"ขอบคุณครับ" เสียงชายหนุ่มเอ่ยเมื่อพนักงานขนของจากบริษัทรับจ้างขนย้ายขนข้าวของทุกอย่างของเขาออกจากบ้านที่เคยเป็นเรือนหอ ร่างสูงยืนมองบ้านที่อาศัยมาเกือบปีเขามีทั้งความทรงจำที่ดีและไม่ดีเกี่ยวกับที่นี่ แต่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นช่วงเวลาที่ดีของเขากับจุนเจือ และอดีตภรรยาอย่างเจนสุดา...อย่างน้อยมันก็เป็นสิ่งที่เขาเลือกที่จะจำ อยากจะติดต่อแต่โทรไปก็มีแต่เสียงของสัญญาณตอบรับอัตโนมัติ จากเหตุการณ์เมื่อวันก่อนเขาคงเสนอหน้าอยู่ที่นี่อีกไม่ได้ หากแต่จะกลับบ้านก็กลับไม่ได้เช่นกัน
มือแกร่งหย่อนกุญแจบ้านดอกเล็กลงในซองจดหมายติดสแตมป์ จ่าหน้าซองคือที่บ้านของจุนเจือ มันไม่ใช่การบอกลา...แต่มันเป็นการประกาศจุดยืน หากตอนนี้ ณ จุดที่เขายืนกลับไม่มีคนที่เขารักอยู่ด้วยเท่านั้น ทินกฤตแบกหน้าไปทำงานด้วยความไม่แน่ใจว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้นพ่อแม่ของเขาได้เอาไปโพนทะนาเพื่อที่จะขับไล่ไอ้ลูกคนนี้ออกไปจากบริษัทหรือเปล่า....แต่เมื่อไปถึงที่ทำงานก็ไม่มีอะไรผิดปรกติ หน้าห้องของเขายังคงทักทายรอยยิ้มอยู่เช่นเดิม
...พ่อแม่คงยังไม่คิดสั้นขนาดนั้น... ทินกฤตรู้ดีว่า ยิ่งยศและกฤษณา พ่อและแม่ของเขานั้นจะต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของทางบริษัทมาก่อนเป็นอันดับแรก แม้ตอนนี้ทั้งสองจะเกลียดขี้หน้าของเขาแค่ไหนก็ตามที คงไม่ทำร้ายธุรกิจของตัวเองด้วยการฝากงานไว้กับคนนอก หรือ เรียกตัวเจ้าถังน้องชายคนเล็กของเขาที่ยังไมประสีประสาอะไรมาคุมงานบริษัท เด็กนั่นยังเรียนไม่จบมหาวิทยาลัยที่ออสเตรเลียเลยด้วยซ้ำ พอมาถึงเรื่องงานเช่นนี้เขาก็ช่างเหมือนพ่อแม่เหลือเกินที่เลือกจะตัดเรื่องงานกับกับเรืองส่วนตัวออกจากกัน...แต่มันจะเป็นแบบนี้ต่อไปได้อีกนานแค่ไหนกัน...
+++++++++++++
งานเอกสารดำเนินไปโดยที่ใจของทินกฤตยังไม่หยุดนิ่ง ปลายนิ้วแทบจะกระแทกลงบนแป้นพิมพ์ของคีย์บอร์ดเมื่อพยายามติดต่อกับบริษัทคู่ค้าในต่างประเทศ ถ้อยคำที่พิมพ์ลงไปสุภาพอ่อนน้อม แต่ในใจอยากตะโกนถ้อยคำผรุสวาทที่อัดอั้นเต็มอกออกไป
....ตอนนี้จะเป็นยังไง....
....จะร้องไห้อยู่ไหม...
...จะเข้มแข็งได้ไหม....
.....โว้ย กูจะทำอะไรไม่ได้เลยรึไงวะ!! .... ทินกฤตคว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดหาเบอร์โทรศัพท์ของเพื่อนสนิทของจุนเจือ หวังว่าอย่างน้อยแล้วเด็กหนุ่มคนนั้นจะรู้อะไรบ้างท่ามกลางความมืดมนของข่าวสารของจุนเจือ ณ ตอนนี้
"บาส...เจือได้โทรมาหาบ้างไหม"
"...เอ่อ.. " เสียงของเด็กหนุ่มอารมณ์ดีคนนั้นดูอึกอัก หลังจากที่เงียบไปพักใหญ่เมื่อกดรับสายของอดีตเจ้านาย บรรยากาศรอบข้างของสถานที่ที่เขาอยู่นี่มันไม่เอื้ออำนวยเท่าไหร่เลย
"เดี๋ยว..ถือสายรอนะครับ เดี๋ยวผมย้ายที่คุยก่อน "บาสมองซ้าย-ขวาอย่างระวังก่อนจะเดินเลี่ยงออกมายังบริเวณหน้าลิฟท์ของอาคารนั้นๆ ดีที่มีมุมนั่งพักผ่อนที่ดูจะเป็นส่วนตัวบ้าง
"พี่เทียนครับ..เจือมันโดนริบโทรศัพท์น่ะครับ " บาสพูดต่อเมื่อหาที่นั่งเหมาะๆได้แล้ว เขาถอนหายใจออกมา
"มันคงเครียดก็เลย..เป็นแบบนี้ "
"ริบโทรศัพท์?..." ทินกฤตคิดว่าคงต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว แต่คำพูดของเด็กหนุ่มนั้นทำให้อดสงสัยไม่ได้
"หมายความว่ายังไง...ที่ว่า..."เป็นแบบนี้" " ทินกฤตถามเสียงเครียดไม่น้อย
" พี่เทียนฮะ..ตอนนี้มันไม่เป็นไรแล้วนะ..
หมอเค้าช่วยไว้ได้ทัน พี่..ฟังผมดีๆนะ " บาสรีบบอก น้ำเสียงของปลายสายนั่น หากไม่บอกสถานการณ์ตอนนี้ก่อน ทินกฤตคงจะบ้าไปก่อนแน่ๆ
"นี่อยู่ที่ไหนน่ะ...." เสียงสภาพแวดล้อมที่ได้ยินจากเบื้องหลังทำให้รู้สึกหวั่นใจ หัวใจของทินกฤตเต้นแรงเสียจนรู้สึกเจ็บ ความหวาดหวั่น กังวลนี่มันมาจากไหนกัน
"บาส! ตอบพี่มา!!" เสียงทุ้มนั้นแทบคำรามใส่เครื่องมือสื่อสาร
"อยู่..อยู่โรงพยาบาลฮะ
ไอ้จุนเจือมันกินยาเกินขนาด..แต่มันไม่เป็นไรแล้ว มันไม่เป็นไรแล้ว จริงๆนะครับพี่ " น้ำเสียงที่ไม่เคยคิดว่าจะได้ยินจากผู้ใหญ่ที่นิ่งและสุขุมในการทำงานขนาดนั้นทำเอาบาสต้องรีบตอบอย่างตกใจ เขาย้ำอีกครั้งว่าจุนเจือในตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว กลัวเหลือเกินว่าชายหนุ่มคนนี้จะรีบมาโรงพยาบาลโดยไม่ยั้งคิด
".................." สิ่งที่บาสได้ยินมีเพียงเสียงลมหายใจเข้าออกรุนแรงจากปลายสาย ก่อนได้ยินคำถามที่ไม่ต้องเห็นหน้าก็พอจะรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังขบกัดฟันกรามแน่นด้วยความรู้สึกแบบใด
"โรงพยาบาลไหน...."
ชื่อโรงพยาบาลที่ได้รับข้อมูลจากปลายสายนั้นทำให้ทินกฤตลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานทันที
+++++++++++++
การจราจรที่ติดขัดยิ่งทำให้ร่างสูงร้อนรน ที่ติดต่อเด็กหนุ่มคนนั้นไม่ได้ ไม่ได้เป็นเพียงเพราะว่าถูกริบโทรศัพท์มือถือ แต่เด็กหนุ่มคนนั้น....จุนเจือคนนั้น...กลับทำร้ายตัวเอง....มันเป็นเพราะเขา...เพราะเขาแท้ๆ
...ที่ไม่สามารถไปอยู่ข้างๆอีกฝ่ายได้ตามที่สัญญาเอาไว้....
---RRR---
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้งโดยที่ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอคือเพื่อนสนิทของจุนเจือ
"อะไร!"
"พี่ครับ..ผมว่าอย่ามาเลยนะ เมื่อกี้พ่อของไอ้จุนเจือ เขาให้คนไปบอกคนของโรงบาลไว้ว่าห้ามไม่ให้พี่เยี่ยมไอ้เจืออ่ะ กลัวว่าถ้ามาจะมีเรื่องนะครับพี่..." เสียงตะคอกนั้นทำเอาบาสต้องสะดุ้งโหยงอีกรอบขณะที่แอบโทรมาบอก เพราะตัวเขาเองก็จะซวยเอาได้ ถ้าถูกจับได้ว่าเป็นสายให้ทินกฤตแบบนี้ ดีไม่ดีพ่อของจุนเจือจะยิ่งโกรธหนักพาลห้ามไม่ให้เขามาเยี่ยมและติดต่อกับจุนเจืออีกเสียด้วยซ้ำไป
"
แล้วแกจะให้พี่ทำยังไง...คนของพี่นะบาส...พี่จะทำไม่ได้แม้แต่เยี่ยมเลยเหรอ! " ทินกฤตถามเสียงสั่น ด้วยความโกรธ...โกรธตัวเอง...โกรธพ่อแม่ของอีกฝ่าย...โกรธไอ้รถติดบ้าๆที่ยังไม่ยอมให้เขาขยับเขยื้อนไปไหน!!
"ถ้าพี่มา..คุณลุงเอาพี่ตายแน่ฮะ คุณป้าก็นั่งร้องไห้อยู่หน้าห้องเนี่ย .. แถมพี่เจนก็โทรหาเมื่อกี้ พี่เจนรู้เรื่องแล้วด้วย " บาสที่เป็นคนกลางเองก็ไม่รู้จะทำยังไง
"....แล้วจะให้พี่ทำยังไง...." ทินกฤตถามซ้ำอย่างอ่อนใจชายหนุ่มหลับตาเจ็บปวดเข้าไปถึงข้างใน เจ็บจนเหมือนร่างจะสั่นสะท้าน แต่เขากลับทำอะไรเพื่อแก้ไขต้นตอของความเจ็บปวดนี่ได้เลยร่างสูงส่งเสียงถอนหายใจผ่านโทรศัพท์ไปอย่างอ่อนแรง ในตอนนี้รู้สึกอยากให้มีใครซักคนอยู่ข้างๆ ช่วยบอกเขาว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป นึกถึงเจนสุดาหรือ หญิงสาวคนนั้นแม้จะรู้เรื่องก็คงไม่สามารถบินกลับมาเมืองไทยได้ ณ วินาทีนี้ ป่านนี้เองก็คงรู้สึกไม่ได้ต่างกัน...อยากจะทำอะไรซักอย่างแต่กลับทำได้แต่จมปลักอยูกับความรู้สึกของคนที่เรียกได้ว่า “ไร้ประโยชน์”
"ได้...พี่ไม่ไปแล้ว...แต่พี่ขอล่ะบาส...เราช่วยโทรรายงานพี่ตลอดจะได้ไหม..."
"ได้..ได้ครับพี่ .. ถ้ามันฟื้นแล้ว ผมจะโทรบอกพี่เลย .. "บาสถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกที่อีกฝ่ายยอมฟังคำพูดของเขาแต่โดยดี สถานการณ์ในตอนนี้ เขารู้ดีว่า หากทินกฤตปรากฏตัวโรงพยาบาลอาจจะแตกเลยก็เป็นได้ ยิ่งได้ยินเสียงที่โวยดังมาทางโทรศัพท์ของคนที่นิ่งมาตลอดก็ยิ่งกลัว
" สาดเอ๊ยยยย อะไรก็กูๆ " มือแกร่งขยี้หัวที่เซ็ทเป็นทรงจนยุ่งเหยิง ไม่ว่าทางไหนก็น่าลำบากใจทั้งนั้น
+++++++++++++
ทินกฤตขับรถด้วยอาการที่อาจจะเรียกได้ว่าเหม่อลอย ส่วนลึกในใจพาเขาขับย้อนกลับมายังเขตสำนักงาน ร้านเค้กที่คุ้นเคย เขาเคยแวะมาที่นี่ครั้งสองครั้ง มันเป็นสาขาใหม่ของร้านของรามินทร์
"พี่เทียน?...สวัสดีครับ" เสียงใสของเด็กหนุ่มที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้จัดการร้านเดินมารับ ร่างผอมบางดูเหมาะสมกันดีกับเครื่องแบบของร้านเชิ๊ตสีขาวดูเรียบง่ายมีเนคไทเส้นเล็กสีเขียวอ่อนรับกับโทนสีโดยรวมทั้งหมดของร้านเป็นจุดเด่น กับผ้ากันเปื้อนยาวจากช่วงเอวลงไปยิ่งทำให้ร่างนั้นดูเพรียวมากขึ้นไปอีก
"รับอะไรดีครับ กาแฟ คาปูชิโน่ไหมครับ หรือวันนี้จะเป็นเอสเปรสโซดีครับ" สมปองว่าพลางยิ้ม แต่แล้วก็ต้องเงียบเมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย
ร่างสูงไม่ได้ตอบอะไรแต่เดินเข้านั่งทีด้านในสุดของร้าน เอนหลังลงพิงพนักเก้าอี้อย่างเหนื่อยอ่อน เห็นท่าทางแบบนั้น สมปองถอนหายใจออกมาเบาๆก่อนจะเดินกลับไปชงเอสเปรสโซร้อนมาให้กับอีกฝ่าย
"ดื่มกาแฟหน่อยนะครับ...เพื่อจะรู้สึกดีขึ้น"
น้ำเสียงอ่อนโยนนั่นทำให้ทินกฤตต้องเงยหน้ามองใบหน้าเล็กๆของสมปอง นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้เห็นหน้าของอีกฝ่าย นานแค่ไหนที่ไม่ได้ยินเสียงที่ถามด้วยความห่วงใย คำถามที่ไม่มีอะไรแอบแฝง สมปองเป็นคนเดียวที่เขาไม่อยากจะโกหกอะไรด้วยอีกต่อไป ดวงตาคมมีแต่ความเหนื่อยล้า สับสน มองหน้าของเด็กหนุ่มนิ่ง มือแกร่งยื่นออกไปจับมือที่ถือถาดของเด็กหนุ่มให้วางถาดลงกับโต๊ะ
"ครับ?" สมปองเอียงคอพลางยิ้ม
".........." ทินกฤตไม่ตอบแต่มือแกร่งกลับคว้าเอวเล็กของเด็กหนุ่มเข้ามากอด
"พี่เทียน?...เล่นอะไรฮะ...." สมปองเลิกลั่กหันซ้อยมองขวาโชคยังดีที่ยังไม่ค่อยมีลูกค้ามากนัก
"เหนื่อยน่ะ...ขอพักหน่อยเถอะ" ไม่พูดเปล่าอิงหน้าลงกับเอวของเด็กหนุ่ม
"อยู่กับเจ้าน้อยนี่สบายใจจังน้อ....อิจฉาไอ้แมกซ์มันว่ะ"
ได้ยินแบบนั้น ผู้จัดการหนุ่มน้อยของร้านกาแฟสาขาสองก็อดที่จะแปลกใจไม่ได้ เขารู้ตัวดีว่า ไม่ได้สนิทสนมกับทินกฤตมากขนาดนั้น หากเทียบกับเวลากี่ปีต่อกี่ปีที่ทินกฤตคบหากับพศวัตมาในฐานะเพื่อน แต่อย่างน้อยแล้วเขาก็ไม่เคยได้ยินคำพูดใดจากปากของทินกฤต หรือ แม้แต่พศวัตเลยว่า "อิจฉา" กันและกัน ...คนทั้งสองคนออกจะ....สมบูรณ์พร้อมด้านเสียขนาดนั้น
เด็กหนุ่มเม้มริมฝีปากเหมือนกับจะชั่งใจแล้วค่อยวางมือเล็กลงบนไหล่กว้างของอีกฝ่าย ไหล่กว้างที่แม้ไม่หนาใหญ่โตเหมือนไหล่ของพศวัต หรือ กตัญญู แต่มันคงดูดีมากหากไม่ห่อลงอย่างเหนื่อยอ่อนแบบนี้
"ถ้าพี่เทียนเหนื่อย...ก็พักที่นี่...พักกินกาแฟที่ร้านก่อนก็ได้นะครับ" เสียงของสมปองเอ่ยแผ่วเบาหากแต่อ่อนโยนมือที่เคยทำงานเสียจนหยาบกร้านในตอนนี้เริ่มนุ่มเนียนขึ้นบ้างแล้วจากงานที่เบาลงไปมากนั้นค่อยวางบนไหล่ของอีกฝ่าย
ทินกฤตหลับตาลง...หลายครั้งเหลือเกิน ยามที่อ่อนล้าจากเรื่องราวของโลกภายนอก โลกที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง โลกที่มืดมนมองไปก็ไม่เห็นทางให้หนีได้นั้น แค่นึกถึงหน้าของสมปองกับคำพูดที่ทำให้เผลอยิ้มด้วยความไร้เดียงสาของเด็กหนุ่มคนนี้นั้นก็พอจะทำให้มีแรงต่อไปได้บ้าง
"อืม ...ขอบใจว่ะ ไอ้ตัวเล็ก"
แต่สองมือก็ยังไม่ปล่อยออกจากเอวบางของสมปองอยู่ดี
.....ขอชาร์จไฟหน่อยเถอะ....
.....แค่ตอนนี้ก็ยังดี..... +++++++++++++
talk : ไม่อยากให้มาม่ากันนาน(??) เลยมารีบอัพให้ค่ะ