พระเอกเรากลายเป็นที่น่าหมั่นไส้ซะแล้ว เพราะความ ขี้อาย (ตายล่ะ) ของเจ้าตัว (หุ ๆ)
มาต่อแล้วนะคะ ให้ควบสองตอนตามคำเรียกร้อง~====
บทที่ี่ 7
====
ยูคิลืมตาตื่นขึ้นอย่างงัวเงีย แสงแดดบาง ๆ ที่ลอดผ่านเข้ามาทางกระจกหน้าต่างบานใหญ่ ทำให้เขาต้องเอามือบังแสงไม่ให้แยงตา
“คุณยูคิคะ เช้าแล้วค่ะ ได้เวลาตื่นแล้ว วันนี้คุณริวยะจะพาคุณไปโรงเรียนนะคะ”
“หือ? โรงเรียน?” ยูคิทวนคำงง ๆ ก่อนจะเบิกตาโพลงในเวลาต่อมา
“โรงเรียนใหม่ยังงั้นหรือครับ!”
ชิโนะแย้มยิ้มอ่อนโยนให้ และหยิบชุดเครื่องแบบของโรงเรียนที่ยูคิมองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นของโรงเรียนเอกชนเกรดหรู
“ง่า...คุณริวยะ จะให้ผมไปเรียนโรงเรียนนี่จริง ๆ หรือครับ”
ชิโนะเลิกคิ้วมองเด็กหนุ่มด้วยความแปลกใจ ก่อนจะถามยิ้ม ๆ
“ทำไมล่ะคะ โรงเรียนเอกชนยามิคุระ ไม่ถูกใจคุณยูคิตรงไหนหรือคะ ดิฉันว่าที่นั่น การเรียนการสอนก็ดี และเครื่องมืออุปกรณ์ก็ทันสมัย คนในตระกูลมุราคามิส่วนใหญ่ก็จบจากที่นั่นแทบทุกคนล่ะค่ะ”
พอได้ยินชื่อโรงเรียน ยูคิก็กลืนน้ำลายลงคอ โรงเรียนเอกชนยามิคุระ โรงเรียนที่ชาตินี้ แม้แต่ฝันเขาก็ยังไม่อยากจะกล้านึกถึง
โรงเรียนแห่งนี้ขึ้นชื่อ เรื่องความหรูหรา ไฮโซ ของบรรดานักเรียนในโรงเรียน ระดับของแต่ละคนก็ขนาด ลูกผู้จัดการ ประธานบริษัท หรือ นักการเมือง ประมาณนั้น
ด้วยค่าเทอมที่แพงหูฉี่ ชนิดเงินเดือนทั้งปีของพ่อเขา ก็ส่งเขาเรียนแทบจะไม่ไหว และไม่ต้องสงสัยว่าตลอดการเรียนทั้งเทอม จะมีกิจกรรมให้ต้องควักกระเป๋าใช้จ่ายอีกเท่าไหร่ ซึ่งสรุปแล้ว เป็นโรงเรียนที่อยู่กันคนละโลกกับที่ยูคิเคยอยู่มา
...แล้วริวยะ จะส่งเขานี่นะ ให้ไปอยู่ในสังคมแบบนั้น ...
“ง่า...ผมว่า คงไม่ไหวหรอกมั้งครับ อย่างผมนี่นะจะให้ไปเรียนในที่แบบนั้น ไม่อยากนึกเลยเชียวล่ะ”
“แต่คุณริวยะตัดสินใจเรียบร้อยแล้วค่ะ คุณยูคิคงจะไม่...”
ชิโนะกล่าวเตือนด้วยความหวังดี ซึ่งยูคิก็พยักหน้ารับอย่างปลง ๆ
“ครับ ผมทราบ...แค่ไม่กี่วันที่อยู่ที่นี่ ทำให้ผมพอจะเข้าใจนิสัยของคน ๆ นั้นดีพอควรเลยล่ะ”
เด็กหนุ่มบอกด้วยน้ำเสียงประชดนิด ๆ ซึ่งชิโนะก็ยิ้มรับอย่างไม่สู้ดีนัก และจึงขอตัวเลี่ยงไปเตรียมอาหารเช้าต่อไป
...คิดยังไงของเขากันแน่นะ จับเราไปอยู่ในโรงเรียนแบบนั้น เฮ่อ! แต่ถ้าถามก็คงไม่ได้คำตอบอีกตามเคยนั่นล่ะ...
ยูคิคิดในใจแล้วก็ต้องหน้าแดงวาบ เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นตอนหัวค่ำเมื่อวาน
...บ้าชะมัด คนอะไรก็ไม่รู้ ไม่เข้าใจเลยว่าคิดอะไรอยู่กันแน่! …
เด็กหนุ่มบ่นกับตัวเองแล้วก็ต้องถอนหายใจ เหลือบไปมองเครื่องแบบบนเตียง ก็ยิ่งกลุ้มหนัก จากนั้นเจ้าตัวก็หายเข้าไปในห้องน้ำสักพัก และกลับมาหยิบชุดเครื่องแบบไปใส่อย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก
ริวยะวางกาแฟลงช้า ๆ โดยที่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ร่างบอบบางที่ก้าวเข้ามาในห้องอาหาร
...เหมาะจริง ๆ นั่นล่ะ...
ความคิดแรกที่แวบเข้ามาในสมองของชายหนุ่ม เครื่องแบบของยามิคุระ เป็นของแบรนด์แนมอยู่แล้ว ไม่ว่าใครใส่ก็หรูหราดูดีขึ้นมาแทบทั้งนั้น แต่สำหรับยูคิ ต้องบอกว่า เครื่องแบบนักเรียนดังกล่าว เหมาะกับเด็กหนุ่มมากทีเดียว...แต่พอดู ๆ ไปเขาก็ชักเริ่มไม่ค่อยชอบใจนิด ๆ เสียแล้วสิ
เนื่องจากช่วงนี้เป็นฤดูร้อน เครื่องแบบจึงถูกดีไซน์เป็นแขนสั้น เนื้อผ้าก็บาง ๆ พลิ้ว ๆ ชนิดว่าถ้าเปียกน้ำ คงจะเห็นไปถึงไหนต่อไหน ...ริวยะขมวดคิ้วนิด ๆ ยิ่งมองก็ยิ่งไม่ค่อยจะสบอารมณ์ ดูท่าเขาคงจะต้องไปปรึกษากับ ยามิคุระ อิชิโจ เจ้าของโรงเรียนยามิคุระ คนปัจจุบัน เสียหน่อยแล้วว่า ควรจะให้ทางโรงเรียนเปลี่ยนดีไซน์เสื้อผ้าฤดูนี้ ให้มันมิดชิด ไม่ล่อแหลมต่อสายตาคนมองจนเกินไปนัก
ยูคิเข้ามานั่งตรงกันข้ามกับชายหนุ่มด้วยท่าทางหวาด ๆ ยิ่งเหลือบมองคนตรงหน้า ก็ยิ่งรู้สึกอึดอัด ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมชายหนุ่มถึงจ้องเขาเขม็ง แถมยังมีสีหน้าไม่ค่อยจะพอใจแบบนั้น ... บางทีคงจะคิดได้แล้วมั้งว่า คนธรรมดาเดินดินอย่างเขาไม่เหมาะกับเครื่องแบบโรงเรียนชื่อดังแบบนี้ นี่ขนาดเสื้อผ้า ยังถูกจับผิดเสียขนาดนี้แล้ว
เด็กหนุ่มคิดเอาเองฝ่ายเดียว โดยไม่ได้รู้ถึงต้นสายปลายเหตุอันแท้จริงแม้แต่น้อย และเมื่อชิโนะยกอาหารเข้ามา ริวยะจึงรู้ตัวว่าเขาจ้องอีกฝ่ายนานเกินไป จนผิดสังเกต
“ทานข้าวได้แล้ว”
ริวยะกล่าวสั้น ๆ ห้วน ๆ ซึ่งยูคิก็รีบก้มหน้าก้มตาทานทันที ด้วยความหวั่นเกรง ขณะทานอาหารเขาเหลือบมองคนตรงข้ามเป็นระยะ ๆ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทั้ง ๆ ที่เมื่อวาน ชายหนุ่มดูอ่อนโยน นุ่มนวล ขนาดนั้น แต่ไหงมาวันนี้ ถึงกลับมาบึ้งตึง เย็นชาใส่เขาอีกแล้ว
“เชิญครับ คุณยูคิ” ทาคุซึ่งยืนรออยู่ที่รถ เปิดประตูให้ยูคิก้าวขึ้นไปบนรถ ซึ่งเด็กหนุ่มก็มีทีท่าเขิน ๆ เล็กน้อย เพราะไม่เคยมีใครปฏิบัติต่อเขาแบบนี้มาก่อน
และประตูอีกด้าน อากิระ ก็เปิดให้ริวยะขึ้นไปนั่งที่เบาะหลังเคียงข้างเด็กหนุ่ม ซึ่งมีสีหน้ากระอักกระอ่วน อย่างเห็นได้ชัด จนคนเปิดประตูต้องหันไปลอบยิ้มอีกด้านหนึ่ง
“ออกรถได้แล้ว”
ริวยะสั่ง จากนั้นอากิระซึ่งเป็นคนขับ ก็เคลื่อนรถออกจากบริเวณบ้าน โดยมีทาคุนั่งไปด้วยกันที่เบาะด้านหน้า
ยูคิเดินตามร่างสูงต้อย ๆ เข้าไปยังห้องผู้บริหาร ซึ่งภายในนั้นมีชายหนุ่มหน้าตาดี วัยพอ ๆ กับริวยะ นั่งอยู่บนเก้าอี้ผู้บริหาร พลางมองมายังพวกเขาทั้งสองด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มแปลก ๆ
“ไงริวยะ มาเลทไปหลายวันเลยนะ ไหนนัดว่าจะฝากเด็กนักเรียนให้ฉันดูแล ตั้งแต่เมื่อ 3 – 4 วันก่อนไม่ใช่หรือไง แล้วทำไมเพิ่งมาวันนี้ล่ะ”
น้ำเสียงนั้นถามค่อนข้างจะยั่วเย้า มากกว่าจะต้องการคำตอบ ซึ่งริวยะก็เดินตีสีหน้าเคร่งขรึม มานั่งยังโซฟารับแขกภายในห้อง โดยมียูคิซึ่งเดินหน้าแดงตามมาติด ๆ
“พอดีฉันมีธุระด่วนนิดหน่อย เลยมาไม่ได้” เจ้าตัวบอกแค่นั้นพลางเหลือบไปมองร่างบางที่นั่งก้มหน้างุด ๆ ใกล้ ๆ ใบหน้าแดง ๆ เขิน ๆ นั้น ทำให้ชายหนุ่มเผลอยิ้มออกมาแวบหนึ่งอย่างลืมตัว
“จริงสิธุระด่วน ...มิน่าล่ะ มานาเบะมันก็บอกฉันอยู่เหมือนกัน ว่าช่วงนี้ธุระนายมันเยอะ ต้องรีบกลับบ้านแต่หัวค่ำทุกวัน เพื่อนฝูงชวนไปดื่มก็ไม่ยอมไป”
ยามิคุระ อิชิโจ นอกจากจะเป็นเจ้าของโรงเรียนเอกชนยามิคุระ รุ่นที่ 5 เขายังเป็นเพื่อนนักเรียนร่วมรุ่นของมานาเบะ และริวยะ อีกด้วย ดังนั้นเรื่องส่วนตัวของริวยะ ถ้าเขาหรือ มานาเบะรับรู้ คนที่เหลือก็จะพลอยได้รับรู้ไปโดยปริยาย
“ไอ้หมอบ้านั่น...” ชายหนุ่มสบถบ่นพึมพำเบา ๆ ในลำคอ ซึ่งอิชิโจเห็นดังนั้นก็แอบซ่อนยิ้มไว้ในสีหน้า พลางเดินเข้ามาหายูคิ และลูบผมนุ่ม ๆ นั้นเล่นอย่างเอ็นดู
“ทานากะ ยูคิ ใช่ไหม”
ยูคิพยักหน้ารับอย่างเขิน ๆ แต่คนที่อยู่ใกล้ ๆ ถลึงตามองมายังเพื่อนเก่าราวกับจะกินเลือดกินเนื้อเลยทีเดียว
อิชิโจหันไปเห็นสีหน้าริวยะ ก็ยิ่งนึกอยากแหย่เข้าไปอีก เขาดึงให้เด็กหนุ่มลุกขึ้นและเดินโอบไหล่พาไปด้วยกันที่ประตูห้อง โดยที่ยูคิก็ยังคงงง ๆ จับต้นชนปลายไม่ถูกขณะที่ชายหนุ่มอีกคนชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะตามมาด้วยอารมณ์โกรธ อย่างยากจะควบคุม
“อิชิโจ!”
ริวยะเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงห้วน ทำเอาคนทั้งคู่หันมามอง โดยที่อิชิโจยังคงมีสีหน้าระรื่นเป็นปกติ หากยูคิกลับหน้าซีดลงอย่างเห็นได้ชัด เพิ่งเคยจะได้เห็นสีหน้าโกรธเกรี้ยวของอีกฝ่ายเป็นครั้งแรก เนื้อตัวมันเลยพาลสั่นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“อะไรอีกล่ะ ฉันแค่จะพานักเรียนใหม่ ไปส่งที่ห้องเรียนเอง แค่นี้ก็ทำเป็นหวงไปได้” อิชิโจบอกยิ้ม ๆ พลางปล่อยมือที่จับบ่าร่างบางออก ไม่ใช่เพราะกลัวริวยะ แต่หากเพราะสงสารคนที่ตัวสั่นอยู่ใกล้ ๆ นี่ต่างหาก
“นายนี่นะ ริวยะ เมื่อไหร่จะเลิกนิสัยขี้หึง โมโหง่ายแบบนี้เสียที ดีนะที่ฉันกับมานาเบะมันพวกมาโซฯ เลยรองรับอารมณ์ของนายได้ ถ้าเป็นคนอื่นน่ะเหรอ เขาเผ่นป่าราบ กันไปนานแล้ว!”
เจ้าตัวพูดกึ่งจริง กึ่งเล่น ทำเอาคนฟังค่อยคลายอารมณ์หงุดหงิดลงไปได้บ้าง ริวยะสบถกับตัวเองเบา ๆ ตั้งแต่มียูคิมาอยู่ด้วย เขารู้สึกว่าตัวเองจะอ่อนไหวง่ายกว่าเดิม โดยเฉพาะถ้าเรื่องเหล่านั้นเกี่ยวข้องกับเด็กหนุ่มโดยตรง
“นายก็เลิกนิสัยแย่ ๆ ชอบแหย่ชาวบ้านได้แล้วเหมือนกันล่ะน่า”
ริวยะประชดใส่เพื่อนสนิท ซึ่งอิชิโจได้ฟังก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี
“ฮ่า ๆ มันเป็นสันดานแล้วล่ะ ช่วยไม่ได้นี่ หือ เป็นอะไรไปหรือยูคิคุง”
เจ้าตัวชะงัก เพราะหันมาเห็นสีหน้า อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ของคนข้าง ๆ
“คือ...ผม อยากรู้ว่าตัวเองต้องอยู่ห้องไหนน่ะครับ”
เด็กหนุ่มตัดสินใจถามออกไป เขาพอจะรู้มาบ้างว่าการจัดการเรียนในสถาบันนี้แตกต่างกันออกไปในแต่ละระดับชั้น โดยตัวแปรของความแตกต่างนั้น มักจะมาจากสติปัญญาของผู้เรียน หรือไม่ก็อำนาจเงินทองของผู้ปกครองเด็ก และเขาจะรู้สึกสบายใจมากขึ้นถ้าตัวเองได้อยู่ห้องที่มันธรรมดาที่สุดในโรงเรียนแห่งนี้
“อ๋อ ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นเลย ว่าไงริวยะ จัดให้เด็กนี่อยู่ห้อง Z เลยใช่ไหม”
“อืม...แล้วเด็กในห้อง...” ริวยะพยักหน้าแต่ยังคงลังเลอยู่บ้างเล็กน้อย
“ไม่ต้องห่วง อารากิ ก็อยู่ห้องนั้นด้วย หมอนั่นคนเดียวคุมนักเรียนได้ทั้งชั้นนั่นล่ะ”
อิชิโจ หมายถึงหลานชายของเขา ที่เรียนอยู่ในโรงเรียนแห่งนี้ และเป็นนักเรียนในห้อง Z ที่ยูคิจะไปอยู่ ซึ่งพอได้ฟัง ริวยะก็ค่อนข้างสบายใจขึ้นมาบ้าง
“อารากิ ...ถ้าเป็นเด็กนั่นก็พอวางใจได้”
“แต่ไม่รับประกันนะ เพราะอารากิปลื้มนายจะตาย ยิ่งถ้ารู้ว่ายูคิ เป็นสุดสวาทขาดใจของนาย หมอนั่นอาจจะอิจฉาขึ้นมาก็ได้”
คำกล่าวทื่อ ๆ ของเจ้าของโรงเรียนยามิคุระ ทำเอาคนฟังทั้งคู่สะดุ้ง โดยเฉพาะ ยูคิ เด็กหนุ่มอยากหาที่ซุกหน้าหลบเสียเหลือเกิน เพราะใบหน้าของเขายามนี้มันคงแดงก่ำไปหมดแล้ว
“ผะ...ผมว่า ขอผมอยู่ห้องธรรมดาจะดีกว่าครับ ...”
....แต่ถ้าเป็นไปได้ขออยู่โรงเรียนธรรมดาจะดีกว่านะ ....
คำพูดนั้นทำเอาคนฟังทั้งคู่หันมามองหน้ากัน ซึ่งอิชิโจ ก็ยิ้มน้อย ๆ อย่างเอ็นดู เพราะเข้าใจไปอีกอย่าง
“เอาน่า ๆ ฉันแค่ล้อเล่น อารากิ หลานฉันไม่ใช่คนชอบระรานใครหรอกน่า และถ้าเธอมีปัญหาอะไร มาปรึกษาฉันได้เสมอ”
“ไม่ใช่นะครับ!” ยูคิรีบแย้งเพราะเห็นอีกฝ่ายเข้าใจผิด
“คือ...ที่ว่าขออยู่ห้องธรรมดา เพราะผมไม่ได้มีความสามารถพิเศษอะไร จู่ ๆ ให้ไปอยู่ห้องพิเศษแบบนั้น”
ยูคิบอกออกไปเพราะเข้าใจดีว่า ห้อง Z ของโรงเรียน คือห้องคิงที่รวบรวมเด็กนักเรียนมีความสามารถ ไปจนถึง อำนาจบารมีที่มากกว่านักเรียนทั่วไป
ทว่าคราวนี้คำพูดของเด็กหนุ่มกลับทำให้ อิชิโจ แย้มยิ้ม ในขณะที่ ริวยะถอนหายใจเบา ๆ
“ยูคิคุง เธอคิดว่าฉันจะยอมรับเธอเข้ามาเรียนในโรงเรียนของฉันง่าย ๆ โดยไม่ผ่านการพิจารณาอะไร เพียงเพราะว่าเธอเป็นคนของริวยะเท่านั้นงั้นหรือ?”
“มะ...หมายความว่ายังไงครับ” ยูคิถามซื่อ ๆ แต่คำพูดต่อมาของผู้อำนวยการโรงเรียนหนุ่ม ทำให้เขาสะดุ้งโหยง
“สถาบันการเงิน T.K”
อิชิโจยิ้มน้อย ๆ เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเด็กหนุ่ม
“ไง...จำได้หรือเปล่าล่ะ ว่าผลงานใคร ที่เปิดโปงการทุจริตบริษัทนั้นชนิดดิ้นไม่หลุดน่ะ”
“คะ...คุณรู้ ...รู้ได้ยังไง ขนาดพ่อผม ยังไม่รู้เลยนะ”
ยูคิกล่าวเสียงสั่น ชักจะกลัวคนสองคนตรงหน้ามากขึ้นทุกที ผลงานที่เขาแอบแฮกเข้าไปในระบบของสถาบันดังกล่าว เพื่อล้วงเอาข้อมูลการทุจริตส่งให้พ่อเขาซึ่งเป็นนักข่าว โดยไม่ได้บอกที่มาที่ไปของแหล่งข่าวนั่น ทำให้พ่อของเขาได้รับรางวัลสื่อมวลชนยอดเยี่ยมประจำปีนั้นด้วย
“อย่าดูถูกการตามกลิ่นของ ‘มุราคามิ’ สิยูคิคุง ไม่ว่าเรื่องอะไร ถ้าคนพวกนี้อยากรู้ ไม่มีคำว่าไม่มีทางหรอกนะ”
อิชิโจกล่าวพลางหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ เมื่อ ผู้นำตระกูลมุราคามิคนปัจจุบัน ขมวดคิ้วนิดหนึ่ง เมื่อได้ฟังประโยคที่แสนจะทะแม่ง ๆ นั่น
“...จะเอาไปบอกตำรวจหรือเปล่าครับ”
ยูคิบอกเสียงอ่อย ๆ เพราะยังไงการกระทำของเขา มันก็ยังคงเข้าข่ายอาชญากรรมอยู่ดี แต่พออิชิโจได้ฟังชายหนุ่มก็เลิกคิ้ว พลางกล่าวกับอีกฝ่าย ด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
“เอาไปบอกให้ฉันโดนหมอนี่ฆ่าทิ้งงั้นรึ! เรื่องอะไรล่ะ เธอก็ทำถูกต้องแล้วนี่ ถึงวิธีการจะผิดก็เถอะ อีกอย่างได้บุคลากรที่มีความสามารถระดับนี้มาอยู่ในโรงเรียน ฉันก็ต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษอยู่แล้วจริงไหม?”
ชายหนุ่มกล่าวพลางหันไปยิ้มยั่วริวยะซึ่งกลับไปนั่งที่โซฟาและตีสีหน้าเคร่งขรึมอีกครั้ง ก่อนจะปรับเปลี่ยนเป็นอ่อนลง เมื่อเห็นสีหน้าไม่ค่อยสบายใจของยูคิ เขาเรียกให้เด็กหนุ่มมานั่งใกล้ ๆ เขาเช่นเดิม ซึ่งเจ้าตัวก็ยืนลังเลอยู่สักพัก และจึงตัดสินใจเดินไปนั่งข้าง ๆ ร่างสูงอย่างไม่มีทางเลือก
“เอาเถอะน่า ถ้าเธอมีปัญหาอะไร จริง ๆ ก็บอกอิชิโจได้ เพราะเขามีหน้าที่ดูแลเธอในโรงเรียนนี้แทนฉัน”
ชายหนุ่มกล่าวปลอบพลางตวัดสายตาคมกริบไปยังคนที่ยืนอยู่ ซึ่งอิชิโจก็ยักไหล่นิด ๆ ให้แทนคำตอบ
“แต่ถ้าปรับตัวเข้ากับที่นี่ไม่ได้จริง ๆ ...อยากจะย้ายกลับที่เก่าก็ไม่ว่าอะไร”
ประโยคถัดมา ทำให้ยูคิเงยหน้าขึ้นมองร่างสูงอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง
“จริงหรือครับ!”
“อืม” ริวยะรับคำและยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ซึ่งก็สร้างความตกตะลึงให้คนมองอีกครั้ง แม้กระทั่งอิชิโจเองก็ไม่อยากจะเชื่อสายตา
....มานาเบะ นายน่าจะมาอยู่ด้วยกันที่นี่จริง ๆ ว่ะ สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ไม่ค่อยได้เห็นกันบ่อยเชียวนะเพื่อนเอ๋ย...
และเหมือนคนถูกมองจะรู้ตัว ชายหนุ่มกระแอมเบา ๆ และวางท่าทีให้กลับเป็นเคร่งขรึมเช่นเคย จนคนที่คบกันมานานต้องแอบหันไปกลั้นหัวเราะทางอื่น ในขณะที่เด็กหนุ่มนั่งเอ๋อ ปรับอารมณ์ตามไม่ทัน
“เอาเป็นว่าเดี๋ยวฉันพาไปที่ห้องเอง!”
อิชิโจบอกหลังจากที่หายหัวเราะได้แล้ว ซึ่งยูคิก็หันมาพยักหน้ารับค่อย ๆ ในขณะที่ริวยะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้อำนวยการหนุ่มพาคนของเขาไปแนะนำตัวกับเพื่อนในชั้นต่อไปแทน
====
TBC
====