⏲⏲⏲Time Machine - ตอนที่ 15 หมากเกมนี้
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ⏲⏲⏲Time Machine - ตอนที่ 15 หมากเกมนี้  (อ่าน 3891 ครั้ง)

ออฟไลน์ Y-Lamoon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
ตอนที่ 8 รักแท้ดูแลไม่ได้


เมื่อมาถึงบ้าน ม่อนก็ขอตัวขึ้นไปข้างบน “พี่อาร์ต ม่อนขออยู่เงียบๆ คนเดียวสักพักนะครับ”

“ได้สิ” ผมตกลงอย่างว่าง่าย แม้ในใจรู้สึกเป็นห่วงคนที่กำลังเจ็บมากขนาดไหนก็ตาม “แต่ถ้ามีอะไร ก็ไปหาพี่ที่ห้องได้นะ คืนนี้พี่ไม่ได้ไปไหน”

“ครับพี่” ม่อนยิ้มบางๆ ทว่าแววตาก็ยังดูเศร้า “ถ้างั้น...ม่อนขอตัวก่อนนะครับ”

ก่อนอนุญาตให้ม่อนไป ผมก็กอดม่อนไว้หลวมๆ เขย่งเท้าขึ้นและก้มลงจุมพิตหน้าผากของเขาเบาๆ “เปิ้นฮักม่อนเน้อ”

ม่อนยิ้มเขินอายเล็กน้อย หน้าแดงๆ นั้นดูน่ารักไม่น้อย แม้ว่าเจ้าตัวไม่ใช่คนหล่อ แต่ก็มีเสน่ห์น่ามองในแบบของม่อน ใบหน้าที่ผ่านโลกมาหลายสิบปีนั้นยังคงมีเงาจางๆ ของใครคนหนึ่งที่ผมเคยรู้จักซ้อนอยู่รางๆ เสมอ

“พี่ไปส่งม่อนที่ห้องละกันนะ” ผมอาสา ม่อนยิ้มแล้วก็พยักหน้า

ผมเดินจูงมือม่อนขึ้นไปจนถึงหน้าห้อง ก่อนจะแยกกันผมก็ไม่ลืมถามให้แน่ใจ

“ม่อนไหวนะ ถ้าจะให้พี่อยู่เป็นเพื่อน พี่ก็ยินดีนะ”

“ไหวครับพี่” ม่อนพยักหน้ายิ้มๆ “ผมไม่เป็นไรหรอก อีกอย่าง…เรื่องมันก็จบไปนานแล้ว แต่ตอนนี้ ผมอยากทบทวนตัวเองเงียบๆ สักคืน”

“พี่ไม่มีปัญหาหรอก ม่อนสบายใจแบบไหนพี่ก็โอเค” ผมยิ้มละไมให้อีกฝ่าย “แต่ถ้ามีอะไรก็มาหาพี่ที่ห้องนะ มาได้ตลอดเวลาเลย ไม่ต้องเกรงใจ อย่าคิดว่าไม่มีใครรู้ไหม ม่อนยังมีพี่ มีพี่เมี่ยง มีหลานๆ คนที่เขาไม่รักเรา ก็ปล่อยเขาไป”

ม่อนพยักหน้า “ครับพี่อาร์ต ขอบคุณนะครับ…ที่พี่อาร์ตคอยอยู่ข้างๆ ผม”

“Truly my pleasure.” ผมตอบเป็นภาษาอังกฤษซึ่งแปลว่าด้วยความยินดีอย่างแท้จริง

ไม่นานผมกับม่อนก็ต้องแยกกัน ใจจริงผมก็เป็นห่วงเขา แต่เมื่อเขาขอมีพื้นที่ส่วนตัวเงียบๆ ผมก็ไม่อยากขัดใจ

ผมเดินลงมาที่ห้องนั่งเล่นข้างล่าง ตั้งใจว่าจะโทรหาเมี่ยงเสียหน่อย กะจะเล่าให้พี่สาวของม่อนฟังว่าเกิดอะไรขึ้นนั่นแหละ ทว่าก็มีคนโทรหาเสียก่อน ชื่อที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอคือ “พี่นง” เธอเป็นแอดมินแฟนเพจอาร์ตเลิฟเวอร์สของผม ช่วยดูแลเพจนี้ให้ผมมาหลายปีแล้ว เงินทองก็ไม่คิดสักบาท เพราะเธอรักและเอ็นดูผมมาก ยินดีทำให้โดยไม่ขออะไรตอบแทน

“คุณอาร์ต คลิปคุณอาร์ตว่อนไปทั่วเน็ตแล้วนะคะตอนนี้ มันเกิดอะไรขึ้นคะ พี่นงงงไปหมดแล้ว”

พอผมรับสาย พี่นงก็ถามผมทันที น้ำเสียงฟังดูเป็นกังวลมาก จนผมสังหรณ์ใจว่าจะมีเรื่อง

“คลิปอะไรเหรอครับพี่นง”

“พี่นงส่งให้ในไลน์แล้วค่ะ คุณอาร์ตดูก่อนนะคะ ดูเสร็จแล้วโทรหาพี่ด่วนเลยนะคะ”

“อ๋อ ได้ครับพี่ ดูเสร็จแล้วผมจะรีบโทรกลับเลย”

ผมรีบวางสาย จากนั้นก็เปิดไลน์ดูข้อความต่างๆ ที่ส่งเข้ามา นอกจากพี่นงแล้วก็มีเพื่อนพี่น้องในวงการหลายคนส่งคลิปคล้ายๆ กันมาให้ ผมเลือกเปิดดูของพี่นงก่อน เป็นคลิปที่แชร์ในเฟสบุ๊ก

เมื่อคลิปเริ่มเล่น ผมก็เห็นว่าเป็นเหตุการณ์ที่หน้าสยามพารากอนเมื่อชั่วโมงที่แล้วนี่เอง ในคลิปผมกอดกับม่อนอยู่ตรงลานน้ำพุ แต่เหตุการณ์ไม่ได้จบแค่นั้น เพราะผมดันเดินมาหาแฟนเก่าของม่อน ก่อนชี้หน้าและต่อว่าผู้ชายคนนั้นเป็นภาษาอังกฤษ

“คนขี้ขลาดอย่างคุณ ไม่สมควรได้รับความรักจากเขา ปล่อยแฟนผมและอย่ามายุ่งกับเขาอีก!”

ผมได้ยินคำพูดนั้นของตัวเองชัดเจน คำว่าบอยเฟรนด์ที่ผมใช้คงมีความหมายเป็นอย่างอื่นได้ยาก ใครได้ยินก็คงรู้ว่าคนที่ผมปกป้องก็คือแฟนของผมเอง เพียงเท่านี้ผมก็ตาเหลือก ยิ่งดูยอดแชร์ออกไปผมก็ยิ่งตกใจ แค่ชั่วโมงเดียวก็จะเป็นหมื่นแล้ว

ดูจบผมก็รีบโทรหาพี่นง ทันทีที่เธอรับสายผมก็ถาม “พี่นงครับ ผมยังไม่ได้เข้าไปดูในแฟนเพจกับไอจีของผม สถานการณ์ตอนนี้เป็นไงครับ”

“ทะเลาะกันใหญ่เลยค่ะ ยอดอันฟอลโลวในไอจีกับเฟสบุ๊กลดลงเกินหมื่น คืนนี้อาจจะถึงแสนได้”

“จริงเหรอครับพี่” ผมหน้าซีด แต่ก็พยายามคิดว่าจะหาทางออกยังไง

“คุณอาร์ต พรุ่งนี้คุณอาร์ตต้องจัดงานแถลงข่าวนะคะ ต้องรีบแก้ข่าวด่วนเลย” พี่นงเร่งเร้าอย่างร้อนใจ

“งั้นผมขอปรึกษาผู้จัดการส่วนตัวผมก่อนนะครับ”

“ค่ะ ต้องทำด่วนเลยนะคะ” พี่นงกำชับ ก่อนเปลี่ยนมาถามเรื่องที่สงสัยให้แน่ใจ “ตกลงมันยังไงกันแน่คะคุณอาร์ต พี่นงงงไปหมดแล้วค่ะ คุณอาร์ตมีแฟนเป็นผู้ชายจริงๆ เหรอคะ”

ผมกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ แม้ว่าเริ่มคิดแผนการเปิดตัวคนสำคัญเอาไว้บ้างแล้ว แต่ค่าที่มันปัจจุบันทันด่วนเกินไป ผมก็ยอมรับว่ายังไม่พร้อม

“คุณอาร์ตมีแฟนเป็นผู้ชายจริงๆ เหรอคะ” พี่นงถามย้ำเมื่อเห็นผมเงียบไปนาน

“ผมก็มีคนที่ผมคุยด้วยน่ะพี่” ผมแบ่งรับแบ่งสู้

“แล้วคนที่คุณอาร์ตคุยด้วยเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงล่ะคะ คือ…พี่ก็ไม่อยากยุ่งเรื่องส่วนตัวของคุณอาร์ตขนาดนั้นหรอกนะคะ แต่เรื่องนี้มันสำคัญกับอาชีพนักแสดงของคุณอาร์ต พี่นงไม่อยากให้คุณอาร์ตต้องเสียฐานแฟนคลับจำนวนมากไปเพราะเรื่องนี้ สัปดาห์หน้าละครเรื่องใหม่ของคุณอาร์ตก็จะออนแอร์แล้วนะคะ”

“ผมรู้ครับ แต่…” ผมรู้สึกหนักใจมากขึ้นทุกที แน่นอนว่าผมไม่ต้องการเสียฐานแฟนคลับ แต่ผมก็อยากมีความสุขกับชีวิตส่วนตัวด้วย จะให้อยู่กับม่อนแบบหลบๆ ซ่อนๆ คงไม่ได้

“ตอนนี้คนเขาเอาคลิปที่คุณอาร์ตให้สัมภาษณ์เมื่อกลางวันกับคลิปที่หน้าพารากอนมาโยงกันแล้วนะคะ รวมถึงข่าวก่อนหน้านี้หลายปีที่เขาลือว่าคุณอาร์ตเป็นเกย์ด้วย” พี่นงทำเสียงเป็นห่วงและดูจะหนักใจไม่แพ้ผมเลย

เรื่องข่าวลือว่าผมเป็นเกย์นั้นมาจากบุคลิกที่ดูเรียบร้อยของผมนั่นแหละ บวกกับตอนนั้นผมไม่มีแฟนและครองตัวเป็นโสดหลายปี นักข่าวก็เลยลือกันไปต่างๆ นานา แต่ในชีวิตจริงนั้นผมมีสาวๆ มาให้เลือกสนุกด้วยนับไม่ถ้วน ถึงตอนนี้เขาก็รู้กันหมดแล้วว่าผมเป็นพวกเงียบๆ แต่ฟาดเรียบ

“ผู้ชายคนนั้นเป็นใครคะคุณอาร์ต” พี่นงถามเมื่อเห็นผมเงียบไปอีก

“รุ่นน้องผมตอนเรียนมัธยมที่เชียงใหม่น่ะครับ ตอนนี้เขามาเรียน ป. โท ที่กรุงเทพ ผมก็เลยให้เขามาพักด้วยที่บ้าน”

ผมตอบแล้วก็เดินไปนั่งที่โซฟาเพราะดูท่าว่าจะต้องคุยนาน นั่งลงแล้วผมก็เปิดลำโพงโทรศัพท์และวางไว้บนโต๊ะกระจก เพราะถ้าถือนานจะเมื่อยมือและเมื่อยคอ

“พักที่บ้านเลยเหรอคะ” พี่นงทำเสียงตกใจ

“ครับ ตอนแรกเขาเช่าคอนโดอยู่ ผมไปชวนเขามาอยู่ด้วยเอง เพราะไม่อยากให้เขาเสียเงิน อีกอย่างบ้านผมก็มีห้องว่างอยู่ ผมจะได้มีเพื่อนอยู่ด้วย”

“แสดงว่าสนิทกันมาก”

“ครับ” ผมพยักหน้า “พี่สาวของเขามีบุญคุณกับผมมาก ถ้าทำอะไรตอบแทนเขาได้ ผมยินดีทำให้ทุกอย่าง ก็เลยให้ม่อนมาอยู่ด้วย พี่สาวเขาจะได้สบายใจว่ามีคนดูแล”

“แล้วคุณอาร์ตคิดอะไรกับเขาหรือเปล่า”

ผมเงียบไปสักพัก ก่อนตัดสินใจบอกไปตรงๆ “ผมชอบเขาครับ”

“ตายแล้วคุณอาร์ต” พี่นงทำเสียงตกใจ “ที่ผ่านมาคุณอาร์ตก็ชอบผู้หญิงมาตลอดนี่คะ ทำไมอยู่ดีๆ ก็ชอบ…เอ่อ...ชอบผู้ชายขึ้นมาได้”

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันพี่ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง แต่เอาเป็นว่าผมชอบเขาไปแล้ว ผมก็ไม่รู้จะห้ามหัวใจตัวเองยังไงน่ะพี่ ชอบมันก็คือชอบ มันไม่มีเหตุผลหรอก”

“พี่เข้าใจค่ะ” พี่นงถอนหายใจ “แต่คุณอาร์ตจะมีภาพแบบนี้ไม่ได้นะคะ ถึงแม้พี่นงรู้ว่าสมัยนี้โลกมันเปลี่ยนไปแล้วก็เถอะ ซีรี่ส์วายพี่นงก็เคยดู แต่มันก็เป็นตลาดเฉพาะกลุ่ม จำนวนคนดูเมื่อเทียบกับละครทั่วไปมันเทียบกันไม่ได้เลย คนที่เขาติดตามคุณอาร์ต ก็เพราะเขาชอบภาพลักษณ์ผู้ชายอบอุ่น เรียบร้อย มีเสน่ห์ เป็นผู้ชายในฝัน เป็นสามีแห่งชาติของสาวๆ ทั่วประเทศ แต่ถ้าคุณอาร์ตมาสายนี้ ภาพลักษณ์ที่สาวๆ ทั่วประเทศประทับใจมันจะหายไปหมดเลยนะคะคุณอาร์ต นี่ขนาดคุณอาร์ตยังไม่ยืนยัน แฟนคลับก็หายไปเป็นหมื่นๆ ในไม่กี่ชั่วโมงแล้วนะคะ เพราะฉะนั้น คุณอาร์ตจะต้องรีบแก้ข่าวให้เร็วที่สุด”

“แล้วจะให้ผมแก้ข่าวว่ายังไงล่ะครับพี่ ผมว่าปล่อยให้มันเงียบๆ ไปเองไม่ดีกว่าเหรอครับ”

“ไม่ได้ค่ะคุณอาร์ต จะหาว่าพี่ยุ่งเรื่องส่วนตัวของคุณอาร์ตพี่ก็ยอม แต่พี่นงไม่อยากเห็นคุณอาร์ตจบอนาคตในวงการบันเทิงของตัวเองแบบนี้ ไม่คุ้มหรอกค่ะ เอาอย่างนี้ไหมคะ พรุ่งนี้คุณอาร์ตบอกนักข่าวไปว่าผู้ชายคนนั้นเป็นรุ่นน้องที่รู้จักกัน เขาทะเลาะกับแฟน คุณอาร์ตก็เลยเข้าไปช่วย”

“แล้วคนเขาจะเชื่อเหรอครับพี่ เพราะในคลิปผมก็พูดชัดเจนว่าม่อนเป็นแฟนผม ผมจะดูแลเขาเอง” ผมทำหน้าไม่แน่ใจ

“งั้นคุณอาร์ตก็อธิบายไปสิคะว่าคุณอาร์ตพูดอย่างนั้นเพราะอยากช่วยรุ่นน้องเฉยๆ เขาจะได้ไม่มายุ่งอีก”

ผมทำหน้าหนักใจเพราะไม่อยากโกหก ถ้าเกิดสื่อมารู้ทีหลังจะยิ่งเสียหายกว่าเดิม ที่ผ่านมาผมใช้วิธียอมรับไปตรงๆ หรือไม่ก็บอกไปเลยว่าเป็นเรื่องส่วนตัว เพื่อหลีกเลี่ยงที่จะไม่ให้รายละเอียดหรือพาดพิงคนอื่น พร้อมกับอธิบายไปด้วยว่าผมก็เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง มีดีบ้าง ไม่ดีบ้าง แต่ครั้งนี้ผมจะต้องโกหกเลยหรือ

“ผมไม่อยากโกหกน่ะพี่ ม่อนจะรู้สึกยังไงถ้าผมพูดแบบนั้น”

“คุณอาร์ตก็อธิบายคุณม่อนได้นี่คะ เขาน่าจะเข้าใจนะคะ” พี่นงทำเสียงหงุดหงิดเล็กน้อย “อีกเรื่องที่พี่จะแนะนำก็คือ คุณอาร์ตให้เขาไปอยู่คอนโดเหมือนเดิมดีกว่าค่ะ ถ้าอยากดูแลเขา คุณอาร์ตก็จ่ายค่าเช่าคอนโดให้เขาก็ได้ ถ้าให้เขามาอยู่บ้านคุณอาร์ตแบบนี้ รับรองว่าสื่อขุดคุ้ยจนเจอแน่ๆ”

ตอนแรกผมก็พอเข้าใจความหวังดีของพี่นง แต่ตอนนี้ผมเริ่มตงิดๆ ใจในความเจ้ากี้เจ้าการเกินควรของแกแล้ว

“ผมจะทำอย่างนั้นได้ยังไงล่ะครับพี่นง ผมเป็นคนชวนเขามาอยู่กับผมเองนะครับ” ผมแย้งด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจบ้าง

“คุณอาร์ตก็อธิบายเขาไปสิคะว่ามันจำเป็น เขาก็น่าจะเข้าใจนะคะว่าคุณอาร์ตเป็นดาราดัง เรื่องนี้มันจะทำให้คุณอาร์ตเสียหายหลายอย่าง ไหนจะละครอีกล่ะ เกิดสปอนเซอร์ละครถอนตัว จะทำยังไงคะ ถ้าช่องเขาไม่ป้อนงานละครดีๆ ให้อีกเพราะไม่อยากมีปัญหาแบบนี้ คุณอาร์ตจะแย่เอานะคะ”

เหตุผลของพี่นงทำให้ผมเถียงไม่ออก เพราะมันมีโอกาสจะเป็นแบบนั้น กระทบผมคนเดียวคงไม่เท่าไหร่ แต่มันจะกระทบชื่อเสียงและรายได้ของช่องไปด้วย

เมื่อรู้ว่าผมเถียงไม่ออก พี่นงก็ได้ทีขี่แพะไล่ “พรุ่งนี้ คุณอาร์ตแถลงข่าวตามที่พี่นงบอกนะคะ ถ้าจำเป็นต้องโกหก พี่ว่ามันก็จำเป็นต้องทำ เรื่องนี้ไม่ได้มีผลกระทบกับคุณอาร์ตคนเดียว แต่มันกระทบผู้จัดละคร กระทบช่อง กระทบละครที่จะออกอากาศ กระทบแฟนคลับที่เขาชอบคุณอาร์ตในภาพลักษณ์ที่เขาคุ้นเคย ส่วนเรื่องคุณม่อน คุณอาร์ตก็คุยกับเขาให้เข้าใจ ช่วงนี้ให้เขาไปอยู่ที่อื่นก่อน ถ้าเคยสนิทสนมกันมาก่อน พี่นงเชื่อว่าเขาน่าจะเข้าใจค่ะ”

“ผมขอคิดดูก่อนนะครับพี่นง” ผมไม่ตกลงในทันที ถึงจะเกรงใจเธอแค่ไหน แต่ผมก็อยากมีทางเลือกอื่น แม้ไม่ดีที่สุด แต่ผมก็ควรจะพอใจกับสิ่งที่เลือกด้วยตัวเอง มากกว่ามีคนยัดเยียดให้

“ถ้างั้นคุณอาร์ตก็ต้องคิดให้จบภายในคืนนี้ เราไม่มีเวลาแล้วค่ะ พี่ขอตัวก่อนนะคะ มีคนในแฟนเพจถามเข้ามาเยอะมากเลยตอนนี้ เดี๋ยวพี่จะบอกให้เขารอฟังคุณอาร์ตแถลงข่าวพรุ่งนี้นะคะ”

“ครับพี่ ขอบคุณนะครับพี่”

พอพี่นงวางสายไป ผมก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ก่อนลุกขึ้นและหมุนตัว ทว่าก็ต้องหยุดชะงักกับที่เมื่อเห็นม่อนยืนอยู่ ไม่รู้ว่ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ผมเดาว่าเจ้าตัวน่าจะได้ยินการสนทนาของผมกับพี่นงเมื่อกี้

“ผมไปอยู่ที่คอนโดเหมือนเดิมก็ได้นะครับพี่อาร์ต”

“ไม่ได้นะม่อน” ผมร้องห้ามและรีบเดินไปหา

“พี่อาร์ตไม่ต้องห่วงผมหรอก ผมเข้าใจ เรื่องนี้มันมีผลกระทบเยอะนะพี่ ผมไม่มีปัญหาเลย พี่อาร์ตเอางานไว้ก่อนดีกว่า” ม่อนยืนยัน กระนั้นผมก็รู้สึกได้ว่าเจ้าตัวรู้สึกผิดหวัง

“ม่อนไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น เรื่องนี้พี่จัดการเอง”

ผมยืนยันหนักแน่นบ้าง ทว่าจะคุยอะไรต่อก็ไม่ได้เสียแล้ว เพราะพี่ผู้จัดละครโทรมาหาผมพอดี คาดว่าคงจะมีอีกหลายสายตามมาหลังจากนี้

“พี่ขอจัดการเรื่องนี้แป๊บหนึ่งนะม่อน ม่อนขึ้นไปบนห้องก่อน เดี๋ยวพี่ไปคุยด้วย” บอกเสร็จผมก็รับโทรศัพท์ “สวัสดีครับพี่แอน”

“อาร์ต นี่มันเกิดอะไรขึ้น!”

พี่แอนถามเสียงสูง แน่นอนว่าผู้จัดละครคนเก่งของผมคงเห็นคลิปนั่นแล้ว

“เดี๋ยวผมอธิบายให้พี่ฟังเองครับ” ผมบอกพี่แอนขณะที่สายตาก็คอยมองม่อนที่กำลังเดินกลับขึ้นไปด้วยความเป็นห่วง

“พี่ไปหาอาร์ตที่บ้านเลยละกัน อาร์ตอยู่ที่บ้านใช่ไหม” พี่แอนถามอย่างร้อนรน

“ใช่ครับ”

“โอเค เดี๋ยวพี่พาเพชรกับพี่อิ่งไปด้วย อีกครึ่งชั่วโมง อาร์ตโทรเรียกจี๊ดมาด้วยนะ จะได้คุยกันทีเดียว”

“ครับพี่”

ผมรับคำ เมื่อพี่แอนวางสายไปผมก็โทรหาพี่จี๊ด ผู้จัดการส่วนตัวของผม ดูท่าว่าคืนนี้จะยาวไกล เพราะมันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เสียแล้ว

อีกครึ่งชั่วโมงต่อมา พี่แอนกับเพื่อนๆ ในวงการและผู้จัดการส่วนตัวของผมก็มาถึง ทุกคนต่างก็ดูร้อนใจเป็นอย่างมาก ทำเอาผมรู้สึกผิดไปเลย

“คนชื่อม่อนอยู่ไหน เรียกเขามาคุยด้วยได้ไหม” พี่แอนถามเมื่อฟังเรื่องของผมจบแล้ว ผมก็เล่าคล้ายๆ กับที่เล่าให้พี่นงฟังนั่นแหละ

“ต้องคุยกับม่อนด้วยเหรอพี่” ผมทำหน้าไม่แน่ใจ

“คุยสิ เขาอยู่นี่ไม่ใช่เหรอ อาร์ตไปพาเขามาเลย” พี่แอนยืนยัน

ก่อนจะลุกขึ้น ผมหันไปมองเพชรเป็นเวลาสั้นๆ ดูสีหน้าก็รู้ว่าเจ้าตัวเป็นห่วงผม แต่ตอนนี้คงจะช่วยอะไรไม่ได้ เพราะวันนี้จะเป็นคนเคาะทุกเรื่องเอง

ผมหมุนตัวและสาวเท้าเดินไปที่บันได ไม่นานก็พาม่อนลงมา แม้เจ้าตัวดูงงๆ ไปบ้าง กระนั้นก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี

“เธอชื่อม่อนใช่ไหม” พี่แอนถามด้วยน้ำเสียงที่ผมเองก็บอกไม่ได้ว่าเป็นมิตรหรือเปล่า

“ครับ สวัสดีครับ” ม่อนยกมือไหว้ เมื่อผู้ใหญ่ผายมือเชื้อเชิญให้นั่งก็นั่งลงพร้อมกับผม

“เป็นไงม่อน ช่วงนี้เรียนหนักไหม” เพชรเพื่อนผมหันมาถามคนที่เพิ่งนั่งลง

“อ้าวเพชรรู้จักเขาด้วยเหรอ” พี่อิ่ง นักเขียนบทละครคู่ใจของพี่แอนหันมาถามอย่างแปลกใจ

“อ๋อ รู้จักครับ ผมมาบ้านอาร์ตบ่อยๆ เป็นปกติอยู่แล้วนะพี่” เพชรหันไปตอบผู้อาวุโส

“อ้าว งั้นก็แสดงว่าเพชรก็รู้เรื่องทั้งหมดนานแล้วสิ” พี่แอนหันมาถามเพื่อนผมอย่างจับผิด

“เปล่าพี่ ผมไม่รู้เรื่องอะไรเลย” เพชรรีบปฏิเสธเป็นพัลวัน

“เพชรยังไม่รู้หรอกครับพี่แอน ผมยังไม่ได้บอกใครเลย” ผมรีบบอกพี่แอนก่อนเพชรจะกลายเป็นเป้าโจมตีรายต่อไป

พี่แอนจึงละสายตาเขียวๆ จากเพชร จากนั้นก็หันมาทางม่อนซึ่งได้แต่นั่งเจี๋ยมเจี้ยม ไม่นานก็ถาม

“เธอทราบเรื่องแล้วใช่ไหมว่าตอนนี้มันเกิดปัญหาอะไรขึ้น”

ม่อนสบตากับพี่แอน แต่ไม่นานก็หลบ “ทราบแล้วครับ”

“รู้เรื่องก็ดีแล้ว จะได้ไม่ต้องอธิบายเยอะ” พี่แอนถอนหายใจแรงๆ ก่อนหันมาทางผม “พี่ต้องขอโทษอาร์ตด้วยนะที่ต้องเข้ามายุ่งเรื่องส่วนตัวของอาร์ต พี่รู้ดีว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัว พี่ไม่มีสิทธิ์ทำอะไร ถ้าเราสองคนจะรักกันชอบกัน พี่ก็คงทำอะไรไม่ได้” พี่แอนเน้นเสียงตอนท้าย อึดใจหนึ่งก็พูดต่อ “แต่เรื่องนี้พี่คงต้องขอความเห็นใจจากอาร์ต เพราะมันกระทบไปหมดเลย ยอดฟอลโลวของอาร์ตตอนนี้ลดลงจะเป็นแสนแล้ว แฟนคลับที่หายไป มันหมายถึงคนดูละครก็จะหายไปด้วย พรุ่งนี้ พี่ก็ไม่รู้จะมีสปอนเซอร์รายไหนโทรมาหาพี่หรือเปล่า ถ้าเขาขอถอนตัวขึ้นมา ทีนี้มันก็จะแย่กันหมด”

“ผมขอโทษทุกคนด้วยนะครับ” ม่อนพูดขึ้นมาทันทีที่พี่แอนพูดจบ ทุกคนจึงหันมามองเขาเป็นตาเดียวกัน “ทั้งหมดเป็นความผิดของผมเอง ผมควรจะระวังตัวมากกว่านี้ ผมควรจะรู้ว่าไม่ควรทำแบบนั้นกับพี่อาร์ตในที่สาธารณะ”

“ม่อน มันไม่ใช่…”

ผมว่าจะแย้งก็ต้องกลืนเสียงลงคอ เพราะพี่แอนจ้องมองด้วยแววตาที่ทำเอาผมร้อนๆ หนาวๆ ไม่ต้องบอกว่าดาราอย่างผมจะเกรงใจเธอแค่ไหน งานจะมีหรือไม่มีก็ขึ้นอยู่กับเธอคนนี้

“ก็ดีแล้วที่รู้ตัวว่าผิด เมื่อผิดแล้วพี่ก็อยากจะขอให้รับผิดชอบให้พี่หน่อย ทำได้ใช่ไหม” พี่แอนหันมาถามม่อนด้วยสีหน้าจริงจัง

“ได้ครับ จะให้ผมรับผิดชอบอะไรก็บอกมาได้เลยครับ” ม่อนรีบตกลงทันทีโดยที่ไม่หันมาปรึกษาผมสักคำ

“ดีมาก” พี่แอนยิ้มพอใจ ก่อนหันมาทางผมอีกครั้ง “อาร์ตคงเข้าใจนะว่าพี่ไม่มีทางเลือก ที่จริงอาร์ตก็โตแล้ว จะรักใคร ชอบใคร เพศไหน มันก็ไม่ใช่ธุระอะไรของพี่ เพียงแต่ตอนนี้เรื่องที่เกิดขึ้นมันกระทบพี่และคนอีกหลายคน พี่ไม่ได้รังเกียจความรักแบบนี้หรอกนะ เพราะละครเรื่องใหม่ที่พี่จะให้เพชรเล่น พี่ก็จะให้เขาเล่นบทชายรักชาย เพราะพี่ก็อยากได้ตลาดกลุ่มนี้มาเพิ่มฐานแฟนคลับให้พวกเรา แต่…” พี่แอนเว้นจังหวะ หันไปสบตากับม่อนแวบหนึ่งก็หันมาสบตาผม

“พี่ยอมให้อาร์ตเล่นบทแบบนี้ไม่ได้ พี่ยอมให้มีข่าวแบบนี้ของอาร์ตออกไปในสื่อไม่ได้ ถ้าอาร์ตยังอยากร่วมงานกับพี่อยู่ อาร์ตก็ต้องเข้าใจพี่ด้วยว่าพี่จะป้อนบทแบบไหนให้อาร์ต อาร์ตจะต้องมีภาพยังไง ต้องมีบุคลิกยังไง ตัวจริงของอาร์ตจะเป็นแบบไหนไม่รู้ แต่ในโลกบันเทิง อาร์ตต้องมีภาพแบบนี้ให้พี่ ให้ช่องของเรา ให้สปอนเซอร์ของเรา ให้แฟนคลับของเรา ยกเว้นว่า…อาร์ตอยากจะร่วมงานกับพี่เรื่องนี้เป็นเรื่องสุดท้าย”

ผมรู้สึกเสียวสันหลังวาบเมื่อได้ยินคำขู่ของพี่แอน ตั้งแต่ทำงานด้วยกันมา ผมไม่เคยเห็นพี่แอนในบุคลิกแบบนี้เลย

“เอาอย่างนี้ละกันครับ” ม่อนเกริ่นเรียกความสนใจ เมื่อทุกคนหันมามองเจ้าตัวก็พูด “เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะย้ายออกไปอยู่ที่อื่น แล้วก็จะไม่ติดต่อกับพี่อาร์ตสักพักหนึ่งจนกว่าเรื่องมันจะซา”

ผมเอื้อมมือไปสะกิดขาม่อน ทว่าเจ้าตัวกลับไม่สนใจ ขณะที่พี่แอนยิ้มและดูเหมือนจะพอใจกับข้อเสนอนี้ของม่อนมากทีเดียว

“ขอบคุณที่เธอเสนอทางออกนี้มานะ ฉันก็กำลังจะบอกเธอแบบนี้พอดีเลย แต่ว่าฉันขอสามเดือนละกัน ให้ละครเรื่องใหม่ออกอากาศจนจบ ถือว่าช่วยพวกเราละกัน อ้อ” พี่แอนทำท่านึกอะไรขึ้นมาได้ “ไหนๆ เธอก็ช่วยพวกเราแล้ว พรุ่งนี้…ฉันอยากให้เธอไปที่งานแถลงข่าวด้วย เพราะถ้าให้อาร์ตพูดคนเดียวน่ะ นักข่าวเขาก็อาจจะยังไม่เชื่อ คืนนี้ฉันอยากให้เธอสองคนช่วยคุยกันหน่อยว่าจะบอกนักข่าวว่ายังไง หรือไม่ก็ปรึกษาพี่นงดู ขอโทษที่พี่จะต้องเด็ดขาดนะ ไม่งั้นเรื่องไม่จบ ขอให้เข้าใจพี่ด้วย”

พอพี่แอนพูดถึงพี่นงขึ้นมา ผมก็ชักจะสงสัยว่าพี่นงโทรคุยอะไรกับพี่แอนหรือเปล่า เพราะสองคนนี้สนิทกันพอสมควร พี่นงเคยพาแฟนคลับไปเยี่ยมผมที่กองถ่ายบ่อยๆ จึงรู้จักกับพี่แอน

“จี๊ด” พี่แอนเรียกชื่อพร้อมกับหันไปทางผู้จัดการส่วนตัวของผม “พรุ่งนี้จี๊ดช่วยเชิญนักข่าวให้หน่อยนะ เดี๋ยวพี่จะจองห้องแถลงข่าวที่ช่องให้ สักบ่ายสามละกันนะ”

“ได้ค่ะพี่แอน” พี่จี๊ดพยักหน้าตกลง ทั้งที่ทำงานให้ผม แต่กลับไปรับคำสั่งของคนอื่น เรื่องของเรื่องก็คือ เธอเป็นเด็กในสังกัดของพี่แอนนั่นแหละ พี่แอนฝากฝังเธอให้มาทำงานกับผมเอง

“ขอบใจมากจี๊ด” พี่แอนหันมาทางผมและม่อน มองหน้าสลับกันไปมา “ขอบคุณเธอทั้งสองคนที่ให้ความร่วมมือกับพี่นะ พี่ต้องขอโทษจริงๆ ที่ต้องทำแบบนี้ หวังว่าจะเข้าใจพี่”

“ผมเข้าใจดีครับ แล้วก็ยินดีให้ความร่วมมือ” ม่อนบอกพี่แอนด้วยสีหน้าจริงจัง

“ขอบคุณมาก” พี่แอนยิ้มพอใจอีกครั้ง ทว่าไม่นานก็เปลี่ยนเป็นครุ่นคิด “ฉันเชื่อนะว่าเธอรักเขาจริง เพราะคนที่รักกันจริง เขาจะเห็นแก่อนาคตของคนที่ตัวเองรัก เพราะถ้ารักกันแล้วมันมีแต่ความเดือดร้อน ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะดันทุรัง ฉันหวังว่าเมื่อครบสามเดือนแล้ว เธอน่าจะมีคำตอบที่ชัดเจนกว่านี้”

ประโยคสุดท้ายของพี่แอนฟังดูน่ากลัวชอบกล ผมอดหวั่นใจไม่ได้เลย แต่เมื่อหันไปมองม่อนก็เห็นเจ้าตัวทำหน้านิ่ง ดูไม่สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย

เมื่อได้วิธีแก้ปัญหาที่พอใจแล้วพี่แอนก็กลับ ปกติพี่จี๊ดหรือเพชรจะอยู่คุยกับผมต่อ แต่วันนี้กลับดูรีบร้อนชอบกล แถมเมื่อกี้ก็แทบไม่ได้พูดอะไรเลย นอกจากเออออไปตามพี่แอน

ระหว่างที่ผมเดินไปส่งทุกคนที่โรงจอดรถ เพชรก็เดินมาตบไหล่ผมเบาๆ “เดี๋ยวถึงบ้านแล้วโทรหานะเว้ย”

“เออ ขับรถดีๆ” ผมยิ้มบางๆ ให้เพื่อนร่วมวงการที่ผมสนิทด้วยมาหลายปี

เมื่อแขกไปหมดแล้ว บ้านผมจึงค่อยกลับมาสงบอีกครั้ง เมื่อผมเดินเข้ามาในบ้านก็เห็นว่าม่อนยังยืนรอผมอยู่ ผมรีบเดินเข้าไปหาและกอดเจ้าตัวไว้ ที่เคยสงสารอยู่แล้วก็ยิ่งสงสารจับจิตจับใจ

“พี่เข้าใจแล้วว่าที่ผ่านมาม่อนเจออะไรมาบ้าง ชีวิตของม่อนไม่ง่ายเลย แต่พี่…ก็เป็นผู้ชายไม่เอาไหน กี่ครั้งแล้วที่ดูแลคนที่ตัวเองรักไม่ได้เลย” เมื่อพูดถึงตรงนี้ ผมก็ร้องไห้ ทั้งที่ไม่เคยร้องไห้มานานมากแล้ว ยกเว้นตอนแสดงละครเท่านั้น

ม่อนคงรู้ว่าผมกำลังนึกถึงความล้มเหลวของตัวเองในอดีต เจ้าตัวก็เลยรีบปลอบใจ “พี่อาร์ต พี่อาร์ตอย่าโทษตัวเองนะครับ มันไม่ใช่ความผิดของพี่อาร์ตหรอก ม่อนผิดเอง ม่อนไม่ควรทำแบบนั้นกับพี่ในที่สาธารณะเลย ทำเขาเดือดร้อนกันไปหมด”

“โธ่ม่อน เขาทำม่อนเจ็บ ทำไมพี่จะกอดปลอบคนที่พี่รักไม่ได้ล่ะม่อน” ผมรู้สึกสะท้อนใจเหลือเกิน อดคิดไม่ได้ว่าคิดดีหรือเปล่าที่มาเป็นดารา เพราะมันใช้ชีวิตส่วนตัวได้ไม่เต็มที่เลย แต่ก็นั่นแหละ ถ้าไม่ได้เป็นดารามีชื่อเสียง ผมก็คงเป็นได้แค่ผู้ชายไม่เอาไหนคนหนึ่งจนตาย

“แต่ผมก็ควรจะระวังตัวมากกว่านี้”

“ม่อนอย่าโทษตัวเองเลย เอาเข้าจริง เราสองคนไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะม่อน” ผมผละออก เมื่อสบตาคนตรงหน้าแล้วก็ยิ่งรู้สึกสะท้อนใจ “พี่ไม่อยากให้ม่อนไปเลย พี่อยากตื่นมาแล้วเจอม่อนทุกวัน เราไม่มีทางเลือกอื่นแล้วเหรอม่อน”

“ผมรับปากคุณแอนแล้วนะครับพี่อาร์ต ผมไม่อยากผิดคำพูด” ม่อนยืนยัน ทว่าสีหน้ากลับดูเศร้า ยิ่งทำให้ผมอดรู้สึกผิดหวังกับตัวเองไม่ได้

“พี่ไม่อยากเชื่อเลย ผ่านมาเป็นสิบๆ ปี พี่ก็ยังเป็นผู้ชายไม่เอาไหนเหมือนเดิม มีรักแท้…แต่ก็ดูแลไม่ได้ ถ้าพี่เป็นคนเอาไหนมากกว่านี้ ป่านนี้ก็คงจะได้อยู่กับเมียกับลูกเหมือนผู้ชายคนอื่นๆ แต่เพราะพี่มันไม่เอาไหนไง ถึงไม่มีใครเอา มีแต่ชีวิตที่สำส่อนไปวันๆ ทั้งที่อายุก็ปูนนี้แล้ว”

ผมกอดม่อนร้องไห้อีกครั้ง รู้สึกได้ถึงร่างกายที่สั่นเทิ้มของตัวเอง อดนึกถึงเพลงนั้นอีกครั้งไม่ได้ เพลงที่ผมเคยฟังบ่อยๆ ตอนถูกบังคับให้เลิกกับแฟนที่ไต้หวัน แม้จะเป็นเพลงที่ออกหลังยุค 90 มาแล้วหลายปี แต่ช่วงนั้นผมเจอปัญหาชีวิตหนักพอดี

“ฉันเป็นคนโง่เหนือใครๆ มีรักแท้อยู่ ดูแลไม่ได้ จะรู้ค่ามันก็สายเกินไป ปวดร้าวคิดอยากย้อนเรื่องราวแค่ไหน ได้แต่ฝัน”

“ตกลงดารานี่มันเป็นคนหรือเป็นสินค้ากันแน่ พี่ก็มีหัวใจนะม่อน พี่ก็อยากมีความรัก พี่ก็อยากมีใครสักคน แต่ก็ต้องมาเจอเรื่องบ้าๆ แบบนี้ แล้วพี่จะบอกเมี่ยงยังไงล่ะม่อน พี่จะมีหน้าไปบอกเมี่ยงได้ยังไงว่าพี่จะดูแลม่อนให้ดีที่สุด พี่อยากอยู่กับม่อน พี่อยากดูแลม่อน ม่อนกำลังเจ็บ ม่อนกำลังต้องการใครสักคน พี่ไม่อยากให้ม่อนไปเลย แต่พี่มันก็ไม่เอาไหน”

ผมโทษตัวเองอีกจนได้ คร่ำครวญเสียใจราวกับลืมไปแล้วว่าตัวเองจะอายุสี่สิบอีกเพียงสองปีเท่านั้น คงเป็นเพราะแผลในใจในอดีตที่จนป่านนี้ก็ยังไม่หายดี ถูกสะกิดเกาเมื่อไหร่ก็เลือดไหลเมื่อนั้น

“แค่สามเดือนเองพี่อาร์ต อีกอย่าง เราก็ยังคุยกันทางอื่นได้” ม่อนพยายามปลอบใจ ทว่าก็ไม่ช่วยอะไรนัก

“พี่กลัวน่ะม่อน พี่กลัวว่ามันจะไม่ใช่แค่นี้ พี่ไม่เคยเห็นพี่แอนเป็นแบบนี้เลย”

เมื่อนึกถึงสีหน้าพี่แอนเมื่อกี้ ผมก็รู้สึกหวาดหวั่นอย่างบอกไม่ถูก โดยเฉพาะคำพูดประโยคสุดท้ายที่พูดกับม่อน

ว่าแต่…ทำไมผมต้องให้คนอื่นมากำหนดชีวิตของตัวเองมากขนาดนี้ มันจะมีประโยชน์อะไรถ้าผมมีงานมีเงิน แต่ตื่นมาไม่เจอคนที่อยากใช้ชีวิตอยู่ด้วยจนตายจากกัน นี่ก็ผ่านมาครึ่งค่อนชีวิตแล้ว ผมควรจะมีความสุขกับชีวิตที่เหลือกับใครสักคนได้แล้วหรือยัง

มันคงถึงเวลาแล้วที่ผมจะต้องเลือก!

TBC…

เพลงรักแท้ดูแลไม่ได้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-01-2022 20:57:33 โดย Y-Lamoon »

ออฟไลน์ meteexp

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
ค้างสุด

ออฟไลน์ Y-Lamoon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
ตอนที่ 9 ชายคนหนึ่ง


“จริงๆ ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมกับน้องในคลิปก็เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกันตอนเรียนมัธยม พอดีเขามีปัญหากับแฟนเก่า แฟนเก่าเขาตามมาง้อ แต่ว่าม่อน…เอ่อ…รุ่นน้องของผม…เขาไม่อยากคืนดี ทางนั้นก็ตามตื๊อไม่เลิก ใช่ไหมม่อน”

พี่อาร์ตหันมาทางผม ผมพยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย จากนั้นก็ปล่อยให้พี่อาร์ตเล่าต่อ

“ผมเห็นปัญหานี้มาสักพักแล้วล่ะ ก็ยังคิดอยู่ว่าจะช่วยเขายังไงดี เมื่อวานเขาสองคนนัดเจอกัน ผมก็เลยตามไปดู แต่ท่าทางไม่น่าจะคุยกันรู้เรื่อง ผมก็เลยตัดสินใจเข้าไปช่วย อารามอยากช่วยรุ่นน้องให้หลุดพ้นจากปัญหานี้เสียที ผมก็เลยพูดไปอย่างนั้น แต่มันก็ได้ผลอย่างที่ทุกคนได้เห็นกันในคลิปนั่นแหละครับ”

“แล้วทำไมถึงไม่ใช้คำอื่นล่ะคะ ทำไมถึงใช้คำว่าบอยเฟรนด์ ถ้าไม่ใช่แฟนกันก็ไม่น่าจะใช้คำนี้นะคะ” นักข่าวดาราเอฟรี่เดย์ถามพลางทำหน้ายิ้มๆ

“เวลาคับขันแบบนั้นมันต้องรีบครับ นึกอะไรได้ผมก็พูดไปเลย ก็แค่นั้นแหละครับ ผมก็แค่อยากให้เขาเลิกมายุ่งกับรุ่นน้องผม ถ้าไม่ใช้คำว่าบอยเฟรนด์ เขาก็คงไม่เลิกรังควานง่ายๆ หรอก เพราะผมเห็นเขาตื๊อแบบนี้มาหลายวันแล้ว”

“ถ้างั้นคุณอาร์ตก็ยืนยันเลยใช่ไหมคะว่าไม่ได้เป็นอะไรกับคนในคลิป” นักข่าวคนเดิมถาม

พี่อาร์ตพยักหน้า “ก็เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องที่สนิทกันน่ะครับ”

“ไม่มีอะไรลึกซึ้งกว่านั้นใช่ไหมคะ”

“ไม่มีครับ” พี่อาร์ตยืนยันเป็นมั่นเหมาะ

แม้ผมรู้ว่าพี่อาร์ตจำเป็นต้องโกหก แต่ก็อดสะท้อนใจไม่ได้ หรือไม่ก็อาจจะรู้สึกเจ็บไปแล้ว ที่จริงผมก็ควรจะชินไม่ใช่หรือ ไม่ว่าจะมีแฟนกี่คน เขาก็มักจะไม่กล้าบอกใครว่าเป็นแฟนผม เจ็บมาหลายครั้งเพราะเรื่องนี้ จนไม่อยากจะมีใครอีกแล้ว ไม่อยากเจอปัญหาเดิมๆ นี้อีก ทว่า…มันก็เกิดขึ้นอีกแล้วในตอนนี้

“แต่คุณอาร์ตก็ให้สัมภาษณ์นี่คะว่ากำลังคุยๆ กับใครอยู่ แถมยังบอกด้วยว่าเพศไม่สำคัญ ตกลงคุยกับใครอยู่เหรอครับ แล้วคนที่คุยด้วยเป็นเพศไหนกันแน่ครับ” นักข่าวชายช่องบลูสตาร์ถามบ้าง

“คุยกับผู้หญิงสิครับ แต่ว่ายังไม่มีอะไรคืบหน้าเท่าไหร่หรอก เป็นดาราก็ใช่ว่าจะมีแต้มต่อเยอะกว่าคนทั่วไปนะครับ ผมน่ะกินแห้วไปหลายลูกแล้ว อย่าไปบอกใครล่ะ” พี่อาร์ตหัวเราะติดตลกตอนท้าย

ที่จริงพี่อาร์ตก็คงไม่ถึงกับโกหกเรื่องนี้หรอก เพราะก่อนหน้านี้เขาก็คบกับสาวคนหนึ่งอยู่ เพียงแต่ตอนหลังก็เริ่มห่างๆ กันไป ผมก็ลืมถามไปเลยว่าผู้หญิงคนนั้นหายไปไหน ผมยังจำได้เลยว่าเธอชื่อหลิว

“จริงเหรอคะพี่อาร์ต จัดฉากแก้ข่าวหรือเปล่าคะเนี่ย ก่อนหน้านี้พี่อาร์ตก็เคยมีข่าวว่าเป็นเกย์ไม่ใช่เหรอ สมัยนี้แล้ว ถ้าเป็นจริงๆ ก็เปิดตัวได้นะคะ ไม่เห็นจะเป็นไรเลย” นักข่าวดาราเอฟรี่เดย์ถามแทรกขึ้นมา ดูเหมือนว่าเธอจะมีคำถามแปลกๆ และตอบยากๆ มาให้ใช้สมองอยู่เรื่อยๆ

ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า แต่รู้สึกได้ว่าพี่อาร์ตดูไม่ค่อยพอใจกับคำถามนี้เท่าไหร่ โดยพื้นฐานนิสัยแล้วพี่อาร์ตค่อนข้างโมโหง่าย เวลาโกรธขึ้นมาเขามักไม่เกรงใจใคร หวังว่าจะไม่เผลอหลุดงาบหัวนักข่าวคนนี้เสียก่อน

พี่แอนคงเห็นหน้าตึงๆ ของพี่อาร์ต เธอจึงชิงพูดแทนด้วยสีหน้ายิ้ม “ไม่ใช่ค่ะน้อง ไม่ได้จัดฉากค่ะ จริงๆ อาร์ตเป็นคนบอกพี่ด้วยซ้ำว่าไม่ต้องแถลงข่าวหรอก แต่พี่ก็เป็นห่วงไง เพราะแฟนคลับหลายคนเขาก็ไม่สบายใจ พี่ก็เลยให้อาร์ตมาชี้แจง ทุกคนจะได้สบายใจว่าเหตุการณ์ในคลิปไม่ได้เป็นอย่างที่เขาเอาไปพูดกัน พี่รู้จักอาร์ตมาตั้งหลายปี อาร์ตไม่ได้เป็นเกย์แน่นอนค่ะน้อง สาวๆ เขาเยอะจะตาย” พี่แอนหันมายิ้มระคนขำกับพี่อาร์ตตอนท้าย

“สรุปว่าข่าวลือเรื่องเป็นเกย์ไม่จริงใช่ไหมคะ” นักข่าวทีวีทีวายยื่นไมค์มาทางพี่แอน

“ไม่จริงค่ะ ไม่จริงเลย ถ้าอาร์ตเป็นเกย์เนี่ย ทั้งโลกก็คงไม่มีผู้ชายแท้ๆ เหลือแล้ว พี่ว่าเลิกลือเรื่องนี้เถอะ” พี่แอนทำเสียงสูงตอนท้ายให้ฟังดูตลก

ผมเดาว่าพี่อาร์ตโกรธแน่ๆ ไม่งั้นคงไม่ปล่อยให้พี่แอนออกรับแทน ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงลุกขึ้นมาโวยวาย แต่ตอนนี้น่าจะควบคุมอารมณ์ได้ดีกว่าเมื่อก่อน จึงเห็นแต่หน้านิ่งๆ

“แล้วจริงหรือเปล่าคะที่ตอนนี้พี่อาร์ตให้รุ่นน้องที่ชื่อม่อนไปอยู่ที่บ้านพี่อาร์ตด้วยกัน” นักข่าวจากดาราเอฟรี่เดย์คนเดิมยื่นไมค์มาทางพี่อาร์ต

พวกเราสามคนซึ่งนั่งเรียงหน้าตรงโต๊ะแถลงข่าวมองหน้ากันโดยไม่ได้นัดหมาย แม้พยายามทำหน้าให้เป็นปกติ แต่ผมก็รู้ว่าทุกคนตกใจ เพราะเรื่องนี้ไม่น่ามีใครรู้

แต่ก่อนที่เราจะเพลี่ยงพล้ำให้กับดาราเอฟรี่เดย์ ก็มีเสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นมาจากที่ไหนสักแห่งเสียก่อน

“ไม่ต้องสงสัยเรื่องพี่อาร์ตเป็นเกย์หรอกค่ะ”

บรรดานักข่าวและคนที่อยู่แถวนั้นต่างก็หันไปมองหาเจ้าของเสียง เมื่อเจอแล้วก็มองเป็นตาเดียวกัน หญิงสาวคนหนึ่งในชุดนักศึกษายกยิ้ม ก่อนสาวเท้าเร็วๆ ตรงมาที่โต๊ะแถลงข่าว ไม่รู้ว่าแอบเข้ามาอยู่ในงานตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมจำได้ทันทีว่าเธอชื่อหลิว สาวมหาลัยที่พี่อาร์ตตามจีบมาสักพักนั่นแหละ ผมเพิ่งนึกถึงเมื่อกี้นี้เอง

“พี่อาร์ตไม่ได้เป็นเกย์ หนูยืนยันได้ค่ะ” หลิวเดินมาตรงโต๊ะฝั่งซ้ายสุดที่ผมนั่ง จากนั้นก็สั่ง “พี่ม่อนออกไปก่อนค่ะ เดี๋ยวหลิวจัดการให้เอง”

ก่อนจะลุกออกไป ผมหันไปมองหน้าพี่อาร์ตซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ เป็นเชิงขอความเห็น ทว่าเจ้าตัวก็ไม่ตอบสนอง ผมจึงลุกขึ้นและสละที่นั่งแถลงข่าวให้หลิวเอง เพราะตั้งแต่เริ่มแถลงข่าว ผมก็ไม่ได้พูดอะไรเลย พี่แอนสั่งไว้ว่าห้ามพูดจนกว่าเธอจะโยนมาให้พูด

เมื่อไม่มีใครห้ามผมก็เดินไปหาพี่เพชรซึ่งอยู่มุมหนึ่งของห้องแถลงข่าว พอไปถึงเขาก็กระซิบถาม

“เขารู้จักม่อนด้วยเหรอ”

“ครับ เคยเจอกันที่คอนโดเก่าของผมน่ะครับ” ผมตอบสั้นๆ ก่อนหันไปสนใจเหตุการณ์ตรงโต๊ะแถลงข่าวต่อ

เมื่อนั่งลงแล้ว หลิวก็เล่าด้วยสีหน้ามั่นใจ “ดิฉันนี่แหละค่ะ สาวที่พี่อาร์ตกำลังคุยอยู่!”

“หลิว” พี่อาร์ตอีกฝ่ายเรียกคล้ายจะปราม

“ค่ะ หลิวเอง” หลินละสายตาจากพี่อาร์ตแล้วหันมาพูดกับนักข่าวอย่างฉาดฉาน “เห็นไหมคะว่าพี่อาร์ตรู้จักหลิว ไม่งั้นก็คงเรียกชื่อไม่ถูก”

“ตกลงคุณหลิวเป็นแฟนคุณอาร์ตจริงๆ เหรอคะ” นักข่าวทีวีทีวายถาม คราวนี้นักข่าวพร้อมใจกันยื่นไมค์มาทางหลิวกันหมด

“เรียกว่า…ว่าที่แฟนดีกว่าค่ะ เพราะว่าตอนนี้เรากำลังคุยๆ กันอยู่ค่ะ” หลิวหันมายิ้มกับพี่อาร์ตเมื่อพูดจบ

“จริงเหรอคะ ปกติคุณอาร์ตไม่เคยเปิดตัวใครเลยนะคะ ขนาดบางคนแอบซุ่มคบกันตั้งนาน ยังไม่เห็นเปิดตัวแบบนี้เลย ตกลงว่าที่เชิญมาวันนี้ก็คือจะเซอร์ไพรส์เรื่องเปิดตัวแฟนคนใหม่เหรอคะ” นักข่าวบลูสตาร์ถาม

พี่อาร์ตดูอึกอัก หลิวก็เลยรีบช่วยแก้สถานการณ์ให้

“เปล่าค่ะ ไม่ได้มาเปิดตัวอะไรหรอกค่ะ หลิวก็บอกแล้วนี่คะว่าเราแค่คุยๆ กัน ที่หลิวมาเนี่ย หลิวก็แค่จะมาช่วยยืนยันเท่านั้นแหละค่ะว่าพี่อาร์ตน่ะ…ไม่ได้เป็นเกย์หรอก เรื่องที่พี่อาร์ตเล่ามาเมื่อกี้ก็ตามนั้นแหละค่ะ รุ่นน้องคนนั้นของพี่อาร์ตหลิวก็รู้จัก เขาชื่อม่อน เขาเพิ่งมาอยู่กรุงเทพได้ไม่กี่วันเอง ไม่ได้เป็นฟงเป็นแฟนอะไรกันหรอกค่ะ ก็แค่คนรู้จักตอนเรียนมัธยม ใช่ไหมคะพี่อาร์ต”

หลิวหันไปถามคนข้างๆ พี่อาร์ตยิ้มแบบไม่เต็มใจนัก ทว่าก็พยักหน้าเออออไปตามนั้น

“คุณหลิวกับคุณอาร์ตรู้จักกันมานานหรือยังคะ” นักข่าวบลูสตาร์ถามต่อ

“เดือนเศษๆ แล้วค่ะ”

“จัดฉากแก้ข่าวให้คุณอาร์ตหรือเปล่าคะเนี่ย” นักข่าวทีวีทีวายถามกึ่งแซว

“ไม่ได้จัดฉากเลยค่ะ หลิวกับพี่อาร์ตกำลังคุยกันจริงๆ ไม่เชื่อก็ดูนี่สิคะ”

พูดจบหลิวก็หยิบเอาโทรศัพท์ของตัวเองออกมา ไม่นานเธอก็เปิดคลิปหนึ่งแล้วยื่นให้นักข่าวดู ผมอยู่ไกลเกินกว่าจะเห็นว่าคลิปนั้นเป็นคลิปอะไร ได้ยินแต่เสียงฮือฮาของนักข่าว

“เราเพิ่งไปเที่ยวสมุยด้วยกันมาไม่นานนี้เองคะ ไม่เชื่อก็ดูวันที่ที่ถ่ายคลิปสิคะ นี่เห็นไหมคะว่าเพิ่งถ่ายไว้เมื่อไม่นานนี้เอง” หลิวเอามือชี้ๆ ที่โทรศัพท์มือถือของตัวเอง ผมเดาว่าน่าจะชี้ให้ดูวันที่

“แบบนี้ก็น่าจะเรียกว่าแฟนได้แล้วมั้งคะ ไม่น่าจะแค่คุยๆ กันแล้วมั้ง” นักข่าวดาราเอฟรี่เดย์แซว ตามด้วยเสียงโห่ฮิ้วของบรรดานักข่าวที่อยู่ตรงนั้น

“ยังหรอกค่ะ ยังคุยๆ กันอยู่” หลิวหัวเราะคิกคักชอบใจ

“คุณอาร์ตจะไม่พูดอะไรหน่อยเหรอคะ เปิดตัวแฟนวันนี้เลยก็ได้นะคะ ไหนๆ เขาก็มาแล้ว” นักข่าวนิวนิวส์ยื่นไมค์มาทางพี่อาร์ตพร้อมกับยิ้มกรุ้มกริ่ม

“อ๋อ เอาไว้โอกาสหน้าดีกว่าครับ วันนี้ไม่สะดวกเท่าไหร่” พี่อาร์ตแบ่งรับแบ่งสู้

“งั้นก็แสดงว่า…คนนี้ใช่ใช่ไหมคะ” นักข่าวดาราเอฟรี่เดย์ถามอย่างตื่นเต้น

“อย่าเพิ่งกดดันพี่อาร์ตตอนนี้เลยค่ะ” หลิวทำสีหน้าวิงวอน “หลิวไม่ได้มาเพื่อจะบอกว่าพี่อาร์ตเป็นแฟนหรอกค่ะ หลิวแค่มาช่วยยืนยันว่าพี่อาร์ตไม่ได้เป็นเกย์เท่านั้นแหละ ไม่มีทางเป็นไปได้เลย หลิวยืนยันล้านเปอร์เซ็นต์ค่ะ ส่วนเรื่องของเราสองคน ก็ให้เป็นเรื่องของอนาคตดีกว่านะคะ อาจจะใช่หรือไม่ใช่ก็ได้ค่ะ”

ผมไม่รู้หรอกว่าหลิวมาได้ยังไง ใครบอกให้มา แต่เธอก็ช่วยแก้สถานการณ์ได้ดีทีเดียว นักข่าวพวกนี้น่ากลัวจริงๆ ขนาดพี่อาร์ตมีประสบการณ์ตอบคำถามมาอย่างโชกโชน แต่วันนี้เกือบเสียท่าไปเหมือนกัน ตั้งแต่เจอคำถามนั้นของดาราเอฟรี่เดย์ พี่อาร์ตก็ดูอารมณ์ไม่ดีและไม่ค่อยอยากตอบคำถาม

“ต้องขอโทษทุกคนด้วยนะคะ พอดีอาร์ตเขาจะต้องไปงานต่อค่ะ” พี่แอนถือโอกาสขัดจังหวะ ดูเหมือนว่าเธอไม่อยากให้นักข่าวสัมภาษณ์ต่อแล้ว คงสัมผัสได้ว่าพี่อาร์ตดูผิดปกติจากทุกครั้ง “วันนี้พี่คิดว่าทุกคนน่าจะไม่มีอะไรติดใจแล้วนะคะ หลิวเขาก็มายืนยันเองแล้วว่าอาร์ตไม่ได้เป็นเกย์ ส่วนคลิปที่คนแชร์กัน อาร์ตเขาก็อธิบายแล้วว่าเขาแค่อยากช่วยรุ่นน้อง ไม่มีอะไรแล้วนะคะ ขอบคุณทุกคนมากๆ นะคะที่มาร่วมงานแถลงข่าววันนี้ ต้องขอโทษด้วยค่ะที่แจ้งด่วนไปหน่อย แล้วก็มีเวลาให้ถามไม่เยอะเท่าไหร่ พอดีอาร์ตเขามีคิวถ่ายรายการต่อน่ะค่ะ”

การแถลงข่าวจึงต้องจบลงแต่เพียงเท่านี้ เมื่อมั่นใจว่านักข่าวออกไปหมดแล้ว พี่อาร์ตก็หันมาเอ็ดหลิวเสียงเขียว

“หลิวมาได้ยังไง ใครให้เข้ามา”

“หลิวก็มาช่วยพี่อาร์ตไงคะ” หลิวตอบหน้าตาเฉย

“แล้วหลิวรู้ได้ยังไงว่าพี่อยู่นี่” พี่อาร์ตคาดคั้น น้ำเสียงฟังดูไม่พอใจอย่างมาก

“แหม ข่าวดังขนาดนี้ หลิวจะไม่รู้ได้ยังไงล่ะคะพี่อาร์ต” หลิวทำเสียงประชด

“แล้วมันใช่เรื่องของหลิวไหม เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับหลิวเลย แล้วพี่จะทำยังไงล่ะทีนี้ แก้ข่าวม่อนไปแล้ว จะให้พี่มาแก้ข่าวหลิวอีกเหรอ ทำไมไม่ปรึกษากันเลย อยู่ดีๆ จะมาแบบนี้ไม่ได้รู้ไหม แบบนี้พี่ก็แย่สิ” พี่อาร์ตเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ ดูท่าว่าจะเก็บอารมณ์ไม่ไหวแล้ว

“อะไรกันคะพี่อาร์ต หลิวอุตส่าห์มาช่วยแท้ๆ ยังมาว่ากันอีก ถ้าเมื่อกี้หลิวไม่เข้ามา พี่อาร์ตจะตอบคำถามนักข่าวได้ไหมล่ะ ที่มานี่ก็เพราะตั้งใจมาช่วย เห็นไหมว่าฟอลโลวไอจีของพี่อาร์ตลดไปแสนกว่าแล้ว อย่าลืมสิคะว่าแฟนคลับพี่อาร์ตมีคนหัวเก่าอยู่เยอะ เขารับเรื่องแบบนี้ไม่ได้หรอก หลิวถึงต้องมาช่วยไง แทนที่จะขอบคุณ ยังมาว่าหลิวอีก” หลิวขึ้นเสียงบ้าง

พี่อาร์ตพ่นลมหายใจแรงๆ ท่าทางดูหัวเสียสุดๆ

พี่แอนเห็นท่าไม่ดีจึงรีบเดินไปหย่าศึกสองหนุ่มสาว “พวกเธอสองคนกลับไปคุยกันที่บ้านได้ไหม อย่ามาทะเลาะกันตรงนี้เลย เกิดนักข่าวมาเห็นนี่เป็นเรื่องเลยนะ อาร์ตพาแฟนกลับบ้านไปก่อน ถือว่าพี่ขอละกัน”

“เขาไม่ใช่แฟนผมนะครับพี่แอน” พี่อาร์ตรีบแก้ตัว ทว่าก็ดูจะไม่เป็นผลนัก

“พี่ก็ไม่รู้ว่าหรอกว่าเป็นหรือเปล่า พี่แค่ไม่อยากให้มาทะเลาะกันตรงนี้ ไปหาที่คุยกันตรงไหนก็ได้ แต่ไม่ใช่ห้องนี้ พี่ขอร้องนะอาร์ต แค่นี้เรื่องมันก็เยอะมากพอแล้ว พี่ไม่อยากจัดงานแถลงข่าวอีกรอบ” พี่แอนทำหน้าวิงวอน แต่น้ำเสียงก็ฟังดูเฉียบขาด

จะว่าไปผมก็เห็นด้วยกับพี่แอนไม่น้อย เพราะถ้านักข่าวมาเห็นภาพพี่อาร์ตโมโหและหัวเสียแบบนี้ ภาพลักษณ์พระเอกอบอุ่นที่ถูกสร้างไว้คงไม่เหลือ

“ครับ” พี่อาร์ตรับคำด้วยท่าทางหงุดหงิด ผมรู้ว่าพี่อาร์ตเป็นคนขี้โมโห แต่ครั้งนี้คงเห็นแก่พี่แอน ก็เลยยอมง่ายๆ

“หลิวไปบ้านพี่อาร์ตด้วยนะคะวันนี้” หลิวรีบถามก่อนพี่อาร์ตจะเดินหนีไป

พี่อาร์ตหันขวับไปมองด้วยแววตาดุ “จะไปทำไม พี่มีธุระกับม่อน วันนี้ไม่สะดวก”

“แต่หลิวมีเรื่องต้องคุยกับพี่อาร์ตให้รู้เรื่องนะคะวันนี้ พี่อาร์ตไม่มาหาหลิวเลย โทรไปก็ไม่ค่อยอยากจะรับ มันหลายวันแล้วนะคะพี่อาร์ต หลิวต้องการความชัดเจน ไม่ใช่หลบลี้หนีหน้ากันไปเฉยๆ แบบนี้” หลิวถือโอกาสตัดพ้อ

“โอ๊ย พี่ขอร้องล่ะ อาร์ตพาแฟนไปคุยที่บ้านได้ไหม อย่ามาทะเลาะกันตรงนี้” พี่แอนโวยวายบ้างเมื่อสองหนุ่มสาวยังไม่หยุดเสียที

“ครับพี่แอน ผมจะไปแล้ว”

พี่อาร์ตรับคำอย่างหัวเสีย จากนั้นก็เดินลิ่วมาหาผมกับพี่เพชร เมื่อเห็นเพื่อนมา พี่เพชรก็รีบซักด้วยความอยากรู้

“เขามาได้ไงวะอาร์ต”

“กูไม่รู้เว้ย ปกติงานแถลงข่าวที่ช่อง คนนอกเข้ามาไม่ได้อยู่แล้วมึงก็รู้ กูว่ามันแปลกๆ ว่ะ” พี่อาร์ตบ่นเบาๆ พลางโคลงศีรษะ

“คิดดีไหมวะเนี่ยที่จัดงานแถลงข่าว กูว่ามันมั่วมากเลย ไม่รู้ว่ามาแถลงอะไรกันแน่ ความจริงน่ะ ปล่อยให้มันเงียบๆ ไปก็ได้” พี่เพชรบ่นบ้าง แต่เวลาอยู่ต่อหน้าพี่แอนกลับไม่กล้าแสดงความเห็นแบบนี้

“กูก็ว่างั้น” พี่อาร์ตถอนหายใจแรงๆ “ก็รอดูข่าวเย็นนี้ละกันว่าเขาจะเขียนกันยังไง เดี๋ยวกูต้องไปแล้ว ขอจัดการเรื่องคนนี้ก่อน”

“เออๆ คุยกันดีๆ หน่อยนะเว้ยเพื่อน” พี่เพชรเตือนพลางตบไหล่เพื่อนเบาๆ แสดงว่าน่าจะพอรู้ฤทธิ์เดชพี่อาร์ตมาบ้าง “อ้อ เย็นนี้พาม่อนมาที่คอนโดได้เลยนะเว้ย ให้เขาทำความสะอาดให้แล้ว”

“อือ ขอบใจเพื่อน” พี่อาร์ตยิ้มเล็กน้อย ก่อนหันมาเรียกผม “ไปม่อน”

“ครับ” ผมรับคำอย่างว่าง่าย ขณะที่สายตาคอยมองไปยังหญิงสาวที่ยืนกอดอกรออยู่ข้างหลังพี่อาร์ตไม่ไกลนัก

… … …

เมื่อมาถึงบ้าน พี่อาร์ตกับหลิวก็ทะเลาะกันเสียงดังตั้งแต่ก้าวแรกที่ก้าวเข้ามา คนที่เริ่มก่อนก็คือหลิว

“ตกลงยังไงคะพี่อาร์ต ตกลงว่าเราเลิกกันแล้วเหรอคะ”

“แล้วหลิวคิดว่ายังไง” พี่อาร์ตย้อน

“พี่อาร์ตจะมาเลิกกับหลิวง่ายๆ แบบนี้ไม่ได้นะคะ” หลิวขึ้นเสียง “คิดว่าหลิวจะยอมเหมือนคนชื่อผิงเหรอ ไม่มีทางหรอก พี่อาร์ตมาจีบหลิว มาทำให้หลิวชอบ มาให้ความหวังต่างๆ นานา แต่อยู่ดีๆ ก็จะมาถีบหัวส่งแบบนี้เหรอคะ”

“พี่ยังไม่ได้ให้ความหวังอะไรกับหลิวเลยนะ” พี่อาร์ตทำเสียงเข้ม

“ไม่ให้ความหวังแล้วจะมาทำให้ชอบทำไม หลิวอยู่ของหลิวดีๆ นะคะ พี่อาร์ตเข้ามาหาหลิวเองนะคะ ไม่ใช่หลิว นี่ตกลงเห็นหลิวเป็นของเล่นเหรอ”

“หลิว! หลิวก็รู้นี่ว่าพี่ยังไม่คิดจะจริงจังกับใคร พี่ก็แค่คบเล่นๆ สนุกๆ กันไปแค่นั้น หลิวไม่ใช่คนแรกนะที่พี่คบแบบนี้”

“พูดแบบนี้ไม่เห็นแก่ตัวไปหน่อยเหรอ หลิวเสียให้พี่ไปตั้งกี่ครั้งแล้ว สรุปว่าทั้งหมดเป็นเรื่องเล่นๆ อย่างนั้นเหรอคะ พี่อาร์ตเห็นผู้หญิงอย่างหลิวเป็นที่ระบายอย่างนั้นเหรอคะ” หลิวระบายอย่างเหลืออด ฟังดูแล้วก็นึกสงสารเธอเหมือนกัน

“หลิวจะมาใส่อารมณ์เรื่องนี้ทำไม เรื่องแบบนี้มันก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วนี่ ถ้าหลิวคิดจะมาจับพี่เหมือนผู้หญิงพวกนั้นน่ะ พี่บอกเลยว่าไม่มีทาง!” พี่อาร์ตลั่นเสียงดัง

“พี่อาร์ตหมายความว่าไง ตกลงมาหลอกฟันหลิว แล้วก็ทิ้งหลิวไปอย่างนี้เหรอ” หลิวทำหน้าเหมือนจะร้องไห้

“พี่ไม่เคยเอาใครฟรีนะหลิว อยากได้สร้อย อยากได้นาฬิกา อยากให้พาไปเที่ยวไหน พี่ก็ให้ทุกอย่าง แต่พี่ไม่ต้องการผูกมัด พี่บอกหลิวหลายครั้งแล้วไม่ใช่เหรอ พี่ชัดเจนนะเรื่องนี้”

“แต่หลิวไม่ได้คบกับพี่อาร์ตเพราะหลิวอยากได้แค่นั้น หลิวอยากได้ความรัก หลิวอยากเป็นแฟนพี่อาร์ต ไม่งั้นจะยอมขนาดนี้เหรอ หรือว่า…พี่อาร์ตมีผู้หญิงคนอื่น” หลิวมองอย่างหวาดระแวง

“พี่ไม่มีผู้หญิงที่ไหนทั้งนั้น พี่อยากหยุดชีวิตแบบนี้เต็มทีแล้ว พี่ไม่อยากทำตัวแบบนี้แล้ว พี่จะสี่สิบแล้วนะหลิว พี่อยากจะมีชีวิตอยู่เงียบๆ กับคนที่พี่รัก โอเค พี่ผิด พี่ยอมรับผิดก็ได้ แต่พี่ไม่ได้รักหลิว พี่มีคนที่พี่รักแล้ว พี่อยากจริงจังกับเขา พี่ไม่อยากใช้ชีวิตเสเพลเหมือนที่ผ่านมาแล้ว ปล่อยพี่ได้ไหมหลิว หลิวอยากได้อะไรก็บอกมาเลย ขอแค่เราสองคน…ห่างๆ กันไป”

ผมไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกยังไงกันแน่กับสิ่งที่พี่อาร์ตพูดมา เอาเป็นว่าคนเราก็มีทั้งด้านดีและไม่ดี นี่ก็คืออีกมุมหนึ่งของชีวิตพี่อาร์ต ซึ่งผมก็รับรู้มาบ้าง แต่รับรู้ห่างๆ เพิ่งจะมาเห็นกับสองตาและได้ยินกับสองหูวันนี้ ผมไม่ตัดสินละกัน เพราะผมเองก็ใช่ว่าจะดีไปทั้งหมด

ยืนฟังเขาทะเลาะกันอยู่สักพัก ผมก็นึกได้ว่าตัวเองกำลังเสียมารยาท จึงแอบเดินหนีเงียบๆ ขึ้นไปบนห้อง เพราะยังเก็บของไม่เสร็จ วันนี้จะต้องขนของออกไปอยู่ที่อื่นชั่วคราว

เมื่อเข้ามาในห้อง ผมก็เก็บของใส่กระเป๋าต่อ ผมไม่ได้เอาอะไรมาจากเชียงใหม่เยอะนัก เพราะหลังๆ ผมชอบชีวิตแบบมินิมอลมากกว่า ใช้ของน้อยชิ้นลง อะไรที่ไม่จำเป็นก็ไม่ซื้อ คงเป็นเพราะตอนอยู่ดูแลแม่ ผมจำเป็นต้องประหยัดเงิน ไปๆ มาๆ ก็เลยชินกับการไม่ต้องมีอะไรเยอะแยะวุ่นวาย

เกือบยี่สิบนาทีผมก็ออกจากห้อง ลากกระเป๋าเดินทางขนาดกลางแบบมีล้อสองใบออกมาด้วย เสียงทะเลาะกันข้างล่างยังมีอยู่ แต่ก็ไม่ดังมากเท่ากับตอนก่อนผมจะขึ้นไปบนห้อง

ขณะที่ผมยกกึ่งลากกระเป๋าลงมาจนเกือบถึงบันไดขั้นสุดท้าย พี่อาร์ตก็หันมาเจอผมพอดี

“ม่อน! ม่อนจะไปไหน” พี่อาร์ตทำหน้าตื่น เขาหยุดทะเลาะกับหลิวแล้วเดินลิ่วมาหาผม

ที่จริงเราก็คุยกันเรื่องนี้แล้ว ตกลงกันแล้วว่าจะให้ผมไปพักที่อื่นชั่วคราว ระหว่างที่กำลังหาคอนโดใหม่ พี่เพชรเสนอให้ผมไปอยู่ที่คอนโดของเขาก่อน

“ไปอยู่คอนโดพี่เพชรไงครับ” ผมตอบเสียงเรียบ

“แล้วใครบอกว่าพี่จะให้ม่อนไป” พี่อาร์ตสวนมาทันควัน ทำเอาผมต้องกะพริบตาปริบๆ

“ก็เราตกลงกันแล้วนี่ครับพี่อาร์ต”

พี่อาร์ตเดินขึ้นบันไดมาอยู่บนขั้นเดียวกับผม ตาคมๆ จ้องผมอย่างกับผมไปทำอะไรผิดมา

“อยากไปจริงๆ เหรอ” เจ้าของตาคมถามเสียงเรียบ ทว่ากลับฟังดูเข้มขรึม

พอโดนถามตรงๆ อย่างนี้ผมกลับไม่รู้จะตอบยังไง เพราะเอาเข้าจริง ถ้าไม่ใช่เพราะสถานการณ์บังคับผมก็คงไม่อยากไปหรอก

“ครับ” ผมตอบเสียงเบาอย่างไม่มั่นใจ

“งั้นก็แปลว่า…ม่อนไม่อยากอยู่กับพี่ใช่ไหม” พี่อาร์ตเลิกคิ้ว

“เอ่อ…” ผมเริ่มล้าที่จะสบตากับพี่อาร์ต จึงแอบเหลือบมองไปทางหลิวแทน ก็เห็นเธอยืนมองดูอย่างสนใจ

“แสดงว่าม่อนไม่เต็มใจมาอยู่กับพี่ เพราะม่อนแค่โดนพี่บังคับให้มาอยู่ด้วย ม่อนก็เลยไม่มีความสุขที่ได้อยู่กับพี่ ไม่ชอบที่พี่คอยทำอาหารเช้าให้กิน ไม่ชอบมานั่งดูพี่วาดรูป ไม่ชอบที่ต้องตื่นเช้ามาเจอหน้าพี่ คงจะเบื่อหน้าคนแก่คนนี้เต็มทีใช่ไหม” พี่อาร์ตยกยิ้มมุมปาก แม้ว่าพูดจริงจังแต่สายตากลับดูเจ้าเล่ห์กรุ้มกริ่มชอบกล

“ไม่ใช่อย่างนั้นซะหน่อย” ผมเถียงเสียงอ่อย

“แล้วมันยังไงล่ะ” พี่อาร์ตกระตุกยิ้มมุมปาก

“ก็…” ผมก้มหน้าเล็กน้อย “ถ้าผมอยู่ ผมก็จะทำให้พี่อาร์ตเดือดร้อนไง”

“เดือดร้อนยังไง” พี่อาร์ตถามสวนมาเกือบทันที

ผมทำตาปริบๆ ชักเริ่มงงแล้วว่าพี่อาร์ตต้องการอะไรกันแน่ “ก็แฟนคลับพี่อาร์ตไม่ชอบผม คลิปที่ออกไปมันก็จะกระทบต่อละครที่กำลังจะออกอากาศ แล้วถ้าผมยังอยู่นี่ต่อ นักข่าวก็จะตามมาขุดคุ้ย”

“ใช่ มันก็จริง พี่ไม่เถียง แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเราจะต้องไม่อยู่ด้วยกันนี่ม่อน” พี่อาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงกึ่งขอร้องตอนท้าย

“พี่อาร์ตหมายความว่าไง” ผมส่งสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามนับพันไปให้ ทว่าพี่อาร์ตกลับถามให้ผมยิ่งงงหนักกว่าเดิม

“ตอบพี่มาคำเดียว ม่อนอยากอยู่กับพี่ไหม”

ผมกลืนน้ำลายเหนียวลงๆ คอ ไม่ใช่ว่าตอบคำถามไม่ได้ ผมมีคำตอบอยู่แล้ว ผมเพียงแต่ไม่เข้าใจคนถามเท่านั้นเองว่าเขาไม่เข้าใจสถานการณ์ตอนนี้เลยหรือ หรือว่าอยู่ดีๆ ก็ความจำสั้นจนจำไม่ได้ว่าเรารับปากพี่แอนไว้ยังไง

“ว่าไงม่อน อยู่กับพี่แล้วม่อนไม่มีความสุขเหรอ ถึงอยากไปอยู่ที่อื่น” พี่อาร์ตถามย้ำเมื่อเห็นผมยังเงียบอยู่ แต่พอผมไม่ตอบเขาก็ถอนหายใจ “โอเค แสดงว่าไม่อยากอยู่กับพี่ งั้นก็รอพี่แป๊บหนึ่งนะ เดี๋ยวพี่ไปจัดการหลิวก่อน เสร็จแล้วพี่จะไปส่งม่อนเอง”

พี่อาร์ตเดินกลับไปคุยกับหลิวต่อ ขณะที่ผมยังยืนงงต่อไป จนกระทั่งได้ยินบทสนทนาของพี่อาร์ตกับหลิวนั่นแหละ ผมจึงหันไปตั้งใจฟัง

“เมื่อกี้หลิวคงเห็นแล้วใช่ไหมว่าอะไรเป็นอะไร พี่มีคนที่ชอบแล้ว ถึงเขาจะไม่อยากอยู่กับพี่ แต่พี่ก็รักเขา หลิวเข้าใจคำว่ารักใช่ไหม มันหมายความว่า…เขาไม่ใช่แค่เพื่อนกินเพื่อนเที่ยวคลายเหงา ไม่ใช่คู่นอนชั่วคราว ไม่ใช่คนที่เจอกันสองสามครั้งก็เบื่อ แต่เขาจะเป็นคู่ชีวิตที่จะอยู่กับพี่ด้วยกันจนตาย”

พี่อาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ทำเอาสาวเจ้าถึงกับออกอาการผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด จึงลั่นเสียงสั่น

“ดี งั้นหลิวจะบอกนักข่าวให้หมดเลย!”

พี่อาร์ตพยักหน้าช้าๆ เป็นเชิงรับรู้ แต่สายตาก็มองอย่างท้าทาย “พี่ห้ามหลิวไม่ได้ จะทำอะไรก็ทำไป ขออย่างเดียว ปล่อยพี่ พี่มีคนที่พี่รักแล้ว คนนี้แหละ…ที่พี่จะอยู่กับเขาไปจนตาย”

“พี่อาร์ต!” หลิวหน้าเหวอ ทั้งผิดหวัง ทั้งตกใจระคนกัน

“พี่ขอโทษหลิวด้วยละกัน คิดซะว่าพี่ก็เป็นผู้ชายเลวๆ คนหนึ่งที่หลิวเจอ แต่วันนี้…พี่จะไม่กลับไปใช้ชีวิตแบบนั้นแล้ว เรื่องของหลิวกับพี่…พี่ขอให้มันจบแต่เพียงเท่านี้ละกันนะหลิว ขอโทษอีกครั้งที่พี่ไม่ทำให้มันชัดเจนตั้งแต่แรก แต่ตอนนี้มันชัดแล้ว พี่ขอโทษอีกครั้งที่มันต้องจบแบบนี้นะหลิว หลิวยังอายุน้อย ยังมีโอกาสเจอคนดีๆ อีกมากมาย พี่ขอให้หลิวโชคดีนะครับ”

หลิวฟังประโยคสุดท้ายไม่ทันจบ เธอก็หมุนตัวและจ้ำอ้าวออกไป น่าจะแปลว่าเรื่องของเธอกับพี่อาร์ตจบลงแต่เพียงเท่านี้ ผมก็ได้แต่เสียใจกับเธอลึกๆ แต่ก็ไม่รู้จะช่วยยังไง เพราะถ้าพี่อาร์ตไม่เอาก็คือไม่เอา

พี่อาร์ตถอนหายใจยาว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะโล่งอกหรืออะไรกันแน่ เขามองตามหลิวไปสักพัก จากนั้นก็หันมาทางผมและถามด้วยน้ำเสียงเนือยๆ แต่ก็แฝงความน้อยใจในที

“จะไปหรือยังม่อน เดี๋ยวพี่ไปส่ง พี่พร้อมจะอยู่คนเดียวแล้ว คนอย่างพี่…ไม่มีใครเขาอยากอยู่ด้วยหรอก”

“พี่อาร์ต”

ผมเรียกชื่อเขาเบาๆ จากนั้นก็เดินลงไปหาด้วยสีหน้ารู้สึกผิด เห็นเขาทำหน้าเศร้าๆ แล้วผมก็นึกสงสาร

“ผมขอโทษ ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากอยู่กับพี่ ผมอยู่ที่นี่ผมก็มีความสุขดี แต่ถ้าผมอยู่แล้วมันทำให้พี่อาร์ตเดือดร้อน ผมก็ลำบากใจนะพี่”

“ม่อนไม่ต้องห่วงหรอก ปัญหาพวกนั้นมันแก้ได้ เจรจาได้ ถึงมันจะทำให้วุ่นวายบ้าง ปวดหัวบ้าง แต่มันก็ดีกว่าต้องอยู่คนเดียว ตั้งแต่พี่ได้เจอม่อน พี่ก็ไม่อยากอยู่คนเดียวแล้ว กว่าเราจะได้มาเจอกัน มันไม่ใช่ง่ายๆ นะม่อน พี่ไม่ยอมปล่อยมือจากม่อนเพราะเรื่องแค่นี้หรอก ความผูกพันของเรามันมีค่ามากกว่าทุกอย่าง จะให้พี่ทิ้งน้องรักไปอีกครั้ง พี่ทำไม่ได้ อีกอย่าง…เมี่ยงก็ฝากม่อนไว้กับพี่แล้ว พี่ผิดสัญญากับเขาไม่ได้หรอก อยู่กับพี่นะครับ”

พี่อาร์ตเปลี่ยนเป็นยิ้มหวานในตอนท้าย ผมสบตาด้วยแค่นิดเดียวก็เหมือนโดนสะกดไปซะแล้ว ผู้ชายเจ้าชู้มีวิธีเล่นหูเล่นตาบางอย่างที่ผมเองก็บอกไม่ถูก เอาเป็นว่าเกย์อย่างผมทำไม่เป็นหรอก

“ว่าไงม่อน ทำไมเงียบไปล่ะครับ” พี่อาร์ตถามทำลายความเงียบ

ผมสะดุ้งตื่นจากภวังค์ ยิ้มแหยๆ ทว่าก็ต้องรีบพูด ไม่อย่างนั้นเขาจะน้อยใจอีก

“พี่อาร์ตอยู่ไหน ม่อนก็จะอยู่ด้วย”

ผมตอบด้วยประโยคที่จำได้ว่าเคยพูดกับพี่อาร์ตบ่อยๆ ตอนอยู่เชียงใหม่ ผมชอบตามไปนั่งดูเขาวาดรูป อยู่กับเขาได้ทั้งวัน จนบางทีพี่อาร์ตก็กลัวผมจะเบื่อเสียก่อน แต่ผมก็จะบอกเขาเสมอว่า “พี่อาร์ตอยู่ไหน ม่อนก็จะอยู่ด้วย”

ไม่รู้ว่าพี่อาร์ตจำได้หรือเปล่า แต่เขาก็รวบตัวผมเข้าไปกอดไว้ ผมถึงกับยิ้มทั้งน้ำตาที่ยังไม่ต้องเสียอ้อมกอดนี้ไป แถมยังต้องยิ้มกว้างขึ้นเมื่อได้ยินพี่อาร์ตร้องเพลงเพลงหนึ่งให้ฟังไปด้วยเบาๆ

“ฉันเป็นเพียงชายคนหนึ่งที่อยากดูแล ห่วงใยเธอเท่านั้น ขอแค่เพียงยังมีใครที่ห่วงใยกัน ไม่เคยต้องการสิ่งใด”

TBC…

เพลงชายคนหนึ่ง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-03-2022 22:22:49 โดย Y-Lamoon »

ออฟไลน์ meteexp

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
Re: ⏲⏲⏲Time Machine - ตอนที่ 9 ชายคนหนึ่ง
«ตอบ #33 เมื่อ21-01-2022 00:25:07 »

 :hao5:

ออฟไลน์ Y-Lamoon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
Re: ⏲⏲⏲Time Machine - ตอนที่ 9 ชายคนหนึ่ง
«ตอบ #34 เมื่อ23-01-2022 17:09:02 »

วันนี้ตอนหนึ่งทุ่มจะมาอัปเดตนะครับ

ออฟไลน์ Y-Lamoon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
Re: ⏲⏲⏲Time Machine - ตอนที่ 9 ชายคนหนึ่ง
«ตอบ #35 เมื่อ23-01-2022 19:29:28 »

ตอนที่ 10 แค่ได้คิดถึง


“เธอขนของออกจากบ้านอาร์ตหรือยัง”

น้ำเสียงเย็นเยียบถามมา แต่ฟังดูแล้วเหมือนไม่ใช่คำถามเท่าไหร่ ออกจะขู่ๆ ด้วยซ้ำ แต่ผมก็เตรียมตัวเตรียมใจมาก่อนแล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่มาหรอก เพราะผมก็รู้อยู่แล้วว่าจะต้องเจออะไร ตอนที่พี่นงมารับผมถึงมหาลัย ผมก็เดาออกแล้วว่าต้องเป็นเรื่องนี้

“ยังไม่ได้ออกครับ” ผมทำเสียงและสีหน้าปกติ ยิ้มเล็กน้อยให้ผู้อาวุโสกว่าสองคนที่นั่งอยู่

“อ้าว สัญญากันแล้วไม่ใช่เหรอ” ผู้จัดละครหน้าสวยย่นคิ้วเข้าหากัน แววตาดูกังขาอย่างที่สุด

“ครับ แต่พี่อาร์ตไม่ยอมให้ผมไปอยู่ที่อื่น” ผมยืดหลังตรง เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ส่งสัญญาณให้สองคนนั้นรู้ว่าจะมาข่มผมไม่ได้ง่ายๆ

“เธอจะบอกฉันเหรอว่าอาร์ตเขารักเขาหลงเธอ” แอดมินแฟนเพจอาร์ตเลิฟเวอร์สเสียงแข็ง ดวงตาคู่นั้นของเธอก็แข็งพอๆ กัน

“ผมคงไม่กล้าอวดตัวเองขนาดนั้นหรอกครับพี่นง” ผมยังทำหน้านิ่ง แต่ที่จริงก็รู้แล้วว่าสงครามกำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า

“แล้วทำไมยังไม่ย้ายออกไปอีกล่ะ” พี่แอนชักหงุดหงิด เธอกอดอกและกระแทกแผ่นหลังลงบนโซฟา หน้าตาบอกบุญไม่รับ แถมยังจ้องหน้าผมอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ

“เห็นไหมว่ายอดฟอลโลวไอจีกับแฟนเพจของอาร์ตลดลงไปเยอะแค่ไหน ละครที่เพิ่งออกอากาศไปเรตติ้งก็ตก ไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ ไม่คิดจะช่วยกันเลยเหรอ ทำไมเห็นแก่ตัวแบบนี้!” พี่นงต่อว่าเสียงดังจนเกือบเหมือนตวาดในตอนท้าย

“เห็นแก่ตัวยังไงเหรอครับ” ผมหันไปมองพี่นงด้วยแววตาท้าทาย

พี่นงถลึงตาและชี้หน้าผมทันที “อย่ามาย้อนฉันนะ ฉันไม่ใช่เพื่อนเล่นของเธอ”

“ใจเย็นๆ นง” พี่แอนหันไปปรามคนข้างๆ ก่อนหันมาสบตาผม แต่แววตาแทบไม่ต่างจากพี่นงเลย เธอถอนหายใจแรงๆ และถามผมด้วยท่าทางขัดใจ “เธอรักอาร์ตเหรอ”

“ถ้าผมกับพี่อาร์ตจะรักกัน มันผิดเหรอครับ” ผมย้อนถามพี่แอนบ้าง แม้จะรู้ดีว่าอาจทำให้อีกฝ่ายยิ่งโมโห

“อาร์ตเขาไม่รักเกย์อย่างเธอหรอกนะ!” พี่นงชิงพูด ดูเธอโมโหมากจนพี่แอนต้องคอยจับแขนเธอไว้ ไม่อย่างนั้นอาจจะปรี่มาทำร้ายผมได้

“พี่รู้ได้ยังไงล่ะครับ” ผมหันไปย้อนพี่นงอีกครั้ง

“ฉันรู้จักอาร์ตมาหลายปีแล้ว อย่ามาสู่รู้” พี่นงกระแทกเสียง ปากสั่นมือสั่นอย่างเห็นได้ชัด “เขาชอบผู้หญิงมาตลอด เธอก็น่าจะได้ยินข่าวเขามาบ้างไม่ใช่เหรอว่ามีสาวๆ มาชอบเขาเยอะขนาดไหน อาร์ตไม่มีทางชอบเกย์หรอก ไม่มีทาง!”

ผมหัวเราะเบาๆ และมองพี่นงคล้ายสมเพช “ทำไมพี่นงมั่นใจขนาดนั้นล่ะครับ”

“อย่ามาทำหน้าแบบนี้ใส่ฉันนะ” พี่นงถลึงตาใส่ผมอีก “สิบปีที่เขาอยู่ในวงการ เขามีแฟนเป็นผู้หญิงมาตลอด คนทั่วไปไม่รู้ แต่พวกเรารู้กันหมดแหละ อีกอย่าง…ถึงอาร์ตจะเจ้าชู้แค่ไหน เขาก็ไม่เคยหน้ามืดเอาเกย์มานอนด้วย”

“เรื่องนั้นผมไม่รู้หรอก ผมไม่ได้อยู่ใต้เตียงพี่อาร์ต” ผมประชดสวนไป ทำเอาพี่นงถึงกับชะงักและดูหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม เมื่อได้ทีแล้วผมก็ไล่ต่อ

“ผมรู้จักพี่อาร์ตมาตั้งแต่ผมอยู่มอหนึ่ง จากความสนิทสนมแบบรุ่นพี่รุ่นน้อง วันหนึ่งมันก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นความรู้สึกอีกแบบหนึ่ง ใช่ครับ พี่อาร์ตเขาชอบผู้หญิง เขามีแฟนเป็นผู้หญิงมาตลอด ผมไม่เถียง แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะไม่รู้สึกอะไรกับผู้ชายคนหนึ่งที่เขาคอยห่วงคอยดูแล ผมมั่นใจว่าผมไม่ได้คิดไปเอง ผมสัมผัสได้ว่าพี่อาร์ตรู้สึกอะไรบางอย่าง แต่เขาพูดไม่ได้ แสดงออกไม่ได้ เพราะยุคนั้นมันยังไม่เปิดกว้าง”

ผมเว้นจังหวะและมองสีหน้าตื่นตะลึงของทั้งสองคนด้วยความรู้สึกสะใจนิดๆ “ที่ผมเล่าเรื่องนี้ให้พี่สองคนฟัง ผมแค่จะบอกว่า…พี่อาร์ตเขาเคยชอบผู้ชายมาก่อน ถึงเขาจะคบผู้หญิง มีอะไรกับผู้หญิง แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะชอบผู้ชายไม่ได้ เขาเคยชอบมาแล้ว ถ้าพี่นงไม่เชื่อที่ผมพูด ก็ลองถามพี่อาร์ตดูสิครับ”

“ตอแหล!” พี่แอนเผลอสบถ ดูเหมือนว่าคราวนี้เธอจะเป็นฝ่ายอดรนทนไม่ไหวเสียเอง

“จะหาว่าผมตอแหลก็ได้ครับ แต่คนที่ตอบเรื่องนี้ได้ดีกว่าผมก็คือพี่อาร์ต ผมน่ะได้คำตอบจากพี่อาร์ตแล้ว ว่าแต่พี่แอนกับพี่นงจะกล้าถามเขาหรือเปล่าล่ะครับ”

“นี่…” พี่แอนไม่รู้จะเถียงอะไร ก็เลยได้แต่ทำท่าทางไม่ได้อย่างใจ

“ผมรู้ว่าพี่สองคนหวังดีกับพี่อาร์ตนะครับ” ผมทำเสียงจริงจังเพื่อเรียกความสนใจกลับมา “แต่พี่ก็อย่าลืมสิครับว่าพี่อาร์ตก็ควรมีพื้นที่ส่วนตัวของตัวเองบ้าง พี่สองคนไม่ได้อยู่กับเขาตลอดชีวิตนะครับ วันหนึ่งพี่สองคนก็จะมีพระเอกใหม่มาแทน พี่อาร์ตก็จะเป็นแค่อดีตพระเอกแก่ๆ คนหนึ่ง เปลี่ยนไปเล่นบทพ่อ ไม่ได้มีแฟนคลับมากมายเหมือนเมื่อก่อน แล้วชีวิตที่เหลือของพี่อาร์ตจะเป็นยังไงครับ วันไหนที่เขาหมดชื่อเสียง เขาจะอยู่กับใคร ชีวิตเขาจะเป็นยังไง พี่สองคนไม่คิดบ้างเหรอครับว่าพี่อาร์ตก็อยากมีใครสักคนไว้ดูแลกัน เขาก็อยากอยู่กับคนที่เขารักเหมือนคนอื่นๆ”

พี่แอนกับพี่นงขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ทว่าก็ยังนึกคำที่จะเถียงไม่ออก ผมจึงพูดต่อ “ที่จริงก็ไม่จำเป็นต้องเป็นผมหรอกนะครับ แต่ไม่ว่าพี่อาร์ตจะรักใคร พี่สองคนก็ไม่ควรมากีดกัน พี่อาร์ตจะสี่สิบแล้วนะครับ เขาเลือกชีวิตของตัวเองได้ เขารับผิดชอบได้ เขาไม่ใช่เด็กแล้วนะพี่”

จะว่าไปผมก็พูดเหมือนสอนผู้ใหญ่เลย แต่ช่างเถอะ ผู้ใหญ่บางคนก็จำเป็นต้องมีคนให้แง่คิด หรือถูกท้าทายให้คิดบ้าง ไม่งั้นก็จะไม่ฟังใครเลย ยิ่งคนรอบตัวพากันหงอก็ยิ่งได้ใจ

พี่แอนลุกขึ้นยืน ตัวสั่นเทิ้มด้วยความโกรธจัด เธอตวาดลั่นและชี้หน้าผม “เออ ฉันรู้ว่าฉันไม่ควรเสือก แต่ถ้ามันไม่กระทบฉัน ฉันก็ไม่มาเสือกให้เสียเวลาหรอก แต่นี่มันกระทบฉันเต็มๆ บริษัทฉันด้วย ลูกน้องฉันด้วย ละครของฉันด้วย เธอไม่ต้องมาสั่งสอนฉัน เด็กเมื่อวานซืนอย่างเธอจะรู้อะไร เคยทำธุรกิจอะไรมาก่อนไหมถึงมารู้ดีแบบนี้!”

เมื่อพี่แอนสติหลุด พี่นงก็เอาบ้าง เธอลุกขึ้น ชี้หน้าผมและขึ้นมึงขึ้นกู “แหม…มึงนี่ ต่อหน้าอาร์ตนี่ทำเป็นเรียบร้อย หงิมๆ ติ๋มๆ อะไรก็ได้ แต่ลับหลังนี่ร้ายไม่ใช่เล่นเลยนะมึง มึงคิดจะจับอาร์ตใช่ไหมล่ะ เห็นเขาหล่อเขารวยล่ะสิ อย่าคิดว่ากูไม่รู้ กูเห็นมึงแค่แวบแรกกูก็รู้แล้วว่ามึงต้องเป็นคนแบบนี้ แต่กูขอเตือนมึงนะ อย่าหวังสูงให้มันมากนัก อาร์ตน่ะเขาไม่เอามึงหรอก หัดเจียมกะลาหัวซะบ้าง ไอ้เกย์หน้าเงิน!”

ผมยอมรับว่าหน้าชาไปเหมือนกัน เพราะตั้งแต่เกิดมาไม่เคยถูกใครด่าแบบนี้เลย โดยเฉพาะเรื่องเงินๆ ทองๆ ผมไม่เคยคบผู้ชายคนไหนเพราะเรื่องนี้ พี่อาร์ตก็เช่นกัน แม้รู้ว่าเขายินดีให้เงินผมใช้ แต่ผมก็ไม่เคยขอสักบาท

ผมเชิดหน้าขึ้นและยกยิ้มเล็กน้อย “ถ้าพี่อาร์ตเขายอมให้ผมจับ มันก็ไม่แปลกนี่ครับ เพราะที่ผ่านมาก็มีผู้หญิงพยายามจับพี่อาร์ตหลายคน ผมก็ไม่เห็นพวกพี่สองคนจะเดือดร้อนอะไรนี่ครับ”

“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น!” พี่แอนขัดขึ้นทันที ดูเหมือนเธอจะหมดความอดทนเต็มแก่ คงไม่ต้องการฟังคำอธิบายหรือการโต้เถียงใดๆ จึงรีบเข้าเรื่องเพื่อปิดงานนี้ให้เร็วที่สุด “เอาเป็นว่า เธอต้องเลิกยุ่งกับอาร์ตได้แล้ว ฉันให้เวลาเธอสามวัน เก็บของออกจากบ้านอาร์ตซะ ไม่อย่างนั้นจะหาว่าฉันไม่เตือน!”

“พี่แอนคงต้องคุยกับพี่อาร์ตเองแล้วล่ะครับ” ผมย้อนเสียงเรียบ ทว่าก็ทำเอาพี่แอนชะงัก

“งั้นก็บอกมาว่าเธออยากได้เท่าไหร่” พี่แอนยื่นข้อเสนอที่ผมเดาว่าเธอน่าจะเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว ถึงผมจะไม่ค่อยได้ดูละครเท่าไหร่ แต่ก็จำได้ว่ามีเหตุการณ์แบบนี้ในละครหลายเรื่อง

“ไม่เป็นไรครับ” ผมยิ้มเย้ยเล็กน้อย “ถ้าวันไหนผมอยากได้เงิน ผมก็แค่อ้อนพี่อาร์ตนิดๆ หน่อยๆ ก็ได้แล้ว เผลอๆ ได้เยอะกว่าที่พี่จะให้ผมด้วยมั้งครับ”

“นี่มันจะมากไปแล้วนะไอ้เกย์หน้าเงิน” พี่นงเดินเข้ามาหาผม ท่าทางกะจะเอาเรื่องเต็มที่ “สิ่งที่มึงทำอยู่น่ะ มันกระทบคนอื่นรู้ไหม หัดเห็นใจคนอื่นบ้างสิ มึงรู้ไหมว่าพวกกูลงทุนไปกับอาร์ตเท่าไหร่ อาร์ตได้เงินเพราะพวกกูไปเท่าไหร่ แม้กระทั่งเพจที่กูทำอยู่นี่ มึงคิดว่ามันไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรเหรอ กูต้องจ้างคนมาทำ เวลามีกิจกรรมกูก็ต้องหาเงินมาช่วย แต่ตอนนี้มันพังหมดแล้ว เพราะมึงไง มึงไม่รู้ตัวอีกเหรอว่ามึงน่ะมันเป็นตัวปัญหา ออกไปจากชีวิตอาร์ตซะ มึงอย่าเห็นแก่ตัวให้มันมากนัก อาร์ตเขาเป็นพระเอก เขามีภาพลักษณ์ของเขา อย่ามาทำลายชุ่ยๆ แบบนี้ กว่าเขาจะสร้างมาได้ขนาดนี้ มึงรู้ไหมว่ามันไม่ใช่ง่ายๆ มันใช้เวลา มันใช้เงิน มันต้องลงทุน เขียนด้วยมือดีๆ มึงจะเอาตีนมาลบแบบนี้ไม่ได้!”

ท่าทางเกรี้ยวกราดของพี่นงทำเอาผมใจสั่นไปบ้าง แต่ผมก็ยังทำใจดีสู้เสือ “ผมรู้ครับว่าพวกพี่ได้รับผลกระทบ แต่จะให้พี่อาร์ตรับผิดชอบด้วยการเลิกยุ่งกับคนที่เขารัก มันไม่มากไปหน่อยเหรอครับ พวกพี่สองคนกับพี่อาร์ตก็พึ่งพาอาศัยกันมาหลายปีแล้ว ควรจะช่วยเหลือกันยามยากไม่ใช่เหรอครับ แต่นี่พอเกิดปัญหา พวกพี่สองคนกลับคิดถึงแต่ตัวเอง ทำไมไม่คิดถึงพี่อาร์ตบ้างล่ะครับ ทำไมต้องบังคับเขามากขนาดนี้ จะมีปัญหามากขนาดไหนมันก็ต้องคิดถึงความรู้สึกกันบ้าง ไม่ใช่คิดถึงแต่ผลประโยชน์ของตัวเอง พี่อาร์ตเขายินดีรับผิดชอบทุกอย่าง จะให้เขาทำอะไรเขาก็ยอม แต่จะให้เขาทิ้งคนที่เขารักไป มันไม่เกินไปเหรอครับ ทำไมต้องให้เขาทำขนาดนี้ด้วย ถ้าพี่สองคนเป็นพี่อาร์ตบ้าง พี่สองคนจะยอมไหมล่ะครับ ถ้าพี่มีแฟนอยู่ พี่จะยอมทิ้งแฟนของตัวเองหรือเปล่า ทำไมไม่หาทางออกด้วยวิธีอื่นล่ะครับ”

เมื่อเจอผมใส่อารมณ์เข้าไปบ้าง พี่แอนกับพี่นงก็ถึงกับอึ้ง แต่ก็ไม่แน่ใจว่าเข้าหูมากแค่ไหน ไม่รู้ล่ะ ในเมื่อมีโอกาสพูดแล้วผมก็จะพูดให้หมด

“ที่ผมยอมมาหาพี่สองคนน่ะ ไม่ใช่เพราะผมอยากจะมาหาเรื่องหรือมาเพื่อปกป้องสิทธิ์ของตัวเอง ไม่ต้องสนใจหรอกว่าผมหน้าเงินหรือไม่หน้าเงิน เพราะผมบอกแล้วว่ามันไม่จำเป็นต้องเป็นผม แต่ผมมาที่นี่ก็เพื่อพี่อาร์ต ผมบอกตรงๆ ว่าผมไม่ชอบความไม่ยุติธรรมแบบนี้ พี่อาร์ตก็ได้แต่น้ำท่วมปาก เขาพูดแบบผมไม่ได้ เพราะเขาเกรงใจพวกพี่สองคน แต่พี่สองคนกลับอาศัยความเกรงใจของพี่อาร์ตกดดันเขา เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ไม่มีตรงไหนเลยที่จะห่วงใยพี่อาร์ต ระวังนะครับ พี่อาร์ตเขาเป็นพระเอกดัง ในโลกนี้ก็ไม่ได้มีผู้จัดละครแค่คนเดียว ที่ไหนมันอยู่แล้วไม่สบายใจ เขาก็ไปอยู่ที่อื่นได้นะครับ” ผมถือโอกาสขู่ในตอนท้าย สองคนนั้นถึงกับหน้าซีดเลยทีเดียว

ค่าที่ทำงานกับชุมชนคนยากคนจนคนเล็กคนน้อยมาหลายปี ผมจึงไม่ชอบความไม่ยุติธรรมเป็นทุนเดิม แต่วันนี้ผมกลับได้เห็นว่าคนรวยๆ ก็อาจไม่ได้รับความยุติธรรมเหมือนกัน เพียงแต่ต่างเรื่องต่างสถานการณ์กันเท่านั้น

ผมหรี่ตามองพี่แอนกับพี่นงและย้ำหนักแน่น “พี่อาร์ตให้เกียรติพวกพี่ พวกพี่ก็ควรให้เกียรติพี่อาร์ตบ้างนะครับ”

พูดจบผมก็ลุกพรวดออกไป ทว่าพี่นงก็ถลามาดักหน้าผมไว้ก่อน เธอผลักอกผมอย่างแรงจนเกือบล้ม ชี้หน้าขู่ผมอย่างโกรธจัด

“เลิกกับอาร์ตซะ! มึงอย่าคิดว่าจะทำลายสิ่งที่กูสร้างมากับมือได้ ถ้ามึงยังดื้ออยู่ กูไม่เอามึงไว้แน่ มึงอย่ามาท้าทายกูแบบนี้ รู้จักกูน้อยไปซะแล้ว!”

ยิ่งเห็นแบบนี้ ผมก็ยิ่งรู้สึกสงสารพี่อาร์ต แม้จะได้ยินมาบ้างว่าฉากหลังแวดวงนี้ไม่ได้สวยหรูอย่างที่คิด แต่ผมก็ไม่คิดว่ามันจะมีด้านมืดที่น่ากลัวขนาดนี้ ไม่รู้ว่าพี่อาร์ตอยู่กับคนพวกนี้มาเป็นสิบปีได้ยังไง

“พี่นงคิดว่าพี่อาร์ตเขาควรจะรู้สึกยังไงดีครับ ที่พี่นงทำกับคนที่เขารักลับหลังแบบนี้ กล้าทำ ก็กล้ารับสิ่งที่จะตามมาด้วยละกันนะครับ”

ผมเบี่ยงตัวหลบและรีบเดินออกมาจากบ้านนั้นทันที หากไม่จำเป็นก็คงจะไม่มาเหยียบอีก เอาเถอะ อย่างน้อยผมก็ได้พูดแทนพี่อาร์ตไปหลายเรื่อง คงทำให้พี่สองคนนั้นได้คิดบ้างไม่มากก็น้อย หรือต่อให้คิดไม่ได้ อย่างน้อยได้รู้ไว้บ้างก็ยังดี

… … …

ผมมาถึงบ้านพี่อาร์ตตอนเกือบหกโมง พี่อาร์ตไปงานประมูลภาพวาดยังไม่กลับ แต่น่าจะกลับมาถึงราวๆ หกโมงเย็น จะชวนพี่เพชรมากินข้าวด้วย

ผมตั้งใจไว้แล้วว่าวันนี้จะทำแกงผักแปมใส่เนื้อให้พี่อาร์ตกิน เพราะเจ้าตัวบ่นอยากกินมาหลายวันแล้ว ตอนแรกที่ได้ยินว่าพี่อาร์ตอยากกินอะไรผมก็มืดแปดด้าน เพราะแกงชนิดนี้หากินยากมาก พี่อาร์ตเคยกินตอนไปบ้านผมนั่นแหละ

บังเอิญว่าพี่ที่ทำงานของพี่เมี่ยงจะขึ้นเครื่องมาประชุมที่กรุงเทพ พอพี่เมี่ยงรู้จากผมว่าพี่อาร์ตอยากกินแกงผักแปม พี่เมี่ยงก็รีบไปหาผักแปมและฝากพี่คนนั้นมาให้ผม ส่วนเครื่องปรุงอื่นๆ ผมพอหาได้ไม่ยาก ที่จริงผมก็ทำแกงนี้ไม่เป็นหรอก แต่ยูทูบช่วยได้ ผมดูๆ ไว้บ้างแล้ว ไม่น่าทำยาก

ผมสลัดความเครียดที่ติดมาจากบ้านพี่แอนทิ้งไป เข้าครัวแล้วก็เอาผักแปมในตู้เย็นมาเด็ดเอาแต่ใบอ่อน เวลาเด็ดต้องระวังเป็นพิเศษเพราะผักแปมมีหนามแหลม เด็ดหมดผมก็ปอกหอมแดงเตรียมไว้ เอาเนื้อแดดเดียวมาย่างให้หอม ย่างถั่วเน่าไว้ด้วย จากนั้นก็ล้างผักแปมและมะเขือเทศ บ้านผมเรียกว่ามะเขือส้มเพราะมีรสส้มหรือรสเปรี้ยว

ผมตั้งน้ำไว้รอเดือด ระหว่างนั้นก็ตำพริกแห้งยี่สิบเอ็ดเม็ด ตามความเชื่อของคนเหนือ เวลาใส่พริกต้องใส่เป็นเลขคี่ ถ้าเป็นเลขคู่จะไม่อร่อย พอพริกเริ่มแหลกผมก็ใส่เกลือ ถั่วเน่า โขลกให้เข้ากัน ตามด้วยกะปิและปลาร้า เมื่อเข้ากันดีแล้วก็เอาพริกแกงไปใส่ในน้ำเดือด สักพักก็ใส่มะเขือเทศหั่น รสเปรี้ยวของมันจะตัดกับรสขมของผักแปมเป็นอย่างดี ตามด้วยเนื้อย่าง และปิดท้ายด้วยการใส่ผักแปม ที่จริงต้องใส่ลูกโดดหรือพริกเป็นเม็ดๆ ด้วย แต่พี่อาร์ตกินเผ็ดมากไม่ได้ ผมก็เลยว่าจะเอาลูกโดดไปต้มต่างหากและแยกใส่เฉพาะของผม

นอกจากแกงผักแปมแล้ว ผมก็จะย่างไส้อั่ว ไข่ป่าม ทำน้ำพริกหนุ่มและเตรียมแคบหมูเอาไว้ด้วย แต่คงไม่ทำอะไรเพิ่มมาก เพราะส่วนใหญ่พี่อาร์ตกินไม่เป็น แต่ก็น่าแปลกที่ชอบกินแกงผักแปม น่าจะเคยกินแค่สองสามครั้งเท่านั้น เพราะแม่ไม่ค่อยทำให้กินเท่าไหร่ กระนั้นพี่อาร์ตก็ยังอุตส่าห์จำได้

คงเป็นเพราะรถติด พี่อาร์ตกับพี่เพชรจึงมาถึงช้าเกือบครึ่งชั่วโมง นั่งพักคุยกันเล็กน้อยเราก็มาล้อมวงที่โต๊ะอาหาร เมื่อเห็นว่ามีอาหารที่อยากกินมานานวางอยู่บนโต๊ะ พี่อาร์ตก็ตาโต

“แกงผักแปมเหรอม่อน”

“ครับ” ผมหันไปยิ้มกับคนที่นั่งข้างๆ

“โห ไม่ได้กินมายี่สิบปีแล้วนะเนี่ย ม่อนไปหามาจากไหน ในกรุงเทพมีผักนี้ขายด้วยเหรอ พี่ไม่เคยเห็นเลย”

“พอดีผมคุยกับพี่เมี่ยงว่าพี่อาร์ตอยากกิน พี่เมี่ยงก็เลยไปหามาให้ ตอนแรกว่าจะส่งพัสดุมานั่นแหละ แต่ผมกลัวมันเน่าระหว่างทาง ทีนี้ บังเอิญว่าเพื่อนที่ทำงานของพี่เมี่ยงเขามาประชุมที่กรุงเทพพอดี พี่เมี่ยงก็เลยฝากพี่เขามาให้ผมน่ะครับ”

“โห แฟนใครเนี่ย น่ารักจัง” พี่อาร์ตชมพลางเอามือลูบผมของผมเบาๆ

พี่เพชรนั่งดูอยู่ เจ้าตัวก็เลยกระแอมและสัพยอก “อะแฮ่ม หวานจังเลยนะครับคุณอาร์ต”

“เออ ให้กูหวานมั่งไม่ได้หรือไงวะ กูไม่ได้มีลูกมีเมียเหมือนมึงนะเว้ย ไม่ได้มีใครมาให้หวานด้วยทุกวัน” พี่อาร์ตหันไปพูดหยอกกับเพื่อนอย่างอารมณ์ดี

“อ๋อเหรอ ม่อนเชื่อมันไหมเนี่ย” พี่เพชรหันมาถามผมยิ้มๆ

ผมหัวเราะและส่ายหน้าไปมา พี่เพชรก็เลยหันไปแซวพี่อาร์ตต่อ

“เห็นไหม ม่อนยังไม่เชื่อเลย จะให้กูแฉไหมว่ามึงมีน้องอะไรมาอยู่เป็นเพื่อนบ้าง กูจดชื่อไว้หมดแล้ว มีเป็นร้อยแล้วมั้งเนี่ย”

“เว่อร์แล้วมึง” พี่อาร์ตท้วง สีหน้าไม่จริงจังนัก

“ไม่เว่อร์เลย จะให้กูแฉด้วยไหมว่าถ้านับรวมสาวๆ ที่มึงหิ้วมาด้วยตอนเมา กูว่าเกินร้อยอีก”

“พอๆ เลยมึง กูเลิกหมดแล้วเว้ย”

“เออ กูจะคอยดู” พี่เพชรขำ

“เดี๋ยวผมตักข้าวให้นะครับ”

ผมบอกแล้วก็ลุกขึ้นไปตักข้าวให้พี่เพชรก่อน ระหว่างนั้นพี่อาร์ตก็เล่า

“เมื่อก่อน ม่อนเขาไม่เคยทำแบบนี้เลยนะเพชร ตอนเด็กๆ ที่บ้านเขาไม่ให้เข้าครัว ไม่ให้ซักผ้าเอง ไม่ให้ทำงานบ้าน แม่กับพี่สาวดูแลให้เกือบหมด”

“ทำไมวะ” พี่เพชรหันมาถามอย่างสนใจ

“ที่บ้านเขากลัวผมเป็นเกย์ไงพี่ เขาก็เลยไม่ให้ผมทำงานบ้าน เขาชอบให้ผมไปเล่นกับพวกผู้ชายแถวบ้าน ยิงนก ตกปลา เตะบอล ในบ้านผมมีแต่ผู้หญิง เพราะว่าแม่เลิกกับพ่อตั้งแต่ผมยังสองสามขวบ แม่เขาเคยอ่านหนังสือเจอว่าครอบครัวไหนให้ลูกชายอยู่กับผู้หญิง เด็กจะมีโอกาสเบี่ยงเบนทางเพศสูง เขาก็เลยกลัว ไม่ค่อยอยากให้ผมอยู่บ้าน หรือไม่ก็ให้เพื่อนๆ ผู้ชายมาเล่นด้วยที่บ้าน ตอนหลังพอรู้จักกับพี่อาร์ต แม่กับพี่สาวก็ให้พี่อาร์ตมาเล่นกับผมบ่อยๆ พาผมไปนั่นไปนี่ แต่สุดท้าย…ผมก็ยังเป็นเกย์อยู่ดี” ผมถือโอกาสเล่าแทนและขำตอนท้าย

พี่เพชรพยักหน้ารับรู้ แต่ก็ดูเหมือนจะอึ้งไม่น้อย

“ม่อนเขาเคยไปทำงานที่เวียงจันทน์หลายปี พออยู่คนเดียว เขาต้องดูแลตัวเองทุกอย่าง อะไรที่ไม่เคยทำเองก็ต้องทำ เดี๋ยวนี้ทำเป็นหมด กวาดบ้าน ถูบ้าน ซักผ้า ล้างจาน ทำอาหาร” พี่อาร์ตเสริม

“อ๋อ กูถึงว่าหลังๆ นี้บ้านมึงสะอาดขึ้นเยอะเลย” พี่เพชรแหย่ พี่อาร์ตก็เลยท้วง

“ไม่ใช่เว้ย ก็ยังจ้างเขามาทำความสะอาดเหมือนเดิมนั่นแหละ บ้านใหญ่ขนาดนี้ ม่อนทำคนเดียวไม่ไหวหรอก”

ผมเดินมาตักข้าวใส่จานให้พี่อาร์ต เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมายิ้มเป็นเชิงขอบคุณ จากนั้นผมจึงตักให้ตัวเองและนั่งลง ยังไม่มีใครตักข้าวกินเพราะรอผมอยู่ ผมจึงต้องรีบเชื้อเชิญ

“เชิญเลยครับ”

นั่นแหละ ทุกคนจึงเริ่มตักอาหารมาใส่จาน พี่อาร์ตตักแกงผักแปมมาชิม พลันแววตาก็เป็นประกาย แสดงว่ารสชาติต้องถูกใจแน่ๆ

“อร่อยมากเลยม่อน รสชาติเหมือนที่น้าหมิวทำเลย”

“พี่อาร์ตยังจำได้อีกเหรอ ผมยังจำไม่ได้เลย ถ้าวันนั้นพี่อาร์ตไม่พูดถึงเนี่ย ผมก็ลืมไปแล้วว่าเคยกิน” ผมสัพยอก

“ปกติมึงไม่ค่อยกินอาหารแบบนี้ไม่ใช่เหรอวะอาร์ต กินแต่ของจืดๆ” พี่เพชรมองเพื่อนอย่างแปลกใจ

“เออ ก็ไม่ค่อยกินหรอก กูเป็นลูกคนจีนนี่หว่า แต่บางอย่างกูก็กินเว้ย อย่างแกงผักแปมน่ะ กูก็ไม่คิดจะกินหรอก แต่วันนั้นกูไปวาดรูปที่บ้านม่อนไง วาดเพลินเลย พอเงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็หิวมาก ตอนนั้นอยู่กับม่อนสองคน ไปดูในครัวก็เห็นแต่แกงผักแปมอยู่อย่างเดียว มันหิวไง กูก็เลยลองกินดู ปรากฏว่ามันอร่อยเว้ย ผักแปมมันขมๆ แต่พอใส่มะเขือเทศมันก็จะเปรี้ยวๆ ตัดกันดี กูก็บอกไม่ถูกว่ะ ยิ่งถ้าแกงกับเนื้อย่าง มันจะยิ่งอร่อยเป็นพิเศษ มึงลองกินดูสิ”

“เออ กูเป็นเด็กบ้านนอก อาหารแปลกๆ พวกนี้กูกินเป็นอยู่แล้วเว้ย”

พี่เพชรว่า จากนั้นก็ตักแกงผักแปมมาใส่จานบ้าง ทันทีที่ตักใส่ปาก เจ้าตัวก็ยิ้มพอใจ กลืนลงคอไปแล้วก็หันมาเอ่ยชม

“เออ อร่อยจริงว่ะ”

“กูบอกแล้วว่ามึงต้องชอบ” พี่อาร์ตถือโอกาสคุย ทว่าพี่เพชรก็ไม่วายแซว

“มีแฟนทำอาหารอร่อยแบบนี้นี่เอง ถึงว่าเดี๋ยวนี้มึงไม่ค่อยออกไปเกเรข้างนอก”

“เออ” พี่อาร์ตยอมรับแต่โดยดี “ตั้งแต่ม่อนมาอยู่ด้วยเนี่ย กูได้กินอาหารเหนือที่กูชอบหลายอย่างเลย ตอนเช้ากูทำอาหารจีนให้ม่อนกิน ตอนเย็นม่อนก็ทำอาหารเหนือให้กูกิน”

“แต่พี่อาร์ตก็กินได้ไม่กี่อย่างเองนะครับ” ผมแย้งพลางขำ “ไส้อั่วก็ไม่ค่อยกิน กินได้แค่แกงฮังเล ข้าวซอย ไข่ป่าม น้ำพริกอ่องน้ำพริกหนุ่มพอได้ แต่ก็ไม่ชอบ แกงอะไรแปลกๆ นี่ก็ไม่กินเลย ยกเว้นแกงผักแปม ลาบคั่วก็ไม่กิน ไก่ทอดมะแขว่นก็ไม่กิน แกงแคไม่กิน แกงหน่อไม่กิน”

“แล้วมึงรอดชีวิตตอนอยู่เชียงใหม่มาได้ไงวะเนี่ย อะไรก็ไม่กินกับเขาสักอย่าง” พี่เพชรหันไปหัวเราะเพื่อน

“หม่าม้าป่าป๊ากูไง” พี่อาร์ตตอบ จากนั้นก็หันมาทางผม “แล้ววันนี้ม่อนเรียนเป็นไงบ้าง”

ผมชะงักเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะเรื่องเรียนเป็นความลับ แต่ผมกำลังนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นหลังเลิกเรียนต่างหาก ไม่รู้ว่าผมควรจะเล่าให้พี่อาร์ตฟังดีหรือเปล่า

“ก็ดีครับ ก็เหมือนทุกวัน” ผมตอบยิ้มๆ ก่อนถามกลับ “แล้ววันนี้ได้เงินเยอะไหมครับ”

“ก็เยอะอยู่นะ ภาพวาดของอาร์ตได้ราคาสูงสุดในงานเลย หกแสนบาทแน่ะ สุดยอด” พี่เพชรเล่าอย่างชื่นชม แต่สักพักก็ทำท่าครุ่นคิด “เออ แต่แปลกนะ งานนี้ไม่เห็นพี่นงเลย ปกติอาร์ตไปไหนเขาก็จะพาแฟนคลับตามไปเชียร์ตลอด แต่งานนี้ไม่มาแฮะ”

“เขาก็ยังเคืองกูอยู่นั่นแหละ” พี่อาร์ตรีบบอกเพื่อน

พี่เพชรมองผมกับพี่อาร์ตอย่างใช้ความคิด คล้ายกับมีเรื่องจะบอกแต่ไม่กล้าบอก แต่สักพักก็ต้องเอ่ยปากเพราะเจอสายตาของผมกับพี่อาร์ตที่มองด้วยความอยากรู้

“วันนี้…พี่แอนโทรมาหากูว่ะ” พี่เพชรเกริ่นด้วยสีหน้าไม่มั่นใจ

ผมกับพี่อาร์ตหันมาสบตากันโดยบังเอิญ ผมรับรู้ได้ทันทีว่าพี่อาร์ตกังวล ช่วงหลังๆ มานี้พี่แอนดูมึนตึงกับพี่อาร์ตไปมาก เพราะเรตติ้งละครเรื่องใหม่ไม่ดี แถมยอดฟอลโลวบนไอจีและแฟนเพจก็ยังลดลงเรื่อยๆ แม้ว่าหลังๆ จะลดลงไม่มากก็ตาม ด้วยเหตุนี้ ผมจึงโดนเรียกไปเชือดถึงที่ ในฐานะที่เป็นตัวต้นเหตุ

“โทรมาเรื่องอะไรเหรอ” พี่อาร์ตหันไปถามเพื่อนรัก

พี่เพชรวางช้อนส้อมลงชั่วคราว ท่าทางดูหนักใจไม่น้อย “เขาถามกูว่า…ม่อนย้ายออกไปหรือยัง”

พี่อาร์ตหันมาสบตาผมอีกครั้ง แววตาหวาดหวั่นของพี่อาร์ตฉายชัด ผมจึงแอบดึงมือพี่อาร์ตมาบีบให้กำลังใจเบาๆ สีหน้าของเขาจึงเริ่มดีขึ้นและพอยิ้มอ่อนๆ ได้

“กินข้าวกันก่อนดีกว่า อย่าคุยเรื่องเครียดๆ เอาไว้คุยทีหลังดีกว่า มึงลองกินไข่ป่ามดูไหมเพชร อร่อยนะเว้ย”

พี่อาร์ตตักไข่ป่ามส่งให้เพื่อนอย่างกุลีกุจอ ดูก็รู้ว่าพยายามกลบเกลื่อนความกังวล พี่เพชรก็คงดูออกแหละ

หลังจากส่งพี่เพชรกลับบ้าน ผมกับพี่อาร์ตก็เดินเข้ามาข้างในบ้านด้วยกัน เมื่อเพื่อนไปพี่อาร์ตก็ดูเครียดมากขึ้น คงเป็นเรื่องพี่แอนนั่นแหละ

ก่อนขึ้นบันได พี่อาร์ตหยุดเดินและหันมาเผชิญหน้ากับผม เขาถอนหายใจระบายความเครียด เลียริมฝีปากที่ดูแห้งๆ ก่อนเอื้อนเอ่ยสิ่งที่อยู่ในใจ

“พี่คิดว่าหลังจากนี้ พี่แอนกับพี่นงคงไม่ยอมให้พี่กับม่อนอยู่ด้วยกัน พี่แอนน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่พี่นงไม่ยอมแน่ๆ พี่แอนก็เชื่อเขาไปหมด" พี่อาร์ตถอนหายใจอีก เขาดูเครียดจนน่าสงสาร "แต่ไม่ว่ายังไง…พี่ก็จะไม่ให้ม่อนไป พี่จะดูแลปกป้องม่อนเอง ม่อนจะไหวหรือเปล่า พี่เป็นห่วงม่อน พี่กลัวม่อนจะไม่ไหว วงการนี้…คนดีๆ ก็พอมี แต่คนไม่ดีก็เยอะ ยิ่งเป็นเรื่องผลประโยชน์ เขาเอาเราตายเลย พี่นงทำเพจให้พี่ฟรีก็จริง แต่จำนวนคนติดตามเยอะขนาดนั้น เขาก็ได้เงิน ไม่ใช่ไม่ได้ เขาเอาเพจนั้นไปหาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองเท่าไหร่แล้ว ม่อนคิดดูละกันว่าเขาจะยอมไหมถ้าคนติดตามลดลง เพราะรายได้เขาก็หายไปด้วย”

เมื่อได้ฟังคำอธิบายจากพี่อาร์ต ผมก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมพี่นงถึงเกรี้ยวกราดกับผมขนาดนั้น แถมยังขู่ผมด้วยว่าได้เจอดีแน่ แสดงว่าคงไม่ใช่แค่ขู่แล้วล่ะ

ผมดึงมือพี่อาร์ตมาจับไว้ ยิ้มบางๆ เพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจ “ผมน่ะ…ไม่กลัวอุปสรรคหรอกครับพี่อาร์ต ให้ตายเพื่อรักแท้…ผมตายได้ แต่ถ้าเป็นรักหลอกลวง แค่ปลายเส้นผมผมก็จะไม่ยอมเสียให้”

“งั้นก็แสดงว่า…ม่อนรักพี่แล้วสิ” พี่อาร์ตเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มดีใจ แม้ว่าเรากำลังพูดเรื่องเครียดๆ อยู่ก็ตาม

“พี่อาร์ตอย่าเพิ่งกดดันผมสิ ผมยังไม่หายเจ็บดีเลยนะ” ผมทำเสียงกระเง้ากระงอด ดูไปก็เหมือนออเซาะแฟนนั่นแหละ

“ไม่เป็นไร พี่แค่ถามดู ม่อนยังไม่รักพี่ตอนนี้ก็ไม่เป็นไรหรอก พรุ่งนี้ไม่สายที่จะรักกัน” พี่อาร์ตเอาเนื้อเพลงเพลงหนึ่งมาพูดตอนท้าย ผมก็เลยเอาบ้าง

“งั้นผมก็…พรุ่งนี้จะไปกับเธอ หากเธอเป็นเธอคนเดิมได้นาน ไม่ทิ้งกันไปมีใจให้กัน อย่างฉันจะไปรักใคร”

เมื่อพี่อาร์ตรู้ว่าเป็นเพลงอะไร เขาก็ร้องตามผมในท่อนหลัง

“พรุ่งนี้จะไปกับเธอ หากเธอเป็นเธอที่ยังเข้าใจ ถ้าพร้อมจะรอไม่หนีกันไป พรุ่งนี้จะพาหัวใจ จะไปกับเธอ”

ร้องจบพี่อาร์ตก็กอดผมไว้ ผมหลับตาพริ้มด้วยความอุ่นใจเมื่อได้อยู่ในอ้อมกอดอุ่นๆ ที่คุ้นเคย เวลาคนเรามีใครสักคน มันก็รู้สึกอุ่นใจแบบนี้แหละ แม้ว่าพายุฝนตรงหน้าจะดูน่ากลัวแค่ไหน เราสองคนก็ไม่กลัวจะเผชิญกับมันด้วยกัน หากรักกันจริง อุปสรรคก็ไม่ใช่ปัญหา

ก็อย่างที่พี่ โบ สุนิตา บอกไว้ตั้งแต่ผมอายุสิบสี่ ตอนที่เพลงนี้เพิ่งออกมานั่นแหละ ถ้าพี่อาร์ตยังดีอยู่แบบนี้ อย่างผมจะไปรักใครได้ เอาเข้าจริงก็รักเขาไปแล้ว ไม่ต้องรอถึงพรุ่งนี้ด้วยซ้ำ

แต่ที่ยังไม่เปิดใจให้เต็มร้อยในวันนี้ เพราะผมยังกลัวว่าจะมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นเหมือนที่ผ่านมาอีก จะให้เจ็บกับเรื่องเดิมๆ อีกครั้งคงไม่ไหว

TBC…

เพลงแค่ได้คิดถึง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-01-2022 09:18:49 โดย Y-Lamoon »

ออฟไลน์ meteexp

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
 :hao5:

ออฟไลน์ Y-Lamoon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
เดี๋ยวมาอัปเดตนะครับ

ออฟไลน์ Y-Lamoon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
ตอนที่ 11 พรุ่งนี้จะไปกับเธอ


“เธอขนของออกจากบ้านอาร์ตหรือยัง”

น้ำเสียงเย็นเยียบถามมา แต่ฟังดูแล้วเหมือนไม่ใช่คำถามเท่าไหร่ ออกจะขู่ๆ ด้วยซ้ำ แต่ผมก็เตรียมตัวเตรียมใจมาก่อนแล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่มาหรอก เพราะผมก็รู้อยู่แล้วว่าจะต้องเจออะไร ตอนที่พี่นงมารับผมถึงมหาลัย ผมก็เดาออกแล้วว่าต้องเป็นเรื่องนี้

“ยังไม่ได้ออกครับ” ผมทำเสียงและสีหน้าปกติ ยิ้มเล็กน้อยให้ผู้อาวุโสกว่าสองคนที่นั่งอยู่

“อ้าว สัญญากันแล้วไม่ใช่เหรอ” ผู้จัดละครหน้าสวยย่นคิ้วเข้าหากัน แววตาดูกังขาอย่างที่สุด

“ครับ แต่พี่อาร์ตไม่ยอมให้ผมไปอยู่ที่อื่น” ผมยืดหลังตรง เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ส่งสัญญาณให้สองคนนั้นรู้ว่าจะมาข่มผมไม่ได้ง่ายๆ

“เธอจะบอกฉันเหรอว่าอาร์ตเขารักเขาหลงเธอ” แอดมินแฟนเพจอาร์ตเลิฟเวอร์สเสียงแข็ง ดวงตาคู่นั้นของเธอก็แข็งพอๆ กัน

“ผมคงไม่กล้าอวดตัวเองขนาดนั้นหรอกครับพี่นง” ผมยังทำหน้านิ่ง แต่ที่จริงก็รู้แล้วว่าสงครามกำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า

“แล้วทำไมยังไม่ย้ายออกไปอีกล่ะ” พี่แอนถามอย่างหงุดหงิด ดูจากสีหน้าท่าทางแล้ว เธอพร้อมจะใส่ผมไม่ยั้งได้ทุกเมื่อ

“เห็นไหมว่ายอดฟอลโลวไอจีกับแฟนเพจของอาร์ตลดลงไปเยอะแค่ไหน ละครที่เพิ่งออกอากาศไปเรตติ้งก็ตก ไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ ไม่คิดจะช่วยกันเลยเหรอ ทำไมเห็นแก่ตัวแบบนี้!” พี่นงต่อว่าเสียงดังจนเกือบเหมือนตวาดในตอนท้าย

“เห็นแก่ตัวยังไงเหรอครับ” ผมหันไปมองพี่นงด้วยแววตาท้าทาย

พี่นงถลึงตาและชี้หน้าผมทันที “อย่ามาย้อนฉันนะ ฉันไม่ใช่เพื่อนเล่นของเธอ”

“ใจเย็นๆ นง” พี่แอนหันไปปรามคนข้างๆ ก่อนหันมาสบตาผม แต่แววตาแทบไม่ต่างจากพี่นงเลย เธอถอนหายใจแรงๆ และถามผมด้วยท่าทางขัดใจ “เธอรักอาร์ตเหรอ”

“ถ้าผมกับพี่อาร์ตจะรักกัน มันผิดเหรอครับ” ผมย้อนถามพี่แอนบ้าง แม้จะรู้ดีว่าอาจทำให้อีกฝ่ายยิ่งโมโห

“อาร์ตเขาไม่รักเกย์อย่างเธอหรอกนะ!” พี่นงชิงพูด ดูเธอโมโหมากจนพี่แอนต้องคอยจับแขนเธอไว้ ไม่อย่างนั้นอาจจะปรี่มาทำร้ายผมได้

“พี่รู้ได้ยังไงล่ะครับ” ผมหันไปย้อนพี่นงอีกครั้ง

“ฉันรู้จักอาร์ตมาหลายปีแล้ว อย่ามาสู่รู้” พี่นงกระแทกเสียง ปากสั่นมือสั่นอย่างเห็นได้ชัด “เขาชอบผู้หญิงมาตลอด เธอก็น่าจะได้ยินข่าวเขามาบ้างไม่ใช่เหรอว่ามีสาวๆ มาชอบเขาเยอะขนาดไหน อาร์ตไม่มีทางชอบเกย์หรอก ไม่มีทาง!”

ผมหัวเราะเบาๆ และมองพี่นงคล้ายสมเพช “ทำไมพี่นงมั่นใจขนาดนั้นล่ะครับ”

“อย่ามาทำหน้าแบบนี้ใส่ฉันนะ” พี่นงถลึงตาใส่ผมอีก “สิบปีที่เขาอยู่ในวงการ เขามีแฟนเป็นผู้หญิงมาตลอด ถึงเขาไม่ค่อยอยากให้คนทั่วไปรู้ แต่พวกเรารู้กันหมดแหละ อีกอย่าง…ถึงอาร์ตจะเจ้าชู้แค่ไหน เขาก็ไม่เคยหน้ามืดเอาเกย์มานอนด้วย”

“เรื่องนั้นผมไม่รู้หรอก ผมไม่ได้อยู่ใต้เตียงพี่อาร์ต” ผมประชดสวนไป ทำเอาพี่นงถึงกับชะงักและดูหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม เมื่อได้ทีแล้วผมก็ไล่ต่อ

“ผมรู้จักพี่อาร์ตมาตั้งแต่ผมอยู่มอหนึ่ง จากความสนิทสนมแบบรุ่นพี่รุ่นน้อง วันหนึ่งมันก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นความรู้สึกอีกแบบหนึ่ง ใช่ครับ พี่อาร์ตเขาชอบผู้หญิง เขามีแฟนเป็นผู้หญิงมาตลอด ผมไม่เถียง แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะไม่รู้สึกอะไรกับผู้ชายคนหนึ่งที่เขาคอยห่วงคอยดูแล ผมมั่นใจว่าผมไม่ได้คิดไปเอง ผมสัมผัสได้ว่าพี่อาร์ตรู้สึกอะไรบางอย่าง แต่เขาพูดไม่ได้ แสดงออกไม่ได้ เพราะยุคนั้นมันยังไม่เปิดกว้าง”

ผมเว้นจังหวะและมองสีหน้าตื่นตะลึงของทั้งสองคนด้วยความรู้สึกสะใจนิดๆ “ที่ผมเล่าเรื่องนี้ให้พี่สองคนฟัง ผมแค่จะบอกว่า…พี่อาร์ตเขาเคยชอบผู้ชายมาก่อน ถึงเขาจะคบผู้หญิง มีอะไรกับผู้หญิง แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะชอบผู้ชายไม่ได้ เขาเคยชอบมาแล้ว ถ้าพี่นงไม่เชื่อที่ผมพูด ก็ลองถามพี่อาร์ตดูสิครับ”

“ตอแหล!” พี่แอนเผลอสบถ ดูเหมือนว่าคราวนี้เธอจะเป็นฝ่ายอดรนทนไม่ไหวเสียเอง

“จะหาว่าผมตอแหลก็ได้ครับ แต่คนที่ตอบเรื่องนี้ได้ดีกว่าผมก็คือพี่อาร์ต ผมน่ะได้คำตอบจากพี่อาร์ตแล้ว ว่าแต่พี่แอนกับพี่นงจะกล้าถามเขาหรือเปล่าล่ะครับ”

“นี่…” พี่แอนเถียงไม่ถูก ก็เลยได้แต่ทำท่าทางไม่ได้อย่างใจ

“ผมรู้ว่าพี่สองคนหวังดีกับพี่อาร์ตนะครับ” ผมทำเสียงจริงจังเพื่อเรียกความสนใจกลับมา “แต่พี่ก็อย่าลืมสิครับว่าพี่อาร์ตก็ควรมีพื้นที่ส่วนตัวของตัวเองบ้าง พี่สองคนไม่ได้อยู่กับเขาตลอดชีวิตนะครับ วันหนึ่งพี่สองคนก็จะมีพระเอกใหม่มาแทน พี่อาร์ตก็จะเป็นแค่อดีตพระเอกแก่ๆ คนหนึ่ง เปลี่ยนไปเล่นบทพ่อ ไม่ได้มีแฟนคลับมากมายเหมือนเมื่อก่อน แล้วชีวิตที่เหลือของพี่อาร์ตจะเป็นยังไงครับ วันไหนที่เขาหมดชื่อเสียง เขาจะอยู่กับใคร ชีวิตเขาจะเป็นยังไง พี่สองคนไม่คิดบ้างเหรอครับว่าพี่อาร์ตก็อยากมีใครสักคนไว้ดูแลกัน เขาก็อยากอยู่กับคนที่เขารักเหมือนคนอื่นๆ”

พี่แอนกับพี่นงขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ทว่าก็ยังนึกคำที่จะเถียงไม่ออก ผมจึงต้องตีซ้ำ “ที่จริงก็ไม่จำเป็นต้องเป็นผมหรอก แต่ไม่ว่าพี่อาร์ตจะรักใคร พี่สองคนก็ไม่ควรมากีดกัน พี่อาร์ตจะสี่สิบแล้วนะครับ เขาเลือกชีวิตของตัวเองได้ เขารับผิดชอบได้ เขาไม่ใช่เด็กแล้วนะพี่”

จะว่าไปผมก็พูดเหมือนสอนผู้ใหญ่เลย แต่ช่างเถอะ ผู้ใหญ่บางคนก็จำเป็นต้องมีคนให้แง่คิด หรือถูกท้าทายให้คิดบ้าง ไม่งั้นก็จะไม่ฟังใครเลย ยิ่งคนรอบตัวพากันหงอก็ยิ่งได้ใจ

พี่แอนลุกขึ้นยืน ตัวสั่นเทิ้มด้วยความโกรธจัด เธอตวาดลั่นและชี้หน้าผม “เออ ฉันรู้ว่าฉันไม่ควรเสือก แต่ถ้ามันไม่กระทบฉัน ฉันก็ไม่มาเสือกให้เสียเวลาหรอก แต่นี่มันกระทบฉันเต็มๆ บริษัทฉันด้วย ลูกน้องฉันด้วย ละครของฉันด้วย เธอไม่ต้องมาสั่งสอนฉัน เด็กเมื่อวานซืนอย่างเธอจะรู้อะไร เคยทำธุรกิจอะไรมาก่อนไหมถึงมารู้ดีแบบนี้!”

เมื่อพี่แอนหลุดแล้ว พี่นงก็เอาบ้าง เธอลุกขึ้น ชี้หน้าผมและขึ้นมึงขึ้นกู “แหม…มึงนี่ ต่อหน้าอาร์ตนี่ทำเป็นเรียบร้อย หงิมๆ ติ๋มๆ อะไรก็ได้ แต่ลับหลังนี่ร้ายไม่ใช่เล่นเลยนะมึง มึงคิดจะจับอาร์ตใช่ไหมล่ะ เห็นเขาหล่อเขารวยล่ะสิ อย่าคิดว่ากูไม่รู้ กูเห็นมึงแค่แวบแรกกูก็รู้แล้วว่ามึงต้องเป็นคนแบบนี้ แต่กูขอเตือนมึงนะ อย่าหวังสูงให้มันมากนัก อาร์ตน่ะเขาไม่เอามึงหรอก หัดเจียมกะลาหัวซะบ้าง ไอ้เกย์หน้าเงิน!”

ผมยอมรับว่าหน้าชาไปเหมือนกัน เพราะตั้งแต่เกิดมาไม่เคยถูกใครด่าแบบนี้เลย โดยเฉพาะเรื่องเงินๆ ทองๆ ผมไม่เคยคบผู้ชายคนไหนเพราะเรื่องนี้ พี่อาร์ตก็เช่นกัน แม้รู้ว่าเขายินดีให้เงินผมใช้ แต่ผมก็ไม่เคยขอสักบาท

ผมเชิดหน้าขึ้นและยกยิ้มเล็กน้อย “ถ้าพี่อาร์ตเขายอมให้ผมจับ มันก็ไม่แปลกนี่ครับ เพราะที่ผ่านมาก็มีผู้หญิงพยายามจับพี่อาร์ตหลายคน ผมก็ไม่เห็นพวกพี่สองคนจะเดือดร้อนอะไรนี่ครับ”

“หยุดพล่ามได้แล้ว!” พี่แอนขัดขึ้นทันที ดูเหมือนเธอจะหมดความอดทนเต็มแก่ คงไม่ต้องการฟังคำอธิบายหรือการโต้เถียงใดๆ จึงรีบเข้าเรื่องเพื่อปิดงานนี้ให้เร็วที่สุด “เอาเป็นว่า เธอต้องเลิกยุ่งกับอาร์ตได้แล้ว ฉันให้เวลาเธอสามวัน เก็บของออกจากบ้านอาร์ตซะ ไม่อย่างนั้นจะหาว่าฉันไม่เตือน!”

“พี่แอนคงต้องคุยกับพี่อาร์ตเองแล้วล่ะครับ” ผมย้อนเสียงเรียบ ทว่าก็ทำเอาพี่แอนชะงัก

“งั้นก็บอกมาว่าเธออยากได้เท่าไหร่” พี่แอนยื่นข้อเสนอที่ผมเดาว่าเธอน่าจะเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว ถึงผมจะไม่ค่อยได้ดูละครเท่าไหร่ แต่ก็จำได้ว่ามีเหตุการณ์แบบนี้ในละครหลายเรื่อง

“ไม่เป็นไรครับ” ผมยิ้มเย้ยเล็กน้อย “ถ้าวันไหนผมอยากได้เงินขนาดนั้น ผมว่าผมขอพี่อาร์ตง่ายกว่านะครับ น่าจะขอได้ไม่อั้นด้วย”

“นี่มันจะมากไปแล้วนะไอ้เกย์หน้าเงิน” พี่นงเดินเข้ามาหาผม ท่าทางกะจะเอาเรื่องเต็มที่ “สิ่งที่มึงทำอยู่น่ะ มันกระทบคนอื่นรู้ไหม หัดเห็นใจคนอื่นบ้างสิ มึงรู้ไหมว่าพวกกูลงทุนไปกับอาร์ตเท่าไหร่ อาร์ตได้เงินเพราะพวกกูไปเท่าไหร่ แม้กระทั่งเพจที่กูทำอยู่นี่ มึงคิดว่ามันไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรเหรอ กูต้องจ้างคนมาทำ เวลามีกิจกรรมกูก็ต้องหาเงินมาช่วย แต่ตอนนี้มันพังหมดแล้ว เพราะมึงไง มึงไม่รู้ตัวอีกเหรอว่ามึงน่ะมันเป็นตัวปัญหา ออกไปจากชีวิตอาร์ตซะ มึงอย่าเห็นแก่ตัวให้มันมากนัก อาร์ตเขาเป็นพระเอก เขามีภาพลักษณ์ของเขา อย่ามาทำลายชุ่ยๆ แบบนี้ กว่าเขาจะสร้างมาได้ขนาดนี้ มึงรู้ไหมว่ามันไม่ใช่ง่ายๆ มันใช้เวลา มันใช้เงิน มันต้องลงทุน เขียนด้วยมือดีๆ มึงจะเอาตีนมาลบแบบนี้ไม่ได้!”

ท่าทางเกรี้ยวกราดของพี่นงทำเอาผมใจสั่นไปบ้าง แต่ผมก็ยังทำใจดีสู้เสือ “ผมรู้ครับว่าพวกพี่ได้รับผลกระทบ แต่จะให้พี่อาร์ตรับผิดชอบด้วยการเลิกยุ่งกับคนที่เขารัก มันไม่มากไปหน่อยเหรอครับ พวกพี่สองคนกับพี่อาร์ตก็พึ่งพาอาศัยกันมาหลายปีแล้ว ควรจะช่วยเหลือกันยามยากไม่ใช่เหรอครับ แต่นี่พอเกิดปัญหา พวกพี่สองคนกลับคิดถึงแต่ตัวเอง ทำไมไม่คิดถึงพี่อาร์ตบ้างล่ะครับ ทำไมต้องบังคับเขามากขนาดนี้ จะมีปัญหามากขนาดไหนมันก็ต้องคิดถึงความรู้สึกกันบ้าง ไม่ใช่คิดถึงแต่ผลประโยชน์ของตัวเอง พี่อาร์ตเขายินดีรับผิดชอบทุกอย่าง จะให้เขาทำอะไรเขาก็ยอม แต่จะให้เขาทิ้งคนที่เขารักไป มันไม่เกินไปเหรอครับ ทำไมต้องให้เขาทำขนาดนี้ด้วย ถ้าพี่สองคนเป็นพี่อาร์ตบ้าง พี่สองคนจะยอมไหมล่ะครับ ถ้าพี่มีแฟนอยู่ พี่จะยอมทิ้งแฟนของตัวเองหรือเปล่า ทำไมไม่หาทางออกด้วยวิธีอื่นล่ะครับ”

เมื่อเจอผมใส่อารมณ์เข้าไปบ้าง พี่แอนกับพี่นงก็ถึงกับอึ้ง แต่ก็ไม่แน่ใจว่าเข้าหูมากแค่ไหน ไม่รู้ล่ะ ในเมื่อมีโอกาสพูดแล้วผมก็จะพูดให้หมด

“ที่ผมยอมมาหาพี่สองคนน่ะ ไม่ใช่เพราะผมอยากจะมาหาเรื่องหรือมาเพื่อปกป้องสิทธิ์ของตัวเอง ไม่ต้องสนใจหรอกว่าผมหน้าเงินหรือไม่หน้าเงิน เพราะผมบอกแล้วว่ามันไม่จำเป็นต้องเป็นผม แต่ผมมาที่นี่ก็เพื่อพี่อาร์ต ผมบอกตรงๆ ว่าผมไม่ชอบความไม่ยุติธรรมแบบนี้ พี่อาร์ตก็ได้แต่น้ำท่วมปาก เขาพูดแบบผมไม่ได้ เพราะเขาเกรงใจพวกพี่สองคน แต่พี่สองคนกลับอาศัยความเกรงใจของพี่อาร์ตกดดันเขา เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ไม่มีตรงไหนเลยที่จะห่วงใยพี่อาร์ต ระวังนะครับ พี่อาร์ตเขาเป็นพระเอกดัง ในโลกนี้ก็ไม่ได้มีผู้จัดละครแค่คนเดียว ที่ไหนมันอยู่แล้วไม่สบายใจ เขาก็ไปอยู่ที่อื่นได้นะครับ” ผมถือโอกาสขู่ในตอนท้าย สองคนนั้นถึงกับหน้าซีดเลยทีเดียว

ค่าที่ทำงานกับชุมชนคนยากคนจนคนเล็กคนน้อยมาหลายปี ผมจึงไม่ชอบความไม่ยุติธรรมเป็นทุนเดิม แต่วันนี้ผมกลับได้เห็นว่าคนรวยๆ ก็อาจไม่ได้รับความยุติธรรมเหมือนกัน เพียงแต่ต่างเรื่องต่างสถานการณ์กันเท่านั้น

ผมหรี่ตามองพี่แอนกับพี่นง ก่อนเน้นย้ำหนักแน่น “พี่อาร์ตให้เกียรติพวกพี่ พวกพี่ก็ควรให้เกียรติพี่อาร์ตบ้างนะครับ”

พูดจบผมก็เดินลุกขึ้นออกไป ทว่าพี่นงก็วิ่งมาดักหน้าผมไว้ เธอผลักอกผมอย่างแรงจนเกือบล้ม ก่อนชี้หน้าขู่ผมอย่างโกรธจัด

“เลิกกับอาร์ตซะ! มึงอย่าคิดว่าจะทำลายสิ่งที่กูสร้างมากับมือได้ ถ้ามึงยังดื้ออยู่ กูไม่เอามึงไว้แน่ มึงอย่ามาท้าทายกูแบบนี้ รู้จักกูน้อยไปซะแล้ว!”

ยิ่งเห็นแบบนี้ ผมก็ยิ่งรู้สึกสงสารพี่อาร์ต แม้จะได้ยินมาบ้างว่าฉากหลังแวดวงนี้ไม่ได้สวยหรูอย่างที่คิด แต่ผมก็ไม่คิดว่ามันจะมีด้านมืดที่น่ากลัวขนาดนี้ ไม่รู้ว่าพี่อาร์ตอยู่กับคนพวกนี้มาเป็นสิบปีได้ยังไง

“พี่นงคิดว่าพี่อาร์ตเขาควรจะรู้สึกยังไงดีครับ ที่พี่นงทำแบบนี้กับคนที่เขารักลับหลัง กล้าทำ ก็กล้ารับสิ่งที่จะตามมาด้วยละกันนะครับ”

ผมเบี่ยงตัวหลบและรีบเดินออกมาจากบ้านนั้นทันที หากไม่จำเป็นก็คงจะไม่มาเหยียบอีก เอาเถอะ อย่างน้อยผมก็ได้พูดแทนพี่อาร์ตไปหลายเรื่อง คงทำให้พี่สองคนนั้นได้คิดบ้างไม่มากก็น้อย หรือต่อให้คิดไม่ได้ อย่างน้อยได้รู้ไว้บ้างก็ยังดี

… … …

ผมมาถึงบ้านพี่อาร์ตตอนเกือบหกโมง พี่อาร์ตไปงานประมูลภาพวาดยังไม่กลับ แต่น่าจะกลับมาถึงราวๆ หกโมงเย็น จะพาพี่เพชรมาด้วย

ผมตั้งใจไว้แล้วว่าวันนี้จะทำแกงผักแปมใส่เนื้อให้พี่อาร์ตกิน เพราะเจ้าตัวบ่นอยากกินมาหลายวันแล้ว ตอนแรกที่ได้ยินว่าพี่อาร์ตอยากกินอะไรผมก็อึ้งไปเหมือนกัน เพราะแกงชนิดนี้หากินยากมาก พี่อาร์ตเคยกินตอนไปบ้านผมนั่นแหละ

บังเอิญว่าพี่ที่ทำงานของพี่เมี่ยงจะขึ้นเครื่องมาประชุมที่กรุงเทพ พี่เมี่ยงจึงรีบไปหาผักแปมและฝากพี่คนนั้นมาให้ผม ส่วนเครื่องปรุงอื่นๆ นั้นผมพอหาได้ไม่ยาก ที่จริงผมก็ทำแกงนี้ไม่เป็นหรอก แต่ยูทูบช่วยได้ ผมดูๆ ไว้บ้างแล้ว ไม่น่าทำยาก

ผมสลัดความเครียดที่ติดมาจากบ้านพี่แอนทิ้งไป เข้าครัวแล้วก็เอาผักแปมในตู้เย็นมาเด็ดเอาแต่ใบอ่อน เวลาเด็ดต้องระวังเป็นพิเศษเพราะผักแปมมีหนามแหลม เด็ดหมดผมก็ปอกหอมแดงเตรียมไว้ เอาเนื้อแดดเดียวมาย่างให้หอม ย่างถั่วเน่าไว้ด้วย จากนั้นก็ล้างผักแปมและมะเขือเทศ บ้านผมเรียกว่ามะเขือส้มเพราะมีรสส้มหรือรสเปรี้ยว

ผมตั้งน้ำไว้รอเดือด ระหว่างนั้นก็ตำพริกแห้งยี่สิบเอ็ดเม็ด ตามความเชื่อของคนเหนือ เวลาใส่พริกต้องใส่เป็นเลขคี่ ถ้าเป็นเลขคู่จะไม่อร่อย พอพริกเริ่มแหลกผมก็ใส่เกลือ ถั่วเน่า โขลกให้เข้ากัน ตามด้วยกะปิและปลาร้า เมื่อเข้ากันดีแล้วก็เอาพริกแกงไปใส่ในน้ำเดือด สักพักก็ใส่มะเขือเทศหั่น รสเปรี้ยวของมันจะตัดกับรสขมของผักแปมเป็นอย่างดี ตามด้วยเนื้อย่าง และปิดท้ายด้วยการใส่ผักแปม ที่จริงต้องใส่ลูกโดดหรือพริกเป็นเม็ดๆ ด้วย แต่พี่อาร์ตกินเผ็ดมากไม่ได้ ผมก็เลยว่าจะเอาลูกโดดไปต้มต่างหากและแยกใส่เฉพาะของผม

นอกจากแกงผักแปมแล้ว ผมก็จะย่างไส้อั่ว ไข่ป่าม ทำน้ำพริกหนุ่มและเตรียมแคบหมูเอาไว้ด้วย แต่คงไม่ทำอะไรเพิ่มมาก เพราะส่วนใหญ่พี่อาร์ตกินไม่เป็น แต่ก็น่าแปลกที่ชอบกินแกงผักแปม น่าจะเคยกินแค่สองสามครั้งเท่านั้น เพราะแม่ไม่ค่อยทำให้กินเท่าไหร่ กระนั้นพี่อาร์ตก็ยังอุตส่าห์จำได้

คงเป็นเพราะรถติด พี่อาร์ตกับพี่เพชรจึงมาถึงช้าเกือบครึ่งชั่วโมง นั่งพักคุยกันเล็กน้อยเราก็มาล้อมวงที่โต๊ะอาหาร เมื่อเห็นว่ามีอาหารที่อยากกินมานานวางอยู่บนโต๊ะ พี่อาร์ตก็ตาโต

“แกงผักแปมเหรอม่อน”

“ครับ” ผมหันไปยิ้มกับคนที่นั่งข้างๆ

“โห ไม่ได้กินมายี่สิบปีแล้วนะเนี่ย ม่อนไปหามาจากไหน ในกรุงเทพมีผักนี้ขายด้วยเหรอ พี่ไม่เคยเห็นเลย”

“พอดีเพื่อนที่ทำงานของพี่เมี่ยงเขามาประชุมที่กรุงเทพ พี่เมี่ยงก็เลยไปหาผักแปมมา แล้วก็ฝากพี่เขามาให้ผมน่ะครับ”

“โห แฟนใครเนี่ย น่ารักจัง” พี่อาร์ตชมพลางเอามือลูบผมของผมเบาๆ

พี่เพชรนั่งดูอยู่ เจ้าตัวก็เลยกระแอมและสัพยอก “อะแฮ่ม หวานจังเลยนะครับคุณอาร์ต”

“เออ ให้กูหวานมั่งไม่ได้หรือไงวะ กูไม่ได้มีลูกมีเมียเหมือนมึงนะเว้ย ไม่ได้มีใครมาให้หวานด้วยทุกวัน” พี่อาร์ตหันไปพูดหยอกกับเพื่อนอย่างอารมณ์ดี

“อ๋อเหรอ ม่อนเชื่อมันไหมเนี่ย” พี่เพชรหันมาถามผมยิ้มๆ

ผมหัวเราะและส่ายหน้าไปมา พี่เพชรก็เลยหันไปแซวพี่อาร์ตต่อ

“เห็นไหม ม่อนยังไม่เชื่อเลย จะให้กูแฉไหมว่ามึงมีน้องอะไรมาอยู่เป็นเพื่อนบ้าง กูจดชื่อไว้หมดแล้ว มีเป็นร้อยแล้วมั้งเนี่ย”

“เว่อร์แล้วมึง” พี่อาร์ตท้วง สีหน้าไม่จริงจังนัก

“ไม่เว่อร์เลย จะให้กูแฉด้วยไหมว่าถ้านับรวมสาวๆ ที่มึงหิ้วมาด้วยตอนเมา กูว่าเกินร้อยอีก”

“พอๆ เลยมึง กูเลิกหมดแล้วเว้ย”

“เออ กูจะคอยดู” พี่เพชรขำ

“เดี๋ยวผมตักข้าวให้นะครับ”

ผมบอกแล้วก็ลุกขึ้นไปตักข้าวให้พี่เพชรก่อน ระหว่างนั้นพี่อาร์ตก็ถือโอกาสเล่าเรื่องในอดีตให้ฟัง

“เมื่อก่อน ม่อนเขาไม่เคยทำแบบนี้เลยนะเพชร ตอนเด็กๆ ที่บ้านเขาไม่ให้เข้าครัว ไม่ให้ซักผ้าเอง ไม่ให้ทำงานบ้าน แม่กับพี่สาวดูแลให้เกือบหมด”

“ทำไมวะ” พี่เพชรหันมาถามอย่างสนใจ

“ที่บ้านเขากลัวผมเป็นเกย์ไงพี่ เขาก็เลยไม่ให้ผมทำงานบ้าน เขาชอบให้ผมไปเล่นกับพวกผู้ชายแถวบ้าน ยิงนก ตกปลา เตะบอล ในบ้านผมมีแต่ผู้หญิง เพราะว่าแม่เลิกกับพ่อตั้งแต่ผมยังสองสามขวบ แม่เขาเคยอ่านหนังสือเจอว่าครอบครัวไหนให้ลูกชายอยู่กับผู้หญิง เด็กจะมีโอกาสเบี่ยงเบนทางเพศสูง เขาก็เลยกลัว ไม่ค่อยอยากให้ผมอยู่บ้าน หรือไม่ก็ให้เพื่อนๆ ผู้ชายมาเล่นด้วยที่บ้าน ตอนหลังพอรู้จักกับพี่อาร์ต แม่กับพี่สาวก็ให้พี่อาร์ตมาเล่นกับผมบ่อยๆ พาผมไปนั่นไปนี่ แต่สุดท้าย…ผมก็ยังเป็นเกย์อยู่ดี” ผมถือโอกาสเล่าแทนและขำตอนท้าย

พี่เพชรพยักหน้ารับรู้ แต่ก็ดูเหมือนจะอึ้งไม่น้อย

“ม่อนเขาเคยไปทำงานที่เวียงจันทน์หลายปี พออยู่คนเดียว เขาต้องดูแลตัวเองทุกอย่าง อะไรที่ไม่เคยทำเองก็ต้องทำ เดี๋ยวนี้ทำเป็นหมด กวาดบ้าน ถูบ้าน ซักผ้า ล้างจาน ทำอาหาร” พี่อาร์ตเสริม

“อ๋อ กูถึงว่าหลังๆ นี้บ้านมึงสะอาดขึ้นเยอะเลย” พี่เพชรแหย่ พี่อาร์ตก็เลยท้วง

“ไม่ใช่เว้ย ก็ยังจ้างเขามาทำความสะอาดเหมือนเดิมนั่นแหละ บ้านใหญ่ขนาดนี้ ม่อนทำคนเดียวไม่ไหวหรอก”

ผมเดินมาตักข้าวใส่จานให้พี่อาร์ต เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมายิ้มเป็นเชิงขอบคุณ จากนั้นผมจึงตักให้ตัวเองและนั่งลง ยังไม่มีใครตักข้าวกินเพราะรอผมอยู่ ผมจึงต้องรีบเชื้อเชิญ

“กินได้เลยครับ”

นั่นแหละ ทุกคนจึงเริ่มตักอาหารมาใส่จาน พี่อาร์ตตักแกงผักแปมมาชิม พลันแววตาก็เป็นประกาย แสดงว่ารสชาติต้องถูกใจแน่ๆ

“อร่อยมากเลยม่อน รสชาติเหมือนที่น้าหมิวทำเลย”

“พี่อาร์ตยังจำได้อีกเหรอ ผมยังจำไม่ได้เลย ถ้าวันนั้นพี่อาร์ตไม่พูดถึงเนี่ย ผมก็ลืมไปแล้วว่าเคยกิน” ผมสัพยอก

“ปกติมึงไม่ค่อยกินอาหารแบบนี้ไม่ใช่เหรอวะอาร์ต กินแต่ของจืดๆ” พี่เพชรมองเพื่อนอย่างแปลกใจ

“เออ ก็ไม่ค่อยกินหรอก กูเป็นลูกคนจีนนี่หว่า แต่บางอย่างกูก็กินเว้ย อย่างแกงผักแปมน่ะ กูก็ไม่คิดจะกินหรอก แต่วันนั้นกูไปวาดรูปที่บ้านม่อนไง วาดเพลินเลย พอเงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็หิวมาก ตอนนั้นอยู่กับม่อนสองคน ไปดูในครัวก็เห็นแต่แกงผักแปมอยู่อย่างเดียว มันหิวไง กูก็เลยลองกินดู ปรากฏว่ามันอร่อยเว้ย ผักแปมมันขมๆ แต่พอใส่มะเขือเทศมันก็จะเปรี้ยวๆ ตัดกันดี กูก็บอกไม่ถูกว่ะ ยิ่งถ้าแกงกับเนื้อย่าง มันจะยิ่งอร่อยเป็นพิเศษ มึงลองกินดูสิ”

“เออ กูเป็นเด็กบ้านนอก อาหารแปลกๆ พวกนี้กูกินเป็นอยู่แล้วเว้ย”

พี่เพชรว่า จากนั้นก็ตักแกงผักแปมมาใส่จานบ้าง ทันทีที่ตักใส่ปาก เจ้าตัวก็ยิ้มพอใจ กลืนลงคอไปแล้วก็หันมาเอ่ยชม

“เออ อร่อยจริงว่ะ”

“กูบอกแล้วว่ามึงต้องชอบ” พี่อาร์ตถือโอกาสคุย ทว่าพี่เพชรก็ไม่วายแซว

“มีแฟนทำอาหารอร่อยแบบนี้นี่เอง ถึงว่าเดี๋ยวนี้มึงไม่ค่อยออกไปเกเรข้างนอก”

“เออ” พี่อาร์ตยอมรับแต่โดยดี “ตั้งแต่ม่อนมาอยู่ด้วยเนี่ย กูได้กินอาหารเหนือที่กูชอบหลายอย่างเลย ตอนเช้ากูทำอาหารจีนให้ม่อนกิน ตอนเย็นม่อนก็ทำอาหารเหนือให้กูกิน”

“แต่พี่อาร์ตก็กินได้ไม่กี่อย่างเองนะครับ” ผมแย้งพลางขำ “ไส้อั่วก็ไม่ค่อยกิน กินได้แค่แกงฮังเล ข้าวซอย ไข่ป่าม น้ำพริกอ่องน้ำพริกหนุ่มพอได้ แต่ก็ไม่ชอบ แกงอะไรแปลกๆ นี่ก็ไม่กินเลย ยกเว้นแกงผักแปม ลาบคั่วก็ไม่กิน ไก่ทอดมะแขว่นก็ไม่กิน แกงแคไม่กิน แกงหน่อไม่กิน”

“แล้วมึงรอดชีวิตตอนอยู่เชียงใหม่มาได้ไงวะเนี่ย อะไรก็ไม่กินกับเขาสักอย่าง” พี่เพชรหันไปหัวเราะเพื่อน

“หม่าม้าป่าป๊ากูไง” พี่อาร์ตตอบ จากนั้นก็หันมาทางผม “แล้ววันนี้ม่อนเรียนเป็นไงบ้าง”

ผมชะงักเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะเรื่องเรียนเป็นความลับ แต่ผมกำลังนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นหลังเลิกเรียนต่างหาก ไม่รู้ว่าผมควรจะเล่าให้พี่อาร์ตฟังดีหรือเปล่า

“ก็ดีครับ ก็เหมือนทุกวัน” ผมตอบยิ้มๆ ก่อนถามกลับ “แล้ววันนี้ได้เงินเยอะไหมครับ”

“ก็เยอะอยู่นะ ภาพวาดของอาร์ตได้ราคาสูงสุดในงานเลย หกแสนบาทแน่ะ สุดยอด” พี่เพชรเล่าอย่างชื่นชม แต่สักพักก็ทำท่าครุ่นคิด “เออ แต่แปลกนะ งานนี้ไม่เห็นพี่นงเลย ปกติอาร์ตไปไหนเขาก็จะพาแฟนคลับตามไปเชียร์ตลอด แต่งานนี้ไม่มาแฮะ”

“เขาก็ยังเคืองกูอยู่นั่นแหละ” พี่อาร์ตรีบบอกเพื่อน

พี่เพชรมองผมกับพี่อาร์ตอย่างใช้ความคิด คล้ายกับมีเรื่องจะบอกแต่ไม่กล้าบอก แต่สักพักก็ต้องเอ่ยปากเพราะเจอสายตาของผมกับพี่อาร์ตที่มองด้วยความอยากรู้

“วันนี้…พี่แอนโทรมาหากูว่ะ” พี่เพชรเกริ่นด้วยสีหน้าไม่มั่นใจ

ผมกับพี่อาร์ตหันมาสบตากันโดยบังเอิญ ผมรับรู้ได้ทันทีว่าพี่อาร์ตกังวล ช่วงหลังๆ มานี้พี่แอนดูมึนตึงกับพี่อาร์ตไปมาก เพราะเรตติ้งละครเรื่องใหม่ไม่ดี แถมยอดฟอลโลวบนไอจีและแฟนเพจก็ยังลดลงเรื่อยๆ แม้ว่าหลังๆ จะลดลงไม่มากก็ตาม ด้วยเหตุนี้ ผมจึงโดนเรียกไปเชือดถึงที่ ในฐานะที่เป็นตัวต้นเหตุ

“โทรมาเรื่องอะไรเหรอ” พี่อาร์ตหันไปถามเพื่อนรัก

พี่เพชรวางช้อนส้อมลงชั่วคราว ท่าทางดูหนักใจไม่น้อย “เขาถามกูว่า…ม่อนย้ายออกไปหรือยัง”

พี่อาร์ตหันมาสบตาผมอีกครั้ง แววตาหวาดหวั่นของพี่อาร์ตฉายชัด ผมจึงแอบดึงมือพี่อาร์ตมาบีบให้กำลังใจเบาๆ สีหน้าของเขาจึงเริ่มดีขึ้นและพอยิ้มอ่อนๆ ได้

“กินข้าวกันก่อนดีกว่า อย่าคุยเรื่องเครียดๆ เอาไว้คุยทีหลังดีกว่า มึงลองกินไข่ป่ามดูไหมเพชร อร่อยนะเว้ย”

พี่อาร์ตตักไข่ป่ามส่งให้เพื่อนอย่างกุลีกุจอ ดูก็รู้ว่าพยายามกลบเกลื่อนความกังวล พี่เพชรก็คงดูออกแหละ

หลังจากพี่เพชรกลับบ้านไปแล้ว ผมกับพี่อาร์ตก็เดินเข้ามาในบ้านด้วยกัน เมื่อเพื่อนไปพี่อาร์ตก็ดูเครียดมากขึ้น ถ้าเดาไม่ผิดก็คงเป็นเรื่องพี่แอน

ก่อนขึ้นบันได พี่อาร์ตหยุดเดินและหันมาเผชิญหน้ากับผม เขาถอนหายใจระบายความเครียด เลียริมฝีปากที่ดูแห้งๆ ก่อนเอื้อนเอ่ยสิ่งที่อยู่ในใจ

“ม่อนจะทนได้ไหม พี่คิดว่าหลังจากนี้ พี่แอนกับพี่นงคงไม่ยอมให้พี่กับม่อนอยู่ด้วยกันแบบนี้หรอก พี่แอนน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่พี่นงไม่ยอมแน่ๆ แล้วพี่แอนก็เชื่อเขาไปหมด แต่ไม่ว่ายังไง…พี่ก็จะไม่ให้ม่อนไป พี่จะดูแลปกป้องม่อนเอง แต่พี่ก็กลัวว่าม่อนจะไม่ไหวซะก่อน วงการนี้…คนดีๆ มีเยอะ แต่ถ้ามันเป็นเรื่องผลประโยชน์ เขาเอาเราตายเลย พี่นงทำเพจให้พี่ฟรีก็จริง แต่จำนวนคนติดตามเยอะขนาดนั้น เขาก็ได้เงิน ไม่ใช่ไม่ได้ เขาเอาเพจนั้นไปหาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองได้ไม่น้อยเลยนะ ม่อนก็คิดดูละกันว่าเขาจะยอมไหมถ้าคนติดตามมันลดลง เพราะรายได้เขามันก็จะลดลงไปด้วย”

เมื่อได้ฟังคำอธิบายจากพี่อาร์ต ผมก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมพี่นงถึงเกรี้ยวกราดกับผมขนาดนั้น แถมยังขู่ผมด้วยว่าได้เจอดีแน่ แสดงว่าคงไม่ใช่แค่ขู่แล้วล่ะ

ผมดึงมือพี่อาร์ตมาจับไว้ ยิ้มบางๆ เพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจ “ผมน่ะ…ไม่กลัวอุปสรรคหรอกครับพี่อาร์ต ให้ตายเพื่อรักแท้…ผมตายได้ แต่ถ้าเป็นรักหลอกลวง แค่ปลายเส้นผมผมก็จะไม่ยอมเสียให้”

“งั้นก็แสดงว่า…ม่อนรักพี่แล้วสิ” พี่อาร์ตเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มดีใจ แม้ว่าเรากำลังพูดเรื่องเครียดๆ อยู่ก็ตาม

“พี่อาร์ตอย่าเพิ่งกดดันผมสิ ผมยังไม่หายเจ็บดีเลยนะ” ผมทำเสียงกระเง้ากระงอด ดูไปก็เหมือนออเซาะแฟนนั่นแหละ

“ไม่เป็นไร พี่แค่ถามดู ม่อนยังไม่รักพี่ตอนนี้ก็ไม่เป็นไรหรอก พรุ่งนี้ไม่สายที่จะรักกัน” พี่อาร์ตเอาเนื้อเพลงเพลงหนึ่งมาพูดตอนท้าย ผมก็เลยเอาบ้าง

“งั้นผมก็…พรุ่งนี้จะไปกับเธอ หากเธอเป็นเธอคนเดิมได้นาน ไม่ทิ้งกันไปมีใจให้กัน อย่างฉันจะไปรักใคร”

เมื่อพี่อาร์ตรู้ว่าเป็นเพลงอะไร เขาก็ร้องตามผมในท่อนหลัง

“พรุ่งนี้จะไปกับเธอ หากเธอเป็นเธอที่ยังเข้าใจ ถ้าพร้อมจะรอไม่หนีกันไป พรุ่งนี้จะพาหัวใจ จะไปกับเธอ”

ร้องจบพี่อาร์ตก็กอดผมไว้ ผมหลับตาพริ้มด้วยความอุ่นใจเมื่อได้อยู่ในอ้อมกอดอุ่นๆ ที่คุ้นเคย เวลาคนเรามีใครสักคน มันก็รู้สึกอุ่นใจแบบนี้แหละ แม้ว่าพายุฝนตรงหน้าจะดูน่ากลัวแค่ไหน เราสองคนก็ไม่กลัวจะเผชิญกับมันด้วยกัน หากรักกันจริง อุปสรรคก็ไม่ใช่ปัญหา

ก็อย่างที่พี่ โบ สุนิตา บอกไว้ตั้งแต่ผมอายุสิบสี่ ตอนที่เพลงนี้เพิ่งออกมานั่นแหละ ถ้าพี่อาร์ตยังดีอยู่แบบนี้ อย่างผมจะไปรักใครได้ เอาเข้าจริงก็รักเขาไปแล้ว ไม่ต้องรอถึงพรุ่งนี้ด้วยซ้ำ

แต่ที่ยังไม่เปิดใจให้เต็มร้อยในวันนี้ เพราะผมยังกลัวว่าจะมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นเหมือนที่ผ่านมาอีก จะให้เจ็บกับเรื่องเดิมๆ อีกครั้งคงไม่ไหวแล้ว

TBC…

เพลงพรุ่งนี้จะไปกับเธอ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-01-2022 23:56:49 โดย Y-Lamoon »

ออฟไลน์ meteexp

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Y-Lamoon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
ตอนที่ 12 พายุในใจ


“ถึงที่บ้านหนูไม่มีเครื่องร่อน แต่เรื่องร่อนหนูไม่เป็นรองใคร มาร่อนกับหนูดูมั้ย”

ที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกที่ผมจะได้รับข้อความแบบนี้ทุกวัน วันละหลายๆ ข้อความด้วยซ้ำ มาทั้งภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหวและเสียง ช่วงที่ผมเจอม่อนใหม่ๆ ผมก็พยายามจะไม่สนใจ ไม่ตอบ ไม่เปิดดู บางทีก็จะบอกไปตรงๆ ว่า “พี่มีแฟนแล้วครับ อย่าส่งมาอีกนะครับ” แต่บางคนก็ไม่ฟังหรอก บางทีผมก็ต้องบล็อก กระนั้น ข้อความพวกนี้ก็ยังโผล่มาในไอจีหรือเมสเซนเจอร์ของผมทุกวัน

น่าแปลกที่ครั้งนี้ร่างกายของผมตอบสนองต่อสิ่งที่เห็น สาวน้อยในชุดวาบหวิวสะกดสายตาผมไว้อยู่หมัด เธอน่าจะกำลังยี่สิบต้นๆ ทั้งขาวทั้งเนียน ทั้งอวบอัดรัดรึง แถมโหนกเนินยังอวบอูม แต่ละรูปที่ส่งมาทำเอาผมสติแทบหลุด น้องสาวเอ๋ย ช่างดูยั่วยวนดีเหลือเกิน ถ้ามาอยู่ต่อหน้าตอนนี้ พี่จะจัดให้ลืมไม่ลงเลยทีเดียว

ปุ!

ผมโยนโทรศัพท์ทิ้งลงไปบนเตียงนอน เพราะถ้าขืนดูต่อคงตบะแตก ก็อย่างว่า…วัวเคยขาม้าเคยขี่ พอห่างเหินไปก็เริ่มจะโหยหา แต่มันไม่ใช่เรื่องดีเลย ถ้าม่อนรู้ว่าผมคิดอะไรบ้าๆ แบบนี้เขาคงไม่พอใจ เผลอๆ จะหมดความไว้เนื้อเชื่อใจไปด้วย รักที่กำลังไปได้ดีก็อาจถึงกาลอวสาน ซ้ำเติมม่อนเข้าไปอีก

ผมถอนหายใจยาว จากนั้นก็เข้าไปอาบน้ำ น้องชายของผมโด่เด่ตลอดเวลาจนทำอะไรไม่สะดวก ภาพสาวน้อยรุ่นราวคราวลูกคนนั้นยังติดตราตรึงใจ ในที่สุดผมก็ต้องเอามือช่วยให้มันไปถึงจุดหมาย นับว่าไม่บ่อยนักที่ผมจะพึ่งนางทั้งห้า แต่ถ้าไม่รีบทำอะไรสักอย่าง ผมอาจจะอดใจไม่ไหวจนถึงขั้นโทรไปนัดน้องคนนั้นเหมือนที่เคยทำก็ได้

พอปลดปล่อยไปแล้วผมก็เอามือยันผนังห้องน้ำ หอบหายใจเล็กน้อย ความกังวลบางอย่างเริ่มก่อตัวขึ้น แม้ความกังวลนั้นยังไม่ชัดเจน แต่ผมมีลางสังหรณ์ว่ามันจะสร้างปัญหาให้ผมแน่ๆ

หลังออกจากห้องน้ำ ผมเอาเสื้อคลุมของโรงแรมมาใส่ กะว่าจะโทรไปคุยกับม่อนก่อนนอนเสียหน่อย โทรศัพท์ในห้องผมก็ดังขึ้นเสียก่อน ผมจึงเดินไปรับ เสียงพนักงานสาวโรงแรมเอ่ยเจื้อยแจ้วแจ้งมาว่า

“คุณลูกค้าคะ มีแขกมาหาค่ะ ตอนนี้รออยู่ที่ล็อบบี้”

ผมขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เพราะจำได้ว่าตัวเองไม่ได้นัดใครไว้ “แขกเหรอครับ ผมไม่ได้นัดใครไว้นะครับ”

“เขาบอกว่าคุณกิติส่งให้มาดูแลคุณลูกค้าน่ะค่ะ” พนักงานคนเดิมตอบมา

“คุณกิติเหรอครับ” ผมทวนชื่อ คนที่พนักงานคนนั้นอ้างถึงก็คือพ่องานที่จัดงานผ้าป่าครั้งนี้นั่นเอง เขาดูแลผมอย่างดีตั้งแต่มาถึง จัดการเรื่องรถรับส่งและที่พักให้เรียบร้อย เมื่อช่วงเย็นเขาก็จัดเลี้ยงอาหารค่ำให้ แต่ไม่เห็นพูดถึงเลยว่าจะให้ใครมาดูแล ตอนมาส่งเมื่อกี้ก็ไม่ได้บอก หรือว่าจะมีเรื่องด่วน แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นก็น่าจะโทรแจ้งผมก่อน

“ค่ะ เขาแจ้งว่าคุณกิติส่งให้เขามาดูแลคุณลูกค้าน่ะค่ะ”

“อ๋อ ครับ เดี๋ยวผมลงไป”

ผมวางสาย จากนั้นก็เปิดตู้เสื้อผ้าและเอาชุดลำลองมาใส่อย่างเร่งรีบ ก่อนออกไปก็ส่องกระจกดูความเรียบร้อยเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรไม่สุภาพก็รีบออกไปจากห้องอย่างงงๆ

มาหายงงก็ตอนที่มาถึงล็อบบี้ของโรงแรมนี่แหละ เพราะคนที่คุณกิติส่งมาดูแลผมก็คือสาวสวยคนหนึ่งนั่นเอง พอห่างเรื่องอย่างนี้ไปผมก็เลยนึกไม่ออก ทั้งที่เมื่อก่อนก็เคยได้รับการดูแลอย่างนี้บ่อยๆ

“พี่อาร์ตใช่ไหมคะ พอดี…พี่กิติให้หนูมาอยู่เป็นเพื่อนพี่อาร์ตน่ะค่ะ หนูชื่อโมเมนะคะ”

สาวที่ชื่อโมเมสยายผมยาวและยิ้มหวาน เธอดูสวยมาก ผู้ชายที่ไหนเห็นก็ต้องกลืนน้ำลาย เรียกว่าตั้งใจคัดมาให้อย่างดีเลยล่ะ ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผมก็คงจะพาขึ้นห้องไปแล้ว แต่ตอนนี้ผมคงทำอย่างนั้นไม่ได้

“ครับ” ผมรับคำและเดินไปหาหญิงสาวที่เรียกตัวเองว่าโมเม ก่อนมาหยุดตรงหน้าในระยะที่ไม่ถือว่าใกล้นัก เมื่อพิศดูดีๆ ก็จำได้ว่าเธอน่าจะส่งข้อความมาให้ผมเมื่อกี้แน่ๆ

“พี่อาร์ตตัวจริงดูหล่อกว่าในทีวีเยอะเลยนะคะเนี่ย” โมเมชม ปากแดงๆ เผยอยิ้มหวาน

“อ๋อ ขอบคุณครับ เอ่อ…” ผมนึกคำพูดไม่ออก ก็เลยถามให้แน่ใจอีกครั้ง “พี่กิติให้มาเหรอครับ”

“ค่ะ” โมเมรับคำเขินๆ เล็กน้อย

“พี่กิติไม่ได้แจ้งผมไว้เลย”

“อ๋อ สงสัยแกคงจะลืมบอกค่ะ”

โมเมยังคงยิ้มเต็มใบหน้า ดูก็รู้ว่าเธอพึงพอใจในตัวผม แต่ผมจะทำเหมือนที่เคยทำไม่ได้แล้ว น่าเสียดายที่ผมไม่ได้เอากระเป๋าสตางค์ลงมาด้วย ไม่งั้นก็จะจ่ายเงินให้เธอไป เรื่องก็จะจบ งั้นพาเธอขึ้นไปข้างบนก่อนละกัน จะควักเงินจ่ายกันตรงนี้ก็จะดูเอิกเกริกไปหน่อย

“ไปกันเลยไหม” ผมเอ่ยชวน โมเมยิ้มหวานและดูเขินๆ เล็กน้อย แน่นอนว่าเธอไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว

ผมเดินนำเธอไปที่ลิฟต์ โมเมเดินตามมาอย่างรู้งาน แต่ผมก็ไม่สัมผัสตัวเธอเลย ทั้งที่ปกติอาจจะถึงขั้นโอบกอด

เมื่อมาถึงหน้าห้องพัก ผมก็บอกให้เธอรออยู่ข้างนอก “โมเมรอพี่ตรงนี้แป๊บหนึ่งนะครับ”

“อ๋อ ได้ค่ะ”

เมื่อเธอตกลงผมก็เดินเข้าไปหยิบกระเป๋าสตางค์ เอาแบงก์พันออกมาห้าใบ จะว่าไปก็เยอะไม่ใช่เล่น ปกติผมไม่ให้ฟรีๆ หรอก ต้องได้อะไรกลับมาบ้าง แต่ครั้งนี้มันจำเป็นต้องใช้เงินแก้ปัญหา

ผมเดินกลับมาหาโมเมตรงประตู จากนั้นก็ยื่นเงินใส่มือเธอ “คืนนี้…พี่ไม่สะดวกน่ะครับ อีกอย่าง…พี่ก็มีแฟนแล้ว ขอโทษด้วยนะครับโมเม”

โมเมชะงัก สีหน้าเธอดูไม่พอใจนัก แต่ไม่นานก็ยิ้มหวาน “แหม อย่างพี่อาร์ตน่ะ โมเมไม่คิดเงินก็ได้ ไม่สนใจขึ้นเครื่องร่อนกับสาวพิโลกหน่อยเหรอคะ หนูได้ยินมาว่า…พี่อาร์ตดุไม่ใช่เล่น หนูอยากรู้ว่าดุจริงอย่างที่เขาลือกันไหม”

โมเมยัดเงินคืนใส่กระเป๋าเสื้อผม พลันก็ดันตัวผมเข้าไปในห้องและปิดประตูทันที ทำเอาผมหน้าเหวอไปเลย เธอยิ้มยั่วและเบียดตัวเข้ามาใกล้ ผมเผลอก้มลงมองร่องอกเต่งตึงขาวเนียนซึ่งโผล่พ้นคอเสื้อวับๆ แวมๆ อย่างช่วยไม่ได้ ที่จริงของพวกนี้ก็เคยมือผมมาหมดแล้วล่ะ จะสวย สาว เซ็กซี่ หุ่นดีแค่ไหน ผมก็ได้มาหมด แต่พอห่างเหินไปเกือบสองเดือน มันก็ทำเอาผมใจสั่น

โมเมคงรู้ว่าผมมองอะไร เธอจึงดึงมือผมไปวางไว้บนหน้าอกของเธอ ขณะที่มืออีกข้างหนึ่งก็กุมหมับเข้าที่เป้าของผมและลูบไล้ให้มันตื่น โชคดีว่าผมจัดการตัวเองไปแล้วเมื่อกี้ เพราะภาพที่เธอส่งมาให้นั่นแหละ ไม่งั้นเจ้าน้องชายผมคงจะตื่นมาทักทายคนแปลกหน้า ต่อมาผมก็อาจจะลากเธอไปที่เตียงและจัดบทรักดุๆ ให้ ไม่ว่าสาวไหนก็ครางจนเสียงหลง แต่เมื่อน้องชายยังสงบอยู่ ผมจึงยังพอมีสติที่จะเอามือดันตัวโมเมออก เมื่อหลุดจากพันธนาการได้แล้วผมก็ดุเธอ

“พี่บอกแล้วไงว่าพี่มีแฟนแล้ว โมเมเป็นใคร มาทำกับพี่แบบนี้ไม่ได้นะ”

เมื่อถูกขัดจังหวะแถมยังโดนต่อว่า สาวสวยก็รู้สึกขัดใจ “ตอนนี้พี่ก็ไม่ได้มากับแฟนนี่คะ”

“ใช่ พี่ไม่ได้มากับแฟน แต่ก็ไม่ได้แปลว่าพี่จะอยากมีอะไรกับคนที่ไม่ใช่แฟน”

“พี่อาร์ตจะซีเรียสทำไมคะ เราก็แค่สนุกกัน หนูก็ไม่ได้คิดจะจับพี่อาร์ตเป็นแฟนซะหน่อย”

“ก็นั่นแหละ แต่ถึงยังไงพี่ก็ไม่เอา โมเมกลับไปดีกว่านะ พี่ขอร้อง”

แทนที่เธอจะเห็นใจผม หญิงสาวกลับยกยิ้มและหัวเราะหยันๆ “เป็นผู้ชายจริงหรือเปล่าคะเนี่ย”

“หมายความว่าไง” ผมมุ่นคิ้วเข้าหากัน แต่ไม่นานก็นึกออก เมื่อกี้เธอจับเป้าผม ให้ผมจับหน้าอกเธอ มันก็ต้องตื่นตัวกันบ้าง แต่นี่ไม่เลย

“หนูได้ดูคลิปแล้วนะคะ” โมเมเหยียดยิ้ม แต่ดูเหมือนเธอกำลังเยาะเย้ยผมมากกว่า เธอเอามือกอดอกแล้วก็ถาม “แสดงว่าที่เขาลือๆ กันก็จริงสิคะ”

“ลือว่าอะไร” ผมถามด้วยสีหน้ากังวล

“ก็ลือว่าพี่อาร์ตมีแฟนเป็นผู้ชายน่ะสิคะ แต่ก็พยายามแถลงข่าวกลบเกลื่อน ตอนแรกหนูก็เกือบเชื่อแล้วว่าพี่ยังแมนอยู่ แต่ตอนนี้…” โมเมหัวเราะคิกคัก ไม่รู้ว่าชอบใจอะไรนักหนา

“โมเม ที่พี่ปฏิเสธโมเม เพราะพี่มีแฟนแล้ว มันไม่เกี่ยวอะไรกับข่าวลือซะหน่อย” ผมพยายามบอกเธออย่างใจเย็น แต่ก็ดูเหมือนว่าหญิงสาวตรงหน้าจะถือไพ่เหนือกว่า

“โมเมจะบอกอะไรให้นะ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่โมเมมาดูแลดารา อย่างโมเมเนี่ย พี่อาร์ตคิดว่าผู้ชายแท้ๆ ที่ไหนจะปฏิเสธไหมคะ ไม่ว่าจะมีแฟนหรือมีเมียอยู่แล้ว ก็ไม่เห็นมีใครปฏิเสธโมเมสักคน ก็เพิ่งจะมีพี่อาร์ตนี่แหละ”

โมเมยิ้มอย่างทะนง ดูเธอจะมั่นใจตัวเองมากทีเดียวว่าไม่มีผู้ชายที่ไหนกล้าปฏิเสธ ผมก็ไม่เถียงหรอก เพียงแต่ตอนนี้ผมทำอย่างนั้นไม่ได้

ดูเหมือนว่าผมจะต้องตัดสินใจแล้วล่ะ สาวๆ พวกนี้ชอบเก็บแต้มดารา ไม่ได้เงินก็ไม่เป็นไร ขอแค่ได้เอาไปคุยอวดว่าได้กับดาราคนนั้นคนนี้ก็พอใจแล้ว แต่ผมก็ให้เงินทุกครั้งนั่นแหละ และจะขอให้ตกลงกันทุกครั้งว่าห้ามเอาไปพูดที่ไหน ต่างคนต่างได้สิ่งที่ต้องการ เพราะฉะนั้นก็อย่าทำร้ายกัน ผมจึงแอบกินเงียบๆ มาได้หลายปี จนกระทั่งมาเกิดเรื่องกับผิงนั่นแหละ

แต่ถ้ามาเสนอให้ถึงที่แล้วไม่ได้ โมเมคงเอาเรื่องนี้ไปพูดสนุกปากว่าผมไม่แมน พี่แอนคงจะปวดหัวอีก แต่ถ้าผมตกลงกับเธอ ผมก็ไม่มั่นใจนักว่าเธอจะเก็บเป็นความลับ เรื่องอาจไปถึงหูม่อนก็ได้ ถ้าอย่างนั้นมันคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ คิดมาถึงตรงนี้ผมก็ได้คำตอบ

“ก็แล้วแต่โมเมจะคิดละกัน แต่พี่…จะไม่นอกใจหรือนอกกายแฟนพี่อย่างแน่นอน” ผมเอื้อมมือไปบิดลูกบิดประตูและเปิดออก “พี่ขอเสียมารยาทหน่อยน่ะครับ แต่ว่า…พี่โตแล้ว พี่ดูแลตัวเองได้ ไม่จำเป็นต้องมีคนดูแล ส่วนเงินนี่” ผมเอามือข้างหนึ่งตบปุๆ ตรงกระเป๋าเสื้อตัวเอง “ถ้าโมเมไม่เอา พี่ขอเก็บไว้ทำบุญละกัน เชิญครับ”

โมเมทำหน้าเหมือนอยากจะกรี๊ดใส่ผม แต่ก็ทำได้เพียงบ่นฟึดฟัด

“ถ้าไม่ชอบผู้หญิงก็บอกตรงๆ ในดีเอ็มสิ เสียเวลาจริงๆ”

ผมทำหน้านิ่ง ไม่ตั้งใจจะยั่วโมโหหรอก แต่ก็ทำให้โมเมฉุนเฉียวน่าดู “เออ อย่าคิดว่าหนูกับเพื่อนจะยอมให้มันจบง่ายๆ คอยดูละกัน!”

ลั่นแล้วโมเมก็สะบัดหน้าเดินหนีไปอย่างกระฟัดกระเฟียด ผมรีบปิดประตูห้องทันที จากนั้นก็เดินไปที่เตียงและทิ้งตัวลงนอนอย่างเหนื่อยอ่อน

ผมเริ่มจะกลัวตัวเองขึ้นมาแล้วสิ เพราะผมอยู่ใกล้กับผู้หญิงในที่ลับตาคนได้ที่ไหน เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เรียนมัธยมแล้ว ครั้งนี้โชคดีที่รอดมาได้ แต่ถ้าเจออีกก็ไม่รู้ว่าจะรอดอีกหรือเปล่า ดูเหมือนผมจะเริ่มโหยหาบทรักเร่าร้อน เสียงร้องครวญคราง และสัมผัสเฉพาะที่มีแต่ผู้หญิงเท่านั้นที่ให้ได้เสียแล้ว

นี่ผมจะทำยังไงกับพายุในใจของตัวเองตอนนี้ดี ผมกลัวมันจะถาโถมบ้าคลั่งขึ้นมาอีกจนได้ ผมไม่อยากให้ม่อนต้องมาร้องเพลงนี้ให้ผมฟังทีหลัง

“มันเป็นเพียงแค่กระแสลมแรง พัดพาใจเตลิดไป มันเป็นเพียงแค่พายุในใจ พัดให้เธอหวั่นไหว ฉันรู้เธอไม่ตั้งใจ ฉันรู้เธอไม่ใจร้าย”

ม่อนจะมองผมยังไงล่ะทีนี้ เพราะผมไม่ใช่เด็กไร้เดียงสาที่จะอ้างว่าไม่ตั้งใจหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์

ผมมุ่นคิ้วเข้าหากันเมื่อนึกถึงประโยคท้ายๆ ที่โมเมพูด เธอบอกว่าเธอกับเพื่อนจะไม่ยอมให้จบง่ายๆ แสดงว่า…เพื่อนของเธอต้องรู้จักผมแน่ๆ แต่จะเป็นสาวคนไหนล่ะ เพราะมันเยอะไปหมด นี่ผมยังจะต้องปวดหัวกับเรื่องพวกนี้ต่อไปอีกหรือ

… … …

ประมาณเก้าโมงเช้าพี่กิติก็มารับผมไปส่งที่สนามบิน แกถามผมด้วยว่าเมื่อคืนโอเคไหม ผมก็เออออๆ ไปตามเรื่องตามราว แกคงเข้าใจว่าผมน่าจะพอใจกับสาวที่แกหามาให้นั่นแหละ ผมไม่อยากอธิบายมากนัก ก็เลยนั่งเงียบๆ และคุยเท่าที่จำเป็นจนถึงสนามบิน

เมื่อมาถึงสุวรรณภูมิผมก็เรียกแกร็บคาร์กลับบ้าน เพราะไม่ได้เอารถมาจอดที่สนามบินไว้ มาถึงบ้านตอนบ่ายเศษๆ ผมเข้าประตูเล็กและลากกระเป๋าเดินเข้าบ้านเอง มาถึงก็ได้ยินเสียงคนคุยกันในบ้าน เสียงผู้ชายเป็นม่อนแน่ๆ แต่เสียงผู้หญิงที่ดังปะปนมาก็ฟังดูคุ้นๆ เหมือนเคยได้ยินที่ไหนสักแห่ง

จนกระทั่งโผล่หน้าเข้ามาในบ้าน คนที่นั่งคุยกันอยู่ก็หันมามองผม คราวนี้ผมจึงรู้ว่าเสียงผู้หญิงที่ได้ยินเมื่อกี้คือเสียงใคร

“เจ๊เอ้”

“อ้าวอาร์ต กลับมาแล้วเหรอ”

ผมปล่อยมือจากกระเป๋าลาก ก่อนเดินไปกอดพี่สาวสุดที่รักด้วยความคิดถึง ปกติเจ๊เอ้จะมาหาผมปีละสองสามครั้งเวลามาทำธุระที่กรุงเทพ แต่คราวนี้หายไปนาน

ผมปล่อยอ้อมแขน ก่อนถามพี่สาวด้วยรอยยิ้มดีใจ “เจ๊จะมาทำไมไม่บอกผมก่อนล่ะ ถ้าเกิดผมไม่อยู่ล่ะทำไง”

“เมื่อเช้าเจ๊ก็โทรหาอาร์ตนะ แต่มันโทรไม่ติด ปิดเครื่องเหรอ” พี่สาวผมทำหน้าฉงน

“อ๋อ ผมน่าจะอยู่บนเครื่องน่ะเจ๊ ผมเพิ่งมาจากพิษณุโลก ไปทำบุญมา แล้วนี่เจ๊ออกมาจากอุทัยตั้งแต่ตอนไหนครับเนี่ย”

“ออกมาตั้งแต่เช้ามืดแล้ว เจ๊ว่าจะบอกแล้วล่ะว่าจะมา แต่มันยุ่งๆ ก็เลยลืม ก็เลยว่าจะโทรบอกตอนเช้าๆ ปรากฏว่าโทรเท่าไหร่ก็ไม่ติด เจ๊ก็เลยขับรถมาที่บ้านอาร์ตเลย แล้วก็มาเจอม่อนนี่แหละ”

พี่สาวผมหันไปทางม่อนซึ่งยืนฟังอยู่เงียบๆ ผมหันไปยิ้มให้คนรักบางๆ เป็นเชิงทักทาย จากนั้นก็หันมาคุยกับเจ๊เอ้ต่อ

“เจ๊เอ้จำม่อนได้เหรอครับ”

พี่สาวผมหัวเราะทันที จากนั้นก็เล่าไปหัวเราะไป “ตอนแรกเจ๊ก็ไม่รู้หรอกว่าเป็นม่อน พอม่อนมาเปิดประตูให้ ต่างคนก็ต่างมองหน้ากัน เจ๊ก็ว่าผู้ชายคนนี้หน้าคุ้นๆ ม่อนเขาก็คงรู้สึกว่าพี่หน้าคุ้นๆ เหมือนกัน แต่มันไม่ได้เจอกันนานมากไง ก็เลยนึกไม่ออกว่าเป็นใคร”

“ม่อนก็จำเจ๊เอ้ไม่ได้เหรอ” ผมหันไปถามม่อนบ้าง

ม่อนส่ายหน้าแล้วก็ขำ “จำไม่ได้เลยครับพี่อาร์ต ผมก็พยายามนึกอยู่ว่าเป็นใคร เพราะหน้าคุ้นมาก”

“แหม จะบอกว่าเจ๊อ้วนขึ้นก็ว่ามาเถอะ เจอกันครั้งสุดท้ายนี่เจ๊ยังเอวยี่สิบสี่อยู่เลย” เจ๊เอ้ขำ จากนั้นก็เล่าต่อ “ม่อนเขาโผล่หน้ามาถามเจ๊ตรงประตูว่ามาหาใครครับ เจ๊ก็บอกว่ามาหาอาร์ต เจ๊เป็นพี่สาวอาร์ต ทีนี้ม่อนเขาก็ตาโต ทำหน้าดีใจใหญ่เลย แล้วก็ถามเจ๊ว่า…เจ๊เอ้เหรอครับ เจ๊ก็ตอบว่าใช่ แล้วน้องรู้จักชื่อพี่ได้ยังไง เราไม่เคยเจอกันไม่ใช่เหรอ เขาก็เลยบอกว่าเขาชื่อม่อน แต่เจ๊ก็ยังงงอยู่ ก็เลยถามว่าม่อนไหน ม่อนเขาบอกเจ๊ว่า…ม่อนน้องพี่เมี่ยงที่อยู่เชียงใหม่ไง เจ๊จำผมไม่ได้เหรอ ทีนี้เจ๊ก็ร้องอ๋อเลย อ๋อใช่ ม่อน…น้องไอ้เมี่ยง จำได้แล้ว ถึงว่าคุ้นหน้ามาก”

พวกเราสามคนพากันขำ ดูเหมือนพี่สาวผมจะดีใจที่ผมได้เจอม่อนมากทีเดียว พอหยุดหัวเราะแกก็พูดต่อ

“จากกันไปนานขนาดนี้ ก็ยังอุตส่าห์หากันจนเจอ เจ๊ยังจำได้เลยนะตอนนั้น ป๊าด่าอาร์ตทีไร อาร์ตก็จะหายไปอยู่กับม่อนทั้งวันทั้งคืน เราสองคนน่ะ…สนิทกันอย่างกับเป็นพี่น้องกัน เจ๊ยังเคยคิดเลยว่าจะให้ป๊าขอม่อนมาเป็นลูกบุญธรรมอีกสักคน แต่ก็น่าเสียดาย พออาร์ตจบมอหก พวกเราก็ต้องย้ายจากเชียงใหม่ไปอยู่อุทัย ส่วนอาร์ตก็ไปเรียนต่อที่ไต้หวัน ก็เลยไม่ได้เจอกันอีกเลย” เจ๊เอ้ทำหน้าเศร้าเล็กน้อย แต่ไม่นานก็หันมาต่อว่าผมไม่จริงจังนัก “ว่าแต่ทำไมอาร์ตไม่บอกเจ๊ล่ะว่าม่อนมาอยู่ด้วย เจ๊ก็ไม่รู้ ไม่งั้นก็จะได้ซื้อของมาฝากม่อนด้วย มีแต่ของอาร์ต”

“อ๋อ พอดีช่วงที่ผ่านมาผมยุ่งๆ กับงานละครน่ะครับเจ๊ ก็เลยยังไม่ได้บอกที่บ้าน” ผมแก้ตัวยิ้มๆ

พี่สาวผมไม่ค่อยสนใจละเม็งละครเท่าไหร่ แทบไม่เคยดูละครที่ผมเล่นเลยด้วยซ้ำ แกแซวว่ามันดูหลอกลวงมาก แต่ก็ไม่ถึงกับจะไม่ติดตามหรอก ถ้ามีข่าวดังๆ แกก็จะรู้บ้าง ส่วนป่าป๊ากับหม่าม้าใช้อุปกรณ์สมัยใหม่ไม่ค่อยเป็น จึงไม่ได้เข้าโลกโซเชียลมาติดตามงานของลูกชายเท่าไหร่นัก แต่ก็ดีแล้วล่ะ เพราะช่วงนี้ผมมีข่าวไม่ดีค่อนข้างเยอะ

“พี่อาร์ตกินอะไรมาหรือยังครับ ผมทำข้าวซอยเตรียมไว้ให้” ม่อนถาม เจ้าตัวคงเป็นห่วงว่าผมจะยังไม่ได้กินอะไร เพราะนี่ก็เลยเที่ยงมาแล้ว

“กินบนเครื่องมานิดหนึ่ง แต่ไม่อิ่มหรอก” ผมหันไปตอบ

“งั้น…พี่อาร์ตจะกินเลยไหมครับ เดี๋ยวม่อนไปเอามาให้”

“ได้ๆ เอามาเลย กำลังอยากกินพอดี”

“งั้นพี่อาร์ตรอสักสิบนาทีนะครับ มันน่าจะเย็นแล้ว เดี๋ยวม่อนอุ่นให้ใหม่”

“โอเค”

ผมยิ้มและมองตามคนที่เดินหายเข้าครัวไป ลืมไปชั่วขณะว่าพี่สาวอยู่ตรงนี้ พอหันมาเจอเจ๊เอ้อีกที ผมก็เห็นแกมองผมแปลกๆ จนผมรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ผมจึงแกล้งทำเป็นถาม

“เจ๊กินอะไรมาหรือยังครับ กินข้าวซอยไหม เดี๋ยวผมให้ม่อนทำให้ ม่อนเขาทำอร่อยมาก”

“เจ๊กินแล้ว กินข้าวซอยกับม่อนนั่นแหละ” พี่สาวผมเดินกลับไปนั่งที่เดิม ผมก็เลยเดินไปนั่งลงใกล้ๆ เพราะรู้สึกได้ว่าแกมีเรื่องอยากคุย น่าจะเป็นเรื่องม่อนนั่นแหละ

พอผมนั่งลง เจ๊เอ้ก็เริ่มพูด “ม่อนเขาบอกเจ๊ว่าเขามาอยู่กับอาร์ตจะสองเดือนแล้ว แต่เจ๊ก็ว่าดีนะ อาร์ตจะได้มีเพื่อน อีกอย่างม่อนก็เป็นคนคุ้นเคยกัน พอรู้ว่าเป็นม่อนเจ๊ก็สบายใจ แต่ว่า…” พี่สาวผมเว้นจังหวะและจ้องหน้าผม ทำหน้าเหมือนสงสัยอะไรบางอย่าง “ทำไมอาร์ตไม่บอกที่บ้านล่ะว่าม่อนมาอยู่ด้วย กลัวป่าป๊าว่าเหรอ”

พี่สาวผมถามตรงใจดำทีเดียว แม้ว่าเรื่องนี้จะผ่านมานานมากแล้ว แต่เราก็ยังจำได้ ผมจึงยอมรับไปตามตรง “ก็นิดหนึ่งน่ะเจ๊”

“เจ๊เข้าใจนะ” เจ๊เอ้มองผมอย่างใช้ความคิด “แต่ว่า…วันหนึ่งอาร์ตก็ต้องบอกนั่นแหละ หาวิธีไว้ก็แล้วกันว่าจะบอกยังไง ว่าแต่…ไอ้เรื่องที่เป็นข่าวอยู่น่ะ สรุปว่าเป็นม่อนใช่ไหมเนี่ย เจ๊ได้ดูคลิปอยู่ แต่ตอนนั้นเจ๊จำม่อนไม่ได้ไง ก็เลยไม่รู้ว่าเป็นม่อน คิดว่าเป็นคนอื่น เอามาดูเลยดีกว่า” ว่าแล้วพี่สาวผมก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา จิ้มๆ กดๆ ไม่นานแกก็เปิดคลิปที่เขาแชร์กันว่อน “นี่ไง ม่อนจริงด้วย”

“ครับเจ๊”

ผมยอมรับยิ้มๆ ไม่รู้หรอกว่าพี่สาวผมคิดยังไง แต่แกเคยรู้เรื่องผมกับม่อนเมื่อนานมาแล้ว เพราะตอนก่อนไปไต้หวัน ป่าป๊าไม่ยอมให้ผมไปหาม่อน ทำเอาผมกินไม่ได้นอนไม่หลับ บางวันถึงกับแอบร้องไห้ เจ๊เอ้มาเจอเข้าพอดี แกก็เลยถามว่าผมเป็นอะไร ผมตอบไปตามประสาซื่อว่าคิดถึงม่อน อยากไปหาเขา แต่ก็ไปไม่ได้ ถึงจะไม่ได้บอกตรงๆ ว่าคิดถึงเพราะอะไร เจ๊เอ้ก็น่าจะพอเดาออก เพียงแต่ยุคนั้นเราไม่พูดเรื่องนี้กัน

“รักเขาเหรอ” พี่สาวผมถามตรงๆ ทำเอาผมถึงกับชะงักไปเลย จากนั้นแกก็พูดยิ้มๆ “เห็นมองเขาเมื่อกี้เจ๊ก็รู้แล้ว”

“ครับเจ๊” ผมยิ้มเขินๆ

“แต่เอาเถอะ สมัยนี้แล้ว เจ๊ไม่มีปัญหาหรอก มันเป็นชีวิตของอาร์ต อยู่กับใครแล้วมีความสุข เจ๊ก็มีความสุขด้วย จะมีก็แต่ทางโน้นนั่นแหละ เรื่องใหญ่นะเนี่ย” เจ๊เอ้มองด้วยแววตาเห็นใจ แต่สักพักก็ยักไหล่เหมือนไม่แยแส “แต่อาร์ตก็โตแล้วนี่ เดี๋ยวนี้เขาก็ไม่ห่วงอะไรอาร์ตแล้ว ชีวิตก็ประสบความสำเร็จ เป็นดาราดัง มีเงินมีทอง ดูแลตัวเองได้ ลูกสาวก็มีเป็นของตัวเอง เจ๊คิดว่าเขาคงไม่มาบังคับอะไรอาร์ตอีกแล้วล่ะ”

“ผมก็หวังว่าอย่างนั้นแหละเจ๊ แต่ก็แอบเสียวๆ อยู่ ถึงไม่กล้าบอกไงครับ” ผมหัวเราะเบาๆ รู้สึกโล่งใจที่พี่สาวเปิดใจรับได้

“จริงจังกับเขาใช่ไหม” เจ๊เอ้หรี่ตามองผมคล้ายจะจับผิด เขารู้อยู่แล้วว่าน้องชายของตัวเองเป็นยังไง

“จริงจังสิครับเจ๊ เขาเรียนจบเมื่อไหร่ ผมจะขอเขาแต่งงานเลย” ผมยืนยันเป็นมั่นเหมาะ

“แน่ใจเหรอ” เจ๊เอ้เลิกคิ้ว ทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ

“แน่ใจสิเจ๊” ผมยืนยันอีกครั้ง

“แล้วสาวๆ พวกนั้นล่ะ เอาไปไว้ไหน”

“เลิกหมดแล้วเจ๊ เที่ยวกลางคืนผมก็ไม่ค่อยไปแล้ว ตั้งแต่ม่อนมาอยู่ด้วย ผมก็เป็นเด็กดีทุกวัน”

“เออ ถ้าทำได้อย่างนั้นจริงเจ๊ก็ดีใจด้วย” เจ๊เอ้พูดยิ้มๆ ไม่รู้ว่าเชื่อที่ผมพูดมากแค่ไหน “ก็ดีแล้วล่ะ ป่าป๊ากับหม่าม้าเขาก็ห่วงอยู่ เขาก็อยากให้เป็นฝั่งเป็นฝา อายุก็ไม่น้อยแล้ว ว่าแต่ลูกสาวเราเขาจะมาเมืองไทยไหมปีนี้ อากงอาม่าเขาคิดถึงหลานสาว” เจ๊เอ้เปลี่ยนมาถามถึงลูกสาวที่ไต้หวันของผมตอนท้าย

“เห็นเขาว่าจะมาอยู่นะครับ รอช่วงปิดเทอมนั่นแหละ แต่หม่ามี้เขาคงไม่มาด้วยนะคราวนี้ เขาจะให้ผมไปรับซินหยานเอง” ผมพูดติดตลกตอนท้าย

แฟนเก่าผมแต่งงานใหม่ไปนานแล้ว แต่สามีใหม่ไม่ค่อยชอบให้เธอมาเจอผมเท่าไหร่ คราวที่แล้วที่เธอมาเมืองไทยกับลูกสาว เธอทะเลาะกับสามีไปหลายวันเลย ทางนั้นคงเห็นว่าผมเป็นดารา มีชื่อเสียงเงินทอง แถมยังรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการเรียนของซินหยานให้ทั้งหมด จึงกลัวว่าถ่านไฟเก่าจะปะทุขึ้น

เจ๊เอ้พยักหน้ารับรู้ เมื่อถามถึงหลานแล้วก็เลยอยากรู้เรื่องการเรียนของหลานต่อ “เอ…เขาจะจบไฮสคูลปีนี้หรือปีหน้านะ เจ๊จำไม่ได้แล้ว”

“ปีหน้าครับ พอจบแล้ว…ซินหยานเขาอยากไปเรียนต่อที่เมกา เขาก็เริ่มหาๆ ไว้บ้างแล้วว่าอยากจะไปเรียนที่ไหน”

“ดีแล้วล่ะ ให้เขาไปเรียนเมืองนอกนั่นแหละ จะได้มีโอกาสดีๆ เจ๊ก็ว่าจะให้คนโตของเจ๊ไปเหมือนกัน ส่วนคนเล็กนี่ขอดูก่อน เดี๋ยวนี้ใช้เงินเก่งเหลือเกิน ให้ไปเรียนเมืองนอกนี่เจ๊คงล่มจม” เจ๊เอ้ขำเบาๆ เมื่อพูดถึงลูกชายคนโตและลูกสาวคนเล็ก

“ถ้าจะให้ผมช่วยก็บอกได้นะเจ๊” ผมอาสา เพราะผมเองก็มีเงินพอส่งให้หลานสองคนเรียนได้สบายๆ

“ไม่เป็นไรหรอก เจ๊ยังไหวอยู่ ว่าแต่…ลูกสาวเราน่ะ เขารู้หรือยังว่าเรา…” เจ๊เอ้ละไว้ในฐานที่เข้าใจ

ผมรู้ได้ไม่ยากนักว่าเป็นเรื่องม่อน จึงส่ายหน้า “ยังไม่ได้บอกเลยเจ๊ เอาไว้ให้อะไรมันแน่นอนกว่านี้ก่อนดีกว่า เดี๋ยวผมจะบอกเขาเอง”

พี่สาวผมพยักหน้าเข้าใจ ก่อนหยุดการสนทนาระหว่างเราสองคนพี่น้องเอาไว้ เพราะม่อนยกข้าวซอยร้อนๆ ออกมาจากครัวพอดี

“แค่ได้กลิ่นก็รู้แล้วว่าอร่อย” ผมหันไปชม เมื่อพี่สาวรู้แล้วผมก็ไม่เกรงใจที่จะส่งยิ้มหวานๆ ให้ม่อน

“อร่อยเลยล่ะ เมื่อกี้เจ๊กินแล้ว ฝีมืออย่างนี้เลย ถ้าเปิดร้านข้าวซอยน่าจะรุ่ง” เจ๊เอ้ยกนิ้วโป้งให้ ม่อนยิ้มแก้มแทบปริเลยทีเดียว

ม่อนวางชามข้าวซอยลงตรงหน้าผมแล้วก็บอก “เดี๋ยวผมเอากระเป๋าไปเก็บให้นะครับพี่อาร์ต เมื่อกี้ผมก็ลืมดู”

ผมพยักหน้าตกลง ม่อนจึงเดินไปตรงกระเป๋าลากที่ผมวางไว้ เจ๊เอ้มองยิ้มๆ แล้วก็แซว

“ดูแลดีแบบนี้นี่เอง อาร์ตถึงไม่ไปไหน”

ม่อนชะงัก เจ้าตัวคงรู้สึกได้ว่าพี่สาวผมพูดแปลกๆ นั่นเอง เจ๊เอ้เห็นม่อนทำหน้างงก็เลยพูดกลบเกลื่อนติดตลก

“ไม่มีอะไรหรอกจ้ะม่อน เอากระเป๋าอาร์ตไปเก็บเหอะ”

“อ๋อครับ” จากนั้นม่อนก็ลากกระเป๋าของผมขึ้นบันไดไป

พอม่อนลับตาไปแล้วพี่สาวผมก็ชม “เขาก็ยังเป็นคนน่ารักเหมือนเดิมนะ เมื่อกี้เจ๊คุยกับเขาแล้ว ใช้ได้เลยนะ คิดดูสิ ขนาดแม่ป่วยก็ยังลาออกจากงานมาดูแลแม่ คนกตัญญูแบบนี้หาง่ายที่ไหน”

“ครับเจ๊” ผมยิ้มเขินๆ เพราะตั้งแต่มีแฟนมา ก็เพิ่งจะมีคนนี้แหละที่เจ๊ผมชมว่าน่ารัก

ผมกินข้าวซอยได้ไม่กี่คำก็มีโทรศัพท์ดังขึ้น พี่แอนนั่นเอง คงมีเรื่องแน่ๆ ที่จริงผมก็เตรียมตัวเตรียมใจไว้บ้างแล้ว ถ้าเดาไม่ผิดก็น่าจะมาจากสาวที่ชื่อโมเมนั่นแหละ

“สวัสดีครับพี่แอน”

ทันทีที่ผมรับสาย พี่แอนก็ใส่มาเป็นชุดๆ “อาร์ต ข่าวว่าอาร์ตไม่แมนมันออกมาอีกแล้วนะ เห็นหรือยัง เขาไม่ได้เอ่ยชื่อหรอก แต่ถ้าอาร์ตอ่าน มันก็เดาได้ไม่ยากหรอก พี่จะไม่ไหวแล้วนะอาร์ต ภาพพระเอกของพี่มันเสียไปหมดแล้ว อาร์ตลองเข้าไปอ่านที่เขาคอมเมนต์กันดูสิ มีแต่คนเขาหัวเราะ บอกว่าพระเอกของพี่แมนแต่ในจอ แต่นอกจอก็อีกอย่าง ไอ้คลิปบ้าๆ นั่นก็ทำให้เรตติ้งละครมันตกไปเยอะแล้วนะอาร์ต นี่ยังจะมีข่าวแบบนี้ออกมาอีกเหรอ ทำไมทำอะไรไม่ระวังเลยน่ะอาร์ต”

คำตำหนิตอนท้ายทำเอาผมถึงกับสะอึก กินข้าวไม่ลงกันเลยทีเดียว จะว่าไปก็เป็นอย่างที่พี่แอนบ่นนั่นแหละ ช่วงนี้ผมควรจะอยู่เงียบๆ และระวังตัว เพื่อไม่ให้มีข่าวที่ส่งผลกระทบต่อละครที่กำลังออกอากาศอยู่ กะว่าจะให้เรื่องมันซาไปเอง แต่ก็ดันมาพลาดอีกจนได้

“ผมผิดเองครับพี่แอน” ผมกล้ำกลืนพูดออกไป ที่จริงมันก็เป็นแค่ข่าวซุบซิบ ไม่กี่วันคนก็เลิกสนใจ ไม่จำเป็นต้องทำอะไรหรอก แต่ในช่วงเวลาเปราะบางแบบนี้ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็อาจสร้างปัญหาได้

“แล้วจะทำยังไง พี่ไม่ยอมแล้วนะ ในเมื่ออาร์ตทำเรื่อง คราวนี้อาร์ตต้องแก้ปัญหาให้พี่ ทำยังไงก็ได้ อย่าให้เรตติ้งละครตกอีก ไม่งั้น…เราคงจะร่วมงานกันอีกไม่ได้แล้วนะอาร์ต”

กระแทกเสียงแล้วพี่แอนก็วางสายไป ม่อนลงมาพอดี ทั้งม่อนและพี่สาวผมต่างก็มองมาที่ผมด้วยแววตาสงสัย เพราะทั้งสองคนคงรู้สึกได้ว่าสีหน้าของผมไม่สู้ดีนักหลังรับสาย

ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่ รวบช้อนส้อมในชามข้าวซอยแล้วเอนหลังพิงพนัก ส่งสัญญาณว่าคงจะกินต่อไปไม่ได้ ไม่ใช่เพราะไม่อร่อย แต่เป็นเพราะมีเรื่องใหญ่มากวนใจต่างหาก

“มีอะไรหรือเปล่าอาร์ต ทำไมทำหน้าเครียดๆ ล่ะ” พี่สาวผมถามด้วยความเป็นห่วง

ผมถอนหายใจเบาๆ เมื่อพี่สาวมาอยู่ตรงนี้แล้ว ผมก็จะเล่าให้เธอฟัง เผื่อเธอจะช่วยคิดหาทางออกให้ผมได้บ้าง

TBC…

เพลงพายุในใจ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-02-2022 11:04:59 โดย Y-Lamoon »

ออฟไลน์ meteexp

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
Re: ⏲⏲⏲Time Machine - ตอนที่ 12 พายุในใจ
«ตอบ #41 เมื่อ06-02-2022 00:17:50 »

ออกมาเลยดีกว่า

ออฟไลน์ Y-Lamoon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
Re: ⏲⏲⏲Time Machine - ตอนที่ 12 พายุในใจ
«ตอบ #42 เมื่อ12-02-2022 07:26:15 »

อีกวันสองวันจะมาอัปเดตนะครับ

ออฟไลน์ Y-Lamoon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
Re: ⏲⏲⏲Time Machine - ตอนที่ 12 พายุในใจ
«ตอบ #43 เมื่อ13-02-2022 12:23:02 »

---

ออฟไลน์ Y-Lamoon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
Re: ⏲⏲⏲Time Machine - ตอนที่ 12 พายุในใจ
«ตอบ #44 เมื่อ13-02-2022 12:32:33 »

Soon

ออฟไลน์ Y-Lamoon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
Re: ⏲⏲⏲Time Machine - ตอนที่ 12 พายุในใจ
«ตอบ #45 เมื่อ13-02-2022 12:35:00 »

---

ออฟไลน์ Y-Lamoon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
Re: ⏲⏲⏲Time Machine - ตอนที่ 12 พายุในใจ
«ตอบ #46 เมื่อ13-02-2022 12:37:42 »

ตอนที่ 13 รอ


เมื่อหัวสัมผัสกับต้นขาอุ่นๆ ผมก็หยิบแท็บเล็ตคู่ใจขึ้นมาดูคลิปที่พี่อังเดรทำให้ ตอนนี้โพสต์ไว้อยู่ในไอจีของพี่อาร์ต แม้ว่าวันนี้ผมดูไปหลายรอบแล้ว แต่ก็ยังอยากดูอีก ผมว่ามันน่ารักดี

คลิปวิดีโอสั้นนั้นถ่ายที่ห้องวาดรูปของพี่อาร์ตนั่นแหละ เรื่องในคลิปเริ่มจากผมนั่งดูพี่อาร์ตวาดรูป แต่พอเห็นรูปที่วาดผมก็มุ่นคิ้ว ตอนนั้นผมไม่ได้แกล้งสงสัยหรอก เพราะพี่อังเดรบอกว่าห้ามบอกบทผม ผมรู้แค่ว่าอยากพูดอะไรก็พูดไปเลย บทสนทนาจะได้ดูเหมือนจริง

“พี่อาร์ตวาดรูปอะไร”

“รูปหัวใจไง”

“เหรอ แล้วทำไมมันมีแค่ครึ่งดวงเองล่ะครับ”

“อีกครึ่งดวง…พี่จะให้ม่อนช่วยวาดให้ไง”

“ผมวาดรูปไม่เป็นซะหน่อย”

“เดี๋ยวพี่สอนให้ มานั่งนี่เร็ว”

พี่อาร์ตให้ผมเขยิบไปนั่งข้างหน้า ขณะที่เขาเขยิบไปนั่งซ้อนข้างหลังผม เมื่อเรียบร้อยเขาก็ส่งพู่กันซึ่งจุ่มสีแดงๆ มาให้ผมถือไว้ ก่อนจับมือผมไปจรดที่กระดานวาดรูป ตรงจุดกึ่งกลางด้านบนของหัวใจพอดี พี่อาร์ตจับมือผมตวัดพู่กันเป็นเส้นโค้งขึ้น ก่อนโค้งต่ำลงจนปลายพู่กันมาบรรจบกับจุดกึ่งกลางของหัวใจด้านล่างพอดี เพียงเท่านี้ หัวใจดวงสีแดงก็สมบูรณ์ ครึ่งหนึ่งพี่อาร์ตวาดเอง อีกครึ่งหนึ่งเขาช่วยจับมือผมวาด

พี่อาร์ตหันมายิ้มให้ผมแล้วก็พูดสั้นๆ ว่า “เปิ้นฮักตั๋วเน่อ”

คลิปของเราจบลงแค่นี้ ลงแค่ไม่กี่ชั่วโมงมันก็กลายเป็นไวรัล แชร์กันไปเป็นหมื่นเป็นแสน ยอดไอจีของพี่อาร์ตที่ร่วงมาหลายวันก็มีคนติดตามเพิ่มขึ้นมาก แฟนเพจก็พลอยได้อานิสงส์ไปด้วย เรตติ้งละครก็กลับมาดีขึ้น

“ชอบเหรอ เห็นดูตั้งหลายรอบ” เจ้าของตักที่ให้ผมหนุนนอนก้มลงมาถาม

“พี่อังเดรนี่เก่งนะครับ คิดได้ยังไงให้พี่อาร์ตวาดหัวใจครึ่งหนึ่ง แล้วอีกครึ่งหนึ่งก็ให้ผมวาด” ผมเลือกชมพี่อังเดรแทนที่จะตอบตรงๆ แต่มันก็แปลว่าผมชอบคลิปนี้นั่นแหละ

“แต่ก็ขอบคุณม่อนด้วยนะที่ช่วยพี่ ตกกระไดพลอยโจนเลย” พี่อาร์ตทำหน้าซาบซึ้ง

“เฮียต้องไปขอบคุณเจ๊เอ้โน่น” ผมสัพยอก ปกติผมไม่ค่อยเรียกพี่อาร์ตว่าเฮียหรอก ยกเว้นว่าอยากจะหยอกเล่น

“ครับผม เฮียขอบคุณเจ๊เอ้ไปแล้วครับ เจ๊เอ้บอกว่าเจ๊ไม่ได้ช่วยอะไรเลยนะ ไปขอบคุณพี่อังเดรโน่น” พี่อาร์ตทำเสียงล้อบ้าง

หลังจากพี่อาร์ตเล่าปัญหาทั้งหมดให้พี่สาวฟัง เจ๊เอ้ก็แนะนำสั้นๆ ง่ายๆ ว่าให้ไปหาพี่อังเดร เพราะแกไม่ได้ทำงานในวงการบันเทิง ไม่รู้หรอกว่าจะต้องทำยังไง ต้องให้คนในวงการเดียวกันช่วยคิดให้ นั่นแหละ พี่อาร์ตก็เลยไปปรึกษาพี่อังเดร

ความคิดแรกที่พี่อังเดรบอกเราสองคนก็คือ

“อย่างแรก…เราต้องเรียกยอดฟอลโลวคืนกลับมาให้ได้เท่าเดิมก่อน แต่ถ้าจะให้ดีก็ควรจะได้เยอะกว่าเดิม สักพักเรตติ้งละครก็จะดีขึ้น พี่แอนก็จะได้สบายใจ แต่ไม่ต้องไปหวังจากกลุ่มเดิมหรอก เขาอันฟอลโลวไปแล้วคงไม่กลับมาอีก เราต้องหากลุ่มเป้าหมายใหม่ จะลองกลุ่มวายดูไหม ขอแค่ให้เรตติ้งมันดีขึ้น ทุกอย่างก็จะดีเอง พี่แอนเขาคงไม่เกี่ยงหรอกว่าใครมาดูละครของเขา อีกอย่างหนึ่งก็คือ…เราต้องใช้ความรักสื่อสาร ความรักแบบไหนมันก็สวยงามหมดแหละ คนชอบดู มันเป็นพลังบวก มันทำให้ยิ้มได้ ต้องทำให้เขายิ้มตามเรา”

จากนั้นพี่อังเดรก็นั่งคุยกับเราสองคน เขาขอให้เราเล่าเรื่องราวตั้งแต่เจอกันครั้งแรก จนกระทั่งกลับมาเจอกันอีกครั้งในวันนี้ ตอนแรกว่าจะคุยกันแค่ชั่วโมงสองชั่วโมง แต่ปรากฏว่าวันนั้นเรานั่งคุยกันเป็นวันๆ พี่อังเดรสนใจเรื่องราวของเรามาก ถึงขนาดกับออกปากว่า

“ทำเป็นซีรี่ส์ได้เลยนะเนี่ย”

แน่นอนว่าเราคงไม่ถึงกับจะทำซีรี่ส์ขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหานี้ตอนนี้หรอก เพราะเราต้องการทางออกที่เร่งด่วนกว่านั้น ก็เลยกลายมาเป็นคลิปสั้นน่ารักๆ นี้ในที่สุด

ตอนแรกพี่อาร์ตไม่อยากให้ผมทำหรอก เพราะเขาเป็นห่วงผม ไม่อยากให้มาเดือดร้อนด้วย เบื้องหลังวงการบันเทิงมีอะไรหลายอย่างที่ผมยังไม่รู้ แต่ผมก็ยืนยันว่าจะช่วย เพราะปัญหาส่วนหนึ่งก็เกิดมาจากผมนั่นแหละ วันนั้นผมไม่ควรวิ่งเข้าไปกอดพี่อาร์ตที่ลานหน้าสยาม ดังนั้น ผมก็ควรจะมีส่วนรับผิดชอบ

“พี่อาร์ตได้อ่านคอมเมนต์ใหม่ๆ หรือยัง มีคนชอบเยอะเลย สาววายหนุ่มวายเพียบ” ผมเงยหน้าขึ้นไปถามพลางยกแท็บเล็ตให้พี่อาร์ตดูคอมเมนต์ที่ผมว่า

“อันนี้ยังไม่ได้อ่านเลย” พี่อาร์ตรับแท็บเล็ตไปแล้วก็อ่านคอมเมนต์ อ่านไปยิ้มไป ขณะที่ผมก็นอนหนุนตักเขาสบายๆ แม้จะดึกแล้วแต่ก็ยังไม่ค่อยง่วงเท่าไหร่

อ่านจนพอใจแล้วพี่อาร์ตก็ส่งแท็บเล็ตคืนให้ผม “ก็จริงอย่างที่พี่อังเดรว่านะ ต้องใช้ความรักสื่อสาร เพศไหนก็ไม่สำคัญ ทำให้คนยิ้มได้ก็พอ”

“พี่แอนน่าจะแฮปปี้แล้วใช่ไหมครับ” ผมเอาแท็บเล็ตมาไล่อ่านคอมเมนต์ต่อ

“ก็แฮปปี้แล้วนะ ยิ้มออกแล้วล่ะ ถึงพระเอกของเขาไม่เหมือนเดิมแล้ว แต่เรตติ้งมันก็โอเค” พี่อาร์ตพูดติดตลกตอนท้าย

“ก็เหลือแต่พี่นง” ผมใช้นิ้วเขี่ยเลื่อนอ่านคอมเมนต์ไปด้วย

“เขาดูเงียบๆ นะ แต่ยอดติดตามแฟนเพจมันสูงกว่าเดิม เขาคงโอเคมั้ง” พี่อาร์ตหัวเราะในลำคอ จากนั้นก็เปลี่ยนเรื่อง “ในคลิปน่ะ เฮียก็บอกรักม่อนไปแล้วนะ เมื่อไหร่…เฮียจะได้ยินคำว่ารักจากม่อนซะทีเนี่ย”

“เคยบอกไปตั้งนานแล้ว แต่พี่อาร์ตบอกว่าฟังไม่รู้เรื่อง หัวเราะใส่ผมอีก” ผมแสร้งทำเสียงกระเง้ากระงอด วางแท็บเล็ตไว้ข้างตัว

“บอกตอนไหน” พี่อาร์ตเลิกคิ้ว

“ตอนไปเที่ยวแม่ฮ่องสอนไง พี่อาร์ตจำไม่ได้เหรอ”

“โห นานมากขนาดนั้น พี่จะจำได้ยังไง ม่อนบอกว่าชอบพี่ที่แม่ฮ่องสอนเหรอ”

“ครับ แต่ตอนนั้นผมตื่นเต้นมากไปหน่อย กลัวมาก ปากสั่น มือสั่น ขาสั่น สั่นไปทั้งตัวเลย พอพูดออกไป มันก็เลยฟังไม่เป็นคำ พี่อาร์ตก็เลยหัวเราะ บอกว่าผมพูดอะไรไม่รู้ ไม่เห็นรู้เรื่องเลย”

“จริงเหรอ” พี่อาร์ตทำหน้าไม่เชื่อ แต่น่าจะเป็นเพราะจำไม่ได้มากกว่า “แล้วตอนนั้น…ม่อนพูดคำว่าอะไรล่ะ”

“ก็คำเดียวกับที่พี่อาร์ตพูดในคลิปนั่นแหละ พอพี่อาร์ตหัวเราะ ผมก็เลยไม่กล้าพูดอีก”

“พี่นี่แย่จัง อดฟังม่อนบอกรักพี่เลย” พี่อาร์ตทำหน้าเศร้า เขาเอามือสอดใต้รักแร้ผมแล้วก็ดึงให้ลุกขึ้นนั่งพิงหลัง สวมกอดผมหลวมๆ และเอาคางเกยไหล่

“ถ้ามีไทม์แมชชีนย้อนกลับไปนะ พี่จะไปตบหัวไอ้อาร์ตคนนั้นให้หัวคะมำเลย บังอาจหัวเราะน้องม่อนของพี่”

แม้จะรู้ว่าพี่อาร์ตพูดตลก แต่ผมก็รู้สึกได้ว่ามันมีนัยบางอย่าง “พี่อาร์ตอยากย้อนไปจริงๆ เหรอ”

“จริงสิ พี่ยังคิดเลยนะว่าถ้าเราสองคนรักกันตอนนั้น คงจะน่ารักดี ไม่น่ารอให้ผ่านมาจนแก่เลย” พี่อาร์ตหัวเราะ ผมก็ขำตาม เงียบไปสักพักเขาก็ชวนคุยต่อ “หลังจากนั้น…ม่อนเคยบอกพี่อีกไหม”

“ใครจะกล้าล่ะครับ หมดความมั่นใจเลยตอนนั้น จนพี่อาร์ตไปไต้หวันนั่นแหละ ผมถึงนึกเสียดาย ผมน่าจะบอกพี่อาร์ตไปเลย ชอบไม่ชอบ รับได้หรือรับไม่ได้ก็ไม่ต้องสนใจ แต่พี่อาร์ตเป็นรักแรก ผมอยากให้พี่อาร์ตรู้ว่าผมคิดยังไง มันมาพีคก็ตอนขึ้นมอหกนี่แหละ ปีนั้นพี่โจ-ก้องเขามีเพลงไม่กล้าบอกเธอออกมา มันโดนใจผมมาก ผมฟังบ่อยมาก แล้วก็ชอบโทรไปขอเพลงนี้ในรายการวิทยุ บอกพี่ดีเจว่าขอมอบให้พี่อาร์ต คิดถึงพี่อาร์ตเสมอ เขาก็เปิดให้ แล้วก็พูดตามที่ผมบอกเลย ถึงพี่อาร์ตไม่กลับมา ผมก็รอพี่ทุกวัน ขึ้นมหาลัยก็ยังรอ จะขึ้นปีไหนก็ยังร้องเพลงรอของพี่มาช่าทุกปีเลย” ผมเอามือป้ายน้ำตาที่ไหลซึมโดยไม่รู้ตัว เพราะคิดถึงตอนนั้นทีไรก็รู้สึกเศร้า กระนั้นยังยิ้มเมื่อนึกถึงเพลงที่ผมพูดถึง

“ไม่รู้ต้องรออีกนานแค่ไหน ไม่รู้เมื่อไหร่ที่เราจะพบกัน จะเหลืออีกกี่ปี จะเหลืออีกกี่วัน ที่ชีวิตฉันจะอยู่ ได้พบและเจอเธอ”

“พี่ขอโทษนะม่อน” พี่อาร์ตเอานิ้วมือเช็ดน้ำตาให้ จากนั้นก็กอดกระชับผมแนบกับอกที่เปล่าเปลือยเป็นการปลอบใจ กระนั้น เจ้าตัวก็ยังอยากรู้ต่อ “แล้วม่อนทำใจได้ตอนไหนล่ะ”

“อืม…” ผมทำท่านึก “พอขึ้นปีสาม ความหวังของผมก็เริ่มเลือนราง ผมเดาว่าพี่อาร์ตน่าจะเรียนจบแล้ว แต่พี่ก็ยังไม่กลับมา ผมเริ่มทำใจตั้งแต่ตอนนั้นแล้วล่ะ แต่มันก็เศร้ามากที่ต้องยอมรับความจริงว่า…พี่อาร์ตไม่กลับมาแล้ว พี่อาร์ตลืมน้องคนนี้ไปแล้ว”

ผมน้ำตาไหลอีก แต่คราวนี้คนที่กอดผมไว้ก็น้ำตาไหลไปด้วย จนต้องเอามือป้ายน้ำตาตัวเองเหมือนเด็กน้อย

“พี่ไม่รู้เลยว่าพี่ทำร้ายม่อนมากขนาดนี้”

“มันผ่านไปแล้วครับพี่อาร์ต” ผมหันไปยิ้มบางๆ เพื่อจะบอกว่าผมไม่เป็นอะไร

พี่อาร์ตฝังจมูกลงบนแก้มผมแล้วหอมฟอดเบาๆ ขณะที่วงแขนก็กอดกระชับผมไว้ตามเดิม

เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรผมก็เล่าต่อ “แต่กว่าจะทำใจยอมรับได้ก็ผ่านมาอีกเป็นปีๆ เลย แต่ก็ใช้เวลากับรักแรกไปตั้งแปดปี ตั้งแต่มอสามถึงปีสี่”

พี่อาร์ตเอามือลูบผมให้ผมเบาๆ จากนั้นเขาก็พูดบ้าง “หลังจากแปดปีนั้น มันก็ผ่านมาอีกสิบสี่ปี เราถึงได้กลับมาเจอกัน แต่มันนานไป นานจนม่อนลืมเพลงของพี่โจกับก้องไปแล้ว ต้นรักต้นนั้นก็ตายไปแล้ว พี่จะไม่บังคับม่อนให้รักพี่นะ เพราะครั้งหนึ่งม่อนเคยให้พี่แล้ว แต่พี่ไม่เห็นค่า เพราะฉะนั้น พี่จะขอชดใช้ให้ม่อนเอง เหมือนที่พี่เคยชดใช้ให้ลูกสาวของพี่นั่นแหละ ม่อนรู้ไหม กว่าเขาจะยอมรับว่าพี่เป็นป่าป๊า ก็ใช้เวลาหลายปีเลย ถ้าพี่จะต้องใช้เวลาอีกหลายปีทำให้ม่อนรักพี่ พี่ก็ยอม พี่จะอดทนจนถึงวันที่ม่อน…บอกรักพี่อีกครั้ง”

“แก่กันหมดพอดี” ผมขำเบาๆ

“ก็ไม่เป็นไร แก่ก็แก่ ขอแค่ให้พี่มีม่อนอยู่ข้างๆ ไม่แก่ตายคนเดียวพี่ก็พอใจแล้ว”

“แต่มันก็มีตัวช่วยนะครับ พี่อาร์ตจำไม่ได้เหรอ”

“จำได้ สองเพลงนั่นใช่ไหม” พี่อาร์ตตอบทันที พลันก็นึกได้ว่ายังไม่ใช่แค่นั้น “อ้อ เกี่ยวกับดาราคนหนึ่งที่ตายไปแล้ว ต้องเป็นพี่จอห์นนี่แน่ๆ เลย เดี๋ยวพี่ต้องไปถามพี่อังเดรแล้วว่าพี่จอห์นนี่เคยชอบเพลงอะไร สองเพลงนั้น…เป็นเพลงที่พี่จอห์นนี่เคยชอบใช่ไหม”

“ผมบอกแล้วไงว่าผมจะใบ้แค่ครั้งเดียว” ผมกระหยิ่มยิ้ม

“ได้” พี่อาร์ตลากเสียงยาว “เดี๋ยวพี่หาคำตอบเอง ม่อนคอยดูละกัน คนมีความรักน่ะ มันทำได้ทุกอย่างแหละ”

พี่อาร์ตซุกหน้าลงตรงซอกคอของผม มือก็ชักจะเริ่มซุกซนแถวหน้าท้องของผมไปด้วย แถมยังมากระซิบเสียงกระเส่าข้างหูผมอีก “แต่พี่ก็รู้ว่าม่อน…รู้สึกดีที่ได้อยู่กับพี่ จริงไหม”

ผมนั่งอมยิ้ม ปล่อยให้พี่อาร์ตซุกซนตามใจชอบ จนกระทั่งเจ้าตัวน้อยในซาลิเกียสีขาว เริ่มตื่นและดุนดันที่หลังของผม เท่านี้ผมก็รู้แล้วว่าคืนนี้ของเราคงจะยาวไกล

… … …

อีกงานหนึ่งที่พี่อังเดรบอกว่าพี่อาร์ตต้องพาผมไปด้วยก็คืองานมอบรางวัลดาวจรัสแสง เมื่อมีคลิปแล้วก็ต้องออกงานให้คนมาสัมภาษณ์ ปีนี้จัดค่อนข้างใหญ่ เพราะมีละครหลายเรื่องเข้าชิง ล้วนแล้วแต่มีพระเอกและนางเอกเบอร์ต้นๆ ทั้งนั้น พี่อาร์ตมีชื่อลุ้นรับรางวัลกับเขาด้วย แต่เป็นเรื่องบุพเพสันนิวาสที่จบไปตั้งแต่ต้นปี

ก่อนงานพี่อาร์ตพาผมไปตัดชุดใหม่ ผมเผ้าก็ต้องตัดใหม่ด้วย ที่จริงตอนทำงานที่เอ็มอาร์ซีผมก็ออกงานบ่อย แต่ส่วนใหญ่เป็นงานประชุมทางการ เรื่องใส่สูทผูกไทจึงเป็นเรื่องปกติ แต่งานนี้น่าจะหรูหรากว่ามาก เสื้อผ้าที่ใส่ก็แพงเอาเรื่อง แค่เสื้อเชิ้ตตัวเดียวก็หลักหมื่นแล้ว ผมก็เลยตื่นเต้นพอสมควร

เมื่อมาถึงงาน ผมก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจกับทุกอย่างรอบตัวไปหมด มองไปทางไหนก็มีแต่ดารา ถึงผมจะรู้จักไม่มากนัก แต่ก็เจอดาราหน้าคุ้นๆ หลายคน บางคนผมเคยชอบสมัยเด็กๆ ดาราคนแรกที่พี่อาร์ตพาผมไปแนะนำก็คือพี่แอม ทองประสาน ปัจจุบันเป็นผู้จัดละครฝีมือดีอีกคน พี่อาร์ตก็เคยร่วมงานด้วย

“อ้าวอาร์ต สวัสดีค่ะ วันนี้พาแฟนมาเปิดตัวเหรอ” พี่แอม ทองประสานร้องทักพร้อมกับรับไหว้เราสองคน เธอยิ้มกว้างอวดฟันสวย ผมว่าเธอดูดีกว่าตอนเป็นวัยรุ่นเสียอีก

“ครับพี่” พี่อาร์ตยอมรับหน้าชื่น จากนั้นก็แนะนำผม “นี่ม่อนนะครับ”

ผมยกมือไหว้พี่แอม ทองประสานอีกครั้ง เธอมองดูผมอย่างเอ็นดูและรับไหว้ “สวัสดีค่ะม่อน”

พี่แอม ทองประสานเผลอก้มมองดูมือผมกับพี่อาร์ตที่กอบกุมกันไว้ ผมจึงตกประหม่าจนถึงกับจะดึงมือออก ทว่าพี่อาร์ตก็กระชับมือผมไว้ตามเดิม แถมยังหันมาสบตาสั้นๆ เพื่อเตือนให้ผมใจเย็นๆ ไม่ต้องตกใจ

“พี่ได้ดูคลิปแล้ว น่ารักมากเลย พี่แชร์ต่อด้วยนะ แล้วคนก็มาแชร์ต่อจากพี่เยอะมาก” พี่แอนทำเสียงสูงและขำเบาๆ “เอ…แต่มันก็แปลกนะ พี่รู้จักอาร์ตมาตั้งหลายปี ไม่เคยรู้เลยว่า…”

แม้ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีทัศนคติต่อเรื่องนี้อย่างไร สิ่งที่แสดงออกมาจริงใจแค่ไหน พี่อาร์ตก็ยังคงยิ้ม “ตอนแรกผมก็รู้สึกแปลกๆ นิดหน่อยครับ แต่ความรักมันเกิดกับใครเมื่อไหร่เพศไหนก็ได้ เราไม่มีทางรู้หรอกครับ รู้ตัวอีกที…ก็รักไปแล้ว มันก็ต้องไปตามหัวใจเรียกร้อง”

“แล้วอาร์ตยอมรับได้ทันทีเลยไหม หรือว่า…ต้องใช้เวลา” พี่แอม ทองประสานถามอย่างสนใจ

“ไม่นานเลยครับ จริงๆ ผมกับม่อนรู้จักกันมานานแล้วครับ ตั้งแต่เรียนมัธยมที่เชียงใหม่ เราสนิทกันมากตอนนั้น รู้จักนิสัยใจคอกันดี พอมาเจอกันอีกทีผมก็ชอบเลย แทบไม่เสียเวลาคิดเลยพี่”

“อืม…น่าสนใจนะเนี่ย งั้น…พี่ขอเชิญไปออกรายการถามงงๆ กับสุริวิภาหน่อยได้ไหม ว่าแต่ไปออกรายการที่ไหนมาหรือยัง น่าจะมีคนติดต่อมาเยอะนะช่วงนี้”

“ก็เยอะอยู่ครับ แต่เรื่องออกรายการคงเอาไว้ก่อน ม่อนเขายังไม่ชินกับวงการเท่าไหร่ เอาไว้อีกสักพักละกันครับพี่แอม” พี่อาร์ตบอกไปตรงๆ เพราะที่เราตกลงกันไว้มีเพียงสองงานเท่านั้น

“แหม แค่นี้ม่อนก็ดังใหญ่แล้วนะ ดังกว่าพี่อีก เห็นไหมแค่คลิปเดียว ยอดไอจีของอาร์ตแซงพี่ไปแล้วเรียบร้อย” พี่แอม ทองประสานสัพยอกอย่างอารมณ์ดี

เราคุยกับพี่แอม ทองประสานสักพัก พี่อาร์ตก็พาผมไปหาดาราอีกหลายคน พี่แอนกับพี่นงมางานนี้ด้วย แน่นอนว่าพี่อาร์ตก็ไม่ลืมพาผมเข้าไปทักทายสวัสดีตามมารยาท

“นี่ถึงกับพามาออกงานเลยเหรออาร์ต ตกลงเอาจริงใช่ไหม”

พี่แอนทักทายผมกับพี่อาร์ตอย่างอารมณ์ดี พอพี่อาร์ตแก้ปัญหาให้ได้แล้ว เธอก็ไม่ติดใจอะไรอีก อีกอย่างละครเรื่องบุพเพสันนิวาสของเธอก็มีชื่อรับรางวัลหลายสาขา รวมถึงพระเอกของเรื่องด้วย เธอก็เลยยิ้มออก แต่คนที่ดูยากคือพี่นง ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า ผมว่าผู้หญิงคนนี้ดูน่ากลัว หน้ายิ้มแต่กลับดูไม่จริงใจเท่าไหร่

“ครับพี่” พี่อาร์ตตอบยิ้มๆ

“คุณแอน พาน้องเบย่ามารู้จักกับคุณอาร์ตหน่อยสิคะ” พี่นงหันไปบอกเพื่อนผู้จัดละคร ดูเหมือนเธอจะไม่สนใจผมเท่าไหร่ แทบไม่มองเลยล่ะ

“เบย่าไหนครับ” พี่อาร์ตถามด้วยความอยากรู้ ผมเองก็ไม่เคยได้ยินดาราชื่อนี้เหมือนกัน

“นางเอกใหม่ของคุณแอนไงคะคุณอาร์ต คุณอาร์ตยังไม่เคยเจอล่ะสิ ใหม่ถอดด้ามเลย สวยมาก เป็นลูกครึ่งเยอรมัน เป็นญาติห่างๆ ของพี่เอง” พี่นงยิ้มภูมิใจ จากนั้นก็หันไปสั่งพี่แอน “คุณแอนโทรหาน้องเขาหน่อยสิ มารู้จักคุณอาร์ตหน่อย เรื่องหน้าจะให้เล่นด้วยกันไม่ใช่เหรอ”

“อ้อ จริงด้วย ไม่แน่ใจว่ามาถึงหรือยัง เดี๋ยวพี่โทรหาน้องเขาแป๊บหนึ่งนะ” พี่แอนรีบหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋า จากนั้นก็ปลีกตัวออกไปโทรหานางเอกใหม่ไม่ไกลนัก

“เรื่องหน้าจะเริ่มเมื่อไหร่ครับ ผมยังไม่ได้คุยกับพี่แอนเลย” พี่อาร์ตถามพี่นงด้วยความสงสัย

“อ๋อ เราเพิ่งคุยๆ กันค่ะคุณอาร์ต น่าจะมาเร็วหน่อย คุณแอนเขาอยากแก้มือ เพราะว่าเรื่องล่าสุด…มันเสียศูนย์ไปหน่อย” พี่นงมองผมด้วยหางตาตรงประโยคท้าย แถมยังย้ำคำว่า “เสียศูนย์” เป็นพิเศษ

“แต่ว่ามันก็เริ่มดีขึ้นแล้วนะครับตอนนี้ เรตติ้งไม่เลวเลย” พี่อาร์ตแก้ตัว ทว่าพี่นงก็แค่ยกยิ้ม

“ค่ะ แต่มาดีขึ้นช่วงท้ายๆ มันก็ไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไหร่หรอก คุณแอนเขาก็เจ็บตัวไปเยอะ โฆษณาบางตัวก็ถอนไป แฟนคลับกลุ่มเดิมก็หายไปเยอะ ที่ได้มาใหม่…ก็ไม่ค่อยตรงความต้องการของเราเท่าไหร่” พูดจบพี่นงก็ทำท่าเหมือนเจอใครสักคนที่รู้จัก “นั่นไง น้องเบย่ามาแล้ว น้องเบย่า ทางนี้ค่ะ”

พี่นงโบกไม้โบกมือให้นางเอกหน้าใหม่อย่างตื่นเต้น ถึงขนาดเดินไปจูงมือมาหาพี่อาร์ตเองเลยทีเดียว เบย่ายกมือสวัสดีพี่แอนก่อน จากนั้นก็หันมายกมือไหว้พี่อาร์ต

“สวัสดีค่ะพี่อาร์ต โห…พี่อาร์ตตัวจริงหล่อมากเลย หนูเป็นแฟนคลับพี่อาร์ตตัวยงเลยนะคะ”

“อ้อ ขอบคุณครับ” พี่อาร์ตรับไหว้และมองหน้าสวยอย่างสนใจ “ชื่อเบย่าใช่ไหมครับ”

“ค่ะ หนูชื่อเบย่าค่ะ” บอกพี่อาร์ตแล้วเบย่าก็หันไปทางญาติห่างๆ ของเธอ “น้านง ถ่ายรูปหนูกับพี่อาร์ตให้หน่อยได้ไหมคะ เดี๋ยวหนูจะเอาไปลงไอจี ได้เจอตัวจริงแล้ว”

เบย่าส่งมือถือของเธอให้พี่นง ดูเหมือนว่าเธอจะชอบพี่อาร์ตและดูตื่นเต้นมาก เมื่อเป็นอย่างนี้ผมก็เลยต้องปล่อยมือจากพี่อาร์ตและถอยฉากออกมา เพราะรู้ว่าเธอคงไม่อยากถ่ายรูปกับผมหรอก

สาวน้อยวัยยี่สิบต้นๆ ปราดมายืนชิดข้างพี่อาร์ตและเอียงคอคล้ายกับจะซบไหล่ สบช่องคนถ่ายพอดี พี่นงจึงถือโอกาสสั่ง

“คุณอาร์ตเอามือโอบไหล่น้องหน่อยสิคะ ไหนๆ อีกไม่นานก็จะได้เล่นละครเรื่องใหม่ด้วยกันแล้ว”

พี่อาร์ตก็เลยต้องเอามือโอบไหล่เบย่า เมื่อได้ท่าเหมาะแล้วพี่นงก็กดถ่ายให้ ถ่ายไปหลายรูปเลย ให้โพสต์ท่าอย่างกับเป็นคู่พระคู่นางกันเลยทีเดียว น่าแปลกที่เบย่าแทบจะไม่สนใจผมเลย ไม่ถามด้วยซ้ำว่าผมเป็นใคร

ไม่นานพวกเราก็พากันไปนั่งประจำที่ เนื่องจากพิธีมอบรางวัลกำลังจะเริ่มขึ้น พี่นงให้เบย่ามานั่งกับพี่อาร์ตด้วย ในแถวของเรามีผม พี่อาร์ต เบย่า พี่นง พี่แอนและพี่เพชร ส่วนนางเอกเรื่องบุพเพสันนิวาสไม่ได้มาด้วยเพราะป่วยกะทันหัน พี่อาร์ตเพิ่งพาผมไปเยี่ยมไข้มาเมื่อวานก่อน

เบย่าชวนพี่อาร์ตคุยแทบตลอดเวลา พี่อาร์ตหันมาคุยกับผมเมื่อไหร่ เธอก็จะคอยหาเรื่องใหม่ๆ มาชวนพี่อาร์ตคุยเสมอ จึงกลายเป็นว่าสื่อหันไปจับตาพี่อาร์ตกับนางเอกใหม่แทน ผิดแผนของเราเสียแล้ว

สรุปว่าพี่อาร์ตได้รางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากเรื่องบุพเพสันนิวาส เขาถูกสื่อรุมสัมภาษณ์จนแทบไม่ได้หายใจหายคอกันเลย คนนั้นคนนี้มาแสดงความยินดีเยอะไปหมด ขณะที่พี่นงก็คอยเจ้ากี้เจ้าการ จะให้สื่อมาสัมภาษณ์พี่อาร์ตกับน้องเบย่าให้ได้ ทั้งที่ทั้งสองคนก็ยังไม่เคยมีผลงานด้วยกันเลย ดูเหมือนว่าเธอเอาน้องเบย่ามาแย่งซีนผมโดยเฉพาะ

เมื่อสองหนุ่มสาวต่างวัยถูกผลักให้ไปอยู่หน้าไมค์นับสิบ ทั้งคู่ก็ต้องด้นสดและหาทางเอาตัวรอดกันเอง

“พี่อาร์ตกับน้องเบย่าจะมีละครด้วยกันเมื่อไหร่คะ” นักข่าวจากบลูสตาร์ถามก่อนใคร

“อ๋อ น่าจะเร็วๆ นี้ครับ ต้องคอยติดตามข่าวกันนะครับ” พี่อาร์ตตอบพลางยิ้ม แต่ดูก็รู้ว่ายิ้มไปอย่างนั้นแหละ

“แล้ววันนี้น้องเบย่ามาทำอะไรคะ” นักข่าวคนเดิมถาม

“อ๋อ วันนี้เบย่ามาให้กำลังใจพี่อาร์ตค่ะ พอดีเบย่าเป็นแฟนคลับพี่อาร์ต ติดตามผลงานพี่อาร์ตมาหลายปีแล้วค่ะ ก็เลยว่าจะมาแสดงความยินดีเสียหน่อย” สาวน้อยตอบไปแค่นั้น เมื่อไม่มีผลงานด้วยกันก็เลยไม่รู้จะพูดอะไรมากกว่านี้

ผมเดาว่าการสัมภาษณ์ช่วงนี้ไม่น่าจะนานนัก เพราะทั้งพี่อาร์ตและเบย่าต่างก็ไม่รู้จะพูดอะไร ทว่านักข่าวจากดาราเอฟรี่เดย์เจ้าเก่าก็ทำเอาเวทีสัมภาษณ์ร้อนฉ่าขึ้นในช่วงท้าย

“ตกลงพี่อาร์ตยังไงคะเนี่ย เดี๋ยวก็เปิดตัวแฟนผู้หญิง เดี๋ยวก็เปิดตัวแฟนผู้ชาย แล้วแฟนผู้ชายคนล่าสุดไปไหนล่ะคะ หรือว่าเปลี่ยนใจมาชอบผู้หญิงเหมือนเดิมแล้ว ไม่สับสนตัวเองบ้างเหรอคะ”

พี่อาร์ตหน้าตึงขึ้นมาทันที ดูก็รู้ว่าไม่พอใจมาก ถ้าไม่ติดว่าต้องรักษาภาพลักษณ์ เขาคงฉะไม่ยั้ง ผมรู้จักนิสัยเขาดี ส่วนเบย่าก็ได้แต่ทำหน้าเหลอหลา

“วันนี้ผมขอสัมภาษณ์เรื่องรางวัลเท่านั้นละกันนะครับ” พี่อาร์ตตัดบท จากนั้นก็เดินถือถ้วยรางวัลออกมาจากจุดสัมภาษณ์ทันที ผมกับพี่เพชรจึงรีบเดินตามไป

“ใจเย็นๆ เว้ย” พี่เพชรเดินเข้าไปจับไหล่เพื่อนและบีบเบาๆ พอพี่อาร์ตหยุดเดินเขาก็บ่นอย่างไม่พอใจ “พี่นงนี่แม่งโคตรเจ้ากี้เจ้าการเลย กูว่ามึงจะพังก็เพราะพี่นงนี่แหละ ไม่รู้ว่าพี่แอนให้มางานนี้ทำไม ไม่ได้เกี่ยวอะไรเล้ย วุ่นวายฉิบหาย ทำตัวยังกะเป็นคนจัดงานนี้ซะเอง”

“เออ กูก็จะไม่ไหวแล้วเหมือนกัน” พี่อาร์ตพ่นลมหายใจเฮือกใหญ่ “เดี๋ยวกูจะกลับแล้ว อารมณ์ไม่ดีเลยว่ะ ไปม่อน”

“ครับพี่ ผมขอไปห้องน้ำแป๊บหนึ่งนะครับ” ผมต่อรองเล็กน้อย เพราะปวดมาสักพักแล้ว

“เดี๋ยวพี่ไปด้วย” พี่อาร์ตบอก

“กูไปด้วยเว้ย ปวดเหมือนกัน” พี่เพชรขอตามไปด้วยอีกคน

พวกเราสามคนจึงเดินดุ่มๆ ออกไปจากงาน เมื่อจัดการธุระเรียบร้อยเราก็ลงไปที่ลานจอดรถ จังหวะที่พี่อาร์ตเอาของไปเก็บหลังรถ เขาก็เหลือบไปเห็นนักข่าวช่องดาราเอฟรี่เดย์คนนั้นพอดี กำลังจะกลับนั่นแหละ เพราะเธอกับทีมงานกำลังเก็บกล้องและอุปกรณ์ต่างๆ ใส่หลังกระโปรงรถ

“เดี๋ยวพี่มานะม่อน” พี่อาร์ตหันมาบอกผม เขาปิดกระโปรงรถแล้วก็เดินดุ่มๆ ไปหานักข่าวสาวคนนั้น

เมื่อรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมก็รีบวิ่งตามพี่อาร์ตไปทันที เมื่อไปถึงพี่อาร์ตก็ชี้หน้านักข่าวคนนั้น ก่อนสาดอารมณ์ที่เก็บกดไว้ออกไปอย่างเหลืออด

“น้องมีปัญหาอะไรกับพี่หรือเปล่า ทำไมถามแบบนี้ หลายครั้งแล้วนะ คำถามโคตรเหี้ยเลย ถามมาได้ยังไง!”

น้องนักข่าวและทีมงานของดาราเอฟรี่เดย์ต่างก็ยืนตะลึงกับที่ แต่สักพักก็มีคนหยิบมือถือขึ้นมาเตรียมถ่ายคลิป ผมจึงต้องรีบเดินไปฉุดแขนพี่อาร์ตออกมา

“พี่อาร์ต กลับเถอะครับ ใจเย็นๆ ครับพี่”

พี่อาร์ตคงโกรธมาก ก็เลยไม่ฟังผมและจัดไปอีกดอก “ดาราก็คนนะเว้ย จะถามอะไรก็หัดคิดถึงใจเขาบ้าง ถ้าไม่รู้อะไรจริงก็ไม่ควรถามมั่วๆ ซั่วๆ แบบนี้ เข้าใจว่าอยากขายข่าว แต่แบบนี้มันเกินไปนะน้อง!”

พี่อาร์ตเอามือลง จากนั้นก็เดินปึงปังกลับไปที่รถ ผมเดินตามแทบไม่ทัน รู้เลยว่าคลิปที่ทีมงานดาราเอฟรี่เดย์ถ่ายไว้เมื่อกี้คงแพร่สะพัดไปอีกแน่ ช่วงนี้มีหลายคลิปเหลือเกิน แต่มันก็ช่วยไม่ได้จริงๆ

พี่อาร์ตเข้าไปนั่งข้างในรถก่อนแล้ว ส่วนผมกำลังจะเปิดประตูเข้าไปนั่งหน้ากับพี่อาร์ต แต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อคนหน้าคุ้นๆ สองคนเดินมา พี่นงนั่นเอง มากับเบย่า พี่อาร์ตขมวดคิ้วและมองอย่างสงสัย ทว่าเขาก็จำใจต้องเปิดประตูออกมาดู

“คุณอาร์ตคะ พี่นงฝากคุณอาร์ตไปส่งน้องเบย่าหน่อยได้ไหมคะ พอดีคุณพ่อน้องเบย่าโทรมาบอกว่ารถเสีย มารับไม่ได้ พี่นงบ้านอยู่คนละทาง น้องเบย่าเขาอยู่แถวแบริ่งค่ะ”

เจอไม้นี้เข้าไป คิดว่าพี่อาร์ตจะปฏิเสธได้หรือ ต่อให้อารมณ์เสียก็ยังต้องมีมารยาท

“อ๋อ ได้ครับ ทางเดียวกันอยู่แล้ว”

เมื่อพี่อาร์ตตกลง ผมก็รู้ตัวดีว่าต้องไปนั่งข้างหลัง แต่ก็รอเปิดประตูให้เบย่าที่กำลังเดินมา

“ขอบคุณค่ะพี่อาร์ต รบกวนหน่อยนะคะ ตอนนี้เบย่ายังไม่ได้ซื้อรถ ต้องให้พ่อรับส่งค่ะ” สาวน้อยบอกอย่างเกรงใจ

“ไม่เป็นไรครับ” พี่อาร์ตฝืนยิ้ม

“วันไหนเริ่มถ่ายละคร พี่นงอาจจะต้องฝากคุณอาร์ตไปรับส่งน้องเบย่าบ้างนะคะ คุณพ่อของน้องเบย่าสุขภาพเริ่มไม่ค่อยดีแล้วค่ะ” พี่นงฝากฝังด้วยสีหน้าเกรงใจ แต่ไม่รู้ว่าในใจรู้สึกอย่างนั้นจริงหรือเปล่า

“อ๋อ ครับ” พี่อาร์ตรับคำสั้นๆ

เบย่าเดินมาตรงประตูที่ผมเปิดไว้ ผมจึงเชื้อเชิญให้เธอเข้าไปนั่ง “เชิญครับ”

“ขอบคุณค่ะ” เบย่าหันมายิ้มให้ผม น่าจะเป็นครั้งแรกที่เธอรับรู้ว่าผมไม่ใช่แค่อากาศธาตุ

เมื่อเบย่านั่งหน้า ผมก็เดินไปเปิดประตูหลังและเข้าไปนั่งเงียบๆ พี่อาร์ตเข้ามานั่งในรถแล้วก็หันหลังมาสบตากับผม เขาคงไม่ชอบใจนักหรอก แต่ตอนนี้ทำอะไรไม่ได้ เขาจึงถอยรถออกไป ไม่สนใจพี่นงที่โบกมือให้หลานสาวหย็อยๆ ด้วยซ้ำ

ผมรู้สึกได้ว่าพี่อาร์ตขับเร็วกว่าปกติ น่าจะเป็นเพราะยังอารมณ์เสียอยู่นั่นแหละ แถมยังนั่งเงียบจนสาวน้อยที่นั่งข้างๆ เริ่มรู้สึกอึดอัด เธอจึงหันมาชวนผมคุยแทน

“พี่ม่อนเป็นคนกรุงเทพหรือเปล่าคะ”

“ไม่ครับ พี่เป็นคนเชียงใหม่” ผมตอบด้วยเสียงเรียบๆ

“เบย่ามีญาติที่เชียงใหม่ด้วยค่ะ คุณพ่อพาไปเยี่ยมทุกปีเลย พี่ม่อนอยู่ตรงไหนของเชียงใหม่คะ” สาวน้อยถามต่อ

ผมจึงตอบไปตามมารยาท ทว่าไม่นานก็กลายเป็นคู่สนทนาหลักของเธอไปโดยปริยาย ถึงตอนนี้เบย่าคงรู้แล้วว่าพี่อาร์ตอารมณ์ไม่ดี เธอจึงไม่กล้ากวน

TBC…

เพลงรอ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-02-2022 13:58:21 โดย Y-Lamoon »

ออฟไลน์ Y-Lamoon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
Re: ⏲⏲⏲Time Machine - ตอนที่ 15 หมากเกมนี้
«ตอบ #47 เมื่อ10-03-2022 22:27:02 »

เนื่องจากว่าไม่มีผู้ติดตามในเว็บนี้แล้ว ผมจะไม่ได้อัปเดตนิยายในเว็บนี้แล้วนะครับ ถ้ายังสนใจที่จะติดตาม ลองค้นหาจากชื่อนิยายก็จะเจอที่อัปเดตไว้ในเว็บอื่นๆ ครับ ขอบคุณทุกท่านที่เคยมาติดตาม แม้ว่าตอนนี้จะไม่ติดตามแล้วก็ขอบคุณครับ

ออฟไลน์ Y-Lamoon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
Re: ⏲⏲⏲Time Machine - ตอนที่ 15 หมากเกมนี้
«ตอบ #48 เมื่อ15-04-2022 15:16:14 »


ออฟไลน์ Y-Lamoon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
Re: ⏲⏲⏲Time Machine - ตอนที่ 15 หมากเกมนี้
«ตอบ #49 เมื่อ15-04-2022 15:16:39 »


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ⏲⏲⏲Time Machine - ตอนที่ 15 หมากเกมนี้
« ตอบ #49 เมื่อ: 15-04-2022 15:16:39 »





 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด