสือพิมพ์ยับย่นหนึ่งฉบับ
จากนั้นก็ก้มหน้าเงียบ ๆ อยู่ในความใกล้ชิดที่สุดแล้วเท่าที่เขาเคยได้รับจากอีกฝ่าย
ชายหนุ่มร่างเล็กก้มหน้าก้มตา เหลือบมองอีกฝ่ายกล้า ๆ กลัว ๆ ผ่านเลนส์แว่นโดยพยายามไม่ให้ส่อพิรุธ มือกำชายเสื้อตัวเองไว้แน่น ความคิดในหัวตีกันให้ยุ่งว่าควรเริ่มพูดอะไรสักอย่างดีไหม..อย่างน้อยแค่ทัก...เรียกชื่อสักคำ
เขาจำนายไม่ได้..ทักให้ยิ่งเจ็บหรือเสียงเล็ก ๆ ในหัวเขากระซิบเยาะหยัน
จากนี้ไปจะได้รู้จัก..แค่รู้จักเท่านั้นเอง อีกเสียงหนึ่งเถียงสู้
ชายหนุ่มนั่งกระอักกระอ่วน จะก้าวข้ามความกลัวที่ฉุดรั้งเขาให้จมอยู่กับความผิดหวังซ้ำซากของตัวเองมาหลายปีได้อย่างไร หากไม่ลองทักตอนนี้ แล้วเมื่อไรจะได้มีโอกาสอีก หากไม่พูดตอนนี้ เขาอาจไม่ได้พูดกับสามภพอีกเลยเพราะความขี้ขลาดที่แก้ไม่หายสักทีก็เป็นได้
รัญชน์กำลังจะอ้าปาก แต่แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
ชายหนุ่มมุ่นคิ้ว ไม่รู้ควรจะหงุดหงิดหรือขอบคุณคนที่โทรมาดี เขากดรับสาย เจ้าของเสียงเป็นคนที่นัดกันไว้เย็นนี้ ถามว่าเขาอยู่ที่ไหนแล้ว เพราะไปหาที่หอไม่เห็นเจอ
“ผมอยู่ชั้นล่าง หอสาม มาช่วยรุ่นน้องขนของนิดหน่อย”
สามภพพลิกหน้าหนังสือพิมพ์กรอบแกรบอยู่ด้านข้าง
“ความจริงก็เสร็จแล้ว ให้ไปหาที่โน่นไหม”
อีกฝ่ายปฏิเสธ บอกให้เขานั่งรออยู่ที่เดิม เดี๋ยวจะมาหาเอง จากนั้นก็วางสายไป
เหลือแต่ตัวเขากับสามภพนั่งข้างกันอย่างคนไม่รู้จัก เขาเผลอลอบมองคนข้างกายอีกครั้ง ความคิดวกกลับมาสู่เรื่องเดิมแล้วย่ำอยู่ที่เก่าว่าจะทำอย่างไรกับสถานการณ์เช่นนี้ดี
ลุกเดินหนี...หรือทักสักคำ
“มองอะไร”เขาสะดุ้ง แทบปล่อยโทรศัพท์หลุดมือ ตื่นตระหนกกับการเริ่มต้นอย่างกะทันหันและไม่เป็นไปดังคาด สายตาเขาชัดเจนอย่างนั้นเชียวหรือ อีกฝ่ายจึงสังเกตได้แล้วทักเขาก่อนด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตร
“..ผม”
“เลิกจ้องได้แล้ว มันน่ารำคาญ” สามภพโบกมือเหนื่อยหน่าย ยกหนังสือพิมพ์ขึ้นปิดหน้า หากมีที่นั่งตรงอื่นก็คงลุกหนีเขาไปเป็นแน่
รัญชน์หายใจเข้าออกลึก ๆ ในเมื่อบทสนทนาเริ่มต้นแล้ว ใจเขาก็โน้มเอียงไปทางอยากจะสานต่อ อีกฝ่ายอาจงง หาว่าเขาบ้า เป็นพวกโรคจิต หรืออะไรก็ตาม แต่ดีกว่าเก็บไว้กับตัวเองแล้วเสียใจที่ไม่ได้พูดไปจนวันตายไม่ใช่หรือ หากข้ามผ่านตรงนี้ไปไม่ได้ เขาคงไม่สามารถเริ่มใหม่กับใครอื่นได้สักที
“...นาย...”
เขาเรียกเบา ๆ แต่อีกฝ่ายนิ่งสนิท ซ่อนใบหน้าไว้หลังกระดาษหนังสือพิมพ์
“สามภพ”
ไร้เสียงตอบรับ รัญชน์รู้ดี ฐานะตัวเองอยู่ตรงไหน ทำอะไรได้บ้าง และผลจะออกมาเป็นอย่างไร เขาไม่คาดหวังว่าจะได้รับการตอบสนองในเชิงบวกกลับมา แต่ขอแค่สักครั้ง..
“ผมชื่อรัญชน์ เคยเรียนโรงเรียนเดียวกับนายตอนอยู่มัธยม”
“ฉันไม่รู้จักนาย”
ถึงกับสะอึกกับน้ำเสียงเย็นชา สามภพไม่ได้ปรายตามาทางนี้เลยสักนิด
“เรื่องนั้นผมรู้” เขาเสียงสั่นอย่างห้ามไม่ได้ แต่บอกตัวเองให้พูดต่อ อะไรที่อยากบอกแต่ไม่เคยได้ออกปาก บางทีเขาอาจหลุดพ้นจากความรู้สึกค้างคาของคนขี้แพ้ลงได้สักที “...ไม่ได้เรียกร้องอะไร ฟังแล้วนายจะลืมก็ได้”
สิ่งที่ได้รับมีเพียงความเงียบ แต่ในเมื่อไม่ได้ลุกหนี เขาถือว่าสามภพไม่ปฏิเสธจะรับฟัง
เขาอ้าปาก สั่นจนเหมือนจะไม่สามารถเปล่งเสียงพูดออกมาได้ ต้องกัดฟันแล้วหายใจเข้าลึก ๆ อีกพักหนึ่ง มือกำแน่นกับชายเสื้อตัวเองจนมันเป็นรอยยับ แต่ต่อให้อะไรจะเกิดขึ้นก็อยากบอกสักครั้ง
“...หลายปีมาแล้ว...”
“อย่าอ้อมค้อมนักได้ไหม”
รัญชน์เงยหน้า จึงได้เห็นว่าสามภพกำลังมองตรงมาทางนี้ เขาพยายามอย่างที่สุดจะไม่หลบตา อย่างน้อยถือว่าเป็นครั้งหนึ่งที่ฝ่ายได้มองมายังเขาแล้วจริง ๆ
โอกาสเดียว ครั้งแรก..และอาจเป็นครั้งสุดท้าย
“ผมชอบนาย”ก็เท่านั้นเองเขาเห็นสามภพถอนใจ แวบหนึ่งที่ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่าว่ามีรอยยิ้มบางเบาปรากฏขึันตรงมุมปากอีกฝ่าย
“ก็ว่าอยู่”
“...นาย...” เขาแทบร้องไห้ออกมา ทั้งหน้าและขอบตาร้อนผ่าว ความรู้สึกอันคลุมเครือระหว่างดีใจกับเสียใจท่วมท้นไปหมดทั้งตัว สุดท้ายเขาก็ได้พูดสิ่งที่ค้างคาใจมาตลอดสักที “...รู้หรือ”
“แค่สงสัย” อีกฝ่ายยักไหล่ “แต่เห็นนายอยู่กับไอ้รัญนี่ หมอนั่นพูดถึงนายด้วย”
“สรัญน่ะหรือ”
สามภพพยักหน้า “ลองถามมันเองละกัน” พลางยื่นมือมาตบไหล่เขาเบา ๆ “ส่วนเรื่องนั้น โทษทีนะ ฉันมีคนที่ตัวเองรักอยู่แล้ว”
“เรื่องนั้นผมรู้”
“พี่รัน!”
เขาหันหลังกลับไปตามเสียงเรียก เด็กหนุ่มผู้เป็นเฟรชชีเดินยิ้มร่าเข้ามาใกล้ ตามด้วยเพื่อนกะเทยสาวซึ่งช่วยขนของก่อนหน้านี้ เด็กหนุ่มหัวยุ่งอีกคนที่มีกล้องห้อยอยู่บนคอ ปิดท้ายด้วยคนที่สามภพเพิ่งเอ่ยถึง
“เฮียเพี้ยน”
คิมหันต์ร้องทักอย่างสนิทสนม เดินตรงมาใกล้พร้อมกลุ่มเพื่อน ขณะเดียวกัน สรัญก็กำลังเดินตรงเข้ามาจากบันไดด้านหน้าโถงกว้าง
“อ้าว..เฮ่ย!”
เกิดเป็นการชุมนุมย่อม ๆ ในสภาพอีหลักอีเหลื่ออย่างน่าประหลาด พวกเขามองหน้ากันไปมา ลังเลว่าควรเริ่มต้นจากตรงไหนก่อนดี
“นี่พี่รหัสฉัน” อ้นเป็นฝ่ายเอ่ยปากทำลายบรรยากาศน่ากังขาเป็นคนแรก “ชื่อพี่รัน ปีสี่อะ”
“หวัดดีครับ” คิมหันต์ทัก พร้อมกับคนอื่นที่เหลือ “ผมว่าเหมือนเคยเห็นพี่แว้บ ๆ”
รัญชน์พยักหน้า แต่ทำได้ไม่ถนัดนัก มีแขนของสรัญพาดอยู่ที่คอไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร “..อาจจะบังเอิญ”
“แล้วนั่น..” อ้นผู้ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวเบนสายตาไปยังสามภพที่ยืนร่วมวง
“รุ่นพี่คณะฉัน ชื่อพี่ภพ” คิมหันต์ชิงตอบ เหลือบตาขึ้นมองสามภพไปด้วย แนะนำอย่างนี้ไม่รู้จะทำตัวเป็นคนแก่ขี้งอนอีกหรือเปล่า
“อ้อใช่!” อ้นได้ยินแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเคยเห็นทั้งสองคนอยู่ด้วยกันครั้งหนึ่งที่คอนโดฯ ซึ่งเขาอาศัยอยู่กับลูกพี่ลูกน้อง “คบกันอยู่หรือ? ..เออ...แล้วพี่รันเคยบอกว่าไม่รู้จักพี่ภพ แต่ดูแล้วน่าจะรู้จักกันนี่นา”
เป็นคำถามที่สร้างบรรยากาศเหมือนจู่ ๆ ก็มีเมฆฝนครึ้มลอยขึ้นกลางวง พวกเขาเงียบสนิท จนกระทั่งสามภพพูดออกมาเป็นครั้งแรกหลังจากทุกคนมารวมกัน
“รู้จักกับรันเมื่อกี้” ว่าพลางหันไปมองชายหนุ่มเจ้าของชื่อที่เอาแต่ก้มหน้านิ่งข้าง ๆ สรัญ จากนั้นก็พูดต่อกับอ้นด้วยสายตาเอาเรื่องโดยไม่รู้ตัว “ส่วนกับคิมหันต์ ใช่..คบกันอยู่ ”
อ้นหน้าเจื่อนไปเล็กน้อย ก่อนจะหันไปทำปากจุ๊ ๆ ใส่รูมเมทหน้าตี๋ซึ่งยืนทำตัวไม่ถูก ซาราห์ยกมือขึ้นกุมอกตัวเองจากข้างหลัง แม้สายตาจะแอบมองไปยังชายหนุ่มผิวแทนร่างใหญ่อีกคนที่ยังไม่เห็นมีใครแนะนำชื่อ ส่วนธนธรยกกล้องขึ้นมา ทว่าพอเห็นสายตาสามภพก็ลดมือลงอย่างเจี๋ยมเจี้ยม จำได้ดีถึงเหตุการณ์ขวัญหนีดีฝ่อเมื่อไม่นานมานี้ บ่นงุบงิบไปด้วยว่าขี้งกชะมัด
“ไอ้เราก็นึกว่ารีบไปไหน” สรัญหันมาค่อนขอดสามภพพร้อมรอยยิ้มร่า กระชับแขนตัวเองที่โอบรอบคอรัญชน์ให้ขยับเข้ามาใกล้ ดูหวงอยู่ในทีโดยไม่รู้ตัว “ที่แท้ก็แจ้นมาหาเด็ก”
คนฟังเลิกคิ้ว เหลือบมองแขนเพื่อนผิวแทนของตัวเองที่ประคองชายหนุ่มซึ่งเพิ่งบอกว่าชอบเขาไว้ “นั่นพูดถึงตัวเองหรือ?”
“ไอ้เชี่ย” ชายหนุ่มสบถ ก่อนจะหลุดตัวเราะออกมา
“มึงก็ด้วย” สามภพยิ้มตามน้อย ๆ ลากแขนคิมหันต์ออกมาจากวงสนทนาแปลกประหลาด ทิ้งความงุนงงไว้ให้พวกเด็กปีหนึ่งที่เหลือจับต้นชนปลายกันเอาเอง
“อืม..ลองไล่ใหม่” คิมหันต์เรียบเรียงข้อมูลระหว่างที่เดินเคียงกับสามภพไปที่รถ ใบหูยังเป็นสีแดงระเรื่อแต่เจ้าตัวพยายามลืมเรื่องนั้นไปเสีย “..ไอ้อ้นเป็นรูมเมทลึกลับที่ทุกคนคิดว่าตายไปแล้ว เป็นน้องรหัสของพี่รัญชน์ที่เรียนวิศวะปีสี่ มันพูดเหมือนจะม่อพี่รหัสตัวเองด้วย แต่ดูท่าทางแล้วพี่รัญชน์น่าจะคบกับพี่สรัญอยู่มากกว่า เออแล้วแม่งทำไมต้องชื่อเหมือนกันด้วยวะ..”
“เพ้ออะไรเนี่ย” สามภพหัวเราะ ยีผมเด็กหนุ่มข้างตัวไปด้วย “มีอะไรน่าสนใจ ไม่ใช่เรื่องของเราเสียหน่อย”
“เฮ่ยต้องสนดิ” คิมหันต์เถียง “เฮียเพี้ยนไม่อยากรู้หรือว่าเพื่อนกิ๊กกับใครอยู่”
“ไร้สาระ เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ”
“หือ?”
คิมหันต์ชะงัก นึกขึ้นมาได้ถึงจุดประสงค์ซึ่งเขาคาดไว้เรื่องที่สามภพนัดตัวเองออกมาวันนี้ แล้วก็จริงอย่างอีกฝ่ายว่า วันนี้เขาว่าควรเอาตัวเองให้รอดก่อนจะไปคิดสอดรู้สอดเห็นเรื่องชาวบ้าน
“ทำหน้าอย่างนี้แสดงว่าจำได้”
“จำอะไรได้”
“ฟอร์มไม่ทันแล้วไอ้เบื๊อก”
สามภพยักยิ้มมุมปาก ฟันเขี้ยวโผล่มานิดหน่อยเสริมความเจ้าเล่ห์ให้รอยยิ้ม แต่ทันทีที่ได้ยินเสียงรีโมทปลดล็อคประตูรถ คิมหันต์ก็รีบแจ้นออกจากข้างกายแล้วมุดเข้าไปนั่งเรียบร้อยอย่างกับว่านั่นจะป้องกันอะไรได้ พยายามจบเรื่องนั้นด้วยการชวนเบี่ยงประเด็นไปเรื่องอื่นกับตัวเขาที่เพิ่งตามมานั่งหลังพวงมาลัย
“หิวข้าว หาอะไรกินกัน”
“มาให้กอดทีนึงก่อนซิ”
เด็กหนุ่มทำหน้าซื่อ “เฮียเพี้ยนพูดไรไม่รู้เรื่อง”
“ไม่งั้นจะปล้ำแล้วนะ”
สีหน้าคิมหันต์เปลี่ยนเป็นแดงจัดในเวลาชั่วพริบตา บ่นพึมพำว่าเรียนจนเมาหรือไงก่อนจะร้องเพลงเกาหลีใส่เขาเรื่อยเปื่อย คงกะทำมึนเอาตัวรอด กระทั่งปากช่างจ้อมีอันต้องสงบลงฉับพลันเมื่อแขนถูกเขากระตุกให้เอนตัวเข้าไปใกล้อย่างกะทันหัน
“สัญญาก็หมดอายุแล้ว” เขายิ้ม กระซิบกับปลายจมูกเด็กหนุ่ม มองเจ้าตัวทำหน้าเหวอจากระยะประชิด พวงแก้มแดงจัดน่าฟัด แต่ยังไม่เท่าริมฝีปากบางที่สั่นอยู่น้อย ๆ คล้ายรู้ชะตาชีวิตตัวเอง ว่ามันกำลังจะถูกแนบสนิทด้วยปากเขาในไม่ช้า
“..ผมไม่—อุ!”..นุ่ม..หวาน...
นั่นแหละที่เขารอมาตั้งนาน จูบที่ปากแบบไม่ต้องกลัวว่าจะทำผิดสัญญาอีก
คิมหันต์หายใจแรง ครู่เดียวก็ทนไม่ไหว ผลักเขาออกเบา ๆ โดยไม่กล้าจูบตอบอย่างทุกทีที่ออกจะช่างยั่ว สีหน้าท้าทายอย่างเคยมีเหมือนตอนยังติดสัญญาไม่เหลือสักนิด ตอนนี้มัวแต่เขินจนทำตัวไม่ถูก ยกมือขึ้นปิดหน้าปิดตาอย่างไร้ผล น่าฟัดเกินทนเอาจริง ๆ
“ไงครับเด็กน้อย”
“ผมไม่ใช่เด็กน้อย”
“หืม” สามภพเลิกคิ้ว “นั่นสินะ โตแล้ว สิบแปดแล้วนิ จะได้ไม่ต้องพรากผู้เยาว์”
อีกฝ่ายทำหน้าเหรอหรา กระเถิบไปชิดประตูรถ “...เฮียจะปล้ำผมจริงดิ”
ถามตรงโคตรอีกแล้ว แถมไอ้หน้าตาวิตกจริตนั่นก็น่ารักเกินไป คิมหันต์รู้ตัวไหมนี่ว่าทำท่าทางอย่างนั้นเสี่ยงโดนจับฟัดยิ่งกว่าทำตัวเป็นปกติเสียอีก
“นั่นสิ” เขาแสร้งส่งสายตามีเลศนัยให้ไอ้ตัวแสบ “ยังไงดีนะ...คืนนี้ก็ว่างซะด้วย”
“..เฮียพี่ภพสุดหล่อ..” คิมหันต์โอดครวญเสียงอ่อน สภาพเพื่อนรักปิ่นหยกในเช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากมีอะไรกับอาทิตย์เป็นครั้งแรกผุดขึ้นมาในหัว เจ้านั่นทำงานไม่ไหวไปเป็นวันทีเดียวทั้งที่ปกติออกจะอึด แค่คิดก็ขนลุกซู่แล้ว “ผมเป็นเด็กใสซื่อเรียบร้อยเหมือนผ้าขาว จะทำได้ลงคอหรือวะ”
“ใสซื่อตายละ!” ชายหนุ่มหัวเราะใส่เจ้าเด็กที่ช่างกล้าพูดมาได้ว่าตัวเองเป็นผ้าขาว ไอ้พฤติกรรมเจ้าเล่ห์ที่ผ่านมา ดูอย่างไรก็ผ้าชุ่มสีชัด ๆ เขาเผลองับที่ปลายจมูกอีกฝ่ายเบา ๆ ไปทีหนึ่ง แต่เห็นสีหน้าหวาดระแวงก็ชวนสงสารจนต้องให้ความมั่นใจ “ไม่ทำอะไรหรอกน่า”
เด็กหนุ่มถอนหายใจเฮือก
ก่อนเขาจะตบท้ายก่อนออกรถ
“เอาไว้ที่อื่น บนรถแคบจะตาย”
“เฮียเพี้ยนแม่ง!”- หมดยกที่ 52 –
มาแล้วค่า ^o^
ค่อย ๆ ไปด้วยกันเน้อ
ขอบคุณคนอ่านผู้น่ารัก

:pig4:ตอนนี้มีของแถมค่ะ รีพลายถัดไปเลย
