ตอนที่ 44
“พี่ไผ่!” พสุชะงักเมื่อหันไปเจอคนที่มารับเขา มิน่าสาวๆ ในกองถ่ายถึงเดินเข้าเดินออกกันให้พล่าน เพราะคนมารับเขาคือริวนี่เอง แถมยังเอารถสปอร์ตคันหรูที่ปกติริวก็ไม่ค่อยขับ มารับเขา ไม่สะดุดตาก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว
“ทำไมริวมารับพี่ได้ล่ะ” พสุถามพร้อมกับส่งกระเป๋าสะพายให้เมื่อริววิ่งมาดึงไปถือเอง ริวจะเป็นอย่างนี้เสมอ ถ้าเห็นเขาถือของติดมือมา ไม่ว่าจะเล็กใหญ่แค่ไหนก็จะแย่งเอาไปถือเอง ทั้งที่บางครั้งก็ไม่ได้หนักอะไร จนพสุเองก็ชักจะชินกับการมีริวคอยติดหน้าตามหลังแบบนี้เหมือนกัน
“ริวขอพี่กรมาเองแหละ” ริวบอกแล้วยิ้มแป้นเมื่อพสุเปิดประตูเข้าไปนั่ง เด็กหนุ่มเอากระเป๋าสะพายวางคืนไว้บนตักพสุ แล้ววิ่งอ้อมไปขึ้นฝั่งคนขับ พสุเหลือบมองระยะห่างของรถฝั่งคนขับแล้วนึกขำ นี่ดีนะว่าประตูรถคันนี้เป็นแบบยกขึ้นข้างบน ถ้าเปิดออกไปด้านข้างเหมือนรถเก๋งทั่วไป ริวคงต้องตะแคงขึ้นรถ
SSC Ultimate Aero คันนี้เท่าที่พสุรู้มาราคาของมันไม่ใช่น้อยๆ น่าจะอยู่ราวๆ 6 - 7 แสนเหรียญดอลล่าร์สหรัฐ ถ้าตีเป็นเงินไทยก็น่าจะราวๆ 20 กว่าล้าน ไม่รวมภาษีนำเข้า
“ริวมีงานไม่ใช่เหรอ?” พสุอดถามไม่ได้ เพราะเขาจำตารางงานริวได้ ว่าวันนี้ริวมีถ่ายละคร
“ไม่มีแล้วครับ” ริวเสียงใส เขาเป็นคนโทรไปขอลาหยุดกับพี่จ๋าเอง บอกว่ามีเรื่องด่วนต้องรีบไปจัดการ พี่จ๋าก็อนุญาตง่ายๆ เพราะวันนี้ริวมีคิวถ่ายแค่ฉากเดียวเท่านั้น ริวหยุดก็ไม่กระทบนักแสดงคนอื่นนอกจากแพรพลอย
“อ้าว...เลื่อนถ่ายไปหรือไง”
“ครับ” ริวตอบแล้วยิ้มแป้น ไร้รอยพิรุธ เพราะเป็นการเลื่อนไปถ่ายวันพรุ่งนี้แทนจริงๆ
พสุพยักหน้าแล้วไม่ติดใจอะไร เขาแน่ใจว่าริวพูดจริง เพราะเด็กหนุ่มโกหกไม่เป็น ทุกครั้งที่จะต้องโกหกจึงมักจะอึกอัก หลบตาให้จับได้ทุกครั้ง
“อืม” พสุรับคำแล้วนั่งนิ่ง คิดอะไรไปเรื่อย จนสังเกตว่ารถวิ่งออกนอกเมืองโดยที่ริวยังไม่มีท่าทีว่าจะแวะที่ไหน
“แล้วนี่จะพาพี่ไปไหน”
“ไปเที่ยว” ริวหันมาตอบแล้วยิ้มจนตาหยี พสุก็อดยิ้มตอบไม่ได้ ใจหนึ่งก็อยากถามเหมือนกันว่าริวจะพาเขาไปไหน แต่ริวไม่เคยไปไหนไกลๆเองสักที ส่วนใหญ่ก็มีแต่เขาเท่านั้นที่เป็นคนขับรถพาริวไปนอกเมือง ชายหนุ่มเองก็อยากรู้ว่าริวจะพาเขาไปไหนถูก จึงปล่อยให้เด็กหนุ่มขับรถไปตามสบาย
พอออกพ้นเขตสมุทรสาคร ถนนก็โล่ง ริวจึงใช้ความเร็วได้สมสมรรถนะของรถ พสุเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ทิวทัศน์ที่เลื่อนผ่านตาไปอย่างรวดเร็ว ไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกรู้สา เพราะสมองเขายังคิดวนเวียนอยู่แต่เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ตอนแรกเขาตั้งใจว่าเสร็จงานคืนนี้จะไปหาแม่ แต่แม่โทรมาบอกว่าจะไปค้างที่วัด 15 วัน เพื่อปฏิบัติธรรม พสุถึงค่อยคลายความกังวล ตอนนี้ก็เหลือแต่ปัญหาระหว่างเขากับพ่อ...
พสุหลับตาลงเมื่อนึกถึงพรเทพ ชายหนุ่มพยายามนึกย้อนกลับไปว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ความสัมพันธ์ของเขากับบิดาเลวร้ายลง จนแทบจะกลายเป็นศัตรูกันอย่างทุกวันนี้ ชายหนุ่มคิดวนเวียนจนเผลอหลับไป มารู้สึกตัวอีกครั้งก็พบว่ารถจอดนิ่งๆแล้วและตรงหน้าเขาคือทะเล
พสุเหลียวกลับมามองคนข้างๆ ก็เห็นริวจ้องมองเขาอยู่แล้ว พอสบตากันเด็กหนุ่มก็ส่งยิ้มกว้างมาให้
“ที่ไหนริว?”
“ริวก็ไม่รู้ครับ” ริวตอบตามตรง เด็กหนุ่มจอดรถอยู่ตรงนี้พักใหญ่แล้ว แต่เห็นพสุหลับสบายก็เลยนั่งมองหน้าพี่เพลินจนพี่ตื่นขึ้นมาเอง
“อ้าว!” พสุอุทานแล้วเหลียวไปมองรอบๆ
บ่ายมากแล้ว แม้จะยังมีแสงแดด แต่ก็อ่อนจนไม่ร้อนแสบผิว ลมทะเลพัดกรูเกรียวเข้ามาทักทายทันทีที่เปิดประตูรถ
“ขับรถมาเรื่อยๆ เห็นมันเงียบๆ ไม่มีคน ก็เลี้ยวเข้ามาเลย”
“เอ้า!...ที่ใครเขาก็ไม่รู้ จะโดนข้อหาบุกรุกไหมเนี่ย” ทั้งที่บ่นอย่างนั้น แต่พสุก็ก้าวลงไป ผักบุ้งทะเลสูงระใต้ท้องรถ แสดงว่าตรงนี้คงเป็นสถานที่ส่วนบุคคลจริงๆ เพราะต้นไม้ที่ขึ้นหนาแน่น ไม่มีบ้านเรือนอยู่แถวนี้ให้เห็นสักหลัง
ชายหาดแคบๆ ทอดยาวไปสุดที่กองหินระเกะระกะเชิงเขา พสุเดาว่าตรงนี้คงเป็นแถวๆ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ แต่ไม่รู้ว่าอยู่ตรงส่วนไหน แต่ที่แน่ๆ เขานั่งหลับมานานขนาดนี้เชียวหรือ....
พสุถอดรองเท้าออกเมื่อลงไปถึงหาดทราย ส่วนริวนั้นไม่ต้องพูดถึง เด็กหนุ่มม้วนขากางเกงขึ้นสูง แล้วเดินลงไปลุยน้ำเล่นแล้ว
คลื่นลูกแล้วลูกเล่าทยอยม้วนตัวเข้าหาฝั่ง ร่างสูงใหญ่ วิ่งวนไล่จับปูลมดูน่าขัน ริววิ่งเล่นไปเรื่อยๆ ก่อนจะไปหยุดลงนั่งยองๆ ดูกองวุ้นขาวๆ บนพื้นทราย...
“พี่ไผ่...ริวคัน” พสุสะดุ้งตื่นจากภวังค์เมื่อริวมายืนหน้าแหยอยู่ตรงหน้า ปลายนิ้วของเด็กหนุ่มแดงก่ำจนพสุต้องคว้ามาดู
“ไปจับแมงกะพรุนมาหรือไง? อย่าเกานะ เดี๋ยวพิษจะยิ่งกระจาย”
“ก็ตัวสีขาวๆพิษมันน้อย ริวก็อยากเห็นว่าเข็มพิษของจริงมันเป็นยังไง” ริวบอกเสียงใส ไม่มีทีท่าจะรู้ตัวสักนิดว่าสิ่งที่ทำมันถูกหรือผิด
“แล้วได้เห็นหรือยัง” พสุถามเสียงประชดพลางลากข้อมือริวลงไปล้างน้ำทะเลเพื่อให้พิษจางลง
“เห็นแล้วครับ...แต่มันคันเน้อ” ริวตอบเสียงอ่อยลง เพราะเห็นสีหน้าพี่ก็รู้แล้วว่าเขาทำผิดแน่ๆ
“ไม่ต้องมาเน้อเลย...ซนเป็นเด็กน้อยไปได้ริว โตแล้วนะ” พสุบ่นพลางเหลียวไปมองรอบๆ ก่อนจะขึ้นไปเด็ดผักบุ้งทะเลมาล้างจนสะอาดขยี้พอกมือให้ริว
“พี่ไผ่...เล่นน้ำกันมั๊ยครับ”
“เล่นได้ยังไง ไม่ได้เตรียมเสื้อผ้ามาสัก...เฮ้ย! ริวไม่เล่น” พสุร้องเสียงหลงเมื่อจู่ๆ ก็โดนริวล็อคคอแล้วลากลงน้ำไปด้วยกัน เพราะไม่ทันตั้งตัว เขาจึงถูกริวโถมเข้าใส่จนล้มลงในน้ำที่สูงเพียงเอว
“เปียกหมด! แล้วทีนี้จะกลับบ้านยังไง เสื้อผ้าก็ไม่ได้เอามาเปลี่ยน” พสุเอ็ดตะโรแล้วลุกขึ้นสลัดน้ำออกจากผม
“ไหนๆ ก็เปียกแล้ว เล่นน้ำกันเถอะครับ นะๆ พี่นะ” ริวลุกขึ้นได้ก็ลากแขนพสุลงไปน้ำที่ลึกกว่าเดิม
“อยากเล่นน้ำดีนักใช่ไหม มานี่เลย” พอพสุทำเสียงหมั่นเขี้ยวเข้าใส่ริวก็ตาเหลือก รีบลุยน้ำหนีแต่ไม่ทัน
“พี่ผะ...แค๊ก!” ริวสำลักน้ำไปเต็มๆเมื่อโดนพสุกดน้ำ พอโผล่ขึ้นมาได้ พสุก็ว่ายออกไปห่างแล้ว เด็กหนุ่มรีบว่ายน้ำตามไป แต่ไม่ทันสักที เพราะพสุนั้นเป็นอดีตนักว่ายน้ำระดับแชมป์
“พี่ไผ่...กลับมาเหอะ ริวเหนื่อย” ริวตะโกนบอกแล้วลอยตัวอยู่นิ่งๆ เพื่อหยุดหอบหายใจ
“แน่จริงก็ตามมาสิ” พสุหันไปท้า แล้วตีน้ำตรงหน้าเป็นเชิงท้าทาย แต่ริวส่ายหน้าเดียะ
“ไม่ไหวแล้ว เหนื่อยจริงๆนะพี่...เนี่ยริวปวดขาจี๊ดๆ แล้ว”
ตอนแรกพสุก็คิดว่าริวแกล้ง แต่ริวไม่ได้ว่ายน้ำตามมา กลับพยายามลอยตัวอยู่นิ่งๆ พสุจึงรีบว่ายกลับมาหาเพราะนึกได้ว่าริวขับรถมาเป็นร้อยกิโล แล้วมาลงน้ำกะทันหัน อาจจะเป็นตะคริวได้
“เป็นไงบ้าง จะเป็นตะคริวเหรอ” พสุถามพลางจับแขนริวไว้เผื่อว่าเด็กหนุ่มเป็นตะคริวจะได้ช่วยทัน
“ไม่เป็นครับ แต่ริวอยากเล่นกับพี่อ่ะ พี่ว่ายไปไกลริวจะเล่นกับใคร” ริวบอกหลังจากโถมเข้าไปกอดหลังพสุไว้แน่น กันพสุจับเขากดน้ำอีก
“โหยหลอกกันนี่นา...” พสุบ่นเบาๆ จริงๆ ก็หมั่นไส้เด็กเจ้าเล่ห์อยู่หรอก แต่เห็นท่าว่ายน้ำเหมือนไม่ค่อยแข็งแล้วก็เลยไม่อยากจะแกล้งอะไรมากนัก
“แหะๆ” ริวหัวเราะเก้อๆ แล้วแนบหน้ากับต้นคอพสุ ทุกครั้งที่ได้กอดพสุเด็กหนุ่มจะรู้สึกอุ่นใจสบายใจ แต่ตอนนี้มีอีกความรู้สึกเพิ่มเข้ามา คืออาการใจสั่นนิดๆ แต่มีความสุขมากมายที่ทำให้เขาเผลอยิ้มอยู่ตลอดเวลา
“จะเล่นอะไร” พสุถามพลางแกะแขนที่กอดคอเขาออก แต่ริวก็ยังไม่ยอมปล่อย
“เล่นเป็นแม่โคอาล่ากะลูก” ริวตอบพลางเอาคางวางเกยมาบนไหล่พสุ
ตอนแรกพสุก็ว่าจะศอกกลับให้จุกสักทีเพราะริวล็อคคอเขาไม่ปล่อย แต่เขารู้ดีอยู่แก่ใจว่าที่ริวชอบสัมผัสตัวเขาเพราะโหยหาความอบอุ่น และเขาก็เป็นเพียงหนึ่งในไม่กี่คนที่ริวกอดได้อย่างสนิทใจ พสุถึงไม่เคยปฏิเสธเมื่อริวขอให้กอดหรือเป็นฝ่ายมากอดเขา
“ไม่เอาแล้ว...เล่นแบบนี้ดีกว่า เดี๋ยวพี่เป็นฐานให้ริวโดด” พสุบอกพลางว่ายน้ำกลับมาตรงที่น้ำลึกระดับอก เพื่อเล่นเกม
“ยังไงครับ?”
“แบบนี้ไง ประสานมือไว้แบบนี้...แล้วคนโดดก็เหยียบขึ้นไป อาศัยจังหวะโดดกับส่งให้พร้อมๆ กัน ไม่งั้นจะโดดได้ไม่สูง”
ริวดูท่าพสุแล้วนึกไม่ออก เลยอาสาเป็นฐานให้ก่อน พสุจับไหล่ริวไว้เพื่อประคองตัวแล้วนับ 1-2-3 ก็ออกแรงโดด อาศัยจังหวะที่ริวดันเท้า พุ่งขึ้นจากน้ำแล้วม้วนตัวลงมา
ริวหัวเราะลั่น เด็กหนุ่มไม่เคยเล่นแบบนี้มาก่อน พอเห็นพสุทำก็ตื่นเต้น หลังจากเป็นฐานให้พสุโดดให้ดู 3-4 รอบ ริวก็ลองโดดดูบ้าง รอบแรกไม่สำเร็จ เพราะริวตัวหนักกว่าพสุ และเด็กหนุ่มก็ไม่โดดในจังหวะที่พสุให้สัญญาณ เลยล้มคลุกคลานกันไปทั้งสองคน แต่พอได้ลองหลายๆ รอบ ริวก็รู้ว่าควรโดดตอนไหน เด็กหนุ่มลอยตัวขึ้นในอากาศแล้วทิ้งตัวขากางแขนกางจนน้ำกระจาย เรียกว่าได้แต่สนุกอย่างเดียว ส่วนท่าดูไม่จืด พสุหัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง
ความจริงเขาไม่ได้เล่นแบบนี้มานานมากแล้ว จำได้ว่าครั้งสุดท้ายตั้งแต่ตอนอยู่ ม.ต้น ที่เล่นสนุกแบบนี้ และได้หัวเราะเต็มเสียงอย่างวันนี้
ปัญหาครอบครัวและหน้าที่การงาน พรากเอาความสดใสและเสียงหัวเราะไปจากชีวิตจนหมด ความสุขดูเหมือนจะกลับมาเมื่อมีริวเข้ามาในชีวิต
ริวโผล่ขึ้นจากน้ำ สะบัดหัวไล่น้ำออกไป ตาสองข้างแดงก่ำเพราะน้ำทะเลเข้าตา แต่ใบหน้ายังเปื้อนยิ้มร่าด้วยความสนุก
“โอ๊ย! พี่ สนุก...” ริวบอกไปหอบไป ขณะลุยน้ำโซซัดโซเซเข้ามาหาพสุ พสุหัวเราะแล้วหงายหน้าลอยตัวในน้ำใช้แค่ปลายเท้าบังคับทิศทางไปรอบๆ ตัวริว
“เหมือนตัวนากเลย!” ริวอุทานลั่นแล้วหมุนตัวตามดูพสุอย่างสนใจ
“ทำได้ไหม”
“ไม่เป็นครับ...แม่ไม่เคยสอน”
คำตอบนั้นทำให้พสุชะงัก นั่นสินะริวเสียแม่ไปตั้งแต่ 8 ขวบ แล้วเด็กที่โตมาในเมืองใหญ่อย่างริว คงต้องอาศัยว่ายน้ำจากสระน้ำเท่านั้น ผิดกับเด็กที่โตมากับแม่น้ำอย่างเขา ซึ่งเรียกว่าพอวิ่งเก่งก็ว่ายน้ำได้กันหมดแล้ว
“มันก็อาศัยการลอยตัว เหมือนๆ กับที่ริวหัดว่ายน้ำนั่นแหละ ไม่ยากหรอก มาสิเดี๋ยวพี่ช่วย” พสุแตะเอวริวไว้ ขณะสอนให้เด็กหนุ่มลอยตัว แรกๆ ริวก็ทำตัวเกร็ง แต่พอเข้าใจวิธีลอยตัวก็ไม่ยากอย่างที่คิด ครู่เดียวเด็กหนุ่มก็ลอยตัวได้เหมือนพสุ แต่ยังบังคับทิศทางได้ไม่ดีเท่า
“ริว...ขึ้นกันซะทีดีไหม จะมืดแล้ว” พสุชวนกลับเมื่อสังเกตว่าแสงแดดอ่อนเต็มที
“ม่ายไหวแล้วอ่า ริวไม่มีแรงว่ายน้ำแล้ว...เหนื่อยอะค้าบ” ริวทำเสียงอ้อนๆแล้วลอยตัวไปข้างหลังพสุ กอดคอเอาหัวซบกับหลังพสุดื้อๆอ้อมแขนที่โอบกระชับทำให้พสุรู้สึกถึงเสียงหัวใจเต้นระรัวของริว แสดงว่าริวคงจะเหนื่อยจริงๆอย่างที่บอก พสุจึงปล่อยให้ริวอาศัยเกาะคอเขาไว้ ขณะที่ชายหนุ่มว่ายพาเข้าหาฝั่ง
“โหพี่ดูสิ อาทิตย์อัสดงสวยจัง”
พสุอมยิ้มกับคำที่ริวใช้ ปกติคำแบบนี้มักจะใช้เวลาเขียนเพลง หรือไม่ก็บทกวี แต่ริวเล่นใช้เป็นภาษาปากไปเสียอย่างนั้น พสุจูงริวที่เดินโซซัดโซเซกลับไปที่รถ แต่ริวฉุดมือเขาไว้
“ดูตะวันลับฟ้ากันก่อนนะพี่ สวยดี ริวชอบ”
ชายหนุ่มชะงักเมื่อริวขึ้นไปนั่งบนกระโปรงหน้ารถ แล้วดึงให้เขานั่งด้วย
“ลงมาริวเดี๋ยวรถบุบหรอก” พสุเตือนแล้วดึงแขนริวลงมาแต่เด็กหนุ่มขืนไว้แล้วพยายามดึงให้เขานั่งข้างๆ
“ไม่บุบหรอกครับ ขึ้นมาเถอะ”
พสุนิ่งไปเมื่อนึกขึ้นได้ว่ารถยุโรปไม่บอบบางเหมือนรถญี่ปุ่น
“แต่มันจะเค็มสิ ตัวเราเปียกน้ำทะเลแบบนี้ กัดสีรถหมดสวยไม่รู้นะ”
“ช่างเถอะ มานั่งเถอะพี่ มาๆ” ริวตบๆ ฝากระโปรงข้างๆ ตัวเชิญชวนให้พสุนั่ง
“ตามใจ อย่ามาบ่นที่หลังละกัน” พสุบอกขำๆแล้วจึงขึ้นไปนั่งบนกระโปรงหน้า คู่กับริว ดูลูกไฟดวงโตที่ค่อยๆจมหายลงในน้ำช้าๆ ท้องฟ้ายามเย็นเปลี่ยนจากสีเหลืองเป็นสีทองแล้วก็กลายเป็นส้มเข้มขึ้นเรื่อยๆ แสงแดดสุดท้ายอาบท้องฟ้าเป็นสีส้มเกือบแดง ก่อนที่สีดำจะคลี่ม่านเข้าครอบคลุมช้าๆ
ลมทะเลพัดแรงจนเสื้อสะบัดทำให้เสื้อผ้าที่เปียกชื้น หมาดแห้งอย่างรวดเร็ว แต่ก็เหนียวตัวหนับด้วยเหมือนกัน
“ยังปวดแสบปวดร้อนอยู่ไหม” พสุเห็นริวลูบๆนิ้วที่โดนพิษแมงกะพรุนก็อดถามไม่ได้
“ไม่ปวดแล้วครับ” ริวตอบแล้วหันมายิ้มเห็นฟันขาวเป็นเงาๆ
“ดีแล้วล่ะ เดี๋ยวกลับไปถึงกรุงเทพเอาน้ำร้อนประคบอีกที จะได้หายเร็วๆ” พสุบอกแล้วขยับจะลงจากหน้ารถ แต่ริวคว้าศอกเขาไว้
“แล้วพี่ล่ะครับ”
“หืม?” พสุหันไปมองหน้าริวงงๆ
“พี่...หายเจ็บหรือยัง” ดวงตากลมโตที่เห็นในแสงสลัวเป็นประกายวาววับ
“พี่ไม่ได้...” พสุชะงักคำพูดไว้ เมื่อนึกออกว่าริวหมายถึงเรื่องที่เขาทะเลาะกับพ่อเมื่อวาน
“พี่คงไม่หายเจ็บง่ายๆ หรอกนะริว...แต่มันก็ไม่ถึงกับทนไม่ได้ เพราะพี่คงคุ้นกับความรู้สึกนี้แล้วล่ะ.............ที่พาพี่มาถึงที่นี่ เพราะอยากให้พี่สบายใจเหรอ?” พสุถามแล้วลูบหัวยุ่งๆ ที่ตอนนี้ผมแห้งกระด้างมือ
“ครับ...เมื่อคืนริวเห็นพี่นอนกระสับกระส่ายทั้งคืน”
“ขอบคุณนะครับที่เป็นห่วง พี่ไม่เป็นไรริว พี่ยังไหว”
“พี่จะพิงไหล่ริวมั่งก็ได้นะ...คือ...” ริวหยุดเกาหัว เพราะไม่รู้จะใช้คำพูดยังไงดี ริวแค่อยากบอกว่าเขาพร้อมจะให้พสุพึ่งพิงในยามอ่อนแอแต่ก็กลัวพสุจะเข้าใจผิดคิดว่าดูถูก แต่พสุรู้ดีว่าเด็กหนุ่มจะบอกอะไร ชายหนุ่มจึงขยี้ผมเหนียวๆของริวเบาๆเป็นเชิงขอบใจแล้วโดดลงจากหน้ารถ
“กลับกันเถอะริว...เดี๋ยวจะถึงกรุงเทพดึกเปล่าๆ”
“ครับ”
...........................................