● เล่ห์รักฤดูร้อน ●
ยกที่ 12 – ตาม
ระยะนี้ประชุมห้องบ่อยจนคิมหันต์เริ่มเอียน
ด้วยกิจกรรมในวันคล้ายวันสถาปนาโรงเรียนซึ่งใกล้เข้ามาทุกทียังตกลงกันได้ไม่เรียบร้อยนัก แถมพวกเขายังเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกซึ่งอยู่ในช่วงหน้าดำคร่ำเครียดกับการพยายามตะกายข้ามรอยต่อระหว่างชีวิตเด็กมัธยม-อุดมศึกษาผ่านสะพานแขวนร่องแร่งที่เรียกว่าการสอบ ขณะเดียวกันก็ถูกคาดหวังไม่น้อยจากสายตาคนรอบข้างว่าเด็กนักเรียนห้องคิงควรมีศักยภาพพอจะทำออกมาได้ดีทั้งงานหลวงงานราษฎร์ นี่เป็นเหตุผลที่พวกเขาโดนเรียกประชุมด้วยความถี่ประหนึ่งปิ่นหยกบ่นเรื่องใช้อะไรสักอย่างเปลือง (ถ้าอยู่ด้วยกันจะรู้ว่าไอ้เพื่อนงกนี่บ่นเกือบตลอดเวลาจริง ๆ) ไม่ต้องนึกถึงคนที่เป็นกรรมการนักเรียนเลย พวกนั้นเขาจัดหมวดหมู่ให้เป็นเครื่องจักรที่กินเอกสารสรุปการประชุมเป็นอาหารมากกว่าจะรวมในกลุ่มสิ่งมีชีวิตร่วมสปีชีส์
“...และเนื่องจากพวกเราต้องเตรียมสอบกันหลายครั้ง แต่กิจกรรมแบบนี้ในฐานะเป็นปีสุดท้ายของชีวิตมัธยม ฉันคิดว่าก็ควรเต็มที่เหมือนกัน”
ณิชา เพื่อนสาวแว่นผู้เป็นหัวหน้าห้องประกาศเสียงดังฟังชัดเรียกขวัญและกำลังใจจากเพื่อนร่วมชั้นเมื่อเห็นว่าบางคนเริ่มสมาธิหลุด บนไวท์บอร์ดมีลายมือยุกยิกจนถึงแผนผังมากมายโยงไปมา และเธอก็ยังขยับปากกาอยู่ไม่สุขนักขณะรอให้ทุกคนเงียบแล้วเริ่มพูดขึ้นอีกครั้ง “ต่อจากที่ได้ประชุมกันครั้งก่อน ให้กลับไปคิดมาว่าเราควรจะจัดอะไรซึ่งไม่ต้องใช้เวลาเตรียมตัวมาก จะได้ไม่รบกวนการเตรียมสอบของทุกคน ว่าไงกันบ้าง”
บางคนเริ่มเสนอความเห็น แต่ไม่ใช่คิมหันต์
ปกติเด็กหนุ่มก็ไม่ใช่พวกคร่ำเครียดกับการประชุมมากมายอยู่แล้ว ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง แต่อย่างน้อยก็เชื่อมั่นตัวเองว่ายังตั้งใจมากกว่าอาทิตย์ที่สัปหงกซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ข้างแม่ไก่สุดรัก หากปิ่นหยกไม่ตั้งอกตั้งใจฟังอยู่ตรงนั้นเดาว่าคุณชายหน้ามึนคงโดดร่มแน่ตามนิสัยดั้งเดิมซึ่งเคยเป็นมาตั้งแต่สมัยอยู่ห้องบ๊วย นับว่ามีพัฒนาการไม่เลว ความรักทำให้คนเปลี่ยนไปจนน่าตกใจจริง ๆ
คิมหันต์ลูบแขนตัวเองซึ่งเกิดขนลุกขึ้นมากะทันหัน ไม่รู้ความคิดเรื่องปรัชญาความรักเมื่อครู่โผล่มาจากชั้นไหนของจิตใต้สำนึก สยองตัวเองจนต้องทำเป็นลืม ๆ ไปเสียแล้วนั่งฟังข้อถกเถียงในที่ประชุมต่อ
เวลาผ่านไปชั่วระยะกระเพาะย่อยผนังตัวเองไปสักครึ่งมิลลิเมตร(ใช่..คิมหันต์กำลังหิว) ตัวหนังสือบนไวท์บอร์ดก็เริ่มถูกเติมจนแทบล้น กิจกรรมวิชาการนั้นเป็นเรื่องปกติที่ต้องมีอยู่แล้ว ยิ่งเปิดให้คนนอกเข้ามาเยี่ยมชมได้ยิ่งต้องทำออกมาให้ออกมาดีเพื่อเป็นหน้าเป็นตาแก่โรงเรียน หัวหน้ากลุ่มโครงงานวิทยาศาสตร์ซึ่งเพิ่งพาผลงานไปกวาดมาหลายรางวัลยินดีรับผิดชอบดูแล และเชื่อว่าคงเรียกคะแนนนิยมจากบรรดาผู้ปกครองที่สนใจจะส่งลูกหลานเข้าโรงเรียนนี้ได้มากโข
เด็กหนุ่มเอนหลังพิงเก้าอี้ ตบท้องตัวเองเบา ๆ คล้ายจะบอกให้สงบเสงี่ยมหน่อยอย่าเพิ่งเรียกร้องมาก นี่ยังไม่ทันเที่ยงเลยด้วยซ้ำ ไม่ได้สนใจวาระประชุมนักเพราะเกือบทุกอย่างยังคงเป็นเช่นปีที่ผ่านมา กิจกรรมวิชาการ ออกร้านขายอาหารหาเงินเข้ากองทุนของห้อง แล้วก็...
ครั้งนี้คุยไปคุยมามีพิเศษกว่าโปรแกรมน่าเบื่อเหล่านั้นขึ้นมาอีกหน่อยตรงมีคอนเสิร์ตด้วย!
“โอ้” คิมหันต์อุทานออกมาเบา ๆ เพิ่งนึกได้ว่าปีนี้เพิ่งมีมนุษย์เสียงดีเรียนอยู่ร่วมห้องถึงสองคน ตามมาตรฐานของโรงเรียนที่มีการสอบแบ่งห้องทุกปีการศึกษาทำให้นักเรียนถูกจับโยกไปย้ายมาเป็นว่าเล่น ทั้งคู่มีความสามารถด้านการร้องเพลงเหมือนเกิดมาก็เปล่งเสียงตัวโน้ตโดเรมีแทนเสียงอุแว้ ทางบ้านคนหนึ่งในนั้นทำงานเกี่ยวกับเครื่องดนตรียิ่งช่วยให้ทุกอย่างลงตัว เป็นเรื่องดีทีเดียวเพราะเขาคิดว่าห้องเด็กบ้าเรียนนี้ห่างเหินกิจกรรมสันทนาการมานานเกินไปแล้ว
ท่ามกลางเสียงโห่ร้องยินดีของเพื่อนร่วมชั้นด้วยสาเหตุเดียวกับเขา ถ้อยคำของหัวหน้าห้องสาวก็แทรกขึ้นมาก่อน
“ขออีกสักอย่าง”
ดูเหมือนณิชาจะยังไม่พอใจนัก ท่าทางมุ่งมั่นของเธอบอกชัดเจนว่าอยากได้อะไรเด็ดกว่านั้นสำหรับงานใหญ่ส่งท้ายชีวิตมัธยม
“ที่มันเจ๋ง ๆ จนต้องอ้าปากค้าง”
เด็กสาวยกมือขึ้นดันแว่น ด้วยมาดซึ่งคงเหมาะมากหากมีเสียง
‘ชิ้ง!’ เป็นซาวด์เอฟเฟกต์ประกอบท่าทาง
“ประมูล!” ใครสักคนเสนอความคิดขึ้นมา เป็นถ้อยคำธรรมดาที่คงไม่ได้ดึงดูดคิมหันต์เท่าไรนัก ไม่...จนกระทั่งรายละเอียดถูกแจกแจงขึ้นในที่ประชุม ผ่านการเกลาจากเพื่อนร่วมชั้นเรียนอีกครู่ใหญ่จนเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง
มันไม่ใช่การประมูลสิ่งของเด็กหนุ่มโน้มตัวไปข้างหน้า ตั้งใจเก็บรายละเอียดในบทสนทนาของผู้คนรอบตัว นี่ค่อนข้างน่าสนใจทีเดียว ผ่านไปอีกชั่วกระเพาะย่อยผนังตัวเองบางลงสักหนึ่งมิลลิเมตรกว่าจะได้รายละเอียดชัดเจน
“เอาละ งั้นสรุปตามนี้” หัวหน้าห้องสาวแว่นทำเครื่องหมายดอกจันสีแดงตัวใหญ่ไว้หน้าหัวข้อ
‘ประมูล’ แสดงสีหน้าพึงใจก่อนจะหันมาพูดกับสมาชิกในชั้นต่อ “ใครสนใจเข้าร่วมอีกบ้าง”
คิมหันต์ยกมือชูขึ้นในอากาศ หลังจากพิจารณาแล้วว่าได้มากกว่าเสีย
“ฉันเอาด้วย”
โดยไม่รู้สักนิดว่านั่นจะทำชีวิตเขาเบี้ยวไปหลายองศาทีเดียว........................................................
…………………..
.
.
.
.
.
“ประมูล? งานโรงเรียน?”
“อ่าฮะ”
“บอกผมทำไม”
“เผื่อว่าเธอจะสน”
สามภพส่ายหน้าหน่าย ๆ “พี่ก็รู้ว่าผมไม่สน”
“ทำไมพี่ไม่คิดอย่างนั้น”
“นั่นเป็นเรื่องของพี่”
คราวนี้เป็นอันนาที่ส่ายหน้าพร้อมกับส่งรอยยิ้มหวาน “พี่ว่าภพอยู่กับคิมหันต์นานจนติดนิสัยพูดจายียวนมาด้วยแน่ ๆ”
ชายหนุ่มเลิกคิ้ว ละเลยอาการใจเต้นแรงไปหนึ่งวูบโดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อได้ยินชื่อซึ่งหญิงสาวเพิ่งเอ่ยออกมา แต่แน่นอนว่ายังคงรักษาสีหน้าเป็นปกติดีพอไม่ให้เป็นที่สังเกตแม้ตอนที่เธอหันมายิงคำถามใส่เขา
“ไหนบอกครั้งเดียว?”
ให้ตายเถอะ..บางทีเขาก็ไม่ชอบรอยยิ้มบนริมฝีปากสวย ๆ ของอันนาเอาเสียเลย
“หมายถึงอะไร”
“บ้านคิมหันต์นอนสบายไหม? อาหารอร่อยหรือเปล่า?”
เธอพึมพำด้วยน้ำเสียงโทนสูงต่ำน่าฟัง สามภพรู้ดีว่าป่วยการจะเถียง ไม่อยากคิดถึงวันที่เจ้าหล่อนจะมาเป็นพี่สะใภ้เขาอย่างเป็นทางการเลยจริง ๆ เขากลอกตาแล้วเสมองไปทางอื่น ซึ่งนั่นมีแต่จะเรียกให้มุมปากของหญิงสาววาดรอยยิ้มกว้างขึ้นอีก
“พี่ไม่ว่างไปยุ่ง..ไม่ได้แปลว่าไม่รู้”
“บางทีพี่ก็รู้มากไป”
“พี่พลก็บอกเสมอ” เธอหัวเราะน้อย ๆ ขณะพูดถึงพี่ชายเขา “และพี่ชอบแบบนั้น ว่าแต่ภพเถอะ..”
“ผมแค่มีเรื่องต้องเคลียร์กับเด็กนั่นนิดหน่อย” ไหล่กว้างยักขึ้นเบา ๆ “คิดว่านะ”
อันนาพยักหน้า ทำเหมือนเข้าใจถ่องแท้ในสิ่งที่เขากำลังพูด ซึ่งชายหนุ่มคิดว่านั่นเป็นไปไม่ได้เลย เพราะแม้แต่เขายังไม่ค่อยเข้าใจตัวเองด้วยซ้ำ
“พี่ถึงได้บอกว่าเธอต้องสนใจ”
กระดาษเอสี่ใบหนึ่งถูกยื่นมาตรงหน้าเขา ผู้ส่งไม่ได้เร่งรัดให้รับมันไว้ แต่ก็ไม่ยอมขยับออกห่างเช่นกันจนเขาก้มลงอ่านข้อความบนนั้นคร่าว ๆ จับประเด็นได้ว่ามันคือกำหนดการในวันคล้ายวันสถาปนาโรงเรียนของเด็กนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกทับหนึ่ง
โรงเรียนเดียวกับที่เขาเพิ่งไปยืนเฝ้าหน้าอาคารอยู่เมื่อไม่กี่วันก่อน“สักบ่ายสองก็น่าจะโอเค” อันนาขยายความ ซึ่งนั่นทำให้เขาต้องเลื่อนสายตาไปมองตามกำหนดการที่ว่าในช่วงบ่าย หัวข้อย่อยระบุไว้ว่าเป็นการประมูลอย่างที่เธอบอกเขาในตอนแรก
“พี่ไปเอานี่มาจากไหน?”
อันนายิ้มหวานอีกแล้ว แบบเดียวกับที่มักปรากฏบนดวงหน้างดงามยามสิ่งต่าง ๆ เป็นไปตามความต้องการของเธอ
หญิงสาวหันไปจ้องตาอีกฝ่ายตรง ๆ แม้รูปลักษณ์ภายนอกอาจมีส่วนคล้ายกันบ้าง แต่สามภพนิสัยไม่เหมือนสามพลผู้เป็นพี่ชายเอาเสียเลย “รู้ตัวไหม.. ภพมักถามในสิ่งที่ไม่ได้อยากรู้จริง ๆ แต่กลับเลือกจะเงียบในสิ่งที่ตัวเองสนใจ”
“??”
“และพี่ว่าเธอไม่สนเรื่องพี่ไปเอามันมาจากไหนหรอก” หญิงสาววางเงินค่าเครื่องดื่มส่วนของเธอเป็นเชิงว่าฝากจ่ายแล้วลุกขึ้นยืน ไม่ลืมจะมองตรงมาอีกครั้งก่อนจากด้วยสายตาราวกับอ่านทุกอย่างออกทะลุปรุโปร่งขณะที่เอ่ยต่อเสียงนุ่ม
“แต่กำลังสนใจเรื่องรายชื่อใครสักคนในกระดาษนั่นต่างหาก”.
.
.
.
‘คิมหันต์ วานิชตระการกูล’ชื่อนั้นช่างขยันโผล่ขึ้นมาในหัว ความหงุดหงิดคาใจมีมากพอกับความสงสัยใคร่รู้ ขณะที่เขาเคลื่อนสายตาผ่านตัวหนังสือบนกระดาษที่หยิบเข้าหยิบออกจากกระเป๋าขึ้นมาอ่าน ๆ เก็บ ๆ หลายรอบจนแทบเปื่อยอยู่ในมือ ทั้งที่ความจริงเกือบท่องกำหนดการของไอ้ห้องหกทับหนึ่งนี้ได้หมดแล้วด้วยซ้ำ
ประมูลคน?เท่าที่เขารู้ห้องหนึ่งของโรงเรียนที่ว่าในทุกระดับชั้นคือห้องรวมเด็กหัวกะทิ และนี่ก็พิสูจน์แล้วว่าไอ้เด็กพวกนี้ทั้งเก่งและบ้าในเวลาเดียวกัน
แม้แจ้งไว้ว่าเป็นการประมูลในลักษณะซื้อตัวคนสอนพิเศษเป็นเวลาหนึ่งวัน ซึ่งดูแล้วน่าจะเหมาะกับนักเรียนรุ่นน้องมาแย่งชิงกันหากอยากให้ไปช่วยสอนพิเศษตัวต่อตัวจริง แต่ไม่ว่าดูอย่างไรก็พิลึกเกินกว่าจะผ่านมติของอาจารย์ผู้รับผิดชอบ มีกระทั่งรายชื่อและลำดับ
‘สินค้าประมูล’ อยู่บนกระดาษในมือเขา (เรียกอย่างนี้แล้วเหมือนค้ามนุษย์ชอบกล)
ราคาได้เท่าไรคนที่ถูกประมูลจะได้ส่วนแบ่งสามสิบเปอร์เซ็นต์ ที่เหลือเอาเงินเข้ากองกลางของห้อง ดูท่าอาจารย์คงเชื่อในความสามารถและไว้ใจเด็กของตัวเองอยู่ไม่น้อยจึงปล่อยให้ทำอะไรตามใจขนาดนี้
รายชื่อทั้งหมดมีแต่ขึ้นต้นด้วย
‘นาย’ เครื่องหมายดอกจันตัวเล็ก ๆ ข้างกันนั้นแจ้งไว้ว่าหากเป็นผู้หญิงจะดูไม่ดีเท่าไรนัก ข้อความในวงเล็บและโน้ตยิบย่อยซึ่งแทรกอยู่เต็มไปหมดทำให้พอเดาได้ว่ากระดาษใบนี้ไม่ใช่แบบเป็นทางการ แต่น่าจะมีไว้สำหรับแจกให้ผู้เกี่ยวข้องโดยตรงซึ่งคงเป็นสมาชิกในห้องมากกว่า และอันนาก็ช่างหามาได้ไม่รู้ด้วยวิธีไหนกัน
แต่เขาก็ไม่ได้สนใจเรื่องนั้นอย่างที่เธอว่าจริง ๆ นั่นแหละสามภพอ่านข้อความบนหัวกระดาษอีกครั้ง วันที่จัดงานแจ้งไว้ว่าเป็นวันศุกร์ ซึ่งหากจะไปก็หมายความว่าเขาต้องโดดเรียน
“ใช่เรื่องที่ไหน”
ชายหนุ่มส่ายหน้า ขยำกระดาษแผ่นนั้นเป็นก้อนกลมแล้วโยนทิ้งถังขยะ เรื่องเพ้อเจ้อของเด็กมัธยมแบบนี้ควรรีบลืม ๆ เสียแล้วเอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่า
.......................................................
..............................
.
.
.
.
“ไอ้ภพ..อยู่ไหนวะ”
“ข้างนอก”
“ควาย!” เสียงด่าผ่านโทรศัพท์ดังลั่นจนเอาออกห่างจากหูแทบไม่ทัน “ข้างนอกไหน รีบกลับมา คาบนี้มีควิซ ลืมแล้วเรอะ!?”
“ฝากทำหน่อย”
“ไม่รับฝากโว้ย!”
“อย่าเรื่องมาก เดี๋ยวให้รูปไอ้ดุ๊กดิ๊กเป็นรางวัล”
“เชี่ย! ให้รางวัลอะไร ไม่ใช่หมา” สรัญยังโวยใส่ต่อเนื่อง แม้ท้ายประโยคจะฟังดูอ่อนลงเห็นได้ชัดเมื่อเขายกเอาชื่อ
‘ดุ๊กดิ๊ก’ มาอ้าง
“รูปเปลือย..หรือไม่เอา?”
“เอา!” อีกฝ่ายแทบตะโกนใส่โทรศัพท์ “ว่าแต่แกมีรูปน้องเปลือยด้วยเหรอวะ! นี่อย่าบอกนะว่า—”
สามภพตัดสายทิ้งแค่ตรงนั้น ปล่อยเพื่อนเกย์ร่างใหญ่เข้าใจผิดเริงร่าไปตามเรื่องตามราว ไอ้หมาดุ๊กดิ๊กได้ใส่เสื้อผ้ากับเขาที่ไหนกัน มันก็เปลือยอยู่ตลอดเวลานั่นแหละ ส่วนสรัญจะเข้าใจว่าชื่อนั้นหมายถึงใครไม่ใช่ธุระของเขาสักหน่อย แต่ไอ้ที่มายืนท่ามกลางผู้คนคลาคล่ำอยู่หน้าประตูโรงเรียนนี่...
จะว่าไปก็ไม่น่าใช่ธุระเขาอีกเหมือนกัน!ชายหนุ่มเดินงุ่นง่าน หมุนซ้ายหมุนขวาหน้าโรงเรียนจนผู้คนที่เดินเข้าออกเริ่มหันมามอง ยามเฝ้าหน้าประตูส่งสายตาสงสัยมาอย่างน้อยก็สามครั้งแล้วเท่าที่เขาทันสังเกตเห็น
นี่มันบ้า..บ้ามาก เขาหยิบกระเป๋าสตางค์ตัวเองขึ้นมา เอานิ้วล้วงแผ่นกระดาษจากในช่องใส่บัตรออกมาสะบัดให้คลี่ออก มันเยินแทบเหลว และแม้จะพับไว้เรียบร้อยอย่างไรก็ดูออกว่าผ่านการถูกขยำมาครั้งแล้วครั้งเล่า รอยหงิกงอปรากฏทั่วทั้งแผ่นแถมขอบกระดาษก็เริ่มรุ่งริ่ง ความบ้าบังเกิดตั้งแต่เขากลับไปเก็บสิ่งนี้ขึ้นมาจากถังขยะหลังจากขยำมันแล้วโยนทิ้งไปเมื่อหลายวันก่อนนี่แหละ หรือบางทีมันอาจเริ่มมาก่อนหน้านั้นแล้วเพียงแต่เขาปฏิเสธจะขุดคุ้ย
ระหว่างที่กำลังหมุนกระดาษซึ่งกลับหัวอยู่ขึ้นมาดูโดยยังไม่ได้เก็บกระเป๋าสตางค์เข้าที่ให้เรียบร้อย ก็มีแรงปะทะจากด้านข้างกระแทกเข้าตรงแขนกะทันหัน ส่งให้กระเป๋าลอยหวือหลุดมือหล่นลงพื้น
"!!?"ชายหนุ่มก้มลงมองตัวต้นเหตุก็พบว่าเป็นไอ้เด็กตี๋คนเดิมที่เคยรับฝากจุกยางรถยนต์จากคิมหันต์มาให้เขาเมื่อครั้งก่อน และเด็กนั่นก็ดูจะจำเขาได้เพราะเจ้าตัวทำหน้าซีดเป็นไก่ไหว้เจ้าไปเลย
“ข..ขอโทษครับ!! ผมไม่ได้ตั้งใจ! ผิดไปแล้วครับพี่!” สมบูรณ์ยกมือไหว้ปะหลก ๆ ตั้งแต่สามภพยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ ย่อตัวลงช่วยเก็บของซึ่งร่วงลงพื้นด้วยมือสั่นเทาประหนึ่งเป็นผู้ป่วยพาร์กินสัน นึกโหยหวนอยู่ในใจว่าทำไมความซวยช่างขยันมาเยี่ยมเยือนกันอย่างนี้ระหว่างที่รีบโกยบัตรพลาสติกซึ่งกระเด็นออกมารวมไว้ด้วยกัน จนกระทั่งสายตาสะดุดเข้ากับบางอย่าง
มันเป็นบัตรประชาชนที่ไม่ธรรมดาการเคลื่อนไหวทุกอย่างพลันหยุดชะงักเหมือนแผ่นหนังโป๊ที่เปิดอยู่แล้วมีคนมากดปุ่มพอส เอาละ..เขารู้ตัวว่าเปรียบเทียบได้ห่วยแต่มันเป็นอะไรที่นึกออกอันดับต้น ๆ สำหรับผู้ประกอบธุรกิจส่วนตัวแนวนี้เช่นเขา เด็กหนุ่มรู้สึกได้ว่าเหงื่อเม็ดเป้งพากันเรียกพรรคพวกขึ้นมาผุดบนขมับ ส่วนสามภพไม่พูดอะไรสักคำ ซึ่งนั่นทำให้บรรยากาศยิ่งน่ากลัวแม้ความจริงแล้วมันควรจะน่าหัวเราะมากกว่า
...หนวดแมว...ดังนรกชังฤาสวรรค์แกล้ง สมบูรณ์ตกอยู่ในสถานการณ์โคตรฮาที่สุดกับคนน่ากลัวที่สุด จะหัวเราะก็เกรงว่าอาจได้กลายเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิต แต่เรื่องอะไรเช่นนี้บางทีก็ห้ามกันลำบาก
“...คึ!!”เขายกมือขึ้นปิดปาก นี่มันเกินจะรับมือแล้ว สามภพมองเขาตาขวาง คิ้วเข้มขมวดมุ่นอยู่กลางหน้าผาก และก่อนอีกฝ่ายจะได้ทำอย่างอื่นเด็กหนุ่มก็รีบโกยอ้าวไม่คิดชีวิตออกจากจุดนั้น ตะโกนลั่นขณะที่ขาก็ยังไม่หยุดวิ่งว่า
"ขอโทษครับ! ปวดฉี่มาก!" ทิ้งกระเป๋าสตางค์และบัตรกระจัดกระจายของชายหนุ่มกองแหมะอยู่ที่เดิมกับเจ้าของ
“ไอ้-เด็ก-คิม!”สมบูรณ์คล้ายจะได้ยินแว่ว ๆ ว่าอย่างนั้น แม้สงสัยว่าไปมีเรื่องอะไรกันแต่ใครจะอยู่ฟังต่อให้โง่ เท่าที่ความทรงจำเขาย้อนความไปถึง ยุ่งกับคิมหันต์ในฐานะศัตรูไม่เคยมีเรื่องดีเกิดขึ้นสักที และหากไปยุ่งกับพี่หน้าโหดคนนั้นก็เดาว่าคงไม่ต่าง
สามภพรวบของทั้งหมดเก็บเข้ากระเป๋าสตางค์ไว้ลวก ๆ อย่างรวดเร็ว รู้สึกว่าตัวเองพลาดแล้วที่ไม่ได้หยิบบัตรประชาชนออกมาใช้เป็นเวลาเนิ่นนานจนไม่ทันสังเกตว่าไอ้หนวดแมวบนหน้าเขาในบัตรมันงอกขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไร แต่เดาว่าคงเป็นตอนที่ไปค้างคืนบ้านคิมหันต์ครั้งนั้นแน่นอน
ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนก่อนจะก้าวขาเข้าอาณาเขตของโรงเรียนไม่มีลังเล ผ่านซุ้มกิจกรรมและร้านรวงมากมายตลอดทางเดิน เบียดเสียดกับผู้คนในบางจุด กระทบไหล่และโดนกระแทกบ้างบางครั้งแต่ไม่คิดหยุดดูหน้าอีกฝ่าย
นาฬิกาบนข้อมือชี้เวลาบ่ายโมงสี่สิบนาที เขายังมีเวลาเหลือเฟือให้เดินหาหอประชุมซึ่งถูกใช้เป็นสถานที่ประมูลตามที่ได้เขียนไว้ในกระดาษแผ่นนั้น ไม่มีอะไรต้องลังเลเหมือนตอนเดินวนเวียนอยู่หน้าโรงเรียนตั้งนานสองนาน
เพราะตอนนี้สามภพรู้แล้วว่าเขาจะมาทำอะไร- หมดยกที่ 12 -
==========================
ถึงงานประมูลเดียวกับในเรื่องลูกเจี๊ยบแม่ไก่แล้วค่ะ 5555
(แต่ไม่ได้อ่านเรื่องโน้นก็ไม่เป็นไรนะคะ รู้เรื่องอยู่ดี

)
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านมาก ๆ ค่ะ *กอดดด* แล้วพบกันตอนหน้า ของแถมรีพลายถัดไปเช่นเคย

ปล.คู่อื่นก็ยังไม่ลืมนะคะ แฮ่ ๆ ยังมีพูดถึงหมีกริชบ้าง พี่เอมน้องอุ่นบ้างเป็นระยะ (หมอไอซ์ล่ะ?) เราชอบมากเลยเวลาได้แอบแทรกจุดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เชื่อมโยงถึงคู่อื่นและเหตุการณ์ที่เกี่ยวเนื่องกันลงไปด้วย

ปล.2 รูปรวม ลูกเจี๊ยบ-แม่ไก่ หมาป่า-จิ้งจอก (ทำไมมีแต่สิงสาราสัตว์) อยากวาดเหมือนกันค่ะ ฮุ่มมมมม รอนิดนะคะ แอบแปะลงลิสต์ไว้ก่อน ได้วาดจะรีบเอามาแปะเลยยย >w<