ตอนที่ 222 พ่อลูกกลับเข้าบ้าน ต้อนเดินตรงเข้ามาในครัว มองแก้วน้ำกับขวดน้ำที่ยังวางอยู่ที่เดิม รวมทั้งเศษพลาสติกที่ใช้ห่อกระปุกยา แต่ตอนนี้กระปุกยาอยู่ที่โรงพยาบาล
ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่า เกมเป็นคนแบบไหน
คนที่อาจทำร้ายตัวเองเมื่อไหร่ก็ได้ หากไม่ได้อย่างที่ต้องการ
ทำไมถึงได้คิดว่า เกมกำลังห่างออกไป แล้วทุกอย่างกำลังจะดีขึ้น
พอคิดจะมีคนรัก ก็ลืมเพื่อนหรือไง
ลืมความตั้งใจที่ว่าจะไม่ทำให้เพื่อนคนนี้ต้องเสียใจไปอย่างง่ายดาย
มองเห็นแต่ตัวเอง
ทำไมถึงเป็นคนแบบนี้..
“หิวมั้ยต้อน พ่ออุ่นกับข้าวให้” พ่อบอกขณะที่เดินผ่านเข้าไปเก็บขยะทิ้ง ล้างแก้วน้ำขวดน้ำแล้วหันมามองคนที่ยืนนิ่ง
“อย่าโทษตัวเอง ต้อนรู้จักเกมเฉพาะส่วนที่เกมบอกต้อน เหมือนที่พ่อรู้เรื่องของต้อนเฉพาะที่ต้อนบอกพ่อน่ะแหละ”
“พ่อ ผมขอโทษ”
แขนแข็งแรงของพ่อโอบไหล่พากลับออกมานั่งรอแม่ด้วยกันที่หน้าโทรทัศน์
พอไฟรถพี่อ๋อมสาดเข้ามาใกล้ ต้อนก็รีบลุกออกไปยืนรอแม่กับพี่
คำพูดตลกๆมันหายไปไหนไม่รู้ ต้อนได้แต่เดินตามแม่เข้ามาในบ้าน หันไปอีกที เห็นพี่อ๋อมยังยืนอยู่ที่โรงรถบ้านนั้น แต่กำลังมองเข้ามาที่บ้านนี้
ตาสบตาแทนทุกคำพูด
รู้สึกตัวเมื่อแม่หันมามอง ต้อนก้มหน้าเดินตามแม่ขึ้นไปถึงห้อนนอนใหญ่
ประตูห้องนอนที่ปิดลงก่อนที่จะก้าวตามเข้าไปในห้องได้ทันทำน้ำตาร่วงพรู ยืนปาดน้ำตาอยู่หน้าห้อง
“อึก...ฮือ.. แม่ ผมขอโทษ แม่ ฮือ... ผมขอโทษ แม่อย่าโกรธผมเลย ผมขอโทษ ฮือ..”
พ่ออีกคนที่ได้แต่เดินตาม กอดไหล่ลูกชายไว้ “แม่คงน้อยใจ ไม่ได้โกรธต้อนหรอก ไปอาบน้ำไปลูก ดึกมากแล้ว”
แต่ต้อนยืนสะอึกสะอื้นอยู่หน้าห้องร้องเรียก “แม่ แม่”
แม่เปิดประตูห้องออกมา ตาแดงก่ำ น้ำตาอาบแก้มไม่ต่างจากลูกชาย
“ต้อนเอ้ยต้อน”
แม่ลูกกอดกันร้องไห้จนพ่อต้องดันหลังให้เข้าไปนั่งคุยกันในห้อง
“แม่โกรธผม”
“เราคุยกันเยอะนะต้อน คุยกันทุกวัน จนแม่มั่นใจว่าต้อนไม่มีความลับกับแม่ แต่แม่กลับรู้เรื่องต้อนกับเกมกับอ๋อมเป็นคนสุดท้าย ในวันที่เกมพยายามฆ่าตัวตายที่นี่ ชีวิตคนทั้งคนนะต้อน”
“ก็ถ้าผมบอกแม่ว่า เกมสารภาพรักกับผม แม่ก็อาจยิ่งระแวงมันเพราะมันจริงจัง แล้วถ้าพ่อแม่มันรู้ ว่ามันเป็นเกย์ล่ะ ผมไม่อยากให้มันโดนลงโทษ ก็เลยคุยกันกับปลา เล้ง นนท์ ว่าตามใจมันเท่าที่ทำได้ชิ่งบ้างไรบ้าง ให้มันค่อยๆห่างไป ให้มันรู้ด้วยตัวมันเองดีกว่า”
“เพราะกลัวเพื่อนโดนลงโทษ น่ะเหรอต้อน”
“ฮะ แล้วเดี๋ยวมันก็ผ่านไป”
“แล้วมันผ่านหรือเปล่า ต้อนคิดอะไรง่ายเกินไป”
“น่าแม่” พ่อพยายามช่วยอีกแรง “มันก็เป็นทางที่พวกมันคิดว่าดีที่สุดแล้วในความเห็นของเด็กๆ แล้วเกมน่ะ ถ้าพูดตรงๆ จะเข้าใจอะไรได้อย่างที่เราอยากให้เขาเข้าใจหรือเปล่า”
แม่หันไปหาพ่อพยักหน้ายอมรับ ขณะที่ยังกอดต้อนที่สะอึกสะอื้นไว้ โยกเบาๆ “ฟังนะต้อน เรื่องของเกม ต้องถือว่าทุกคนมีส่วนร่วมที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ ที่ต้อนบอกว่ากลัวเพื่อนจะถูกพ่อแม่ลงโทษ แม่เข้าใจนะ แต่ว่า การที่คนๆหนึ่งถูกผลักไปจนสุดขอบเหว แล้วเขามองไม่เห็นทางเลือกอื่นอีก นอกจากการกระโดดลงเหวนั้นไป มันแสดงว่า ต้องมีอะไรมากกว่าที่เราเห็น จากที่แม่ฟังแม่เกมพูด มันเหมือนเกมอยากมาหาต้อน แต่พ่อแม่เขาไม่อยากให้มา แล้วต้อนเองก็บอกไม่ให้เกมมาหาด้วยใช่มั้ย”
ทุกสิ่งทุกอย่างอัดแน่น รอวันที่ระเบิดออกมา...
ต้อนพยักหน้า “ผมไม่น่าขัดใจมันเลย”
แม่กอดต้อนนิ่งๆ “เราคิดว่าเกมควรเข้มแข็งเพื่อตัวของเขาเอง แต่ปัญหาก็คือเราเห็นเกมจากส่วนที่เขาอยากให้เราเห็นใช่มั้ย”
“แม่อ่ะ โกรธที่ผมไม่บอกเรื่องเกมสารภาพกับผมจริงๆด้วย ฮือ...”
“อันนั้นก็เรื่องนึงนะ แต่พอมาคิดๆดู เรื่องไหนมันใหญ่กว่ากัน เด็กคนหนึ่งหาทางออกไม่เจอจนมาฆ่า..เออ พยายามฆ่าตัวตายที่บ้าน กับลูกชายมีผู้ชายมาสารภาพรักแล้วมันไม่กล้าบอกพ่อกับแม่เนี่ย”
พ่อนั่งลงข้างๆ โอบกอดแม่ลูกไว้ด้วยกัน “เรื่องของเกม พ่อเชื่อว่า เมื่อเกมตื่นขึ้นมา เขาจะเรียนรู้บางอย่างเหมือนที่แม่ของเขาได้เรียนรู้ แต่พ่อเกมเนี่ย พ่อไม่แน่ใจ”
แม่หันมาหาพ่อ “พ่อก็คิดเหมือนแม่ใช่มั้ย”
“อือ” พ่อพยักหน้ายอมรับ “แค่คิด อย่าเพิ่งปรักปรำใคร เพราะมันเป็นบาป แต่ถ้ามันหนักหนานัก เราก็เลิกเป็นคนดู ขอเข้าไปเป็นผู้เล่นกับเขาด้วยจะเป็นไรไป”
“แต่เห็นโอบอกว่า กำลังจะพาเกมไปทำงานอาสา” แม่บอก
“ดี” พ่อลูบผมต้อนเบาๆ “ช่วยคนเป็นกุศล ต้อนทำถูกที่ช่วยเพื่อน แต่ที่ไม่ถูกก็คือ ไม่บอกพ่อกับแม่ว่าแรงกดดันของเกม ไม่ได้มีแค่เรื่องเรียน แต่มีเรื่องของต้อนรวมอยู่ด้วย”
“ก็ไม่รู้จะเล่ายังไง มันน่าเล่าหรือไง”
แม่ฟาดแขนต้อนเสียงดังเพี๊ยะ “ทีเรื่องเล่น เรื่องไร้สาระ พูดได้ทั้งวัน”
คนที่ยืนเฝ้ามองอยู่ข้างรั้วบ้าน แต่แรกก็มองนิ่งๆ ทบทวนคำพูดของแม่ต้อนที่พูดในรถ ยอมรับว่าเราก็มีส่วนผิดที่เร่งรัด โดยไม่ได้ดูเลยว่า เกมพร้อมที่จะจากไปหรือยัง
ที่สำคัญคือ ต้อนบอกครั้งแล้วครั้งเล่า ว่า เกมไม่ทำร้ายต้อน แต่เกมจะทำร้ายตัวเอง หากไม่ได้ดั่งใจ แต่พี่ไม่เคยเชื่อ แล้ววันนี้ ทั้งที่รู้ว่าเกมจะมา แต่ก็ยังทำอะไรไม่ระวัง
ยืนมองบ้านเขาเหมือนเคย จนกระทั่งได้ยินเสียงร้องไห้
ปวดหัวใจชมัด
โทษว่าเพราะมันดึกแล้ว เสียงรอบตัวเงียบลง ทำให้เสียงร้องไห้ดังชัด รู้ตัวอีกทีก็ปีนรั้วข้ามเข้าไปในบ้าน แล้วไปหยุดยืนอยู่หน้าห้องนอนที่เปิดประตูทิ้งไว้
“อ๋อม..” พ่อประหลาดใจที่เห็นพี่อ๋อมมายืนอยู่หน้าห้องนอน
“เอ่อ..คือ..ขอโทษครับที่ปีนรั้วข้ามมา ผมได้ยินเสียงต้อนร้องไห้...”
“คิดว่าแม่จะลงโทษต้อนหรือไง”
พี่อ๋อมพยักหน้า แต่ยังรักษามารยาทยืนอยู่ที่หน้าห้องนอนเหมือนเดิม
“ถ้าฉันจะลงโทษลูกที่มันริอ่านมีความลับกับแม่ แล้วเธอเกี่ยวอะไรด้วย”
“ถ้าเรื่องที่ปิดบังคือเรื่องของผม ผมก็ถือว่ามันเกี่ยวโดยตรงนะครับ”
แม่ละมือที่กอดต้อนไว้ ทั้งที่น้ำตายังไม่แห้งดี แต่ตอนนี้แม่กำลังแสดงท่าเหมือนนางสิงห์อย่างที่ต้อนชอบล้อ
“อ๋อมกำลังจะบวชใช่มั้ย”
“ครับ”
“งั้นก็ดี กลับบ้านไปก่อน สึกเมื่อไหร่ค่อยมาคุยกัน”
พี่อ๋อมมองแม่แล้วเลยมาหาต้อน
แม่ลุกขึ้น เดินเข้ามาหา แล้วทำท่าให้พี่อ๋อมเดินนำลงไปข้างล่าง
ทั้งพ่อและต้อนเดินตามลงมาด้วย
เมื่อมาถึงหน้าบ้าน แม่พูดช้าๆ
“ต้อนต้องเรียนรู้ที่จะเป็นผู้ใหญ่ ไม่คิดอะไรเพียงแต่มุมเดียว คิดง่ายๆว่าเดี๋ยวมันก็จะผ่านไป เพราะในความเป็นจริง เมื่อเราทำร้ายความรู้สึกของใครแล้ว บาดแผลนั้นมันจะไม่มีวันผ่านไป มันจะคงอยู่ตลอดไป เธอเข้าใจเรื่องนี้ดีใช่มั้ย”
“ครับ”
“แยกกันสักพักนะอ๋อม”
ประโยคสั้นๆที่ทำให้รู้สึกชาไปทั้งตัว...
“แต่ต้อนพยายามช่วยเพื่อนนะครับ”
“ช่วยแบบไหนกันที่ผลักเพื่อนไปจนถึงขอบเหวแบบนั้น”
“เพราะผมไม่ระวัง...”
“งั้นก็ยิ่งดี ยิ่งสมควรห่างกัน ทั้งต้อนและเธอควรมีช่องว่างให้พิจารณาตัวเองให้ดี”
....อาการสติหลุดเป็นอย่างนี้นี่เอง ได้ยินเหมือนไม่ได้ยินมันฟังเป็นเสียง แต่ไม่ได้ยินเป็นคำ
มองเห็น แต่ไม่รู้ว่าเป็นภาพอะไร
รู้แต่ว่า ต้อนกำลัง....ร้องไห้....
ดวงตายิ้มได้คู่นั้นแดงก่ำ
น้ำตาอาบแก้ม
อยากเดินเข้าไปกอด แต่ก้าวขาไม่ออก
“อย่าร้องไห้.....” เสียงของพี่แทบไม่พ้นคอ “ต้อน....”
แม่หันไปมองลูกชาย แล้วพูดเรียบๆ “ต้อน กลับขึ้นไปห้อง”
“แม่ฮะ แม่..”
“แม่บอกให้ขึ้นห้อง!”
ต้อนชะงักมองแม่ ตลอดเวลาที่ผ่านมาแม่ไม่เคยใช้น้ำเสียงเข้มงวดแบบนี้
“มันมีวิธีที่ดีกว่านี้หรือไง เธอเองเรียนจบควรกลับไปอยู่กับพ่อแม่ ไปเตรียมตัวบวช ต้อนก็ต้องไปดูแลเกม ถ้าเธอยังวนเวียนอยู่แบบนี้ เกมจะดีขึ้นมั้ย”
“แต่แม่ฮะ” ต้อนร้องขอทั้งน้ำตา
“มีทางเลือกอื่นหรือไง”
ต้อนพยักหน้ายอมรับคำสั่งของแม่ หันหลังกลับขึ้นไปบนห้อง
เมื่อเสียงประตูปิดลง แม่หันมาบอกกับอ๋อม “ก็แค่ไม่กี่เดือน รอได้มั้ย”
“ครับ”
พี่อ๋อมรับปากแล้วเดินกลับมาที่บ้านของตัวเอง
แค่ไม่กี่เดือน...แม่รู้หรือเปล่า ว่าคนๆนี้รอมานานเท่าไหร่ เก็บตัวอยู่ในมุม เป็นผู้เฝ้ามองด้วยความปวดใจมานานขนาดไหน
ความรู้สึกของคนที่รู้อยู่แก่ใจว่า คนๆนี้เป็นของเรา แต่กลับต้องคบกันแบบแอบซ่อนอยู่ตลอดเวลาแบบนี้
จะมีใครที่เข้าใจ...
พอทุกคนแยกย้ายพ่อที่ได้แต่ยืนมองก็พูดขึ้น “แยกคู่รักมันเป็นบาปนะแม่”
“แล้วมีวิธีอื่นหรือไง”
“มีสิ” พ่อบอกแล้วเดินกลับเข้าไปในครัว “แล้วจะบอกว่า พ่อไม่พอใจเรื่องที่ต้อนปิดบังเรื่องเกมกับอ๋อมก็จริง แต่พ่อเข้าใจได้ มันยากที่จะยอมรับว่าลูกชายมีคนรักเป็นผู้ชาย แต่เรื่องของเกมใช่ว่ามันจะแก้ไขได้ภายในวันสองวัน เราต่างก็รู้ดีว่า แผลของเกมมันเหมือนกับการกรีดมีดลงบนเนื้อทุกวัน ซ้ำๆย้ำอยู่อย่างนั้น”
แม่จ้องมองพ่อ แล้วเดินไปทิ้งตัวนั่งลงที่โซฟา พ่อเดินมานั่งข้างๆ โอบไหล่ไว้
“ไว้พรุ่งนี้ เราไปหาเกมอีกที ดูว่าเราพอจะทำอะไรได้บ้าง”
“แต่ต้อนกับอ๋อม”
“แม่ออกคำสั่งไปแล้วนี่ ถ้าเขารักกันจริง มันก็จะเป็นบททดสอบ แต่ถามใจพ่อ พ่อไม่เห็นด้วยจริงๆที่สั่งแยกเขาแบบนั้น”
“แล้วพ่อจะให้แม่เปิดประตูรับอ๋อมเข้าบ้านในทันทีที่รู้เรื่องเลยหรือไง”
พ่อส่ายหน้า “เป้าหมายของเราในการเลี้ยงลูกคืออะไร เราอยากให้ต้อนมีความสุขไม่ใช่หรือไง ขอเพียงให้ต้อนมีความสุข”
แม่ซุกหน้าลงกับไหล่ของพ่อ “ทำไมทุกเรื่องมันเกิดขึ้นพร้อมกันในวันเดียวกันแบบนี้ด้วยนะ”
“แยกส่วนนะแม่ ค่อยๆคิด ค่อยๆแก้ไข”
“แต่แม่ยังไม่ยอมรับเรื่องอ๋อมหรอกนะ” แม่พูดเสียงแข็ง
พ่อได้แต่ถอนหายใจแรงๆ มองไปที่บ้านข้างๆ
ไฟในห้องนอนของบ้านหลังถัดไปยังสว่างอยู่ พี่อ๋อมเดินมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าต่าง ยืนรอจนเจ้าของห้องอาบน้ำกลับเข้ามา
ต้อนกระพริบตามองคนที่ยืนอยู่ที่หน้าต่างบ้านข้างๆ เดินเข้ามาหา
ต่างคนต่างมองกันเหมือนที่ผ่านมา
แปลกจริงทั้งที่ต่างก็รักษาระยะห่าง พี่ไปโน่นมานี่ตลอด
น้องก็มีเกมคอยคุมตลอด
แต่กลับไม่รู้สึกปวดใจเท่าครั้งนี้
ทั้งที่แม่ขอให้ห่างกันเพียงแค่ไม่กี่เดือน แค่กลับรู้สึกเหมือนแม่กำลังบอกให้เลิกคบกัน
ก็บอกตัวเองว่าแม่เขาไม่ได้ห้ามเราคบกัน แค่ให้รอต่อไปเพื่อให้ทุกคนพร้อมมากกว่านี้ แต่ทำไมยังหวั่นไหว
หวั่นไหว ไม่แน่ใจ
เพราะอดีตของเราเอง
เพราะที่ผ่านมา ต้อนย้ำครั้งแล้วครั้งเล่าว่าไม่อยากทำให้เกมเสียใจ
เพราะที่ผ่านมา ต้อนแสดงให้เห็นมาโดยตลอดว่ารักพ่อกับแม่มากขนาดไหน
พี่โชคโทรมาหาถามว่า ตกลงจะไปเที่ยวบ้านกันวันไหน จะนอนที่รีสอร์ทหรือที่บ้าน จะได้เตรียมสถานที่
“คงยังไปไม่ได้หรอกว่ะ ทางนี้มีเรื่องน่ะ”
พี่อ๋อมเล่าเรื่องคร่าวๆให้พี่ชายฟัง เรื่องที่เกมพยายามฆ่าตัวตาย
“มั้ยล่ะ กูว่าแล้ว ใกล้บวชเนี่ย มีแต่เรื่องมาทดสอบ พรุ่งนี้เช้ากูไปรับมึงเลยนะตอนนี้ดึกแล้ว”
“ยังไปไม่ได้”
“ต้องกลับแล้ว”
“ขออีกวันเดียว พี่โชค กูขอแค่วันเดียว”
“มึงจะรอให้มันมีเรื่องใหญ่กว่านี้หรือไง”
“กูขอแค่วันเดียวจริงๆ กูไม่ไว้ใจ กูเป็นห่วง มันเป็นเวลาที่กูควรอยู่ข้างๆเขา แต่กลับต้องโดนแยก กู...เป็นห่วง”
เสียงเหมือนพี่โชคลุกเดินออกมาคุยข้างนอก “ห่วงใคร ไอ้ต้อนน่ะเหรอ”
“ใช่ กูขอแค่ดูให้แน่ใจ ว่าเขาจะไม่เป็นไร”
พี่โชคถอนหายใจยาว “กูละนึกแล้วเชียว เห็นมึงเอาใจไอ้ต้อนมากมาย...เออ งั้นกูไปถึงสายๆ วันถัดไปก็ได้ มึงจัดการเก็บของให้ดี”
จนเช้าวันถัดมายืนมองจากในบ้านตัวเอง เห็นแม่ลูกออกจากบ้านไปพร้อมกัน เดาว่าน่าจะไปโรงพยาบาล ก็หันกลับมาแต่งตัวขับรถตามมาที่โรงพยาบาล ยืนมองผ่านกระจกหน้าห้องผู้ป่วย แล้วเดินกลับลงไปนั่งอยู่ที่เก้าอี้ของผู้ป่วยที่แผนกผู้ป่วยนอก
รอ....เหมือนที่เคยเป็นมา
เกมนอนมองเพื่อนทั้ง 4 คนขณะที่แม่ตัวเองนั่งคุยกับแม่ต้อน สักพักแม่ต้อนก็ลากลับ เพราะต้องไปทำงาน แต่บอกให้ต้อนอยู่ดูแลเกมก่อน
เสียงพูดคุยรอบตัวฟังผ่านหู ติดอยู่ที่ประโยคหนึ่งที่ได้ยินท่ามกลางสติที่ลางเลือน
นับไม่ถ้วนที่ได้ยินคำว่า ถ้าไม่เป็นที่ 1 ก็เท่ากับความว่างเปล่า ไม่มีที่ 2 ไม่ใช่ข้อตกลงแบบพบกันครึ่งทาง ต้องเป็นที่ 1 เท่านั้น
แต่คำพูดที่ได้ยินในตอนสติเลือนราง กลับกลายเป็นคำที่สะท้อนความจริงทั้งหมด
เราคือคนที่น่าจะรู้ดีที่สุดว่าการบังคับทำให้ได้ผลที่ต้องการรวดเร็วที่สุด แต่มันจะอยู่กับเราไม่นาน
ใช่ บังคับตัวเองกดดันให้อ่านหนังสือ สุดท้ายมันก็เป็นแค่ตัวหนังสือที่วิ่งผ่านสายตา
รู้ว่าพ่อแม่บังคับให้ได้ดีเพื่ออะไร แต่สิ่งที่หลงเหลืออยู่ในหัวใจคือความห่างเหิน
บังคับให้ต้อนอยู่ข้างๆ สุดท้ายมันก็คือการตอกย้ำว่าที่ต้อนให้มาคือความหวังดี แต่หัวใจของต้อนไปอยู่ที่คนอื่น
รู้ แต่การสลัดความคิดแบบนั้นออกไปในทันทีมันไม่ใช่ที่สามารถทำได้ภายในวันสองวัน
ที่จริงแล้ว การแข่งขันไม่ได้เป็นองค์ประกอบของอะไรสักอย่าง
มันไม่มีความหมายอะไรเลย
จะเป็นที่ 1 หรือที่สุดท้ายเมื่อหันมามองก็จะมีเพื่อน 4 คนตรงนี้อยู่ด้วยกันเสมอ
ในความเป็นเพื่อน ไม่ต้องมีการแข่งขัน ไม่เคยมีการแข่งขัน มีแต่การเดินไปด้วยกัน
ที่บอกกับตัวเองว่า ไม่มีใครรักเรา แท้ที่จริงมันก็คือการไม่ได้รักจากคนที่เรารัก
ที่คิดว่าไม่มีใคร แต่ในเวลาที่ทำเรื่องโง่ๆลงไป เพียงเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ คนที่อยู่ตรงนี้คือใคร
“ต้อน....”
ไอ้หนุ่มตัวเล็กหันมาทันที “เอาไร”
เกมส่ายหน้า “ไม่ แค่อยากบอกว่า ขอบใจมาก”
ความเงียบเข้าปกคลุมห้อง
เกมหันไปหาเพื่อนๆทุกคน “พวกมึงด้วย ขอบใจมาก” บอกแล้วก็หลับตาลง ไอ้ปลาเลยลุกไปกดปุ่มที่ปลายเตียง ปรับระดับให้นอนสบายขึ้น
นี่สินะ ที่จริงพวกมัน 3 คนก็ออกจะเอาใจขนาดนี้ ทั้งด่าทั้งพูดจาไม่ดีกับพวกมัน มันก็ยังทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้ ไม่เห็นเดือดร้อนกันเลยสักนิด
ลองเปลี่ยนเป็นพวกมันมาพูดจาไม่ดีกับเรา เหมือนเวลาที่เราพุดกับมัน คงได้โกรธกันแน่
“พวกมึงกลับไปเถอะ ไม่ต้องเฝ้ากูหรอก”
“ไม่เป็นไร กูว่าง” ไอ้นนท์อ้วนดำบอก “ตื่นมามึงอยากกินอะไร กูลงไปซื้อมาให้”
เกมพลิกหน้ามองเพื่อนแล้วหันไปหาแม่ หลับตาลงช้าๆ
“ต้อน”
“หือ”
“มึง....กลับไปเถอะ ท่าทางมึงเหมือนคนอดนอน”
ต้อนอ้าปาก หันมองเพื่อน มองแม่เกม ไม่ค่อยเข้าใจ เหมือนกำลังโดนสลัดทิ้ง
กระทั่งเกมลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ฝืนยิ้มแห้งแล้ง “กูควรยอมรับได้ตั้งนานแล้วว่า มึงไม่ได้เลือกกู ก็อย่างที่คนนั้นบอกน่ะแหละ กูน่าจะเป็นคนที่เข้าใจได้ดีที่สุด ว่าการบังคับได้ผลอย่างที่ต้องการเร็วที่สุดก็จริง แต่สิ่งนั้น ไม่สามารถอยู่กับกูได้นาน”
“เกม” แม่พูดขณะที่ลุกจากโซฟายาวมาที่ข้างเตียง
“แม่ ต้อน ปลา เล้ง นนท์ ถึงตอนนี้ผมก็ยังอยากชนะ อยากเป็นที่ 1 อยากได้ทุกอย่างที่อยากได้ ทั้งที่รู้ว่าไม่มีวันได้ต้อน แต่ก็ยังอยากได้อยู่ดี”
ต้อนอดไม่ได้ที่จะหันไปมองแม่เกม รู้สึกลำบากใจ
เกมพูดต่อไป “แม่เอง ก็รับไม่ได้เหมือนกันใช่มั้ย ที่มีลูกที่ไม่ได้เป็นที่ 1 พยายามฆ่าตัวตาย แล้วยังเป็นเกย์”
แม่เกมซับน้ำตาที่ไหลรื้น “เกมลูก...”
“แม่...แม่ไปหาจิตแพทย์พร้อมกับผมนะ”
แม่พยักหน้า ปล่อยให้น้ำตาร่วงพรู มันถึงเวลาี่ที่แม่้ลูกต้องยอมรับว่าความเครียดมันมีอยู่จริง ความกดดันตัวเองให้ฝืนเดินหน้าต่อไปถึงเวลาที่ต้องสลายมันออกไป
ุถึงเวลาที่ต้องยอมรับว่า การเป็นที่ 1 ไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิต
ไอ้เล้งมาสะกิดต้อน แต่หันมาหาเกม “งั้นพวกกูออกไปหาอะไรกินกันนะ”
“เออ กลับไปเลยก็ได้ พรุ่งนี้...ค่อยมาใหม่” เกมบอก
มันถึงเวลาที่แม่ลูกควรได้คุยกัน
เล้งกอดคอต้อนเดินออกมานอกห้อง มีนนท์ กับปลาเดินตามมาด้วย
“มึงไม่ได้นอนเลยล่ะสิ” ปลาถามต้อน
“อือ ก็เรื่องมันมาพร้อมกันทั้งหมด แม่เลยบอกให้กูกับพี่ห่างกันสักพัก”
เพื่อน 3 คนหันมามองหน้ากัน เล้งช่วยตีความ “เขาไม่ได้บอกว่าให้เลิกกันใช่มั้ย”
“ไม่หรอก” ต้อนส่ายหน้า “แต่เข้าใจได้ว่า เขาคงลำบากใจที่จะยอมรับว่ามีลูกเป็นแบบนี้”
เล้งตีความอีกครั้ง “แม่อาจแค่ขอต่อเวลาเพื่อที่จะยอมรับว่าจะมีลูกเขย แทนที่จะมีลูกสะใภ้ก็ได้นะ”
เพื่อตัวเล็กขนาดใกล้เคียงกัน พูดไปเรื่อยๆ “เมื่อคืนตอนกูกลับบ้าน น้าๆกูเค้าดูทีวีกันอยู่ แล้วมันมีแก๊กบนเวทีแบบ คนหนึ่งบอกว่าเป็นเกย์ แล้วคนอื่นๆพากันเดินหนี ทำท่ารังเกียจ กูงี้ปรี๊ด!”
“ไรของมึงวะ” ไอ้นนท์ถาม
“ก็กูนึกถึงไอ้เกมน่ะสิ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะโว้ย เกย์ไม่ใช่โรคติดต่อสักหน่อย ทำไมต้องเดินหนีทำท่ารังเกียจแบบนั้น กูงี้ปรี๊ด” ไอ้หนุ่มตัวเล็กพูดย้ำ ท่าทางโมโหจริง จนต้อนต้องลูบหลัง
“ใจเย็นเพื่อน”
“เออ เย็นละ แต่ตอนนั้นมันโมโหนี่หว่า แล้วน้ากูเค้าพูดเรื่องคนเป็นเกย์ไม่แมน กูอยากอาละวาดอยากพาลขึ้นมาทันที”
“โห ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ มันแค่คำพูด เราไม่เป็นอะไรเพียงเพราะคำที่ใช้เรียกหรอก” ต้อนบอก
“กูก็รู้ แต่มันหงุดหงิดต่อเนื่องไง เนี่ยมาดูพี่อ๋อม พี่เฟียต พี่ทู สิออกจะแมน อย่างเท่ห์ แมนกว่าไอ้พวกที่หลอกผู้หญิงไปฟันแล้วแพร่โรค ถ่ายคลิป เรียงคิวอะไรนั่นอีก แบบนั้นเรียกแมนหรือไง”
“แล้วตกลงเมื่อคืนมึงเหวี่ยงน้าหรือเปล่า” ไอ้ปลาถาม
“เหวี่ยงสิ มีหรือจะพลาด” ไอ้เล้งยอมรับ
“กูว่าแล้ว” ไอ้ปลาส่ายหน้า
เมื่อเดินออกมาจากลิฟท์ ผ่านแผนกผู้ป่วยนอก คนรูปหล่อคนนั้นดูโดดเด่นดวงตาที่มองมา ชัดเจนว่าเขาจ้องมองอยู่ อาจเห็นมาแต่ไกล
ไอ้เล้งหันมาถาม “มึงได้คุยพี่หรือยัง”
ต้อนส่ายหน้า
“งั้นก็คุยกันให้เข้าใจ”
“ก็แม่บอกให้ห่างกัน”
“โดยเวลาและสถานที่ เมื่อเขาจะกลับบ้านไปเตรียมตัวบวชก็ห่างอยู่แล้วนี่หว่า” ไอ้เล้งเริ่มไถล จนต้อนต้องก้มหน้าหัวเราะเพื่อน
“แล้วมึงจะห่างกัน โดยที่ไม่คุยกันให้เข้าใจสักนิดหรือไง พอแม่สั่งปุ๊บ มึงหันหลังให้ปั๊บแบบนี้ คนรอมันใจเสียนะโว้ย” ไอ้ปลาบอก
“มึงเคยมีความรักกะเขาหรือไงเนี่ย รู้จัง” ไอ้นนท์แซว
“ไม่ต้องมีความรัก แค่เห็นสีหน้าไอ้ต้อน กับพี่ ก็รู้แล้ว หรือพวกมึงมองไม่เห็น”
พี่อ๋อมลุกจากที่นั่งรอเดินเข้ามาใกล้ ไอ้เล้งก็ผลักต้อนให้เดินไปหา แล้วทั้ง 3 ก็โบกมือให้พี่ พากันชวนไปกินข้าว
=====จบตอนที่ 22 ======
ยังคงยาวเหยียด เพราะเขียนจบแล้ว และดีใจมากที่เขียนออกมาแล้วทำให้คุณเข้าใจได้ว่า เราอยากบอกอะไร ก็อย่างที่พูดเสมอว่า เรายังไม่เก่ง พยายามอธิบายก็เดี๋ยวจะน่าเบื่อ เหมือนพ่อสอนลูก (ผมโดนคำนี้ตลอด) เราเขียนเรื่องเพื่อความบันเทิงนี่นา เขาบันเทิงแต่ผมเครียด ต้องแก้เครียดด้วยการไปเล่นเกม กร๊ากกก ตอนที่ทีเขียนเรื่องส่วนนี้เสร็จเขาก็บอกว่า ถ้าผมทำคนอ่านหายอีกจะทำไงดี ผมก็ว่า ก็ไม่เห็นเป็นไร เพราะแสดงว่า เรายังทำได้ไม่ดีพอ และเราจะแก้ไขให้ดีัขึ้นในเรื่องต่อไป
หวังว่าเช้านี้เมื่อคนเขียนต้อนกับเกม และบ้านหรรษาเปิดมาดู จะสามารถไปต่อตอนพิเศษที่เว้นช่องว่างไว้ 5555 เหรอ
ตอนที่เขียนคุณนายเรียบกริบ ผมเกือบพาออกนอกพล็อต เพรา่ะคุ้นๆว่ามียักษ์แถวนี้ พอได้ยินคำว่า "ห่างกันสักพัก" ก็พยักหน้า "ครับ" แต่หันมาบอกว่าให้ไปเก็บหนังสือเรียน อย่างอื่นหาซื้อใหม่ได้ คุณนายพูดไม่ออกบอกไม่ถูกกัีนไปเลย แถมยักษ์ก็ไม่เคยทำตัวห่าง โผล่หน้ามาเช้าเย็นยังไงก็ยังมาอยู่ คาดว่ายักษ์ตัวนี้จะฟังภาษาไทยไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจว่า คำว่าห่างกันสักพักมันแปลว่าอะไร
ขอบคุณที่ยังคงติดตาม ให้คำแนะนำ กำลังใจ และทุกคะแนนที่ให้เรา่ ไม่ว่าคุณจะเปิดเื่รื่องนี้อ่านด้วยเหตุผลอะไร อ่านแล้วเดินผ่านไปเพราะไม่ถูกใจ เราขอขอบคุณ เพราะเรายังไม่เก่ง (คำนี้ยังไงก็ไม่ขายปั๊ปปี้)
พบกับวันอาทิตย์ครับ
ไจฟ์กับที
v
v
พี่มายด์ครับ โกรธอะไรตอนไหนเหรอ ไม่รู้ 555 อย่าได้ไปสนใจ>>เห็นละในพีเอ็มใช่มั้ย ไม่โกรธหรอก ขอบคุณมากครับพี่
พี่อุ๊ครับ พี่กำลังทำพลาดด้วยการบอกว่าจิตตก เพราะ....เอาเหอะเดี๋ยวตอนจบก็รู้
พี่ซีซั่นครับ แก้ไขแล้วนะครับ ขอบคุณมากครับพี่ ดูเหมือนว่าจะมีคำที่ผมเขียนคำว่า "เขา" เป็น "เค้่า" ด้วย ขอไปหาก่อนนะครับ
tea ครับ