---RRR---
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นในช่วงสายๆของวันนั้น ทำเอาเจ้าของเครื่องที่กำลังนอนตะแคงข้างหันหลังให้คนรักโดยที่มีอ้อมกอดแข็งแรงคอยให้ความอบอุ่นอยู่ทั้งคืนต้องขมวดคิ้วแล้วหรี่ตาพยายามตื่น มือเรียวคว้าสะเปะสะปะไปที่มาของเสียง ก่อนจะกดรับมัน
" ฮัลโหล.. "
" เจือ..นี่แม่เองนะลูก "
เสียงอ่อนโยนจากปลายสายนั่นทำให้จุนเจือต้องตื่นเต็มตา ร่างบางในอ้อมกอดของทินกฤตผุดลุกขึ้นนั่งทันที จนทำให้ต้องกัดปากเพราะความเจ็บที่ขยับตัวอย่างรวดเร็ว อดที่จะหันไปมองคนที่นอนหลับอยู่อย่างโกรธนิดๆไม่ได้
แรงขยับลุกของเด็กหนุ่มทำให้คนที่กำลังหลับสบายบนเตียงคิงไซส์ที่มองเห็นวิวของเมืองโอซาก้าได้อย่างถนัดตาต้องรู้สึกตัวตื่นตามไปด้วยมือแกร่งละจากเอวมาขยี้ตาเบาๆ เหลือบมองเห็นแผ่นหลังเปลือยเปล่าของคนรักก็ยิ้มออกมา ก่อนจะต้องนิ่งไปเมื่อได้ยินว่าเด็กหนุ่มกำลังคุยกับใคร
" แม่..มีอะไรเหรอครับ? "เสียงของเขาสั่น แต่จุนเจือก็พยายามสะกดกลั้นความเจ็บปวดที่มันตีย้อนขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจ
"เป็นยังไงบ้าง...นี่แม่โทรมาปลุกหรือเปล่า ที่นี่เพิ่งจะเจ็ดโมง" เพราะเข้าใจดีว่าลูกชายของตนนั้นมักจะตื่นสายอยู่บ่อยครั้ง เสียงผู้เป็นแม่ถามออกมาอย่างเกรงใจ อันที่จริงนับแต่วันที่ส่งลูกชายคนเดียวมาอยู่กับพี่สาวที่ญี่ปุ่นนี่เธอก็โทรมาหาแทบจะนับครั้งได้
..ไม่ใช่ว่าไม่ห่วง ...
แต่เป็นเพราะยังไม่แน่ใจว่าจะสรรหาคำพูดไหนมาพูดกับลูกชายมากกว่า ทั้งๆที่เคยคิดว่ารู้จักเด็กคนนี้ในทุกๆแงมุมของชีวิตแล้วเสียอีก
" ไม่..ไม่เป็นไรครับแม่..เจือตื่นแล้ว "เด็กหนุ่มรีบตอบกลับไปทันที แต่ก็อดที่จะหันไปมองทินกฤตที่เขาคิดว่ายังนอนอยู่ไม่ได้ และเมื่อหันไปมองก็ต้องสบตาของชายหนุ่มนิ่ง มือข้างว่างจับมือแกร่งเอาไว้ราวกับขอกำลังใจจากอีกฝ่ายในการเผชิญหน้ากับผู้เป็นแม่
"ที่นั่นหนาวไหม...ฟังพยากรณ์อากาศดูแล้วท่าจะหนาวมาก..." คุณราตรี เอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
"ครับ..ก็เลขตัวเดียวเลยครับ หนาวมากเหมือนกัน แต่ก็ชินแล้วล่ะครับ..อีกอย่าง " ดวงตาคู่สวยสบตากับทินกฤตนิ่ง แล้วก้มลงมองมือของเขากับอีกฝ่าย แหวนทั้งสองวงนั้นยังอยู่ในมือทั้งคู่
"อะไรเหรอลูก..." เสียงผู้เป็นแม่เอ่ยถามเบาๆเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มเงียบไป
"ตอนนี้..เจืออยู่ที่โอซาก้ากับพี่เทียนฮะแม่ " จุนเจือบอกออกไปตามตรง เขาไม่อยากจะปิดบังใครต่อใครอีกต่อไปแล้ว จากนี้ไปเด็กหนุ่มตั้งใจที่จะใช้ความจริงใจที่พวกเขามีต่อกัน ยืนยันกับคนที่พวกเขาแคร์ที่สุดที่ยังอยู่ในเมืองไทย
"อ้อ.......อย่างนั้นเหรอ" คุณราตรี รับคำเบาๆ แล้วนิ่งไปเสียเอง ชื่อของบุคคลที่สามที่จุนเจือกล่าวถึงไม่ได้ทำให้ราตรีประหลาดใจมากนัก อันที่จริงเธอเหมือนจะได้ยินข่าวมาแล้วจากเจนสุดาและจากปากของใครต่อใครเหมือนกันว่าทินกฤตหุนหันเดินทางไปต่างประเทศ ไม่คิดว่าจะต้องมาได้ยินจากปากลูกชายคนเดียวของตัวเองอีกครั้ง อันที่จริงเธอคิดว่าหากจับเด็กสองคนนี้แยกห่างกันเป็นเดือนๆแล้ว คนอย่างทินกฤตที่เคยได้ยินข่าวลือมาว่าเป็นคนรักสนุกจะตัดใจตีจากลูกชายของเธอไป แต่ก็ไม่เลย...ทินกฤตไม่ได้ห่างหายไปจากชีวิตของลูกชายของเธอเลยแม้แต่น้อย เธอไม่อาจรู้ได้ว่าการยิ่งจับทั้งสองคนแยกกันนั้นกลับจะยิ่งทำให้สัมพันธ์ของทั้งสองคนนั้นแนบแน่นขึ้นหรือไม่ แต่สิ่งที่รู้ได้ คือชายหนุ่มคนนั้นที่เธอควรจะเกลียดแสนเกลียดได้ทำให้ลูกสาวของเธอ....โทรกลับมาบ้าน เพื่อบอก”ความจริงทั้งหมด”ให้เธอได้รับรู้เสียที และทำให้เด็กหนุ่มที่คิดว่าคงต้องดูแลกันต่อไปอีกนาน กลับเริ่มดูแลตัวเอง จัดการชีวิตตัวเองมากขึ้น ในขณะเดียวกันทินกฤตเองนั้นกลับตั้งใจทำงานเพื่อผลประโยชน์ของบริษัท ไม่มีวอกแวก ไม่มีข่าวว่าไปมีสัมพันธ์กับใครคนไหนอีก มันเหมือนกับว่าทั้งสองคนกำลังคิดจริงจังและ...พยายามต่อสู้...เพื่อสิ่งที่ตัวเองต้องการอย่างจริงจัง ด้วยวิธีการที่ไม่ได้ต่างกัน...สร้างความเชื่อใจจากคนรอบข้าง...ทั้งๆที่อยู่ห่างกันขนาดนี้
"แม่ได้ยินมาว่า เทียนเขาไปเมืองนอก...ที่แท้ก็ไปหาลูกนี่เอง" หญิงสูงวัยหัวเราะออกมาเบาๆ เป็นเสียงหัวเราะที่แสนจะอ่อนแรง
"
เจือจะไม่ขอโทษเรื่องเจือกับพี่เทียนอีกแล้วนะฮะ...แต่ว่าแม่ฮะ
ขอให้เจือได้คบกับพี่เขาจะได้ไหม?..เจือรู้ว่าพูดแบบนี้ต้องทำให้แม่เสียใจ แต่ถ้าแม่ไม่อนุญาต เจือกับพี่เขาก็ต้องแอบคบกันอยู่ดี " จุนเจือพูดออกไปตามตรง มันตรงเสียจนรับรู้ได้ว่าปลายสายคงเจ็บปวดแค่ไหน แต่เขาก็ต้องพูดมันออกไปอยู่ดี
"ถ้าแม่บอกว่าไม่...แม่ก็จะเสียลูกไปจริงๆใช่ไหม...เสียลูกไปจนหมด"น้ำเสียงของผู้เป็นแม่สั่นเครือ
"แม่อาจจะไม่เข้าใจลูก คนที่ลูกรัก หรือโลกใบนี้แม่คิดว่าแม่ไม่เข้าใจอะไรอีกต่อไป...แต่สิ่งที่แม่รู้ คือเจือเป็นลูกของแม่ เป็นคนที่แม่คลอดออกมาแม่เลี้ยงลูกได้แค่ตัว ได้แค่นี้จริงๆ แม่ไม่ได้เป็นเจ้าของหรือใครที่จะไปสั่งห้ามลูกได้เลย... "
"ไม่ฮะ..แม่ไม่ได้จะเสียเจือไป เพียงแต่ตอนนี้เราแค่..เราแค่ไม่พร้อมที่จะเจอกัน เราทุกคนต่างก็เจ็บปวดกับเรื่องที่เกิดขึ้น เจือรู้ว่าพ่อเองก็เสียใจกับเรื่องนี้เหมือนกัน "น้ำเสียงของจุนเจือเองก็เจ็บปวดเมื่อนึกถึงฝันร้ายเมื่อตอนนั้น ความรักของเขาทำให้ครอบครัวแตกสลาย
แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ยังรักทินกฤตอยู่ดี"แล้วเมื่อไร ที่เจือจะพร้อม...แม่คิดถึงลูกนะ...แม่รู้ว่ามันจะกลายเป็นว่าแม่โกหก ใส่หน้ากากกับลูกตัวเองถ้าแม่จะบอกว่า แม่รับได้หมดทุกอย่าง...แต่แม่ก็แค่...อยากให้ลูกกลับบ้านบ้าง"
คำว่าบ้านทำให้ใจของเด็กหนุ่มไหววูบ เขาคิดถึงคำนี้แค่ไหน .. อยากกลับไปเพียงใด แต่ว่า .. การที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในบางครั้งก็ต้องห่างบ้านเช่นกัน
"ครับแม่..แล้วเจือจะกลับบ้านนะ "
"เมื่อไหร่ล่ะลูก...เมื่อไหร่เจือถึงจะยอมให้แม่เจอหน้า" เสียงของผู้เป็นแม่สั่นเครือ เธอทนคิดถึงลูกชายไม่ได้อีกต่อไป...แต่มันก็เจ็บปวดในใจเพราะเธอกับสามีเป็นคนเสือกไสลูกไปเอง
" ...........สามปีฮะ หรือ อาจจะมากกว่านั้น เจือก็ไม่รู้เหมือนกัน " ดวงตาคู่สวยหรุบลงต่ำ เมื่อได้ยินเสียงสั่นเครือของผู้เป็นแม่ หาแต่เขากลับบีบมือของคนรักแน่น
"ในวันที่เราพร้อมที่จะเจอกัน .. เจือจะกลับไปนะฮะ "
คำพูดที่ได้ยินนั้นไม่เพียงแต่ทำให้ผู้เป็นแม่ใจหาย คนที่จุนเจือบีบมืออยู่เองก็ใจหายเช่นเดียวกัน ถึงแม้ว่าจะทำใจแล้ว
...กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง...เมื่อคิดได้แบบนั้นคนที่เป็นแม่คงเจ็บยิ่งกว่าร้อยเท่าพันเท่า
"คุณแม่ครับ" ทินกฤตที่นิ่งฟังอยู่นานตัดสินใจเอ่ยออกไป ด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น มั่นคง
"
ผมรู้ว่าผมทำผิดต่อครอบครัวของคุณแม่ไว้มาก แต่...ผมจะไม่มีวันทำผิดต่อเจือครับ...จะดูแลและรักน้องให้ดีที่สุด...ระยะทางจะไม่เป็นปัญหาต่อความรักของพวกเราครับ
ขอให้ผมได้ดูแลเจือด้วยเถอะครับ"
เสียงที่ได้ยินนั้นเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ชายหนุ่มคนนั้นเอ่ยออกมาอย่างไม่มีคำว่าหวั่นเกรงใดๆ ทั้งๆที่รู้ดีว่าความรู้สึกของเธอนั้นควรจะเป็นอย่างไร แต่ทินกฤตก็ยังไม่ไหวหวั่นที่จะขอกับเธอออกมาตรงๆ พลันนึกไปถึงวันที่ทางฝ่ายของบ้านทินกฤตมาทาบทามสู่ขอลูกสาวคนโต...ชายหนุ่มคนนั้นดูไม่มีความสุข มีแต่เพียงคำพูดเลิศหรูที่ไม่มีความหนักแน่นเท่าที่เธอเพิ่งจะได้ฟังไปเมื่อครู่เลยแม้แต่น้อย คุณราตรีสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะเอ่ยออกไปด้วยเสียงเบาๆ
"เจือ...บอกพี่เขาด้วยนะ...ว่าแม่...ชอบคนรักษาสัญญา...และจำไว้นะลูก ทั้งสามคนนั่นล่ะ จะ เจน เจือ หรือ แม้แต่เทียน...พวกหนูยังมีบ้านนะลูก"
"ครับแม่..แม่โทรหาเจือได้นะ ได้ตลอดเวลาเลย " เด็กหนุ่มพยักหน้ารับรู้ก่อนจะรีบบอก และเมื่อได้ยินปลายสายที่ตอบกลับมาก็ต้องยิ้มออกก่อนจะวางสายลงไปเขาวางโทรศัพท์ไว้ที่เดิมก่อนจะกอดคนรักเอาไว้อย่างไม่ทันตั้งตัว
"เหวอ...อะไรเนี่ย..." เสียงทินกฤตโวยขึ้นมาด้วยความตกใจที่จู่ๆอีกฝ่ายก็หันมากอดเขาเต็มรัก
" พูดไปแล้ว...โล่งใจมากเลย "เด็กหนุ่มตอบงึมงำอยู่ในอกกว้าง
"ครับ...ครับ....ดีแล้วล่ะ"ทินกฤตไม่รู้จะพูดปลอบอะไร แต่ก็ดีใจที่ได้เห็นอีกฝ่าย อย่างน้อยที่สุด กล้าที่จะพูดกับแม่ของตัวเองไปตรงๆว่ากำลังคบหากับตัวเองอยู่ มือแกร่งลูบเส้นผมสีอ่อนของอีกฝ่ายเบาๆ มืออีกข้างโอบเด็กหนุ่มเข้ามาหาตัว
"เราเอง ลองคิดจะทำอะไรแล้ว ก็ต้องตั้งใจให้เต็มที่นะครับ"
" ครับ..พี่ก็เหมือนกันนะ เห็นรูปเจือแล้วก็อย่าหึงเรื่อยเปื่อยด้วย " เด็กหนุ่มซุกใบหน้ารับสัมผัสจากมือแกร่งแต่ก็ยังไม่วายแหย่เรื่องหึงของคนรักจนได้
"ครับ ไม่หึง ...ตราบใดที่ไม่แก้ผ้าถ่ายรูปกับผู้ชายคนอื่น...เอ..อะไรอีกดีนะ...ห้ามใส่น้อยชิ้น...ห้ามมองคนอื่น ห้ามกอดคนอื่นแบบที่กอดกับพี่เข้าใจไหม"
ทินกฤตย้ำซ้ำๆ เช่นเดียวกับริมฝีปากที่แนบลงข้างแก้มของเด็กหนุ่ม
" ฮะ ฮะ .. นี่ขนาดไม่เรื่อยเปื่อยนะ " เด็กหนุ่มเองก็จูบแก้มอีกฝ่ายตอบเช่นกัน ก่อนจะสบดวงตาคู่คมอีกครั้ง
" เจือรักพี่นะ "
"รักเหมือนกันครับ..."ทินกฤตกระซิบตอบแผ่วเบา เขาเหลือบไปมองนาฬิกา เก้าโมงกว่าเข้าไปแล้ว
"เราจะต่อห้องกันอีกไหม?" ทินกฤตถามพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก มือแกร่งค่อยดันร่างบางลงกับเตียงนุ่มอีกครั้ง
"ยังกอดเจือไม่หนำใจเลย"
" อื้ม..แล้วแต่พี่สิ..พี่เป็นคนจ่ายนี่นา " เสียงหัวเราะคิกคักตามด้วยอ้อมแขนที่ยกขึ้นโอบรอบคออีกฝ่ายนั้นคือคำตอบ
++++++++
พวกเขาต่างใช้เวลาทั้งหมดในโอซาก้าอย่างคุ้มค่า โดยแทบจะไม่แยกจากกันเลย ทั้งในเวลากลางวันกับสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ และในเวลากลางคนที่ แทบจะไม่ปล่อยมือจากกันและกัน แต่ถึงจะมีเงินมากมายเพียงใด สุดท้ายแล้วก็ไม่สามารถซื้อเวลาเอาไว้เมื่อชายหนุ่มต้องกลับเมืองไทย พร้อมๆกับที่จุนเจือต้องกลับไปเรียนต่อที่โตเกียว
.. ทั้งคู่แยกจากกันที่สนามบินคันไซนั่นเอง..
talk : ทุกคนคะ..ตอนหน้าก็จะเป็นบทสรุปของเรื่องนี้แล้วนะคะ ขอบคุณที่ติดตามกันมาตลอดค่ะ^^ ไว้เจอกันคราวหน้านะคะ