=====
บทที่ 10
=====
หลังจากที่ต้องหยุดเรียนอีกหนึ่งวันเต็ม ๆ พอวันรุ่งขึ้นยูคิคิดจะไปโรงเรียนก็ต้องผิดหวังเพราะว่าตรงกับวันอาทิตย์พอดี
“บ้าจริง...ขืนเป็นแบบนี้บ่อย ๆ เวลาเรียนไม่พอต้องซ้ำชั้นแน่ ๆ เลย”
เด็กหนุ่มบ่นอุบกับตัวเองแล้วก็ต้องเผลอหน้าแดง เมื่อคิดถึงคนที่ทำให้เขาอาจจะซ้ำชั้นได้ในอนาคต
“คนเอาแต่ใจ”
บ่นอุบอิบ แล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือก เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูเลื่อนห้องของเขาดังขึ้น
“อ๊ะ...คุณชิโนะนั่นเอง ตกใจหมดเลย”
“ทำไมคะ ดิฉันก็มาเก็บกวาดห้องคุณทุกเช้าอยู่แล้ว หรือคิดว่าเป็นคนอื่น”
ชิโนะย้อนถามยิ้ม ๆ ทำไมหญิงวัยกลางคนจะดูไม่ออกว่าเด็กหนุ่มหมายถึงใคร
“ปะ...เปล่าครับ” ยูคิรีบปฏิเสธแก้ตัว ก่อนจะรีบคว้าผ้าขนหนูเดินเข้าห้องน้ำไปทันที
ชิโนะยิ้มตามหลังเด็กหนุ่มไป ก่อนจะสั่นศีรษะนิด ๆ กลุ้มใจที่อีกฝ่ายยังคงวางตัวสุภาพกับเธอเกินความจำเป็นอยู่แบบนี้ไม่ยอมเปลี่ยน
“คงต้องไปปรึกษาคุณทาคุดูสักหน่อยดีกว่า”
“ผมก็กำลังคิดอยู่เหมือนกันครับ เรื่องนั้น”
ทาคุบอกยิ้มๆ เมื่อหญิงวัยกลางคนเข้ามาหาเขาที่ห้องเพื่อขอคำปรึกษา
“ดิฉัน กลุ้มใจจังค่ะ ทั้ง ๆ ที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในตระกูลมุราคามิแล้ว คุณยูคิก็ยังคงวางตัวเกรงใจเหมือนกับเป็นผู้อาศัยอยู่ตลอดเวลาแบบนี้”
“เขาเป็นเด็กสุภาพ อ่อนโยน”
ทาคุทวนคำ ยิ้มน้อย ๆ เมื่อนึกถึงอีกฝ่าย
“แต่หากเมื่อเข้ามาเป็นมุราคามิแล้ว ต้องรู้จักการวางตัว และใช้อำนาจให้เป็น ถึงจะคู่ควรที่จะใช้นามสกุลนี้”
ชายหนุ่มหยุดเว้นวรรคสักครู่ ก่อนจะกล่าวต่อ
“เราคงต้องฝึกเขาตั้งแต่ตอนนี้เสียแล้วล่ะครับ”
ทาคุบอกพลางส่งยิ้มอย่างนักวางแผน ที่นาน ๆ ที ชิโนะจะได้เห็นสักครั้ง
“ลองคุณทาคุ เอาจริงแบบนี้ คงจะสำเร็จแน่เชียวค่ะ”
หญิงวัยกลางคนเอ่ยชื่นชม แต่คนฟังกลับอมยิ้ม
“อาจจะไม่ได้ผลก็ได้นะครับ ก็ดูอย่างคุณชิโนะเอง ผมยังไม่สามารถทำให้คุณวางตัวกับผมแบบปกติได้เลยจนถึงป่านนี้”
ชิโนะสะดุ้ง ก่อนจะค้อนขวับตอบอย่างงอน ๆ
“แหม! คุณทาคุล่ะก็ แซวดิฉันอีกแล้ว ก็ฐานะอย่างคุณทาคุ กับคุณอากิระ ดิฉันจะกล้าตีตนเสมอเทียบเท่าได้ยังไงคะ คุณทาคุเสียอีกนั่นล่ะ ที่สุภาพกับดิฉันตลอดเชียว”
ทาคุหัวเราะออกมาเบา ๆ พลางกล่าวกระเซ้าอีกฝ่ายเล่น
“ต้องสุภาพสิครับ ก็คุณชิโนะเป็นแหล่งกำเนิดพลังงานในบ้านนี้นี่ครับ”
“ค่ะ ๆ ดิฉันก็มีดีแค่เรื่องทำอาหารนี่แค่นั้นล่ะค่ะ”
แม่บ้านหญิงวัยกลางคนกล่าวตอบงอน ๆ และเดินกลับที่พักไป ทาคุยิ้มมองตามไป ก่อนจะนึกถึงอีกคนหนึ่งที่กำลังเป็นปัญหาสำหรับเขาในตอนนี้
“คงต้องเล่นไม้แข็งเสียแล้วล่ะนะ งานนี้”
ยูคิเดินออกมาเตร็ดเตร่รอบ ๆ บ้าน หลังจากทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว แต่ก็นึกแปลกใจที่วันนี้ไม่เห็นหน้าริวยะเลยแม้แต่น้อย ทั้ง ๆ ที่ตามปกติ ชายหนุ่มมักจะรอเขาทานข้าวเช้าพร้อมกันเสมอ
“ทำอะไรอยู่หรือครับ คุณยูคิ”
น้ำเสียงทุ้ม ดังมาจากเบื้องหลัง ยูคิหันกลับไปมอง แล้วก็ยิ้มรับน้อย ๆ
“คุณทาคุ”
ชายหนุ่มมองหน้าฝ่ายตรงข้าม พลางยืนนิ่ง มิได้กล่าวอะไรต่ออีก แต่กลับคอยเดินตามเด็กหนุ่มอยู่เงียบ ๆ จนคนถูกตามชักขัดใจ
“ผมเข้าใจครับว่าคุณได้รับคำสั่งคุณริวยะ ให้คอยดูแลผม แต่ที่นี่มันในบริเวณบ้านคงไม่มีอันตรายอะไรหรอกครับ และอีกอย่างก็ไม่ต้องกลัวผมหนีหรอก เพราะผมไม่มีที่จะกลับไปเหลืออีกแล้ว!”
น้ำเสียงที่ค่อนข้างหงุดหงิดนั้น ทำให้คนฟังลอบยิ้ม ก่อนจะกล่าวตอบกลับไปอย่างสุภาพ
“วันนี้คุณริวยะไม่ได้สั่งให้ผมตามคุณหรอกครับ แต่ผมคอยตามเองต่างหาก”
ยูคิอ้าปากค้าง ไม่คิดว่าจะได้รับคำตอบแบบนี้ เด็กหนุ่มบอกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงค่อนข้างฉุนเฉียวเล็กน้อย
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องตามแล้วครับ ผมแค่อยากขอเดินเล่นเงียบ ๆ เท่านั้น”
“งั้นคุณก็ออกคำสั่งสิครับ ถ้าคุณออกคำสั่ง ผมก็จะปฏิบัติตาม”
ยูคิชักเอะใจกับใบหน้ายิ้ม ๆ นั้น แต่ก็ยอมออกคำสั่งตามที่อีกฝ่ายบอก
“ก็ได้! ถ้าอย่างนั้น ผมขอให้คุณปล่อยให้ผมอยู่เงียบ ๆ คนเดียวสักพัก”
“ไม่ขอปฏิบัติตามครับ”
ทาคุตอบหน้าตาย จนคนสั่งสะดุ้ง
“อะไรกันครับ ก็ไหนคุณบอกว่าให้ผมออกคำสั่ง คุณจะทำตามยังไงล่ะ!”
“ครับ...ถ้าเป็นคำสั่งในฐานะที่เป็น มุราคามิ ยูคิ ผมก็จะปฏิบัติตาม แต่นี่คุณออกคำสั่งในฐานะที่เป็น ทานากะ ยูคิ ผมเห็นทีจะปฏิบัติตามคำสั่งของคุณไม่ได้หรอกครับ”
คำตอบของชายหนุ่มทำเอายูคิเกาศีรษะแกรก ๆ อย่างยุ่งยากใจ ก่อนจะถามอีกฝ่ายเสียงห้วน
“แล้วคุณจะให้ผมทำยังไงกันเล่า!”
ทาคุยิ้ม พลางตอบฝ่ายตรงข้ามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ก่อนอื่นก็เปลี่ยนสรรพนามแทนตัวที่ใช้เป็นอันดับแรกเลยครับ”
“สรรพนาม?” ยูคิทวนคำงง ๆ
“ใช่ครับ... ไม่ควรใช้ ‘ผม’ เพราะตอนนี้คุณอยู่ในฐานะเหนือทุกคนในบ้านหลังนี้ จะเป็นรองก็แค่คุณริวยะเท่านั้นเองครับ”
เด็กหนุ่มอ้าปากค้าง ก่อนจะรีบหุบปากทันควัน ไม่คิดว่าฐานะลูกบุญธรรมของเขา มันจะยิ่งใหญ่อะไรปานนั้น ทีแรกก็คิดว่าริวยะแค่ให้เขายอมรับที่จะใช้นามสกุลมุราคามิ เพื่อบังคับให้เขาอยู่ที่นี่กับตัวเองตลอดไปเสียอีก ไม่คิดว่าตัวเองจะมีสิทธิ์พิเศษต่าง ๆ เหนือคนในคฤหาสน์ หลังนี้มาก่อนด้วยซ้ำไป
“แต่ผม...ไม่ชิน”
“ฝึกกันได้ครับ อย่าลืมนะครับ ว่าคุณยอมรับนามสกุลมุราคามิแล้ว คุณก็ต้องวางตัวให้ สมกับนามสกุลนี้”
ทาคุบอก และก็ต้องแอบยิ้ม เมื่อได้ยินอีกฝ่ายบ่นอุบอิบเบา ๆ
“ไม่ได้เต็มใจสักหน่อย ถูกบังคับให้ยอมชัด ๆ”
“และถ้าคุณอยากมีเพื่อนคุยคนอื่น นอกจากคุณริวยะ คุณก็ควรวางตัวอย่างที่ผมบอก ถ้าคุณสุภาพกับทุกคนในบ้าน แน่นอนว่าคนอื่น ๆ ก็จะลำบากใจ และจะพยายามหลบหน้าคุณทุกครั้งที่มีโอกาส นอกจากหน้าที่บังคับเท่านั้น จึงจะยอมเผชิญหน้าด้วย ไม่เชื่อคุณก็ลองสังเกตดูก็ได้ เริ่มจากวันนี้ไปเลยครับ”
บอกเสร็จแล้วทาคุก็โค้งให้น้อย ๆ และเดินจากไป ทิ้งให้ยูคิเฝ้าขบคิดอย่างหนักตามลำพังแถวนั้นสักพัก แต่หลังจากนั้นเพียงแค่ครึ่งวัน เด็กหนุ่มก็ต้องประจักษ์กับตัวเอง ถึงประโยคที่ชายหนุ่มกล่าวทิ้งไว้ แทบจะไม่มีใครในบ้านยอมพูดคุยกับเขาตามปกติ ไม่ว่าเขาจะเป็นฝ่ายชวนสนทนาก่อน ก็ตาม คำตอบที่ได้รับแต่ละคนก็แทบประหยัดคำพูด หรือยอมตอบเฉพาะ ที่ถามเพียงสั้น ๆ เท่านั้น
“อะไรกัน คนบ้านนี้ แล้วจะให้ฉันทำตัวยังไงเล่า ฉันเองก็ไม่ได้อยากเป็นแบบนี้สักหน่อยนี่นา!”
เด็กหนุ่มทิ้งตัวนั่งบนทางเดินระเบียง พลางมองไปรอบ ๆ แล้วก็ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ การที่ได้อาศัยอยู่ในคฤหาสน์ใหญ่โต เต็มไปด้วยความสะดวกสบายพร้อมพรั่ง แต่กลับไม่มีคนที่จะพูดคุย ปรึกษาด้วยสักคน มันทำให้เหงาได้ขนาดนี้เชียวงั้นหรือ...
“คุณยูคิ ทำไมมานั่งอยู่แถวนี้คนเดียวล่ะครับ ข้างนอกอากาศร้อนออก เดี๋ยวจะไม่สบายนะครับ”
ทาคุซึ่งเดินผ่านมากล่าวทัก และยื่นมือช่วยฉุดเด็กหนุ่มให้ลุกขึ้น ยูคิจ้องหน้าชายหนุ่ม ก่อนจะเอื้อมมือไปจับมือใหญ่นั้น และเมื่อลุกขึ้นแล้ว เด็กหนุ่มก็กล่าวกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงค่อนข้างสั่น
“แล้วจะให้ผมทำยังไง ผมก็แค่อยากให้มีคนพูดคุยด้วยก็แค่นั้นเอง”
ทาคุมองร่างบางตรงหน้า ก็พอจะทราบว่าอีกฝ่ายกำลังกลั้นสะอื้น เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาเบา ๆ อย่างระอา
“ขอโทษครับ ผมคงคาดคั้นคุณมากเกินไป คุณยูคิอยากวางตัวแบบไหนก็เชิญเถอะครับ ผมคงต้องขอตัวก่อน”
และเมื่อทาคุกำลังจะเดินจากไป มือเล็กก็คว้าหมับที่ตรงข้อมือของเขาทันที
“คุณก็ไม่อยากพูดกับผมด้วยใช่ไหมครับ ทั้งบ้านนี้ ก็มีแต่คุณนั่นล่ะ ที่เป็นฝ่ายยอมพูดทักทายกับผมก่อน ถ้าคุณไม่พูดด้วยอีกคน ผมคง...”
เด็กหนุ่มก้มหน้านิ่ง ทาคุหันหน้ากลับมา และจับมือทั้งสองของเด็กหนุ่ม จนยูคิตกใจเงยหน้าขึ้นมา และก็ได้เห็นแววตาหนักแน่น จริงจัง มองมายังเขา
“งั้นก็วางตัวอย่างที่ผมบอกสิครับ คุณไม่ต้องกังวลว่าใครจะตำหนิอะไร คุณมีสิทธิ์เต็มที่ ในฐานะมุราคามิ คนหนึ่ง ตอนนี้คุณไม่ใช่ทานากะ ยูคิ แล้วนะครับ แต่คุณคือ มุราคามิ ยูคิ คือคนที่มีศักดิ์และสิทธิ์ในบ้านหลังนี้ทุกประการ”
“คุณทาคุ...”
“ทาคุครับ ลองเรียกดูสิครับ”
“ทาคุ” เด็กหนุ่มยอมพูดตามที่อีกฝ่ายบอก และก็ต้องยิ้มออก เมื่อคนตรงหน้ายิ้มรับกับคำเรียกนั้น
“ครับ แล้วกับคนอื่น ๆ ก็วางตัวให้เหมือนกันด้วยนะครับ”
“ครับ...เอ่อผม....ไม่สิ หมายถึง ฉันจะลองดูแล้วกัน... ครับ”
ทาคุหัวเราะเบา ๆ กับคำลงท้ายที่เผลอหลุดออกมาของอีกฝ่าย ดูท่าเขาคงจะต้องจับฝึกเด็กหนุ่มอีกสักพักใหญ่เชียวล่ะ กว่าจะกลายเป็นมุราคามิ ที่สง่างามและมีอำนาจบารมีขึ้นมาได้ แต่ดูเหมือนว่าก่อนอื่นคงต้องไปบอกคนในบ้านว่าไม่ต้องวางตัวห่างเหินกับเด็กหนุ่มอีกแล้ว
ความจริง ยูคิไม่ได้ทราบเลยว่า เพราะทาคุ ได้เรียกประชุมคนงานทุกคนในบ้าน ให้ช่วยร่วมมือในเรื่องการฝึกฝนตนเองในครั้งนี้ จึงทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนถูกปล่อยเกาะ ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้ว แทบทุกคนในบ้านก็อยากจะเข้ามาคุยกับนายน้อยคนใหม่คนนี้ด้วยกันทั้งนั้น
ถึงแม้ตอนแรกพวกเขาจะได้รับคำสั่งจากริวยะ ที่ไม่ให้วางตัวสนิทสนมกับยูคิมากเกินหน้าที่ เพราะจุดประสงค์ของชายหนุ่มก็คือต้องการให้ยูคิโดดเดี่ยว และหันมาพึ่งพาเขาได้คนเดียวเท่านั้น แต่ตอนนี้คำสั่งดังกล่าวได้ถูกยกเลิกไปแล้ว ทุกคนในบ้านจึงอยากจะหาโอกาสทำความรู้จักเด็กหนุ่ม หรือใกล้ชิดสักนิดตามแต่โอกาสจะอำนวย
ริวยะกลับมาจากข้างนอกพร้อมอากิระ ก็ต้องพบกับความประหลาดใจ ที่เห็นเด็กหนุ่มทักทายพูดคุยกับคนในบ้านไม่เหมือนเดิม ถึงแม้จะติดขัดอยู่บ้าง แต่ก็วางตัวในแบบที่เขาอยากให้เป็นมานานแล้ว
“ฝีมือทาคุแน่ ๆ แบบนี้”
“ผมก็ว่างั้นล่ะครับ” อากิระตอบยิ้ม ๆ พลางคิดในใจ
...หมอนี่ ทำจนได้สินะ ...
ความจริงแล้วทาคุคิดเรื่องการวางตัวของยูคิ ตั้งแต่ก่อนที่ริวยะจะรับเด็กหนุ่มเป็นบุตรบุญธรรม หรือจะพูดให้ถูกก็คือตั้งแต่ที่เขาได้รับหน้าที่ให้เป็นคนคุ้มกันของยูคินั่นเอง
เพราะความที่เป็นคนมีความรับผิดชอบสูง และยึดมั่นในเรื่องหน้าที่ของตนเป็นพิเศษ จึงทำให้อากิระแน่ใจว่า ทาคุคงจะไม่ชอบที่เห็นเด็กหนุ่มปฏิบัติตัวนอบน้อมต่อตนเองมากเกินไปนัก
“แล้วไม่หึงเลยหรือครับ”
อากิระเอ่ยแซว เพราะสังเกตเห็นยูคิ ค่อนข้างจะติดทาคุแจเป็นพิเศษมากกว่าใคร
“หึง? กับทาคุน่ะหรือ...ไม่หรอก เพราะฉันรู้ว่าหมอนั่นไม่คิดอะไรกับยูคิเกินเลยอยู่แล้ว”
“แต่คุณยูคิอาจจะคิด”
เจ้าตัวยังไม่เลิกแหย่ ยังผลให้สายตาคมกริบตวัดมามองอย่างเอาเรื่อง
“ถ้าไม่พูดก็ไม่มีใครเขาว่าอะไรหรอกนะอากิระ”
“ผมก็แค่พูดไปตามที่ตาเห็นล่ะครับ และอีกอย่างเห็นแบบนั้น แต่ผมว่าคุณยูคิค่อนข้างติดคนง่ายนะครับ”
อากิระปล่อยระเบิดแล้วเจ้าตัวก็รีบชิ่งหลบไปโดยไว ทิ้งให้ชายหนุ่มยืนหัวเสียอยู่ตามลำพัง
“อ๊ะ...คุณริวยะ”
ยูคิอุทาน เมื่อหันมาเห็นร่างสูงที่ยืนมองเขาอยู่ห่าง ๆ
“มัวแต่คุยกันเพลินจนไม่ทันเห็นฉันเลยสินะ”
ริวยะบอกเสียงเข้ม ซึ่งคนงานคนอื่น ๆ ก็ต่างรีบสลายตัวไปอย่างว่องไว เหลือก็แต่ทาคุ ที่ยังคงยืนอยู่ข้าง ๆ เด็กหนุ่มเท่านั้น
“ทาคุวันนี้พอแค่นี้ ที่เหลือฉันดูแลต่อเอง”
“ได้ครับ คุณริวยะ...เอ่อ” ชายหนุ่มชะงักและลังเล จนริวยะต้องเอ่ยถาม
“มีอะไรงั้นหรือ?”
“พรุ่งนี้วันจันทร์นะครับ แล้วอีกอย่างเพิ่งไปเรียนคุณยูคิก็ขาดเรียนแล้ว ผมคิดว่าพรุ่งนี้น่าจะให้คุณยูคิไปเรียนดีกว่า...”
ริวยะยืนอึ้งกับคำเตือนซื่อ ๆ และจริงใจของอีกฝ่าย เขาแน่ใจว่าถ้าหากอากิระยืนอยู่ใกล้ ๆ ป่านนี้เจ้าตัวคงแอบหัวเราะเขาไปแล้วแน่ ๆ
“เออ! ฉันรู้แล้วน่า ไม่ต้องเตือนหรอก!”
ชายหนุ่มบอกออกไปอย่างหงุดหงิด ทาคุโค้งให้ทั้งสอง แล้วเดินจากไป เหลือแต่ยูคิที่ยืนหน้าแดงก่ำ เพราะรู้ถึงความหมายที่ทาคุเอ่ยเตือนอย่างดี
“ยูคิ”
เสียงเรียกชื่อตนทำเอาคนฟังสะดุ้งเฮือก ก่อนจะเอ่ยตอบตะกุก ตะกัก
“คะ...ครับ”
“เป็นอะไรไป กลัวฉันนักงั้นหรือ”
ริวยะแกล้งถามเสียงเข้ม ทั้ง ๆ ที่ในใจก็อดนึกสงสารท่าทางหวาดระแวงของเด็กหนุ่มไม่ได้
“มานี่สิ มาให้ฉันกอดหน่อย”
ยูคิยืนขาแข็งไม่ยอมทำตาม ใบหน้าแดงระเรื่อ กับคำพูดทื่อ ๆ ของอีกฝ่าย
...ผู้ชายคนนี้ ไม่เคยคำนึงถึงสถานที่เลยสักนิด ถึงจะไม่แคร์ว่าอยู่ในบ้านของตัวเองก็เถอะ แต่เขาไม่เหมือนกันนะที่จะยอมปล่อยให้ถูกกอด ถูกจูบ ในห้องนั่งเล่น ที่ใคร ๆ ก็สามารถเดินผ่านไปมาได้แบบนี้…
“ดื้ออีกแล้วนะ”
ชายหนุ่มบ่น และไม่รอให้อีกฝ่ายเดินมาหา เขากลับเป็นฝ่ายเดินเข้าไป และดึงร่างบางเข้ามากอดเสียเอง
“ยะ...อย่าครับ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”
คำปฏิเสธนั้นทำให้คนฟังลอบยิ้ม ทำไมจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอย่างไร แต่เขาก็แค่อยากจะแกล้งเด็กหนุ่มเท่านั้น เพราะเจ้าสีหน้าเขินอาย ปนลำบากใจนั่น มันช่างน่ารัก น่าเอ็นดู ชนิดที่ว่า มองเท่าไหร่ก็ไม่รู้สึกเบื่อ
“ไม่เห็นเป็นไร อยากเห็นก็เห็นไป ขอแค่ไม่เข้ามาขัดจังหวะก็ใช้ได้แล้ว”
บอกออกไปพลางเฝ้ารอดูปฏิกิริยา แล้วก็เป็นดังเช่นคาด อีกฝ่ายใบหน้าแดงก่ำ พลางพยายามดันร่างออกจากอ้อมกอดเขาให้ได้
“ไม่เอาครับ... อ๊ะ!”
ยูคิสะดุ้งเฮือก อุทานออกมาเบา ๆ เมื่อมือใหญ่แหวกสาบเสื้อของตน เข้ามาลูบคลำผิวใต้ร่มผ้าไปมา สร้างความเสียวซ่าน และปลุกเร้าอารมณ์ปรารถนาให้ตื่นขึ้นอย่างง่ายดาย
“รู้สึกง่ายเหมือนเดิมนะ น่ารักเสียจริง…”
ริวยะกล่าวชมเสียงแหบพร่า พลางช้อนร่างบางอุ้มขึ้นตรงกลับห้องนอนของตนทันที เพราะขืนอยู่ที่นี่นานกว่านี้อีกนิด เขาคิดว่า คงจะควบคุมตัวเองไม่ให้แตะต้องเด็กหนุ่มมากไปกว่านั้นไม่ได้แน่
ร่างบางซุกหน้ากับอกกว้าง พลางขยุ้มเสื้อสูท และบ่นพึมพำอะไรบางอย่างกับชายหนุ่มอุบอิบ ใบหู หน้าตา ตลอดไปจนถึงลำคอ แดงก่ำไปหมด ซึ่งพอริวยะได้ฟังแล้วก็ต้องเหยียดยิ้ม ก่อนจะกระซิบตอบกลับอีกฝ่ายแผ่วเบา
“โอเค ๆ ฉันเข้าใจ คราวนี้ฉันไม่ทำให้เธอต้องขาดเรียนอีกแน่ สัญญา”
แล้วทั้งคู่ ก็หายเข้าไปในห้อง แม้กระทั่งเวลาอาหารเย็นแล้วก็ยังไม่ออกมา ซึ่งคนในบ้านก็ไม่มีใครคิดไปตาม เพราะเป็นอันรู้กันว่า หากทั้งคู่อยู่ด้วยกันสองต่อสองภายในห้อง ถ้าไม่มีธุระด่วนชนิดคอขาดบาดตายจนถึงขนาดต้องเข้าไปตาม ห้ามเฉียดเข้าไปใกล้บริเวณดังกล่าวเด็ดขาด
และวันนี้ก็เช่นกัน กว่าริวยะจะยอมปล่อยตัวยูคิออกมาได้ ก็เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนกว่า ซึ่งเด็กหนุ่มพอกลับถึงห้องก็ฟุบหลับทันทีด้วยความอ่อนเพลีย ไปตื่นอีกทีก็เกือบแปดโมงเช้า ซึ่งก็ทำให้เขาเกือบจะต้องขาดเรียนไปอีกวันเสียแล้ว
====
TBC
====
ทยอยแปะจ้า เร็วบ้าง ช้าบ้าง เยอะบ้าง น้อยบ้าง ขึ้นอยู่กับความยุ่งส่วนตัวนะคะ ช่วงนี้ใช้สายตาตรวจทานนิยาย(เรื่องอื่น)อย่างหนักจนตาล้าเลย (พันกว่าหน้า เอ 5 ตรวจมาหลายรอบจัด - - แต่ตรวจทีไรก็เจอคำผิดหลุดมาประจำ- -*)
แล้วเจอตอนใหม่พรุ่งนี้ค่ะ พรุ่งนี้จะแปะชดเชยให้ 2 ตอนนะคะ วันนี้ลาไปนอนก่อนล่ะค่ะ --/