Subconscious (จบ)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Subconscious (จบ)  (อ่าน 9953 ครั้ง)

ออฟไลน์ beindependence

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
Re: Subconscious : ผมชื่อ ไทม์ (9)
«ตอบ #30 เมื่อ15-07-2019 21:00:45 »




ผมชื่อ ไทม์ (9)


เป็นช่วงเวลาที่ผมค้นพบว่าชีวิตตัวเองช่างมีคุณค่ามากกว่าที่เคยเป็นมาทั้งชีวิต

จากที่เคยตื่นเช้า ทำงาน กลับบ้าน หรือใช้เวลาส่วนตัวไปกับการเที่ยวบ้าง หรือแค่พักผ่อนนอนอยู่บ้าน

ผมกลับมีอีกด้านนึงของชีวิตที่ตอนนี้ได้ใช้ให้เป็นประโยชน์กับสังคม

ผมได้ทำอะไรหลายๆ อย่างที่ไม่เคยทำ ไม่ว่าจะเป็น ช่วยคนเจ็บ เก็บคนตาย ช่วยเหลือประชาชน จับงู จับตัวเงินตัวทองเข้าบ้าน ช่วยหมา ช่วยแมวตกท่อ ติดรั้ว โบกรถอำนวยการจราจร กวาดถนน ช่วยเหลือผู้ประสบภัย งานบุญงานกุศลช่วยเหลือศาลเจ้า ช่วยงานถือศีลกินเจ เข้าร่วมพิธีกรรมต่างๆ แม้แต่กั้นรถ กั้นถนนอำนวยความสะดวกยามที่มีขบวน

ถ้าผมไม่ก้าวออกมาจากชีวิตที่ราบเรียบ ผมก็คงไม่มีโอกาสได้รับประสบการณ์มากมายแบบนี้


แต่อย่างว่าล่ะครับ ความต้องการของมนุษย์มันไม่เคยพอ และอัตตาของผมมันก็พองโตขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งผมก็ว่าผมเป็นเหมือนคนปกติทั่วไปนะ

เวลาที่ตัวเราได้ทำความดี รู้สึกว่าทำมากกว่าคนอื่นมากๆ

แต่กลับมองเห็นว่าคนอื่นๆ มันไม่เห็นจะทำอะไรเลย ไม่ทำไม่พอ ยังทำตัวเป็นจระเข้ขวางคลอง ขัดขวางการทำความดีของคนอื่น

หรือแม้แต่พวกปากหอยปากปู ตัวเองไม่ช่วย ไม่ทำ ยังจะมาวิจารณ์ว่ากล่าวคนอื่นอีก


มีอยู่ครั้งนึงในฤดูฝนที่ถนนเจิ่งนองไปด้วยน้ำ และท้องฟ้าโปรยปรายหยาดฝนไม่หยุดหย่อน รถกู้ภัยคันผม กับลูกข่ายอีกคันนึง ไปช่วยเหตุ ว.40 เหตุรถจักรยานยนต์ถูกรถใดไม่ทราบเฉี่ยวชน

แรกที่เราไปพบร่างชายหมดสติแต่ยังมีลมหายใจ แต่เนื่องด้วยสมัยนั้นมันไม่มีรถพยาบาลวิ่งกันให้ขวักไขว่แบบสมัยนี้

เราต่างเห็นลมหายใจที่รวยรินค่อยๆ หยุดไป ร่างกายและทรวงอกที่แน่นิ่งไม่ขยับเขยื้อน มันทำให้พวกเราต้องทำอะไรซักอย่าง

พี่หัวหน้าจุดที่มาร่วม ว.4 ด้วย คุกเข่าลงบนพื้นถนนที่เปียกชุ่ม ข้างๆ ร่างที่ลมหายใจเพิ่งขาดหาย

พี่เค้าเริ่มใช้สองมือปั้มหัวใจท่ามกลางสายฝน มองดูแล้วเหมือนหนังชีวิตซักเรื่องแต่มันคือเรื่องจริงที่เรากำลังเผชิญอยู่ ทั้งความเลอะเทอะ เปียกแฉะ

น้องอาสาฯ ผู้หญิงที่ร่วม ว.4 เข้ามาช่วยกางร่มให้ พอพี่คนแรกเหนื่อยก็เป็นผมที่ลงไปช่วยปั้มต่อ แต่ด้วยความร่างบางของผมทำให้หมดแรงทั้งที่ร่างนอนนิ่งยังไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ

พี่อีกคนค่อนข้างตัวใหญ่ พี่เค้านั่งคุกเข่าไม่ไหวเลยยืนคร่อมผู้บาดเจ็บและก้มตัวโค้งลงไปช่วยปั้มต่อ ผมมองดูแล้วเป็นท่าที่ทำให้ปวดหลังได้พอสมควร

และปาฏิหาริย์ก็มีจริง มันช่างเหมือนกับหนังที่ผมเคยดู ร่างที่แน่นิ่งเกิดคล้ายกับได้รับลมหายใจกลับคืนมาขยับเฮือก และทรวกอกกลับมากระเพื่อมขึ้นลงแผ่วเบาอีกครั้ง

น้องอาสาฯ ผู้หญิงร่ำไห้ซึ้งที่อยู่ในเหตุการณ์ช่วยอีกหนึ่งชีวิตกลับฟื้นคืนมาได้อีกครั้ง รวมทั้งผมที่หัวใจพองโต และแอบน้ำตาไปด้วย

เรารีบนำพาคนเจ็บส่งโรงพยาบาลทันที รอจนแน่ใจที่หน้าห้องฉุกเฉินช่วยเหลือเบื้องต้น ใส่เครื่องนั่นนี่จนมั่นใจว่าเค้ายังมีชีวิตอยู่จริงๆ พวกเราถึงกลับ

วันรุ่งขึ้นมีน้องๆ ติดต่อมาที่ศูนย์ว่ามีอยู่สองสามคนถ่ายคลิปเอาไว้ อยากจะให้ศูนย์เผื่อเอาไปใช้อะไรได้

ผมเองที่พอมีฝีมือจับคอมพิวเตอร์อยู่บ้าง ก็เลยเอาคลิปมาตัดต่อโดยใช้โปรแกรมพื้นฐานธรรมดา ใส่ตัวอักษร ใส่เพลง ก่อนจะอัพขึ้นโซเชียล ในนามของส่วนกลาง

พี่น้องชาวกู้ภัยต่างเข้ามาชื่นชมให้กำลังใจ รวมทั้งประชาชนทั่วไปก็เข้ามาเยินยอกันจนหัวใจพองโตกันไปตามๆ กัน

ปลาบปลื้มกันอยู่ได้ไม่นาน แน่นอนมีคนชม ก็ต้องมีคนด่า

เหล่าพวกทำงานโรงพยาบาลกันแบบเป็นอาชีพ เข้ามาคอมเม้นต์ต่อว่า ทั้งท่าที่ไม่ถูกที่ถูกทาง ทั้งการช่วยเหลือแบบมั่วๆ ทั้งว่าพวกเราอาจจะพาลทำให้ผู้บาดเจ็บพิการได้การช่วยเหลือแบบผิดๆ

อัตตาตัวตนของผมและหลายคนตรงนั้น มันทั้งโกรธ ทั้งเกลียด เกิดศึกด่าทอกันบนโซเชียลระหว่างคนที่ใช้จิตใจกับพวกอวดทฤษฎีวิชาการทั้งหลายยาวนานไปหลายวัน

ตัวผมถึงจะโกรธมากแต่ก็ใช้แอคส่วนตัวพูดตอบโต้ไปแค่สองคอมเม้นต์


"พวกกูทำด้วยใจ ไม่ใช่รับเงินเป็นอาชีพมาเลี้ยงปากท้องแบบพวกมึง"

"คนไม่ได้อยู่ตรงนั้น มึงก็ไม่มีสิทธิ์ทำ และมึงก็ไม่ต้องเสือกพูด "


ถ้าถามว่ามีใครท้อ หรือถอดใจที่จะออกไปช่วยเหลือผู้คนมั๊ย ก็ไม่นะ ผมไม่ได้เก็บเอาคำด่าทอเชิงลบพวกนั้นมาใส่ใจอีก

ผมยังทำงานกู้ภัยต่อ เรียกว่าทำอย่างบ้าคลั่งก็ได้

ผมเข้าเวรทุกคืน สัปดาห์ละเจ็ดวัน กินที่นั่น นอนที่นั่น เช้ามาก็ไปทำงาน กว่าจะกลับบ้านจริงๆ ก็เช้าวันอาทิตย์ ไปซักเสื้อเก็บผ้า สัปดาห์ละครั้งแค่นั้น

กับม่อนเองเราก็เจอกันอยู่เรื่อยๆ ผมคิดว่าความสัมพันธ์ของเราดีขึ้นนะ ไม่ใช่ในแง่คนรัก แต่เป็นแบบยังไงดี เป็นคนที่ ว.4 ร่วมกัน และช่วยเหลือกันประมาณนั้น

ผมก็รู้สึกดีกับมันนะ ผมว่าผมยังรักมันอยู่ และผมก็คิดว่ามันก็มีใจให้ผมอยู่แต่แค่เราไม่พูดออกไปแค่นั้น


เรื่องความดีที่ประดับวีรกรรมของพวกเราก็ส่วนนึง

แต่ความ ไม่ดี ที่มาจากกมลสันดานส่วนบุคคล แต่เอาการทำความดีมาส่งเสริมให้ทำชั่วง่ายขึ้นก็ส่วนนึง

ผมบอกเลยพวกผู้ชายที่นี่ส่วนใหญ่มันเจ้าชู้จริงๆ อาจเป็นเพราะได้พบปะผู้คนมากหน้าหลายตา ต้องประสานงานบุคคลมากมาย

ความเท่ ความหล่อ ที่เสมือนอยู่ท่ามกลางสปอร์ตไลท์กองถ่าย ยามที่ยืนเหมือนพระเอกอยู่ในที่เกิดเหตุแล้วเหตุเล่า

มันก็เป็นส่วนนึงที่ดึงดูดเหล่าสาวน้อย หนุ่มน้อย สาวใหญ่ หนุ่มใหญ่เข้ามาแจกเบอร์โทรเชื้อเชิญก็เยอะ แม้แต่ถูกตาต้องใจใครก็ได้เบอร์นัดแนะกันไปซ่ำได้ง่ายๆ ก็แค่น้ำแตกแล้วแยกทาง คนแล้วคนเล่าไม่ซ้ำหน้า

ตัวผมเองก็ได้รับความสนใจจากสาวๆ อยู่ไม่น้อย แต่ผมก็ยังไม่เคยออกนอกลู่นอกทางซักครั้ง ตอนนั้นอัตตาความเป็นคนดีของผมมันพองโตอยู่ว่า กูเป็นคนดีครับ

แม้แต่ไอ้ม่อน คำบอกเล่าพูดคุย แซวกันไปมาเรื่องสาวคนนั้นคนนี้ก็มีมาเข้าหูผมอยู่บ่อยๆ แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก อย่างที่บอก ถึงผมจะรู้สึกดีกับมัน แต่ผมก็ไม่ได้อยากสานสัมพันธ์ต่อ

จนวันนึง ม่อน กับ ผม ไป ว.4 เหตุผู้เสียชีวิตในร่องสวน ที่น้ำท่วม ซึ่งมันจำเป็นต้องนั่งเรือเข้าไป

ผมซึ่งไม่เคยนั่งเรือยนต์มาก่อนในชีวิต สองมือก็จับขอบเรือแน่น หารู้ไม่ว่าเวลาเทียบฝั่งมุมที่ผมจับอยู่มันจะต้องกระแทกกับขอบเขื่อนอย่างรุนแรง

แต่ม่อนมันก็ปัดมือและคว้าร่างผมให้เข้าประชิดตัวมัน ช่วยผมให้พ้นจากสภาพมือแตกเกิดเหตุซ้ำซ้อนได้อย่างทันเวลา

ผมทราบซึ้งมันมาก จนวันอาทิตย์ที่ผมกลับบ้านก็ตัดสินใจโทรไปขอบคุณมัน ทั้งๆ ที่เราไม่เคยคุยส่วนตัวกันมานานแล้ว


และนั่นล่ะครับ เป็นเหตุต่อเนื่องให้เราได้มามีอะไรกันเป็นครั้งที่สอง

ม่อนมันก็แปลกใจกับพัฒนาการเรื่องเซ็กส์ของผมที่ดูจะเชี่ยวมากขึ้น แต่ผมก็ไม่ได้บอกมันหรอกครับว่าผมมีตัวช่วยเป็นดิลโด้สีชมพูใสกับเวป Gayporn มาสักพักละ



หลังจากวันนั้น เวลาเราเจอกัน เราก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรออกนอกหน้า ออกจะเฉยๆ ด้วยซ้ำ ผมคุยดีกับมัน ปรึกษามัน แม้กระทั่งพูดถึงความมุ่งหวังของผม

ผมเคยรับผู้บาดเจ็บหนักๆ มาหลายราย ซึ่งผมก็ทำได้แค่ทำแผลเบื้องต้น แล้วก็รีบยกขึ้นรถนำส่งโรงพยาบาล ผมเปรยให้มันฟังว่าระหว่างที่อยู่บนรถผมน่าจะช่วยเค้าได้มากกว่านี้

กับผู้ป่วยหรือผู้บาดเจ็บบางราย ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเค้าเป็นอะไรถึงได้ร้องโอดโอย หรือนิ่งเฉย

ชั่วเวลาไม่กี่นาทีที่รถกู้ภัยวิ่งด้วยความเร็ว แต่สำหรับผมมันชินซะละ และผมก็อยากช่วยพวกเค้าได้มากกว่านี้ ไม่ใช่แค่นั่งเป็นเพื่อนบนรถ เพื่อรอให้ถึงโรงพยาบาลแค่นั้น

เราพูดคุยกัน ม่อนมันรับฟังผมแต่มันก็พูดตรงๆ ว่าเรื่องนี้มันคงช่วยไม่ได้ ที่มันเคยสอนผมเวลาออกเหตุนั่นมันก็ทำได้แค่นั้น ผมคงต้องไปหาพวกผู้ใหญ่ที่ช่วยผมได้

เวลาค่อยๆ ผ่านไป ชีวิตคนเรามันก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ และไม่นาน ไอ้ม่อนมันก็ค่อยๆ หายไปจากวงการ หายไปจากชีวิตผม

แต่ผมก็ไม่ได้อะไรนะ เพราะครั้งที่สองที่เรามีอะไรกัน ผมมั่นใจว่าผมไม่ได้ต้องการมันจริงๆ และนั่นมันก็เป็นครั้งสุดท้ายที่เรามีอะไรกันแบบนั้น

ผมไม่ได้รักมันแบบอยากร่วมชีวิต หรือแม้แต่เซ็กส์ของมันก็ไม่ถึงใจผมเท่ากับดิลโด้ของรักผมด้วยซ้ำ

ชีวิตผมก็ดำเนินต่อไปโดยไม่มีมัน ครั้งสุดท้ายที่เจอกันก็ตอนไปงานบวชมัน ที่มีผู้หญิงสองคนแย่งกันถือหมอนคนละใบ ที่ทำให้ผมออกจะติดขำซะอีก


วงการของเรื่องการแพทย์ฉุกเฉินมันพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ และผมก็คิดว่าแทนที่รัฐจะต้องจ่ายค่าจ้างบุคลากรเพื่อมารับผู้ป่วยผู้บาดเจ็บ ไม่สู้ไปให้ความรู้กับพวกที่เค้าทำกันอยู่แล้วไม่ดีกว่าเหรอ

เริ่มมีหน่วยงานมาติดต่อมาสร้างความสัมพันธ์อันดีกับพวกกู้ภัยมากขึ้น จากที่เคยเขม่นเหม็นหน้ากัน ก็กลับเปิดโรงพยาบาลเชิญเหล่าอาสาสมัครกู้ภัยไปเพื่อมอบอุปกรณ์และอบรมให้ความรู้

และแน่นอนผมก็ไม่พลาดโอกาสเหล่านั้น ในยามที่พวกชุดขาว กับชุดกู้ภัยเริ่มช่วยเหลือเกื้อกูลกัน แวดวงมันก็กว้างขึ้น ผมได้รู้จักคนมากหน้าหลายตาขึ้น

ผมไปอบรมเรียนรู้ถึงขั้นเป็นเวชกิจฉุกเฉินในช่วงวันหยุด เสาร์-อาทิตย์ ที่ว่างเว้นจากงานประจำอยู่หลายเดือนกับเพื่อนร่วนรุ่นร่วมองค์กรอีกหลายคน จนมูลนิธิของเราจัดตั้งรถ น.พยาบาล ขึ้นอย่างเป็นทางการได้

ผมก็เลยเริ่มห่างหายจากรถกู้ภัย จาก 7 วัน เหลือวันเดียว ส่วนวันอื่นๆ ผมก็ ว.4 ประจำ น.พยาบาล ตามความรู้ที่ยกระดับร่ำเรียนมา

แต่พวกเราก็ทำเป็นการกุศลเหมือนเดิมนะครับ ถึงจะไปร่ำเรียนมาด้วยตัวเอง แต่ปณิธานแน่วแน่ที่จะช่วยเหลือสังคมโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนนั้นยังคงเหมือนเดิม






_____________________


#Subconscious

#วาย

#จิตใต้สำนึก



ออฟไลน์ beindependence

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
Re: Subconscious : ผมชื่อ ไทม์ (10)
«ตอบ #31 เมื่อ01-08-2019 20:04:43 »

 :pig4:
ขออภัยที่หายไปนานนะคะ พอดีติดสอบ พอสอบเสร็จญาติก็เสียพอดี ตอนนี้กลับมาแล้ว เดิมทีตั้งใจจะจบเรื่องนี้ในเดือนกรกฎาคม แต่ไม่ทันแล้ว ขอบคุณที่ติดตามและยังอยู่ด้วยกันนะคะ :pig4:




ผมชื่อ ไทม์ (10)



ผมอยากจะบอกว่า วงการชุดสีขาวที่ผมเคยมองว่ามันสะอาด วงการเจ้าหน้าที่ทั้งหลายที่ดูภูมิฐาน กับสิ่งที่ผมไปพบเจอมานั้น มันไม่ได้สวยงามเหมือนที่ผมคิด

ผมรู้จักกับหัวหน้าศูนย์อยู่คนนึง ตอนนั้นประเทศนี้เค้าเพิ่งเห็นความสำคัญของสายด่วนฉุกเฉินกัน ผมเจอเค้าช่วงที่เรียนเวชกิจฉุกเฉิน ซึ่งก่อนจบจะต้องไปเก็บเคสก่อนที่นี่

พี่น่าน เป็นหนุ่มใหญ่ ดูดี ดูภูมิฐาน และเป็นที่เคารพนับถือของทุกคน พี่น่านใจดี พี่น่านเก่ง พี่น่านเป็นฮีโร่ของพวกน้องๆ รวมทั้งผมด้วย

พี่น่าน อยู่ในสายงานที่รู้จักกับอาจารย์ที่สอนผมเป็นอย่างดี น้องๆ เลยได้มีโอกาสผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาเก็บเคสที่ศูนย์พี่เค้า

แต่กับผมนั้น การปฏิบัติตัวของพี่น่านที่มีต่อผม พี่น่านไม่ได้ปล่อยผ่านไปแค่นั้น พี่น่านจีบผมแบบเปิดเผย เราสานสัมพันธ์กันเรื่อยมา จนเหมือนจะเป็นที่รู้จักในนามคู่รักกู้ชีพกู้ภัย

สำหรับความรู้สึกที่ผมมีให้พี่น่าน มันคือความเคารพ และเชื่อใจ ด้วยตำแหน่งหน้าที่การงาน ทำให้ผมมั่นใจว่าผมจะไม่ถูกหลอกลวง

ทุกครั้งที่ผม ว.4 อยู่ข้างนอก พี่น่านก็ ว.4 ที่ศูนย์สั่งการ หัวใจของผมตอนนั้นมันพองโตนะ เหมือนเป็นตัวเอกในหนังที่พระนางต้องแยกกันไปทำภารกิจกู้โลกยังไงยังงั้น

เราจีบกันไม่นาน เราก็มีเซ็กส์กัน พี่น่านอายุมากกว่าผมมากๆ มากกว่าสิบปีด้วยซ้ำ บอกตามตรงมันก็ไม่ได้เติมเต็มผมซักเท่าไหร่ แต่ชีวิตผมก็ไม่ได้ต้องการแค่เรื่องแบบนี้

ผมรู้สึกตัวพองโต มันดูเท่ รู้สึกภูมิอกภูมิใจ ผมยืดได้ ผมเป็นที่เคารพของน้องๆ ต่างหน่วยงานที่รู้จักกับพี่น่าน น้องๆ ให้เกียรติผมในฐานะแฟนหัวหน้าศูนย์

แรกๆ พี่น่านดูแลผมดีนะ เวลาเราจะมีอะไรกัน พี่เค้าก็จะพาผมไปโรงแรมหรู พอนานวันเข้าก็กลายเป็นแค่ม่านรูดธรรมดา และที่หนักที่สุดที่ผมต้องตีตัวออกห่างก็คือ

มีอยู่วันนึง พี่น่านให้ผมไปหาที่โรงพยาบาลเหมือนเคย ปกติผมก็ไปคุยไปเล่นอยู่บ่อยๆ แต่คราวนี้พี่น่านชวนผมไปห้องน้ำของอาคารที่ไม่มีการทำงานในช่วงนั้น

มันเป็นช่วงที่ไม่มีคนสัญจรเพราะเป็นเวรดึก พี่น่านดันตัวผมเข้าไปในห้องน้ำด้านในสุดก่อนจะปิดล๊อคประตู

เค้าไม่ได้เล้าโลม หรือปลุกเร้าให้ผมมีอารมณ์ร่วมแม้แต่น้อย พอพี่มันจับผมหันหลังและถอดกางเกงลงได้ มันก็จับยกสะโพกผมให้มันเอา ให้มันแทงแบบไม่สนใจความรู้สึกผมซักนิด

แต่ด้วยความที่อายุเค้าต่างกับผมมาก ความฟิตเฟิร์มของเค้าก็อ่อนด้อยตามไปด้วย มันจึงไม่ได้รุนแรง และไม่นานเค้าก็เสร็จกิจ ก่อนที่เค้าจะไล่เชิงคล้ายบอกให้ผมกลับไปพักผ่อน

ระหว่างทางกลับผมเลยได้คิดทบทวน ผมไม่ได้โง่นะครับ บางครั้งตอนเรามีเซ็กส์กันอยู่ที่โรงแรม บางทีก็มีคนอื่นโทรมาหามัน

และแทนที่มันจะอยู่แบบเป็นส่วนตัวกับผม แต่มันกับเลือกที่จะคุยโทรศัพท์โดยอ้างว่ารุ่นน้องขอโทรมาปรึกษาเรื่องเคส มันเอาผมไป ให้ผม on top ให้ แล้วมันคุยโทรศัพท์ไป ซึ่งสิ่งที่ผมได้ยิน มันก็แค่เรื่องคุยเล่นไร้สาระ เหมือนคุยจีบกันมากกว่า

พอผมมาเจอเหตุการณ์ที่มันเรียกผมไประบายความใคร่ของมันในห้องน้ำโรงพยาบาล ผมก็หมดความอดทน ผมตัดขาดการติดต่อกับมัน ผมบล๊อคทุกช่องทางการติดต่อสื่อสาร

เวลาที่เราต้องเจอกัน ผมก็จะพยายามหลีกเลี่ยงการพบหน้า หรือหากสุดวิสัยผมก็พูดแค่เรื่องงาน แต่มันกลับไปสร้างกระแสกับเรื่องคู่รักกู้ชีพกู้ภัยของเรา ว่าผมเป็นคนทิ้งมัน ทำให้มันดูน่าสงสารหนัก จนมีน้องๆ สาวน้อย หนุ่มน้อยไปอาสาดามใจกันให้เพียบ

ควายเอ๊ย!!  ผมได้แต่อุทานด่ามันในใจ ช่วงที่ผมตีตัวออกห่าง มันไม่ได้มาง้อ ไม่ได้ถามเหตุผลผม มันไม่ได้แคร์ผมเลยด้วยซ้ำ

ความสร้างภาพที่ผมเห็นตอนนี้ มันก็คงเหมือนความสะอาด ความภูมิฐาน น่าเชื่อถือ ที่เคยทำให้ผมเชื่อใจในตอนแรกนั่นล่ะ คนดี หรือไม่ดี มันวัดกันไม่ได้ด้วยยศถาบรรดาศักดิ์จริงๆ

แต่ผมไม่แคร์หรอกครับ ตั้งแต่ผมเป็นกู้ภัยมา สมัยที่ยังตีกับพวกชุดขาว ผมก็มักจะได้รับบทบาทภาพพจน์แบบคนต่ำทราม ไร้มารยาท เอะอะก็ด่าทอ หาเรื่องท้าต่อยตี

ไม่เหมือนผู้ดีตีนแดง ต่อหน้ายกยิ้มแต่ภายในใจกับเลวร้ายกว่า ผมเจอมาเยอะแล้วไอ้พวกคนดีมีมารยาทต่อหน้าอ่ะ ผมเรียกว่าพวกมารยาสาไถยคงจะเหมาะกว่า


ผมขลุกอยู่กับวงการกู้ชีพชุดขาวอยู่พักใหญ่ เชื่อมั๊ยอัตตาผมมันยิ่งพองตัวว่า กูเก่ง กูแน่ คนนั้นไม่ดี คนนี้ทำไม่ถูก ตัวผมมันลอยจนลืมครั้งที่มีเรื่องด่าทอกันในโซเชียลสมัยเป็นกู้ภัยไปซะสนิท

สิ่งที่ผมเคยว่ากล่าวคนอื่นมันย้อนเข้ามาหาตัวเอง แบบไม่สำนึกตัว ไม่ลืมหูลืมตา



จะว่าไปผมก็ใช้ชีวิตคุ้มแล้วนะ ผมได้ทำหลายสิ่งหลายอย่าง ได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ

ถ้าถามว่าสองมือของผมนี้ มีศพผ่านมือมากี่ศพ มีคนบาดเจ็บที่ถูกช่วยเหลือมากี่ชีวิต ผมไม่ได้นับไว้หรอกครับ แต่ถ้าลองบวกลบคูณหารกันแล้วก็นับได้เป็นพันทีเดียว

ผมอยู่ในจุดที่หลายๆ คน อยากจะเข้าหา ด้วยรูปร่างหน้าตาผมก็จัดว่าดี ความสามารถก็เด่น รูปสมบัติชวนดึงดูดทั้งหญิงชาย แต่ข่าวลือสร้างกระแสของตาลุงหัวหน้าศูนย์นั่นก็ยังคงอยู่ เหมือนตราบาปที่ตามหลอกหลอนให้ผมดิ้นไม่หลุดไม่ว่าไปที่ไหนในวงการนี้

ผมเลยต้องแอบคบกับบางคนแบบเงียบๆ จะเรียกว่ากิ๊กในช่วงนั้นก็ได้

ก็เด็กมันจีบผมก่อนแล้วจะให้ทำยังไงล่ะครับ ผมก็อยากกินเด็กกรุบกริบบ้างไรบ้าง

อาท อายุน้อยกว่าผมหกปี ผมว่าตั้งแต่ผมมีเซ็กส์กับใครๆ มา ผมพอใจอาทที่สุดแล้ว

อาททั้งใหญ่ ทั้งยาว ทั้งอึด ทั้งมีลีลาท่วงท่าที่ทำให้ผมถึงอกถึงใจทุกครั้งที่เรามีเซ็กส์กัน

อาทเป็นหนุ่มรัฐวิสาหกิจที่มาใช้เวลาว่างเข้าเวรกู้ภัย แรกๆ เราไม่ได้อยู่เวรเดียวกัน ไม่ค่อยได้เจอกัน จนงานเทศกาลกินเจ ที่ในคืนสุดท้ายของคนเคร่งครัดบางคนที่งดกิจกรรมกาม มาตลอดเทศกาลจะได้ปลดปล่อยกันซะที

ผมที่ยังว่าง กับอาทที่พอมองตากันก็รู้ใจ ก็พากันไปส่งท้ายเทศกาลกันแบบตามกันขึ้นสวรรค์ชั้นเจ็ดชั้นแปดกันทั้งคู่ คลอเคลียนัวเนียกันยันเช้า

หลังจากวันนั้นอาทก็มาขอเข้าเวรเดียวกับผม แล้วพอเลิก ว.4 เราก็แอบนัดแนะไปเติมเต็มกันและกันแบบลับๆ บ่อยๆ

ผมไม่ได้รักอาท เราไม่ได้คบกัน แต่ผมก็มีความสุขดีจากการเสพสมร่างกาย และความอิสระสบายใจ เราต่างพึงพอใจในสถานะ และไม่มีใครอยากผูกมัดกันและกัน

ความสัมพันธ์ฉาบฉวยแบบนี้ หากใครคิดจริงจังดึงรั้งก็ย่อมต้องเจ็บ หากไม่มีใครกล้าคิดสานต่อ ไม่นานก็ต้องปล่อยมือกันไป เหมือนผมกับอาท ที่เริ่มห่างหายกันไปเรื่อยๆ

เมื่อก่อนผมไม่เคยชมชอบใครๆ ที่มีพฤติกรรมแบบนี้เลย แต่ไม่นานสิ่งแวดล้อมมันก็กลืนกินผม แม้จะไม่ถึงกับตามเค้าไปมั่วยามั่วเซ็กซ์กับคนบางกลุ่ม

แต่การปล่อยตัวไปมีความสัมพันธ์ทางกายแบบไร้คู่ผูกมัดไปเรื่อยๆ แบบนี้ มันก็เหมือนความผิดบาปที่ผมพยายามฝังกลบไว้ให้ลึกสุดใจ ผมไม่เคยนึกถึงมันให้จิตตก ผมยังคงหลงเพลินกับการใช้ชีวิตแบบนี้ไปเรื่อยๆ กับคนใหม่ๆ ตลอดเวลา



ชีวิตผมมันเริ่มอยู่ตัว ความตื่นเต้นกับสิ่งแปลกใหม่กลับกลายเป็นความเคยชิน เฉยชา ไร้ความรู้สึก เหมือนไร้หัวใจ

จากที่เคยไปทำศพ ยามเห็นเหล่าญาติพี่น้องคนตายร่ำไห้ จากที่ผมเคยรู้สึกสะเทือนใจ และพลอยเศร้าไปด้วยกับการจากลาของผู้คนที่ผูกพันกัน

แต่ตอนนี้ใจผมมันนิ่ง ผมไม่มีความรู้สึกอะไรเลย พูดได้ง่ายๆ ว่า การตาย มันเป็นเรื่องธรรมดามากๆ สำหรับผม แม้กระทั่งคนใกล้ชิดสนิทสนม ผมก็ยังไม่เสียน้ำตาแม้แต่หยดเดียว

ยามไปรับผู้บาดเจ็บ จากที่เคยเป็นห่วงกลัวเค้าเจ็บ สงสารเค้า ในเวลานี้ เวลาราดน้ำเกลือ หรือลงแอลกอฮอล์ ผมยังทำแบบไม่ทันให้ผู้บาดเจ็บตั้งตัวเตรียมใจด้วยซ้ำ

ผมชินชา เฉยเมย แต่ผมก็ยังทำทุกอย่างได้ดีไม่มีขาดตกบกพร่อง ยิ่งนิ่งมาก งานก็ยิ่งดีด้วยซ้ำ

แม้แต่เรื่องเซ็กส์ผมก็ยังรีบๆ ทำให้มันเสร็จๆ เวลาที่อยาก ก็แค่หาใครที่พอใจ มาช่วยกันปลดเปลื้องตัณหา ให้มันจบๆ หายๆ ไปเป็นรายครั้ง พอลงจากเตียงก็จบกัน

ไร้ความผูกพัน เดินสวนกันยังทำเหมือนคนแปลกหน้า หรือจะพูดคุยเป็นคนรู้จักธรรมดาๆ ก็ทำได้อย่างสบายๆ

จะเรียกว่าชีวิตผมมันเหลวแหลกหรือเปล่านะ แต่ผมก็ยังใช้ชีวิตมาเรื่อยๆ จนเจอเหตุการณ์ที่เป็นจุดเปลี่ยนสั่งสมให้ผมได้ถอนถอยออกมานั่นล่ะ





_____________________


#Subconscious

#วาย

#จิตใต้สำนึก




ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: Subconscious
«ตอบ #32 เมื่อ02-08-2019 09:28:42 »

 :pig4:
 :3123:

ออฟไลน์ beindependence

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
Re: Subconscious : ผมชื่อ ไทม์ (11)
«ตอบ #33 เมื่อ07-08-2019 19:31:45 »




ผมชื่อ ไทม์ (11)



มนุษย์ส่วนใหญ่ ไม่มีใครอยากตายหรอก จริงมั๊ยครับ

การมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้มันช่างเป็นสิ่งที่คนให้ความสำคัญ ไม่มีใครอยากลาจากคนที่รัก ไม่มีใครต้องการให้คนที่ผูกพันถูกพรากไปด้วยความตาย

ผมก็เคยคิดแบบนั้น

การช่วยชีวิตคนมันเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากเหลือเกิน ยิ่งคำพูดติดปากที่ว่า "ช่วยโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน" ด้วยแล้ว มันยิ่งทำให้ไหล่ผมตั้ง อัตตาพองโต นี่ชีวิตผมมันช่างมีคุณประโยชน์ ผมช่างมีบุญคุณกับหลายชีวิตเหลือเกิน

เวลาคุณทำความดี คุณทำเพื่อผู้อื่นจริงๆ หรือ? ปากผมก็ว่าแบบนั้นนะ แต่ยิ่งนานวัน ความดีที่ผมสั่งสมมันยิ่งก่อตัวพอกพูนอัตตาให้ผมสำคัญตัวตนว่าผมดี ว่าผมเด่นดัง ว่าผมช่างเป็นบุคคลที่มีคุณประโยชน์ภาคภูมิด้วยชื่อเสียงเกียรติยศ

เราทำความดีเพื่อความดี โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนจริงๆ ใช่มั๊ย  หรือทำความดีเพื่อใช้ความดีมาเสริมส่งอัตตาตัวตนของเรากันแน่

ผมใช้ชีวิตกับความดีของผมมาเนิ่นนาน แต่ก็มีบางสิ่งที่มันขัดใจ แต่ผมกลับปล่อยผ่านมาหลายครั้ง อย่างเช่น



มีครั้งนึงผม CPR ช่วยชีวิตผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ประสบอุบัติเหตุถูกสิบล้อเฉี่ยวชน หมดสติ

เราเช็คร่างกายเบื้องต้นของผู้หมดสติทราบว่าแขนหักหนึ่งข้าง และขาทั้งสองข้างผิดรูป แต่เค้ายังไม่ตายแต่ชีพจรแผ่วเบาและใกล้จะเงียบหายพร้อมๆ กับลมหายใจที่เริ่มเบาบาง

นาทีนั้นสิ่งที่ผมคิดคงไม่ต่างจากคนอื่น ใช่ครับ เราต้องช่วยชีวิตเค้าเอาไว้ให้ได้

พวกเราทำทุกสิ่ง ช่วยฟื้นคืนชีพทุกทางที่ทำได้ และมันสำเร็จ หัวใจเค้ายังคงเต้น และถูกนำส่งไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลต่อไป

ระหว่างที่หัวใจผมมันพองโตกับความภูมิใจที่ช่วยเหลือชีวิตคนได้สำเร็จ แต่ก็มีเศษเสี้ยวที่เผลอคิดว่า เค้าคนนั้น คงต้องพิการตลอดชีวิตหรือเปล่านะ แต่ผมก็ปัดตกความคิดนี้ไป เพราะการช่วยชีวิตคนมันเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอยู่แล้ว



และอีกครั้งที่ผมไปช่วยคนกินยาฆ่าตัวตาย ตลอดระยะทางการนำส่งโรงพยาบาลนั้นมีแต่คำปลอบประโลม คำให้กำลังใจ คำสั่งสอนว่าการมีชีวิตอยู่มันดีที่สุดแล้ว ไม่ว่ามีเหตุผลใดทุกคนก็ควรสู้กับชีวิตบนโลกใบนี้ต่อไป

สิ่งที่ผมว่ากล่าวตักเตือนเค้ามันคือสิ่งที่ถูกต้องที่สุด แต่ก็มีเศษเสี้ยวที่เผลอคิดว่า ถึง เค้าคนนั้น จะล้างท้องทัน แต่อวัยวะภายในก็คงไม่เหลือชื้นดี คงต้องทรมานไปจนกว่าจะตาย แต่ผมก็ปัดตกความคิดเหล่านั้นไปทุกครั้งที่มีเหตุการณ์คล้ายๆ แบบนี้



มันก็มีหลายๆ ครั้ง ที่ผมเจอเคสที่ใกล้ตายแบบที่รักษาไปก็ไม่เหมือนเดิมหลายครั้งหลายครา แต่ครั้งที่ผมค่อนข้างสะเทือนใจที่สุดก็คงเป็นครั้งที่ผมเริ่มถอยออกมาจากวงการกู้ชีพ


หญิงคนนั้น ประสบอุบัติเหตุไม่ทราบรถใดเฉี่ยวชน และร่างของเธอลอยตกลงมาจากสะพานต่างระดับ

ตรวจสอบเบื้องต้นแล้วร่างของเธอผิดรูปไปทั้งตัว สะโพกแบะออกจากกัน ต้องใช้ KED แบบพลิกแพลงเพื่อห่อหุ้มร่างด้านบนและด้านล่างสองชิ้น เพราะร่างซ้ายขวาเหมือนแทบจะแยกออกจากกันได้ตลอดเวลา มีเพียงแค่หนังห่อหุ้มให้ยังคงอยู่ แต่ว่าเธอยังมีชีวิต

เธอส่งเสียงร้องเพียงน้อยนิด แต่กลับพูดเป็นประโยคได้ชัดถ้อยชัดคำเหลือเกิน


 "ไม่ต้องช่วย ปล่อยให้ตาย"


เธอพร่ำพูดด้วยเสียงที่แหบเบาอยู่แค่สองคำนี้ และแน่นอนพวกเราไม่ปล่อยให้เธอตาย เพราะการมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ และการช่วยชีวิตคนมันเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอยู่แล้ว

เมื่อเธอถึงโรงพยาบาล เราก็หมดหน้าที่ เราต่างเดินออกมาจากห้องฉุกเฉิน เราไม่เคยรู้ว่าใครจะเป็นอย่างไรต่อไปหลังจากนำส่งสำเร็จ เค้าจะรักษาได้มั๊ย หรือจะเป็นยังไงต่อไปผมไม่เคยสนใจอีก

ดึกคืนนั้นมีเหตุให้ผมได้กลับมาที่ รพ.อีกครั้งพร้อมกับผู้บาดเจ็บคนใหม่ที่ต้องนำส่ง รพ.

ระหว่างที่ผมยืนรอ ว.8 จากพยาบาล ผมเลยเดินไปนั่งรอที่เก้าอี้แถวยาวหน้าห้องฉุกเฉิน ผมเห็นที่ตรงนั้นมีเด็กน้อย และยายเฒ่าค้ำไม้เท้า นั่งจับจองอยู่ก่อนแล้วสองที่นั่ง ผมจึงเดินไปนั่งลงที่เก้าอี้ตัวถัดไป

บทสนทนาระหว่างเด็กน้อยกับยายเฒ่านั้นฟังดูเหมือนจะกล่าวถึงผู้หญิงในห้องฉุกเฉินซึ่งเป็นทั้งแม่ของเด็กน้อย และเป็นลูกสาวของยายเฒ่านั้นด้วย

เสียงเจื้อยแจ้วถามยายว่า


 "แม่ของหนูจะหายมั๊ยจ๊ะ"

 "เราจะได้กลับบ้านกันกี่โมง หนูยังไม่ได้นอนเลย พรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียน"


และอีกหลายๆ ประโยคที่ถาม วนไปวนมา ตามประสาเด็ก

เสียงเครือของยายตอบหลานไม่กี่ประโยค แต่ทำให้ผมรับรู้ว่าหญิงคนไหนที่เป็นทั้งแม่ และลูกสาวของสองคนยายหลาน


 "พรุ่งนี้ต้องหยุดเรียนแล้วลูกเอ๊ย"

 "ต่อไปเอ็งคงไม่ได้ไปโรงเรียนอีกแล้ว เอ็งต้องดูแลแม่อยู่ที่บ้าน แม่เอ็งลุกไม่ไหวแล้ว ยายจะไปขอข้าววัดมาให้พวกเอ็งกินเอง"

 "พ่อเอ็งก็ไม่อยู่แล้ว เอ็งต้องอย่าทิ้งแม่เอ็งนะ"


ข้อความทุกประโยคทำให้ผมนึกถึงเคสที่ผมเพิ่งนำส่งก่อนหน้า และฉุกคิดได้ถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นเมื่อชีวิตเค้ายังคงอยู่

พลันประโยคในที่เกิดเหตุก็ยิ่งตอกย้ำให้ผมเข้าใจเหตุผลของเธอ ประโยคที่เธอพูดว่า  "ไม่ต้องช่วย ปล่อยให้ตาย"

ถ้อยคำที่ผมเคยนึกดูถูกว่ามันเป็นสิ่งที่ผิด กลับกลายเป็นความถูกต้องที่สุดแล้วของหัวจิตหัวใจของเธอคนนั้น

หากเธอยังคงมีชีวิตอยู่ นอกจากจะทำประโยชน์ให้แม่แก่และลูกน้อยไม่ได้แล้ว ยังคงต้องเป็นภาระให้คนข้างหลังที่ต้องมาคอยเฝ้าดูแลคนพิกลพิการอัมพฤกษ์อัมพาต

ดูแลแม่แก่ไม่ได้ ยังต้องเพิ่มความเหนื่อยยากให้ผู้เฒ่าหาเลี้ยงทั้งตัวเธอทั้งเด็กน้อย

ส่งเสริมอนาคตที่ดีให้ลูกน้อยไม่ได้ ยังกลายเป็นตัวถ่วงอนาคตลูกให้ต้องมาคอยเฝ้าดูแล


บอกตามตรง สิ่งที่ผมเคยคิดมาตลอดว่าการมีชีวิตอยู่ซิถึงเป็นสิ่งดีที่สุด แต่ผมไม่เคยนึกถึงความยากลำบากที่ชิวิตต้องพบเจอเลย

ผมไม่เคยกลัวความตายนะ ผมค่อนข้างเฉยชา แต่ชีวิตผมก็ไม่เคยพบเจอความยากลำบาก ไอ้เรื่องยากจนต้องดิ้นรนสู้ชิวิตช่างห่างไกลกับตัวผมพอสมควร

เหตุการณ์นี้มันทำให้ผมค่อนข้างสะเทือนใจอย่างมาก พลันหวนนึกไปถึงอีกหลายชีวิตที่ล่อแล่ ซึ่งถูกผมดึงรั้งให้ยังคงมีชีวิตอยู่ พวกเค้าเหล่านั้นจะมีชะตากรรมเป็นยังไง

ผมสับสน และคิดมากจริงๆ จนต้องขอลาเวร ไม่เข้าเวรอยู่เป็นสัปดาห์ ซึ่งระหว่างนั้นก็ประจวบเหมาะที่ผมได้รู้จักกับพี่คนนึงในโลกโซเชียล

เค้าพูดคุยและชักนำให้ผมรู้จักกับการเจริญจิตภาวนา ตามแนวทางสายวัดป่า ดูกาย ดูจิต

คำพูดของเค้าหลายคำล้วนแทงใจ และตอบโจทย์ความสับสนในความคิดของผมเป็นอย่างมาก จนผมเริ่มเข้าเวรน้อยลง ช่วงวันหยุดจากงานประจำก็ไปแสวงหาพระอาจารย์ต่างๆ

สิ่งหนึ่งที่ผมรู้ตอนนั้นก็คือ การมีชีวิตอยู่ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดของชึวิต และผมก็ค้นพบตัวทุกข์ ทำให้ผมเริ่มศึกษาทางสายนี้อย่างจริงจัง

ซึ่งแน่นอนว่าผมค่อยๆ หายไปจากวงการกู้ชีพเรื่อยๆ จนเหลือแค่เข้าเวรกู้ภัยเก็บศพบางคืนเท่านั้น รวมไปถึงการใช้ร่างกายเสพกามารมณ์สำส่อนก็ละเลิกหายไปพร้อมๆ กัน

แต่ผมก็ยังไม่ทิ้งเรื่องทำตนให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม ผมเริ่มติดต่อเพื่อนเก่าๆ พูดคุยกับพวกทำค่ายอาสา หาเรื่องทำตนให้เป็นประโยชน์ในด้านอื่นๆ ไปเรื่อยๆ

จนมีครั้งนึงที่ผมได้มีโอกาสขึ้นดอย และบังเอิญเจอกับ พี่ตั้ม



เดี๋ยวนะ...

อีกแล้ว...


มันเป็นแบบนี้อีกแล้ว มันวน มันย้อนกลับมาที่เดิมอีกแล้ว

เห้ย!!




ผมชื่อ ไทม์

Time ที่แปลว่า เวลา

ผมเกิดปี 1987

อายุ 32 ปี

ตอนนี้ผมโสด ไม่คบใคร ไม่มีคนคุย และ ไม่รักใคร




แต่ตอนที่ผมคบกับพี่ตั้ม นั่นมันตอนผมอายุ 25 นะ มันคือเมื่อ 7 ปีก่อน และทุกสิ่งทุกอย่างมันเกิดขึ้นก่อนที่ผมจะเจอพี่ตั้ม มัน มัน เกิดขึ้นก่อนทั้งหมด

ใช่!!  เอาอีกแล้ว มันย้อนเวลาจริงๆ มันเป็นแบบนี้เพื่ออะไรกัน แล้วผมจะต้องทำยังไง มันเกิดอะไรขึ้นกับผมกันแน่





_____________________


#Subconscious

#วาย

#จิตใต้สำนึก



ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: Subconscious
«ตอบ #34 เมื่อ07-08-2019 22:10:59 »

 :pig4:
 o13

ออฟไลน์ beindependence

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
Re: Subconscious : ย้อนสุดท้าย
«ตอบ #35 เมื่อ27-08-2019 19:54:51 »



ย้อนสุดท้าย





ผมชื่อ ไทม์

Time ที่แปลว่า เวลา

ผมเกิดปี 1987

อายุ 32 ปี

ตอนนี้ผมโสด ไม่คบใคร ไม่มีคนคุย และ ไม่รักใคร



ความคิดของผม ณ ตอนนี้ มันมีอยู่แค่นี้ ในขณะที่ผมหลับตาท่ามกลางความเงียบสนิทอยู่เนิ่นนาน

มันว่างเปล่า เคว้งคว้าง ไม่มีภาพ ไม่มีเสียงใดใด ให้ผมเห็น หรือให้ผมได้ยิน

ผมสัมผัสได้เพียงลมหายใจแผ่วเบา ทำให้รู้ว่าผมยังคงมีชีวิตอยู่

ดูเหมือนว่าผมกำลังหลับ ผมรับรู้ถึงร่างกายของผม แต่มันแน่นิ่ง ไม่มีความเคลื่อนไหว มีเพียงทรวงอกที่ขยับขึ้นลงตามจังหวะของลมหายใจบางเบา

ผมสัมผัสความรู้สึกนี้อยู่เนิ่นนาน จนมันดับวูบไปแบบไม่รู้ตัว




 "เบาๆ ซิ ค่อยๆ เดิน"

 "ชู่ว์..นายนั่นแหละอย่าส่งเสียง เดี๋ยวนายนั่นก็ได้ยินหรอก"


ผม และสาม เพื่อนของผม กำลังค่อยๆ ย่องไปด้านหลังของคนมาใหม่ที่นั่งเขียนงานอยู่ที่โต๊ะของลานกว้างข้างสนามบอลของโรงเรียน

เค้าเข้ามาเรียนกลางเทอม ห้องเดียวกับพวกเรา แต่ครูบอกว่าเค้าอายุมากกว่าพวกเราหลายปี ใช่ครับ เค้าซิ่วมาจากที่อื่น

เราค่อยๆ ย่องเข้าไป ยังไม่ใกล้เคียงคำว่า ใกล้ ตัวเค้าด้วยซ้ำ แต่เค้ากลับพูดลอยๆ ขึ้นว่า "จะเอาอะไร"

ผม และสาม เลยเลิกย่องแล้วเดินไปนั่งตรงข้ามเค้า มองหน้าคนที่ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามองพวกผม


เค้าเข้ามาเรียนกับพวกเราไม่นาน แต่กลับได้รับความไว้วางใจจากครู และถูกนักเรียนทั้งโรงเรียนเลือกให้เป็นประธานนักเรียน ทั้งที่เค้าอยู่แค่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่สอง

แน่นอน พวกสาวๆ พากันกรี๊ดเค้า ผมรู้ว่ามีสาวๆ แอบชอบเค้ามากมาย แต่เค้ากลับไม่เห็นสนใจใคร

เค้ามักจะมายืมรองเท้าโรลเลอร์เบลดของผมทุกวันเสาร์-อาทิตย์ หลายครั้งเค้าก็ยืมมอเตอร์ไซด์รุ่นใหม่ล่าสุดของผมไปทำธุระบ่อยๆ

เค้าเป็นเพียงคนเดียวที่ผมไว้วางใจที่จะให้ยืนสมบัติส่วนตัวของผม แน่นอนว่าผมไม่เคยให้ใครมีสิทธิ์ได้ยืมสิ่งเหล่านี้ ซึ่งผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม

เค้าเป็นเด็กดีของคุณครูเสมอ แม้กระทั่งเวลาที่พวกผมพากันรวมหัวโดดเรียน เค้าก็เป็นคนเกลี้ยกล่อมให้พวกเรากลับไปเรียนหนังสือตามปกติ ซึ่งเค้าก็มีอิทธิพลทำให้พวกเรายอมแต่โดยดีเสมอ

ทุกคนชื่นชม และเกรงใจเค้า เค้าค่อนข้างเป็นที่ชื่นชอบไม่ว่าจะหญิง หรือชาย แต่ผมไม่รู้หรอกว่าความรัก ความชอบ มันคืออะไร จนวันนี้

วันนี้เป็นวันวาเลนไทน์ ที่เด็กมัธยมต้นอย่างผมยังไม่เคยสัมผัสกับคำว่ารัก หรือชอบ เราทำเพียงเอาสติกเกอร์รูปหัวใจไปแปะตามเสื้อเพื่อนๆ กันอย่างสนุกนาน

ต่างจากเค้าที่มีทั้งดอกไม้ และช็อคโกแลต ที่ได้รับทั้งจากสาวๆ หนุ่มๆ ในโรงเรียน และต่างโรงเรียนที่แอบมารอที่หน้าประตูโรงเรียนตอนเช้ามากมาย

ผมเห็นของมากมายวางอยู่บนโต๊ะเค้า ผมคิดได้แค่ว่า ช็อคโกแลตมันน่ากินมาก จนผมต้องบ่นกับ สาม เพื่อนของผม ที่นั่งอยู่โต๊ะเรียนคู่กัน

สาม ไม่มีความคิดเห็นอะไร ต่างจากผมที่นั่งบ่นว่าอยากกินช็อคโกแลต จนตกเย็นใกล้เวลาเลิกเรียน

นักเรียนทุกคนทยอยออกจากห้อง เหลือแค่ ผม สาม และเค้า

สามเก็บกระเป๋าเตรียมจะลุกกลับบ้าน แต่เค้าก็เอ่ยปากรั้งเอาไว้ก่อน


 "สาม จะกลับแล้วเหรอ"

 "อื้ม"  สามตอบเค้าแค่นั้น


เค้าลุกขึ้น และเดินเข้ามาที่โต๊ะของเรา พร้อมกับยื่นช็อคโกแลตแท่งหรู ซึ่งผมคิดว่ามันคงแพงมากๆ เพราะห่อมันสวยมาก และผมไม่เคยเห็นมันตามร้านค้าแถวบ้านหรือโรงเรียนเลย

เค้ายื่นมันให้กับ สาม

ผมมองตามมือนั้นที่หยิบยื่นมาทางเพื่อนผมตั้งแต่แรก มันเหมือนภาพ slow motion ผมมองการกระทำนั้น นิ่ง ค้าง และรับรู้มันได้ทุกวินาที จนสามพูดว่า "ไม่เอา"

เค้าไม่ตื้อต่อ แต่วางมันไว้กับโต๊ะ และบอกสามว่า "ถ้าไม่รับก็วางไว้ตรงนี้" และเค้าก็เดินกลับไปนั่งที่โต๊ะของเค้าเหมือนเดิม

สามทำท่าจะเดินจากไป แต่ผมก็ยังจะบอกสามว่า "รับไว้เถอะ น่ากินดีออก"

สามตอบผมกลับมาว่า "ถ้านายอยากกิน ก็เอาไปกินเองซิ" และเดินจากห้องไป ทิ้งให้ผมยืนมองช็อคโกแลตที่วางอยู่บนโต๊ะ สลับกลับมองคนให้ ที่นั่งก้มหน้าทำงานที่โต๊ะของตัวเองอยู่อย่างนั้น

ผมมองช็อคโกแลตอย่างอาลัยอาวรณ์ ก่อนที่ผมจะตัดใจ และลุกเดินออกจากห้องไปโดยทิ้งมันไว้ตรงนั้น


คุณรู้มั๊ย เหตุการณ์ครั้งนี้ มันทำให้ผมรู้จักความรักเป็นครั้งแรก และเป็นความรักที่เจ็บปวดเหลือเกิน

ตอนที่เค้าเดินถือช็อคโกแลตมา ไม่รู้ทำไมใจผมถึงต้องเต้นแรง

แต่พอเค้ายื่นมันให้กับสาม ผมกลับรู้สึกเจ็บ อกของผมอยู่ดีๆ ก็รู้สึกจุก ผมเจ็บ ผมเพิ่งรู้ว่าผมเจ็บที่หัวใจของผม

เมื่อสามเดินจากไป ยามที่ผมมองช็อคโกแลตบนโต๊ะแท่งนั้น น้ำตาผมกลับไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว จนผมต้องรีบเดินออกมา ให้ไกลจากเค้า

ผม แอบรัก เค้า แต่..เค้ารักคนอื่น

ผมรู้จักความรักครั้งแรก ไปพร้อมๆ กับความเจ็บปวดของความรักไปพร้อมๆ กัน

ความรักคือความเจ็บปวดซินะ

 "ฮือๆๆ..ฮึก..ฮือๆๆ"   ผมหลับตาและร้องไห้ น้ำตาผมรินไหลไม่หยุด

ผมสะอึกสะอื้น หอบหายใจจนตัวโยน

แต่ผมกลับรับรู้ถึงร่างกายที่นอนแน่นิ่งอยู่คล้ายกลับไม่มีความเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย มีเพียงความรู้สึกของผม ที่มันช่างหนักหน่วง

ความเจ็บปวดมันช่างชัดเจน คล้ายกับกดลึกลงกลางอกของผมจนทรมานแสนสาหัส

 "ไม่ ผมจะ ไม่รัก ใครอีกแล้ว ฮือๆๆ.."



พลันความทรงจำทั้งหลายก็พร้อมกับผุดขึ้นมาในความรู้สึก มันไม่ใช่ภาพเคลื่อนไหว มันไม่มีเสียง แต่มันคือความรู้สึก เจ็บปวด ผิดหวัง ความทุกข์ทรมานแสนสาหัสที่มันถาโถมมาไม่หยุด

ไม่ ผมไม่อยากเจ็บปวด ผมไม่ยอม ผมไม่ได้เสพสมกับมัน ผมไม่ได้มั่วสมสู่กับใครไปทั่ว

ไม่ ผมไม่ได้รักไอ้เอก ผมไม่รักมัน ผมต้องไม่เจ็บปวดเพราะมัน

ผมไม่ยอมพลีร่างให้ไอ้ตั้มมันเสพสุข ผมรังเกียจมัน

ไอ้น่านคนเลว ผมยิ่งกว่าขยะแขยงมัน ไอ้คนชั่ว ไอ้เลว อย่ามายุ่งกับผม

ผมไม่อยากแปดเปื้อน ฮือๆๆ... ผมไม่อยากสูญเสียร่างกายให้คนชั่วช้าอย่างไอ้ม่อน เอาความสดใสของผมคืนมา มันกล้าดียังไงมาทำให้ร่างกายของผมน่ารังเกียจ ร่างกายของผมมันน่าขยะแขยงสิ้นดี ฮือๆๆ...

 "ฮือๆๆ..ฮึก..ฮือๆๆ"



อนิจจา วต สังขารา.......


ระหว่างที่ผมทนทุกข์ทรมานแสนสาหัส กลับมีเสียงแว่วมาจากที่ไกลๆ และค่อยๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนผมหยุดร่ำไห้


 "ฮือๆๆ..หลวงพี่ หลวงพี่ช่วยผมด้วย" 


ผมมองเห็นหลวงพี่ที่ผมเคยใส่บาตรอยู่หลายครั้งมายืนอยู่ตรงหน้า และหลวงพี่ก็คือเค้าคนนั้น คนที่เป็น รักแรก ของผม


 "ฮือๆๆ..หลวงพี่ หลวงพี่"  เสียงร่ำไห้ของผมพลันต้องหยุดลงเมื่อผมได้ยินเสียงของหลวงพี่ชัดเจน แต่ภาพที่ผมเห็น เป็นร่างที่ยืนสงบนิ่ง ริมฝีปากท่านไม่มีท่าทีว่าจะขยับสักนิด



"สรรพสิ่งปล่อยวางได้ใจเป็นสุข    ไม่มีทุกข์ปรีดิ์เปรมเกษมสันต์

สรรพสิ่งเกิด-ดับไปในทุกอัน    สารพันสารพัด"อนัตตา"


ยึดมั่นมากไม่มีสุขก็ทุกข์มาก     แสนลำบากยิ่งนักเป็นหนักหนา

ยึดมั่นน้อยก็ทุกข์น้อยค่อยคลายคลา    ในไม่ช้าก็จะหายคลายทุรน

จงปล่อยวางให้มากอยากมีสุข     ทุกยามยุคจักบรรลุยอดกุศล

อภัยทานนำมาใช้ให้ทุกคน     จิตกุศลแผ่เมตตามหาทาน

ฝากแสงทิพย์อริยธรรมช่วยนำส่ง    ตามจำนงสัตว์น้อยใหญ่มากไพศาล

ข้าฯสละอโหสิกรรมทำบุญทาน     ปล่อยวางผ่านพระโลกุตตร์เป็นสุดดี



หลายถ้อยคำที่ผมได้ยิน ยิ่งเนิ่นนานเท่าไหร่ ใจผมก็ยิ่งสงบลงมกเท่านั้น

ผมรู้สึกเบาขึ้น สบายขึ้น รอบข้างสว่างขึ้นจนมองเห็นภาพเบื้องหน้าที่เป็นเตียงคนไข้ ซึ่งมีสายระโยงระยางต่อเข้ากับร่างกายของผม ที่นอนแน่นิ่งเหมือนไร้วิญญาณอยู่บนนั้น



สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม จงอโหสิกรรมให้ทุกสรรพสิ่ง ทุกชีวิต รวมทั้งอโหสิกรรมให้ตัวเอง และจงปล่อยวาง

สัพเพ สังขารา อนิจจา-สิ่งทั้งหลายเป็นของไม่เที่ยง.....

สัพเพ สังขารา ทุกขา-สิ่งทั้งหลายเป็นทุกข์.......

สัพเพ ธัมมา อนัตตา-ธรรมทั้งหลายไม่ใช่ตัวตน.......



เมื่อเสียงเริ่มเลือนหาย สติของผมก็เริ่มเบาบาง และดับไปพร้อมกับเส้นกราฟบนหน้าจอข้างเตียงคนไข้ที่ค่อยๆ กลายเป็นเส้นตรงจนราบเรียบไปในที่สุด








_____________________


ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ติดตามนะคะ

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สองที่ได้เขียน เรื่องนี้ไม่มีพระเอก ไม่มีความฟิน ไม่มีความจิ้น แต่นักเขียนรู้สึกไปไทม์มากจริงๆ ไม่รู้ว่าถ่ายทอดให้นักอ่านได้สัมผัสกับมันได้บ้างหรือเปล่า

ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านเข้าในชีวิต บางอย่างเรากำหนดเองไม่ได้ บางอย่างเราอาจจะไม่ได้เลือกให้มันผ่านเข้ามา แต่เราสามารถเลือกที่จะปฏิบัติตอบรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ และเราก็ไม่สามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขทุกสิ่งที่ผ่านมาแล้วได้ เราทำได้เพียงทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ตรงนี้ให้ดีที่สุด เพื่อที่จะไม่ต้องมาเสียใจในภายหลัง

อำลา ไทม์ กันตรงนี้นะคะ ของคุณมากๆ ค่ะ







#Subconscious

#วาย

#จิตใต้สำนึก



ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: Subconscious (จบ)
«ตอบ #36 เมื่อ27-08-2019 22:28:00 »

ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
Re: Subconscious (จบ)
«ตอบ #37 เมื่อ29-08-2019 08:19:47 »

 :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ Geawgard

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: Subconscious (จบ)
«ตอบ #38 เมื่อ29-08-2019 12:01:08 »

เป็นนิยายชีวิตมากๆเลยค่ะ  :pig4:

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
Re: Subconscious (จบ)
«ตอบ #39 เมื่อ29-08-2019 18:30:54 »

เป็นการจากไปอย่างสงบเมื่อเพิ่งเข้าใจละวาง,ปลดทุกข์ใจ ไม่รู้ว่าเหตุอะไรทำให้ไทม์มาถึงจุดที่นอนอยู่ตรงนี้ แต่ที่เห็นคือจิตไทม์ออกจากร่างแว่บมาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตให้ฟัง ซึ่งเราก็ตั้งหน้าตั้งตาตั้งใจฟังตาแทบไม่กระพริบ 555 น่าสนใจมาก พร้อมอุทานว่า เฮ้ยย! พอมาคิดดูดีๆนี่เราเคยเพิ่งอ่านแนวเจ้าหน้าที่กู้ชีพกู้ภัยแบบตามติดวิธีการทำงานแบบเรียลแบบนี้นี่ว๊า เลยตั้งใจฟังไทม์เล่าอย่างตั้งใจไง บรรยายดีเข้าถึงความรู้สึกนึกคิดได้ดี เข้าใจความรู้สึกว่าเป็นแบบนี้จริงๆ  โอ๊ยยยยสนุกก ดี ชอบ มันแบบลึกซึ้งในความเป็นไป ชอบบุคคลิกของไทม์ เช่นว่าไม่รักคือไม่รัก ไม่แคร์ ไม่สนก็ถ้าเขาก็ไม่แคร์เรา สมควรเลิกก็เลิก ไม่สานต่อกับคนที่ไม่ควร แม้ว่าด้วยเหตุผลทำให้ไทม์มาถึงจุดนี้ เกิดชาติหน้าขอให้เจอคนที่รักจริงนะ ด้วยความดีที่ทำมาไม่มากก็น้อย //ขอบคุณมากนะคะที่แต่งเรื่องนี้และมาอัพลงในนี้ให้อ่านกัน สนุกมาก ตอนอัพไม่เห็น เพิ่งเห็นตอนจบแล้ว ก็ดีเหมือนกันจะได้ไม่ค้าง 555 สนุกกก ชอบบบอ่ะ แต่งดีค่ะ รอตามงานต่อไป

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Subconscious (จบ)
« ตอบ #39 เมื่อ: 29-08-2019 18:30:54 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ k2g

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
Re: Subconscious (จบ)
«ตอบ #40 เมื่อ29-08-2019 21:07:24 »

ลึกซึ้งๆ ขอกราบคาราวะ(ค่ะ)
 o13

ออฟไลน์ nizadael

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Subconscious (จบ)
«ตอบ #41 เมื่อ06-09-2019 19:53:34 »

เป็นนิยายที่artดีค่ะ ค่อนข้างชอบอะไรแบบนี้ ขอบคุณที่เสียสละเวลามาแต่งให้อ่านนะคะ  :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ fanglest

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 813
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
Re: Subconscious (จบ)
«ตอบ #42 เมื่อ26-09-2019 00:15:20 »

เราชอบนะ แต่แอบงงบ้าง พอได้มาอ่านคอมเม้นต์ก็ค่อยเกทขึ้นมาหน่อย
ขอบคุณที่เขียนเรื่องราวดีๆ บรรยายได้ดีมากค่ะ
เขียนได้ดีอ่านไม่เบื่อ แต่ปมบางอย่างก็ดูจะค้างๆคาๆนิดหน่อย  แต่ก็ดูมีสไตล์ไปอีกแบบ
เรื่องราวทั้งชีวิตของไทม์ที่จบลงเพียง32 ปี
จะว่าสั้นก็สั้น จะว่ายาวก็ยาว เพราะไทม์ได้ผ่านเรื่องราวอันไม่น่าภิรมณ์ใจ ในเรื่องความรักมาทั้งชีวิต
หากเกิดใหม่ก็ขอให้ได้เจอคนดีๆนะ ไทม์...

ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6
Re: Subconscious (จบ)
«ตอบ #43 เมื่อ16-04-2020 08:56:41 »

 :pig4:

ออฟไลน์ ฟ้ารักพ่อนะคะ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 6
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Subconscious (จบ)
«ตอบ #44 เมื่อ04-12-2023 07:56:02 »

ต่อจากนี้ก็มีความสุขได้แล้วนะไทม์ :bye2:

ออฟไลน์ sarawutcom

  • เน็ตดีแทค 10 เม็ก 3,745บ./365วัน กด *104*579*8488034#
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 654
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-27
    • http://www.sarawutcomputer.com/
Re: Subconscious (จบ)
«ตอบ #45 เมื่อ03-03-2024 12:26:29 »

ทรู ระบบเติมเงิน เน็ตไม่อั้น เร็ว 12 Mbps(เม็ก) เน็ตอย่างเดียว นาน 30 วัน ราคา 482 บาท

https://www.youtube.com/watch?v=c8Z68L98B70

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด