เรื่องนี้มีฉบับรีเมกค่ะ : ใครใคร่สนใจอ่านเปรียบเทียบก็เชิญค่ะ
กรงรัก พันธนาการใจ (ฉบับรีเมก)บทที่ 1
****************
ร่างบางพยายามดิ้นรนหนีจากอ้อมแขนแข็งแกร่งที่จับกดเขาสุดชีวิต ใบหน้าหวานราวหญิงสาว อาบนองไปด้วยน้ำตา นึกเสียใจที่ตัวเองเคยช่วยชีวิตอีกฝ่ายเอาไว้ แต่กลับต้องมาได้รับผลตอบแทนที่น่าเจ็บช้ำเช่นนี้ ย้อนหลังไปราว 2 อาทิตย์ก่อน
ทานากะ ยูคิ หนุ่มน้อยวัย 16 ปี กำลังเดินทางกลับบ้านของตนตามปกติ ร่างบางเดินมองตรงไปข้างหน้าแต่ในสมองกำลังคิดถึงเรื่องเมนูอาหารในมื้อเย็นนี้
ยูคิอาศัยอยู่กับบิดา ซึ่งมีอาชีพเป็นนักข่าวตามลำพังสองคน เพราะมารดาของเขาเสียชีวิตไปตั้งแต่เด็กหนุ่มอายุเพียง 5 ขวบเท่านั้น
แม้จะกำพร้าแม่ แต่ยูคิก็เติบโตมาด้วยความรักและการอบรมสั่งสอนของผู้เป็นพ่อ เด็กหนุ่มไม่เคยคิดโทษชะตาตนเอง เขามีความสุข และพอใจ กับการใช้ชีวิตอย่างทุกวันนี้
“แกรก!”
เสียงกรอกแกรก จากภายในซอยเล็ก ๆ แห่งหนึ่งทำให้เด็กหนุ่มที่กำลังเดินเหม่ออยู่ถึงกับสะดุ้งเฮือก เขาเหลือบไปมองแล้วก็ต้องอุทานแผ่วเบาในลำคอด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบวิ่งตรงไปยังต้นกำเนิดเสียงนั้นทันที
“คุณ! คุณครับ เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ!”
ร่างสูงของชายหนุ่มวัยประมาณ 25-30 ที่กึ่งนั่งกึ่งนอนเหยียดยาว พิงกำแพง กะพริบตาน้อย ๆ ก่อนจะเปิดเปลือกตาขึ้นมามองภาพ ของคนเบื้องหน้า
“....เธอ...ใคร...”
“ผม เอ่อ คือผมผ่านมาทางนี้เห็นคุณนอนเลือดโชกเลยเข้ามาดู อ๊ะ! ไม่ใช่สิ นี่ไม่ใช่เวลามาถามไถ่กันนะ ต้องพาคุณไปโรงพยาบาลแล้วล่ะ!”
กล่าวแล้วก็เหลียวมองซ้ายที ขวาที เพื่อหาคนมาช่วยอย่างลุกลี้ลุกลน ซึ่งร่างสูงก็เป็นฝ่ายจับแขนบางรั้งไว้ ก่อนที่เด็กหนุ่มจะวิ่งออกไปตามคนอื่นมาช่วย
“เดี๋ยว...ไม่ต้อง ... ปล่อยฉันไว้แบบนี้...แล้วเธอไปซะ!”
ยูคิอ้าปากค้างกับคำขอร้องแกมสั่งของอีกฝ่าย ก่อนจะโพล่งใส่ชายหนุ่มอย่างลืมตัว
“จะบ้าหรือไง เลือดออกจนจะหมดตัวแบบนี้นี่นะจะให้ปล่อยไว้ คุณไม่ใช่หมา ใช่แมว ที่ผมจะทำเป็นไม่สนใจได้หรอกนะ! ไม่สิ! ต่อให้เป็นหมาหรือแมว ถ้าเห็นว่ามันบาดเจ็บ ก็ต้องช่วยอยู่ดีนั่นล่ะ!”
บอกแล้วก็ตรงเข้าประคองร่างสูงกว่าตัวเอง ที่นั่งอึ้งไปชั่วครู่ด้วยความตกใจ เพราะไม่เคยมีใครที่กล้าพูดแบบนี้กับเขามาก่อนเลยสักครั้ง
“โธ่! ตัวหนักชะมัด แล้วผมจะแบกคุณไปไหวไหมเนี่ย”
ยูคิบ่นอุบ แต่ยังคงพยายามลากชายหนุ่มที่สูงกว่าตนเกือบยี่สิบเซนติเมตรด้วยความตั้งใจ
“...เธอพาฉันไปโรงพยาบาลไม่ได้...ถ้าอยากจะช่วย...ขอแค่หาโทรศัพท์ให้ฉันก็พอ...”
ร่างสูงยังคงยืนกรานหนักแน่น แถมขืนขาไม่ยอมให้เด็กหนุ่มพาไปง่าย ๆ ลำพังแค่ประคองไปเฉย ๆ ยูคิก็แทบจะไม่ไหวแล้ว มาเจอแบบนี้ เด็กหนุ่มยิ่งเหนื่อยหนักเข้าไปใหญ่
“ก็ได้ ๆ ยอมแพ้คุณแล้ว เอาแบบนี้ บ้านผมอยู่ถัดไปแค่ซอยเดียว คุณไปใช้โทรศัพท์ที่นั่นแล้วกัน!”
พอบอกออกไปแบบนั้น ก็ทำให้ชายหนุ่มให้ความร่วมมือ ยินยอมให้ยูคิประคองต่อไปได้ เด็กหนุ่มถอนหายใจกับตัวเองแผ่วเบา สังเกตบาดแผล และคำพูดของชายหนุ่มผู้นี้ ก็พอจะวาดภาพได้ว่า อีกฝ่ายไปเจอเหตุการณ์ เช่นไรมาบ้าง
….หวังว่าคงจะไม่ใช่พวกยากูซ่าตีกันหรอกนะ ......
ยูคิคิดในใจอย่างหวาด ๆ แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นจริง เขาก็ไม่สามารถทิ้งคนบาดเจ็บไว้ด้านหลังโดยไม่สนใจได้อยู่ดี
บ้านของยูคิเป็นบ้านเดี่ยวสองชั้นหลังเล็ก ๆ เนื่องจากเวลานี้ยังคงเป็นเวลาแค่สี่โมงเย็น บิดาของเขาจึงยังไม่กลับจากที่ทำงาน ยูคิกับชายแปลกหน้าผู้นี้จึงอยู่กันตามลำพังเพียงสองคนเท่านั้น
“เอ้านี่โทรศัพท์ แล้วขอผมทำแผลคุณด้วย”
ยื่นโทรศัพท์ให้ และหิ้วกระเป๋ายามายืนรอ เมื่อเห็นคนบาดเจ็บนิ่งไปสักพัก ก่อนจะพยักหน้าอนุญาต เขาจึงปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของอีกฝ่ายออก แล้วก็ต้องทำหน้าเบ้ เมื่อเห็นร่องรอยอันเกิดจากกระสุนปืน และคราบเลือดที่เริ่มแห้งกรังจับตัวกันเป็นก้อน
“อืม...ฉันไม่เป็นอะไร ฉันอยู่ที่ ......”
ชายหนุ่มกดปุ่มวางสายโทรศัพท์ พลางชำเลืองมองมายังยูคิ ที่กำลังทำแผลอย่างขะมักเขม้น
“ขอบใจ”
น้ำเสียงทุ้มนุ่มกล่าวขึ้น ทำให้ยูคิชะงักและเงยหน้าขึ้นมองต้นเสียง ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย ที่เขาไม่ได้ทันสังเกตแม้แต่น้อย เพราะมัวแต่ตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่ผ่านมา เพิ่งจะสะดุดสายตาของเขาเข้าก็ตอนนี้
...เป็นผู้ชายที่ดูดีชะมัดเลยแฮะ...
เด็กหนุ่มคิดในใจ นึกชื่นชมบุคลิกของคนตรงหน้ายิ่งนัก
“อืม...ไม่เป็นไร ผมช่วยเพราะอยากจะช่วยก็แค่นั้น”
ยูคิตอบออกไปอย่างจริงใจ ส่งผลให้ร่างสูงมองเขาด้วยสายตาแปลก ๆ อย่างที่ยูคิเองก็บอกไม่ถูก เด็กหนุ่มจึงก้มหน้าทำแผลต่อ สักพักเสียงกดออดเรียกหน้าบ้านก็ดังขึ้น
“ครับ ๆ ไปเดี๋ยวนี้ล่ะครับ...”
บอกแล้วก็ต้องชะงัก เพราะมือใหญ่ฉุดรั้งแขนเขาเอาไว้เสียก่อน จากนั้นร่างสูงก็ทำสัญญาณให้เขาเงียบลง และยันกายเดินโซเซ ไปยังหน้าต่างบานใหญ่ในห้องรับแขก เหลือบมองร่างที่กำลังยืนกดออดอยู่หน้าประตู แล้วก็ต้องถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“คนของฉันเอง ไปเปิดให้เขาเข้ามาเถอะ”
ยูคิพยักหน้ารับด้วยท่าทีตื่น ๆ พอเขาเดินไปเปิดประตู ก็พบกับชายหนุ่มหน้าตาดี ท่าทางเหมือนพนักงานบริษัทระดับสูง คนหนึ่งยืนรออยู่
“ขอโทษครับ ไม่ทราบว่าที่นี่รับคนบาดเจ็บไว้คนหนึ่งใช่หรือเปล่าครับ”
“อะ...เอ่อ ครับ เชิญครับ”
ยูคิบอกกับอีกฝ่ายด้วยท่าทีสุภาพเช่นกัน คนตรงหน้ามองยังไง ก็ไม่เห็นเหมือนพวกยากูซ่าอย่างที่เขาเคยคิด เพราะทั้งบุคลิก คำพูดจา และท่าทางสง่างามนั่น จะว่าไปแล้ว ผู้ชายอีกคนที่เขาช่วยไว้เองก็เช่นกัน ถ้าบอกว่าเป็นประธานบริษัท หรือคุณชายบ้านไหน ค่อยน่าเชื่อถือหน่อย
“คุณริวยะ ผมมารับแล้วครับ ขออภัยที่ความบกพร่องในหน้าที่ของผมทำให้คุณได้รับบาดเจ็บขนาดนี้”
ชายหนุ่มผู้มาใหม่ โค้งให้กับผู้ชายที่เขาเรียกว่า ริวยะ ด้วยท่าทางนอบน้อม จนยูคิประหลาดใจ แต่พอมาคิดถึงข้อสันนิษฐาน ว่าเขาอาจจะเป็นประธานบริษัทใหญ่ หรือคุณชายบ้านไหนนั่น ก็ทำให้เด็กหนุ่มไม่ค่อยจะติดใจอะไรนัก
“ไม่เป็นไร อากิระ บาดแผลแค่นี้เรื่องเล็ก เทียบกับ ที่เจ้าพวกนั้นโดนแล้ว ฉันว่าฉันยังเบากว่าเลยมั้ง”
น้ำเสียงทุ้มนุ่มกล่าวเรียบ ๆ ทว่า นัยน์ตาคมกริบคู่นั้นกลับวาวโรจน์ขึ้นมาวูบหนึ่งอย่างน่ากลัว ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ยูคิหันไปเห็นเข้าพอดี เด็กหนุ่มถึงกับกลืนน้ำลายลงคออย่างลืมตัว
“ง่า...ในเมื่อคุณเจอคนของคุณแล้ว ผมว่ารีบให้เขาพาคุณไปรักษาบาดแผลดีกว่า การปฐมพยาบาลของผม มันช่วยอะไรคุณได้ไม่มากเท่าไหร่ นักหรอกนะครับ”
แม้จะนึกกลัว แต่ก็ยังคงเป็นห่วงบาดแผลของคนตรงหน้า ซึ่งร่างสูงก็เงียบไปสักพัก จากนั้นจึงก้มหัวให้ยูคิเล็กน้อยแทนการขอบคุณ และผู้ชายที่ชื่ออากิระก็พาเขากลับไป ยูคิยืนส่งชายหนุ่มขึ้นรถเบนซ์สีดำคันใหญ่ จนลับตา และเดินกลับเข้ามาในบ้าน ทิ้งตัวลงบนโซฟาอย่างหมดแรง
“เฮ่อ วุ่นวายจังเลยแฮะวันนี้ ถ้าพ่อรู้เข้าคงตกใจแย่เชียวล่ะ”
เด็กหนุ่มทำท่าจะหลับในไม่ช้า แต่ก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อนึกขึ้นได้ว่า ลืมทำอาหารเย็นไปเสียสนิท
“เฮ่ย! ซวยแล้ว ทำไงดีล่ะ กับข้าวก็ยังไม่ได้ซื้อเข้ามาเลย ไปซื้อตอนนี้ก็....”
“ไงยูคิ พ่อกลับมาแล้ว หิวจังเลย มีอะไรกินบ้างล่ะลูก!!”
พูดไม่ทันขาดคำ ทานากะ มาซายะ ผู้เป็นพ่อก็กลับมาถึงบ้านเรียบร้อย ก่อนที่จะตกตะลึง อ้าปากค้าง และปราดเข้ามาดูลูกชายของเขาด้วยความตื่นตระหนก
“ยูคิ!! เป็นอะไรไป ทำไมเลือดเปื้อนเต็มตัวแบบนี้ บอกพ่อสิลูก!!”
“พ่อครับ! ใจเย็นครับ นี่มันไม่ใช่เลือดผม เป็นเลือดคนอื่นต่างหาก!”
ยูคิรีบอธิบายทันทีก่อนที่พ่อของเขาจะแตกตื่นไปยิ่งกว่านี้ เมื่อได้ยินดังนั้น ผู้เป็นบิดาจึงรีบคาดคั้นให้เด็กหนุ่มเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้เขาฟังทันที ซึ่งพอฟังจบ เขาก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ อย่างโล่งอก แต่ก็อดที่จะท้วงติงบุตรชายไม่ได้อยู่ดี
“มันก็ดีอยู่หรอกที่ลูกช่วยเขา แต่ว่าทีหลังต้องระวังด้วยนะ เพราะคนพวกนี้ อาจจะมีเบื้องหลังอะไรบางอย่างที่เราไม่รู้ก็เป็นได้”
“แต่เขาบาดเจ็บขนาดนั้น”
ยูคิแย้งเสียงอ่อย ซึ่งผู้เป็นพ่อก็จับศีรษะลูกชายเขย่าเบา ๆ อย่างเอ็นดู
“พ่อรู้ว่ายูคิเป็นเด็กดี พ่อเองถ้าเจอสถานการณ์แบบนั้นก็คงจะช่วย แต่ว่ายูคิควรจะโทรมาปรึกษาพ่อก่อนสักนิดก็ยังดีนี่นา”
“ครับ...” เด็กหนุ่มรับคำเสียงอ่อย และสองพ่อลูกก็นั่งคุยกันต่อถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น จนต่างฝ่ายต่างลืมเรื่องอาหารไปเสียสนิท สุดท้ายมื้อเย็นมื้อนั้นก็หนีไม่พ้นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่มีเหลืออยู่ในตู้กับข้าวจนได้
หลังจากเหตุการณ์อันน่าตื่นเต้นผ่านไป ยูคิก็กลับมาใช้ชีวิตประจำวันตามปกติที่ผ่านมา จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปหนึ่งอาทิตย์ ขณะที่เด็กหนุ่มกำลังเรียนหนังสืออยู่ เสียงประกาศจากวิทยุกระจายเสียงภายในโรงเรียนเรียกตัวเขาไปพบที่ฝ่ายปกครอง ก็ดังขึ้น
“ดูท่าจะโดนจับได้เรื่องแฮกข้อมูลโรงเรียนเสียล่ะมั้งยูคิ!”
เพื่อนร่วมห้องกล่าวแซว โดยที่ยูคิก็ยิ้มรับอย่างไม่ใส่ใจ แต่เขาเองก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่า โรงเรียนประกาศเรียกชื่อเขาทำไม
“เอ่อ...ขออนุญาตเข้าห้องครับ”
เด็กหนุ่มเคาะประตู แล้วเปิดเข้าไป แต่ก็ต้องตกใจเมื่อเห็น อาจารย์ซาโต้ อาจารย์ประจำชั้นของเขาเดินหน้าตาตื่นเข้ามาหา
“ทานากะ เมื่อครู่ทางโรงพยาบาลโทรมา คุณพ่อของเธอประสบอุบัติเหตุถูกรถชน อาการสาหัส”
ยูคิรู้สึกราวกับว่าประสาทสัมผัสรับรู้จะด้านชาไปหมดตั้งแต่ได้ยินคำพูดนั้น เบื้องหน้าเขาขาวโพลนไปชั่วขณะ ประโยคถัดมา ก็ฟังเลือนราง ไม่ชัดเจน มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่อาจารย์ซาโต้ เขย่าแขนของเขาเพื่อเรียกสติ
“ทานากะ! ฟังครูอยู่หรือเปล่า! ครูโทรเรียกรถแท็กซี่แล้ว เธอรีบไปเอากระเป๋าหนังสือมาเดี๋ยวนี้เลยนะ”
“คะ...ครับ”
ยูคิรับคำตะกุกตะกัก กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปในห้อง ซึ่งเพื่อน ๆ เมื่อเห็นสีหน้าของเด็กหนุ่มก็พากันตกใจ ไม่กล้าถามอะไร เพราะสีหน้าของเจ้าตัวยามนี้มันดูซีดเซียว ไร้สีเลือดอย่างน่ากลัว และเมื่อเขาออกไปจากห้องแล้ว เสียงอื้ออึงก็ดังขึ้นภายในห้องตามหลังไปติด ๆ
...ไม่เป็นไร พ่อต้องไม่เป็นอะไร ...
ระหว่างนั่งอยู่ในรถ ยูคิเฝ้าแต่ภาวนาให้พ่อของเขาปลอดภัย ใบหน้าซีด ๆ และร่างบางที่ตัวสั่นด้วยความหวั่นวิตก ทำให้อาจารย์สาว รู้สึกสงสารลูกศิษย์จับใจยิ่งนัก
“อย่าพึ่งคิดในแง่ร้ายเลยนะทานากะ บางทีคุณพ่อของเธออาจจะปลอดภัยแล้วก็ได้”
ยูคิพยักหน้ารับค่อย ๆ มือทั้งสองกำเข้าหากันแน่น แม้อยากจะเชื่ออย่างที่อีกฝ่ายปลอบโยน แต่หากไม่ได้เห็นผู้เป็นบิดาปลอดภัยกับตาตัวเอง ก็ไม่อาจคลายความกังวลภายในใจของเขาได้อยู่ดี
ทันทีที่รถแท็กซี่จอดสนิท ยูคิรีบวิ่งตรงไปยังเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ของโรงพยาบาล ถามหาห้องที่บิดาอยู่อย่างร้อนรน
“ผมเป็นลูกชายของทานากะ มาซายะ ที่ประสบอุบัติเหตุรถชนครับ ไม่ทราบว่าพ่อของผมอยู่ห้องไหนหรือครับ”
พยาบาลรีบเช็คข้อมูลให้อย่างรวดเร็ว และเป็นเวลาเดียวกับที่อาจารย์ซาโต้ วิ่งตามมาทันพอดี
“เชิญที่ห้องฉุกเฉิน ตึก B ชั้น 2 ได้เลยนะคะ”
“ขอบคุณครับ!”
กล่าวแล้วก็รีบเร่งฝีเท้าจากไปอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นาน เขาและอาจารย์ซาโต้ ก็มาหยุดยืนอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน
“คุณพ่อ....” ยูคิพึมพำเสียงแหบแห้ง ป้ายหน้าห้องที่ขึ้นว่ากำลังทำการผ่าตัดไม่ได้ช่วยให้เขารู้สึกใจชื้นขึ้นมาแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำยังเครียดหนักเข้าไปอีก เมื่อเห็นแพทย์ออกมาสั่งพยาบาลให้วิ่งไปเตรียมเลือดเพื่อใช้ในการผ่าตัดมาเพิ่มด่วน
หกชั่วโมงแห่งการรอคอย ยูคิยังคงนั่งเฝ้าอยู่หน้าห้องผ่าตัดไม่ยอมห่าง อาจารย์ซาโต้เองก็ยังไม่ยอมกลับ และนั่งรอเป็นเพื่อนเด็กหนุ่ม ยูคิซาบซึ้งในน้ำใจของหล่อนเหลือเกิน เพราะเวลานี้ การที่มีคนอยู่เป็นเพื่อน แม้เพียงคนเดียวก็ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นใจยิ่งนัก
ยูคิรีบลุกขึ้นพรวดแทบจะทันทีที่สัญญาณไฟหน้าห้องผ่าตัดเปลี่ยนสี การปรากฏกายของนายแพทย์ซึ่งมีสีหน้าอ่อนล้า สร้างความหวาดหวั่นให้กับเขาไม่น้อย และแล้วคำพูดที่ออกจากปากนายแพทย์ผู้นั้น ก็ทำให้เด็กหนุ่มถึงกับตกตะลึง หัวใจแทบจะหยุดเต้นลงไปในทันทีทันใด
“เสียใจด้วยครับ ทางเราพยายามเต็มที่แล้ว แต่ก็ช่วยไว้ไม่ได้….”
คำพูดต่อมาไม่ได้เข้าหูเขาอีกแล้ว เบื้องหน้าของเด็กหนุ่มกลับกลายเป็นว่างเปล่า ขาวโพลนไปหมด เขาแว่วเสียงร้องโวยวายด้วยความตกใจ จากอาจารย์ซาโต้ และ เสียงเรียกหาพยาบาลของนายแพทย์ ก่อนที่เสียงต่าง ๆ จะค่อย ๆ เลือนหายไป เหลือเพียงความมืดมิดอันไร้ซึ่งสรรพเสียงเท่านั้น….
ยูคิ กระพริบตาขึ้นมองแสงไฟนีออนจากเพดาน เขาได้ยินเสียงอาจารย์ซาโต้คุยกับนายแพทย์หนุ่ม เรื่องการจัดการศพพ่อของเขา เด็กหนุ่มรับรู้ข้อความด้วยสีหน้าและแววตาว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่หยดน้ำตาบนดวงตาคู่งามให้เห็น ไม่มีแม้กระทั่งปฏิกิริยาใด ๆ ตอบรับ ในขณะที่คนทั้งคู่ เดินเข้ามาดูอาการของเขา
“ทานากะ ...โธ่เอ๋ย คงจะช็อกมากสินะ”
อาจารย์ซาโต้กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เมื่อเห็นสภาพลูกศิษย์ของตนยามนี้
“เด็กไม่มีญาติคนอื่นแล้วใช่ไหมครับ”
“ค่ะ คุณหมอ แต่ดิฉันและทางโรงเรียนยินดีรับดูแลเรื่องนี้เอง ไม่ต้องห่วงนะคะ”
“ครับ ผมเข้าใจ เอาเป็นว่าคืนนี้ให้เด็กนอนพักที่โรงพยาบาลคืนหนึ่งก่อนนะครับ พรุ่งนี้ค่อยมารับตัวกลับ ส่วนศพทางโรงพยาบาลจะนำไปเก็บไว้ที่ห้องดับจิตให้ก่อนแล้วกันครับ”
“ค่ะ ขอบคุณคุณหมอมากนะคะ ดิฉันขอตัวลาล่ะค่ะ ครูไปแล้วนะจ๊ะ ทานากะ”
อาจารย์ซาโต้หันมากล่าวอำลา ซึ่งยังคงไม่มีปฏิกิริยาตอบรับจากลูกศิษย์ของเธออยู่ดี
“.......”
อาจารย์สาวถอนหายใจยาว และจึงจากออกไปพร้อมนายแพทย์หนุ่ม ในห้องนั้นจึงเหลือเพียงแค่ยูคิตามลำพัง
... มันก็แค่ความฝัน ...เป็นเพียงฝันร้าย ไม่ใช่ความจริง ...
เด็กหนุ่มตอกย้ำตัวเองอยู่เช่นนั้น รู้ทั้งรู้ว่ามันคือการโกหกตัวเอง ทว่า หัวใจกลับไม่อาจยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นกะทันหันเช่นนี้ได้ ...
เวลาล่วงเลยผ่านไป อาจารย์ซาโต้ ยังคงเป็นธุระจัดการเรื่องทั้งหมดให้กับเด็กหนุ่ม ทั้งการประสานงานเรื่องค่ารักษาพยาบาล ไปจนถึงการจัดพิธีศพ
ตลอดงาน ยูคิยังคงนั่งซึม ไม่ทักทายใคร แม้เพื่อนฝูงจะพยายามหาทางปลอบใจขนาดไหน เขาก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับกับใครทั้งสิ้น จนกระทั่งวันเผาศพมาถึง ด้วยความที่สองพ่อลูกเป็นคนดี และมีน้ำใจไมตรีกับเพื่อนฝูงอยู่เสมอ ทำให้บรรดาอาจารย์ นักเรียน ตลอดจนเพื่อน ๆ นักข่าวของมาซายะ พากันมาร่วมงานอย่างคับคั่ง คนเหล่านั้นจับกลุ่มคุยกันด้วยความสงสารยูคิ ลูกชายของผู้ตายที่บัดนี้เหลืออยู่ลำพังเพียงคนเดียว
“เด็กไม่มีญาติที่ไหนแล้วใช่ไหม”
“ใช่ เหลืออยู่ตัวคนเดียวนี่ล่ะ”
“น่าสงสารจัง จะมีใครรับอุปการะไปเลี้ยงได้บ้างไหมนะ”
“ก็อยากช่วยอยู่หรอก แต่เศรษฐกิจแบบนี้ แค่ตัวเองลำพังก็จะเลี้ยงไม่รอดอยู่แล้ว”
ประโยคสนทนาดังกล่าว ผ่านเข้าหูของเด็กหนุ่มตลอดเวลา เพราะไม่ว่าใครก็พร้อมใจกันพูดแต่เรื่องนี้ ทว่า เขาเองกลับไม่คิดใส่ใจ ...ไม่สิ ยามนี้ เขาคิดอะไรไม่ออกต่างหาก
จู่ ๆ เสียงฮือฮาก็ดังขึ้นไปทั่ว มื่อร่างสูงสง่าในชุดสูทสีดำปรากฏกายขึ้นกลางงาน และเดินตรงมาหยุดอยู่หน้ายูคิ ซึ่งยังคงยืนนิ่งมิได้รับรู้อะไร รอบกาย
“ทานากะ ยูคิ”
น้ำเสียงทุ้มนุ่ม ทรงอำนาจ กล่าวเรียกชื่อของเด็กหนุ่มอย่างช้า ๆ และชัดถ้อยชัดคำ ซึ่งก็ทำให้คนที่ไม่ยอมรับรู้อะไรตลอดหลายวันที่ผ่านมา เงยหน้าขึ้นมองในที่สุด
“ฉันมารับ ต่อไปนี้เธออยู่ในความดูแลของฉันแล้ว”
คำพูดนั้นสร้างความตกตะลึงให้ทุกคนในงาน โดยเฉพาะเพื่อน ๆ นักข่าวของมาซายะ ไม่มีใครที่ไม่รู้จักบุรุษตรงหน้า “มุราคามิ ริวยะ” ประธานบริษัทอุตสาหกรรมซอฟท์แวร์ ชื่อดังย่านอากิฮาบาระ คุณชายแห่งตระกูลมุราคามิอันเก่าแก่ ผู้มีอิทธิพลขนาดที่นักการเมืองหลายคน ยังต้องเคารพพินอบพิเทา
“คำตอบล่ะ ทานากะ ยูคิ”
คำถามพร้อมกับมือใหญ่ที่ยื่นส่งมาให้ตรงหน้าเด็กหนุ่ม ยูคิจ้องมองมือข้างนั้นนิ่ง ก่อนจะตัดสินใจยื่นมือเล็ก ๆ ของตนวางลงไป เด็กหนุ่มไม่รู้หรอกว่า อีกฝ่ายทำไปเพื่อต้องการสิ่งใด แต่สิ่งเดียวที่เขารับรู้ก็คือ เจ้าของมือที่ยื่นส่งมาให้ ต้องการเขา ... เขาซึ่งไม่เหลืออะไรอีกแล้วในชีวิตนี้
“ผมจะไปกับคุณครับ”
เด็กหนุ่มรับคำแผ่วเบา และนอกจากกล่องใส่อัฐิของบิดา เขาก็ไม่ได้นำสิ่งใดติดกายไปด้วยเลย ซึ่งดูเหมือนว่าริวยะเองก็ตั้งใจให้เป็นเช่นนั้น เพราะชายหนุ่มจัดการพายูคิไปพร้อมกับเขาทันที โดยไม่ได้แคร์สายตาของคนอื่น ๆ ที่จับจ้องมา แต่ไม่กล้าเข้ามายุ่งแม้แต่น้อย
--------
TBC
--------