เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๓๙. ที่สุดปลายขอบฟ้า
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๓๙. ที่สุดปลายขอบฟ้า  (อ่าน 4230 ครั้ง)

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 777
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 202
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
๑๙.



ตนุ - ตนุ (เหตุแห่งตนตนเป็นเหตุ)





กล่องไม้ใบนั้น ที่ดูเหมือนไร้เจ้าของ มีเชือกผูกและมัดเอาไว้โดยรอบ มันตกอยู่บนพื้นดิน ที่ตอนนี้ได้กลายเป็นพื้นโคลนไปแล้ว สายฝนที่ตกกระหน่ำ ซัดตัวเองลงสู่พื้นดิน ถาโถมเข้าใส่กล่องใบนั้น ดินโคลนไหลนองจนเปรอะเปื้อนกล่องไปทั้งใบ เสียงลมอื้ออึง หวีดเสียงร้องดังลั่นอย่างน่ากลัว ต้นไม่ใหญ่โอนไหวไปตามแรงลม ให้ดูเหมือนว่า ไม่มีอะไรสามารถต้านพลังอันรุนแรงนี้ไปได้

“เอิง พ่อกับแม่ยกหนูให้เป็นลูกของหลวงปู่นะลูกนะ” เอิงในวัยแบเบาะนอนลืมตาแป๋วอยู่ในอ้อมกอดของผู้เป็นแม่ “อายุมั่นขวัญยืน เลี้ยงง่าย ๆ โตไวไวนะ” พระภิกษุสงฆ์ผู้เปี่ยมไปด้วยความเมตตา ผูกด้ายสายสิญจน์พร้อมให้พรเด็กชายตัวน้อย ดวงตาไร้เดียงสา มองสลับไปมากับใบหน้าของคนมากมาย ที่รายล้อมตัวอยู่ในขณะนี้ อย่างที่ไม่รู้ว่า ในอนาคตต่อไปนี้ จะเกิดเรื่องราวอะไรขึ้นบ้าง

“เอิง น้องชวนใครคุยอยู่น่ะลูก” ผู้เป็นแม่เดินออกจากครัว เข้าไปหาลูกชายในวัยหกขวบ ที่เธอได้ยินเสียงของลูกชาย ทั้งพูดทั้งคุย หัวเราะเอิ๊กอ๊ากเหมือนกับกำลังสนุกเพลิดเพลินไปกับใครสักคน แต่พอเธอเดินเข้ามาที่กลางห้องนั่งเล่น เอิงนั่งอยู่ตรงนั้นเพียงคนเดียว ในมือถือของเล่นที่ได้รับมานานแล้วในมือ “รอ” เด็กชายตัวน้อยพูดออกมา ผู้เป็นแม่ถามย้ำ ให้แน่ใจว่าเธอฟังไม่ผิด

“ใครให้น้องเอิง รออะไรลูก” เอิงก้มลงมองที่ของเล่นในมือตัวเอง “คุณตามา” เอิงบอกก่อนเงยหน้าขึ้นมองแม่ และนั่งทำให้เธอใจเต้นไม่เป็นส่ำ มองไปจนทั่วห้อง แต่ก็ไม่เห็นมีอะไรที่ผิดปกติไป “คุณตามาหา มาเล่นกับเอิงหรือลูก” ถ้าเป็นพ่อของเธอแล้วนั้น เธอก็ลดทอนความหวาดหวั่นนั้นลง เพราะเธอรู้ดีว่า พ่อของเธอแม้จะจากไปแล้ว รักหลานคนเดียวคนนี้มากแค่ไหน และของเล่นในมือของเอิงในตอนนี้ ก็เป็นของขวัญวันเกิดที่คุณตาซื้อให้หลานชายตัวน้อย

“คุณตาให้น้องเอิงรอ หรือลูก” ผู้เป็นแม่เอ่ยถาม เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ผู้เป็นพ่อของเอิงกลับบ้านมาพอดี “อะไรกันคุณ” ผู้เป็นพ่อถามขึ้น เมื่อเห็นภรรยามีสีหน้าตกอกตกใจ “คุณตาไปแล้ว” เอิงตอบแม่ของเขา “คุณตาไม่ได้ให้รอ” เอิงพูดก่อนจะหันหน้าไปทางประตูกระจกที่ถูกเลื่อนเปิดออก ทั้งที่ผู้เป็นแม่มั่นใจว่า เธอปิดและลงล็อกมันไว้แล้ว “คุณตาบอกว่าเอิงรอ เอิงรอเอง” ทั้งพ่อและแม่ของเอิง มองหน้ากัน สลับกับมองไปที่เด็กชาย ที่กำลังเล่นของเล่นเฉกเช่นเด็กคนอื่น ๆ ทั่วไป

เอิงในวัยสิบหกปี สะดุ้งเฮือกขึ้นมาจากความฝันนั้น นาฬิกาบอกเวลาตีสี่ครึ่ง เอิงเหงื่อกาฬแตก เหนื่อยหอบจากความรู้สึกที่ยังตกค้างจากความฝัน น้ำตาไหลนองหน้า ความรู้สึกสับสนปนเปกันไปหมด ทั้งความเศร้า เสียใจ สุขอยู่ลึก ๆ แถมหวาดกลัว จับต้นชนปลายไม่ถูก แม้จะจดจำเรื่องราวในความฝันไม่ได้เลย แต่ในใจรู้ว่า มันเป็นเรื่องสำคัญเป็นเรื่องใหญ่ ที่มีผลกับชีวิตของเขามากเหลือเกิน

“คิดว่าน่าง้อตายห่าล่ะ เล่นตัวฉิบหาย” เสียงด่าของรุ่นพี่ผู้ชายปีสี่ดังให้ได้ยิน เมื่อรุ่นน้องปีสองอย่างเอิง บอกปฏิเสธคำขอของรุ่นพี่ ที่อยากจะคบหากับเอิง “อ้าวพี่ อย่าพูดเลว ๆ แบบนี้กับเพื่อนผม” ปราชญ์ลุกขึ้นจากม้านั่งใต้ตึกเรียน ทำท่าจะเดินเข้าใส่รุ่นพี่ “ปากดีนะมึง” รุ่นพี่ต่างคณะตะโกนใส่หน้าปราชญ์ “ได้ทุกเมื่อนะพี่ ตอนนี้เลยก็ได้” ปราชญ์ไม่ลดละ

“ทุกคนฟังเอาไว้ ไอ้รุ่นพี่ถ่อย ๆ นี่ มันมาเดินตามเพื่อนผมเองแท้ ๆ ไม่มีอะไรให้เขาชอบได้ ก็อย่าปากเสีย ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ จบ” ปราชญ์ตะโกนตามรุ่นพี่คนนั้น ที่รีบเดินจากไป “พอแล้วปราชญ์ ช่างเถอะ” เอิงดึงแขนให้ปราชญ์นั่งลงตามเดิม ไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่โต “ทุกทีสิน่า” ปราชญ์บ่นอย่างหัวเสีย ก่อนจะถอนหายใจออกมา นอกจากตัวเขาเองที่ถูกจับคู่จิ้นกับเพื่อนสนิทอย่างเอิงแล้ว ปราชญ์ก็ไม่เคยเห็นเอิงยอมเปิดโอกาสให้ใครเข้ามาใกล้ชิดเลยสักครั้ง

“คิดจะอยู่เป็นโสดว่างั้นเหอะ” ปราชญ์ถามเพื่อน พลางขมวดคิ้ว ซึ่งจริง ๆ เขาก็อยากได้คำตอบในเรื่องนี้จากเอิงเหมือนกัน “อยู่คนเดียวมันก็สบายดี ไม่ได้แย่สักหน่อย” เอิงพูด ก่อนจะเห็นภาพใบหน้าของใครบางคนที่เขาไม่รู้จัก ซ้อนทับเข้ากับใบหน้าของทหารฝรั่งจากในความฝัน จนเกือบจะพอดิบพอดีเป็นคนเดียวกัน “อยากให้เจ้อันน์แกมาได้ยินจัง ไอ้ประโยคเนี้ย” ปราชญ์ส่ายหน้าเอือม ก่อนทั้งสองคนจะหัวเราะออกมาพร้อมกัน เมื่อรู้ว่ารุ่นพี่คนสนิทจะไล่ให้เอิงไปบวชนุ่งขาวห่มขาว ให้รู้แล้วรู้รอดไป

กระท่อมหลังนั้นเงียบงัน ไร้การเคลื่อนไหวใด ๆ มันเคยมีภาพของชายหนุ่มคนหนึ่ง ทำนั่นทำนี่ เสียงตอกค้อน เสียงเลื่อยไม้ กลิ่นสีที่เพิ่งทาใหม่ ๆ คือภาพการซ่อมแซมกระท่อมหลังนี้อยู่เป็นประจำ แต่มาวันนี้ ภาพเหล่านั้นได้หายไปแล้ว กระท่อมหลังนี้ถูกปิดตาย ให้รับรู้เพียงว่า เมื่อครั้งหนึ่งกระท่อมที่เคยมีชีวิตชีวา เคยอบอุ่น อยู่ที่ตรงนี้ แต่มันหลงเหลือไว้เพียงแต่ความเงียบเหงาเท่านั้น

“อิทส เอ เบบี้ บอย” คุณปริมน้ำตาไหลเมื่อรู้ว่าวินาทีนี้ คือเวลาที่เธอจะได้เห็นหน้าลูกชายขอเธอแล้ว การรอคอยสิ้นสุดลง หลังจากเก้าเดือนอันยาวนาน ที่คุณปริมเฝ้ารอวันนี้ให้มาถึง พยาบาลเอาลูกชายที่เพิ่งคลอด มาวางไว้ที่อกของเธอ “ลูกของเรา ปริม” คุณโทมัสจูบภรรยาของเขาด้วยความรัก “ไฮ แม่รักลูกนะ” คุณปริมเอ่ยคำทักทายเด็กชายที่เพิ่งลืมตาขึ้นมาดูโลก

“เรียกผมว่าแดนสิฮะ” แดนในวัยเจ็ดขวบประท้วงเสียงดัง “ทำไมล่ะลูก ไม่ชอบชื่อแรกที่พ่อกับแม่ตั้งให้เราหรือไง” คุณโทมัสไม่เข้าใจลูกชาย ที่ช่วงนี้ดูจะเฮี้ยวเหมือนไม่ใช่ตัวเอง “ไม่ใช่ไม่ชอบฮะ แต่ ผมชอบให้เรียกว่าแดนมากกว่า” แดนยืนยัน คุณโทมัสมองหน้าคุณปริมผู้เป็นภรรยา ก่อนจะยอมทำตามความต้องการของลูกชาย “โอเค แดน ต่อไปนี้ ลูกคือแดน หรือแดนนี่ ตกลงมั้ย” คุณโทมัสถาม ก่อนที่จะเห็นเด็กชายตัวน้อยที่มีชื่อแรก ชื่อกลาง และชื่อสกุล ว่า แมทธิว แดเนียล โรเบิร์ต พยักหน้ายินยอม

“เอาล่ะ ถึงแล้ว” แดนในวัยสิบเจ็ด ขับรถมาจอดที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง มันคือบ้านของเด็กสาวในวัยเดียวกันกับเขา แดนหันไปมองคนที่นั่งมาด้วย ที่ยังมีท่าทีจะขยับตัวลงจากรถ “ฉันยังไม่อยากเข้าบ้านเลย” เด็กสาวพูดขึ้น ก่อนจะปลดเสื้อคลุมบาง ๆ ของเธอไปด้านหลัง เผยให้เห็นไหล่เปลือยเปล่าของเธอ พร้อมเนินอกของสาววัยสะพรั่ง “ฉันอยากทำให้เธอ แดนนี่ ฉันชอบเธอ” เด็กสาวเอื้อมมือไปบีบที่ต้นขาของแดน

“เดี๋ยวนะ เดี๋ยวก่อน” แดนขยับตัวหลบ “ทำไมล่ะ ฉันอยากทำให้เธอมีความสุขนะ” เด็กสาวถาม น้ำเสียงเหมือนคนรู้สึกเสียหน้า “หรือว่าเธอชอบผู้ชาย” แดนมองหน้าเด็กสาว เมื่อได้ยินเธอพูดแบบนั้น “ปากผู้ชายหรือผู้หญิง มันก็เหมือนกันนั่นแหละน่า” เด็กสาวยังไม่ละความพยายาม แดนเบี่ยงตัวหลบอีกครั้ง เพื่อบอกให้รู้ชัดเจนว่า เขาไม่ได้ต้องการทำสิ่งนี้ มันเป็นสถานการณ์น่ากระอักกระอ่วนใจสำหรับเขา ที่เห็นเพื่อนในวัยเด็กทำอะไรแบบนี้

“พ่อขอร้องให้ฉันขับรถมาส่งเธอที่บ้าน เพราะมันดึกแล้ว ฉันก็แค่ทำไปตามนั้น เพราะเราเป็นเพื่อนกัน ส่วนฉันจะชอบปากของใครทำให้ฉันมีความสุข ฉันคิดว่า ฉันไม่ได้ติดค้างคำอธิบายอะไรกับเธอทั้งนั้น” แดนพูดขึ้น ก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดประตูรถฝั่งเด็กสาวให้เปิดออก “กู้ดไนท์” แดนสำทับให้เด็กสาวรู้ว่า ถึงเวลาที่เธอต้องลงจากรถแล้ว เด็กสาวก้าวลงไปด้วยความหงุดหงิด ก่อนกระแทกประตูรถกระบะตอนเดียวของแดน จนเกิดเสียงดังลั่น

แดนออกรถจากมา โดยไม่รอฟังคำสบถหยาบคาย ที่ดังออกมาจากปากของเด็กสาว ที่ด่าไล่หลังรถเขามา แดนหันไปมองเบาะด้านข้างคนขับ ก่อนจะยืนยันกับตัวเองว่า ถ้าความรู้สึกมันไม่ใช่ มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ใครก็ได้ จะมาแทนที่ความรู้สึกนั้นของเขา เขารู้ตัวว่าเขาชอบไม่ชอบอะไร และในกรณีของเขา เรื่องราวมันซับซ้อนและละเอียดอ่อนต่อใจของเขามาก เกินกว่าที่คนที่ชอบอะไรแบบฉาบฉวย จะเข้าใจมันได้อย่างถ่องแท้

“มัม” แดนเรียกแม่ของเขา ขณะที่ทั้งสองคนนั่งอยู่บนเครื่องบิน ที่ใกล้จะลงจอดที่เมืองไทย ในอีกไม่ถึงชั่วโมงข้างหน้านี้ คุณปริมหันมามองลูกชาย ที่ขอตามมาเที่ยวด้วย ก่อนที่เขาจะเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย “มีอะไรลูก” คุณปริมถาม “สำหรับคนไทย ถ้าเราได้พบเจอกับใครสักคน คือ” แดนพยายามนึกเรียบเรียงประโยค ให้มันฟังดูแล้ว เม้คเซ้นส์ ไม่ใช่แค่สำหรับแม่ของเขา แต่แน่นอน สำหรับตัวเขาเองด้วย

“คือ ต่อให้คนสองคนอยู่ไกลกันแค่ไหน ชีวิตแตกต่างกัน ไม่เหมือนกันเลยสักนิด แต่เขาสองคนก็ยังมาเจอกันได้ แบบ มารักกันได้อยู่ดี คนไทยคิดแบบนี้จริงมั้ยครับแม่” คุณปริมฟังที่ลูกชายถาม เธอคิดนิดหนึ่งก่อนตอบออกไปว่า “สำหรับเราคนไทยนะลูก มีสิ่งหนึ่ง ที่เราพูดกัน ว่าถ้าคนเรานั้นมีวาสนาต่อกัน อยู่กับคนละขอบจักรวาล ยังไงก็หากันจนเจอ” แดนคิดตามที่คุณปริมอธิบายให้เขาฟัง ภาพใบหน้าของใครคนหนึ่ง ซ้อนทับกับใบหน้าของคนตัวเล็กที่สวมชุดชนเผ่าแปลก ๆ นั้น แม้จะทาบทับกันไม่พอดี แต่ว่าเด่นชัดในความรู้สึก

“ซายอยู่ไม่ไกล เขาอยู่ใกล้ ๆ ผม ผมรู้ ผมรู้ครับแม่” แดนมองออกไปที่นอกหน้าต่างโรงแรมหรูใจกลางกรุงเทพมหานคร ที่ไหนสักแห่ง แดนคิด เพราะความรู้สึกที่เขามี มันคือความใกล้ชิดที่แทบจะสัมผัสกลิ่นอายกันได้ ที่ไหนสักที่ในเมืองใหญ่มหานครนี้ คุณปริมกอดและลูบหัวลูกชายอย่างปลอบประโลม เธอรู้สึกได้จริง ๆ ว่านี่ไม่ใช่แค่การฝันร้าย กับท่าทางของแดนที่ไม่ได้กำลังแกล้งอำเธออยู่ แดนรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ

เอิงนอนหันข้าง น้ำตาไหลจากดวงตาข้างหนึ่ง ร่วงไหลผ่านสันจมูก ไปตกนองอยู่บนหมอนใบใหญ่ที่หนุนนอนอยู่ เด็กหนุ่มกดหน้าลงในหมอน ก่อนจะร้องไห้ออกมา โดยใช้มันปิดบังเสียงสะอื้นนั้น ด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย มันคือความรู้สึกโหยหา แต่เต็มไปด้วยความหวัง แม้ไม่รู้ว่า มันจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ในห้วงความคิดนั้น เอิงได้ยินเสียงใครบางคนแว่วเข้ามาในโสตสัมผัส ใครอีกคนก็ฝันร้ายคล้าย ๆ กัน และไม่ต่างกันกับเอิง ที่รู้ว่า ต่างฝ่ายต่างอยู่ข้างนอกนั่น ที่ใดที่หนึ่งบนโลกใบนี้

ถึงเวลาที่แมทและหน่วยทหารของเขา จะเดินทางออกจากบ้านเกิด เพื่อมาประจำการในดินแดนที่เขาไม่รู้จัก ไม่มีความคุ้นเคยเลยสักนิด เก้าพันสี่ร้อยกว่ากิโลเมตร และนี่คือหนึ่งกิโลเมตรแรกที่เขาเริ่มต้น ทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงไป เขารู้ ทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป แมทกระชับปืนยาวอาวุธข้างกาย มองไปเห็นเพื่อนทหารนายอื่น ๆ อีกหลายสิบคน ที่กำลังเดินทางจากทวีปหนึ่งมาอีกทวีปหนึ่ง

ด้าจก์ซายไม่ค่อยเข้าใจนัก ว่ามันกำลังเกิดอะไรขึ้น มีทหารหน้าตาแปลกไป ชุดเครื่องแบบก็ไม่เคยเห็น แถมภาษาที่พูดก็ยิ่งไม่เข้าใจ แต่เห็นว่าทหารเหล่านั้น เริ่มมีอิทธิพลมากขึ้นเรื่อย ๆ บางคนก็ชอบพอที่จะทำการค้าการขายด้วย แต่ก็มีอีกหลายคนที่ต่อต้าน ทั้งเปิดเผยและปกปิด สำหรับเขาเอง ไม่ค่อยมีใครใส่ใจเท่าไหร่ มันทำให้เขาพอจะกลมกลืนไปกับสถานการณ์ได้ มีแต่ผู้ชายวัยกลางคนคนนั้น ที่ด้าจก์ซายเห็นเขาคุยว่า เข้าป่าไปส่งเสบียงให้ทหารฝรั่ง อะไรเนี่ยแหละ ด้าจก์ซายไม่ค่อยเข้าใจมันสักเท่าไหร่

“แดน ตอนนี้เราอยู่ที่ไหน ทำไมทำให้พ่อกับแม่เป็นห่วงล่ะลูก” คุณปริมรีบกรอกเสียงพูดลงโทรศัพท์มือถือ เมื่อแดน ลูกชายของเธอยอมรับโทรศัพท์ “ผมปลอดภัยดีครับแม่ ตอนนี้เอิงอยู่กับผม ทุกอย่างจะเรียบร้อยดีครับ แม่ ผมรับรอง” แดนตอบแม่ของเขาไป “แดน กลับมาเดี๋ยวนี้ นี่คือคำสั่ง” เสียงคุณโทมัส ผู้เป็นพ่อของแดน ดังลอดเข้ามาในโทรศัพท์ “แม่ครับ ช่วยบอกพ่อด้วย ว่าผมมีเรื่องที่สำคัญกับผมมาก ต้องทำ” คุณปริมได้ยินน้ำเสียงที่จริงจังของลูกชาย

“แม่จำที่ผมเคยถามแม่ได้มั้ยครับ ว่าคนสองคนต่อให้ห่างกันไกลแค่ไหน หากมีวาสนาต่อกัน เขาจะมาเจอกันอยู่ดี” แดนถามคำถามนั้นกับผู้เป็นแม่ “มันกำลังเกิดขึ้นอยู่ตอนนี้ครับ” แดนพูด คุณปริมฟัง ที่แดนบอกกับเธอ “แม่ไปที่นิวยอร์กกับผม แม่เห็นในสิ่งเดียวกันกับผม แม่ครับ ผมต้องทำมันครับ” คุณปริมฟังลูกชายคนเดียวของเธอพูด เธอมองไปที่สามี ที่กำลังไม่สบอารมณ์

“มัม” แดนเรียกแม่ของเขา “พลี้ส” และขอร้องแม่ออกไป “ดูแลตัวเองดี ๆ นะ แดน เดินทางปลอดภัยครับ” คุณปริมบอกกับแดนไป ก่อนที่จะกดวางสาย คุณโทมัสทำหน้าไม่อยากจะเชื่อเลย ว่าภรรยาจะใจอ่อน ยอมให้ลูกชายตัวดี รั้นไปทำเรื่องไม่เข้าท่าอีกจนได้ คุณปริมพยายามพูดให้คุณโทมัสใจเย็นลง ยังไงแดนก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว คุณปริมขอให้สามีของเธอ รอดูลูกชายของพวกเขาไปก่อน

แดนวางสายจากแม่ของเขา มองเห็นเอิงที่ขึ้นไปนั่งอยู่หลังรถสองแถว มองมาที่เขา แดนยิ้มให้กับเอิง ที่ยิ้มน้อย ๆ ตอบ ชายหนุ่มลูกครึ่ง ตามมาขึ้นรถสองแถว คุณลุงคนขับ ค่อย ๆ เคลื่อนรถออกมาช้า ๆ ลมเย็นกับแสงแดดอัสดง สาดตัวไล่ตามรถสองแถวมา แดนกำลังชดเชยช่วงเวลาที่ขาดหายไปจากห้วงอดีต ความรู้สึกสงบกำลังโอบอุ้มหัวใจของเอิงอยู่ และเอิงมองเห็นใบหน้าของแดน ในแสงยามเย็นนั้น

เมื่อภพเรือนตนุ หรือเรือนแสดงความเป็นตัวตน เดินเข้าเรือนตนุเอง ถือว่าได้เกณฑ์เป็นเกษตร คือเข้มแข็ง มั่นคง มีอิสระทางจิตใจ มีพลังชีวิตที่จะฟันฝ่าผ่านอุปสรรคไปได้ ไม่ยอมให้ตัวเองอยู่ใต้อิทธิพล มีความเชื่อมั่นในตัวเอง แต่อาจจะยึดติด ไม่ปล่อยวางใด ๆ หากว่าการทะนงตนนั้น เจ้าชะตาอาจเกิดความผิดพลาด จากตัวเองเป็นประเด็นสำคัญ

แมทนั่งมองแผ่นกระดาษที่ใช้เขียนจดหมายอยู่เนิ่นนาน เช้าที่อากาศเหน็บหนาว เขาเขียนจดหมายฉบับนี้จนมาถึงบรรทัดท้าย ๆ มันเป็นประโยคเดียวกันกับอีกหลายฉบับก่อนหน้านี้ มันคือข้อความที่กลั่นออกมาจากจิตใจเขา แมทหมายความตามนั้นในทุก ๆ คำ ปากกาในมือของเขาสั่น เมื่อแมทร้องไห้ออกมาจนตัวโยน เพราะเขายังคงนั่งอยู่ตรงนี้ ที่เดิม ได้แต่เขียนจดหมายเหล่านี้ เพื่อที่จะรับรู้ว่า ไม่มีสิ่งไหนที่กำลังจะเข้าใกล้ความจริงเลย ทั้ง ๆ ที่เขาตั้งใจจะทำมันอย่างเต็มที่ ความรู้สึกปวดใจนี้ หนักอึ้งจนแมทแทบขาดใจ

ดึกมากแล้ว ด้าจก์ซายยังคงนอนไม่หลับ คืนนี้หนาวกว่าทุกคืนที่ผ่านมา เขานอนนิ่งอยู่แบบนี้มาเป็นชั่วโมง พยายามข่มตาให้หลับ แต่ก็ไม่เป็นผล ใจมันไม่ยอมให้หลับ ดวงตาจึงพลอยปฏิเสธที่จะพาให้เขาดำดิ่งลงสู่ห้วงนิทรา ความคิดถึงกำลังเข้าเล่นงานจิตใจที่อ่อนล้า อ่อนกำลังนั้น ข้อความในจดหมาย มีคนที่กำลังจะทำให้สัญญานั้นเป็นจริงขึ้นมา แล้วน้ำตาอุ่น ๆ ก็ไหลออกจากดวงตา มันเคลื่อนตัวผ่านสันจมูกนั้น ก่อนตกลงบนหมอนใบเล็กแบน ด้าจก์ซายกดหน้าลงบนหมอน ก่อนที่เสียงสะอื้นไห้จะดังแทรกความเงียบงันของค่ำคืนออกมาให้ได้ยิน



***************************************

https://www.youtube.com/watch?v=mSWNvFaYrXY


เธอเคยได้เห็นหรือเปล่าว่าความรักเป็นเช่นไร

ฉันไม่เห็นหรอก แต่ฉันก็รู้สึก

รู้ไหมว่าความคิดถึงมันหน้าตาเป็นเช่นไร

ฉันไม่รู้หรอก แต่ฉันก็รู้สึก

ไม่ต่างกัน กับใจฉันหรอก

สิ่งนั้นที่เธอสัมผัส

เราต่างรับรู้มันด้วยใจ

บางสิ่งเราอาจไม่เห็นมันด้วยตา

แต่เรารับรู้มันด้วยใจ

เราไม่ต่างกัน

ทุกครั้งที่เหงาแค่มีเธอก็ทำให้ชื่นใจ

และฉันมั่นใจ ว่าเธอก็รู้สึก

ไม่ต่างกัน กับใจฉันหรอก

สิ่งนั้นที่เธอสัมผัส

เราต่างรับรู้มันด้วยใจ

บางอย่างไม่อาจมองเห็นมันด้วยตา

แต่เราเรียนรู้มันด้วยใจ

เราไม่ต่างกัน

ลมเย็นที่เธอสัมผัส ไม่ต่างกับฉันเท่าไหร่

ไออุ่นยามเช้าของทุกวัน

ก็เหมือนว่ามันไม่ต่างกันกับใจฉันเลย

สิ่งนั้นที่เธอสัมผัส

เราต่างรับรู้มันด้วยใจ

บางอย่างไม่อาจมองเห็นมันด้วยตา

แต่เรารับรู้มันด้วยใจ

เราไม่ต่างกัน

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 202
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
๒๐.



มรณะ – มรณะ (ถึงยังที่ที่ไม่ถึง)





“คืนนี้เอ็งสองคนพักที่นี่ก็แล้วกัน” คุณลุงขับรถสองแถวบอกกับแดนและเอิง “บ้านหลานข้าเอง มันอยู่กันหลายคนหน่อย แต่ห้องนอนเก่าข้า ไม่มีใครใช้ เอ็งสองคนเข้าไปนอนได้ ตามสบาย” คุณลุงคนขับพูด ก่อนหันไปบอกกับหลายสาวของตัวเอง ที่ยืนชะโงกมองไปที่หลังรถสองแถว ที่จอดอยู่ด้านนอกรั้ว “มัวแต่มองอะไรอยู่ ไป ไปหาเสื้อผ้ามาให้พี่เขาเปลี่ยนหน่อย เอาของพี่เอ็งมาก่อนก็ได้” คุณลุงพูดให้ฟังถึงหลานอีกคน ที่ตอนนี้ไปทำงานอยู่ภาคใต้

“นาน ๆ มันจะกลับมาที คืนนี้ใส่ชุดมันไปก่อน พรุ่งนี้เอ็งสองคนค่อยไปหาซื้อมาเปลี่ยน มาเที่ยวยังไง ไม่เตรียมอะไรมาเลย” คุณลุงคนขับบ่นแดนกับเอิง เหมือนที่แกบ่นลูกบ่นหลาน แดนกับเอิงยกมือไหว้ขอบคุณผู้สูงวัยกว่า แดนยื่นเงินให้กับคุณลุงคนขับอีกจำนวนหนึ่ง นอกเหนือจากค่ารถที่คุณลุงพาทั้งสองคน ไปตระเวนมาวันนี้

“ไม่เอา ๆ” คุณลุงปฏิเสธ พลางโบกไม้โบกมือห้าม ดุให้แดนเก็บเงินคืนไป “ส่วนพรุ่งนี้เอ็งจะไปที่ไหนกันต่อ ค่อยว่ากัน ข้าพอว่างช่วงเช้า ส่วนสาย ๆ ข้านัดกับลูกค้าเอาไว้ เอ็งค่อยหารถเหมา หรือเช่ารถเครื่องขี่เที่ยวกันเอง” คุณลุงพูดจบ หลานสาวของเธอก็ออกมาบอกว่า เธอเอาผ้าห่มกับชุดนอนไปไว้ในห้องนอนเก่าของลุงให้แล้ว ก่อนจะมองหน้าของแดนและเอิง ซ้ายทีขวาที แล้วผลุบหายเข้าบ้านไป

“ไป ๆ เอ็งเข้าบ้านกันไปได้แล้ว ไม่ต้องเกรงใจ อาบน้ำนอนให้สบาย เดี๋ยวข้ากลับก่อนแล้ว ตอนเช้าเอ็งโทรหาข้า ถ้าจะไปไหนเที่ยวกันต่อ ข้าไปล่ะ” คุณลุงขับรถสองแถว ปิดรั้วบ้าน ก่อนเดินไปขึ้นรถแล้วขับออกไป “ห้องน้ำทางนั้น ส่วนห้องนอนทางนี้” หลานสาวที่ผลุบหายเข้ามาก่อนหน้า ชี้มือชี้ไม้บอกสองผู้มาเยือน แดนและเอิงกล่าวขอบคุณ หลานสาวคุณลุงมองตามทั้งสองคนเดินเข้าห้องนอนไป

ภายในห้องนอนเล็ก ๆ ห้องนั้น ดูเก่า แต่ยังคงรักษาความสะอาดไว้เป็นอย่างดี ด้านหนึ่งเป็นหน้าต่างสามบานเรียงกัน ติดมุ้งลวดเหล็กดัดกันยุงและแมลง เพื่อให้เปิดรับลมยามค่ำคืนได้ มีผ้าม่านถูก ๆ ปิดหน้าต่างเอาไว้เพียงสองบาน อีกบานหนึ่งเว้นไว้พอให้แสงจากด้านนอกลอดผ่านเข้ามา มีโซฟาสปริงตัวยาวสีแดง ที่พักแขนไม้บุนวม วางชิดริมหน้าต่าง เตียงนอนขนาดพอสำหรับคนเดียว วางอยู่กลางห้อง มีหลอดไฟนีออนให้แสงสว่างอยู่กลางห้อง

“เอิงอาบน้ำก่อนมั้ยครับ” แดนหันไปมองผ้าเช็ดตัวเก่าแต่ดูสะอาด และเสื้อกางเกงที่พับวางอยู่ด้วยกัน เอิงพยักหน้ารับ ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดตัวกับเสื้อผ้าเอาไปเปลี่ยนด้วย เอิงสบตากับแดนที่มองมาอยู่ก่อนแล้ว รู้สึกขัดเขินกับสายตาที่แดนใช้ ชายหนุ่มลูกครึ่งหลุดยิ้มออกมา ก่อนจะมองอีกฝ่ายเดินออกจากห้องไป ใจของแดนเต้นตึกตัก เมื่อคิดว่า นี่คือคืนแรกที่เขาได้อยู่กับเอิงสองต่อสอง แม้ว่า สภาพแวดล้อมมันไม่ได้เป็นใจนัก

แดนเข้าไปอาบน้ำต่อจากเอิง ใช้เวลาเพียงไม่นานนักก็กลับเข้าห้องมา เอิงหันไปเห็นชายหนุ่มลูกครึ่งตัวสูงใหญ่ ใส่กางเกงเลผูกเอวที่ขากางเกงคลุมไม่ถึงข้อขา ส่วนเสื้อนั้นตัวเล็กเกิน จนชายเสื้อรั้งสั้นเต่อ เอิงพยายามกลั้นขำ แดนยิ้มเขิน ๆ เมื่อเห็นเอิงหัวเราะ เป็นแบบนี้ แดนเลยถอดเสื้อออก เอิงหลบสายตาจากท่อนบนเปลือยเปล่าของหนุ่มลูกครึ่ง แดนพาดเสื้อไว้กับเชือกที่ผูกเป็นราวตากผ้าง่าย ๆ ในห้อง

“เอิงนอนบนเตียงนะครับ เดี๋ยวผมนอนบนโซฟานี่เอง” แดนพูดกับเอิง ก่อนที่จะนั่งลงบนโซฟาที่ยวบลงไป ตามความเก่า “สบายมากครับ ใกล้หน้าต่าง ลมพัดเย็นสบาย” แดนแสดงให้เอิงดูว่า โซฟามันก็ไม่ได้แย่อย่างที่เห็น เอิงกกล่าวขอบคุณแดน หนุ่มลูกครึ่งยิ้มให้ เอิงล้มตัวลงนอนบนเตียงขนาดเล็กนั้น ดึงผ้าห่มผืนบาง ๆ ขึ้นคลุมตัว แดนลุกเดินไปที่ประตูห้องนอน กดปิดแสงไฟที่กลางห้องนั้น

ห้องนอนมืดลง เสียงแดนกลับมาล้มตัวลงนอนที่โซฟา ที่ขยับตัวพลิกไปมาอยู่หลายที กว่าจะหามุมสบายได้ ความเงียบเข้าปกคลุมทั่วทั้งห้อง แสงไฟราง ๆ ลอดเข้ามาจากหน้าต่างบานที่เปิดผ้าม่านไว้ เอิงมองฝ่าความมืดไปทางที่แดนนอนอยู่ แดนมองตอบกลับมาในความมืด ใจอยากจะกอดเอิงเอาไว้ให้อีกฝ่ายหลับใหล ลงในอ้อมกอดของเขา เช่นที่เขาได้รู้สึกในความฝัน เหมือนได้กอดใครคนหนึ่งเอาไว้จนแน่น ไม่ยอมปล่อย และจะไม่ปล่อยไปอีก

เอิงไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว แต่มันเหมือนว่าเขายังหลับอยู่ แต่บังคับให้ตัวเองลืมตาขึ้นไม่ได้ ภาพตรงหน้า ค่อย ๆ สว่างขึ้น จนเอิงรู้สึกว่า มันเหมือนเป็นสายตาของเขาเอง ที่มองเห็นภาพต่าง ๆ รอบตัว เอิงรู้สึกว่า มือของเขากำลังรวบผมยาวดำขลับราวเส้นไหมนั้น ขึ้นไปมุ่นมวยเอาไว้ ก่อนจะหันไปทางตะกร้าไม้ เขาหยิบมันขึ้นมาสะพายบนหลัง วันนี้เขาคิดว่า จะเข้าไปในป่าเร็วกว่าทุกวัน อากาศหนาวขึ้นมาก จนต้องกระชับชุดชาวเผ่าให้ร่างกายอบอุ่นขึ้น

“ไม่ต้องกลัว เจ้านี่มันชื่อด้าจก์ซาย แปลว่าน้ำผึ้ง แต่คนเรียกมันสั้น ๆ ว่าซาย แปลว่าผึ้ง” อยู่ ๆ เอิงก็ได้ยินเสียงใครบางคนพูด ภาพตัดมาอีกครั้ง เขาก็เห็นว่าตัวเองมาอยู่ในป่าแล้ว ภาพดูคุ้นตา ทางเดินที่เคยเดินจนนับครั้งไม่ถ้วน “่ต่อให้มันได้ยินอะไร มันก็เอาไปบอกใครต่อไม่ได้ มันพูดไม่ได้ หรือมันไม่ยอมพูดก็ไม่รู้ ชื่อของมันจริง ๆ ก็ไม่รู้ว่าชื่ออะไร คนเขาเห็นว่ามันเก็บน้ำผึ้ง เก็บของจากในป่าไปขาย เขาก็เลยเรียกมันด้าจก์ซาย ง่ายหน่อยก็ซายนี่แหละ”

ชายวัยกลางคนที่ทำตัวเป็นนายหน้าหาเสบียงกรังให้กับนายทหารชาวอังกฤษ พูดเล่าเรื่องให้นายทหารสบายใจ ว่าการพบปะกันคราวนี้ แต่มาเจอด้าจก์ซายด้วยนั้น จะไม่นำภัยมาให้อย่างแน่นอน เสียงที่เอิงได้ยิน ฟังดูคุ้นหูเสียเหลือเกิน เหมือนเพิ่งได้ยินมาเมื่อเร็ว ๆ นี้ เอิงมองไม่เห็นหน้าเจ้าของเสียง แต่ภาพที่ซ้อนเข้ามา เอิงเห็นคุณลุงคนขับรถสองแถว ตอนที่ชวนเขาและแดนขึ้นรถ

“ไมโล” เอิงมองเห็นแมทยิ้มให้ ชี้นิ้วไปที่ถ้วยเครื่องดื่มนั้น ก่อนที่ภาพจะต้ดฉับลง รอบตัวของเอิงมีแต่ภาพสีดำ ทุกอย่างนิ่ง เงียบ อยู่ในความมืดสนิท “ไม่ ไม่ ฉันทิ้งเธอไว้แบบนี้ไม่ได้” ก่อนที่ทุกอย่างจะเปลี่ยนไป จนมีแต่ความโกลาหล “เราจะต้องได้เจอกันอีก และครั้งนั้น ฉันจะกอดเธอไว้แบบนี้ จะไม่ปล่อยเธออีก ฉันสัญญา” เอิงรู้สึกดีใจที่ได้ยินประโยคนั้น แต่ เขากลับใช้มือดัน ดัน แล้วก็ดันจนสุดแรง เพื่อให้แมทรีบหนีไป

“เอิง ผมอยู่นี่แล้ว” เอิงพยายามจะพูดไล่ แต่ก็ไม่มีเสียงใด ๆ หลุดออกจากปากเขาออกมา อย่างที่ต้องการ ในใจตะโกนจนสุดเสียงบอกให้แมทรีบไปเสียจากตรงนี้ “เอิงผมอยู่กับคุณตรงนี้แล้ว” แดนที่กอดเอิงเอาไว้กับอก เมื่อเขาได้ยินเอิงที่ยังคงหลับอยู่ ส่งเสียงอึกอัก ๆ อยู่ในลำคอ มือผลักอะไรบางอย่างในความมืด อยู่ ๆ เอิงก็รู้สึกถึงความอบอุ่นอย่างประหลาด ค่อย ๆ โอบล้อมรอบตัวของเขาเอาไว้

ความอบอุ่นนั้น รู้สึกได้ว่ามันค่อย ๆ กอดเขามาจากใครบางคนที่อยู่ด้านหลัง เอิงรู้สึกว่าตัวเองกำลังหันหน้าไปหา ความสงบ สบาย และปลอดภัยนั้น แดนใช้อ้อมแขนของเขาช้อนตัวของเอิงให้พลิกกลับมาซุกตัวในแผงอกกว้าง ๆ ของเขา เอิงผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ และดูสงบลง สองมือที่กำแน่นเมื่อสักครู่ ยอมผ่อนและคลายออก ก่อนวางลงบนอกข้างซ้ายของแดน เสียงหัวใจเต้นแรงของแดน ดังส่งเสียงผ่านมือของเอิง

“ไม่เป็นไรแล้วครับ” แดนพูดปลอบประโลม เอิงขยับตัวเข้าหาแดน จนทั้งสองคนแนบชิด “คุณกำลังจะทำให้ผมยั้งตัวเองไว้ไม่ไหวอีกต่อไป” ภาพที่แล่นอยู่ในหัวของแดน ที่มันรีเพลย์ซ้ำไปซ้ำมา กำลังทำให้หนุ่มลูกครึ่งแก่นกายตื่นตัว ภาพของแมท ที่จ้องมองใบหน้าที่แสดงออกถึงความถวิลหาของซาย ด้วยสายตาโลมเล้า ริมฝีปากของซายที่เผลอเผยอขึ้น ดูเย้ายวนในความรู้สึก เกินต้านทาน แมทกดริมฝีปากของเขาทาบทับกับซาย ชิมรสที่หวานกว่าน้ำผึ้งป่า ที่เขาเคยลิ้ม ผิวขาวของนายช่างแมทตัดกับผิวสีน้ำผึ้งของซาย เสียงลมหายใจหนักหน่วงจากทั้งสองคนดังขึ้น สอดรับประสานกัน

“ไง เอ็งสองคน เมื่อคืนนอนหลับสบายมั้ย” คุณลุงคนขับรถสองแถว ถามแดนและเอิง เมื่อมารับทั้งสองคนที่หน้าบ้าน “เอ็งดูท่าจะหลับสบายกว่าเจ้าลูกครึ่งนั่นนะ” แดนทำหน้ายิ้ม ๆ กับคำทักทายของคุณลุง เอิงทำหน้าไม่ถูก เมื่อโดนทักโดยไม่ทันตั้งตัว ไม่รู้จะตอบยังไง ไม่รู้จะแก้ตัวยังไง ไม่รู้จะพูดให้ฟังดูไม่ได้ตั้งใจยังไง

“คือผม มันก็ แบบว่า” เอิงไปไม่เป็น เมื่อนึกถึงตอนที่ลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนเช้า แล้วพบว่า ตัวเองอยู่ในอ้อมกอดของแดนอีกแล้ว และยิ่งไปกว่านั้น มือของเขาทาบไปบนความแข็งแกร่งยามเช้าของหนุ่มลูกครึ่งแบบเต็ม ๆ มือ “เอ็งสองคนดูแฮปปี้ ก็ดีแล้ว เมื่อคืนจะทำอะไรกัน ก็เรื่องของเอ็งสองคนเถอะ เตียงมันเล็ก ก็ต้องนอนเบียดกัน ข้าเข้าใจ” เสียงพูดของคุณลุง ฟังคลับคล้ายคลับคลา ว่าเหมือนกับชายวัยกลางคนที่แว่วมาในฝันของเอิงเมื่อคืนนี้

แต่พอคุณลุงมาพูดแซวแบบนี้ เอิงดันจำได้ถึงขนาดและความอุ่นมือที่จับต้องได้ เมื่อเช้านี้ แดนได้แต่ยักไหล่ บอกว่าเรื่องนี้ เขาไม่ได้ตั้งใจ มันเป็นไปเอง ยิ่งมีคนที่ชอบมาให้นอนกอดแบบนี้ด้วย มันยิ่งห้ามไม่อยู่ และที่เขามานอนกอดเอิงไว้ทั้งคืนนั้น ก็เป็นเพราะว่า เอิงละเมอเมื่อคืนนี้ และสิ่งที่ทำแล้วได้ผล เอิงสงบลงและอาการละเมอนั้นหายไป ก็คือการที่แดนกอดเอิงเอาไว้แน่น ๆ ให้เอิงได้ซุกตัวไว้กับแผงอกอุ่น ๆ ของแดน

“แล้วเช้านี้ พวกเอ็งอยากจะไปที่ไหนกันมั้ยล่ะ เดี๋ยวข้าพาไป” คุณลุงคนขับรถสองแถวถามขึ้น ขณะยื่นถุงใส่ปาท่องโก๋ร้อน ๆ ให้กับเอิง แดนสบตากับเอิง ก่อนจะพูดขึ้นว่า “มีครับคุณลุง ผมสองคนอยากไปที่นี่” แดนยกโทรศัพท์มือถือให้คุณลุงดูรูป “เด็กหนุ่ม ๆ อย่างเอ็งสองคนเนี่ยนะ อยากไปที่นี่” คุณลุงคนขับรถสองแถวแปลกใจ “เออ ๆ เอา ๆ กินรองท้องซะก่อน เจ้านี้เขาอร่อย กินเสร็จแล้วเดี๋ยวข้าพาไป” แต่พอเห็นแดนกับเอิงบอกว่าอยากไปที่นี่ ก็ตอบตกลง

แดนกับเอิงเดินจากจุดที่จอดรถสองแถว คุณลุงคนขับบอกให้เขาทั้งสองคนเดินไปตามทางเดินข้าง ๆ นี้ ทางเข้าอยู่ติดกับถนนใหญ่ ที่ประตูทางเข้า มีรายชื่อมากมายสลักไว้ที่ผนังรอบด้าน พร้อมทั้งประวัติและเรื่องราว เล่าถึงความสูญเสียที่เกิดขึ้น กับผู้ที่ได้พักกายลงชั่วนิรันดร์ ณ สถานที่แห่งนี้ แดนเดินตามเอิงเข้าไปด้านใน มีคนงานกำลังดูแลสถานที่จากด้านไกล แสงแดดยามเช้าตกต้องลงมาที่สนามหญ้าสีเขียว รายล้อมไปด้วยต้นไม้ที่ออกดอกสีสันสวยงาม

“เขาไม่ได้อยู่ในรายชื่อของทหารที่นี่” แดนพูดขึ้น เอิงมองไปที่ที่พักสุดท้ายของทหารสัมพันธมิตรจากสงครามในครั้งนั้น ในใจของเอิงเจ็บแปลบขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ “ผมสืบค้นไป ไม่มีรายชื่อของเขาถูกบันทึกเอาไว้ที่ไหนเลย” แดนกวาดตามองไปที่สุสานเบื้องหน้า “เหมือนเขาถูกลบออกจากประวัติศาสตร์ ราวกับว่าเขาไม่มีตัวตน” เอิงสบตากับแดน ที่ตอนนี้สีหน้าและแววตาของแดน เจือไปด้วยความเจ็บปวดและโศกเศร้า

“ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลใด อาจจะเป็นเพราะเขาเปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนาม ไม่ยอมใช้ชื่อเดิม เพราะไม่อยากให้คนแปลกหน้า รู้ว่าเขาเป็นใคร” แดนพูดด้วยความรู้สึกคับแค้นอยู่ในใจ “หรืออาจจะเป็นเพราะว่า เขาไม่อยากให้คนที่เคยรู้จัก รู้ว่าเขารักใคร” เอิงเห็นแดนพยายามเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า เพื่อให้น้ำตาที่รื้นขึ้นมาที่ขอบตา ไหลย้อนกลับลงไปดังเดิม

“สำหรับเขาแล้ว มันเจ็บปวดเกินจะพูดออกมาให้เข้าใจได้ เขาไม่เคยอายที่ได้รัก แต่เขากลัว กลัวว่าคนพวกนั้นจะทำร้ายคนที่เขารัก” เอิงสบสายตากับแดน แววตาของแดนกักเก็บความเสียใจชอกช้ำนั้นเอาไว้ไม่อยู่ “คนพวกนั้นพยายามบอกว่า ความรักของเขามันผิด และพรากโอกาสเดียวของเขาไป ที่จะพิสูจน์ให้ทั้งโลกเห็นว่า ขอเพียงแค่เขาได้อิสระที่จะรัก เขาจะรักให้ดีที่สุด และปัญหาไม่ได้อยู่ที่คนที่เขารัก” น้ำเสียงที่ร้าวรานใจของแดน ทำให้เอิงรู้สึกสะเทือนใจ มวลก้อนความโกรธเกรี้ยวที่เอิงสัมผัสได้นั้น ไม่แน่ชัดนักว่ามันคือของแดนเอง หรือว่าเป็นของแมท

วินาทีที่แดนรับรู้ในวันนั้น ว่าแมทจากโลกนี้ไปอย่างไร ทำให้แดนระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างบ้าคลั่ง ความสูญเสียที่เกิดขึ้น ที่เขารู้สึกมันมากมาย เขาโกรธจนไม่รู้ว่าจะจัดการกับอารมณ์ในตอนนั้นอย่างไรดี แต่เขาโชคดีที่คุณปริมแม่ของเขา อยู่ด้วยในช่วงเวลานั้น และการได้รู้ว่า คุณน้าผู้หญิงและผู้ชาย เพื่อนบ้านของคุณย่าแคลร์ คือพ่อแม่ของคนที่เขากลับมา ฝันเห็น และตามหา

ระหว่างนั่งรถสองแถวมา แดนดูเงียบลง แม้ว่า เขายังมีรอยยิ้มให้กับเอิงเสมอ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับแมท ในช่วงวินาทีสุดท้ายของชีวิต มันมีผลกับจิตใจของแดนมากจริง ๆ โดยเฉพาะกับความคิดของเขาในเรื่องโอกาสในชีวิต ความมั่นคงของจิตใจ มันเหมือนเป็นแรงขับให้กับแดน ที่จะไม่หยุด ที่จะไม่ถอย ที่จะไม่ยกเลิกความตั้งใจ

“พวกเอ็งมีเบอร์มือถือลุงแล้ว มีอะไรโทรมาได้เลย เดี๋ยวลุงจัดการให้” ลุงคนขับรถสองแถวทิ้งท้ายคำพูดนั้นไว้กับแดนและเอิง ก่อนที่แกจะขับรถสองแถวคู่ชีพของแกจากไป การถูกชะตาของคนเรา หลาย ๆ ครั้ง มันก็ไม่รู้จะหาคำอะไรมาอธิบาย กับคนที่ไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อน แต่ก็รู้สึกเหมือนญาติ เหมือนเคยพบกันมาก่อน เหมือนเคยติดค้างกัน เมื่อได้มีวาสนามาเจอกัน ก็ชดเชย ชดใช้ กลับคืนให้แก่กัน

“งั้นเราตั้งต้นจากตรงนี้แล้วกัน” แดนชี้นิ้วไปที่ร้านกาแฟเล็ก ๆ นั้น หลังจากที่ขอให้ลุงคนขับสองแถว พามาหย่อนพวกเขาไว้ตรงนี้ “หิวแล้วเหมือนกัน” เอิงตอบกลับแดน รู้สึกท้องจะร้องขึ้นมาในทันที แดนยิ้ม ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย ร้านเดิมจากเมื่อวานร้านนี้ก็ไม่แย่ เมื่อวานเขาเห็นมีเมนูอาหารด้วย ฝากท้องไว้กับร้านนี้ก็แล้วกัน

“นังเตย ทำหน้าให้มันดี ๆ หน่อย หน้าแกนี่ไล่ลูกค้าฉันหายหมดแล้ว” ผู้เป็นแม่หันมาโวยใส่ เมื่อเห็นลูกสาวทำหน้าบึ้งหน้าบูด อยู่เป็นนานสองนานแล้ว “นั่น ลูกค้าเข้าร้านแล้ว ไปเตย ไปรับออเดอร์” เด็กสาวที่หน้าหงิกหน้างอ ลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างเสียไม่ได้

“อ้าว คุณสองคนที่มาเมื่อวานนี่ เชิญค่ะ เชิญ วันนี้รับอะไรดีคะ” หญิงวัยกลางคนผู้เป็นเจ้าของร้าน จำแดนและเอิงได้ในทันที เด็กสาวที่ได้ยินแม่พูดแบบนั้น มองไปที่แดนและเอิง ถึงกับเลิ่กลั่ก วิ่งหาเล่มเมนู ก่อนจะเดินตามไปที่โต๊ะริมระเบียง เตยหยุดยืนอยู่ข้างโต๊ะที่แดนและเอิงเดินไปนั่ง เธอมองหน้าแดนแล้วก็ให้ตกใจกว่าเดิม รูปที่เธอเห็นแม่โพสต์ในเพจร้าน ว่าเหมือนแล้ว ตัวจริงนี่ ยิ่งกว่าเหมือนอีก

เตยรับออเดอร์จากแดนและเอิง สายตาของเด็กสาว ลอบสังเกตหน้าของแดน ก่อนจะหันไปมองรูปถ่ายไหม้ไฟ รูปของทหารหนุ่ม ที่แปะไว้บนผนังร้านด้านในนั่น เตยขนลุกเกรียวไปหมด มันแทบจะเป็นคนคนเดียวกันเลยต่างหาก เด็กสาวพูดกับตัวเอง ก่อนจะมาจัดการรออาหารที่สองหนุ่มสั่ง ที่น่าตกใจคือ พี่หนุ่มฝรั่งนี่ พูดภาษาไทยได้สำเนียงเป๊ะมาก ส่วนพี่คนไทยคนนั้น เตยว่า แวบแรกที่เตยเห็น พี่เขาผมยาวแล้วม้วนมวยผมไว้นี่นา แต่ทำไม

“แม่น้ำหรือครับ” แดนถามขึ้น ก่อนจะตักอาหารเข้าปาก “ครับ เป็นแม่น้ำ กว้างสักหน่อย” เตยที่โดนแม่หยิกแขนไปหลายที เพราะเสียมารยาทแอบฟังลูกค้าคุยกัน ยังไม่ลดละความพยายามเงี่ยหู จนได้ยินทั้งสองหนุ่มพูดเกี่ยวกับแม่น้ำ “พี่ ๆ จะไปเที่ยวแม่น้ำกันหรือคะ” เตยที่เนียนเอาน้ำเปล่ามาเสิร์ฟ เอ่ยปากถาม “ครับ แถวนี้มีแม่น้ำอื่นอีกมั้ยครับ” แดนถามเด็กสาวที่เดินเข้ามาคุยด้วย เมื่อเอิงบอกว่า แม่น้ำที่มองเห็นไกล ๆ จากที่ร้านนี้ ไม่ใช่แม่น้ำที่ต้องการไป

“มันก็มีแควใหญ่ แควน้อยนะพี่” เตยตอบคำถามนั้น พลางนึกว่ามีแม่น้ำอะไรอีกบ้าง “มีที่เป็นสะพานไม้ด้วยมั้ยครับ” เอิงถามเด็กสาว ที่มองหน้าสวย ๆ ตาแป๋ว ๆ ของอีกฝ่าย “สะพานหรือคะ” เตยขมวดคิ้ว “ก็มีที่เป็นทางรถไฟข้ามแม่น้ำ แต่มันเป็นเหล็กด้วยนะพี่ ไม่ได้มีแค่ไม้” เตยให้ข้อมูลกับแดนและเอิง “มันเป็นสะพานไม้ทั้งอันเลย” แดนบอกตามที่เอิงเล่ารายละเอียดให้เขาฟัง เพราะสำหรับแดน ที่เห็นภาพของแมทในอดีต ไม่เคยเห็นภาพแม่น้ำ หรือสะพาน ตามที่เอิงว่ามา

“เดี๋ยวนะพี่” เตยพูดก่อนที่จะวิ่งเข้าไปหลังเคาน์เตอร์ ก่อนจะกลับมาโดยมีแท็บเล็ตในมือ เด็กสาวกรอกคีย์เวิร์ด เพื่อค้นหารูปในอินเทอร์เน็ต เธอมองสลับไปมาระหว่างแดนและเอิง ก่อนจะหันรูปให้ทั้งคู่ดู “สะพานนี้ ใช่มั้ยพี่” แดนหันไปมองเอิง ที่พยักหน้าตอบว่าใช่ ซึ่งเอิงดูตกใจไม่น้อยที่ได้เห็นรูปนั้น มันคือสะพานที่ช่วงหลัง ๆ มานี้ ตอนท้าย ๆ ความฝัน ก่อนที่เอิงจะตื่นขึ้น มันแวบเข้ามาให้เขาเห็นอยู่บ่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่ เอิงไม่เคยเห็นมันจากภาพในอดีตมาก่อน

เมื่อดาวเจ้าเรือนมรณะ เดินมาตกอยู่ในภพเรือนมรณะเองนั้น จะมีมาตรฐานดาวเป็นเกษตร ท่านให้ถือว่า ความเศร้าโศกเสียใจจะมีขึ้นในถิ่นกำเนิด ต้องย้ายถิ่นฐาน แล้วจึงจะดีขึ้น เพราะความตายดังกล่าว ได้ตายไปแล้ว หากเมื่อเรือนร้ายเดินเข้าสู่เรือนร้ายเอง ด้านดีท่านว่า จะได้รับประโยชน์จากผู้ที่จากไปแล้ว เจ้าชะตาจะสนใจชีวิตข้างหน้าในอนาคต เกี่ยวข้องทางโหราศาสตร์ วิญญาณนำทาง มีเกณฑ์เดินทางไปในที่ต่างแดน ต่างประเทศ

“ถ้าพี่อยากไป เดี๋ยวหนูจัดให้” เตยพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “แต่” เตยพูด ก่อนจะลุกเดินไปที่ผนังร้านด้านใน ดึงเอารูปใบหนึ่งติดมือมาด้วย เตยเดินกลับมาหาแดนและเอิง สองหนุ่มมองไปที่เตยด้วยความสงสัย “พี่สองคนต้องบอกหนูมาก่อน ว่า” เตยวางรูปถ่ายที่ถูกไฟไหม้นั้นลงบนโต๊ะ “พี่สองคน เกี่ยวข้องอะไรกับคนในรูปนี้หรือเปล่า โดยเฉพาะพี่” เตยจ้องไปที่แดน ซึ่งทั้งเอิงและชายหนุ่มลูกครึ่ง ต่างตกใจที่ได้เห็นภาพของแมทในชุดเครื่องแบบทหาร มาอยู่ในร้านอาหารแห่งนี้



****************************

https://www.youtube.com/watch?v=ULQVcDUJjvM

เธอคือทุกสิ่ง ในความจริงในความฝัน คือทุกอย่างเหมือนใจต้องการ เธอเป็นนิทานที่ฉันอ่าน ก่อนหลับตาและนอนฝัน เธอคือหัวใจ ไม่ว่าใครไม่อาจเทียมเทียบเท่าเธอ ช่างโชคดีที่เจอได้ตกหลุมรักเธอ ได้มีเธอเคียงข้างกัน คงจะมีเพียงทำให้โลกนั้นหยุดหมุน เพียงเธอสบตาฉัน คงจะมีเพียงเธอที่หยุดหัวใจของฉันไว้ตรงนี­้ ตรงที่เธอ เธอเพียงคนเดียวและเพียงเธอที่ต้องการ ฉันจะทำทุกทุกทางด้วยวิญญาณและหัวใจ นั่นคือฉันจะรักเธอไม่ว่าเป็นเมื่อไรสถานใ­ด ทั้งหัวใจฉันมีเธอเพียงคนเดียว เธอคือรักจริง ฉันยอมทิ้งทุกทุกอย่างเพียงเพื่อเธอ ดั่งฟ้าให้มาเจอให้เธอคู่กับฉัน ให้เราได้เดินเคียงข้างกันนับจากนี้ เธอเพียงคนเดียวและเพียงเธอ เพียงเธอที่รอ ฉันจะขอภาวนาต่อหน้าฟ้าอันแสนไกล นั่นคือฉันจะรักเธอไม่ว่าเป็นเมื่อไรสถานใ­ด เกิดชาติไหนฉันมีเธอ มีเธอเพียง คนเดียว จะทุกข์หรือยามที่เธอนั้นสุขใจ ยามป่วยไข้หรือสุขกายสบายดี ฉันอยู่ตรงนี้และจะมีแต่เธอทุกวินาที จะอยู่ใกล้ไม่ห่างไกล จะเคียงชิดไม่ห่างไป ไม่ไปไหน

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 777
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 202
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
๒๑.



วินาศน์ - วินาศน์ (คุณในความรักความรักในคุณ)





“เราเองก็อยากรู้เหมือนกัน” แดนให้คำตอบกลาง ๆ ไปแบบนั้น ด้วยยังคงลังเล ว่าเขายังไม่ควรบอกอะไรเด็กสาวที่เพิ่งเจอกันครั้งแรก แม้เตยจะไม่ค่อยพอใจกับคำตอบ ที่ไม่ได้อะไร จากชายหนุ่มลูกครึ่งพูดไทยชัดคนนี้นัก แต่คำตอบของแดน ก็ทำให้เตยรู้ว่า มันมีเรื่องราวอะไรบางอย่างที่เกิดขึ้นจริง ที่เชื่อมโยงทหารหนุ่มในรูป กับคนทั้งสองคนนี้ เข้าไว้ด้วยกัน

“พี่สองคนก็เลยมาตามสืบเรื่องนี้ที่นี่” เตยถามออกไป “หนูหมายถึง มาที่ร้านของแม่หนู” แดนกับเอิงมองหน้ากัน ก่อนที่เอิงจะพูดขึ้นว่า “เราตั้งใจมาที่จังหวัดนี้จริง” แดนพยักหน้าเสริมสิ่งที่เอิงพูด “แต่เรื่องร้านนี้ เรื่องรูปถ่าย เป็นเรื่องบังเอิญที่เราไม่ได้คาดคิด” แดนบอกกับเด็กสาวไปตามจริง “และอาจจะรวมถึงคุณลุงคนขับรถสองแถว ที่ใจดีกับเรามาก ๆ นั่นด้วย” แดนพูดต่อ เพราะพอมาคิดดูแล้ว มันก็ให้บังเอิญจนเกินไป ที่คุณลุงคนขับพาเขาสองคนมาส่งที่หน้าร้านนี้ยังไม่พอ ยังคะยั้นคะยอให้เข้ามาในร้านอีก

“ซึ่งพี่สองคนก็กลับมาร้านแม่หนูอีก เป็นครั้งที่สอง” เตยพูด พลางทำท่าครุ่นคิด “เมื่อวานหนูวิ่งมาแทบหัวคะมำ แต่ไม่ทันเจอพี่สองคน” เตยพูดย้อนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ “แต่วันนี้ อยู่ ๆ พี่ก็พอกันโผล่มา แบบ” เตยพยายามหาคำพูดที่จะอธิบายเรื่องนี้ “บังเอิญที่สุด” เตยพูดออกไป แต่ก็ยังคิดว่าไม่ใช่ มันต้องมีอะไรมากไปกว่านั้น

“หรือเราต้องมาเจอกันอยู่แล้ว” เตยพูด บอกกับแดนและเอิงว่า “มันต้องถูกกำหนดเอาไว้แล้วต่างหาก ชะตาชีวิตของหนูถูกกำหนดเอาไว้ ให้มาช่วยพวกพี่ ไขความลับนี้” แววตาของเตยแวววาวขึ้นมาทันที ที่นึกขึ้นมาแบบนี้ แดนกับเอิงสบตากัน เป็นเชิงชั่งใจ ว่าจะยังไงต่อดีกับเด็กสาวคนนี้ “หนูว่านะ ถ้าจะไปที่สะพานนั่นน่ะ” เตยพูด ก่อนจะชะโงกดู ให้แน่ใจว่าแม่ของเธอ จะไม่ได้ยินเรื่องนี้

“เดี๋ยวหนูพาพวกพี่ไปเอง พี่สองคนกินข้าวให้เสร็จ แล้วเดี๋ยวพี่ไปรอหนูอยู่ที่โรงแรมนี้” เตยพิมพ์ชื่อโรงแรมลงบนแท็บเล็ต “เดี๋ยวหนูตามไปคุยรายละเอียด เพื่อนหนูที่ทำงานอยู่ที่นั่น เดี๋ยวหนูโทรไปให้มันรอรับพี่สองคน” เตยทำเสียงกระซิบกระซาบ ประหนึ่งกำลังแสดงบทเป็นสายลับสาว ด้วยความที่เธอเองก็อยากรู้เรื่องราวทั้งหมด ความเป็นมาเป็นไป ที่อยู่ ๆ คนในรูปถ่ายที่แปะไว้บนผนังร้านมานานวัน ไม่มีใครรู้ชื่อเสียงเรียงนาม จู่ ๆ วันหนึ่ง ก็กลายเป็นคนที่มีคนมาตามหาซะอย่างนั้น

“วันหลังมาอุดหนุนใหม่นะคะ” แม่ของเตยกล่าวขอบคุณ พลางเชิญชวนให้ทั้งแดนและเอิงกลับมาอีกครั้ง “ขอบคุณนะคะ” เตยพูดเสริม “แม่ เดี๋ยวหนูเรียกรถให้พี่เขาดีกว่า พี่จะไปโรงแรมนี้ใช่มั้ยคะ” เตยขยิบตาส่งซิกแนล ก่อนจะรีบวิ่งออกไปเรียกรถสองแถวที่ด้านหน้าร้าน แดนกับเอิงที่ปรึกษากันก่อนหน้านี้ ก็ได้ข้อสรุปว่า จะลองทำตามเตยดู ถ้าดูแล้วไม่น่าจะเวิร์ค ค่อยหาทางเลี่ยงเอา เด็กสาวแม้จะดูไฮเปอร์ไปบ้าง แต่ก็ไม่น่าจะเป็นพิษเป็นภัยอะไรกับใคร

อีกอย่าง ทั้งคู่ก็รู้ว่า เตยเป็นใคร รู้จักร้านของแม่เด็กสาวอีก ก็ดูจะคลายความกังวลลงไปได้ แถมรูปของแมท ยังมาอยู่ที่ร้านแม่ของเตย ถ้าจะให้เดา มันต้องมีความเกี่ยวข้องกัน ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง และดูเหมือนเตยเอง ต้องการจะรู้มานานแล้วด้วย ว่าทหารหนุ่มในชุดเครื่องแบบ ในรูปที่โดนไฟเผาใบนี้เป็นใคร ยิ่งได้ฟังแดนและเอิงพูดถึงความบังเอิญต่าง ๆ นานา จนพาทั้งสองคนมาถึงร้านนี้ได้ เตยยิ่งอยากรู้มากขึ้นไปอีก

รถสองแถวพาแดนและเอิงมาจอดที่หน้าโรงแรมแห่งหนึ่ง มันอยู่ไม่ไกลแม่น้ำสายหลักในเมือง มันเป็นโรงแรมที่ดูดีมากโรงแรมหนึ่ง แดนและเอิงเดินเข้าไปด้านใน ภายในล็อบบี้ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้ ดูย้อนเวลาไปในอดีต มีพนักงานฟร้อนท์กล่าวทักทายพวกเขา ก่อนจะมีเด็กหนุ่มอีกคน เดินออกมาจากด้านหลัง ก่อนพยักหน้าให้กับแดนและเอิง เหมือนรู้และคอยคนทั้งคู่อยู่แล้ว

“ห้องพักจะอยู่แยกเป็นส่วนตัวไปด้านนอกนะครับ เป็นห้องที่เราเพิ่งตกแต่งใหม่ มองวิวแม่น้ำเห็นทั้งโค้งน้ำฝั่งนั้น และฝั่งสะพานทางรถไฟ” แดนและเอิงเดินตามพนักงานชาย ที่คาดว่าจะเป็นเพื่อนของเตย ตัดเทอร์เรซไปทางด้านซ้าย ก่อนจะเดินมาจนเจอประตูไม้แบบลงสลักจากด้านใน

เมื่อผลักประตูนั้นเข้าไป ก็เจอห้องที่ตกแต่งด้วยไม้สีน้ำตาลแก่ มีเตียงขนาดดับเบิ้ล ปูด้วยเครื่องนอนสีขาวสะอาด สองเตียงวางอยู่คู่กัน ปลายเท้าหันไปทางประตูกระจก มีม่านที่สามารถดึงลงมากั้นเป็นมุ้งได้ เหน็บอยู่ด้านข้างทั้งสองเตียง มองผ่านประตูกระจกออกไป เป็นภาพวิวแม่น้ำ ที่แสงแดดยามเย็นระยิบระยับไปทั่วทั้งผิวน้ำ

“เชิญพักผ่อนก่อนนะครับ ถ้าเตยมาถึงแล้ว เดี๋ยวผมมาเรียก” เด็กหนุ่มพูดกับแดน ก่อนจะหันหลังเดินไปทางประตูห้อง เขามองไปที่แดนที่มองมาทางเขา ก่อนจะเหลือบไปเห็นเอิงที่ยืนอยู่ตรงประตูกระจกถัดไปทางด้านขวา นั่นทำให้เขาตกใจจนต้องชะงักไปนิดหนึ่ง เพราะเขาคิดว่าเขาอาจจะตาฝาด มองภาพผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง เด็กหนุ่มเก็บความรู้สึกสงสัยแกมประหลาดใจนั้นเอาไว้ ก่อนปิดประตูตามหลัง แล้วเดินกลับไปที่ด้านหน้าโรงแรม

“วิวสวยจัง ว่ามั้ยครับเอิง” แดนเดินมาหยุดมองวิวด้านนอก ที่อีกมุมถัดมาทางซ้าย เจ้าของชื่อที่ถูกถาม มองไปทางคนต้นเสียง แดนมองแล้วยิ้มมาทางเอิง เขาพยักหน้าเห็นด้วยกับหนุ่มลูกครึ่ง ก่อนยิ้มตอบกลับแดนไป ชายหนุ่มลูกครึ่งรู้สึกดีใจ ที่เขาได้มีเวลาเป็นส่วนตัวกับเอิงช่วงเย็นนี้ ทั้งสองคนพักผ่อนอยู่ในห้อง สักพักใหญ่ เด็กหนุ่มเพื่อนของเตย ถึงเดินมาเคาะประตู แจ้งให้แดนและเอิงรู้ว่า เตยมาถึงแล้ว

“แกต้องเป็นคนช่วยพวกฉัน” เตยเปิดประโยคสนทนา เด็กสาวชี้นิ้วรวมสามคน เธอ เอิง และแดน เป็นพวกฉัน โดยหันไปบอกกับเพื่อนของตัวเอง ด้วยน้ำเสียงแกมบังคับ “แกจะบ้าเหรอ ขับรถสองร้อยกว่ากิโลเลยนะเว้ย” คนถูกบังคับโวยวายออกมา ก่อนจะลดเสียงลง แล้วพูดต่อไปว่า “สะพานนั่นมันไกลมาก แล้วฉันก็ต้องทำงาน จะขับรถไปให้แกได้ยังไง” เตยมองหน้าเพื่อนแบบผู้เหนือกว่า แล้วพูดกับเพื่อนกลับไปว่า

“บูม แกไปคิดหาวิธีมา เพราะถ้าแกไม่ทำ แกคิดถึงค่าข้าวที่แกติดแม่ฉันไว้ให้ดี ถ้าต่อจากนี้ เวลาแกเงินช็อต ๆ แกจะไป เซ็น จ่าย จบ ที่ไหนได้ ฮึ” เตยยกคำขู่เรื่องนี้ขึ้นมาอ้าง เพราะรู้ดี ว่าช่วงนี้เพื่อนเธอคนนี้กำลังขัดสนอยู่ บูมทำหน้าเซ็ง ที่อยากจะเถียง อยากจะปฏิเสธ แต่เขาก็ดันเดือดร้อนจริง ๆ ก่อนจะมองไปที่แดนกับเอิง แล้วคิดถึงเรื่องของคนทั้งคู่ที่เตยเล่าให้ฟัง ก่อนหน้านี้

“สองร้อยกิโลเมตรเลยนะแก ไอ้เตย” บูมทำเสียงพ้อ เมื่อคิดถึงระยะทางที่ไกลขนาดนั้น ในการขับรถไปให้ถึง “อืม” เตยยืนยันกับเพื่อน “แถมขับขึ้นเขาด้วยนะ” บูมแค่คิดก็ท้อแล้ว “อืม” เตยยังยืนยันตามเดิม “เพื่อนบูมเก่งจะตาย ทำได้แน่นอน ไปหาวิธีมา” เตยทำเสียงโฮกฮากใส่อีกฝ่าย เพราะรู้ว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่า แดนกับเอิงยิ้มให้กำลังใจบูม เพราะพอทั้งคู่รู้ว่า ระยะทางจากตรงนี้ ยาวไปจนถึงจุดหมายไกลขนาดนั้น ก็นึกขอบคุณเด็กหนุ่มคนนี้ คนที่จะมาเป็นเพื่อนร่วมทริปมาก ๆ

“พรุ่งนี้ เราออกจากที่นี่ไม่เกินแปดโมงเช้า อากาศกำลังดี ไม่ร้อน ขับรถไปเรื่อย ๆ แวะบ้าง ขับบ้าง เดี๋ยวก็ถึง ใกล้แค่นี้” เตยหันมาโฆษณาปุบปับทริปของเธอกับแดนและเอิง โดยมีบูมส่ายหัวดิก ไม่รู้สึกอินไปกับเตยด้วย “ส่วนแก ไอ้บูม ไปจัดการทำยังไงก็ได้ ให้ทริปนี้เกิดขึ้น โดยที่แกเป็นคนขับ เพราะแกรู้เส้นทาง และเคยขับรถขึ้นไปที่นั่นมาแล้ว เข้าใจ๊ เลิกการประชุมได้” เตยพูดจบ ก็ยิ้มหวานให้กับทุกคน ก่อนจะให้ทุกคนแยกย้ายกันไปนอนพัก เพื่อพรุ่งนี้จะได้ตื่นมาแบบสดชื่น พร้อมรับกับทริปที่แสนพิเศษนี้

“เจ้าเตยนี่ก็เฮี้ยวดีนะ” แดนที่กำลังเดินช้า ๆ ข้าง ๆ เอิง ขากลับมาจากมินิสโตร์ ที่อยู่ไม่ไกลจากโรงแรม พูดอย่างนึกขันเด็กสาว เอิงหัวเราะเบา ๆ ไปกับแดนด้วย “ส่วนเจ้าบูมก็ต้องตามใจจนได้” แดนยังจำหน้าเซ็ง ๆ ของเด็กหนุ่มได้ “ให้ผมช่วยถือของนะ” เอิงยื่นมือออกไป ขอแบ่งข้าวของ เสื้อผ้า ของใช้จำเป็น พะรุงพะรังในมือของแดนมาถือ

“ไม่เป็นไร” แดนพูด “ผมตัวใหญ่กว่าเอิง ผมถือเอง เอิงตัวเล็กกว่าผม เอิงแค่เดินอยู่ข้าง ๆ ผมอย่างนี้ก็พอ” แดนพูดจบก็ยิ้มเขินไปกับคำพูดของตัวเอง พอดีกับที่เอิงแกว่งแขนชนเข้ากับมือข้างที่เหลือของแดน ชายหนุ่มลูกครึ่งเลยใช้จังหวะนั้น กุมมือของเอิงเอาไว้ “ได้มั้ย” แดนถาม เป็นเชิงขอเอิงก่อน เจ้าของมือพยักหน้าอนุญาต แต่เตือนให้ปล่อยเมื่อถึงหน้าโรงแรม เพราะเดี๋ยวคนอื่นจะเห็น แดนรับคำ ได้เดินจับมือกับเอิง ถึงแค่หน้าล็อบบี้ก็ยังดี บางอย่างค่อยเป็นค่อยไป แดนคิด มันก็ไม่เสียหายอะไร

ค่ำนั้น ทั้งคู่ออกมาทานมื้อค่ำกันที่ร้านอาหารของโรงแรม ที่ทำเป็นระเบียงดูวิวแม่น้ำ แดนสั่งอาหารไทยแบบดั้งเดิมมาหลายอย่าง ที่ไม่สามารถหากินรสชาตินี้ได้ที่เมืองที่เขาอาศัยอยู่ แดนจะขอให้คุณปริมแม่ของเขาทำให้กิน หลายเมนู เครื่องปรุง สมุนไพร ก็ไม่ครบสูตร รสชาติออกมาจึงได้แค่พอกล้อมแกล้ม ไม่จัดจ้านเหมือนเมนูเดียวกัน ที่ได้กินที่เมืองไทย

เอิงนึกเอ็นดูหนุ่มลูกครึ่ง ที่กินมื้อเย็นมื้อนี้อย่างเอร็ดอร่อย กวาดเกลี้ยงไปเสียทุกจาน ทั้งบรรยากาศสบาย ๆ ลมเย็น ๆ พัดมาริมแม่น้ำ ผนวกกับอาหารอร่อยถูกปาก พนักงานของทางห้องอาหาร ยังแอบดีใจ ภูมิใจ และอบอุ่นใจ เมื่อเห็นหนุ่มฝรั่งเติมข้าวอยู่หลายจาน ทั้งสองคน นั่งชมบรรยากาศยามค่ำต่ออีกเล็กน้อย ด้วยเครื่องดื่มแนะนำของทางโรงแรม ก่อนจะกล่าวลาน้อง ๆ พนักงาน เพื่อกลับเข้าห้องพัก โดยมีพนักงานสาว ๆ หลายคนแอบกรี๊ดกร๊าด และเขินแทน เมื่อรู้ว่า ผู้ชายหน้าตาดีสองคน เข้าพักห้องสวีทด้วยกัน

เอิงออกมาจากห้องน้ำ กลิ่นชาวเวอร์เจลหอมละมุนนั้น ทำให้แดนถึงกับต้องชะโงกมอง เอิงเห็นสายตาของแดนที่มองมา แล้วก็รู้สึกเขินอยู่ในที เขาเดินมาที่เตียงฝั่งของตัวเอง มองเห็นแดนนอนสอดตัวเข้าใต้ผ้าห่มอยู่ก่อนแล้ว หนุ่มลูกครึ่ง คืนนี้ยอมใส่เสื้อนอน เป็นเสื้อกล้ามคอลึกที่เพิ่งไปหาซื้อมาจากมินิสโตร์เมื่อตอนเย็น แดนนอนหันข้างมาทางเตียงฝั่งของเอิง หนุ่มลูกครึ่งมองเอิงทาครีมที่ผิวเพลิน ๆ จนได้ยินเอิงบอกว่า จะปิดไฟแล้ว

ความเงียบปกคลุมไปทั่วห้อง มีเพียงแสงไฟสลัวจากด้านนอกที่ลอดเข้ามา ประตูกระจกถูกเลื่อนเปิด รับลมเย็น ๆ ในยามค่ำ พัดผ่านเข้ามา แดนฟังเสียงหัวใจของตัวเองเต้น เขานอนมองไปทางเอิง ที่อีกฝ่ายอยู่ถัดจากเขาไปเพียงแค่เอื้อมถึง เอิงหลับตาลง เพื่อจะหลบเข้าสู่ความหลับใหล แดนปิดเปลือกตาลง ข่มใจ อากาศเย็นสบายในค่ำคืนนี้ นำพาทั้งคู่เข้าสู่ภวังค์ โดยมีเสียงฟ้าครืนฝน ดังมาจากที่ไกล ๆ

แมทพาซายเข้าหลบฝนอยู่ในเพิ่งง่าย ๆ ที่เขาทำขึ้น สายฝนโปรยปรายลงมาแบบไม่ทันได้ตั้งตัว อย่างน้อยภายในนี้ เขาทั้งสองคนก็ไม่ต้องเปียกฝน แมทถอดเสื้อยืดทหารที่เปียกฝนออก ก่อนเอามันไปพาดเอาไว้ที่เชือกขึงหน้าเพิ่งไม้ ซายนั่งกอดอก ตัวสั่น ด้วยความหนาวจากน้ำฝน แมทสะกิดที่แขนของซาย ก่อนจะทำท่าให้ซายถอดเสื้อที่เปียกออก ซายลังเล แมทจึงเอาเสื้อนอกของเครื่องแบบทหารขึ้นชู ให้ซายใส่มันแทนเสื้อที่เปียก

ซายเอียงตัวไปด้านข้าง ก่อนจะถอดเสื้อออก แมทมองเห็นแผ่นหลังผิวสีน้ำผึ้งนั้น ก็ทำเส ไม่มอง ก่อนจะต้องเหลือบสายตากลับมาที่เดิม ซายหันหน้ามามองทางแมท นายทหารช่างหนุ่มสบตากับซาย เขาค่อย ๆ วางคลุมเสื้อเครื่องแบบของเขาลงบนไหล่ของซาย ตัวของซายสั่น แมทรู้สึกได้ นายช่างหนุ่มจับไหล่ทั้งสองข้างของซายเอาไว้เบา ๆ เจ้าของไหล่หันหน้ากลับไป แต่ไม่ได้ขยับตัวหนี แมทคิดกลับไปกลับมาอยู่ในหัว ก่อนจะเลื่อนตัวเข้าหาซาย

ซายรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่น ๆ ของแมท ที่ต้นคอ ก่อนจะรับรู้ถึงสัมผัสนุ่มนวลจากริมฝีปากของแมท ที่วางลงมา ซายหลับตาลง ผ่อนลมหายใจออกมา แมมเลื่อนริมฝีปากไล่แตะบนคอระหงนั้น รับรู้ถึงลมหายใจที่ขาดเป็นห้วง ๆ ของอีกฝ่าย ก่อนที่เขาจะเลื่อนริมฝีปากของเขาขึ้นทาบ และบรรจงจูบที่ด้านหลังหูของซาย จนเจ้าตัวหลุดเสียงในลำคอออกมาเบา ๆ อย่างเผลอตัว

เอิงผ่อนลมหายใจออกมา เอียงหน้าของเขาเข้าหาหมอนที่หนุนอยู่ ความรู้สึกเหมือนกำลังลอยเคลิ้ม ซายเม้มริมฝีปากของตัวเอง เมื่อแมทซุกไซ้จมูกโด่ง ๆ นั้นเข้ารุกไล่ลำคอและข้างหูของซาย อย่างซุกซน ราวกับว่า ที่ตรงนั้น คือศูนย์ความหอมที่ไม่มีที่ใดในโลกอีกแล้ว คิ้วของแดนขมวดขึ้น ริมฝีปากของเขาเผยอขึ้น และปิดลง ราวกับว่า กำลังได้ชิมของอร่อย อันโอชะลิ้นอยู่ตรงหน้า

แมทดึงตัวของซายให้หันกลับมาทางเขา สายตาของแมทโลมเลียร่างกายของซาย จากลำคอ ไล่ลงมาที่อกที่มีกล้ามบาง ๆ นั้น ก่อนที่แมทจะใช้ปลายลิ้นแตะลงที่ติ่งเม็ดจิ๋วบนเนินอกของซาย เจ้าของสั่นสะท้านไปทั้งร่าง และมันทำให้แมทได้ใจ เขาแตะปลายลิ้นอุ่นและเปียกชุ่มลงบนติ่งเม็ดอีกข้าง สายตาเงยขึ้นมองไปที่ใบหน้าของซาย ที่กำลังมองสิ่งที่แมททำ

ซายขยับตัวตามมือของแมท ที่ประคองอยู่ที่เอว เลื่อนตามจนมาพักตัวอยู่ที่ตักของแมท มือของเอิงที่กำอยู่ตรงคอเสื้อนอน กระตุก จนกระดุมเม็ดบนหลุดออก เอิงหลับตาแน่น ก่อนผ่อนลมหายใจออกมาอีกครั้ง ด้วยอาการหวามไหว แมทใช้เท้าดันให้กางเกงเครื่องแบบและชั้นในของเขาหลุดออกจากปลายเท้าไป เผยให้เห็นถึงความแข็งเขื่อง ที่พาดยาวขึ้นมา อยู่บนหน้าท้องของเขา แดนส่งเสียงครางเบา ๆ ออกมาอย่างเผลอตัว เขาขมวดคิ้วสลับกับคลายมันออก พลางขยับบั้นเอว เหมือนให้สิ่งที่อยู่ใต้ผ้าห่มนั้น มีที่ว่างมากพอ ให้กับการขยายตัวที่ได้เกิดขึ้น

แมทสอดมือทั้งสองข้างเข้าระหว่างหลังผิวสีน้ำผึ้งของซาย กับเสื้อเครื่องแบบของเขา เสื้อที่คลุมไหล่ของซายอยู่ ถูกปลดลงไปกองอยู่ที่ด้านหลังซาย แมทก้มลงมองไปที่ความนูนบนกางเกงผ้าของซาย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับอีกฝ่าย โดยมือของแมทค่อย ๆ คลายเชือกผูกเอวนั้นออก ผ้าที่ถูกทบกันไว้แยกออกจากกัน ก่อนที่จะหล่นลงไปอยู่บนหน้าขาของซาย แมทยิ้มให้แบบปลอบประโลม เมื่ออีกฝ่ายรู้สึกประหม่า และเขินอาย

เอิงกำผ้าห่มเอาไว้ในมือจนแน่น เมื่อความรู้สึกมันบอกว่า เหมือนใครบางคน แตะต้องส่วนสำคัญที่แข็งขืนนั้น อย่างเบามือ แดนขยับเลื่อนมือที่อยู่ใต้ผ้าห่มลงไปจนถึงกลางลำตัว เมื่อแมทยกมือขึ้นแตะน้ำลายบนปลายลิ้นของเขา ก่อนลดมือลงไปป้ายน้ำลายลื่น ๆ นั้นบนปลายความแข็งแกร่งของเขา ซายขยับตัวโหย่งขึ้น แม้ว่าแมทจะบอกว่า ถ้าหากซายไม่พร้อม ก่อนที่แมทจะรู้สึกถึงความคับแน่นนั้น ค่อย ๆ เคลื่อนผ่าน ความยาวทั้งหมดที่ชูชันรอนั้น

แดนหงายหน้าของเขาขึ้น เอวของเขาดันขึ้นแนบกับผ้าห่มผืนหนานั้น เอิงเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง หลับตาแน่น ปลายเท้าทั้งสองงุ้มจิกลง แมทประคองตัวของซายเอาไว้นิ่ง ๆ รอให้อีกฝ่ายคลายเจ็บจากความตึงคับนั้น มือทั้งสองข้างของซายบีบกล้ามแขนของแมทเอาไว้จนแน่น แมทสบตากับซาย นายช่างทหารหนุ่มรอจนอีกฝ่ายพร้อม ซายก้มลงจูบริมฝีปากของแมทเบา ๆ แมทพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะขยับตัวของเขาเข้าหาซาย จากเนิบช้า จนค่อย ๆ เร่งความเร็วขึ้น

หากว่าดาวเจ้าเรือนวินาศน์ สถิตอยู่ในเรือนวินาศน์ด้วยแล้วนั้น เจ้าชะตาถูกกำหนดไว้ให้เป็นผู้มีญาณหยั่งรู้พิเศษในตัว กับศาสตร์ลี้ลับ โหราศาสตร์ เป็นผู้ที่ไวต่อการสัมผัสรับรู้ กับสิ่งต่าง ๆ ที่เข้ามาสู่กระแสจิต ยิ่งหากว่ามีดาวศุกร์ ๖ มีอาทิตย์ ๑ เข้าไปอยู่ ก็จะยิ่งทวีแรงกามราคะ กามารมณ์เป็นราคะจริต หากว่ามีดาวจันทร์ ๒ เข้าร่วม ถือว่าจันทร์เป็นอารมณ์ ความนึกคิดใฝ่ฝัน มารวมกับศุกร์ ๖ ที่หมายถึงความรัก จึงได้อารมณ์ที่ครุ่นคิดความใคร่ ไม่แปลกอะไร

เอิงส่ายหน้าซ้ายขวา สองมือที่กำผ้าห่มเอาไว้ บิดผ้าในมือจนแน่น แดนเงยหน้าเป่าปาก รู้สึกถึงช่องทางแคบที่ก่อนหน้านี้แน่นตึง กลายมาเป็นกระชับ อุ่น และรู้สึกดี แมทคิดว่าอีกไม่นานต่อจากนี้ เขากำลังจะระเบิดทุกหยาดหยดเข้าไปในตัวของซาย แมทเร่งความเร็ว เมื่อซายเปิดรับเขาเข้าไปทั้งความยาวที่เขามี แมทซุกหน้าเข้าที่ลำคอของซาย เมื่อกระแทกกระทั้นครั้งท้าย ๆ นั้น กำลังจะส่งให้เขาถึงจุด ก่อนที่แมทจะรู้สึกถึงความอุ่นจากซาย ที่ออกมาเปื้อนบนกล้ามท้องของแมท และนั่นทำให้แมทรั้งตัวเองเอาไว้ต่อไปไม่ไหว แมทกดตัวเข้าหาซาย แล้วปล่อยให้ทุกอย่างไหลพุ่งเข้าไปด้านใน ก่อนที่เขาจะบดริมฝีปากเข้ากับซาย อย่างเร่าร้อนในอารมณ์

เสียงฟ้าครืน ๆ อยู่ไม่ไกล ก่อนที่ฝนจะโปรยปรายลงมา เอิงเผลอร้องออกมาในลำคอ เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นลง แดนคลายคิ้วขมวดนั้นลง ความเปียกนั้นไหลนองภายใต้กางเกงนอนที่เขาใส่ เสียงฝนดังกระทบสายน้ำด้านนอก ฟังดูดังว่า สายฝนขับกล่อมให้รัตติกาลนี้ เป็นค่ำคืนแห่งความชิดใกล้ของหัวใจที่มีจิตผูกพัน



************************************

https://www.youtube.com/watch?v=D2S9ZOcovUg


Baby

Since the first day that I met you

You changed my whole life

You make the world so much more beautiful

And now I wanna sing a song for you

It’ s a song that I dedicate to you, alright

Because it's talking about you and me, baby

Now listen

(วันแรกตั้งแต่เพียงพิศ

ชีวิตเปลี่ยนไปใฝ่หา

โลกใบเดิมกลับดูงามตา

ฉันหาเพลงทำนองร้องดู

เพลงเพื่อตัวเธอฝากให้

ถ้อยวจีฟังอาจคุ้นหู

เล่าเรื่องเธอฉันพรั่งพรู

เคียงคู่เธอลองตั้งใจฟัง)



ฉันรู้ ฉันรู้

ตั้งแต่วันที่ฉันนั้นมีโอกาสได้ใกล้เธอ

หัวใจฉันเองก็รู้ดี

เธอคือคนนั้น

คนที่ฉันไม่เคยคิดฝันว่ามี

แล้วเธอ

แล้วเธอก็ยืนอยู่ตรงนี้

แม้ว่าการตัดสินใจ

ของฉันจะผิดพลาดมากสักเพียงไหน

ก็ไม่อาจเปลี่ยนหัวใจไปจากนี้

หยุดไม่ได้แล้วทุกอย่าง

ใจของฉันนั้นรักเธอ

ตั้งแต่เราได้พบหน้า

สบสายตากันและกัน

ห้ามไม่ได้แล้วหัวใจ

จะไม่ยอมปล่อยเธอให้ไปจากฉัน

แม้ต้องเจ็บสักเท่าไหร่

แม้จะต้องแลกกับสิ่งไหนไม่สำคัญ



แม้ว่าการตัดสินใจ

ของฉันจะผิดพลาดมากสักเพียงไหน

ก็ไม่อาจเปลี่ยนหัวใจไปจากนี้

หยุดไม่ได้แล้วทุกอย่าง

ใจของฉันนั้นรักเธอ

ตั้งแต่เราได้พบหน้า

สบสายตากันและกัน

ห้ามไม่ได้แล้วหัวใจ

จะไม่ยอมปล่อยเธอให้ไปจากฉัน

แม้ต้องเจ็บสักเท่าไหร่

แม้จะต้องแลกกับสิ่งไหน

แม้ต้องเจ็บสักเท่าไหร่

ฉันยอม ยอม

ฉันยอม ฉันยอม

ฉันยอม

ฉันยอม

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 777
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 202
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
๒๒.



ปัตนิ - มรณะ (คู่ให้เคียงคอยคอยให้เคียงคู่)





“สายมากแล้ว บูมมันมัวทำอะไรอยู่เนี่ย” เตยบ่นไม่หยุด เมื่อเวลานัดล่วงไปมากกว่าที่ตั้งใจเอาไว้ แต่ล้อรถก็ยังไม่หมุนเสียที “หนูอุตส่าห์แพลนเอาไว้หมดแล้ว ว่าวันนี้เราจะทำอะไร ยังไงกันบ้าง” เตยบ่นให้กับแดนและเอิงที่นั่งคอยมาพักใหญ่ ๆ ได้ฟัง เตยนึกหงุดหงิดเพื่อน แต่ทำยังไงได้ ทั้งหมดนี่ ต้องพึ่งพาคนขับรถพาไปนี่นา “แล้วนี่ พี่สองคน เมื่อคืนหลับสบายดีมั้ย” เตยถามสองหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงหน้า

“ห้องใหม่เขาสวยดีนะพี่ หนูหักคอไอ้บูมให้ลดค่าห้องครึ่งราคาให้พวกพี่ ห้องก็น่านอน แถมถ้าได้มาพักกับคนที่ถูกใจอีกด้วยนะ โห นอนยาวไม่อยากจะตื่น” เตยชวนแดนและเอิงคุยไปเรื่อยเปื่อย ไม่ทันได้สังเกตท่าทางของทั้งสองคน ที่พอเตยถามขึ้นมา ก็พากันนึกถึงเมื่อเช้านี้ ตอนที่ตื่นนอนขึ้นมา

เอิงลืมตาขึ้นมา เสียงเม็ดฝนกระทบลงบนหลังคาไม้ด้านนอก ขาดช่วงไปสักพักแล้ว เขาดันตัวลุกขึ้นนั่ง ก้มหน้าลงบนฝ่ามือทั้งสองข้าง พร้อมกันถามตัวเองดังลั่นในความคิดว่า เมื่อคืนนี้ฝันบ้าอะไรเนี่ย แถมความรู้สึกที่ได้สัมผัส รู้สึก ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ฝัน ตอนนี้ก็ยังคงอ้อยอิ่งอยู่อีก เอิงลุกขึ้นจากเตียง แล้วรีบเดินเข้าห้องน้ำไป โดยไม่กล้าหันไปมองทางแดน ที่ยังนอนอยู่ กลัวว่าอีกฝ่ายตื่นแล้ว เขาจะทำหน้าไม่ถูก

แดนแอบหรี่ตามองอีกฝ่าย เมื่อเห็นเอิงเดินเข้าห้องน้ำไปแล้ว ชายหนุ่มลูกครึ่งถึงได้ลืมตาขึ้นมา แดนเลิกกางเกงนอนขึ้น ก่อนเอานิ้วแตะลงไปบนความตึงเหนียวผิวเหนือไรขนนั้น เขาคิดว่ามันไมน่าจะใช่ แต่พอยื่นนิ้วเข้าใกล้จมูก ชายหนุ่มลูกครึ่ง บอกได้ในทันทีว่า ชัดเลย แถมเนืองนองขนาดนี้ แสดงว่าปลดปล่อยเต็มแม็กซ์ ไม่มีกั๊กไว้สักนิดเลยสิเรา แดนชะโงกหน้ามองไปที่ประตูห้องน้ำ ก่อนจะส่ายหน้าให้ตัวเอง ดีนะ ที่เอิงไม่เห็น มันยังไม่ถึงเวลาที่จะให้เอิงได้เห็น แต่พอคิดว่า จะให้เอิงเห็น ให้เอิงได้จับ ไอ้เราก็จะปึ๋งปั๋งขึ้นมาซะอีก ก็แหม แดนนี่รู้สึกว่า เมื่อคืนมันเป็นฝันดีจะตายไป

“พี่สองคนเป็นอะไรหรือเปล่าคะ” เตยมองหน้าแดนกับเอิงสลับกัน “ดูเลิ่กลั่ก” เตยหรี่ตามองทั้งคู่ “หรือว่าหนูคิดไปเอง” ก่อนจะก้มลงมองแผนการเดินทางบนแท็บเล็ตของตัวเองต่อ เอิงหันไปมองแดน ที่หนุ่มลูกครึ่งเอามือถูกต้นคอ พร้อมทำหน้ากลั้นยิ้ม เอิงนั้นรู้สึกใบหน้าร้อนผะผ่าว พยายามจะทำหน้านิ่ง ๆ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเขา มันปฏิเสธไม่ออกจริง ๆ

เอิงออกมาจากห้องน้ำ แดนขยับตัวลงจากเตียงนอน เขาเอาผ้าเช็ดตัวสีขาวผืนใหญ่ มาถือเอาไว้ตรงกลางลำตัว ก่อนจะกล่าวทักทายยามเช้ากับเอิง แล้วหัวเราะแหะ ๆ ค่อย ๆ เดินเลี่ยงไปทางห้องน้ำ กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของครีมทาผิวที่เอิงใช้ มันดันกระตุ้นให้ส่วนของร่างกายเขาผงกหงึกหงัก ชายหนุ่มลูกครึ่งรีบปิดแล้วลงกลอนประตูห้องน้ำ

แดนพาดผ้าขนหนูไว้ที่ราว ก้มลงมองที่ด้านล่างของตัวเอง กับกางเกงนอนที่นูนโป่ง หนุ่มลูกครึ่งยกนิ้วโป้งให้กับเจ้าสิ่งนั้น ก่อนจะมองเห็นชั้นในสีขาว ที่เอิงเอาไปแอบตากอยู่ใต้อ่างล้างหน้า แดนนิ่งไปนิดหนึ่ง พลางคิด ตอนเอิงอยู่ในห้องน้ำ เขาได้ยินเสียงดรายเออร์เป่าผมดังขึ้นในห้องน้ำ อยู่นานสองนาน แต่ตอนเอิงออกมาจากห้องน้ำ ผมของเอิงยังดูเปียกอยู่เลย งั้นก็แสดงว่า ที่เอิงพยายามเป่าให้แห้ง ก็คือชั้นในที่เพิ่งเอามาซักนี้ หรือว่า แดนยิ้มกว้างออกมา หรือว่า สิ่งเดียวกันจะเกิดขึ้นกับเอิงเมื่อคืนนี้ ด้วยเช่นกัน

เช้าวันนี้ จึงเป็นความรู้สึกแปลกใหม่ของเอิง ที่ในชีวิตที่ผ่านมา เขาไม่เคยได้ใกล้ชิดใครแบบนี้เลย ไม่แม้แต่กับปราชญ์ ที่เป็นเพื่อนสนิท แต่มันก็น่าประหลาด ตั้งแต่ขามาที่นี่กับแดน เอิงมองไปที่ชายหนุ่มลูกครึ่งคนนี้ ความรู้สึกที่มีอยู่ในใจ มันบอกกับเอิงว่า เมื่อเขามีแดนอยู่ใกล้ ๆ เอิงรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย เหมือนเขาสามารถวางใจในเรื่องต่าง ๆ ได้ ไม่ว่าเรื่องนั้นจะดีหรือร้าย หากมีแดนอยู่ข้าง ๆ เอิงสามารถพักใจของเขาไว้ที่แดนได้อย่างเต็มที่

“บูม แกพาลูกค้าไปทัวร์ ต้องขับรถด้วยความระมัดระวังนะ ความปลอดภัยมาก่อน เพราะนี่คือลูกค้าวีไอพีของทางโรงแรม เป็นเกสท์ห้องสวีทของเรา ดูแลลูกค้าให้ดีที่สุด” ่ผู้จัดการโรงแรมเดินมากำชับกับเด็กหนุ่ม ที่หาทางออกด้วยการ ให้ทั้งสองคนซื้อแพ็คเกจเพิ่มกับทางโรงแรม ที่มาพร้อมกับห้องพัก แต่เนื่องจากลูกค้ามาถึงโรงแรมช้า จึงต้องเลื่อนทริปมาเป็นวันนี้

“คุณลูกค้าเชิญครับ” ผู้จัดการกล่าวเชิญแดน “เชิญครับ” ก่อนหันมาทางเอิง “เดินทางปลอดภัยนะครับ เที่ยวให้สนุก ขอบพระคุณที่ใช้บริการกับเรานะครับ” แม้ว่าผู้จัดการจะตงิด ๆ ที่ได้เห็นเตยนั่งอยู่ด้วย ที่ตอนนี้เด็กสาวที่เห็นผู้จัดการเดินมา ก็รีบเผ่นแน่บ คว้าเอากระเป๋า ข้าวของ สัมภาระของแดนและเอิงไปรออยู่ที่รถยนต์ที่ทางโรงแรมจัดไว้ให้ แต่โดยมารยาทแล้ว ต่อหน้าลูกค้า ผู้จัดการก็ได้แต่เงียบเอาไว้ เดี๋ยวรอให้บูมกลับมาก่อน จะต้องทำการซักไซ้ไล่เลียง ถึงความเป็นมาเป็นไปสักหน่อยแล้ว

“ใครจะไปนึกล่ะเนอะ ว่าอยู่ ๆ คนที่ไม่รู้จักกันเลย ไม่คิดว่าจะได้มาเจอกัน กลับมาร่วมทริปพิเศษเฉพาะกิจกันแบบนี้” บูมขับรถพาทุกคนออกจากในเมืองมาได้สักพัก เตยเป็นคนชวนทุกคนคุย เพื่อให้บรรยากาศไม่เงียบเหงา เนื่องจากทุกคน “หนูว่านะ อิทส เม้นท์ ทู บี” เตยที่นั่งข้างคนขับ ชะโงกหน้ามาส่งสำเนียงโชว์หนุ่มลูกครึ่งอเมริกัน แดนที่นั่งอยู่เบาะด้านหลังกับเอิง หลุดหัวเราะให้กับท่าทางสุดมั่นของเด็กสาว

“สำเนียงหนู กินขาดเนาะพี่เอิง ลูกครึ่งยังอายเล้ย คิดดู” เตยหันหน้ามาพยักพเยิดกับเอิง ที่นั่งอยู่ด้านหลังบูม ที่เป็นคนขับ เอิงยิ้มตอบเตย ที่ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าคณะทัวร์ในวันนี้ “แล้วนี่แกบอกแม่เรียบร้อยแล้วใช่มั้ย ว่ามากับฉันเนี่ย เตย” บูมถามเพื่อนแบบตายังคงมองไปที่ถนนด้านหน้า “ยัง” เตยตอบแบบไม่สะทกสะท้านอะไร “เอ๊า” บูมร้องออกมา เมื่อได้ยินเตยพูดแบบนั้น รถส่ายเล็กน้อย แต่บูมยังควบคุมรถได้เป็นอย่างดี แดนกับเอิงที่นั่งอยู่ด้านหลัง เกิดอาการใจหายเล็กน้อย

“เฮ้ย ขับรถดี ๆ สิ ไอ้บูม” เตยหันไปต่อว่าเพื่อน “แล้วแกจะตกใจอะไรเนี่ย แกก็รู้ ว่าถ้าฉันบอกแม่ แล้วฉันจะได้มาด้วยมั้ยล่ะ เอาน่า กลับถึงบ้าน แล้วเดี๋ยวค่อยบอก” เตยสรุปให้ “ไม่ได้” บูมค้าน “ยังไงพอไปถึงข้างบนแล้ว แกต้องโทรบอกแม่แกทันที” เตยทำหน้าเอือม แต่รู้ว่า ถ้าเถียงอะไรบูมอีก เดี๋ยวเรื่องจะไม่ยอมจบง่าย ๆ เตยจึงรับคำเพื่อให้ตัวเองรอดไปก่อน

“แล้วพี่เอิงล่ะ ที่พี่ฝันเห็น มีสะพานนี้อย่างเดียวเลยหรือคะ” เตยหันมาถาม เอิงมองไปทางผู้ถาม ก่อนจะตอบว่า “จริง ๆ พี่เห็นสะพานนี้ทีหลัง เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนนี่เอง” แดนมองไปที่เอิง มันเหมือนกับว่า เมื่อชีวิตของเขาและเอิงเริ่มเคลื่อนเข้ามาบรรจบกัน อะไรหลาย ๆ อย่าง ที่เขาทั้งสองไม่เคยรู้ หรือจำความฝันไม่ได้ เริ่มเผยรายละเอียดออกมามากยิ่งขึ้น และยิ่งพอแดนและเอิงได้มาใกล้ชิดกัน มันเหมือนถูกกระตุ้นด้วยพลังงานอะไรบางอย่าง โดยเฉพาะสองคืนที่ผ่านมา ในพื้นที่แห่งนี้

“ที่พี่ฝันเห็นมาตลอด ตั้งแต่เริ่มเป็นวัยรุ่น” บูมชำเลืองมองเอิงผ่านทางกระจกมองหลัง “คือแม่น้ำ” นี่คือภาพจากความฝัน ที่เอิงเห็นบ่อยที่สุด จนจำมันได้ติดตา ส่วนสะพานไม้นี้นั้น เอิงฝันเห็นมันเมื่อไม่นานมานี้ “โห ฝันแต่ที่เดิม ๆ มาเป็นปี ๆ เลยหรือพี่เอิง” เตยพูด พลางนึกว่า เมื่อคืนเธอฝันเรื่องอะไร สัปดาห์ที่แล้ว เดือนที่แล้ว ปีที่แล้ว มันไม่ซ้ำกันสักเรื่อง

“ถ้าอย่างนั้น มันก็เป็นไปได้สูงน่ะสิ ที่หนูสองคน” เตยพูดขึ้น ก่อนเว้นช่วงนิดหนึ่ง บูมคอยฟังว่าเพื่อนจะพูดอะไร “หนูสองคน ก็เคยเกี่ยวพันกับพวกพี่ ตั้งแต่เมื่อตอนนั้น” เตยตั้งข้อสังเกต เอิงพยักหน้า ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ก็เป็นไปได้” เตยยิ้มพอใจกับคำตอบ บูมส่ายหน้าน้อย ๆ “แต่ก็เป็นไปได้ ที่ว่าเรากำลังสร้างกรรมใหม่ด้วยกันในตอนนี้ โดยที่เราไม่เคยมีอะไรเกี่ยวข้องกันมาก่อนเลยสักนิดเดียว” คำพูดของเอิงนี้ ทำให้เตยยู่หน้า แล้วบอกว่า ทฤษฎีของเธอก่อนหน้านี้ ฟังดูโอเคกว่า

“เวอร์ชันพี่เอิง ทำร้ายจินตนาการหนูมาก ๆ เลย” เตยประกาศไม่รับรองสมมุติฐานที่เอิงว่าไว้ ทั้งหมดพากันหัวเราะแม้แต่บูมเอง ยังอดขำไปกับความช่างฝันช่างเพ้อของเพื่อนไม่ได้ “แม่ผมเคยบอกว่า คนเรา ได้มีโอกาสมาเจอกัน จนได้รู้จักกัน ได้ร่วมกันทำอะไรสักอย่าง ถือว่าเรามีวาสนาต่อกัน” แดนนึกถึงคำพูดของแม่ที่เคยบอกกับเขาขึ้นมาได้

“ส่วนคนเรา หากกลับมาพบกันอีกครั้ง แล้วได้ใช้ชีวิตร่วมกันอีก ก็ถือเป็นบุพเพสันนิวาส” แดนพูดจบ ก็หันไปสบตากับเอิง ที่มองมาทางเขาอยู่ก่อนแล้ว “โรแมนติกสุด ๆ ไปเลยพี่แดน” เตยตะโกนออกมาลั่นรถ จนบูมต้องหันมาว่าปรามเพื่อน “ให้มันน้อย ๆ หน่อย ไอ้เตย แกทำพี่สองคนเขาตกใจหมดแล้ว” บูมพูด พลางเร่งความเร็วแซงรถคันข้างหน้า ก่อนจะเบี่ยงเข้าซ้ายอีกครั้ง

“ก็มันจริงนี่นา” เตยพูด ก่อนเหลียวหน้ามาทางแดนและเอิงที่เบาะหลัง กับแดนน่ะ เธอพอจะเดาได้ว่า น่าจะเกี่ยวข้องกับทหารในรูป ส่วนเอิงนี่สิ เป็นอะไร เกี่ยวข้องกันยังไง หรือว่า วินาทีนั้น เตยก็นึกถึงของบางอย่างขึ้นมาได้ ซึ่งเตยเคยเห็น แต่ลืมไปเสียสนิทเลย เตยหยิบโทรศัพท์มือถือ มาเปิดค้นหารูปในแกลเลอรี่ ในโฟลเดอร์ที่เธอเซฟเอาไว้ ก่อนจะหันไปมองบูม ที่นึกสงสัยเหมือนกัน ว่าเตยอยู่ ๆ ก็เงียบไป แต่ยังไม่ทันที่บูมจะได้ถามอะไรเตย

“ข้างหน้าเป็นด่านความมั่นคง” บูมบอกทุกคนในรถ พร้อมแตะเบรก ค่อย ๆ ชะลอความเร็วลง จนเข้าไปต่อท้ายรถสองสามคันข้างหน้า “เป็นจุดตรวจของทหารนะครับ เพราะที่ที่เราจะไป เป็นพื้นที่ติดชายแดน ที่มีแม่น้ำสามสายไหลมาเจอกัน เลยมีการสร้างสะพานเพื่อไว้ใช้ข้ามไปมาหาสู่กัน ชื่อแม่น้ำที่แบ่งอำเภอนี้ออกเป็นสองส่วน แปลเป็นภาษาถิ่นของชาวบ้านที่นี่ว่า” บูมให้ข้อมูลของปลายทางที่กำลังเดินทางไป แต่ยังไม่ทันที่จะพูดต่อ

“ฝั่งโน้น” เอิงก็พูดจบประโยคให้ “ครับ ฝั่งโน้น” บูมมองเอิงผ่านกระจกมองหลัง ก็พอดีกับที่รถของเขาเคลื่อนมาอยู่ตรงเจ้าหน้าที่ทหารพอดี “สวัสดีครับ รถโรงแรมในเมือง กำลังจะเดินทางไปไหนกันครับนี่” เจ้าหน้าที่ทหาร ถามขึ้น เมื่อบูมกดลดกระจกฝั่งที่เตยนั่งลง “ผมจะพาลูกค้าที่โรงแรมขึ้นไปดูสะพานหน่อยน่ะครับพี่” บูมตอบกลับไป “คันนี้ เช็กดูให้ดี ดูซิ มีทหารใส่เครื่องแบบกับชาวเผ่ามัดผมนั่งมา ดูคันนี้” เสียงเจ้าหน้าที่อีกคนดังมาจากทางด้านหลัง

“ไม่มี มีที่ไหน” ทหารเจ้าหน้าที่คนแรกมองเข้ามาในรถ ก่อนจะตะโกนบอกเพื่อนไป เจ้าหน้าที่ที่ตะโกนให้ตรวจ เดินมาดูเอง “อ้าว” แต่ก็ต้องแปลกใจ ที่ในรถไม่มีคนที่เพิ่งสังเกตเห็น ตอนรถคันนี้จอดอยู่สองสามคันถัดไปในแถวตรวจ “ยังไง ขออนุญาตตรวจบัตรประชาชนหน่อยนะครับ” เจ้าหน้าที่ร้องขอ ทั้งหมดหยิบบัตรออกมาให้เจ้าหน้าที่ทหารดู “อ้าวฝรั่งนี่” แดนชูหนังสือเดินทางอเมริกันให้เจ้าหน้าที่ดู

“ลูกครึ่งครับ” แดนบอกกับเจ้าหน้าที่ “พูดไทยชัดแจ๋วเลย ดี ๆ” เจ้าหน้าที่ทั้งสองคนพูด พากันหัวเราะด้วยความประหลาดใจ “โอเคครับ ขับรถดี ๆ นะน้อง เดินทางถึงที่หมายด้วยความปลอดภัย โชคดีครับ” ทหารทั้งสองนาย ทำความเคารพขอบคุณสำหรับความร่วมมือ ก่อนโบกสัญญาณมือ ให้บูมเอารถออกจากจุดตรวจ เจ้าหน้าที่ทหารหันไปคุยกัน ว่าแปลก เพราะที่เขาเห็นที่เบาะหลัง คือทหารที่ดูเหมือนชาวต่างชาติ ในชุดเครื่องแบบทหาร และคนผมยาว แต่มัดมวยผม หน้าหวาน ๆ ในชุดชนเผ่า แต่กลับกลายเป็นแค่ลูกครึ่งอเมริกันกับคนไทยที่นั่งอยู่

“เอิงจำเส้นตรงนี้ได้บ้างมั้ยครับ” แดนถามขึ้น เมื่อทั้งหมดออกมาจากด่านตรวจได้สักพัก บูมมองแดนกับเอิงจากกระจกมองหลัง เอิงส่ายหน้า เขาจำได้ลาง ๆ ว่า เขาหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน “มารู้ตัวอีกที ตอนฟ้าใกล้สาง ก็เห็นแม่น้ำอยู่ตรงหน้าแล้ว” เอิงเห็นภาพในความฝันแบบนั้น “แล้วพี่แดนล่ะคะ จำอะไรส่วนนี้ได้บ้างมั้ย” เตยเอ่ยปากถาม ด้วยน้ำเสียงและท่าทีที่นิ่งมากกว่าเมื่อครู่

“ไม่มีครับ” แดนตอบ ก่อนจะหันมามองเอิง เขาจำภาพครั้งหลังได้ เมื่อตอนที่อยู่ในเมือง หลาย ๆ อย่างมันกลับเข้ามาหาเขา จนแทบจะตั้งตัวไม่ติด แต่ตอนนี้ เขากำลังจะเดินทางไปยังสถานที่ ที่อยู่ในความทรงจำของคนที่รอคอย เอิงได้ยินเตยถามคำถามแดนอีกสองสามอย่าง จู่ ๆ ความรู้สึกนี้ ก็แล่นเข้ามาในใจ เอิงหันไปมองแดน จ้องที่ใบหน้าของแดน บอกว่า นี่คือแดน สิ่งที่เอิงสัมผัสได้จนล้นออกมาจากความรู้สึก เมื่อสักครู่นี้ มันกำลังค่อย ๆ เลือนหายไป

“จอด” เอิงเอามือไปจับที่เบาะคนขับ “จอดก่อน” เตยหันมาทางเอิง เพราะไม่มั่นใจว่าได้ยินที่เอิงพูดถูกต้องมั้ย “พี่เอิง” เตยเรียกชื่อคนที่ตอนนี้ น้ำตารื้นขึ้นขอบตาจนเห็นได้ชัด “บูมจอดก่อน จอดรถ จอด จอดเดี๋ยวนี้” เอิงพูดเสียงดังจนเกือบจะตะคอกใส่ บูมชะลอรถ ก่อนจะเลี้ยวเข้าจอดจนพ้นการจราจรบนถนน “เอิง” แดนร้องดังลั่น เมื่อเห็นเอิงเปิดประตูรถ แล้วเดินกลับไปทางที่รถเพิ่งพาพวกเขามา

“เอิง จะไปไหน” แดนวิ่งมาจนทัน คว้าแขนเอิงเอาไว้ “เราต้องกลับไป” แดนเห็นน้ำตาของเอิง ใกล้จะเอ่อล้นขอบตาลงมาเต็มที “ทำไมล่ะเอิง” แดนถาม ไม่เข้าใจว่าอยู่ดี ๆ ทำไมเอิงถึงเป็นแบบนี้ “ทำไมผมถึงไม่รู้สึกถึงเขาเลย” เอิงพูดออกมา “คุณคือแดน” เอิงพูด ก่อนน้ำตาที่เก็บกักเอาไว้ไม่ไหวแล้ว จะร่วงหล่นลงมา “เราต้องกลับไป ตอนนี้ผมไม่รู้สึกถึงแมทเลย” เอิงพูดออกมา เมื่อความรู้สึกที่เคยอวลคลุ้งของนายทหารช่างหนุ่ม ได้หายไปจนสิ้น

“ผมอยู่ตรงนี้ไงเอิง” แดนตัดพ้อ เมื่อรู้ว่า คนที่เอิงสัมผัสถึงคือแมท “คุณไม่เข้าใจ” เอิงที่อยู่ ๆ ก็ถูกความเศร้าสุดแสนประมาณจู่โจมเข้าหา รู้สึกรวดร้าวไปหมดทั้งใจ “ว่าความเดียวดายมันทรมานแค่ไหน” เอิงร้องไห้ออกมาอย่างสุดกลั้น “เอิง ผมพยายามแล้ว” แดนพูด “เขาพยายามทำในทุกทางที่เขาทำได้แล้ว” แดนขบกรามแน่นจนขึ้นเป็นสันนูน ความเจ็บปวดจากการได้รับรู้ ถึงโอกาสที่โดนพรากไป ทำให้แดนทรมานใจไม่น้อย

“การที่ต้องเฝ้ารอ เฝ้ารอโดยไม่มีจุดหมาย ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ รอคอยให้เขามาหา กลับมาทำตามสัญญานั้นสักที” แดนดึงตัวของเอิงเข้ามากอด เอิงสะอื้นไห้อยู่กับอกของแดน บูมมองทั้งสองคนจากกระจกมองหลัง “แก” เตยปาดน้ำตา เช็ดน้ำมูก “แกดูนี่” ก่อนจะยื่นโทรศัพท์มือถือให้เพื่อนดู รูปที่เธอถ่ายเก็บเอาไว้ “เฮ้ย” บูมร้องออกมา เมื่อได้เห็น “สองคนนี้เหรอ” บูมมองทั้งสองคนกำลังเดินกลับมาที่รถ “แกก็ได้ยินที่พี่ทหารสองคนนั้นพูดแล้วนี่” เตยพยักหน้า เธอคิดว่าเธอแน่ใจ

“เราไปกันต่อนะครับ” บูมถามขึ้น เมื่อทุกคนเข้ามานั่งในรถเรียบร้อยแล้ว “ครับ” แดนเป็นคนตอบรับ เด็กหนุ่มพยักหน้าก่อนค่อย ๆ ขับรถออกมา ส่วนเตยที่ก่อนหน้านี้ชวนคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ไม่หยุด เมื่อหันไปเห็นเอิงนั่งมองออกไปด้านหน้าตัวรถ แต่มีน้ำตาไหลลงมาไม่ขาดสาย ก็รู้สึกสะเทือนใจ สงสารและเห็นใจ ถ้านี่คือสองคนนั้นโดยไม่ผิดตัวแน่ แดนมองไปทางเอิง เขาเอื้อมมือไปให้เอิงจับ แต่เอิงก็ยังคงนิ่งอยู่อย่างนั้น แดนกำมือที่หงายรอนั้นจนแน่น แน่นจนความรู้สึกเจ็บนั้นแล่นเข้าไปปวดอยู่ในใจ

“ลูกค้าขอค้างคืนที่นี่ ครับ ลูกค้าเป็นคนรับผิดชอบค่าใช้จ่าย ครับผู้จัดการ ใช่ครับ” บูมโทรแจ้งทางโรงแรมว่ามีการเปลี่ยนแปลงทริปนิดหน่อย ซึ่งทางโรงแรมไม่มีปัญหาอะไร ให้ทำตามที่ลูกค้าต้องการได้เลย บูมวางสายจากผู้จัดการ ก่อนจะหันมาพูดกับแดน “ที่นี่ห้องมันเหลือว่างห้องเดียว พี่แดนกับพี่เอิง พักที่นี่แล้วกันครับ เดี๋ยวผมกับเตยไปพักโรงแรมถัดไปไม่ไกลนี่เอง” บูมพูดบอกกับแดน ซึ่งในระยะทางที่เหลือ ที่ขับรถกันมาจนถึงที่นี่ ทั้งคันมีแต่ความเงียบงัน ไม่มีใครพูดอะไรกันเลยตลอดทาง

“ขอบใจนะ เอานี่ไว้ ขาดเหลืออะไรบอกพี่” แดนยื่นเงินสดจำนวนหนึ่งให้บูม เด็กหนุ่มจะไม่รับไว้ แต่แดนยืนยัน “ขอบคุณครับ พี่แดนมีเบอร์โทรผมแล้ว มีอะไรโทรเรียกผมได้นะครับ” บูมยกมือไหว้ของคุณแดน ชายหนุ่มลูกครึ่งพยักหน้ารับ “ไปได้แล้ว พี่แดนให้เงินมาพอค่าห้องของแก กับของฉันแล้ว เกินพอด้วย” บูมบอกให้เตยที่ยังไม่อยากแยกตัวออกไป เดินตามเขามา “มีอะไรเรียกหนูกับบูมได้ตลอดเลยนะพี่”

แดนกล่าวขอบคุณทั้งสองคนเบา ๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องแพติดริมน้ำ ภายในห้องสลัว แดนเอื้อมือจะไปกดเปิดสวิตช์ไฟ แต่ยังไม่ทันได้ทำ หนุ่มลูกครึ่งมองออกไปด้านนอกระเบียง ที่ทำออกจากห้องนอนยื่นไปในน้ำ เอิงยืนพิงอยู่ที่ขอบราวกั้น แดนกำลังจะเดินตามออกไป เขามองเห็นกระดาษใบหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ ที่มีข้อความอะไรบางอย่างเขียนอยู่ เขาหยิบมันขึ้นมาดู ก่อนจะมองไปที่เอิงอีกครั้ง แล้วเดินตามออกไปที่ด้านนอกระเบียง แดนเรียกชื่อเอิงเบา ๆ

“ซายกับผมไม่มีอะไรเหมือนกันเลยสักอย่าง” เอิงพูดออกมา สายตาของเขาจับจ้องไปที่สะพานไม้ที่อยู่ไม่ไกลนัก ที่ทอดยาวจากฝั่งนี้ไปฝั่งโน้น เหนือแม่น้ำที่ไหลเอื่อย ๆ “ผมมีทุกอย่างที่เขาไม่มี” อากาศยามเย็นวันนี้ สลัวด้วยเมฆฝนที่กำลังตั้งเค้า “ซายมีอะไรมากมายที่อยากจะบอก” เอิงพูดต่อ ในใจของเขาตอนนี้ มีสายธารของความเศร้าโศกไหลผ่าน “แต่เขาไม่เคยได้พูดมันออกมา” แดนมองไปที่เอิง เขาปล่อยให้เอิงพูดออกมา มองกระดาษที่เอิงเขียนข้อความลงไป ที่เขาถืออยู่ในมือแผ่นนั้น


You might already know, all these things

Though there were no words being said

You may have realized from what had been going on

In those days we were together

“ไม่เคยมีใครเข้าใจเขา” เอิงปล่อยให้น้ำตาของเขาไหลลงมาเป็นสาย “แต่เมื่อพอวันหนึ่ง มีคนคนหนึ่งแคร์มากพอที่จะฟัง ทั้ง ๆ ที่เขาพูดมันออกมาไม่ได้” เอิงหันมามองแดนด้วยน้ำตานองหน้า “แคร์มากพอที่จะให้ใจกับเขา ที่จะให้ความรักกับเขา แต่ดูสิ่งที่มันเกิดขึ้นกับเขาสิ” เอิงรู้สึกเจ็บอึ้งอยู่ในอก อาการน้อยใจ เสียใจ เศร้าใจ ไหลวนปั่นป่วนไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย


Our old days remained only in our dreams

Existed just in time of days gone by

You may now perceive the facts, regardless of the length of time

It’ s not too long for my heart’ s reminiscence

เรือนมรณะ ความหมายหลักคือ ตาย สาบสูญ การสูญเสีย การจากลา การพลัดพราก ความตกต่ำ เสื่อมถอยลง ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง จุดอ่อนและความเปราะบางของเจ้าชะตา คือเหตุการณ์ที่ผ่านไปแล้ว เรื่องร้าย ข่าวร้าย การโยกย้ายถิ่นฐาน ไปอยู่ในที่ลึกลับ เมื่อดาวเข้าเรือนปัตนิมาอยู่ในเรือนมรณะ ท่านว่า เจ้าชะตาโชคไม่ดี ไม่ประสบความสำเร็จในเรื่องความรัก แม้นว่าเจ้าชะตาจะมีคู่เป็นคนต่างถิ่นต่างแดน ก็ต้องเป็นไปอย่างปกปิดลึกลับ การได้เสียกันอย่างมิอาจเปิดเผยให้ใครล่วงรู้ นั่นอาจจะต้องสูญเสียหรือจากลากับคู่ครอง ก่อนวัยอันควร

“ซายเขาได้แต่รอ ซายเขาทำได้แค่เพียงรอให้แมทกลับมา” เอิงพยายามพูดออกมา ทั้งที่ความสะเทือนใจกำลังเล่นงานเขาอย่างหนัก แดนที่จุกอยู่ในอกไม่แพ้กัน ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าของเอิง ที่เหมือนยิ่งเช็ด ก็ยิ่งไหลออกมามากกว่าเดิม “ผมรู้ เอิง ผมรู้” แดนกอดเอิงเอาไว้จนแน่น เอิงปล่อยให้สิ่งที่กำลังรู้สึกในใจ ได้พรั่งพรูออกมา มันคือความเข้มแข็งที่ต้องฝืนทำ ในยามที่ร่างกายและจิตใจอ่อนแอที่สุด ที่เอิงรู้สึกและสัมผัสมันได้ผ่านด้าจก์ซาย

*****************************

แปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

Lyrics translation into English by KADUMPA

https://www.youtube.com/watch?v=qnGTC8EUUes


เธอคงพอรู้ ในสิ่งเหล่านี้

You might already know, all these things

โดยไม่มีถ้อยคำบอกไว้

Though there were no words being said

เธอคงพอรู้ จากทุกความเป็นไป

You may have realized from what had been going on

ในวันที่สองเราใกล้กัน

In those days we were together



แม้ในวันนั้น ยั่งยืนเพียงฝัน

Our old days remained only in our dreams

เป็นแค่เพียงเมื่อวานผ่านไป

Existed just in time of days gone by

เธอคงพอรู้ ไม่ว่านานเพียงใด

You may now perceive the facts, regardless of the length of time

ไม่นานเกินไปให้ใจฉันจำ

It’ s not too long for my heart’ s reminiscence



จะเก็บมันเอาไว้ในใจ เมื่อครั้งมีเธอ

Will have it stored in my heart, days I spent with you

และฉันรู้สึก ครั้งนี้ยังไง

How much I do feel with its presence

ให้เป็นความคิดถึง แม้นานเท่าไร

Let it be missed despite of imperishable time

เธอจะอยู่ในใจ เป็นเรื่องจริงในความทรงจำ

You’ll stay on my mind and stay true in my memory



จะเก็บมันเอาไว้ในใจ เพราะฉันไม่อาจ

I’ll keep it alive in my heart, because it’ s way beyond my powers

ฝืนย้อนคืนวัน ให้หวนได้ใหม่

To bring back all previous days and make them again real

ทำได้เพียงคิดถึง นับจากนี้ไป

Missing it so from now on is what I am able to do

เธอจะอยู่ในใจ เป็นเรื่องจริงในความทรงจำ

You’ll live in my heart, you’ re the truth imprinted in my memory



จะเก็บมันเอาไว้

I’ll keep it linger for a lifetime



จะเก็บมันเอาไว้ในใจ เมื่อครั้งมีเธอ

Will have it stored in my heart, days I had with you

และฉันรู้สึก ครั้งนี้ยังไง

How I feel about it right at this very moment

ให้เป็นความคิดถึง แม้นานเท่าไร

Let it be missed despite of eternal time

เธอจะอยู่ในใจ เป็นเรื่องจริงในความทรงจำ

You’ll stay on my mind and stay real in my fondling memory


จะเก็บมันเอาไว้

I’ll keep it all survive


จะเก็บมันเอาไว้

I’ll have you; my memory abide
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-05-2022 15:28:26 โดย KADUMPA »

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 777
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 202
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
๒๓.





ตนุ - ตนุ (ตัวฉันที่เป็นเป็นที่ตัวฉัน)





“ทีนี้แกเชื่อฉันหรือยังบูม” เตยนั่งลงที่ม้าหินอ่อน ด้านหน้าห้องพักชั้นล่าง ที่เป็นตึกสองชั้น เรียงเป็นรูปตัวแอล “ก็มันน่าเหลือเชื่อจะตาย” บูมตอบ พลางนั่งลงตรงข้ามกับเตย “ใครได้ยินเรื่องแบบนี้ครั้งแรก ก็ต้องคิดแหละ ว่ามันไม่น่าจะเป็นจริงได้” บูมให้เหตุผล ก่อนยกขวดน้ำอัดลมขึ้นดื่ม “แต่มันก็เป็นไปแล้ว มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ๆ” เตยย้ำกับเพื่อน ชูรูปบนหน้าจอมือถือให้บูมดู

“จดหมายพวกนี้เป็นเรื่องจริง” เตยมองดูรูปที่เธอถ่ายมาจากจดหมายฉบับจริงเหล่านั้น “ตอนนั้นแกบอกว่าฉันเพ้อไปเอง จินตนาการล้ำล้นจนเพี้ยน” เตยพูดค่อนขอดบูม ก่อนค้อนขวับเข้าให้ “แกก็ต้องคิดด้วย มันมีแต่ข้อความในจดหมาย มีแค่ชื่อคนเขียนโดด ๆ ลงท้ายเอาไว้ ซองจดหมายให้สืบหาข้อมูลจากที่อยู่ อะไรก็ไม่มี ฉันก็ต้องขอเดาว่า ไม่ใช่เรื่องจริงไว้ก่อนนั่นแหละ” บูมอธิบายให้เพื่อนฟัง ถึงหลักการการวิเคราะห์ของเขา

“ฉันน่าจะหยิบจดหมายจริง ๆ มาด้วย” เตยบ่น นึกเสียดายที่วันนั้น ตอนเจอจดหมายพวกนี้ เธอแค่ถ่ายรูปมันมา แล้วเก็บจดหมายกลับไปที่เดิม “แกไปเจอจดหมายพวกนี้ที่ไหนนะ” บูมถามเตย เพื่อรื้อฟื้นความจำอีกครั้ง “หลังชั้นวางเอกสารเก่าของคุณทวดเล็กน่ะ”

เตยที่วันนั้น นึกยังไม่ไม่รู้ เด็กสาวเข้าไปในห้องที่เคยเป็นห้องนอนเก่าของคุณทวดเล็ก น้องชายของคุณตาของเธอ ที่เธอไม่เคยมีโอกาสได้พบ ก่อนที่เด็กสาวจะเดินดูนั่นดูนี่ แล้วข้อศอกไปชนกับชั้นวาง จนมีกล่องไม้เก่า ๆ ใบหนึ่งร่วงลงมา เตยก้มมอง ก่อนหยิบมันขึ้นมาดู

“ฉันอ่านเองตอนแรก ก็ไม่แน่ใจว่าจะแปลถูกต้องมั้ย จะเอาไปให้ใครก็อ่านก็ไม่กล้า” เตยเล่าย้อนไปถึงตอนที่เธออ่านจดหมายพวกนี้ใหม่ ๆ “จนนึกถึงแกนั่นแหละ” เตยมองหน้าบูมที่ยกขวดน้ำขึ้นจิบ “ฉันเลยโดนเอ็ดตะโรเข้าให้ ตอนที่แกขอให้ฉันเอาจดหมายไปให้ทวดช่วยดูให้” บูมนึกแล้วก็ยังเข็ดไม่หาย ด้วยความที่ว่าคุณทวดของเขานั้น ทั้งดุ ทั้งเข้มงวดมาก

“ก็ฉันเห็นว่า คุณทวดเคยเป็นคู่หมั้นของคุณทวดเล็ก ตั้งแต่สมัยยังสาว คุณทวดเลยอาจจะรู้อะไรบ้างก็ได้นี่” เตยทำหน้ารู้สึกผิด เพราะรู้ถึงกิตติศัพท์ความดุและโหดของคุณทวดของบูมดี โดยที่เตยว่าไว้นั้น ทวดของเขาเคยแต่งงานกับคุณทวดเล็ก ก่อนที่ทั้งสองท่านจะเลิกรากันไป หลังจากนั้นเพียงไม่นาน จะพูดว่าเตยกับบูมเป็นญาติกันก็ไม่ใช่ เพราะไม่ได้เกี่ยวดองอะไรกันทางสายเลือด แต่ก็ถือว่า สองครอบครัวนี้ยังคงญาติดีกัน ไม่ได้ตัดรอนกันไปแต่อย่างใด

“ทวดบอกว่าที่แกแปลน่ะ ไม่ผิด แต่เรื่องนี้มันเกี่ยวกับคุณทวดเล็กด้วย” บูมบอกตามที่ทวดของเขาว่าไว้ “แกโอเคหรือไง ถ้าเหตุผลเรื่องการเลิกกันของคุณทวดเล็กกับทวดของฉัน จะถูกขุดคุ้ยขึ้นมาอีกครั้ง” บูมถามเพื่อนด้วยน้ำเสียงจริงจัง เตยมองหน้าบูมที่กำลังพูดอยู่ “ทวดฉันเป็นคนอายุยืน แต่ก็ไม่มากพอ ที่จะอยู่รอฟังเรื่องพวกนี้หรอกนะ” บูมเอง ก็นึกถึงทวดของเขา ที่จากไปเมื่อหลายปีก่อน

“แกก็เคยได้ยินมา เหมือนกันกับที่ฉันได้ยินนี่ ข่าวลือที่ว่า ทวดของฉันขอหย่ากับคุณทวดเล็ก เพราะอะไร” เตยถอนหายใจออกมา “อืม” ก่อนจะพยักหน้าตอบเพื่อนว่าเธอรู้ และมันคงจะเป็นสิ่งที่แย่มาก หากว่าคุณทวดเล็กที่จากไปนานแล้ว จะถูกพูดถึงในทางเสียหาย โดยที่ท่านไม่สามารถกลับมา ปกป้องชื่อเสียงของตัวเอง หรือพูดแก้ต่างเรื่องราวของคุณทวดเล็กได้ และยิ่งคุณทวดเล็กสมัยหนุ่ม ๆ ก่อนที่ท่านจะสิ้น ท่านเคยเป็นนายทหารด้วยแล้ว เตยเองไม่อยากจะเป็นลูกหลานที่มาทำร้ายคุณทวดเล็กเสียเอง

“ยิ่งวันนี้มาได้ยินพี่ทหารที่ด่านพูดแล้วด้วยนะ” เตยนึกถึงขึ้นมา ก็ทำให้ต้องมองไปรอบ ๆ แบบหวาดระแวง “เออ อันนี้น่าขนลุกจริง หลอนเลย” บูมเห็นด้วยกับเตยในเรื่องนี้ “ตอนฉันเจอพี่เอิงที่ร้าน ฉันก็เห็นเหมือนกัน ฉันเห็นพี่เอิงคือผู้ชายหน้าหวาน ๆ ม้วนมวยผมไว้ด้านหลัง ใส่ชุดชนเผ่า” เตยบอกกับบูมกับสิ่งที่เธอเห็น

“แต่ภาพนั้นก็แวบเดียวนะ มองอีกที ก็คือพี่เอิงนี่แหละ ผมสั้น ๆ แค่หน้าหวาน ๆ คล้ายกัน” เตยเล่าลักษณะความแตกต่างที่เธอสังเกตเห็น “ที่โรงแรม ตอนฉันเดินไปส่งพี่แดนกับพี่เอิงที่ห้อง ฉันก็เห็น” บูมเล่าสิ่งที่เขาเจอมา “แต่มันก็แวบเดียวอย่างที่แกว่านั่นแหละ แต่ฉันยืนยันว่าฉันเห็น อย่างที่แกเห็นเลย เตย” บูมที่ตอนแรกคิดว่า เขาตาฝาดไปเองต้องมายอมรับว่า มันไม่น่าเป็นแค่เรื่องที่เขาคิดไปเอง

“ยิ่งตอนที่พี่เอิงลงไปจากรถ ฉันได้ยินที่พี่เอิงเถียงกับพี่แดนว่า คนชื่อซายเขารออยู่ คนอื่นไม่รู้ แต่ซายรู้ คนอื่นลืมกันไปหมดแล้ว แต่ซายยังไม่ลืม” บูมฟังที่เตยว่ามา เขาเองก็ได้ยินเอิงพูดคล้าย ๆ กันนี้ “มันมาเหมือนกับชื่อในจดหมายพอดิบพอดี” เตยยกโทรศัพท์มือถือชูขึ้น “ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ” บูมพูดออกมาแม้จะไม่อยากยอมรับ แต่อะไรมันจะลงล็อกเป๊ะ ๆ ได้ขนาดนี้

“ที่พี่เอิงพูดไว้ คงจริงสินะ ถ้าไม่เคยร่วมกรรมกันมาก่อน ก็มาร่วมสร้างกันตอนนี้นี่แหละ” บูมนึกขันกับดวงชะตาชีวิตอะไรนี่ “แกกับฉัน อาจจะไม่ได้สร้างกรรมกับเขา” เตยพูดขึ้น “แต่เคยได้ยินมั้ย ว่ากรรมมันตกถึงลูกถึงหลานได้” บูมมองหน้าเตย แล้วถอนหายใจออกมา “นั่นแหละ เรื่องจดหมาย คุณทวดเล็กของฉัน คุณทวดของแก แกกับฉันก็เลยมาอยู่ตรงนี้กับเขาด้วยไง” เตยพูด แต่มันก็สายเกินไปเสียแล้ว ที่เธอและบูมจะหันหลังกลับ

กะรัตมองดูนายทหารคู่หมั้นหนุ่มของเธอ ที่นั่งสนใจแต่กระดาษภาษาอังกฤษนั้น จนเธอนึกอยากจะลุกเดินออกไปจากโต๊ะรับประทานอาหารนี้ เสียให้รู้แล้วรู้รอดไป ผู้พันภาคย์คู่หมั้นคู่หมายของเธอ สนใจกองกระดาษพวกนี้มากเป็นพิเศษ แม้แต่ตอนที่กำลังมาดินเนอร์กับเธอแบบนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ผู้พันหนุ่มดูจะวุ่นวายทั้งเรื่องถามหาจดหมายจากต่างประเทศ นั่งอ่าน นั่งจับใจความ ให้ความสำคัญกับมันมาก แถมไม่ให้ใครทั้งนั้น ได้แตะต้อง หรือเห็นข้อความในนั้นเลย

“ถ้าคุณพี่ไม่พร้อมที่จะออกมากับน้อง ให้กะรัตกลับก่อนก็ได้นะคะ” หญิงสาวหยัดหลังขึ้นนั่งตัวตรง คอตั้งระหง เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย อย่างคนถือดี ผู้พันภาคย์เงยหน้าจากจดหมายในมือ เขาเห็นสีหน้าของคู่หมั้นคนสวย ที่แสดงอาการไม่พอใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด โดยไม่ได้พยายามที่จะปกปิดมันเอาไว้แต่อย่างใด

“พี่ขอโทษกะรัตด้วย งานราชการด่วน หวังว่าน้องคงเข้าใจ เอาไว้พี่จะหาเวลาชดเชยให้วันหลัง กะรัตคิดว่ายังไง” ผู้พันหนุ่มเก็บจดหมายที่ถือในมือเข้าซองเอกสารราชการ โดยมีสายตาของกะรัตมองตามจดหมายฉบับนั้น “ก็ถ้าเป็นงานราชการจริง อย่างที่พี่ภาคย์ว่า กะรัตก็ไม่ว่ากระไรหรอกค่ะ” กะรัตจงใจใช้น้ำเสียงที่เธอมั่นใจว่า ผู้พันหนุ่มต้องรู้สึกกับสิ่งที่เธอพูด

“ยังไง กะรัตหวังว่า พี่ภาคย์คงไม่ถึงกับเอางานราชการนี่ ไปทำในวันแต่งงานของเราด้วยหรอกนะคะ” หญิงสาวรู้ตัวดีว่า ช่วงหลัง ๆ มานี้ อารมณ์เสียง่าย ๆ กับเรื่องของภาคย์ “กะรัตของตัวนะคะ รู้สึกเพลีย อยากพักผ่อน” กะรัตพูดจบก็ลุกขึ้นเดินออกจากร้านอาหารนั้นไปทันที ผู้พันภาคย์มองตามหญิงสาว ใช่สิ งานแต่งงานของเขากับกะรัต จะมีขึ้นในอีกสองวันนี้ ที่พอใกล้วันงานขนาดนี้แล้ว ผู้พันภาคย์ ยิ่งไม่อยากให้มันมาถึง นายทหารหนุ่มดึงจดหมายฉบับนั้นออกมาอีกครั้ง เขาได้แต่นึกถึงใบหน้าของคนที่ตั้งหน้าตั้งตารอคอยจดหมายนี้

'ไม่เหมือนกันสินะ' คำพูดนี้ดังก้องอยู่ในใจของผู้พันหนุ่ม ตั้งแต่วันนั้น ที่ผู้พันพาด้าจก์ซายมาที่แม่น้ำนี้ เขากลับไปพร้อมกับความรู้สึกประหลาดที่สลัดไม่หลุด ความรู้สึกชื่นชมถึงความกล้าหาญทางจิตใจของคนคนนี้ แต่นั่นมันไม่ใช่เหตุผลเดียว ที่ด้าจก์ซายยังติดอยู่ในใจมาโดยตลอด คนสองคนเป็นทหารเหมือนกัน สวมเครื่องแบบแทบไม่ต่างกัน คนหนึ่งที่เปิดเผยให้คนรับรู้ได้ คงเป็นได้แค่เพื่อน ส่วนอีกคนที่เก็บซ่อนเอาไว้จนลึกสุดใจ กลับเป็นได้มากกว่านั้นมากนัก

“แกจะให้ฉันอ่านให้ฟังสักฉบับมั้ย” ผู้พันภาคย์ชี้นิ้วไปที่จดหมายในมือด้าจก์ซาย ก่อนจะอาสาแปลเนื้อความในจดหมายเหล่านั้นให้ นั่นเป็นสิ่งที่ยิ่งกว่าความดีใจ ซายพยักหน้าถี่ หยิบซองจดหมายซองหนึ่งส่งให้ผู้พันหนุ่ม ดวงตาใสแป๋วจับจ้องไปที่ริมฝีปากของผู้พัน เพื่อรออ่านความ

กะรัต หญิงสาวผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยา แอบมองท่าทีของผู้พันภาคย์ที่เป็นสามีของเธอ มีต่อชายหนุ่มในชุดชนเผ่านั้น แล้วเธอต้องรู้สึกเจ็บข้างในใจ กะรัตรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว มันเต้นยิบ ๆ ไปด้วยความรู้สึกโมโห โกรธเกรี้ยว และน้อยใจไปในคราวเดียวกัน นี่หรอกหรือ งานราชการด่วน ที่ผู้เป็นสามีบอกว่าต้องเดินทางมาด่วน มานั่งอ่านจดหมายให้กับผู้ชายอีกคนฟัง แถมยังแสดงท่าทางอาทร จนเกินกว่าที่ผู้ชายสองคนจะทำให้กัน นี่ถ้าเธอไม่จ้างให้คนรถขับตามมา เธอคงไม่รู้เลย ว่าผู้พันภาคย์มาทำอะไรกันแน่

กะรัตใช้เวลาคิดใคร่ครวญอยู่นานหลายเดือน หลังจากวันที่เธอได้เห็นว่า ผู้พันภาคย์ไปทำอะไรที่ข้างบนนั่น หญิงสาวลอบสังเกต เธอเห็นมีจดหมายส่งมาถึงอีกสองสามฉบับ แล้วก็เงียบหายไปเลย ผู้พันภาคย์ดูร้อนรน แต่ไม่น่าจะใช่เพราะว่า ไม่มีจดหมายมาส่งอีก แต่ดูราวกับว่า ผู้พันหนุ่มนั้นเป็นห่วงใครบางคนข้างบนโน้นมากกว่า เพราะไอ้การกระสับกระส่าย ไม่พูดไม่คุย และไม่แม้แต่จะแตะต้องตัวของเธอเลย กะรัตผู้ที่เป็นภรรยาสาวสวยแบบนี้

“พี่ต้องไปราชการ สักสองวันนะ” ผู้พันภาคย์บอกกับภรรยา โดยที่ผู้พันหนุ่มเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกร้อนรนผิดปกติ ได้แต่เฝ้าคิดถึงซายอยู่ตลอดเวลาแบบนี้ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดยังไงกับเขา และคิดกับเจ้าของจดหมายนั่นแบบไหน แต่ภายในใจมันก็คอยแต่เรียกร้องให้เขา อยากไปหา ไปให้เห็นหน้า ให้รู้ว่าด้าจก์ซายสบายดี เท่านั้นก็พอ

“น้องเองก็กำลังคิดอยู่เชียว ว่าช่วงนี้คุณพี่ดูจะห่างหายจากการไปราชการ” กะรัตพูดพลางยกแก้วน้ำชาขึ้นจิบ “ครั้งนี้ น้องขออนุญาตตามไปด้วยนะคะ” ผู้พันภาคย์ได้ยินแบบนั้น กำลังจะเอ่ยปากห้าม “คุณนายผู้พันบ้านอื่น ๆ คงจะดีใจ หากว่าน้องได้อะไรติดไม้ติดมือกลับมาลงมาบ้าง เห็นว่าผ้าทอ เครื่องเงิน ของป่าของหายาก คงน่าตื่นตาตื่นใจดี” กะรัตไม่รอฟังคำพูดห้ามปรามจากผู้พันหนุ่ม

“น้ำผึ้งป่า เห็นเขาว่ากัน ว่าข้างบนนั้น มีน้ำผึ้งป่าคุณภาพเป็นเลิศ คุณพี่คงต้องช่วยน้องถือลงมาฝากบรรดาคุณนายเหล่านี้ให้ทั่วทุกบ้านแล้วล่ะค่ะ” กะรัตพูดกลั้วหัวเราะ ก่อนจะลุกเดินไปพร้อมกับถ้วยชาในมือ ผู้พันภาคย์ลอบถอนหายใจ กำลังคิดทบทวนถึงสิ่งที่กะรัตพูดออกมา มันฟังดูมีความนัยอะไรบางอย่าง ผู้พันภาคย์อยากจะปฏิเสธ แต่ก็ไม่อยากให้เป็นชนวนให้เขากับกะรัตทะเลาะกันอีก

“พี่ภาคย์คิดว่าน้องจะเหมือนผู้หญิงคนอื่นทั่วไป ที่ต้องลงไปเกาะขาผัว งอนง้ออย่างนั้นหรือคะ” พอกะรัตกลับถังบ้าน หลังจากลงมาจากข้างบนนั้น หญิงสาวก็เปิดฉากพูดกับผู้พันภาคย์ในทันที “อ้อ ไม่ใช่สิ กะรัตคนนี้ จะไปเหมือนกับผู้หญิงคนอื่น ๆ ได้ยังไงกัน ในเมื่อผัวของคนอื่นเขาปันใจให้ผู้หญิง ไม่ใช่ ไม่ใช่” กะรัตอยากจะพูดมันออกมา แต่เธอก็รู้สึกกระดากใจ เกินกว่าจะให้คำคำนั้นหลุดออกมาจากปากของเธอ ผู้พันภาคย์ได้แต่ยืนนิ่ง ๆ ให้กะรัตบริภาษ

“กะรัตต้องการหย่า” กะรัตพูดออกมาด้วยใจที่ปวดร้าว ต่อให้เธอจะถูกเพื่อน ๆ ขนาดนามว่า เป็นผู้หญิงประหลาด เป็นหญิงที่ดูจะไม่ง้อชาย กระด้างกับเรื่องหญิงต้องตามหลังชาย แต่เธอก็เป็นของเธอแบบนี้ เมื่อเธอได้ค้นพบความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ด้วยแล้วแบบนี้ “กะรัตแน่ใจนะ” ผู้พันหนุ่มถามออกไปด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง กับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นกับเขา

“พี่ภาคย์ไม่จำเป็นต้องถามกะรัตซ้ำหรอกค่ะ” หญิงสาวเชิดหน้าขึ้น ตามนิสัยหยิ่งทระนงของตัวเอง “หรือพี่ภาคย์อยากเห็นกะรัตลงไปตบตีแย่งชิง กรีดร้อง อย่างที่เมียที่ดี ที่หวงผัวตัวเอง ควรทำล่ะคะ” กะรัตกลั้นน้ำตาเอาไว้ ทำเสียงให้ไม่สั่น เธอมองหน้าผู้พันภาคย์ตรง ๆ ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร แต่การกระทำของเขาที่ต้องหลบซ่อนตัวนี่ต่างหาก ที่ทำให้เขาดูเลว

“ถ้าวันหนึ่งวันใด พี่ภาคย์เจอคนในแบบที่พี่ภาคย์มองหา” อยู่ ๆ กะรัตก็มีความรู้สึกเห็นใจผู้ชายอย่างภาคย์ขึ้นมา มันเป็นจุดเล็ก ๆ ในใจของเธอ “น้องขออวยพรให้พี่ภาคย์” น่าประหลาดใจ ที่ผู้พันภาคย์ไม่ได้ยินน้ำเสียงประชดประชันในประโยคนั้นของกะรัต หญิงสาวเอง ก็รู้สึกแปลกใจ ที่เธอรู้สึกแบบนั้นจริง ๆ ความรู้สึกที่อยากเห็นคนที่เธอรักมีความสุข ในแบบที่เขาต้องการ แม้ว่าความสุขนั้น อาจจะไม่ใช่การใช้ชีวิตอยู่กับเธอ

เมื่อดาวเจ้าเรือนตนุ มาอยู่ในเรือนตนุเอง ท่านให้มาตรฐานดาวเป็นเกษตร หมายถึง หนักแน่น มั่นคง เจ้าชะตามีอิสระทางความคิดและจิตใจ นึกคิดสิ่งใด มีความคล่องตัว ไม่ขึ้นอยู่กับอิทธิพลของดาวดวงใด มีหนทางของความรู้สึกนึกคิด มีความเป็นตัวของตัวเองสูง เชื่อมั่นในสิ่งที่ตนตัดสินใจ มักจะต้องพึ่งพาตัวเอง ถ้าเกิดความผิดพลาดขึ้น ตนเองนั่นแหละ ที่เป็นผู้กระทำ

“แม่เล่าให้ฟังว่า คุณทวดเล็กไม่ได้แต่งงานอีก” เตยพูดขึ้น ในขณะกำลังใช้กุญแจไขประตูเข้าห้อง “คุณทวดเล็กเสียตั้งแต่ยังหนุ่ม” เตยมองมือของบูม ที่กำลังไขประตูห้องพักที่อยู่ติดกัน “ส่วนทวดฉันแต่งงานใหม่ ถึงได้มีฉันเป็นหลานมาเป็นเพื่อนแกนี่ไง” บูมพูดพลางยักไหล่ขึ้น “ถ้าเรื่องที่เขาพูดกันเป็นจริง ฉันนึกสงสารและเห็นใจคุณทวดเล็กมาก ๆ เลยนะ” เตยนึกย้อนไปในสมัยนั้น เพราะถ้าเป็นเธอ เตยจะทำยังไง

“อะไร ๆ มันก็เปลี่ยนแปลงไปเยอะแล้ว” บูมพูดขึ้น เขาเข้าใจ ว่าเตยต้องการจะบอกอะไร “คุณทวดเล็กมองหาความรัก แต่ดันมองหาความรักนั้นผิดคน ทั้ง ๆ ที่คำว่า ภาคย์ แปลว่า โชคดี แท้ ๆ” บูมได้ยินมาเช่นกัน เรื่องที่คุณทวดเล็กถูกผู้ชายหลอกให้รักจนหัวปักหัวปำ แล้วปอกลอกจนหมดตัว สุดท้ายคุณทวดเล็กก็จากไปอย่างน่าเวทนา

“แต่ฉันเชื่อ ว่าพี่แดนกับพี่เอิง ต้องไม่เป็นแบบนั้น” เตยพูดขึ้นด้วยความมั่นใจ บูมพยักหน้าให้เตย “พรุ่งนี้เจอกัน” ก่อนที่ทั้งสองต่างแยกย้ายกันเข้าห้องไป และหวังว่า พรุ่งนี้มันจะเป็นวันดี ๆ บนโลกที่ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ใบนี้

***************************

https://www.youtube.com/watch?v=WizItOis0Xw

วันที่ฟ้าดูไม่ค่อยเป็นใจ

อาจทำให้ใครบางคนนึกหวั่น

หวาดกลัวว่าความรักไม่มีจริง

ความรักมันก็เลยยิ่งห่างไกลออกไป



ลองเปิดตามองท้องฟ้าดูใหม่

ลืมและลบความกลัวที่เคยมีออกไป

เธอนั้นจะเข้าใจความรักที่ดีดีมีอยู่จริง

เธอเชื่อมั้ย



ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้สำหรับฉัน

เธออาจได้เจอกับคนที่เธอไม่คาดฝัน

เค้าอาจมายืนอยู่ตรงหน้าเธอแล้วบอกรักเธอ

เหมือนดังในความฝัน

เธออาจได้เจอกับคนของเธอเข้าสักวัน

คนที่ทำให้ใจไม่หนาวสั่น

อย่างกับฉันที่ยังคอยบอกตัวเองอยู่ทุกวัน

ว่าฉันจะได้เจอ



ลองเปิดตามองท้องฟ้าดูใหม่

ลืมและลบความกลัวที่เคยมีออกไป

เธอนั้นจะเข้าใจความรักที่ดีดีมีอยู่จริง

เธอเชื่อมั้ย



ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้สำหรับฉัน

เธออาจได้เจอกับคนที่เธอไม่คาดฝัน

เค้าอาจมายืนอยู่ตรงหน้าเธอแล้วบอกรักเธอ

เหมือนดังในความฝัน

เธออาจได้เจอกับคนของเธอเข้าสักวัน

คนที่ทำให้ใจไม่หนาวสั่น

อย่างกับฉันที่ยังคอยบอกตัวเองอยู่ทุกวัน

ว่าฉันจะได้เจอ



เธอเคยลองถามตัวเองดูมั้ย

ว่าหนึ่งชีวิตต้องการอะไร

แล้วถ้าสิ่งนั้นมันอยู่ห่างไกล

เธอจะลองเชื่ออย่างฉันมั้ย



ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้สำหรับฉัน

เธออาจได้เจอกับคนที่เธอไม่คาดฝัน

เค้าอาจมายืนอยู่ตรงหน้าเธอแล้วบอกรักเธอ

เหมือนดังในความฝัน

เธออาจได้เจอกับคนของเธอเข้าสักวัน

คนที่ทำให้ใจไม่หนาวสั่น

อย่างกับฉันที่ยังคอยบอกตัวเองอยู่ทุกวัน

ว่าฉันจะได้เจอ

ว่าฉันจะได้เจอ

ว่าฉันจะได้เจอ



ว่าฉันจะได้เจอ

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 777
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 202
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
๒๔.



ปัตนิ - ปัตนิ (ที่รักคนเดียวคนเดียวที่รัก)





ด้าจก์ซายส่งเสียงสะอื้น ร้องไห้จนตัวโยน ความคิดถึงทำให้สองเท้าพาเขามาหยุดยืนอยู่ที่ริมแม่น้ำนี้ ดวงตาที่เปียกปอนไปด้วยหยดน้ำตา มองฝ่าความพร่าเลือนไปที่ริมน้ำฝั่งตรงข้าม ด้วยใจที่หวังว่า จะมีใบหน้าที่คุ้นเคยนั่งอยู่ในเรือ แล่นมาที่ฝั่งฟากนี้ เพื่อพาเอาจดหมายสักฉบับมายื่นให้ ด้วยว่าอย่างน้อย จดหมายที่ห่างหายไปนานหลายเดือน มันเพียงแค่สูญหายไประหว่างทาง ไม่ได้เกิดจากที่คนเคยให้คำสัญญานั้น ล้มเลิกความตั้งใจเดิมไปแล้ว

เอิงผ่อนลมหายใจออกมา เมื่อเขาสะดุ้งตื่นขึ้น เขารู้สึกได้ถึงหมอนที่เปียกชื้นจากรอยน้ำตา ที่ไหลลงอาบแก้ม ความฝันครั้งนี้ เอิงรู้สึกถึงอารมณ์และความรู้สึกของซายได้ชัดเจน ความเหงา เสียใจ โหยหา มันรุนแรงกว่าทุกครั้งที่เองเคยรับรู้ ในใจของเขารับเอาก้อนมวลความเจ็บปวด ที่หลงเหลืออยู่นี้มาแบกไว้อ่างเลี่ยงไม่ได้

ก่อนหน้านี้ เมื่อตื่นจากความฝันแล้ว เอิงจะค่อยๆรู้สึกดีขึ้น ความรู้สึกติดค้างจากความฝัน จะค่อย ๆ หายไปเอิงภายในเวลาไม่นาน แต่วันนี้มันดูไม่เหมือนเดิม มันไม่ใช่เพียงแค่อารมณ์บาง ๆ ที่อ้อยอิ่ง ทิ้งตัวไหลวนเป็นกลุ่มหมอกแค่นั้น แต่มันเหมือนกับควันหนาทึบ ที่คลุมหัวใจของเอิงเอาไว้ มันอึดอัด ไม่สบายตัวอย่างบอกไม่ถูก

“ฝันหรือครับ” แดนถาม เมื่อเห็นอีกฝ่ายที่นอนอยู่บนเตียงเดียวกัน สะดุ้งตื่นขึ้นพร้อมน้ำตา “ครับ” เอิงตอบรับคำเบา ๆ ก่อนจะใช้หลังมือ เช็ดคราบน้ำตาให้หายไป “ผมปลุกคุณหรือเปล่า” เอิงเอียงหน้ามองไปที่แดน “ไม่เป็นไรครับ ผมตื่นแล้ว” ชายหนุ่มลูกครึ่งยิ้มให้ รู้ดี ว่าเอิงไม่ได้ตั้งใจ เพราะตอนที่แดนฝันถึงเรื่องราวเมื่อก่อน มันเป็นสิ่งที่อยู่เหนือความควบคุมจริง ๆ เพียงแต่ เมื่อคืนนี้ เขาไม่ได้ฝันอะไรเลย มันคือคืนที่เขาหลับสนิทมากคืนหนึ่งทีเดียว

“ตอนที่คุณฝัน” เอิงเอ่ยถามแดน “คุณฝันถึงซายเขาบ่อยมั้ย” แดนสบตากับเอิง แสงไฟสีส้มนวลส่องมาจากโคมไฟตัวเล็ก ๆ มุมห้อง ที่เปิดทิ้งไว้ “ช่วงแรก ๆ” แดนตอบ เขาเคยฝันถึงซายตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก “ผมบอกแล้วไง ผมมีเพื่อนเป็นดาร์ก ไซด์” เอิงยิ้มออกมากับคำพูดของแดน “ทุกคนคิดว่าผมเป็นเด็กมีปัญหา เขาคงคิดว่าผมบ้า” แดนจำได้ถึงเรื่องที่ทุกคนวิตกกังวล เมื่อได้เห็นภาพวาดของเขา

“แต่” แดนหยุดพูดนิดหนึ่ง มองหน้าของเอิงด้วยสีหน้าจริงจัง “เมื่อผมได้มาเจอคุณจริง ๆ เอิง ผมก็ได้แน่ใจ ว่าทุกอย่างคือเรื่องจริง” แดนใช้นิ้วเช็ดน้ำตาที่ยังหลงเหลืออยู่ให้กับเอิง สัมผัสจากมือของแดนช่างอบอุ่น และทำให้เอิงรู้สึกปลอดภัย “พอมาช่วงหลัง ผมจะจำเรื่องเกี่ยวกับแมทได้มากกว่า” แดนรู้ว่า เขารู้สึกปวดร้าวมากแค่ไหน วินาทีที่เขาก้าวเท้าเข้าไปในกระท่อมของแมท ที่อยู่ด้านหลังบ้านของคุณย่าแคลร์ เมื่อได้รู้ถึงสิ่งเกิดขึ้นกับแมท ในคืนอันแสนโหดร้ายนั้น

“แมทเขาพยายามแล้วจริง ๆ” แดนรู้สึกแค้นใจที่ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่า ทำใจยอมรับชะตากรรมของแมท แล้วหาทางตามหาเอิงให้เจอ เพื่อทำสัญญานั้นของแมทให้เป็นจริง เอิงยกมือขึ้นจับมือของแมท แนบลงใบหน้าของเขา หากว่าสัมผัสที่นุ่มนวลนี้ จะสามารถช่วยรักษาใจให้กับซายขึ้นมาได้บ้าง “ยกโทษให้เขาได้มั้ย” แดนถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ มีน้ำตาใส ๆ คลอหน่วย เอิงหลับตาลง พร้อมส่งน้ำตาอุ่น ๆ ไหลลงมาจากขอบตาทั้งสอง

“ยกโทษให้เขาเถอะนะ” เอิงได้ยินเสียงของแดน ก่อนจะรู้สึกถึงจูบแผ่วเบาบนหน้าผากของเขา แดนเลื่อนตัวเข้าหาเอิง ก่อนจะดึงตัวของอีกฝ่ายเข้ามากอดเอาไว้ “ที่ทำตามสัญญานั้นไม่ได้” แดนถามคำถามเดิมซ้ำ ว่ายกโทษให้เขาได้มั้ย “จะไม่ขอแก้ตัวอะไรทั้งนั้น” แดนกอดเอิงเอาไว้ให้แน่นขึ้น เอิงสะอื้นไห้ ซุกตัวเข้าหาอกอุ่น ๆ ของแดน “ขอร้องล่ะ อย่าโกรธกันอีกเลย” แดนปล่อยให้น้ำตาของเขาเอง ไหลลงมาเช่นกัน

ฟ้าเริ่มสางแล้ว เริ่มมองเห็นแสงเรื่อ ๆ มาจากขอบฟ้า เหนือผิวน้ำหมอกหนาวโรยตัวลงปกคลุมทั่วทั้งแม่น้ำ บูมกับเตยมารออยู่ที่สะพานไม้อยู่ก่อนแล้ว หลังจากโทรหาแดน บูมนัดแนะให้มาเจอกันตรงไหน ในฐานะที่เป็นคนเดียวในกลุ่มที่เคยมาที่นี่แล้ว แถวศาลาเชิงสะพานฝั่งนี้ เริ่มมีนักท่องเที่ยวยืนออกันหนาตาขึ้น ต่างพากันตื่นแต่เช้า เพื่อมารับลมหนาวและสูดอากาศบริสุทธิ์สดชื่น

“หนาวสุด ๆ ไปเลยเสื้อนี้ก็บางเกิน” เตยยืนกอดอกแน่น มองค้อนบูม ที่เพื่อนไม่เตือนให้เอากางเกงขายาวมาด้วย แล้วเธอเองก็เตรียมมาแต่กางเกงขาสั้น บูมยืนขำเพื่อน ที่ขยับแข้งขยับขา ทำตัวให้อบอุ่นขึ้นเพื่อไล่ความหนาว “ผมติดมาแค่แจ็กเกตตัวเดียว เอิงใส่ไว้นะ” แดนถอดเสื้อมาคลุมไหล่ให้กับเอิง โดยความอุ่นจากร่างกายของแดน ยังคงหลงเหลือติดเสื้ออยู่ และเอิงรู้สึกได้

“มันหนาว แดนใส่เถอะ” เอิงขยับจะส่งเสื้อคืนให้เจ้าของ “ผมไม่หนาวหรอก เอิงไม่เห็นกล้ามผมหรือไง” แดนพูด ก่อนจะบอกให้เอิงจับกล้ามแขนเขาดูก็ได้ เอิงได้แต่ทำเป็นไม่ได้ยิน “ใส่ซะ เร็ว” แดนบังคับให้เอิงใส่แจ็กเกตของเขาจนได้ “โอ๊ย บูม แกรีบมาถ่ายรูปให้ฉันเลย ฉันตาร้อน ฉันต้องรีบรักษา” เตยที่ยืนมองสองหนุ่มอยู่นาน ทนเห็นภาพอะไรหวาน ๆ ไม่ได้อีกต่อไป รีบดึงให้บูมเดินตามเธอไป

“เชิญครับ” แดนผายมือให้เอิงเดินนำเขาไปก่อน เอิงมองไปด้านหน้า สะพานไม้ความยาวเกือบเก้าร้อยเมตร ทอดตัวจากฝั่งนี้ไปจนถึงฝั่งโน้น สองข้างสะพานมีเสาไฟให้ความสว่างไปตลอดทาง เอิงขยับเท้าก้าวข้ามไม้กั้น ก่อนยย่างก้าวแรกนั้นลงบนสะพาน เขาเริ่มรู้สึกว่าที่หน้าอกอัดแน่นไปด้วยก้อนความรู้สึก เมื่อยิ่งเดินลึกเข้าไปในสะพาน ภาพในวันนั้น ก็แล่นเข้ามาในความคิด ให้เอิงได้เห็นอีกครั้ง

ลมเย็น ๆ พัดเข้ามากระทบใบหน้าของด้าจก์ซาย น้ำตาที่นองหน้าแห้งลง ซายหันกลับไปมองด้านหลังที่ฝั่งโน้น รถของผู้กองภาคย์ไม่อยู่แล้ว คนแพถ่อกลับไปโดยไม่พูดอะไร เมื่อซายข้ามมาถึงอีกฝั่งหนึ่ง ผืนน้ำล้อแสงแดดระยิบระยับ เมื่อยามสายมาถึง ใบไม้ลู่ไปตามลม ความเงียบสงบโปรยตัวลงมาจนทั่วบริเวณ เมื่อที่ริมน้ำนั้น ว่างเปล่า ไม่มีวี่แววของสักคน

เอิงเดินมาหยุดบนสะพาน ที่อยู่เกือบจะถึงอีกฝั่ง ความรู้สึกมันบอกเขาว่า นี่คือจุดเดียวกันกับที่ซายเคยมา ลมเย็น ๆ พัดเข้ากระทบใบหน้าของเอิง ในใจของเอิงรับรู้ถึงความเงียบงันและว่างเปล่าของเช้าวันนั้น ที่ซายรู้สึก ใบไม้ที่ลู่ไปตามลม แสงแดดเริ่มส่องมาทำให้ทั่วบริเวณเริ่มกระจ่างชัดขึ้น ความเงียบที่เอิงได้ยินเมื่อสักครู่ ถูกแทรกด้วยเสียงจ้อกแจ้กของบรรดาเหล่านักท่องเที่ยว จุดที่เอิงยืนอยู่บนสะพาน เกือบถึงริมน้ำนั้น เอิงหันกลับไปมองด้านหลังที่ฝั่งโน้น

เอิงเห็นแดนยืนยิ้มให้เขาอยู่ไม่ไกล มันไม่ได้ว่างเปล่า ไม่ได้ไร้วี่แววใครสักคน แต่มันกลับมีใบหน้าที่คุ้นเคย ยืนมองมาที่เขา หนุ่มลูกครึ่งเห็นเอิงมองมา เลยเดินเข้ามาหา แก้มของแดนเป็นสีแดงระเรื่อจากลมหนาวที่พัดมากระทบ เอิงเงยหน้าขึ้นสบตาคนที่สูงกว่า แดนเลิกคิ้วขึ้นเชิงถามอีกฝ่าย เอิงส่ายหน้าว่าไม่มีอะไร ความรู้สึกในใจเหมือนกำลังเรียนรู้กับความรู้สึกนี้ ว่าเขาไม่ได้เดียวดาย ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว แต่กลับมาใครอีกคน ที่อยู่ใกล้ ๆ มันเหมือนกับมีแสงไฟสว่าง ส่องเข้ามาในกลุ่มควันหนาทึบที่เกาะกุมหัวใจของเขาอยู่ก่อนหน้านี้ เหมือนมันมีคำเฉลย มีคำตอบกับสิ่งที่รอคอยมาโดยตลอด

บูมเรียกให้ เตย เอิงและแดนมายืนเรียงกัน ในแถวทั้งสองข้างถนน เพื่อรอใส่บาตรยามเช้าด้วยกัน ทั้งหมดช่วยกันอุดหนุนชุดทำบุญจากชาวบ้าน แถวพระและเณรเดินมารับบาตร ทั้งชาวบ้านและนักท่องเที่ยว ตื่นแต่เช้าเพื่อมาร่วมกันสืบสานประเพณีเก่าแก่ของที่นี่ ภาพรอยยิ้มของคนในชุมชน ทำให้การเริ่มต้นวันใหม่ในวันนี้ ดูสดใส พร้อมด้วยบรรยากาศหนาว ๆ รวมทั้งวิวสวย ๆ ในยามเช้าเป็นภาพพื้นหลัง

“เตย แกมาช่วยฉันยกหน่อย” บูมบอกกับเพื่อนให้เดินมาช่วยยกถาดอาหารเช้า เมื่อเขาได้ยินเสียงเรียกเลขโต๊ะดังมาจากหน้าร้าน “มาแล้ว มาแล้ว” ไม่นานนัก บูมก็เดินกลับมาพร้อมกับโจ๊กหมูสับสูตรท้องถิ่นสี่ถ้วย มีไอร้อนลอยอยู่เหนือถ้วยนั้น “นี่ด้วย กาแฟร้อนแบบโบราณ นมข้นนอนก้น กับปาท่องโก๋ยักษ์” เตยวางถาดเมนูเครื่องดื่มทีเด็ด ที่ทางพี่เจ้าของร้านแนะนำมา

“เข้ากับบรรยากาศมาก ๆ ลุยเลย” เตยส่งช้อนให้กับทุกคน ก็ถึงเวลาอร่อยแล้ว “ปาท่องโก๋กับโจ๊ก ก็ดี๊ดี พี่เอิง” เตยแนะนำ ก่อนส่งจานใส่ปาท่องโก๋ให้กับเอิง “อืม อร่อยจริง ๆ ด้วย” เอิงที่หยิบปาท่องโก๋ไปจิ้มกินกับโจ๊กบอกทุกคน “ให้ผมลองมั่ง” แดนยื่นหน้าเข้าใกล้เอิง กก่อนจะพยักหน้าให้เอิงเอาปาท่องโก๋ทอดกรอบ ๆ จิ้มโจ๊กในชาม ป้อนเขาบ้าง

เอิงจิ้มปาท่องโก๋ในมือกับโจ๊ก ก่อนส่งให้แดน หนุ่มลูกครึ่งจับมือของเอิงเอาไว้ แล้วป้อนมันเข้าปากไป แดนเคี้ยวอย่างมีความสุข เพราะมันก็อร่อยจริง ๆ เตยใช้ข้อศอกแตะแขนบูมที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ให้ดูผู้ชายสองคนที่นั่งอยู่ฝั่งโต๊ะตรงข้าม เขาดูแลกัน บูมมองดูแดน ที่และดูเป็นตัวของตัวเองมากกว่าที่บูมเห็นตอนเจอกันในเมือง ส่วนเอิง ดูผ่อนคลายลงกว่าเดิม ที่มีแดนอยู่ใกล้ ๆ

“เหลือปาท่องโก๋ไว้จิ้มกับนมข้น กับกาแฟโบราณบ้างนะคะ” เตยอดไม่ได้ที่จะแซวออกไป แดนก้มลงตักโจ๊กในชามของตัวเองเข้าปาก แต่สายตาก็ยังจับจ้องอยู่ที่เอิง ที่ตอนนี้ไม่เข้าใจว่า เขาเขินที่ได้ยินเตยพูดแซว หรือเขินกับสายตาของแดนที่ใช้มองมากันแน่ เตยเห็นแดนและเอิงดูพูดคุยกันดีในเช้านี้ ก็รู้สึกดีใจไปด้วย เธออยากให้แดนและเอิงไม่ว่าจะต้องเจอะเจออะไรต่อจากนี้ ผ่านทุกอย่างไปได้ด้วยดี

“หนูอยากถ่ายรูปเพิ่ม วิวแม่น้ำบนสะพานกำลังสวยเลย บูม ถ่ายรูปให้เราหน่อย” เตยบอกกับทุกคนเมื่อทานมื้อเช้ามื้อใหญ่เสร็จแล้ว “งั้นเดี๋ยวพี่เดินดูอะไรแถวนี้” เอิงบอก แดนพยักหน้าตามใจเอิง “งั้นอีกซักชั่วโมง เรามาเจอกันที่หน้าร้านโจ๊กนี้ โอเคนะคะ” เตยพูดจบ ก็ดึงมือบูมให้เดินตามไป โดยบูมทำหน้าไม่อยากจะเชื่อให้สองหนุ่มเห็น เมื่อได้ยินคำว่า ถ่ายรูป จากปากของเตย แดนและเอิงหัวเราะตามบูมไป

“แล้วเราจะไปไหนกันดี” แดนหันมาถามกับเอิง คนถูกถามหยุดนิดหนึ่ง หันไปมองถนนที่ถอดยาวขึ้นเนินไป ความรู้สึกอะไรบางอย่าง “เราเดินไปทางนั้นกันมั้ยครับ” บอกให้เอิงอยากจะเดินตรงไปทางนั้น ทั้งสองคนค่อย ๆ เดินไปพร้อม ๆ กัน สองข้างทางเป็นร้านค้าของชาวบ้าน ฝั่งนี้เป็นฝั่งตรงข้ามกับฝั่งไทย ชาวบ้านที่นี่เรียกกันแบบนี้ ความหลากหลายของสามเชื้อชาติ ที่อยู่ร่วมกันมาอย่างยาวนาน นับร้อยปี โดยตอนนี้มีสะพานเชื่อมทั้งหมดเข้าด้วยกัน

เอิงเดินมาเรื่อย ๆ แดนลอบสังเกตเห็นเอิงเหมือนกับมองหาอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่สามารถระบุเจาะจงลงไปได้ว่า มันคือตรงไหนกันแน่ ทางที่ทั้งสองเดินไป เป็นถนนที่คนที่นี่ใช้สัญจร ทุกอย่างดูแปลกตาจากที่เอิงเคยเห็นในภาพความฝัน ความรู้สึกเหมือนถูกกระตุ้น ถูกผลักให้เดินตามหา

ภาพกระท่อมไม้หลังเล็ก ๆ เก่า ๆ ถูกฉายซ้ำ วนเวียนอยู่ภายในหัวของเอิง มันวูบไปวูบมา เหมือนพยายามจี้ให้เอิงหาให้เจอ แต่ทุกอย่างแทบไม่เหลือเค้าเดิมอีกแล้ว อะไรก็ตามที่พยายามบังคับ เร่งให้เอิงหามันให้เจอ เหมือนจะมาจากพลังบางอย่าง ที่เอิงเพิ่งจะเคยได้สัมผัส มันเหมือนเป็นอารมณ์ที่หลงเหลือ ตกค้างอยู่ในกาลเวลา แม้จะผ่านมานานเท่าไร แต่มันก็ยังคงไหลเวียนอยู่

“จะไปไหนกันล่ะโยม” เอิงและเดินกันมาไกลพอสมควร จนรู้สึกตัวอีกที ก็เหมือนเข้ามาในเขตบริเวณวัด เอิงนั่งคุกเข่าลงต่อหน้าพระสงฆ์รูปนั้น แดนทำตาม “ผมเดินหาที่ที่เคยเห็นก่อนหน้านี้ครับหลวงพ่อ” เอิงพนมมือขึ้น ก่อนตอบกลับพระรูปนั้น ที่กำลังกวาดลานวัดอยู่ “ที่ที่โยมมองหา มันยังมีอยู่ใช่มั้ย” คำถามของหลวงพ่อ ทำให้เอิงตอบกลับไปว่าเขาไม่แน่ใจ

“ก็ยากเสียแล้วล่ะ เมื่อโยมตามหาสิ่งที่มันไม่มีอยู่จริง” หลวงพ่อพูดกับเอิงด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “มันมีบางคน ที่เขาอยากให้ผมหาที่แห่งนี้ให้เจอ” เอิงก็ไม่รู้จะอธิบายกับหลวงพ่อยังไงดี “แล้วคนอีกคน เขาอยากให้โยมเจอที่แห่งนั้นไปทำไม” คำถามของหลวงพ่อ ทำให้เอิงเองก็ไม่มีคำตอบใด ๆ ให้ หลวงพ่อมองไปที่ซิปกระเป๋าเสื้อแจ็กเกต ที่เอิงสวมอยู่

“โยมมากันไกลเหลือเกิน” หลวงพ่อพูดขึ้น น้ำเสียงและแววตาของท่านอ่อนโยน “บางทีคนเรา ก็กำหนดทุกข์ให้ตัวเอง” หลวงพ่อมองมาที่แดนและเอิง “โยมอีกคน เขามีผลกับความคิดของโยม แล้วโยมล่ะ มีผลกับการตัดสินใจของตัวโยมเองบ้างมั้ย” หลวงพ่อถามคำถามที่ทำให้เอิงนึกทบทวนตัวเอง “ถ้าโยมคนนั้นเขาไม่หยุด อาจจะต้องเป็นที่โยมเองเสียแล้วล่ะ”

” ใช่มั้ยโยม” หลวงพ่อพูด มองไปที่แดน ชายหนุ่มลูกครึ่งนึกสงสัย ว่าหลวงพ่อหมายความว่าอย่างไร “เมื่อยังจำได้ มันก็จึงยุ่งและวุ่นวายนักแล” หลวงพ่อกล่าวต่อ “โยมพอใจแล้วกับสิ่งที่โยมเพียรกลับมาตามหา” แดนฟังคำที่หลวงพ่อพูด “ส่วนโยมล่ะ ทรมานนะกับการรอ” หลวงพ่อหันมาถามคำถามกับเอิง “โยมทั้งคู่” หลวงพ่อจับไม้กวาดในมือ กวาดใบไม้ที่ร่วงอยู่ที่พื้น “มีโอกาสได้กลับมา แล้วได้เป็นตัวเอง หรือเป็นใครกัน” เอิงและแดนมองดูหลวงพ่อที่ยังคงกวาดพื้น และใบไม้ก็ยังคงร่วงลงมาให้ท่านต้องกวาดใหม่อีกครั้ง

“โยมเห็นกันแล้วใช่มั้ย” หลวงพ่อพูด มีรอยยิ้มแห่งความเมตตา เจืออยู่ที่ดวงตาและใบหน้าของท่าน “จิตที่สื่อถึงกัน นับว่าเป็นวาสนา เป็นบุพเพสันนิวาสคู่กัน สิ่งที่ผูกเงื่อนไขไว้ นับเป็นวิบาก ยุติลงได้ก็สุข ถือครองเอาไว้ก็ทุกข์ โยมจะตามหามันต่อก็สุดแท้แต่โยมเถอะ” เอิงได้ฟังคำพระ ก็ทำให้ใจพอนิ่งลงมาบ้าง แม้จะไม่เข้าใจทั้งหมด แต่ก็พอรับทราบว่า หลวงพ่อท่านกำลังพูดสื่ออะไรบางอย่างแก่เขา

เอิงกับแดนกราบลาหลวงพ่อ ก่อนจะเดินออกมา เพื่อย้อนกลับไปทางเดิม เอิงคิดถึงคำพูดของหลวงพ่อ ก่อนจะหันกลับไปมอง เอิงเห็นหลวงพ่อยืนนิ่ง ในมือถือไม้กวาดทางมะพร้าวในมือ มองมาทางเขา แดนเองก็หันกลับไปมอง ก่อนจะถามเอิงว่า มีอะไรหรือเปล่า เอิงหันมาพูดกับแดนว่า ไม่มีอะไร ก่อนที่ทั้งคู่จะหันกลับไปมองที่ลานกว้างนั้น แต่กลับไม่เห็นหลวงพ่อแล้ว มีเพียงพระพุทธรูปเก่า ตั้งประดิษฐานเอาไว้ที่ตรงกลางแจ้งเท่านั้น

ทั้งสองคนเดินกลับมาที่สะพานไม้อีกครั้ง เตยวิ่งเข้ามาหาเอิง แล้วบอกให้เขาถอดแจ็กเกตออกไปฝากไว้ที่แดน ก่อนจะดึงมือให้เอิงตามเธอเข้าไปในร้านหนึ่ง เอิงพยายามปฏิเสธ แต่เตยทั้งคะยั้นคะยอม ทั้งยืนยันว่า ไหน ๆ ก็มาทั้งที ก่อนจะบอกกับพี่เจ้าของร้าน ว่าเอิงตกลง พี่เจ้าของร้านบอกกับเอิงว่า ไม่ต้องอาย จะทำให้สุดความสามารถเลย ก่อนจะดันตัวให้เอิงตามเข้าไปที่ด้านในของร้าน แดนชะโงกมองตามเข้ามา ก็เห็นเตยยกนิ้วทำท่าโอเคให้แดนเห็น

“เอิง ตอนนี้อยู่ที่ไหนลูก” เสียงตอบกลับมาทางโทรศัพท์มือถือ ถามเอิงที่ยังอยู่ในห้องเล็ก ๆ หลังร้านแห่งนี้ เขาตอบกลับปลายสายไป ก่อนจะพูดต่อว่า “เอิงคิดถึงแม่” น้ำเสียงนั้น ส่งความรู้สึกไปให้จนล้น “คิดถึง ก็มาหาแม่สิลูก นานแล้วนะ ตั้งแต่เอิงมาครั้งที่แล้ว” แม่ของเอิงพูดตอบกลับมา “มันมีหลายเรื่องเลยช่วงนี้” เอิงบอกแม่กลับไป “แม่ครับ” เอิงชั่งใจ ว่าจะบอกแม่ไปเลยดีมั้ย

“อะไรลูก” เสียงของแม่ช่วยทำให้เขารู้สึกดีขึ้นได้เสมอ “เอิงเจอเขาแล้ว” เอิงตัดสินใจพูดบอกไม่ไป “จริงหรือลูก” ผู้เป็นแม่นั้น รอฟังจากลูกชายของเธออยู่เหมือนกัน ว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นจริงเมื่อไหร่ “ชอบเขาเข้าแล้วสิ” เสียงของแม่หยอกเอินมาตามสาย “แม่” เอิงเผลอหลุดยิ้มออกมา “แล้วเขาดีกับลูกของแม่มั้ย” ผู้เป็นแม่ถามกลับมาด้วยคำถามที่สำคัญสำหรับตัวเธอ

“เขาดีกับเอิงมากเลยครับ” เอิงตอบแม่ของเขา “งั้น เอิงก็พาเขามาหาป๊ากับแม่สิ พามาให้ป๊ากับแม่รู้จักเขา แบบที่เอิงรู้จักเขา แบบที่เอิงชอบเขา” แม่ของเอิงบอกกับเอิงกลับมา “ป๊าอาจไม่ชอบเขา” เอิงบอกออกไป “ป๊าเราก็หวงเราไปเรื่อยนั่นแหละ” แม่ของเอิงพูด ก่อนเอิงจะได้ยินแม่ตะโกนบอกป๊าว่า เอิงจะพาแฟนมาเจอ แล้วได้ยินป๊าตอบกลับมาว่า ไม่อยากเจอ

“มากันเถอะ มาได้เลย” แม่พูดกลั้วขำ เอิงบอกรักแม่ของเขา ก่อนจะกล่าวราตรีสวัสดิ์ เพราะที่นั่นเป็นช่วงเวลากลางคืน การไม่ได้อยู่กับบุพการีตั้งแต่เด็กของเอิง ไม่ได้ทำให้เอิงสนิทกับป๊าและแม่น้อยลงเลย มันกลับทำให้ทั้งสามคน รักและเข้าใจกันมากขึ้นอย่างน่าประหลาด เอิงเป่าลมออกจากปาก ก้มลงมองดูตัวเอง ก่อนยืนขึ้น เอามือจับลูกบิดเปิดประตูออก แล้วก้าวเดินออกมา

“มัน แอม โอเค” แดนพูดสายกับแม่ของเขา ที่โทรหาเขาด้วยความเป็นห่วง “บอกพ่อด้วยว่า ผมแน่ใจในสิ่งที่ผมทำ แล้วเราพูดเรื่องนี้กันหลายรอบแล้ว” แดนคิดว่าเขาได้บอกกับพ่อเคลียร์แล้วในทุกประเด็น “แม่ครับ ผมไม่คิดเปลี่ยนใจ” แดนพูดบอกแม่ของเขา ก่อนจะนิ่ง ตาค้างมองไปที่เอิง ที่เดินกำลังออกมาจากร้าน “พ่อกับแม่ต้องเชื่อผมแล้วล่ะ ผมหาเขาจนเจอ แน่นอนแล้ว” แดนพูดจบก็กดวางสายลง

แดนแทบหยุดหายใจ เมื่อเห็นเอิงในชุดพื้นเมือง หนุ่มลูกครึ่งรู้สึกเหมือนอยู่ในความฝัน เหมือนเขาตกอยู่ในภวังค์ แต่ว่า นี่คือเอิงจริง ๆ ที่หลายคนที่ยืนอยู่แถวนั้น ยังชี้ชวนให้มองมาที่เอิง เตยบอกกับแดนว่า ให้ไปถ่ายรูปกับที่สะพานไม้ แดนที่เดินคู่กันไปกับเอิง หันมามองเอิงบ่อย ๆ แล้วก็ยิ้มเขิน พร้อมเดินเอามือลูบต้นคอไปด้วย เตยเดินนำมาจนถึงที่กลางสะพาน ก่อนจะบอกให้บูมถ่ายภาพให้

“พี่แดนมาถ่ายรูปด้วยสิคะ เร็ว ๆ เอาแจ็กเกตมาไว้ที่หนูก่อน” เตยดันให้แดนไปยืนคู่กันกับเอิง โดยที่เตยกำกับภาพให้ทั้งคู่ เตยเอาดอกไม้ปักช่อยาว ให้เอิงถือไว้ด้วย บูมทำการกดชัตเตอร์ให้ทั้งสองคน เตยที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แอบส่องดูรูปในหน้าจอกล้องถ่ายรูปของบูม ก่อนที่เธอจะก้มลงมองที่แจ็กเกต ที่เห็นแดนใส่มาตั้งแต่อยู่ในเมือง มันมีมุมกระดาษยื่นออกมาจากกระเป๋าซิปนั้น

เตยหลบมาทางด้านหลังบูม เธอดึงเอากระดาษแผ่นนั้นมาคลี่ออกดู ก่อนจะรู้สึกอึ้ง เมื่อรูปที่บูมถ่าย เมื่อเทียบกับภาพวาดแผ่นนี้ของแดนแล้ว คนในรูป กับ คนในภาพวาด ลักษณะเหมือนกันจนแยกแทบไม่ออก เตยสะกิดบูมให้ดูภาพวาดนั้น ที่ในภาพวาด มีชื่อเขียนกำกับเอาไว้ ว่า แมทและซาย ปี 1945 บูมที่เห็นแบบนั้นยังถึงกับต้องอึ้ง แทบพูดไม่ออก เตยมองไปที่แดนและเอิง สีหน้า แววตา ท่าทาง นี่คือ คนหนึ่งที่ตามหา อีกคนที่เฝ้ารอ ที่เขาได้กลับมาพบเจอกันอีกครั้ง อย่างแน่นอน

แดนที่แม้จะไม่ได้อยู่ในชุดเครื่องแบบทหารอย่างในภาพวาด แต่ใบหน้าของชายหนุ่มลูกครึ่ง ก็ละม้ายคล้ายกับหารหนุ่มในรูปวาด ไม่ผิดเพี้ยน ส่วนเอิงที่อยู่ในชุดพื้นเมือง แม้ว่าจะหน้าตาแตกต่างจากคนในรูป แต่องค์ประกอบชุด ลักษณะท่าทางการยืน องศามือที่ใช้จับช่อดอกไม้ บอกได้ว่า มันไม่ได้ต่างกันเลย แถมช่อดอกไม้ในภาพวาด ที่เป็นดอกสีเข้มอยู่ด้านบนสุด แซมด้วยสีขาวไล่ลงมา มันก็เหมือนกันพอดิบพอดี จนเป็นเรื่องบังเอิญที่ไม่น่าเชื่ออย่างที่สุด

เมื่อดาวเจ้าเรือนปัตนิ โคจรมาอยู่ในเรือนปัตนิเองแล้ว หากเป็นคู่กัน ก็ถือว่าเป็นคู่แท้ คู่บุญคู่วาสนา เป็นคู่ซื่อสัตย์ต่อกัน จะได้คู่ชนิดคู่บุพเพสันนิวาส อยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่า แต่งงานแล้วมีชีวิตและฐานะมั่นคง เพราะได้มาตรฐานดาวเป็นเกษตราธิบดี เว้นแต่ดาวปัตนินั้นเป็นดาวเสาร์ ๗ ราหู ๘ หรือศุกร์ ๖ นั่นท่านว่าเป็นพินทุบาทว์ ดวงแตก จะเป็นปัญหา ในเรื่องคู่

คุณปริมยกโทรศัพท์มือถือขึ้นดู มีข้อความทางโปรแกรมแชทจากแดน ลูกชายของเธอส่งมาให้ คุณปริมกดเปิดมันขึ้นมาดู แล้วก็ต้องรีบเดินไปหาคุณโทมัสผู้เป็นสามี เธอยื่นโทรศัพท์ให้กับคุณโทมัสดู ผู้เป็นสามีมองรูปถ่ายของแดน กับหนุ่มไทยอีกคนในชุดพื้นเมือง แล้วก็ยักไหล่ ไม่ได้รู้สึกอะไร

คุณปริมทำสายตาดุใส่สามี ก่อนจะเปิดภาพที่เธอเก็บเอาไว้ในไอแพด เปิดคู่กัน เปรียบเทียบให้คุณโทมัสดู รูปวาดของแดน ที่วาดไว้ตอนที่มาเมืองไทยกับเธอเมื่อหลายปีก่อน และแดนเอามันติดตัวไว้ตลอด ในช่วงหลายปีหลังมานี้ มันช่างเหมือนกับรูปถ่าย ที่เพิ่งถ่ายในวันนี้ ของแดนกับเอิงแทบไม่มีผิดเพี้ยน แทบจะในทุกรายละเอียด ไม่แม้แต่ช่อดอกไม้ในมือของทั้งสองคน ซึ่งคุณโทมัสเอง ยังไม่กล้าที่จะปฏิเสธความจริงที่ได้เห็นกับตาของตัวเอง

“เราได้เจอกันแล้วนะ” แดนพูดกับเอิง สบตากับอีกฝ่ายเนิ่นนาน แววตาส่งผ่านความคิดถึง ความอ่อนโยน และความทรงจำที่มีให้กับอีกฝ่าย “แค่รอให้กลับมา” เอิงตอบกลับแดนไป ในดวงตาของแดนนั้น เองสัมผัสได้ถึงใครคนหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในนั้น “ไม่ต้องรออีกต่อไปแล้ว” แดนรู้สึกว่า มันคุ้มค่าที่สุดแล้ว กับสิ่งที่เขาตามหา “มันช่างยาวนานเหลือเกิน” เอิงพูดตอบกลับไป ความรู้สึกยินดีระคนไปกับความรู้สึกใจหาย มันเหมือนกับความรู้สึกที่หนักอึ้งที่แบกมันเอาไว้ มาอย่างยาวนาน กำลังจะถูกปลดเปลื้องลง



****************************

คำแปลเนื้อเพลงภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

English Lyrics Translation by KADUMPA

https://www.youtube.com/watch?v=rNQ45n7mJD4


หากโลกนี้ยังคงเป็นไปเหมือนเดิม

If the world only leads a pretty mundane life

อาจไม่พบความจริงข้างในหัวใจ

There’ s not a chance for me to figure this out

อาจไม่รู้ใจตัวเองว่าเหงาว่าเดียวดาย

I won’ t get to see how alone and lonely I am

และไม่คิดจะถามหัวใจสักครั้ง

Never dare to ask my own heart even once



แต่โลกนี้ก็พาให้เราพบเจอ

Yet this very same world has brought you to me

และให้ฉันเข้าใจตัวเองสักที

Now I get to understand what I’ m made of

ว่าที่แท้ในหัวใจ เงียบเหงาทุกนาที

Deep in my heart, it’ s empty all along

อยู่เพื่อรอจะเจอกับเธอมานาน

Been waiting for you to shine the light on me



เดินทางข้ามผ่านเวลาและเธอคือคำตอบ

Taking the journey through time to find you’ re an answer to it

ว่าเธอคนเดียวอยู่ในหัวใจ

And it’ s only you living in my heart



ต่อให้กาลเวลาจะหมุนเวียนไปสักเพียงใด

Though time will always change, and nothing stops it

รอนานแค่ไหนฉันยังมีเธอ

The longer I wait, the more I find you my grace

แต่หนึ่งดวงใจที่ฉันมี เก็บมานานเพิ่งค้นเจอ

With my very own heart, keeping it through this expedition

ว่าเก็บเอาไว้ให้เธอผู้เดียว

It’ s been saved solely for you



กว่าจะรู้ความจริงข้างในหัวใจ

Until I realized the truth lies within my heart

ก็ต้องใช้เวลามากมายเหลือเกิน

So much time has already been wasted

กว่าจะพบเจอทางออก ก็หลงทางไปไกล

I’ ve got really lost, before I could stumble upon my way out

เพิ่งเข้าใจว่าเราไม่ไกลกันเลย

Now you see, we’ ve crossed paths with each other for all this time



เดินทางข้ามผ่านเวลาและเธอคือคำตอบ

Taking the journey through time, and you’ re the reason for it

ว่าเธอคนเดียวอยู่ในหัวใจ

There’ s only you deep down in my heart



ต่อให้กาลเวลาจะหมุนเวียนไปสักเพียงใด

Though time will always change, nothing stops it

รอนานแค่ไหนฉันยังมีเธอ

The longer I wait, the more I find you my grace

แต่หนึ่งดวงใจที่ฉันมี เก็บมานานเพิ่งค้นเจอ

With my very own heart, keeping it through this expedition

ว่าเก็บเอาไว้ให้เธอผู้เดียว

It’ s been saved solely for you



เดินทางข้ามผ่านเวลาและเธอคือคำตอบ

Taking the journey through time, and you’ re the reason for it

ว่าเธอคนเดียวอยู่ในหัวใจ

There’ s only you deep down in my heart



ต่อให้กาลเวลาจะหมุนเวียนไปสักเพียงใด

Even though the time changes endlessly

รอนานแค่ไหนฉันยังมีเธอ

The long wait is over, I finally have you

แต่หนึ่งดวงใจที่ฉันมี เก็บมานานเพิ่งค้นเจอ

With this one heart of mine, keeping it to see that

ว่าเก็บเอาไว้ให้เธอผู้เดียว

It only belongs to you
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-05-2022 19:21:47 โดย KADUMPA »

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 777
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 202
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
๒๕.



สหัสชะ – มรณะ (วันเก่าจากเกลอเกลอจากวันเก่า)





“อากาศดี ๆ ยามเย็นแบบนี้ แสงกำลังสวยเลย ผมแนะนำว่า เราไปล่องเรือกันดีกว่า” บูมแนะนำกิจกรรมให้กับชาวคณะ ด้วยวลีฮิตประจำทริปนี้ว่า “ไหน ๆ เราก็มาแล้ว” บูมทำการเชิญชวนแดนและเอิง “และไหน ๆ ผมก็ต้องอยู่ดูแลแขกวีไอพีของโรงแรม ที่จ่ายเพิ่มไม่อั้นแบบพี่สองคนต่อ พวกเราไปกันเลยดีกว่า” บูมออกเดินนำ โดยมีเตยที่เพิ่งโดนแม่สวดจนยับเดินตาม เมื่อเด็กสาวเพิ่งบอกกับแม่ว่า ขึ้นมาข้างบนนี้กับบูม เตยต้องรีบกดสายทิ้ง เมื่อได้ยินแม่คาดโทษเอาไว้ว่า กลับถึงบ้านเมื่อไหร่ แม่จะเล่นงานทั้งเตยและบูมให้หนักอย่างแน่นอน

“นี่แม่แกว่ายังไงบ้างเนี่ย” บูมที่ติดต่อคนเรือได้ หันมาถามเพื่อน เมื่อทั้งหมดเดินตามกันลงบันไดปูนเล็ก ๆ เพื่อเดินต่อไปบนแพ ที่มีเรือหางยาวเล็กจอดเรียงรายอยู่ “ก็ไม่ว่าอะไร แค่บอกอย่าลืมของฝาก” เตยพูดแบบไม่มองหน้าบูม “เรือลำไหนคะพี่” ก่อนจะถามหากับคนขับกึ่งไกด์นำเที่ยว “เร็ว ๆ รีบลงมากัน” เตยลงไปนั่งรออยู่บนเรือเรียบร้อย บูมมองเพื่อนด้วยความรู้สึก ไม่ค่อยเชื่อคำพูดของเตยสักเท่าไหร่

“ว่าไง” เอิงที่เดินตามบูมมา กดรับวิดีโอคอล เมื่อเห็นว่าใครโทรมา “เฮ้ย เป็นยังไงบ้าง แล้วอยู่ที่ไหนวะ” ปราชญ์ถามเพื่อน ดีใจที่เพื่อนรับสายเขา “ฉันโอเค” เอิงตอบเพื่อนไป ก่อนบอกว่าเขาอยู่ที่ไหน “โห ไปซะไกลเลยแก” เอิงยิ้มให้ปราชญ์แทนคำตอบ แดนที่เดินรั้งท้ายสุด เหลือบมองที่หน้าจอโทรศัพท์ มองเห็นชายหนุ่มหน้าตาคมคาย หล่อเหลา ที่แดนเห็นแล้ว ทำให้นึกว่า เขาเคยเจอคนในกล้องมาก่อน

“ฝรั่งหล่อนี่หว่า” ปราชญ์เห็นแดนแวบหนึ่ง ก่อนที่ชายหนุ่มลูกครึ่งจะทำหน้างอ ก้าวเข้าไปนั่งในเรือ จนเรือโคลง “ดี ๆ พี่แดน ดี ๆ” บูมกับเตยสังเกตเห็นแดนเป็นแบบนั้น ก็แอบสบตากัน ก่อนจะกลั้นหัวเราะว่าเพิ่งเคยเห็นฝรั่งหึง “แกโทรมามีอะไรหรือเปล่าเนี่ย” เอิงเลี่ยงถามปราชญ์กลับไป มองไปทางแดนที่ทำหน้าตึงใส่ “ก็แค่เช็กดู ว่าแกยังโอเคดีอยู่หรือเปล่า” ปราชญ์นึกขำเอิง ไอ้อาการเลี่ยงตอบคำถามนี่ เอิงเพิ่งเคยทำให้เขาเห็นนี่แหละ เอิงตอบว่าเขาไม่เป็นไร ปราชญ์บอกว่า ถ้ากลับมาถึงกรุงเทพฯแล้ว ให้โทรหาเขาด้วย ก่อนกดวางสายไป

เอิงลงมาในเรือ บูมขยับย้ายที่ ไปนั่งทางด้านท้ายเรือกับเตย แดนบอกให้เอิงขยับมานั่งใกล้เขา เอิงทำตาม แดนแอบยิ้ม แต่ก็ยังเคือง ๆ ที่เห็นเอิงคุยกับผู้ชายคนนั้นแบบสนิทสนมเป็นพิเศษ เรือแล่นออกจากแพ คนขับพาทั้งหมดชมวิวสองข้างทาง รวมถึงวัดกลางน้ำ ที่เมื่อเวลาระดับน้ำลดลงในฤดูแล้ง จะสามารถเดินมาเที่ยวชมได้ คนขับเรือให้ข้อมูลรายละเอียด รวมทั้งประวัติของสถานที่ต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี ก่อนที่จะขับพาทั้งหมดเลยต่อไปอีกนิด

“ด้านบนเป็นวัดเก่าแก่ของที่นี่ เดินต่อไปอีกนิด ขึ้นไปไหว้พระได้นะครับ” คนเรือบอกกับทั้งสี่คน ให้ขึ้นไปสักการะพระพุทธรูปในพระอุโบสถด้านบนได้ บูมและเตยเดินนำขึ้นไปก่อน แดนและเอิงเดินรั้งท้าย มีเด็ก ๆ ท้องถิ่นเอาดอกไม้และธูปเทียนมาเสนอ หารายได้เป็นค่าขนมเล็ก ๆ น้อย ๆ แดนหยิบช่อดอกไม้ยื่นให้กับเอิง เขารับมาถือเอาไว้ ดอกไม้ประดับช่อ มีดอกไม้สีแดงสดที่ด้านบนสุด มีดอกไม้สีขาวเล็ก ๆ ไล่ก้านลงมา พันเอาไว้กับธูปและเทียน

แดนหยิบอีกช่อหนึ่งให้กับตัวเอง ก่อนยื่นเงินค่าดอกไม้ให้กับน้องผู้หญิงที่หันไปหัวเราะเขิน ๆ กับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน เมื่อเห็นหนุ่มฝรั่งตัวสูงใหญ่ มาเป็นลูกค้า เอิงยิ้มให้กับภาพที่เห็น ก่อนจะเดินขึ้นไปตามเนิน แดนเดินขึ้นไปบนเนินดิน ที่เหมือนกับเป็นที่พักขา หนุ่มลูกครึ่งหันมายื่นมือให้ เอิงกล่าวขอบคุณเบา ๆ เอื้อมมือไปจับมือของแดน ให้หนุ่มลูกครึ่งช่วยดึงตัวให้เขาเดินขึ้นไปจนถึงด้านบน

พระอุโบสถหลังเก่า ที่เหลือเพียงกำแพงล้อมรอบสี่ด้าน มองผ่านเข้าประตูไป องค์พระตั้งอยู่ตรงกลาง ประตูที่อยู่ตรงข้ามกัน มีแสงแดดรอน ๆ ยามเย็นส่องผ่านเข้ามา เป็นภาพที่ทำให้ใจสงบได้อย่างน่าประหลาด เอิงเดินเข้าไปด้านใน แดนเดินตาม เอิงบอกให้แดนแยกเอาธูปและเทียนออกมาจุด แดนทำตาม เขาบอกกับเอิงว่า แม่เคยพาเขาไปทำบุญที่วัดไทยใกล้กับรัฐที่เขาอาศัยอยู่ ชายหนุ่มลูกครึ่งดีใจ ที่เขาได้มาไหว้พระกับเอิงในครั้งนี้ ก่อนนั่งคุกเข่าลงข้าง ๆ กับเอิง

“ผมเคยเห็นในฝัน ซายมาไหว้พระแบบนี้” เอิงบอกกับแดน เขาเงยหน้ามองไปที่พระพักตร์ขององค์พระพุทธรูป “ที่นี่หรือครับ” แดนถาม เอิงส่ายหน้าบอกว่าไม่ใช่ที่นี่ “ซายมากับแมทหรือเปล่าครับ” แดนถามขึ้น เมื่อทั้งสองนั่งอยู่ด้วยกัน ต่อหน้าองค์พระประธาน เอิงสบตากับแดน มันคงจะดีมาก ๆ หากว่า ซายเคยได้มาทำบุญกราบสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์กับแมท แบบนี้

“ผู้กองภาคย์ต้องการอะไร บอกกระผมมาได้เลยนะครับ เดี๋ยวผมใช้ให้ไอ้พวกนี้ มันวิ่งไปหาซื้อมาให้” ชายวัยกลางคน ดูประจบประแจงผู้กองหนุ่ม ที่เพิ่งย้ายมาประจำการที่นี่ได้ไม่นาน “ผมอยากเดินดูให้ทั่วก่อน ตลาดที่นี่ดูคึกคักดีนะ” ผู้กองหนุ่มเห็นพ่อค้าแม่ค้ามากมาย หาบของมาขายกันหนาตา “เชิญครับผู้กอง” ภาคย์เดินไปบนถนนดิน ที่สองข้าง มีร้านรวงมากมายมาตั้งขาย

“ในใจชิ้นไหน อย่างไร บอกกระผมนะครับ กระผมจะต่อรองราคาให้เอง” ชายวัยกลางคนยังไม่ลดละความพยายาม ในการตีสนิทกับผู้กองหนุ่มที่เพิ่งมาใหม่ ภาคย์เดินดูของต่อไป พยายามจะทิ้งระยะห่าง แต่ชายวัยกลางคน ก็ดูจะไม่เปิดโอกาสให้ภาคย์สบช่องนั้น “ถ้าผู้กองอยากได้น้ำผึ้งป่าชั้นดี ต้องมาเร็วหน่อยครับ ถ้ามาสายป่านนี้ ไอ้นี่มันขายหมดซะก่อน”

“คนอยากได้น้ำผึ้งที่มันไปหามากันทั้งนั้น” ชายวัยกลางคนบอกกับผู้กองหนุ่ม เมื่อเห็นเขาหยุดยืนมองไปทางคนตัวเล็ก ๆ ในชุดชนเผ่าที่ดูสะดุดตา แปลกไปจากคนอื่นคนนั้น ภาคย์มองดูเด็กหนุ่มที่ยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อที่พราวหน้า ก่อนจะแกะผ้าที่โพกหัวนั้นลง ภาคย์จ้องภาพที่เห็นนั้นไม่กะพริบตา ผมยาวดำขลับถูกมุ่นเป็นมวยเอาไว้ที่ด้านหลัง พอไม่มีผ้าโพกซ่อนเรือนผมสวยเงางาม ราวเส้นไหมนั้นแล้ว ใบหน้าของเจ้าตัว ดูหวานเกินน้ำผึ้งที่สรรหามาขายเสียอีก

“คิดจะสนใจมัน” เสียงพูดของชายวัยกลางคน ดึงให้ผู้กองหนุ่มกลับมาจากภาพความงามที่ได้เห็น “มันไม่มีประโยชน์หรอกครับ มันเป็นลูกเต้าใคร ญาติใคร ก็ไม่รู้แจ้ง เหมือนมันหลุดออกมาจากกระบอกไม้ไผ่ก็ไม่ปาน” ผู้กองภาคย์ฟังที่ชายวัยกลางคนเล่าไป สายตาก็ยังคอยเหลือบมองไปทางเจ้าของใบหน้าหวานนั้น

“ที่สำคัญ มันพูดไม่ได้ ถามมัน มันก็บอกไม่ได้ เขียนไม่เป็น ชื่อจะเรียกก็ไม่มี คนเขาเห็นมันเป็นชนเผ่า เก็บน้ำผึ้งป่าอย่างดีมาขาย เขาเลยเรียกมันด้าจก์ซาย ที่แปลว่าน้ำผึ้ง” ผู้กองภาคย์มองดูนิ้วเล็กเรียวของด้าจก์ซาย เก็บข้าวของลงใส่ตะกร้า ก่อนจะแบกตะกร้านั้นขึ้นหลังอย่างคล่องแคล่ว ผู้กองหนุ่มที่มองดูอีกฝ่ายแบบไม่ละสายตา กำลังหาเหตุผลให้ตัวเอง ว่าที่เขาใจเต้นแรงไม่หยุดแบบนี้ เขาแค่นึกเอ็นดูด้าจก์ซายเท่านั้น

ผู้กองภาคย์มาถึงที่วัดก็เริ่มค่ำแล้ว พอมาถึง ชาวบ้านก็ชวนให้ผู้กองหนุ่มร่วมกันก่อเจดีย์ทราย เนื่องในวันปีใหม่ไทยทั้งที เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาและได้กุศลอานิสงส์ผลบุญต่อไป ผู้กองหนุ่มรู้สึกยินดี ที่ชาวบ้านที่นี่ให้การต้อนรับเขาเป็นอย่างดี มอบความอบอุ่นและเป็นมิตรให้กับข้าราชการทหารอย่างเขา เหมือนเป็นลูกเป็นหลานคนหนึ่ง ไม่รังเกียจรังงอน ว่าเขาถูกย้ายมาจากส่วนกลาง

“ผู้กองอย่าลืมขึ้นไปกราบพระประธานในโบสถ์ก่อนนะครับ” เสียงผู้นำชุมชนบอกกับผู้กองหนุ่ม ภาคย์ตอบรับคำ ก่อนจะเดินขึ้นไปที่พระอุโบสถ ที่ตอนนี้ไม่มีคนเลย เพราะกำลังง่วนกับการขนทรายเข้าวัดกันหมด ภาคย์เดินมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูโบสถ์ ด้านในนั้น ด้าจก์ซายนั่งพับเพียบพนมมืออยู่ต่อหน้าองค์พระ สายตาจับจ้องไปที่ใบหน้าของพระพุทธรูป

ผู้กองภาคย์ยืนมองภาพที่เขาคิดว่า น่าประทับใจนั้นอยู่เงียบ ๆ ภาคย์มองดูด้าจก์ซายก้มลงกราบพระ เขาอยากจะเดินเข้าไปนั่งลงใกล้ ๆ แต่ก็ไม่กล้า เพราะไม่รู้ว่าตัวเองจะทำตัวอย่างไร ทำหน้าแบบไหน จะเริ่มต้นพูดกับอีกฝ่ายว่าอะไร คิดได้แค่นั้น อยู่ ๆ แขนของผู้กองหนุ่ม ก็ไปสัมผัสเข้ากับประตูโบสถ์ ทำให้ลั่นดาลไม้ขยับ เกิดเสียงดังขึ้น ผู้กองภาคย์ดึงตัวหลบมาด้านนอก

ด้าจก์ซายหันมามอง แต่ก็ไม่เห็นใครที่หน้าประตู เขาลุกขึ้นยืน ก่อนเดินออกจากโบสถ์ ที่ด้านล่างคนคลาคล่ำไปหมด เพราะต่างพากันมาขนทรายเข้าวัด ด้าจก์ซายเดินเบี่ยงหลบมาทางด้านข้าง ก่อนไหลตามคนที่มากันอย่างหนาแน่น ผู้กองภาคย์ที่ถูกคนดันจากอีกทาง เดินมาหยุดอยู่ด้านหลังของด้าจก์ซาย ผู้กองหนุ่มอยู่ใกล้กับเจ้าของเรือนผมดำขลับนั้นแค่คืบ ในใจนึกอยากสัมผัสมความนุ่มสลวยนั้น

“ผู้กองภาคย์คะ เชิญทางนี้ค่ะ” เสียงหญิงสาวในกลุ่มผู้หญิงอีกสามสี่คนเรียกชื่อเขา ผู้กองหนุ่มต้องจำใจหยุดเดิน สายตามองเห็นด้าจก์ซายเดินเลี่ยงออกจากกลุ่มคน เดินหายออกไปทางประตูด้านข้างของวัด “เรียนเชิญทางนี้ค่ะ ผู้กอง” เสียงเรียกนั้นดังขึ้นอีก ผู้กองภาคย์หันไปมอง “นี่กะรัต เพื่อนของดิฉันเองค่ะผู้กอง กะรัต นี่ผู้กองภาคย์ เพิ่งย้ายมาประจำการที่นี่” ผู้กองภาคย์ยกมือขึ้นรับไหว้ กะรัต หญิงสาวที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมในทุกด้าน

แมทรู้สึกเกลียดตัวเอง ที่ต้องตัดใจวิ่งจากมา โดยมีซายยืนมองนายทหารชาวอังกฤษคนนั้น วิ่งหายเข้าลับแนวต้นไม้หนาทึบนั้นไป ซายน้ำตาไหลลงมาอาบทั้งสองแก้ม ความรู้สึกเจ็บปวดเสียใจ ประดังประเดถาโถมเข้าใส่จนรับมือกับมันไม่ไหว ซายหันหลังกลับมา ก็เจอนายทหารไทยยืนรอเขาอยู่แล้ว

ผู้กองภาคย์ได้รับคำตอบของการภาวนาของเขา เมื่อเขาภาวนาว่า ขออย่าให้เป็นด้าจก์ซายเลย เพราะรู้สึกตกใจและเป็นห่วงอีกฝ่ายเหลือเกิน ตั้งแต่ได้รับคำสั่งให้ไปค้นกระท่อมของด้าจก์ซาย ภาพที่อยู่ตรงเบื้องหน้าเขานี้ กำลังทำให้ผู้กองหนุ่มไทยรวดร้าวไม่น้อย เมื่อเขารู้ดีว่า เขาทำอะไรเพื่อช่วยเหลือคนที่ยืนร้องไห้สะอึกสะอื้นต่อหน้าเขาไม่ได้เลย และยิ่งเห็นความทารุณ รอคอยด้าจก์ซายอยู่ด้วยนั้น เขาจะทำอย่างไรดี

ที่หน้าประตูห้องขังเดี่ยวนั้น นายทหารหนุ่มไทยยืนมองเข้ามาอย่างเงียบ ๆ คนที่ถูกขังอยู่ข้างในเนื้อตัวสกปรกมอมแมม ผมเผ้ายุ่งเหยิงรุงรัง ร่างกายผ่ายผอมลงไปมาก จากเมื่อตอนที่ได้พบกันในป่าวันนั้น กับเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา ซายเงยหน้าจากจานข้าว มองไปที่ประตู เขาเห็นนายทหารหนุ่มคนนั้น ในวันนั้น

ผู้กองภาคย์ใช้ความพยายามสะกดใจของตัวเองอย่างสุดความสามารถ ที่จะหักห้ามความต้องการของตัวเอง ไม่ให้เขาโผเข้าไปกอดคนในห้องขังนั้น ยิ่งเขาเห็นด้าจก์ซายเงยขึ้นมามองเขา ภาพที่ผู้กองหนุ่มจำได้จากเมื่อตอนแอบมองอีกฝ่ายครั้งแรกที่ตลาด และภาพที่เขายืนดูด้าจก์ซายไหว้พระ มันสูญสลายหายไปจนหมดสิ้น ผู้กองหนุ่มสะเทือนใจกับสภาพร่างกายที่เห็นของอีกฝ่ายอย่างที่สุด

“แกได้ยินฉันมั้ย” ผู้กองภาคย์เดินกลับมาที่ห้องขังนั้นอีกครั้ง เขานั่งลงตรงรอยแยกของไม้ ที่พอจะมองลอดผ่านเห็นกันได้ ซายค่อย ๆ ดันตัวเองให้ลุกขึ้น ก่อนแนบใบหน้าลงบนแผ่นไม้ สายตามองสบกับผู้กองภาคย์ที่นั่งอยู่ด้านนอก “ฉันจะหาทางพาแกออกไป” ผู้กองภาคย์พูดออกมา น้ำเสียงสั่นเครือ ด้าจก์ซายมองริมฝีปากขอองผู้กองหนุ่ม

“แกฟังฉันนะ แกฟังฉันให้ดี ๆ ฉันจะไม่ยอมปล่อยให้แกเป็นอะไรไป แกเชื่อฉันนะ แกต้องเชื่อฉันนะ” ด้าจก์ซายน้ำตาไหลลงมา เมื่อเห็นผู้กองภาคย์ใช้ลอดผ่านรอยแตกนั้นเข้ามา แล้วบีบแผ่นไม้นั้นจนแน่น น้ำเสียงของนายหทารหนุ่มไทย ให้คำมั่นกับด้าจก์ซาย

ลมเย็น ๆ พัดเข้ามากระทบใบหน้าของด้าจก์ซาย น้ำตาที่นองหน้าแห้งลง ซายหันกลับไปมองด้านหลังที่ฝั่งโน้น รถของผู้กองภาคย์ไม่อยู่แล้ว คนแพถ่อกลับไปโดยไม่พูดอะไร เมื่อซายข้ามมาถึงอีกฝั่งหนึ่ง ผืนน้ำล้อแสงแดดระยิบระยับ เมื่อยามสายมาถึง ใบไม้ลู่ไปตามลม ความเงียบสงบโปรยตัวลงมาจนทั่วบริเวณ เมื่อที่ริมน้ำนั้น ว่างเปล่า ไม่มีวี่แววของสักคน

ผู้กองภาคย์ขับรถออกจากริมฝั่งแม่น้ำ ด้วยความรู้สึกที่เหมมือนสูญเสียอะไรบางอย่างไป และอะไรบางอย่างนั้นสำคัญกับความรู้สึกของเขามาก สิ่งสำคัญที่เขาต้องพยายามทำเป็นไม่ใส่ใจ ไม่ได้อยากได้ ไม่ได้ต้องการเอามาครอบครอง ทั้ง ๆ ที่ใจมันตะโกนก้อง บอกกับตัวเองว่าความเป็นจริงนั้น มันเป็นเช่นไร ผู้กองภาคย์เหยียบเบรกรถแบบกะทันหัน จนรถปัดส่ายไปด้านข้างก่อนหยุดลง ผู้กองหนุ่มทุบมองมือของเขาลงบนพวงมาลัยรถอย่างเกรี้ยวกราด น้ำตาของนายทหารหนุ่มไหลลงอาบหน้า ถ้าหากว่าเขาจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ เขาขอเพียงสิทธิ์ที่จะเลือกทำตามใจตัวเองได้ แค่นั้น

“สัญญาว่าฉันจะกลับมาหาเธอ” ผู้พันภาคย์เห็นด้าจก์ซายยิ้มออกมาทั้งน้ำตา การรอคอยใครสักคน มันคือความสุขที่ปนไปด้วยความเศร้า สุขที่ได้เฝ้ารอ แต่เศร้าเมื่อไม่รู้ว่า เมื่อไหร่วันนั้นจะมาถึง สำหรับผู้พันหนุ่ม เขาคงจะต้องบอกให้ตัวเองเลิกรอ เมื่อเขาได้รับการเลื่อนยศ และมีคู่หมั้นคู่หมายที่กำลังจะแต่งงานกันในไม่ช้า การมาที่นี่ของเขา ด้วยจุดมุ่งหมายที่ว่า หากความหวังยังพอมีอยู่ เขาคิดที่จะคว้ามันเอาไว้ แต่มันคงดับลงแล้ว ความฝันนั้น

ผู้พันภาคย์ที่ได้อ่านประโยคในจดหมายของทหารอังกฤษคนนี้ ทำให้เขาต้องเจ็บแปลบขึ้นมาในใจ 'สัญญาว่าฉันจะกลับมาหาเธอ' ประโยคนี้สะท้อนอยู่ในความรู้สึกของผู้พันหนุ่ม เขาเอง ที่เคยบอกว่า จะไม่กลับมาอีก จะไม่กลับมาเจอคนคนนี้อีก แต่ก็กลืนน้ำลายตัวเองกลับมา โดยหวังว่า บางอย่างอาจจะเปลี่ยนแปลงไป แต่สุดท้ายแล้ว การกลับมาของเขา ก็เพื่อตอกย้ำคำตอบเดิม ว่าเขาคงเป็นได้แค่เพื่อน เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน

ซายคิดถึงที่ผู้พันภาคย์จะทัดปอยผมข้างหูให้กับเขา แม้จะรู้สึกว่า ตัวเองไม่น่าจะหลบตัวแบบนั้น แต่ซายก็รู้ดีว่า เขาไม่สามารถให้ผู้พันหนุ่มทำแบบนั้นได้ ซายรู้สึกขอบคุณ และระลึกถึงบุญคุณของผู้พันภาคย์ ที่ได้ช่วยเหลือเขามาโดยตลอดเสมอ แต่ถ้าเป็นเรื่องนี้ ซายไม่สามารถแบ่งความรู้สึกในหัวใจของเขา ไปให้ผู้พันภาคย์ หรือใครได้อีกแล้ว

วันแรกของการเปิดเรียนของชีวิตนักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัยของเอิง ทำให้เขาประหม่าอยู่บ้าง แต่พอเอิงมาถึงที่คณะ ก็เริ่มเห็นเพื่อนในเอกเดียวกัน และเพื่อนร่วมคณะในภาควิชาอื่น ๆ ทยอยมากันเรื่อย ๆ เสียงจ้อกแจ้กจอแจเป็นนกกระจอกแตกรังก็ตามมาในไม่ช้า เอิงผูกมิตรกับเพื่อนใหม่ได้หลายคน สิ่งที่เขากังวลก่อนหน้านี้ มันก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิด

“ชื่ออะไรเนี่ยเรา” เสียงทักดังขึ้นจากเด็กหนุ่มหน้าตาคมคาย “หน้าคุ้นจัง” ตามมาด้วยประโยคถัดมา ก่อนที่จะขัดสมาธินั่งจุ้มปุ๊ก ลงตรงหน้าเอิง “หน้าคุ้นมาก เหมือนเคยเจอกันมาก่อน” เอิงกะพริบตาถี่ ๆ มองคนที่เพิ่งมาถึง “ไม่ได้จีบ แต่มันคุ้นจริง เดินเลี้ยวเข้ามาเมื่อกี้ เห็นเธอเด่นมาก่อนใครเลย” คนที่เพิ่งมาใหม่อธิบาย ยังคงเห็นเอิงทำหน้างง ๆ อยู่

“ไม่ต้องห่วง เรามีแฟนแล้ว น่ารักด้วย เดี๋ยวเอาไว้จะแนะนำให้รู้จัก” คำอธิบายทำให้เอิงพอจะยิ้มออกมาบ้าง “เราชื่อปราชญ์ แปลว่าคนฉลาดมาก” ปราชญ์แนะนำตัวกับเพื่อนใหม่ “เราชื่อเอิง” พูดจบก็ขมวดคิ้ว “ไม่รู้แปลว่าอะไร” พูดจบเอิงก็หัวเราะออกมา แอบประหลาดใจอยู่ในที ที่รู้สึกสบายใจที่จะพูดเล่นกับคนคนนี้ “แล้วมีแฟนหรือยังล่ะ” ปราชญ์ถามเพื่อนใหม่ไปตรง ๆ

“ไม่มี” เอิงส่ายหัวพร้อมคำตอบ “ไม่มี คือ ตอนนี้ไม่มี หรือไม่เคยมีเลย” อยู่ ๆ ปราชญ์ก็นึกอยากถามเอิงด้วยคำถามนั้นขึ้นมา “ไม่เคยมี” เอิงตอบออกไป ปราชญ์มองหน้าเพื่อนใหม่ของเขา พยักหน้าช้า ๆ “ชอบผู้ชายแบบไหน” เอิงรู้สึกทึ่งกับความตรงไปตรงมาของปราชญ์ “แฟนเราก็ผู้ชาย ไม่เห็นแปลกตรงไหน เราไม่เคยคิดที่จะปกปิด เราแค่มีสิทธิ์ที่จะเลือกทำตามใจตัวเอง ชอบใครมันก็เรื่องของเรา” เอิงฟังปราชญ์พูด เด็กหนุ่มที่เปิดเผยและดูจริงใจ

“เสียงเอิงฟังดูเพราะดีนะ เพิ่งเคยได้ยินคนเสียงแบบนี้” ปราชญ์นึกแปลกใจ ที่เอิงพูดได้ ก็ต้องพูดได้สิ ปราชญ์ตลกไปกับความคิดของตัวเอง “เราว่า ต่อไปเอิงกับเรา เป็นเพื่อนสนิทกันแน่นอน” เอิงยิ้มให้กับปราชญ์ ผู้ซึ่งทำให้เอิงรู้สึกเหมือนได้เจอเพื่อนเก่า เกลอสนิท ที่ผูกพันกันมานานแสนนาน ผู้มาพร้อมกับความมั่นใจอย่างเปี่ยมล้น

“ถ้าไม่ได้เขาช่วยในวันนั้น ซายคงจะแย่กว่าที่เป็น” เอิงพูดกับแดน เมื่อทั้งสองเดินกลับลงมาจากพระอุโบสถด้านบน เตยและบูมลงไปนั่งรอในเรือแล้ว “เขาได้ช่วยเหลือซายเอาไว้มากมาย” แดนพอจะจำได้แล้ว จากความฝันที่มี เขาฝันถึงตอนที่แดนทิ้งซายเอาไว้ที่ชายป่า เพื่อหนีจากการจับกุม ภาพของนายทหารหนุ่มไทย ที่แมทมองเห็นกำลังวิ่งเข้ามา หน้าตาละม้ายคล้ายกับหนุ่มหน้าตาคมเข้ม ที่เพิ่งวิดีโอ คอล มาหาเอิง

“ปราชญ์เป็นเพื่อนที่ดีมาก” เอิงพอจะเดาได้ ว่าที่แดนหน้ามุ่ย หงุดหงิดนั้น เป็นเพราะอะไร “ผมกับปราชญ์เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน และเราเป็นได้มากที่สุดแค่นั้น” เอิงพูด แดนทำสีหน้าและสายตาสำนึกผิด “ผมก็หวงของผม” แดนบ่นออกมาเบา ๆ เอิงมองหนุ่มลูกครึ่งแล้วก็ให้นึกเอ็นดู ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินไปที่เรือ เตยบ่นว่าหิวแล้ว เสียงบูมแนะนำให้ไปเดินหาอะไรกินที่ถนนคนเดินในตลาดท่ารถตู้ แดนกับเอิงตอบตกลง ก่อนที่คนเรือจะพาทั้งหมดกลับไปส่งที่สะพานไม้

ซายพาแมทเดินเลาะลึกเข้ามาในป่า จากตรงที่เป็นลำธาร แมทเพิ่งจะเคยเข้ามาในแถบนี้ แต่ดูแล้ว ซายนั้นชำนิชำนาญเส้นทาง พาเดินมาอย่างคล่องแคล่ว แมทมองตรงเข้าไป เขาเห็นเหมือนสถานที่ร้างอะไรสักอย่าง ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า ซายหันไปมองแมท ยิ้มให้นายทหารช่างหนุ่ม ก่อนเดินพานำเข้าไปด้านใน ภายในอุโบสถเก่า มีต้นไม้แลถเถาวัลย์ขึ้นอันกันแน่น มีเพียงแสงลอดผ่านลงมาจากช่องว่างของกำแพงโบราณกับรากอากาศของไม้เหล่านี้ ที่เหมือนขึ้นคลุมปกปักรักษา องค์พระประธาน จากแดด จากลมฝนนั้น

ซายคุกเข่าลงตรงหน้าองค์พระ เงยหน้ามองแมทที่กำลังมองสำรวจสถานที่แห่งนี้ด้วยความทึ่ง ก่อนจะก้มลงมามอง เห็นซายมองอยู่ แมทเลยทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าข้าง ๆ ซาย ซายยื่นดอกไม้ปักช่อที่มีดอกไม้สีแดงสดด้านบน และมีดอกสีขาวเล็ก ๆ แซมลงมาบนก้าน ให้กับแมท ก่อนจะก้มลงกราบพระ และเอาดอกไม้ถวายพระให้แมทดู นายทหารช่างหนุ่มทำตาม แม้จะดูเก้ ๆ กัง ๆ แต่ก็เห็นซายที่มองเขาด้วยดวงตาใสแป๋ว แล้วยิ้มให้ แมทเอื้อมมือเอาปอยผมข้างหู ที่ตกลงมา ทัดกลับไปอย่างเดิม พลางนึกดีใจ ที่ได้มาไหว้พระกับซายในครั้งนี้

เมื่อดาวเจ้าเรือนสหัสชะ หรือเรือนเพื่อนฝูง คนใกล้ชิด เดินมาตกอยู่ในเรือนมรณะ ท่านว่าเจ้าชะตาอาจจะเป็นคนอาภัพ มีเพื่อนแต่อาจจะต้องตายจากกัน แต่หากได้คบกันแล้ว มักจะเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ ที่คบกันได้ยืดยาว จะคอยช่วยเหลือกันอยู่ลับ ๆ แม้จะนับได้ว่ามีอยู่กันไม่กี่คนก็ตาม สหัสชะ มีความหมายว่า เพื่อน มรณะ แปลความหมายได้อีกอย่างว่า นาน เมื่อมารวมกัน ก็หมายถึง เพื่อนเก่า

ผู้พันภาคย์ถือแก้วเหล้าไว้ในมือ ใบหน้ากรึ่มด้วยฤทธิ์สุราของเขา บ่งบอกว่าผู้พันหนุ่ม นั่งดื่มมามากพอสมควรแล้ว ผู้พันหนุ่มเงยหน้า เอาศีรษะพิงกับผนังห้อง แค่นเสียงหัวเราะออกมา หัวเราะให้กับอะไรบางอย่าง ที่เขาคิดว่ามันตลกสิ้นดี ผู้พันภาคย์กระดกเหล้าก้นแก้วนั้นเข้าปากอีกครั้ง ก่อนจะหลับตาลง พยายามห้ามไม่ให้สองตาของเขา ต้องเปื้อนไปด้วยน้ำตา ก่อนที่ผู้พันหนุ่มจะรู้ว่า ตัวเองพ่ายแพ้ เมื่อไม่อาจจะกลั้นความรู้สึกผิดหวังและเจ็บปวดที่มีนั้นได้อีกต่อไป

*****************************

คำแปลเนื้อร้องภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

English Lyrics Translation by KADUMPA

https://www.youtube.com/watch?v=2uiDlmegj9E

อยากบอกว่าพอจะรู้ กับสิ่งที่มีให้ฉัน

I’ ve known it, those feelings you have for me

และอยากจะบอกว่าฉันก็ยังซึ้งใจ

I won’ t lie that I am so grateful for

แต่วันที่เรานั้นพบกัน เป็นวันที่สายไป

But the day we’ ve met was a little too late

เธอรู้ใช่ไหม ฉันรักเขาก่อนพบเธอ

You know I’ m already falling for him, don’ t you?



ไม่อาจจะรักเธอ แต่จะไม่ลืมเลือน

Can’ t fall in love with you, but I won’ t forget this

ที่ฉันได้เจอเธอ ได้พบกัน

That you and I did find each other



จะจดจำเธอไว้ในลมหายใจ

I’ ll recognize you in the air I breathe

จะจดจำเธอไว้จนนานเท่านาน

You’ re forever for me to reminisce

ขอบคุณใจดีดีของเธอ

I’ m thankful for the kind heart of yours

ขอบคุณรักที่เธอให้กัน

I appreciate the love you’ ve given me

อยากบอกเธอสักคำ

If I can say this to you

ว่าฉันจะจำเธอไม่ลืม

I will always remember you



ส่วนหนึ่งข้างในชีวิต ส่วนหนึ่งข้างในความฝัน

This one part of my life, a portion from my dream

ส่วนหนึ่งในความทรงจำจะเป็นของเธอ

That batch in my memory belongs to you

และส่วนหนึ่งในห้องหัวใจ ที่ไม่อาจให้เธอ

It’ s sadden for me to say, I can’ t give you all my heart

แต่จะมีเธออยู่ข้างในเสมอไป

But there’ s a place in my heart always reserved for you there



ไม่อาจจะรักเธอ แต่จะไม่ลืมเลือน

Can’ t fall in love with you, but I’ ll remember it

ว่าครั้งหนึ่งมีเธอ ที่รักกัน

That you and I did come upon this moment



จะจดจำเธอไว้ในลมหายใจ

I’ ll recognize you in the air I breathe

จะจดจำเธอไว้จนนานเท่านาน

You’ re forever for me to reminisce

ก่อนที่เราจะไกลแสนไกล

Before we have to stay so far away

ก่อนที่เราจะไม่พบกัน

Before life separates us completely

อยากบอกไว้สักคำ

I’ d like to say this word to you

ว่าฉันจะจำเธอไม่ลืม

That you’ ll always be on my mind



ไม่อาจจะรักเธอ แต่จะไม่ลืมเลือน

Can’ t really make you feel my love, yet I’ ll think of you dearly

ว่าครั้งหนึ่งมีเธอ ที่รักกัน

The time that I had you loving me







จะจดจำเธอไว้ในลมหายใจ

You’ ll live in the air I take

จะจดจำเธอไว้จนนานเท่านาน

For as long as the time will last

ก่อนที่เราจะไกลแสนไกล

Before we stay a whole world away

ก่อนที่เราจะไม่พบกัน

Before life does keep us apart

อยากบอกไว้สักคำ

Let me say this once

ว่าฉันจะจำเธอไม่ลืม

That you’ ll stay forevermore on my mind

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 777
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 202
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
๒๖.



มรณะ – ปัตนิ (อยู่ต่อเพื่อจากลาลาจากเพื่ออยู่ต่อไป)





เสียงฟ้าร้องครืนดังมาแต่ไกล แดนรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา เขาลืมตามองไปข้าง ๆ กาย บนแขนขวาของเขาที่พาดไป ตอนนี้ปราศจากร่างของใครอีกคนที่เขาสวมกอดเข้านอน แดนดันตัวขึ้นกึ่งนั่งกึ่งนอน สายตามองหาอีกฝ่ายไปจนรอบห้อง แต่ก็ไม่พบ หนุ่มลูกครึ่งชะโงกเลยไปทางห้องน้ำที่ประตูแง้มเปิดอยู่ แสงไฟสีส้มจากด้านในลอดผ่านออกมา แดนลุกขึ้นจากเตียง แล้วเดินตรงไป เขาเคาะประตูห้องน้ำ เอ่ยเรียกชื่อคนด้านใน ไม่มีเสียงตอบกลับออกมา

แดนผลักประตูให้เปิดกว้างออก ห้องน้ำว่างเปล่า แดนหันขวับไปทางประตูอีกบาน ที่เปิดออกไปที่ระเบียง แดนสาวเท้าไปเปิดประตูนั้นออกดู ระเบียงที่ทำเป็นชานยื่นไปเหนือน้ำ ไม่มีใครอยู่ตรงนั้น แดนกลับเข้ามาด้านในห้อง นาฬิกาบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือบอกเวลาว่าจวนจะเช้าแล้ว แต่บรรยากาศรอบข้างยังมืดกว่าที่ควรจะเป็น แดนเริ่มวิตก เมื่อเอิงไม่ได้อยู่ในห้อง ชายหนุ่มคว้ากางเกงขายาวมาสวมทับบ็อกเซอร์ใส่นอน คว้ากุญแจห้องได้ ก็เอาเสื้อยืดมาสวมขณะเปิดประตูห้องออกไป

เสียงฟ้าร้องครืนดังมาแต่ไกล เอิงแหงนดูฟ้าด้านบน แสงฟ้าแลบเห็นมาจากอีกขอบฟ้าด้านหนึ่ง ลมเย็นพัดมาจนเขาต้องลู่ไหล่ ก่อนจะมองตรงไปที่อีกด้านหนึ่งของสะพานไม้ ฝั่งโน้นและดูทึมมัว จากหมอกจาง ๆ ที่โรยตัวอยู่ โคมไฟที่ติดอยู่ตลอดสองข้างสะพาน บ่งบอกให้รู้ว่า มีเอิงเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่อยู่บนสะพานนี้ ละอองน้ำตกลงมาโดนที่หลังมือของเอิง เขายกมือทั้งสองหงายขึ้น เอิงมองดูละอองฝนตกลงบนมือ จนเริ่มเปียก นึกถึงภาพที่เห็นในความฝัน ที่ตัวเขากำลังมองมือทั้งสอง เต็มไปด้วยเลือดสีแดงฉาน

ผู้พันภาคย์ถือแก้วเหล้าไว้ในมือ ใบหน้าของเขาบ่งบอกว่า เขานั่งดื่มมามากพอสมควรแล้ว ผู้พันหนุ่มเงยหน้า เอาศีรษะพิงกับผนังห้อง แค่นเสียงหัวเราะออกมา หัวเราะให้กับอะไรบางอย่าง ที่เขาคิดว่ามันตลกสิ้นดี ผู้พันภาคย์กระดกเหล้าก้นแก้วนั้นเข้าปากอีกครั้ง ก่อนจะหลับตาลง พยายามห้ามไม่ให้สองตาของเขา ต้องเปื้อนไปด้วยน้ำตา ก่อนที่ผู้พันหนุ่มจะรู้ว่า ตัวเองพ่ายแพ้ เมื่อไม่อาจจะกลั้นความรู้สึกผิดหวังและเจ็บปวดที่มีนั้นได้อีกต่อไป

“แกคิดว่า แกกินเหล้าแล้วแกจะได้อะไรขึ้นมา” ผู้พันหนุ่มมองตามแก้วเหล้าที่ถูกดึงออกจากมือไป ก่อนจะมองใบหน้าของเจ้าของเสียงนั้น ผ่านหยาดน้ำที่ค้างอยู่ที่ขอบตา ผู้พันภาคย์ยิ้มให้อีกฝ่าย ก่อนจะคว้าแก้วอีกใบ ที่กลิ้งอยู่บนพื้นใกล้ ๆ นั้น ขึ้นรินเหล้าใส่ลงไป “พ่อคิดว่าผมยังต้องทำอะไรอีกหรือครับ” ผู้พันหนุ่มกระดกเหล้าแก้วนั้นลงคอรวดเดียวจนหมด

“ก็ทำอะไรก็ได้ ที่เป็นการแก้ปัญหาไง ทั้งเรื่องกะรัตเมียแก ทั้งเรื่องข่าวลือบ้า ๆ นั่น” ผู้พันภาคย์มองหน้าผู้เป็นบิดา ก่อนจะหลับตา ยิ้มให้ แล้วส่ายหน้าช้า ๆ “ข่าวลืออะไรหรือครับ” ผู้พันภาคย์ถาม พร้อมลืมตาขึ้นมองพ่อของเขา เพื่อต้องการคำตอบ “แกจะยังมาถามฉันอีกหรือ ก็ไอ้ที่ใครต่อใคร เที่ยวลือกันไปทั่ว ว่าแกถูกผู้ชายหลอกสูบเงิน เพราะแกมีพฤติกรรม กินนอนกับไอ้ผู้ชายนั่น แกทำเรื่องทุเรศ ๆ กับมันน่ะ” เสียงพ่อของผู้พันหนุ่ม รังเกียจที่จะพูดออกมา

“พ่อ” ผู้พันภาคย์หัวเราะออกมาอย่างนึกขัน เมื่อได้ยินพ่อของเขาพูดออกมาแบบนั้น “แม้แต่มือ ผมก็ยังไม่ได้จับ ปอยผมของเขา ผมยังไม่เคยได้สัมผัสเลยครับ กับผม เขาหวงตัวจะตาย ผมจะไปทำอะไรอย่างที่ผมอยากทำพรรค์นั้นตอนไหนกัน กับคนที่ผมอยากเรื่องอย่าว่าด้วย ผมยังไม่มีปัญญาทำให้มันเป็นจริง ผมยังหาทางทำให้เขาตอบรับผม ชอบผมขึ้นมาบ้าง ยังไม่มีเลย” ผู้พันภาคย์กัดริมฝีปาก ยิ้มหัวเราะ ขอบตารื้นชื้นไปด้วยน้ำตา

“นี่ตกลงมันเป็นเรื่องจริงรึ เจ้าภาคย์ แกทำเรื่องอัปรีย์นี้จริง ๆ อย่างที่เขาโจษจันกันไปทั่วรึไง แกคิดบ้างมั้ย ว่าต่อไปคนเขาจะพูดถึงแก พูดถึงฉัน พูดถึงครอบครัวเราว่ายังไง สนุกปากกันล่ะทีนี้ ผู้พันภาคย์คบชายชู้ ถูกปอกลอกเอาเงินจนหมดตัว เพราะทำเรื่องโสโครก ๆ ด้วยกัน”

“ครับ” ผู้พันหนุ่มพูดขึ้น หลังจากนิ่งไปสักพัก หลังจากได้ยินสิ่งที่ผู้เป็นพ่อของเขาพูด “ต่อไปคนเขาคงพูดถึงผมแบบนั้น ไปอีกนานนับหลายปี แต่พ่อครับ ผมห้ามพวกเขาไม่ได้หรอก” ผู้พันภาคย์พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ก็ถ้า แม้แต่พ่อของผม ยังเชื่อในสิ่งที่คนเขาพูดกัน แล้วก็พูดในสิ่งที่คนเขาลืมกันแบบนี้” ผู้พันหนุ่มยิ้มออกมาทั้งน้ำตา แต่มันเป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากความขมขื่นในจิตใจของเขา “ชีวิตผมก็คงตกต่ำถึงขีดสุดแล้วจริง ๆ นั่นแหละ คงไม่มีอะไรแย่ไปกว่านี้อีกแล้วล่ะครับพ่อ” น้ำตาที่เอ่ออยู่ที่ขอบตาของผู้พันหนุ่ม ล้นออกมา ด้วยความรู้สึกเสียใจอย่างสุดประมาณ

แดนกระหืดกระหอบวิ่งมาจนถึงที่สะพานไม้ อะไรบางอย่างในความรู้สึกของเขา บอกว่าเอิงต้องมาที่สะพานนี้ แต่เมื่อมาถึง ไม่มีใครสักคนอยู่ตรงนั้น เอิงไม่ได้อยู่ตรงนั้น หนุ่มลูกครึ่ง มองตรงไปที่อีกฝั่งสะพาน หมอกจาง ๆ โรยตัวอยู่ฝั่งโน้น มันทึมในความรู้สึก แสงฟ้าแลบแปลบปลาบมาจากขอบฟ้าไกล ละอองฝนเริ่มลงเม็ด ลมเย็นจัดพัดมา จนแดนรู้สึกสะท้านไปทั้งตัว แถมด้วยความรู้สึกเศร้าแปลก ๆ ที่มันเกาะกินความรู้สึกของเขา

เสียงฟ้าร้องครืนดังมาแต่ไกล ผู้พันภาคย์ขับรถมาจนใกล้จะถึงชายฝั่งแม่น้ำ แสงฟ้าแลบมองเห็นได้จากขอบฟ้าไกล เสียงฟ้าร้องปลุกให้กะรัตตื่นขึ้นมา ลมเย็นพัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง หญิงสาวที่ไม่สนใจฟังคำทัดทานจากผู้เป็นสามี ยืนยันคำเดิม ว่าเธอจะมากับผู้พันภาคย์ด้วย แม้ว่า ผู้พันหนุ่มจะเตือนว่า สภาพอากาศในวันนี้ อาจจะเลวร้ายได้ทุกเมื่อ แต่กะรัตก็ไม่สามารถที่จะ ทนรออยู่ที่บ้าน แล้วคิดไปว่า ภาคย์ขึ้นมาบนนี้ แล้วทำอะไรเมื่ออยู่กันสองต่อสอง กับคนขายน้ำผึ้งป่านั่น

อากาศเริ่มขมุกขมัวมากกว่าเดิม เมื่อภาคย์มาถึงที่ริมแม่น้ำ คนเรือหางยาว บอกกับผู้พันภาคย์และกะรัตว่า ถ้าจะข้ามไปฝั่งโน้น ควรรีบไปรับกลับจะดีกว่า ผู้พันหนุ่มหันมาทางหญิงสาว อยากจะบอกให้กะรัตเปลี่ยนใจ แต่เธอก็ไม่รอให้เขาพูดอะไร ลงไปนั่งในเรือเป็นที่เรียบร้อย ผู้พันภาคย์ตามลงไป ก่อนพยักหน้าบอกกับคนเรือให้รีบออกเรือ ละอองฝนเริ่มหยดตัวลงมา ลมเย็นจัดพัดมาจนเรือหางยาวเล็กนั้นวูบไหว

ด้าจก์ซายส่งเสียงสะอื้น ร้องไห้จนตัวโยน ความคิดถึงทำให้สองเท้าพาเขามาหยุดยืนอยู่ที่ริมแม่น้ำนี้ ดวงตาที่เปียกปอนไปด้วยหยดน้ำตา มองฝ่าความพร่าเลือนไปที่ริมน้ำฝั่งตรงข้าม ด้วยใจที่หวังว่า จะมีใบหน้าที่คุ้นเคยนั่งอยู่ในเรือ แล่นมาที่ฝั่งฟากนี้ เพื่อพาเอาจดหมายสักฉบับมายื่นให้ ด้วยว่าอย่างน้อย จดหมายที่ห่างหายไปนานหลายเดือน มันเพียงแค่สูญหายไประหว่างทาง ไม่ได้เกิดจากที่คนเคยให้คำสัญญานั้น ล้มเลิกความตั้งใจเดิมไปแล้ว

เอิงเดินข้ามสะพานไม้ มาจนถึงฝั่งแม่น้ำด้านนี้ ความรู้สึกเหมือนกับได้ยินเสียงสะอื้นไห้ ดังขึ้นในห้วงคำนึง เสียงนั้นอัดแน่นไปด้วยความโหยหา เต็มไปด้วยความผิดหวัง น้อยใจ ขุ่นข้อง ความเศร้าเสียใจที่มีพุ่งขึ้นในใจของเอิงมากขึ้น ๆ ทุกที เอิงก้าวขาเดินต่อไป เขารู้แต่เพียงว่าต้องไปต่อ ลมเย็นจัดพัดมาอีกรอบ ฝนเม็ดหนาเริ่มตกลงมา มือไม้ของเอิงเย็นจนชาไปหมด ร่างกายสั่นสะท้านไปทั้งตัว ด้วยความกลัวระคนความสะเทือนใจ

ซายแหงนมองขึ้นไปบนฟ้า เสียงฟ้าครืนดังลั่นไปทั่ว เขารีบสาวเท้าเดินกลับบ้านให้เร็วขึ้น มองเห็นจากที่ไกล ๆ สายฝนเริ่มกระหน่ำตกลงมา ไล่มาทางเขา อยู่ ๆ ลมก็พัดแรงขึ้น จนสิ่งต่าง ๆ รอบข้างเริ่มพัดปลิวจนดูโกลาหล ซายรีบออกวิ่งไปบนทางเดินดินเล็ก ๆ ที่ตอนนี้กลายเป็นดินโคลนเปียกและลื่นไปหมด ซายเริ่มมองเห็นความผิดปกติ น้ำจำนวนมาก กำลังไหลลงมาจากที่สูง

เรือหางยาวเล็กที่กำลังพาผู้พันภาคย์และกะรัตข้ามไปยังอีกฝั่งแม่น้ำ แล่นมาได้ครึ่งทาง ฝนเริ่มร่วงหล่นลงมาจนเป็นสายฝนหนา คนเรือตะโกนแข่งกับสายฝน ถามผู้พันภาคย์ว่าจะเอายังไง จะให้ไปต่อ หรือว่าจะให้เขาวกหัวเรือกลับ ผู้พันภาคย์จะโกนตอบไปว่า ให้ไปถึงฝั่งนั้นให้เร็วที่สุด กะรัตเริ่มกลัว กรีดร้องขึ้นมาดังลั่น เมื่อคนเรือเร่งความเร็ว จนท้องเรือกระแทกกับคลื่นน้ำที่เกิดจากลมที่พัดหนักขึ้น

ซายกลับมาจนถึงกระท่อม เนื้อตัวเปียกโชก เขามองไม่เห็นใครแถวนั้นแล้ว ชาวบ้านแถวนั้นหายไปจนหมด ตอนนี้ ฝนตกกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา ลมพัดเร็วและแรง จนตอนนี้ ซายยืนต้านลมแทบจะไม่ไหว ซายเริ่มรู้สึกกลัว เขามองฝ่าสายฝนที่ตอนนี้กระหน่ำลงมา เหมือนเป็นกำแพงหนา ซายเห็นหลังของใครไว ๆ วิ่งขึ้นไปบนทางลาดชันที่อยู่ไม่ไกล ซายรีบวิ่งเข้าไปในกระท่อม ตรงไปที่มุมห้อง เขาหยิบกล่องไม้ขึ้นมา ก่อนจะหยิบเอากระดาษจดหมายของสำคัญที่สุดในชีวิตทั้งหมดของเขา ยัดใส่ลงไป

ซายมองไปรอบ ๆ เจอเชือกเส้นหนึ่ง เขารีบเอามันมามัดกล่องนั้นให้แน่นที่สุด เท่าที่จะทำได้ เขาจับของหลาย ๆ อย่างโยนเข้าใส่ตะกร้า ก่อนจะแบกมันขึ้นหลัง คว้ากล่องไม้นั้นได้ ก็รีบวิ่งออกมาจากกระท่อมนั้น ลมพัดแรงจนแทบทำให้ซายล้มลง ซายเอื้อมมือไปคว้าขอบประตูไว้ได้ทัน เสี้ยนไม้ขนาดใหญ่ แทงเข้าใต้เล็บจนมันเผยอเบี้ยวออกเนื้อ ซายเอามืออีกข้างบีบมันเอาไว้

ความเจ็บแล่นมาที่นิ้วนางข้างซ้าย มันปวดตุบ แต่เมื่อซายเห็นทางน้ำจากบนเขา ที่เริ่มกว้างขึ้น ใหญ่ขึ้น และน้ำนั้น ไหลลงมาแรงขึ้นทุกที ซายต้องลืมความเจ็บแค่นั้นเอาไว้ก่อน เขารีบวิ่งขึ้นไปบนที่สูง สู้กับแรงลมที่พัดต้านอยู่ตลอด ซายวิ่งขึ้นเขา แต่วิ่งบนทางดินที่ขนานไปกับทางน้ำ เมื่อเห็นว่า น้ำเริ่มพาเอาเศษซากอะไรต่อมิอะไรต่าง ๆ ลงมาพร้อมกับมันด้วย

“ซาย” ผู้พันภาคย์ตัวเปียกโชก วิ่งมาจนถึงกระท่อมหลังเล็กหลังนั้นของด้าจก์ซาย “ซาย ซาย” เขาตะโกนเรียกหาเจ้าของชื่อ ท่ามกลางเสียงลมและฝนที่อื้ออึงไปหมด “พี่ภาคย์ พี่ภาคย์” เสียงกะรัตเรียกชื่อผู้พันหนุ่ม “ซาย ซาย” ผู้พันหนุ่มเรียกชื่อนั้นจุดสุดเสียง หวังว่าจะได้เห็นใบหน้าของอีกฝ่าย “เรากลับกันเถอะ กะรัตกลัว” เสียงกรีดร้องของหญิงสาว ทำให้ผู้พันภาคย์หันไปมอง

“กะรัตไปรอพี่ที่เรือก่อน พี่จะหาซายให้เจอ แล้วพี่จะพาเขาไปลงเจอกะรัตที่นั่น” ผู้พันภาคย์พูดจบ ก็หันหน้า วิ่งขึ้นไปบนทางขึ้นเขา “พี่ภาคย์ อย่าไป กะรัตกลัว กะรัตเป็นเมียพี่ ช่วยกะรัตก่อนสิ พี่ภาคย์กลับมา พี่ภาคย์กลับมาเดี๋ยวนี้นะ” เสียงตะโกนของกะรัตละลายหายไปกับเสียงฟ้าเสียงฝน ผู้พันภาคย์รีบวิ่งขึ้นไปตามทางลาดนั้น สายตามองหาซายฝ่าลมและฝนอันรุนแรงนั้น

ซายรู้สึกเจ็บแปลบที่ชายโครง เมื่อเขาเหยียบลงไปบนโคลน แล้วลื่นล้มลงฟาดเข้ากับก้อนหิน น้ำตาไหลลงมาจากความเจ็บปวดนั้น ผสานไปกับเม็ดฝนที่ตกลงมาไม่ขาดสาย ซายค่อย ๆ ปลดตะกร้าสะพายหลังนั้นออก มือที่มีเลือดไหลออกมาจากเล็บนั้น รู้สึกชา ด้วยสายฝนอันเย็นยะเยือก ซายถือกล่องไม้นั้นเอาไว้ด้วยมือที่สั่นเทา รู้สึกเจ็บแปลบทุกครั้งที่หายใจเข้า ซายใบหน้าเหยเก เมื่อพยายามหยัดตัวให้ยืนขึ้น

ซายมองหาทางที่พอจะเดินได้ ความหนาวเย็นกำลังทำให้ซายสั่นเทาไปทั้งร่างกาย ก่อนที่เขาจะรวบรวมพละกำลังที่ยังพอมี ค่อย ๆ ก้าวเท้า ก้าวที่หนึ่ง อีกครั้ง ก้าวที่สอง เพื่อพาตัวเองเดินขึ้นเขาไป พร้อมกับต้องต่อสู้กับความเจ็บปวดที่กำลังรู้สึกว่า มันสาหัสมากขึ้นเรื่อย ๆ ซายลื่นล้มลงอีกครั้ง บนดินโคลน กล่องไม้กระเด็นจากมือ ตกอยู่บนโคลน ภาพใบหน้าเจ้าของจดหมาย แวบผ่านเข้ามาในสมอง ซายบอกตัวเองว่า เขาต้องไปต่อ มีชีวิตอยู่ เพื่อว่าสักวัน สัญญานั้น จะมาถึง

“ซาย ด้าจก์ซาย” ผู้พันภาคย์ตะโกนเรียกชื่อนั้น แบบไม่หยุดหย่อน สู้กับเสียงลมเสียงฝนที่อึงอลไปทั่วบริเวณ ก่อนที่ผู้พันหนุ่มจะได้ยินเหมือนอะไรหนัก ๆ กำลังเคลื่อนตัวลงมาจากภูเขา ผู้พันภาคย์รีบพาตัวเองออกจากทางน้ำอย่างรวดเร็ว เบี่ยงตัวเองหลบไปให้ไกลจากตรงนั้นให้มากที่สุด เท่าที่จะมากได้ เพราะคิดว่า ปริมาณน้ำที่มากขนาดนี้ ต้นน้ำแม้จะมาก คงอุ้มน้ำฝนมหาศาลที่ตกลงมาในคราวเดียวกันนี้ไม่ไหวแน่นอน

ด้าจก์ซายใช้เชือกพันกล่องใบนั้นจนรออบ แล้วมัดมันเอาไว้เป็นเงื่อนตาย เพื่อไม่ให้ของข้างในกล่อง หลุดร่วงออกมา ด้าจก์ซายกอดกล่องใบนั้นจนแน่น สายตาของเขามองตรงไปข้างหน้า ออกวิ่งไปเรื่อย ๆ แม้ว่าใกล้จะหมดแรง พื้นโคลนลื่น ๆ ทำให้ด้าจก์ซายต้องล้มลงกับพื้นนับครั้งไม่ถ้วน ร่างกายไถลตกลงไปจากที่เดิม จนต้องตะเกียกตะกายยันตัวให้ลุกขึ้นมาได้ใหม่ น้ำตาที่ไหลลงมา ปล่อยให้มันไหลไป ภายในใจจดจำภาพใบหน้าของแมท นายทหารช่างชาวอังกฤษคนนั้น จากภาพจำเมื่อครั้งนั้น ที่ได้แตะนิ้วไล่สัมผัสใกล้ชิด ภาวนาอยู่ภายในใจ ว่าจะไม่ลืม ต่อให้กายต้องดับสลายลง ณ ตอนนี้

ด้าจก์ซายขยับตัวออกจากทางน้ำ ก่อนจะเห็นสิ่งต่าง ๆ มากมาย ที่พลังน้ำพัดพามันลงมา แสงจากฟ้าผ่าสว่างวาบขึ้นมา ก่อนจะได้ยินเสียงดังกัมปนาท ลั่นไปทั้งป่า พร้อมกับเสียงเปรี๊ยะของทั้งท่อนไม้ใหญ่ ที่พุ่งลงมาตามแรงน้ำ และกระดูกขาข้างขวา ดังลั่นเข้าหูของซาย ก่อนที่ซายจะกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด สายตาที่พร่าเลือน คล้ายว่าสติกำลังจะหลุดลอย ก่อนมองเห็นมือที่ใช้กุมขาที่หักนั้น มีเลือดอยู่แดงฉาน

เอิงที่เดินไปตามถนนขึ้นเขา ไม่รู้ว่ามาไกลขนาดไหน พลันเสียงฟ้าผ่า พร้อมแสงไฟสีขาวสาดเข้าใส่ใบหน้าเขา และอยู่ ๆ ความเจ็บปวดอย่างเหลือแสนก็พุ่งขึ้นที่ขาขวา เอิงรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะทรุดลงกองกับพื้น รู้ตัวอีกที เขาก็ถูกรวบตัวเอาไว้ เสียงบีบแตรจากรถที่วิ่งลงเขามาด้วยความเร็ว ดังลั่นสนั่นถนนไปหมด แดนที่เห็นเอิงกำลังเดินเข้าหารถกระบะคันนั้น พุ่งตัวเข้าไปดึงอีกฝ่าย จนพ้นมาอย่างหวุดหวิด

กล่องไม้ใบนั้น ที่ดูเหมือนไร้เจ้าของ มีเชือกผูกและมัดเอาไว้โดยรอบ มันตกอยู่บนพื้นดิน ที่ตอนนี้ได้กลายเป็นพื้นโคลนไปแล้ว สายฝนที่ตกกระหน่ำ ซัดตัวเองลงสู่พื้นดิน ถาโถมเข้าใส่กล่องใบนั้น ดินโคลนไหลนองจนเปรอะเปื้อนไปทั้งกล่อง เสียงลมอื้ออึง หวีดเสียงร้องดังลั่นอย่างน่ากลัว ต้นไม่ใหญ่โอนไหวไปตามแรงลม ให้ดูเหมือนว่า ไม่มีอะไรสามารถต้านพลังอันรุนแรงนี้ไปได้

ผู้พันภาคย์ทรุดตัวลงที่ข้าง ๆ กล่องไม้นั้น เขาหยิบมันขึ้นมาถือเอาไว้ มืออันสั่นเทา แกะเชือกที่พันเอาไว้ออก ด้านใน ผู้พันหนุ่มเห็นกระดาษจดหมายเหล่านั้น ที่เขาเป็นคนเอามาให้ ผู้พันภาคย์มองหาคนใบหน้าหวาน ๆ คนนั้น มองหาคนมุ่นมวยผมที่ดำขลับราวเส้นไหมคนนั้น แต่มันไม่มีวี่แววใด ๆ ซายไม่มีทางทิ้งกล่องไม้เอาไว้แบบนี้แน่นอน ผู้พันภาคย์ตะโกนเรียกชื่อของซายซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้น ทั้งน้ำตา

“เอิง เอิง” แดนพยุงตัวของอีกฝ่าย ที่นั่งทรุดอยู่ข้างทาง เรียกให้อีกฝ่ายที่เหมือนอยู่ในภวังค์ ให้ได้สติ “ต้องไป ต้องเดินไปต่อ ไปอีก” เอิงพึมพำออกมา แบบจับความอะไรไม่ได้ “เอิง หมายความว่ายังไง คุณจะไปไหน” แดนมองดูเอิงที่สายตามองแต่ทางขึ้นเขาตรงหน้า พยายามจะลุกเดินไปให้ได้ “เอิง คุณไม่ไปไหนทั้งนั้น” แดนกอดเอิงเอาไว้จนแน่น อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นตอนนี้ ทำให้เขากลัวขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้

“พอแล้ว” แดนที่กอดเอิงจนแน่น พูดขึ้น “ซาย พอแล้ว” เสียงร้องไห้โหของเอิง ทำให้แดนดึงตัวออก เอาสองมือประคองใบหน้าของเอิงไว้ ก่อนพูดออกมาว่า “ซาย แมทเขาไม่อยู่แล้ว” เสียงร้องจากลำคอของเอิง ที่มองริมฝีปากของแดนพูด เสียงนั้นปริ่มว่าจะขาดใจ “ผมรู้ ว่ามันฟังดูใจร้าย” แดนพยายามกลืนก้อนสะอื้นที่จุกอยู่ที่คอนั้น ลงไปได้อย่างยากลำบาก

“แต่ผมคือแดน ตอนนี้ผมคือแดนแล้ว” แดนพูดกับเอิงที่ร้องไห้ออกมาอย่างหนัก เอิงนั้น ไม่รู้ว่าทำไม แต่เอิงรับรู้ในสิ่งที่ แดนพูด จากการอ่านปากของหนุ่มลูกครึ่ง ไม่ใช่จากการได้ยิน “แมทเขาจากไปนานแล้ว” แดนพยายามอย่างหนัก กลั้นเสียงสะอื้นไห้ของตัวเองเช่นกัน “เขาขอโทษ ขอโทษจริง ๆ” แดนรู้สึกผิดมาก ๆ ในหัวใจของเขาเองรู้ว่า การยึดติดกับสิ่งที่ต้องการมากที่สุดในชีวิตเป็นอย่างไร ด้าจก์ซายเองก็คงไม่ต่างจากเขา ที่ว่าความต้องการสุดท้ายในชีวิต ยังคงอยู่เช่นเดิม แม้ผ่านกาลเวลามานานเท่าไร

“ซาย ผมขอร้อง คืนเอิงให้กับผมเถอะนะ ผมจะอยู่ยังไงถ้าไม่มีเอิง ซาย เหมือนที่คุณอยู่ไม่ได้ ที่ไม่มีแมท” แดนดึงซายเข้ามากอดอีกครั้ง “คืนเอิงให้ผมเถอะนะ ผมขอร้อง พอแล้วซาย พอแล้ว ผมขอร้อง” แดนรับรู้ถึงเอิงที่ร้องไห้ออกมา ด้วยความโศกเศร้าอย่างเหลือคณานับ แดนได้แต่กอดเอิงนิ่ง ๆ เอาไว้อย่างนั้น

กะรัตนั่งเงียบไม่พูดจา ตลอดทางที่นั่งมาในรถนถึงบ้าน ใจของเธอเหมือนแตกสลาย แม้ว่ามันยังคงเต้นอยู่ เมื่อเธอคิดถึงสภาพของเธอ นั่งรอสามีของตัวเอง ไปตามหาผู้ชายอีกคน ทิ้งเธอเอาไว้เดียวดาย ท่ามกลางฝนที่ตกหนัก พายุลมแรง แถมเมื่อฝนซาเม็ดลง แล้วผู้พันภาคย์กลับลงมาจนถึงริมแม่น้ำ สามีของเธอ ไม่ปริปากถามหรือแสดงอาการห่วงใยใด ๆ เธอเลยสักคำ เขาสั่งให้คนเรือพากลับมาฝั่งนี้ โดยที่นั่งมองแต่ไอ้กล่องไม้อะไรนั่น ไม่วางตา

“กะรัตต้องการหย่า” กะรัตพูดออกมาด้วยใจที่ปวดร้าว ต่อให้เธอจะถูกเพื่อน ๆ ขนานนามว่า เป็นผู้หญิงประหลาด เป็นหญิงที่ดูจะไม่ง้อชาย กระด้างกับเรื่องหญิงต้องตามหลังชาย แต่เธอก็เป็นของเธอแบบนี้ เมื่อเธอได้ค้นพบความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ด้วยแล้วแบบนี้ “กะรัตแน่ใจนะ” ผู้พันหนุ่มถามออกไปด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง กับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นกับเขา

“พี่ภาคย์ไม่จำเป็นต้องถามกะรัตซ้ำหรอกค่ะ” หญิงสาวเชิดหน้าขึ้น ตามนิสัยหยิ่งทระนงของตัวเอง “หรือพี่ภาคย์อยากเห็นกะรัตลงไปตบตีแย่งชิง กรีดร้อง อย่างที่เมียที่ดี ที่หวงผัวตัวเอง ควรทำล่ะคะ” กะรัตกลั้นน้ำตาเอาไว้ ทำเสียงให้ไม่สั่น เธอมองหน้าผู้พันภาคย์ตรง ๆ ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร แต่การกระทำของเขาที่ต้องหลบซ่อนตัวนี่ต่างหาก ที่ทำให้เขาดูเลว

“ถ้าวันหนึ่งวันใด พี่ภาคย์เจอคนในแบบที่พี่ภาคย์มองหา” อยู่ ๆ กะรัตก็มีความรู้สึกเห็นใจผู้ชายอย่างภาคย์ขึ้นมา มันเป็นจุดเล็ก ๆ ในใจของเธอ “น้องขออวยพรให้พี่ภาคย์” น่าประหลาดใจ ที่ผู้พันภาคย์ไม่ได้ยินน้ำเสียงประชดประชันในประโยคนั้นของกะรัต หญิงสาวเอง ก็รู้สึกแปลกใจ ที่เธอรู้สึกแบบนั้นจริง ๆ ความรู้สึกที่อยากเห็นคนที่เธอรักมีความสุข ในแบบที่เขาต้องการ แม้ว่าความสุขนั้น อาจจะไม่ใช่การใช้ชีวิตอยู่กับเธอ

เมื่อดาวเจ้าเรือนปัตนิ มาอยู่ในภพเรือนมรณะ คู่ครองทำให้เจ้าชะตาต้องโศกเศร้าเสียใจ ทำให้ชีวิตเลวลง เมื่อว่ารู้ตัว ก็ไม่ควรแต่งงานกับคนนั้น เพราะมันคือการจากเป็น แม้ว่าจะไม่จากตาย ดวงชะตามักต้องเลิกรากันก่อนวัยอันควร ชีวิตครอบครัวไม่ราบรื่น สูญเสียคู่ไป ได้กับคนที่ทำให้ผิดหวัง แม้คู่กันแล้วก็ต้องจากกันไป อยู่ไปก็รังแต่เป็นชีวิตสมรสที่เปี่ยมไปด้วยความทุกข์

“แดน” หนุ่มลูกครึ่งเจ้าของชื่อ ได้ยินเอิงเรียกชื่อเขา เมื่ออีกฝ่ายดูว่าจะเริ่มสงบจิตใจลงได้แล้ว แดนมองหน้ากับเอิง สบตากับคนที่ร้องไห้จนตาบวมไปหมด “ผมรู้ ผมเข้าใจ” สายฝนซาเม็ดลง แสงแดดที่เริ่มทาบทออยู่บนฟ้า หลังจากฝนที่เพิ่งตกหนัก “ผมก็แย่ รู้สึกเสียศูนย์ไปเหมือนกัน ตอนที่รู้ว่า แมทเขาตายยังไง” แดนบอกกับเอิงถึงวันนั้น วันที่เขาไปกระท่อมของแมทในนิวยอร์ก

“ซายเขา” แววตาของเอิงแสดงออกมาถึงความเห็นใจระคนเสียใจ “ไม่เป็นไร ผมไม่อยากรู้ เอิงไม่จำเป็นต้องบอกผม” แดนรีบบอกกับเอิง หนุ่มลูกครึ่ง อยากให้ความสูญเสียนี้ เป็นเพียงแค่ความหลัง ยังไงเสีย เอิงอยู่ตรงหน้าของเขาแล้ว นั่นสำคัญสำหรับเขามากที่สุด เอิงสบตากับแดน สิ่งที่เกิดขึ้นเช้านี้มันเป็นภาพฝันที่เหมือนจริงมาก ที่มันคาบเกี่ยวกันทางความรู้สึกของทั้งซายและเอิง

ฝนเริ่มจะขาดเม็ดลงแล้ว ซากสิ่งของที่ถูกน้ำพัดพามาลงมาด้วยจากเขาด้านบน กองสุมกันระเกะระกะไปทั่ว ที่ที่เคยมีกระท่อมหลังเล็ก ๆ นั้นตั้งอยู่ มาตอนนี้มันได้หักพังลง เหลือเพียงเศษซากเท่านั้น ทั่วทั้งบริเวณนั้นเงียบกริบ เงียบเชียบจับจิตจับใจ ลมยังคงพัดผ่านมา ใบไม้บนต้นที่ยังคงแข็งแกร่ง หยัดยืนอยู่ต้านแรงมหาศาลของน้ำได้ ก็พัดไหวไปตามแรงลม ผ้าโพกหัวสีดำ ที่ลอยไปเกี่ยวเข้ากับกิ่งไม้เล็ก ๆ นั้น ปลิวไหวไปตามแรงลมที่พัดมา และเมื่อผ้าผืนนั้น ต้องแรงลมอยู่เพียงไม่นาน มันก็หลุดออกจากกิ่งไม้ ก่อนลอยหายไปตามสายลม

*****************************

คำแปลเนื้อร้องภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

English Lyrics Translation by KADUMPA

https://www.youtube.com/watch?v=0phB79n7tBU


ฉันเริ่มจะใจหาย เมื่อมองฟ้าไกล

I feel so frightened looking in the sky

ฟ้าใกล้จะรุ่งสาง เริ่มมีแสงรำไร

It’ s the break of dawn, light begins to appear

รู้ว่าใกล้เวลา จากกันแสนไกล

The time is coming, we’ re soon to end this

หัวใจเริ่มสลาย แต่จะทำเช่นไร

It’ s heart-wrenching, but what can we really do?



อยากจะร้องไห้

Tears are rolling down my face

อยากให้เวลาเดินช้าช้า

Wishing time passed more slowly

ขอเวลาสักหน่อย

Need some more time given

อยากมองหน้ากัน

Looking you right in the face

อยากหยุดวันเวลานี้ไว้

Wish I could make the time stand still

นานเท่านาน ก่อนจะต้องไป

For all the time, until agreed to go our separate ways



ขอเพียงให้เวลา พูดจาสักคำ

Little time we spare, pour out our souls

แล้วจะจดจะจำ จากวันนี้จนตาย

All will be remembered until the day we die

รู้ว่าใกล้เวลา จากกันแสนไกล

Knowing time is up, we must bid us both a farewell

หัวใจเริ่มสลาย แต่ก็คงต้องไป

Heart shattered into pieces, yet we must still go



อยากจะร้องไห้

Tears are rolling down my face

อยากให้เวลาเดินช้าช้า

Wishing time passed more slowly

ขอเวลาสักหน่อย

Need some more time given

อยากมองหน้ากัน

Looking you right in the face

อยากหยุดวันเวลานี้ไว้

Wishing I could make the time stand still

นานเท่านาน ก่อนจากกัน

For all the time, before we walk away from here



สิ่งที่ใจรู้ดี

What’ s running through my mind

ฉันเองไม่เคยมีใคร

I have never had anyone

รักได้อย่างนี้เช่นเธอ

To love like I’ ve known it with you

รักอยู่เต็มดวงใจ

Loving you with the whole heart of mine



อยากจะร้องไห้

Letting these tears come out of my eyes

อยากให้เวลาเดินช้าช้า

Wish I knew how to slow down the pain

ขอเวลาสักหน่อย

Some more time, please I beg of you

อยากมองหน้ากัน

Looking you right in the eye

อยากหยุดวันเวลานี้ไว้

Wish I had powers to stop the time

นานเท่านาน ก่อนจะต้องไป

With much time, until we’ re saying our goodbye

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 777
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 202
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
๒๗.



สหัชชะ – พันธุ (เพื่อนดีไม่ทำร้ายต่อกันเพื่อนร้ายต่อกันไม่ทำดี)





เช้านี้เอิงกับแดน ชวนเตยและบูมมาทำบุญที่วัด เพื่อความเป็นสิริมงคล ก่อนที่ทั้งหมดจะเดินทางกลับลงไปในเมือง เอิงก้มลงกราบท่านเจ้าอาวาส รู้สึกสบายใจขึ้นจากเมื่อวานมาก และเมื่อคืนก็เป็นคืนแรกในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ที่เขาไม่ได้ฝันถึงซาย ความหนักอึ้งในหัวใจเหมือนได้รับการลดทอนให้เบาบางลง เหมือนอากาศในเช้าวันนี้ ที่แจ่มใสผิดกับเมื่อวาน เหมือนเป็นฟ้าที่สว่างหลังเมฆฝนอย่างชัดเจน

“เมื่อวันก่อน ผมเดินผ่านมาจนถึงที่ลานวัด ติดถนนรอบหนึ่งแล้ว ได้เจอหลวงพ่อรูปหนึ่ง ยืนกวาดลานวัดอยู่ ท่านได้ช่วยพูดเตือนสติพวกผม วันนี้พวกเราจะเดินทางกลับกันแล้ว เลยอยากจะขออนุญาตท่านเจ้าอาวาส ขอกราบลาหลวงพ่อรูปนั้นด้วย จะได้มั้ยครับ” เอิงพนมมือกล่าวกับท่านเจ้าอาวาส ท่านหยุดนิ่งนิดหนึ่ง ก่อนที่จะกล่าวตอบกลับเอิงมาว่า

“วัดนี้เป็นเพียงวัดเล็ก ๆ มีอาตมาเป็นเจ้าอาวาส และก็พระใหม่สองรูป จำวัดอยู่ที่นี่ และก็เจ้าสองคนนี้” ท่านเจ้าอาวาสหันไปทางเด็กผู้ชายวันมัธยมปลายสองคน ที่อยู่ช่วยเหลือท่านเจ้าอาวาส เป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิ “หลวงพ่อรูปอื่น ไม่มีแล้วล่ะโยม” ท่านเจ้าอาวาสพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “แต่ผมสองคนเจอกับหลวงพ่อจริง ๆ นะครับ ยังได้พูดกับท่านด้วย” แดนยืนยันเรื่องที่เกิดขึ้น เตยกับบูมสบตากัน ก่อนขยับเข้ามาชิดขึ้นอีกหน่อย

“บางครั้ง จิตเราก็ปรุงแต่งอะไรขึ้นมา โดยที่เราเองก็ไม่รู้ตัว” ท่านยิ้มให้กับแดนและเอิง “การเจอกับใครสักคน ก็ถือว่าเป็นผู้ต้องวาสนากัน บางทีเราอาจจะไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านั้น” ท่านเจ้าอาวาส ท่านมอบความเมตตาสอนธรรมะให้กับทั้งคู่ เอิงกับแดนรู้สึกว่า ท่านรู้อะไรบางอย่าง แต่ท่านไม่พูดออกมาตรง ๆ

“ของบางอย่างมันเป็นอจินไตยนะโยม หากโยมรู้แล้วติดกับดัก มันก็เกิดทุกข์ หากโยมปล่อยมันไป จิตใจของโยมก็เบาสบาย แต่หากโยมติดสัญญา พระท่านเรียกว่ามนสัญญา สิ่งที่ทรงจำทางใจ เวทนานั่นจึงทำให้โยมเกิดสัมผัสรู้สึกทางใจ” เจ้าอาวาสท่านพูดจบ ก็อวยพรให้ทั้งสี่คน เดินทางปลอดภัย ทั้งหมดจึงก้มกราบนมัสการลา ก่อนจะเดินออกมาจากศาลาหลังเล็ก ๆ นั้น

เอิงคิดทบทวนถึงสิ่งที่เกิดขึ้น การได้เดินทางขึ้นมาที่นี่ เหมือนเขาได้กลับมารับรู้ความทรงของซาย เรื่องราวของซายที่เกิดขึ้นที่นี่ เมื่อไม่มีแมทแล้ว อารมณ์ ความรู้สึก ความนึกคิดทั้งหมดของซาย ก่อนที่จะจากไป เกิดขึ้นที่นี่ สิ่งที่สื่อสารมาถึงเขา มันจึงรุนแรงมากกว่าทุกครั้ง ราวกับว่า ซายได้รอคอยให้ความรู้สึกและความคิดสุดท้ายของเขา ได้รับการปลดปล่อยจากพันธนาการเช่นกัน

“พระท่านพูดว่า ไม่ให้เรารู้อะไรในสิ่งที่จะทำให้เราเกิดทุกข์” เตยที่ขยับมาเดินคู่กับเอิงพูดขึ้น “หนูว่าจะถามพี่เอิงอยู่เชียว ว่า” เตยลังเลที่จะถาม แม้ว่าใจจะอยากรู้มากจริง ๆ เอิงรู้ว่าเตยอยากจะถามเขาเรื่องอะไร เขาชั่งใจอยู่สักพัก ก่อนพูดกับเตยว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้น มันก็จบลงไปนานแล้ว พี่ก็ได้มายืนอยู่ตรงนี้” เอิงมองไปที่แดน ที่เดินคุยอยู่กับบูม การไม่รู้กับรู้อดีต มันทำให้รู้สึกหนักใจต่างกันไปคนละทางมากจริง ๆ

“เตย” เอิงเรียกชื่อเด็กสาว ก่อนจะตัดสินใจพูดออกไปว่า “เท่าที่พี่รู้ ผู้พันภาคย์เป็นคนดีมากนะ” เตยสบตากับเอิง เมื่อได้ยินบอกออกมาแบบนั้น “อะไรที่เตยได้ยินมาเกี่ยวกับผู้พัน อาจจะไม่ได้เป็นเรื่องเสียหายหรืออะไรแย่ ๆ แบบนั้นเลย” เอิงยิ้มให้กำลังใจกับเตย “หนูก็ว่าแบบนั้นแหละพี่เอิง ว่าคุณทวดเล็กของหนู ทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้แล้ว” เตยยิ้มออกมา แม้ว่ามันจะเป็นยิ้มเหงา ๆ ก็ตาม

กะรัตเดินทางกลับมาที่ตัวจังหวัดอีกครั้ง ตอนนี้เธอแต่งงานใหม่แล้ว กับเจ้าของโรงงานที่รักและเอาใจใส่ดูแลเธออย่างดี กะรัตตัดสินใจเลือกผู้ชายที่รักเธอมาเป็นคู่ด้วย ที่เธอกลับมาคราวนี้ ก็คิดว่าจะมาจัดการทรัพย์สินทั้งหมด ก่อนจะลงหลักปักฐานตามสามีของเธอที่เมืองหลวง แม้ว่าเธอจะรู้สึกครึ่ง ๆ อยู่ในใจก็ตาม เมื่อนึกถึงการจะจากที่แห่งนี้ไปโดยถาวร และจะไม่หวนกลับมาอีก

“ก็ใช่น่ะสิเธอ บ้านหลังนั้นแทบจะเป็นบ้านร้าง ปล่อยหญ้าขึ้นยาวเป็นพงนกดงหนู ตกดึกก็กลายร่าง เป็นบ้านผีสิงก็ไม่ปาน ก็ตั้งแต่ผู้พันภาคย์ลาออกจากราชการ” กะรัตที่เดินเลือกซื้อของอยู่ บังเอิญได้ยินเสียงผู้หญิงสองคนคุยกัน “พอไม่ได้เป็นนายทหารแล้ว รายได้ก็ขาด เงินทองที่สะสมเอาไว้ก็ร่อยหรอ ร่างกายก็เจ็บออด ๆ แอด ๆ เขาว่ากัน ว่าผู้พันแกป่วยหนักเลยนะ จากที่หล่อหน้าตาดี ตอนนี้โทรมจนดูไม่ได้”

“แกติดเหล้าอย่างหนัก แถมครอบครัวก็ไม่มีใครเอา บ้านนั่นก็แย่งกันจะเอาของแกไปขาย แถมยังจะเรื่องที่คนเขาซุบซิบกันอีก ว่าแกโดนผู้ชายปอกลอกจนหมด เนี่ยแหละ ดันหาความรักจากคนผิด จากผู้ชายด้วยกัน ชีวิตก็ตกต่ำน่ะสิ เธอว่ามั้ย” กะรัตอยากจะเดินเข้าไปต่อว่าต่อขานผู้หญิงสองคนนั้น แต่เธอก็ยั้งใจเอาไว้ ก่อนจะเดินไปหาซื้ออาหารดี ๆ บำรุงกำลังจนเต็มมือเต็มไม้

“บ้านหลังนี้รึคุณ” ผู้เป็นสามีถามกับภรรยา เมื่อเขาจอดรถที่หน้ารั้วบ้านหลังหนึ่ง ที่ตอนนี้ดูทรุดโทรมเพราะขาดการดูแลรักษา มันดูรกร้าง หญ้าขึ้นจนสูงชัน กะรัตพยักหน้ารับคำผู้เป็นสามี ก่อนจะหยิบอาหารอย่างดีที่ซื้อมาลงจากรถ กะรัตมองดูสภาพบ้านที่ครั้งหนึ่ง เธอเคยอยู่ที่นี่ มันเคยถูกใช้เป็นเรือนหอ กับผู้ชายที่เธอเคยรัก หญิงสาวเดินไปที่หน้ารั้วบ้าน กะรัตไม่เคยเห็นผู้ชายที่เป็นเจ้าของบ้าน ปล่อยให้บ้านสกปรกรกรุงรังมาแบบนี้ก่อน สิ่งที่เกิดขึ้นในเช้าวันนั้น มันเปลี่ยนชีวิตของผู้ชายคนนี้อย่างพลิกฝ่ามือ

กะรัตเรียกชื่อเจ้าของบ้านอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ ภายในบ้าน ไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ กะรัตรู้สึกใจหายไม่น้อย ที่เรื่องราวมันกลายมาเป็นแบบนี้ แม้ว่าจะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันแล้ว แต่กะรัตก็ยังคิดถึงและปรารถนาดีกับอีกฝ่ายอยู่เสมอ เกือบปีที่ห่างหายกันไป เธอได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่ดูเหมือนว่า ผู้พันหนุ่มคนนี้ จะไม่สามารถพาตัวเองเดินออกจากความจริงอันโหดร้ายนั้นได้ กะรัตแขวนอาหารเหล่านั้นเอาไว้บนรั้ว เธอตะโกนบอกคนที่อยู่ในบ้านก่อนจะลากลับ ว่าเธอจะเอาอาหารมาฝากใหม่

กะรัตขอร้องสามีให้พาเธอมาที่บ้านหลังนี้อีกในวันรุ่งขึ้น อาหารที่เธอฝากไว้เมื่อวาน หายไปจากรั้ว มีโน้ตขอบใจสั้น ๆ เขียนด้วยลายมือที่แม้จะดูโรยแรง แต่เธอจำได้ดี กะรัตน้ำตารื้นขึ้นที่ขอบตา ก่อนจะยิ้มออกมา เธอวางอาหารที่นำมาในวันนี้ไว้ที่เดิม ตะโกนบอกว่า พรุ่งนี้เธอจะมาใหม่ ก่อนจะเดินกลับมาที่รถ สามีถามเธอว่า ทำไมถึงไม่เข้าไปหาในบ้าน แต่กะรัตคิดว่า อยากจะรอให้ผู้พันภาคย์พร้อมที่จะเจอเธอจะดีกว่า

กะรัตกลับมาอีกในวันรุ่งขึ้น แต่วันนี้ อาหารที่เธอนำมาเมื่อวาน ยังอยู่ที่เดิม เธอตะโกนเรียกชื่อผู้พันหนุ่ม บอกว่าให้ดูแลตัวเองให้ดี ๆ เธอนำอาหารมาให้อีก วันนี้มีแต่ของที่ผู้พันชอบทั้งนั้น แล้วพรุ่งนี้ เธอจะกลับมาใหม่ ซึ่งในวันรุ่งขึ้น อาหารที่กะรัตเอามาฝาก ก็ยังอยู่ที่เดิม กะรัตใจเสีย รีบติดต่อไปทางนายตำรวจที่รู้จักกัน เจ้าหน้าที่เข้าไปในบ้านของผู้พันภาคย์

กะรัตกับสามียืนรออยู่ด้านนอกรั้ว ก่อนที่นายตำรวจท่านนั้นจะเดินออกมา มองที่กะรัตแล้วก้มหน้าลง กะรัตยกมือขึ้นปิดปาก กลั้นเสียงร้องไม่ให้ดังออกมา แต่แล้วเธอก็กลั้นความเสียใจนั้นเก็บเอาไว้ไม่ไหว กะรัตปล่อยน้ำตาแห่งความเสียใจ ให้ไหลลงอาบแก้ม ด้วยความรู้สึกผูกพัน ว่าเมื่อครั้งหนึ่ง ผู้พันภาคย์ก็เคยดูแลเอาใจใส่เธออย่างดีที่สุดที่เขาจะทำได้

สามีของกะรัตเอามือแตะที่ไหล่ของผู้เป็นภรรยา พูดปลอบประโลมจิตใจของกะรัตด้วยความเข้าใจ กะรัตจับมือของเขาบีบจนแน่น รู้สึกขอบคุณน้ำใจของผู้เป็นสามี ว่าน้ำตาที่เธอมีให้กับผู้พันภาคย์ในวันนี้ มันมาจากมิตรภาพทางใจ คือความบริสุทธิ์ห่วงใยที่มีให้กัน ภาพสุดท้ายของผู้พันภาคย์ที่กะรัตเก็บไว้ในใจ จะเป็นภาพที่สวยงามเสมอไป

บูมขับรถพาทุกคนออกมาได้สักพัก เพื่อกลับลงไปที่ตัวจังหวัด เขามองเห็นเตยนิ่งเงียบไปตั้งแต่ขึ้นรถมา เตยนั่งมองออกไปที่นอกหน้าต่าง ในใจของเธอรู้สึกเศร้าไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่เธอก็ได้รับความรู้สึกภูมิใจกลับเข้ามาแทนที่ เมื่อคุณทวดเล็กของเธอ ไม่ได้เป็นไปอย่างที่ขี้ปากชาวบ้านพูดกัน เตยปล่อยให้น้ำตาไหลลงมา แม้เธอจะไม่เคยได้เจอคุณทวดภาคย์ แต่เธอจะคิดถึงทวดเล็กด้วยใจอภิรมย์นับจากนี้

เตยหันมามองบูม เด็กหนุ่มใช้มือตบที่ไหล่ของเตยเบา ๆ อย่างเข้าใจ จะด้วยกรรมใดที่เคยมีร่วมกันมาก็ตาม แต่เป็นที่ทวดกะรัตของบูม บ้านที่เคยเป็นของคุณทวดเล็ก ได้ถูกส่งมอบคืนกลับมาเป็นของครอบครัวเธออีกครั้ง แม่เคยเล่าให้เตยฟังว่า ทวดของบูมเคยคิดจะลงไปอยู่ที่กรุงเทพฯ แต่แล้วก็เกิดเปลี่ยนใจ ปรับเปลี่ยนย้ายครอบครัวกลับมาอยู่ที่นี่ต่อไป จนมีบูมเกิดมาเป็นเหลนแบบนี้

กะรัตยืนอยู่ที่ประตูห้อง เธอเก็บทุกอย่างคงเอาไว้ให้เหมือนเดิมมากที่สุด ให้ห้องนี้ยังคงเป็นของพี่ภาคย์ ทุกอย่างที่เป็นของที่ผู้พันหนุ่มรัก หรือเป็นของส่วนตัว กะรัตให้คนเอามาเก็บรักษาเอาไว้ในห้องนี้ จัดเก็บ ดูแลเป็นอย่างดี หลังจากที่เธอซื้อบ้านหลังนี้เอาไว้ เมื่อมันเริ่มเปลี่ยนมือมาหลายครั้ง หลังจากที่ภาคย์เสียชีวิตไปแล้ว และมีข่าวว่า เจ้าของคนเดิม จะทุบบ้านหลังนี้ทิ้ง กะรัตดึงประตูไม้นั้นปิดลง ความทรงจำของเธอที่มีเกี่ยวกับภาคย์ จะมีเพียงสิ่งดี ๆ ที่เก็บไว้คิดถึงกันตลอดไป นับจากนี้

ผู้พันภาคย์กึ่งนั่งกึ่งนอนบนเตียง ด้วยความรู้สึกอ่อนแรงเต็มทน ลมหายใจของผู้พันหนุ่มเป็นจังหวะเข้าออกช้า ๆ ร่างกายที่ซูบผอม ผมเผ้าหนวดเครารุงรัง จนจำแทบไม่ได้ แต่ในความรู้สึกนั้น ผู้พันภาคย์คิดว่าความเบาสบายนี้ กำลังดึงให้เขาเดินตามไปช้า ๆ ความรู้สึกผิดที่ไม่สามารถช่วยซายเอาไว้ได้ ที่ติดอยู่ในใจ เหมือนถูกผ่อนแรงลง ในขณะที่จิตของเขา ถูกหย่อนลงไปในการระลึกว่าครั้งหนึ่ง เคยได้เป็นเพื่อนกัน ที่ริมฝีปากของผู้พันภาคย์มีรอยยิ้ม ลมหายใจถูกดันออกมาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ทุกอย่างจะมืดดับสนิทลง

บูมจอดรถพักเมื่อเดินทางลงมาได้เกินครึ่งทาง เขาแวะเข้าที่จุดพักใกล้กับน้ำตก ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ใกล้กับทางรถไฟสายประวัติศาสตร์ ทั้งหมดลงมาจากรถ มีร้านอาหารให้เลือกเรียงราวยาวไปหมด เตยชวนทุกคนกินร้านอาหารตามสั่ง ก่อนจะเดินนำเข้าไปนั่งในร้าน เอิงสั่งน้ำอัดลมเย็น ๆ มาให้ เมื่อแดนร้องขอ หนุ่มลูกครึ่งต้องต่อสู้อย่างหนักกับแสงแดดที่แรงในวันนี้

“ดีขึ้นมั้ย” เอิงถาม เมื่อเห็นแดนดื่มน้ำอัดลมนั้นรวดเดียวจนหมดแก้ว “เบรน ฟรี้ซ” แดนทำหน้าตาเหยเก เมื่อโดนความเย็นเล่นงานเข้าให้ด้วย แต่ก็ยังยิ้มออกมาได้ ก่อนจะเทน้ำอัดลมสีดำลงไปเพิ่มในแก้วใส่น้ำแข็ง เตยกับบูมหัวเราะออกมาได้ หลังจากที่ทั้งคู่เงียบกันมาตลอดทาง ผิดกับเมื่อตอนขามาโดยสิ้นเชิง อาหารที่สั่งไป เริ่มทยอยมาเสิร์ฟ ทั้งหมดใช้เวลาไม่นานนัก ในจัดการกับเมนูในจานตรงหน้า เอิงจ่ายค่าเสียหายในมื้อนี้ เตยขอตัวไปเข้าห้องน้ำ บูมบอกจะเดินไปดูขนมขบเคี้ยวจากร้านสะดวกซื้อที่อยู่ไม่ไกล

เอิงกับแดน เดินดูของอยู่ในร้าน แถว ๆ ที่รถจอดอยู่ มันเป็นร้านของฝาก มีทั้งของกิน ของกระจุกกระจิก และของงานฝีมือ แดนเดินตามเอิงที่กำลังสำรวจของขายในร้าน เจ้าของร้านกล่าวเชื้อเชิญ ต้อนรับให้เข้ามาเลือกชมดูก่อน เอิงเดินมาหยุดอยู่ที่มุมของทำมือ ที่ชั้นกระจกตรงหน้านั้น มีตุ๊กตาตัวจิ๋ววางอยู่ ตุ๊กตาทำจากผ้า อยู่ในชุดพื้นเมืองสีดำ บนหัวโพกผ้าเอาไว้ เห็นผมมุ่นมวยอยู่ข้างใต้ ในมือมีดอกไม้ถืออยู่ แดนมองตุ๊กตาในมือเอิง พยักหน้าก่อนจะยิ้มให้ เมื่อเอิงหันมามองเขา

“เอิงว่า ซายเขาเคยขอพรอะไรบ้างมั้ย” แดนเอ่ยถามขึ้น เมื่อทั้งสองคนเดินออกมาจากร้านของฝาก เอิงสบตากับแดน ภาพของซายที่นั่งอยู่ต่อหน้าพระพุทธรูป เข้ามาให้เอิงเห็น “แล้วแมทล่ะ” เอิงถามแดนกลับไปด้วยคำถามเดียวกัน แดนยิ้มกว้าง พยักหน้า ก่อนจะตอบว่า “เคยสิ” แดนยังจำภาพในวันนั้นได้ดี ภาพของแมทและซายที่หน้าองค์พระประธานในป่าลึกนั้น

ซายคุกเข่าลงตรงหน้าองค์พระ เงยหน้ามองแมทที่กำลังมองสำรวจสถานที่แห่งนี้ด้วยความทึ่ง ก่อนจะก้มลงมามอง เห็นซายมองอยู่ แมทเลยทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าข้าง ๆ ซาย ซายยื่นดอกไม้ปักช่อที่มีดอกไม้สีแดงสดด้านบน และมีดอกสีขาวเล็ก ๆ แซมลงมาบนก้าน ให้กับแมท ก่อนจะก้มลงกราบพระ และเอาดอกไม้ถวายพระให้แมทดู นายทหารช่างหนุ่มทำตาม แม้จะดูเก้ ๆ กัง ๆ แต่ก็เห็นซายที่มองเขาด้วยดวงตาใสแป๋ว แล้วยิ้มให้ แมทเอื้อมมือเอาปอยผมข้างหู ที่ตกลงมา ทัดกลับไปอย่างเดิม พลางนึกดีใจ ที่ได้มาไหว้พระกับซายในครั้งนี้

“ผมไม่รู้ธรรมเนียมคนไทย ว่าเขาทำกันยังไง พูดคุยสื่อสารกับท่านยังไง” แมทพนมมือตามอย่างที่เห็นจากซาย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นพูดกับองค์พระประธาน ซายมองไปที่แมท ที่กำลังพูดกับพระ “แต่ผม” แมทพูด หันมาสบตากับซาย ที่มองเขาอยู่ก่อนแล้ว “อยากให้ท่านอวยพรเราสองคน” น้ำเสียงที่อ่อนโยนของแมท แม้จะเอ่ยด้วยภาษาต่างประเทศที่ซายไม่รู้จัก แต่นั่นมันก็ทำให้ซายรู้สึกอบอุ่นใจ

“ผมจะรัก อยากดูแลซายให้ดี” ด้าจก์ซายได้ยินชื่อของเขาถูกเรียกจากปากของแมท ก็มีหยดน้ำตาก็ไหลลงมาบนแก้มของเขา “ผมจะทะนุถนอมเขา และรักเขาคนเดียว เหมือนคู่ผัวตัวเมียคู่อื่น ๆ” แมทยิ้มให้กับคนตัวเล็กที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขา “ทิล เดธ ดู อัส พาร์ท” แมทพูดประโยคนั้นออกมาจากหัวใจ “ขอให้ท่านอวยพรให้พวกเราโชคดี” แมทพูดจบ ก็หันมาทางซาย ที่โผเข้ากอดนายทหารช่างหนุ่ม แมทกอดตอบซายที่กำลังกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่

บูมขับรถลับเข้าเขตตัวเมืองจังหวัด เตยส่งเสียงบิดขี้เกียจ จากการนั่งรถมาระยะไกล เอิงก้มลงมองตุ๊กตาตัวจิ๋วที่อยู่ในมือ พื้นที่ที่แมทและซายได้เจอกัน และกลายเป็นเรื่องจริงของกันและกัน ก่อนที่ทั้งสองคน จะกลายเป็นความทรงจำที่เพรียกหา เอิงหันมาทางแดน ก่อนจะเอาหน้าผากพิงไปที่หัวไหล่ของหนุ่มลูกครึ่ง แดนหันมามองเอิงที่แสดงออกกับเขามากขึ้น เอิงเงยหน้าขึ้นสบตากับแดนที่มองอยู่ก่อนแล้ว ก่อนที่เอิงจะหลับตาลง เมื่อแดนก้มลงหอมที่หน้าผากของเอิง

ซายนั่งอยู่ในพระอุโบสถเพียงลำพัง เขามองไปที่องค์พระประธาน ใบหน้าของท่านเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม แววตาของท่านมองลงมาด้วยความเมตตา ซายไม่รู้ว่า คนอื่น ๆ เขาขอพรจากพระว่าอย่างไรกันบ้าง คนอื่นที่มีชีวิตสมบูรณ์กว่า ทั้งทางร่างกายและจิตใจ กับวันขึ้นปีใหม่ตามประเพณีไทยเช่นนี้ เขาควรจะขอสิ่งใดบ้างไหม ด้านนอกมีคนมาก่อพระเจดีย์ทรายกันมากมาย แต่ซายนั่งอยู่ในนี้เงียบ ๆ เพียงผู้เดียว

เมื่อเข้าเรือนสหัชชะ ที่แปลว่า เพื่อนฝูง คนรอบข้าง หรือแปลว่า สังคมที่เจ้าชะตาอาศัยอยู่ก็ได้ เดินมาอยู่ในเรือนพันธุ ที่แปลว่าถิ่นที่อยู่ สถานที่พำนัก เรือนพักกายและใจ พี่น้องเพื่อนฝูงของเจ้าชะตานั้น ล้วนเป็นผู้มีหลักฐานสามารถพึ่งพา คบค้าสมาคมได้ โดยเป็นกลุ่มคนที่มีเจตนารมณ์ดีกันทั้งสิ้น เว้นเสียแต่ว่า เจ้าเรือนสหัชชะเป็นกาลกิณี ก็จะนำความวิบัติมาสู่เจ้าชะตา ทำให้วงศาคณาญาติปั่นป่วน แตกแยก ไม่ปรองดองกัน ถึงขั้นเดือดร้อนเรื่องที่อยู่ที่กิน พี่น้อง เพื่อนฝูง เพื่อนบ้าน สร้างความเดือดร้อนให้ในชีวิต

“ผมไม่ได้ทำนะผู้กอง” เสียงละล่ำละลักแก้ตัวเป็นพัลวัน ดังออกมาจากชายวัยกลางคนคนนั้น “ผู้กองภาคย์ต้องเชื่อผมนะ ผมไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้จริง ๆ” ผู้กองภาคย์ยืนมองชายไทยวัยกลางคน ที่มีคนรายงานว่า เห็นเข้าออกแนวชายป่าบ่อยจนผิดสังเกต ชายคนนี้พูดอ้อนวอนผู้กองหนุ่มชาวไทย ให้เชื่อและปล่อยเขาไป เพราะเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่ได้เกี่ยวข้องใด ๆ กับการกระทำต่อต้านกองทัพผู้เกรียงไกรนี้

“แต่ผมบอกผู้กองได้นะ ว่าใครทำ” ชายวัยกลางคนที่โดนทหารจากแดนอาทิตย์อุทัย จับกดเอาไว้กับพื้นบอกว่าเขาจะยอมเปิดปาก เพื่อแลกกับอิสรภาพ “ไอ้ซาย ไอ้ด้าจก์ซาย คนเก็บน้ำผึ้งป่าขาย มันนั่นแหละที่เป็นสาย คอยส่งเสบียงให้กับหน่วยทหารช่างอังกฤษ” ผู้กองภาคย์ตกใจจนหน้าถอดสี เมื่อได้ยินชายวัยกลางคนเอ่ยชื่อนั้นออกมา ในใจของผู้กองภาคย์ได้แต่ภาวนา ให้เรื่องนี้ ไม่ใช่เรื่องจริง

แมทล้มตัวลงบนฟูกบาง ๆ บนเตียงนอนของเขา นายททารช่างหนุ่มยิ้มออกมาอย่างมีความสุข เมื่อวันนี้เขาได้ขอพรจากพระ ให้เขาและซายครองรักกันยืนยาว นายทหารหนุ่มคิดว่า เขาเป็นคนที่โชคดีที่สุด แม้แต่เชื่อของเขา แมทธิว ยังมีคำแปลว่า กิ๊ฟท์ ออฟ ก็อด หรือของขวัญจากพระเจ้าเลย คืนวันนับต่อแต่นี้ไป แมทเชื่อว่า มันจะต้องดีวันดีคืน และมันจะมีวันหนึ่ง ด้วยความรักที่มีให้แก่กัน เขากับซายจะได้อยู่ด้วยกันอย่างเปิดเผย และทุก ๆ คนในสังคมจะเข้าใจพวกเขา วันนี้แมทกลับมาที่หน่วยล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็นไปมาก เพื่อน ๆ ในค่ายของเขา จับกลุ่มคุยกัน ถึงพฤติกรรมของนายทหารช่างชาวอังกฤษคนนี้

************************************

คำแปลเนื้อร้องภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

English Lyrics Translation by KADUMPA

https://www.youtube.com/watch?v=rXtxmVVS0dc


เหมือนฝนตกตอนหน้าแล้ง

Like soaking rains to alleviate drought

เหมือนเห็นสายรุ้งขึ้นกลางแจ้ง

Like a rainbow formed in the sky in broad daylight

เหมือนลมหนาวเดือนเมษา

Like a cold winter day in the middle of summer

เหมือนว่าใจอ่อนล้ากลับแข็งแกร่ง

Like a weary heart is now strong and back on track


เหมือนคนกำลังมีรัก

Like someone falls head over heels

เหมือนคนหลงทางพบคนรู้จัก

Like you’ re left stranded then seeing a familiar face

เหมือนเจอของสำคัญที่หล่นหาย

Like a lost soul has been found

เหมือนร้ายนั้นกลายเป็นดีมาก

Like worse becomes better, literally

เหมือนที่ฉันนั้นได้มาพบกับเธอ

Like you and I are engaging in this moment

ชีวิตฉันจึงได้เจอ

My life has been made an offer


แต่ไม่รู้จะขอบคุณ

I can’ t thank you enough

ไม่รู้ทำอย่างไร

What else can I do?

ไม่รู้ว่าสิ่งไหนจะยิ่งใหญ่ควรค่าพอ

This grandeur makes the proposal handsomely splendid

ที่ฉันได้จากเธอ

What I am getting from you

ได้รักโดยไม่ต้องขอ

This love you have made it known for

ได้รู้โดยไม่ต้องรอ

Have earned it without a holdback

ว่ารักคืออะไร

It’ s what love is made for


โอ้ เธอ

Oh, well dear

ทำให้ฉันรู้จัก

Without you, I wouldn't have known it

ความรักที่ไม่มีเงื่อนไขใด

Wholeheartedly, an unconditional love

ได้มามีเธอนั้นเป็นคนให้

You’ re the one to do me a solid

หัวใจอยากให้เธอรู้

Telling me how to best heart you


แต่ไม่รู้จะขอบคุณ

I can’ t thank you enough

ไม่รู้ทำอย่างไร

What more can I do?

ไม่รู้ว่าสิ่งไหนจะยิ่งใหญ่ควรค่าพอ

This title is majestic, all changes made to it is worthwhile

ที่ฉันได้จากเธอ

The things I am getting from you

ได้รักโดยไม่ต้องขอ

This love you have made it known for

ได้รู้โดยไม่ต้องรอ

Have earned it without a holdback

ว่ารักคืออะไร

To realize what love really is


ว่ารักคืออะไร

This love is why we’ re here for


ได้รู้โดยไม่ต้องรอ

Comprehends all without being delayed

ว่ารักคืออะไร

We’ re shaping our hearts towards love
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-05-2022 21:45:18 โดย KADUMPA »

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 777
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 202
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
๒๘.



กฎุมพะ – มรณะ (นี่มันที่เป็นปัญหาปัญหาเป็นที่มันนี่)





“ตกลงนี่เราเสียเงินจ้างคน สนุก ๆ เพื่อให้มาเที่ยวเล่นหรือคะ” ลลินพูด ชำเลืองหางตาไปมองที่อันน์ “ดีจัง ได้ทั้งเงิน ได้ทั้งเที่ยว เผลอ ๆ จะได้ทั้งผู้ชาย ยิงปืนนัดเดียวได้นกไปทั้งฝูง” ลลินแค่นลมหายใจอย่างดูแคลน “แต่ไม่ได้งาน” ลลินกระแทกเสียงลงที่ท้ายประโยค ก่อนเบะปากใส่อันน์อย่างจงใจ อันน์พยายามข่มความรู้สึกที่กำลังคุกรุ่น ไม่ให้ปะทุขึ้นมา เพราะมันไม่เป็นผลดีอะไรกับใครทั้งสิ้น

“ในสัญญาระบุไว้ว่า เอิงได้รับมอบหมายหน้าที่ให้ดูแลคุณโทมัส” อันน์อธิบายข้อเท็จจริงที่มี ลลินได้ยินแบบนั้น ก็รีบชี้ชวนให้คนอื่น เห็นว่าเอิงกำลังละเมิดสัญญาว่าจ้าง “โดยรวมไปถึง 'พลัสวัน' ด้วย ซึ่งคุณโทมัสได้แจ้งกับทางเราเอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่า คือคุณแมทธิว แดเนียล โรเบิร์ต ลูกชายคนเดียวของคุณโทมัสเอง” อันน์พูดด้วยน้ำเสียงเรียบ แต่จริงจัง อันน์นั้นขึ้นชื่อเรื่องความรอบคอบ และได้รับความไว้วางใจมาแต่ไหนแต่ไร

“กรุณามีความรู้ความเข้าใจ ก่อนมีความคิดเห็น จะเป็นการดีต่อตัวคุณเองนะคะ” อันน์หันไปพูดกับลลินโดยตรง ก่อนที่จะวางสัญญาว่าจ้างนั้นลงบนโต๊ะห้องประชุม “อีกอย่าง คุณแดนก็เป็นคนดึงตัวเอิงไปจากตรงนั้น คุณโทมัสก็เป็นพยานให้ได้” ฐานทัพพยักหน้ายืนยัน คำพูดของอันน์ เพราะเขาก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย พฤกษ์ที่ยืนฟังการสนทนานี้อยู่ด้วย ได้เอ่ยขึ้น

“แต่ตอนนี้ปัญหาหลักมันไม่ได้อยู่ที่ว่า ใครพาใครไปไหน แต่มันคือการที่คุณโทมัส จะทบทวนและเลื่อนการลงทุนกับเราออกไป อย่างไม่มีกำหนด” พฤกษ์น้ำเสียงเครียด เพราะคุณโทมัสถือว่าเป็นลูกค้ารายใหญ่มาก ที่ถ้าปล่อยให้หลุดมือไป จะเป็นความสูญเสียใหญ่หลวงของบริษัท “ผมต้องขอโทษที่ต้องพูดแบบนี้ แต่คุณโทมัสเป็นคนพูดออกมาเอง ว่าเขาไม่พอใจที่เอิง คนที่คุณอันน์เสนอหน้าที่ให้ จะมาทำให้เรื่องมันวุ่นวายแบบนี้”

“ถ้าคุณโทมัสถอนการลงทุน ยังไงเรื่องนี้ มันก็ต้องมีคนรับผิดชอบ” พฤกษ์พูด แม้ว่าเขาจะไม่อยากพูดมันออกไปก็ตาม เขามองไปที่อันน์ ซึ่งพอจะเข้าใจ ว่าพฤกษ์หมายความว่ายังไง “เดี๋ยวนะ” ฐานทัพที่ได้ยินพฤกษ์พูดแบบนั้น กล่าวท้วงขึ้นมา “นี่พี่พฤกษ์หมายถึง พี่กำลังโทษคุณอันน์หรือครับ ทั้งหมดนี้ พี่ว่าเป็นความผิดของคุณอันน์ งั้นหรือครับ มันไม่แฟร์เลยนะครับ” ฐานทัพไม่พอใจกับคำพูดของพฤกษ์เป็นอย่างมาก

“แต่นี่เรากำลังพูดถึงจำนวนเงินเป็นร้อยล้านเลยนะ ไอ้ทัพ” พฤกษ์เตือนให้น้องชายอย่างฐานทัพได้ฟัง “แล้วยังไง ในเมื่อผมเป็นคนหาคอนแท็คนี้มา แล้วดีลมันก็ยังไม่ได้ล่ม ผมคิดว่า ผมยังสามารถโน้มน้าวคุณโทมัสให้เปลี่ยนใจได้อยู่” ฐานทัพจ้องหน้าพี่ชายของเขาเขม็ง “คุณทัพรู้จักกับคุณโทมัสอยู่แล้วหรือคะ” ลลินตกใจแกมประทับใจในตัวของฐานทัพอยู่ไม่น้อย อันน์มองไปที่ฐานทัพ ชายหนุ่มไม่เคยบอกเธอในเรื่องนี้

“คือผม” ฐานทัพมองเห็นอะไรบางอย่างในแววตาของอันน์ที่มองเขา “อ๋อ” พฤกษ์ลากเสียงยาว หัวเราะออกมาแบบหยัน ๆ อยู่ในที “นี่แกกะจะใช้วิธีนี้ ทำให้ใครบางคนประทับใจ ว่างั้นเถอะ” พฤกษ์พูดพลางมองไปที่ฐานทัพและอันน์สลับกัน “แกเอาลูกค้าดีลใหญ่มาประเคนให้ถึงโต๊ะ ให้หาคนมาดูแล แล้วก็ได้ความดีความชอบไปแบบง่าย ๆ ไม่สนเลยว่าใครจะมองว่า คุณอันน์ได้ผลประโยชน์ไปเต็ม ๆ โดยไม่ต้องใช้ความสามารถอะไรมาก” พฤกษ์ได้จังหวะสวนกลับน้องชายอย่างฐานทัพกลับไป

“มันไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ใช่นะครับคุณอันน์ ทั้งหมดมันเป็นเรื่องบังเอิญ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคุณแดนกับคุณเอิงเขารู้จักกัน ไม่ใช่ คือสองคนนั้นไม่ได้รู้จักกัน แต่เขาคุ้นเคยกัน คือ มันไม่ใช่แบบนั้นนะครับคุณอันน์” ฐานทัพพยายามอธิบาย แต่สีหน้าของอันน์ บ่งบอกเลยว่า เธอรู้สึกเสียหน้ามาก ที่โดนกล่าวหา “เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว คนเราก็ทำได้ทุกอย่างเลยนะคะ จริงมั้ยคะ คุณอันน์” ลลินพูดพลางยิ้มให้ ด้วยความสะใจ อันน์รู้สึกเหมือนโดนตบหน้าฉาดใหญ่ ว่าแท้ที่จริงแล้ว โปรเจ็กต์นี้ ไม่ได้สำเร็จด้วยความสามารถของเธอ

คุณโทมัสถอดแว่นสายตา โยนมันลงไปบนกองเอกสารบนโต๊ะทำงาน ก่อนจะใช้นิ้วนวดที่หว่างคิ้ว เพื่อคลายความเหนื่อยล้า คุณปริมผู้เป็นภรรยา เดินเข้ามาพร้อมกับแก้วมัคในมือ คุณโทมัสกล่าวขอบคุณ เมื่อคุณปริมวางแก้วเครื่องดื่มร้อนลงบนโต๊ะ คุณโทมัสดึงมือของภรรยาขึ้นมาจูบ คุณปริมกอดคุณโทมัสแน่น ๆ ทีหนึ่ง เพื่อให้กำลังใจ ทั้งคู่ได้ยินเสียงประตูบ้านถูกเปิดและปิดลง ได้ยินเสียงเรียกหาจากใครบางคน

“มัม” แดนเปิดประตูบ้าน เดินเข้ามา หย่อนเป้สะพายหลังลงบนโซฟารับแขก ก่อนเรียกหาแม่ของเขา มีเสียงตอบรับมาจากห้องทำงาน ว่าคุณปริมและคุณโทมัสอยู่ในนั้น “ลูกมาแล้ว คุยกันดี ๆ นะคะ” คุณปริมพูดขึ้น เมื่อแดนเดินเข้ามาในห้อง “และฉันหมายถึงทั้งคู่นะ ทั้งพ่อและลูก” คุณปริมหอมแก้มลูกชาย พูดแสดงการคาดโทษกับสองหนุ่มพ่อลูก ก่อนเธอจะเดินออกจากห้องทำงานนั้นไป ทิ้งให้คุณโทมัสและแดน คุยกันตามลำพัง

“กลับบ้านได้เสียทีนะ” คุณโทมัสเปิดประโยคพูดกับลูกชายคนเดียวของเขา ก่อนจะสวมแว่นกลับไป “นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำไมผมถึงไม่ค่อยอยากกลับมาบ้าน” แดนพูดน้ำเสียงเรียบ แต่แดกดันอยู่ในที “แดเนียล” คุณโทมัสมองลอดแว่นมาที่แดน รู้สึกอ่อนอกอ่อนใจกับลูกชายคนนี้อยู่ไม่น้อย “แม่เพิ่งบอกให้พูดกันดี ๆ ถ้างั้นผมจะเชื่อแม่” แดนพูดกับพ่อของเขา

“พ่ออยากให้ผมช่วยงานของพ่อ” แดนมองหน้าผู้เป็นพ่อ ด้วยสีหน้าจริงจัง คุณโทมัสพยักหน้าน้อย ๆ แบบรอฟังว่าแดนจะพูดอะไรต่อ “ถ้างั้น นี่ครับ” แดนวางนามบัตรที่ทำจากวัสดุอย่างดี สีดำ ลงบนกองเอกสารของคุณโทมัส ผู้เป็นเจ้าของห้องทำงานมองไปที่นามบัตรนั้น ก่อนเงยกลับขึ้นมาที่ลูกชายของเขา “ถ้าพ่อจัดการดีลกับคนคนนี้ได้ ผมจะมาช่วยงานพ่อ และจะไปช่วยพ่อดูแลการลงทุนที่เมืองไทยด้วยอีกแรง” แดนยื่นข้อเสนอให้กับบิดาของตัวเอง

“เมืองไทย” คุณโทมัสหยิบนามบัตรขึ้นมาดู “ใช่ครับ เขาเป็นคนไทย แต่กำลังรุ่งอยู่ที่นิวยอร์ก” แดนให้ข้อมูลเจ้าของนามบัตรกับคุณโทมัส “คนนี้ของจริง ผมว่า พ่อจะไม่ผิดหวัง” แดนให้ความเชื่อมั่นกับผู้เป็นพ่อ “นี่คือที่ฉันรู้มาจากแม่ของแก ว่าแกไปขลุกตัวอยู่ที่นิวยอร์กเป็นนานสองนาน คือเรื่องนี้เองหรือ” คุณโทมัสพูด พลางเคาะนามบัตรลงบนโต๊ะทำงาน แดนยักไหล่ ไม่ได้ตอบอะไร แต่ความสนใจของคุณโทมัสก็ปกปิดเอาไว้ไม่มิด

ฐานทัพรอพบกับผู้ที่จะมาลงทุนในบริษัทของเขา เพียงไม่นานนัก คุณโทมัสก็มาถึง ทั้งสองพูดคุยกันในรายละเอียดของการลงทุน โดยคุณโทมัสได้ทราบว่า ฐานทัพมาเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา ก่อนจะดังเป็นพลุแตกในวงการนักลงทุน รวมทั้งการที่เขาทำเงินมหาศาลจากตลาดหุ้นและตลาดทุน นักลงทุนมากมาย ขอบทวิเคราะห์การลงทุนจากเขา แต่ฐานทัพไม่ได้ตั้งใจจะอยู่ที่นิวยอร์ก เขากำลังจะกลับเมืองไทย และกำลังมองหาผู้ร่วมลงทุน ไปขยายกิจการเดิมของที่บ้าน ให้ดีขึ้น

“เจอกันที่เมืองไทยนะครับ” ฐานทัพยินดีที่คุณโทมัสสนใจที่จะร่วมลงทุนด้วยกันกับเขา “แล้วพบกันครับ” คุณโทมัสกล่าวตอบรับคำเชิญของฐานทัพ ให้ไปดูการดำเนินงานของบริษัท ช่องทางการลงทุน รวมถึงพื้นฐานเดิมของบริษัท บวกกับฐานะทางการเงินของฐานทัพ ทำให้คุณโทมัสสนใจและมั่นใจว่า ธุรกิจจะดำเนินไปได้ดี รวมทั้งคุณโทมัสเอง จะได้แดน ลูกชายของเขา มาช่วยสานต่อธุรกิจด้วย อีกอย่างเมืองไทยก็เป็นบ้านเกิดเมืองนอนของคุณปริม ภรรยาของเขา การหาลู่ทางมาลงทุนที่นี่ ก็ถือว่าลงตัว

ฐานทัพกดโทรศัพท์หาอันน์จนเขาลืมไปแล้วว่ากี่สาย ตั้งแต่วันนั้น อันน์ก็ไม่รับสายเขาอีก แถมยังประกาศลาออก เพื่อเป็นการรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นอีกด้วย ฐานทัพจะทัดทานคัดค้านอย่างไร ก็ไม่เป็นผล แถมอันน์ยังพูดใส่หน้าเขาอีก ว่าไม่ต้องมายุ่ง ไม่ให้เขาเข้ามาข้องแวะ ยุ่งเกี่ยวอะไรกับเธออีก ฐานทัพกดโทรหาอันน์อีกครั้ง แต่ก็ต้องอ่อนใจ กับความใจแข็ง เงียบหายไปเสียเฉย ๆ ของอีกฝ่าย

“คุณอันน์ ผมไม่มีเจตนาจะทำแบบนั้นจริง ๆ นะครับ คุณอันน์ต้องเชื่อผมนะ” ฐานทัพส่งข้อความเสียงไปอีกครั้ง มันเป็นอีกหนึ่งข้อความ ที่เขาส่งซ้ำไปอีก เพื่อเพิ่มปริมาณข้อความในลิสต์ที่ไม่ได้อ่านให้ยาวขึ้น ชายหนุ่มถอนหายใจออกมายาวพรืด เมื่อยังไม่มีการตอบกลับจากอีกฝ่าย แม้ว่าจากข้อความล่าสุดที่ส่งไปนั้น มาจนถึงตอนนี้ ก็นับเป็นชั่วโมงแล้ว

“เลิกโทรมาได้แล้ว” อันน์หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู แต่หน้าจอแสดงเป็นชื่อคนอื่น ไม่ใช่ฐานทัพ ความรู้สึกประหลาด ๆ เกิดขึ้นในใจ เมื่อเธอเห็นว่า ฐานทัพหายไปนานเป็นชั่วโมงแล้ว “อืม ว่าไง” อันน์กรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ “อยู่ อยู่ห้องนี่แหละ” ก่อนจะตอบคำถามที่ปลายสายถามมา “อ้าว” อันน์แปลกใจกับอีกฝ่าย “ขึ้นมาสิ” เธอพูดตอบตกลงกับคนที่ปลายสาย รอเพียงครู่เดียว เสียงกดรหัสที่ประตูห้องสวีทของเธอก็ดังขึ้น

“โห ทำไมอยู่ห้องมืด ๆ แบบนี้ล่ะ” ไม่พูดเปล่า คนที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามา กดที่รีโมทให้ผ้าม่านเปิดออก “อย่าเปิด” อันน์ร้องบอก แต่เด็กหนุ่มไม่ฟังคำทัดทานนั้น “แล้วอะไรเนี่ย สภาพดูไม่ได้เลย ได้อาบน้ำมั่งมั้ยเนี่ย” อันน์ใช้มือบังที่ร่องอกของเธอ ก่อนที่จะลุกเดินไปที่ห้องนอน สวมเสื้อคลุมทัพชุดนอนบางเบานั้น “เอ็ม ถ้าแกจะมาบ่นฉันแบบนี้ ฉันไม่น่าบอกแกว่าอยู่ห้องเลย” ก่อนอันน์จะออกมาบ่นน้องชายของเธอ ที่บ่นเธออีกที

“ก็พี่อันน์ทำตัวอะไรของพี่เนี่ย คุณรองประธาน” เอ็มถามพี่สุดที่รักของตัวเอง อันน์ทำหน้าล้อเลียนสิ่งที่เอ็มพูด ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำ เอ็มยิ้มพลางส่ายหน้า ก่อนจะตะโกนถามออกไป “กินก๋วยเตี๋ยวเรือมั้ย ซื้อมา แต่ไม่รู้ว่าอร่อยหรือเปล่านะ” ถามเสร็จก็ลุกขึ้นไปหยิบชามออกมาจากตู้ “กิน” อันน์ที่เพิ่งแปรงฟังเสร็จ เดินออกมาบอกกับน้องชายตัวดีของเธอ

“นี่แกเลี้ยงฉันหรือเนี่ย” อันน์ถาม ควันหอม ๆ จากน้ำซุปลอยขึ้นเตะจมูก “เอ็มเรียนจบ ทำงานแล้วนะพี่อันน์” คำพูดของเอ็มเตือนอันน์อีกครั้งว่า น้องชายของเธอ โตขึ้นมากแล้วจริง ๆ “เอ้า” น้องชายคนเดียวของเธอ ยื่นชามก๋วยเตี๋ยวให้กับผู้เป็นพี่ “โน่น ซองเครื่องปรุง” อันน์ควานหาในถุงใบใหญ่ จัดแจงปรุงเสร็จ ก็คีบก๋วยเตี๋ยวเข้าปาก “ดีอ้ะ” อันน์เอ่ยปากชม

“ร้านไหน จดชื่อร้านไว้ให้ด้วยนะ” อันน์คีบลูกชิ้นเอ็นเนื้อเข้าปาก “หิว หิว” เอ็มแซวพี่ของตัวเอง อันน์ที่คีบเส้นก๋วยเตี๋ยวเข้าปาก ย่นจมูกใส่ “ไม่ได้ไปทำงานมากี่วันแล้วเนี่ย” เอ็มที่จัดการก๋วยเตี๋ยวในชามของตัวเองเช่นกัน ถามขึ้น “ข่าวไวเหลือเกินนะ” อันน์คิดว่า เป็นปราชญ์แน่ ๆ ที่บอกกับเอ็ม “พี่อันน์ช่วยเตือนเอ็มด้วยนะ ว่าตอนเอ็มอายุเท่าพี่ ช่วยห้ามที อย่าให้เอ็มทำตัวเป็นเด็ก” อันน์มองน้องชาย เอ็มยักไหล่ ไม่คิดว่าเขาพูดอะไรผิด

“แกเป็นน้องฉันนะ” อันน์พูด ก่อนลุกเดินไปที่ตู้เย็นไซด์บายไซด์ ก่อนจะเดินกลับมาพร้อมแก้วน้ำสองใบ เธอวางใบหนึ่งไว้ข้างหน้าเอ็ม พอน้องชายจะหยิบ เธอก็เลื่อนแก้วมันออกไปอีก ก่อนจะกลับมานั่งยิ้ม แล้วกินก๋วยเตี๋ยวต่อ “ห้าขวบ” เอ็มค่อนเข้าให้ แต่ก็เป็นพี่คนนี้ ที่คลานตามกันมาของเอ็มนี่แหละ ที่เป็นคนส่งเขาเรียนจนจบ และเป็นพี่ที่แสนดีของเขามาโดนตลอด

“แล้วผู้ชายคนนั้น ยังไง” เอ็มถามพี่ของเขา เมื่อจัดการก๋วยเตี๋ยวในชามจนหมด “ผู้ชายไหน” อันน์ลุกขึ้นยืน เอาชามของเอ็มมาซ้อนกับของเธอ “เจ้าของบริษัทใหม่ ที่เข้ามาเทคโอเวอร์น่ะ” เอ็มพูด ก่อนยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม “อีปราชญ์เนี่ยนะ ให้รู้อะไรไม่ได้เลยจริง ๆ เชียว” อันน์โวยวายถึงเพื่อนรุ่นน้อง ก่อนเทสิ่งที่อยู่ในชามลงในเครื่องกำจัดเศษอาหาร ก่อนจะเอาชามใส่เครื่องล้าง

“เป็นแฟนกันแล้ว” เอ็มถามแบบหยั่งเชิง “เปล่าสักหน่อย” อันน์ปฏิเสธ เดินไปที่โซฟาตัวยาว มองออกไปที่นอกหน้าต่าง ห้องพักเพนท์เฮ้าส์ของฐานทัพ ดูเงียบเชียบไม่มีคนอยู่ “เท่าที่ผมฟัง ๆ ดู ผมว่าเขาชอบพี่นะ” เอ็มพูดในฐานะที่เป็นผู้ชายคนหนึ่ง ที่ว่า เวลาเขาจะจีบใครสักคน อยากได้ใครมาเป็นแฟน เขาก็ทำไม่ต่างจากนี้สักเท่าไหร่นักหรอก

“แถมเขาน่าจะชอบพี่มาตั้งนานแล้วนะ” ตามที่ปราชญ์เล่ามา เอ็มจึงได้รู้ว่า ฐานทัพอายุน้อยกว่าอันน์ น่าจะรุ่นเดียวกับเขา นี่อาจจะเป็นข้อเสียเปรียบของฐานทัพ ที่อันน์ พี่ของเขา มักจะมองหาคนที่เป็นผู้ใหญ่กว่า จากการที่เธอไม่ได้รับความอบอุ่นจากผู้เป็นพ่อตั้งแต่ในวัยเด็ก อันน์เงียบ ไม่ได้พูดอะไรในกรณีนี้ เอ็มเชื่อ ว่าอันน์ก็รู้เรื่องนี้ดี “ตอนที่เอ็มเป็นเด็ก พี่อันน์เกลียดอะไรที่เอ็มทำมากที่สุด” เอ็มถามพี่ของเขา อันน์รู้สึกว่า เอ็มเวอร์ชันผู้ใหญ่นี่ ทำให้รู้สึกว่า เธอทำตัวแย่หลายครั้งแล้ว

“พูดแล้วไม่ฟังใช่มั้ย” เอ็มถามพี่ของเขา อันน์พยักหน้าแทนคำตอบ “พี่ก็ลองฟังเขาดูก่อน ว่าเขามีอะไรจะพูด เห็นด้วยไม่เห็นด้วย จะทำตามไม่ทำตาม ก็ค่อยว่ากัน” เอ็มพูดพลางหยิบเอากระเป๋าเป้ขึ้นสะพายหลัง “เอ็มมีเพื่อนผู้ชายอยู่คนหนึ่ง มันเพิ่งเปิดร้านอาหารกับแแฟนมัน ผู้ชายเหมือนกัน มันกังวลมากเลยนะ ตอนไปขอจากยายของแฟน สัญญาว่าจะดูแลหลานเขาให้ดีที่สุด”

“ในใจมันก็กลัวแหละ กลัวว่าจะทำได้ไม่ดีอย่างปากว่า อย่างที่รับปากกับยายเขาอะไว้” เอ็มพูดมองหน้าพี่ของเขาตรง ๆ “แต่มันบอกว่า การได้โอกาสจากแฟนของมัน มีคุณค่ามากที่สุด เพราะนั่นคือโอกาสที่มันจะพิสูจน์ให้แฟนมันเห็นว่า ตัวของมัน สมควรได้รับความไว้วางใจจากแฟนของมัน จากยายจริง ๆ แต่ถ้าไม่มีโอกาสนี้จากแฟน มันก็คงไม่ได้ทำสิ่งดี ๆ ให้แฟนมันเห็นเลย ทั้งชีวิต” เอ็มเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้อง

“พี่อันน์ มันจะมีผู้ชายสักกี่คน ที่จะกล้าบอกกับทุกคนว่า เขาชอบสาวสอง อยากเป็นแฟนกับผู้หญิงข้ามเพศ โดยที่ไม่สน ว่าใครจะคิดยังไง แถมยังหล่อ รวย แต่จะใหญ่ด้วยมั้ย อันนั้นเอ็มไม่รู้ พี่อันน์ต้องเปิดเช็กของเอาเอง” อันน์ที่เดินมาส่งน้องชายที่หน้าประตู ตีแขนเอ็มเข้าให้ ก่อนที่สองพี่น้องจะหลุดหัวเราะออกมาทั้งคู่ “ไปก่อนนะ ไว้วันหลังจะมาฟังความคืบหน้า” เอ็มบอกกับอันน์ ก่อนจะออกจากเพนท์เฮ้าส์ไป

อันน์คิดกลับไปกลับมาในหัว กับสิ่งที่เอ็มพูดกับเธอ มีเสียงข้อความเข้า ดังขึ้นมาในโทรศัพท์มือถือของอันน์ เธอเดินไปเปิดดู มันมีข้อความที่เธออ่านแล้วก็ต้องตกใจ เป็นข้อความในห้องแชทของพนักงานที่บริษัท ว่าฐานทัพยอมจ่ายเงินค่าเสียหายให้กับคุณโทมัส จำนวนหลักร้อยล้าน แถมอาจจะต้องยอมขายเพนท์เฮ้าส์ เพื่อเอาเงินมาพยุงสภาพคล่องให้กับทางบริษัทอีกด้วย เพื่อไม่ให้อันน์ต้องเดือดร้อน รับผิดชอบในเรื่องนี้ โดยที่พฤกษ์อาจจะทำการฟ้องร้องฐานทัพ เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายเพิ่มเติมอีกต่างหาก

“คุณทำบ้าอะไรเนี่ย” อันน์ไม่อยากจะเชื่อ ว่าฐานทัพจะยอมทำอะไรแบบนี้ จะมายอมเดือดร้อนเพราะเธอทำไมกัน เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น อันน์เดินไปที่หน้าห้อง คิดว่าเอ็มคงลืมของไว้ แต่ก็ต้องชะงักมือเอาไว้ ไม่ให้ปลดล็อกประตู เพราะเอ็มรู้รหัสประตูห้องของเธอ “ผมเองครับ คุณอันน์” เสียงของฐานทัพ ดังผ่านประตูเข้ามา อันน์นึกสงสัยว่าชายหนุ่มขึ้นมาข้างบนนี้ได้ยังไง ก่อนจะมีข้อความจากเอ็มส่งมาว่า 'อย่าทะเลาะกันล่ะ' อันคิดว่าจะจัดการเอ็ม เมื่อเจอหน้ากันครั้งต่อไป

“ผมอยากคุยกับคุณอันน์” ฐานทัพพูดขึ้น อันน์หยุดนิ่งและฟัง “ผมไม่ได้มีเจตนาที่จะทำร้ายคุณอันน์เลย ผมพบคุณโทมัสที่นิวยอร์ก ก่อนผมจะกลับมาเมืองไทย ในความคิดของผมคือ ชวนเขามาลงทุนกับบริษัทจริง ๆ ส่วนเรื่องของแดนกับเอิง ผมไม่รู้จริง ๆ ไม่คิดว่า มันจะทำให้ดูว่า ผมหาประโยชน์มาให้คุณอันน์ หรือทำให้คุณอันน์ประทับใจในตัวผม ถ้าเป็นเรื่องนั้น ผมอยากให้คุณอันน์มองเห็นตัวตนจริง ๆ ของผม ชอบในสิ่งที่ผมเป็น หรือรักในหัวใจของผม มากกว่าไอ้การเป็นผู้บริหารบริษัทอะไรนี่” อันน์หยุดฟังที่ฐานทัพร่ายยาวมานี้

“คุณอันน์ได้ยินผมใช่มั้ยครับ” ฐานทัพที่รู้ว่าอันน์อยู่ในห้อง แต่ไม่รู้เลย ว่าอันน์จะได้ยิน หรือได้ฟังสิ่งที่เขาพูดบ้างไหม เขาจะมีโอกาสที่ทำให้อันน์ได้เห็นในสิ่งที่เขาทำ ได้รับในสิ่งที่เขารู้สึกจากใจบ้างมั้ย ที่ด้านหลังประตูนั้น มีแต่ความเงียบเชียบ ไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมา และนั่นทำให้ใจของฐานทัพเงียบงันไม่ต่างกัน ชายหนุ่มเพียงแค่ต้องการให้อันน์รับฟังเขาเท่านั้น

เมื่อดาวเจ้าเรือนกฎุมพะ หรือเรือนการเงิน มาตกอยู่ในเรือนมรณะ มันมีเกณฑ์ที่เจ้าชะตา จะต้องสูญเสียเงินจำนวนมาก แถมยังอาจจะมีเรื่องที่พี่น้อง โกงกันในเรื่องทรัพย์สินหรือมรดกอีกด้วย จึงพึงระวังคดีความทางแพ่งเอาไว้ให้ดี เจ้าชะตามักมีคนมาช่วยใช้เงิน ระวังจะถูกโกงหนี้สูญ รายจ่ายก้อนใหญ่กว่ารายรับที่เข้ามา การเงินเกิดเรื่องวิบัติเสียหาย เงินที่เคยมีอาจจะร่อยหรอหรือถูกขโมยไป

ฐานทัพกำลังจะหันหลังกลับ เสียงปลดล็อกประตูดิจิตอลด้านหลังของเขา ดังขึ้น ฐานทัพหันไปมอง ก่อนจะเดินเข้าไปที่ประตู เอื้อมมือจับลูกบิด ขยับเปิดมัน ประตูห้องเพนท์เฮ้าส์เปิดออก ฐานทัพก้าวเท้าเข้าไปในนั้น อันน์ที่ยืนอยู่หลังประตู ก้าวเท้าถอยหลังมาหนึ่งก้าว ฐานทัพหยุดยืนอยู่ตรงหน้าอันน์ ประตูห้องงับปิดลง เสียงล็อกอัตโนมัติดังขึ้นท่ามกลางความเงียบนั้น ที่ฐานทัพยืนสบตากับอันน์อยู่ตรงนั้น

*********************************

คำแปลเนื้อร้องภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

English Lyrics Translation by KADUMPA

https://www.youtube.com/watch?v=UBaUxoizsuY

โปรดทบทวน โปรดเห็นใจ

Weigh your decision, please be kind

หากเยื่อใยเธอนั้นยังมีให้กัน

If our bond is still there somewhere

อย่าลิดรอนความสัมพันธ์

Depriving us of our tie

หลบหน้ากันอย่างนี้มันได้อะไร

Every dodge, what good does that do?


อย่าบอกฉันว่าให้ไป

Don’t you say you want me to leave

อย่าผลักไสได้หรือเปล่า

Don’t you just shut me out

ความรักระหว่างเรา

The story of love between us

นั้นยังไม่ถึงคราวต้องเดินจากกัน

It’s not the time to come to an end


ให้ตัวฉันได้พิสูจน์

Let me prove I’m not wrong

ให้เข้าใจว่าฉันนั้นรักเธอเท่าไหร่

You’ll see how much love I’ve given you

อย่าใจร้ายเกินไปนะเธอ

Please stop this brutal punishment


ไม่เข้าใจ เหตุผลใด

Can’t cope with it, incomprehensible

ทำให้เธอต้องเฉยและชาอย่างนี้

That makes you give me the cold shoulder

อย่าเงียบไป บอกฉันที

Come out from a hideout, and say something

หากไม่ดีก็พร้อมจะแก้ตัว

I’m bad, so you help me make myself a better man


อย่าบอกฉันว่าให้ไป

Don’t you say you want me to leave

อย่าผลักไสได้หรือเปล่า

Don’t you just shut me out

ความรักระหว่างเรา

The story of love between us

นั้นยังไม่ถึงคราวต้องเดินจากกัน

It’s not the time to come to an end


ให้ตัวฉันได้พิสูจน์

Let me prove I’m not wrong

ให้เข้าใจว่าฉันนั้นรักเธอเท่าไหร่

You’ll see how much love I’ve given you

อย่าใจร้ายเกินไปนะเธอ

Please stop this brutal punishment


อย่าบอกฉันว่าให้ไป

Don’t you let go of me

อย่าผลักไสได้หรือเปล่า

Don’t you push me away

ความรักระหว่างเรานั้น

This story of your heart and mine

ยังไม่ถึงคราวต้องเดินจากกัน

Must not divide them into two


ให้ตัวฉันได้พิสูจน์

I did wrong, I stand corrected

ให้เข้าใจว่าฉันนั้นรักเธอเท่าไหร่

But give me a chance to love you right

อย่าใจร้ายเกินไปนะเธอ

Leave mean and petty satire behind


ยังไม่พร้อมทำใจ

Never ready to get over you

อย่าใจร้ายเกินไปนะเธอ

Turn it from vicious to vanilla, won’t you

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 777
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 202
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
๒๙.



ศุภะ – ตนุ (คนที่รักมีความสุขคนที่สุขมีความรัก)



“พี่เอิง อย่าลืมเตยนะ” เด็กสาวพูดกับอีกฝ่าย เมื่อถึงเวลาต้องบอกลากัน “ไว้คราวหน้า พี่มาเที่ยวใหม่” เอิงยิ้มให้กับเพื่อนรุ่นน้องที่โชคชะตา ได้พาให้มารู้จักกันคนนี้ “แวะมาได้ตลอดเลยนะพี่ หนูพร้อมพาเที่ยวเสมอ” เตยพูด ก่อนจะได้ยินเสียงกระแอมจากผู้เป็นแม่ ดังให้ได้ยิน เด็กสาวทำสีหน้าทะเล้น เพราะเพิ่งจะโดนผู้เป็นแม่สวดหนัก เนื่องจากไปไหนมาไหนไม่ยอมบอก แถมแม่ของเตยยังกลัวว่า ลูกสาวจะมาทำให้เอิงและแดนต้องลำบาก

“แม่หยิกเนื้อหนูแทบหลุด” เตยทำย่นคอ สีหน้าสยดสยอง พูดพลางเดินออกมาจากร้านพร้อมเอิง “แต่หนูก็ดีใจนะ ที่ได้ขึ้นไปที่นั่นกับพี่ทั้งสองคน ถ้าพลาดทริปนี้ หนูเสียใจแย่” เตยพูดออกมาจากความรู้สึกจริง ๆ ภายในใจ “พี่ขอบคุณเรามากนะ” เอิงบอกกับเตย “ฝากบอกบูมด้วย แล้วพี่จะมาเยี่ยมอีก” เอิงฝากคำขอบคุณไปถึงเด็กหนุ่ม ที่ทำหน้าที่เป็นไกด์ได้อย่างดีเยี่ยม เตยพยักหน้ายิ้มให้ ก่อนจะยื่นกระเป๋าผ้า ที่ถือไว้ในมือ ให้กับเอิง

“ตอนแรก หนูกะว่า หนูจะเอามันไปลงในอินเทอร์เน็ต” เตยพูด เมื่อเอิงรับมันไปเปิดดู เอิงเงยหน้าขึ้นมองเตย เด็กหญิงยิ้มให้ ก่อนจะพูดขึ้นอีกว่า “แต่ มันคงจะแย่มากทีเดียว ถ้ามีคนเอาเรื่องราวของเขาสองคนไปบิดเบือน แต่งเติม หรือว่าร้าย แบบที่เกิดขึ้นกับคุณทวดเล็ก” เตยคิดว่า มันไม่ยุติธรรมเลย กับสิ่งที่พวกเขาทั้งสามคน ซาย แมท และภาคย์ ต้องเจอ ในช่วงเวลาที่พวกเขาอยู่ กับการกระทำที่พวกเขาตัดสินใจลงไป แล้วจะมีใครก็ตาม ที่ไม่ได้ผ่านเรื่องราวนั้น ๆ มาตัดสินพวกเขา

“ขอบคุณนะ” เอิงบอกกับเตย ยิ้มให้ ก่อนที่ทั้งสองจะสวมกอดกัน “ไม่เอาสิ พี่เอิงจะทำให้หนูร้องไห้แบบนี้ ไม่ได้นะ ไปได้แล้ว” เตยรีบเช็ดน้ำตาที่เอ่อขึ้นขอบตา ก่อนจะรีบบอกให้เอิงขึ้นไปบนรถสองแถว ที่มาจอดรออยู่ โดยมีแดน นั่งรออยู่แล้วบนรถ “พี่แดน ดูแลพี่เอิงให้ดีนะคะ แล้วมาเที่ยวบ้านหนูอีกนะ” เตยตะโกนบอกหนุ่มลูกครึ่ง แดนพยักหน้ารับ เมื่อรถสองแถวค่อย ๆ เคลื่อนออกตัวไป เอิงโบกมือให้กับเด็กสาวที่กระโดดหย็องแหย็ง ตะโกนร่ำลา โบกไม้โบกมือให้พวกเขา

รถวิ่งออกมาไกลแล้ว แดนกับเอิงนั่งอยู่บนเบาะรถสองแถว ฝั่งตรงข้ามกัน ทั้งคู่สบตากัน ด้วยความรู้สึกที่แตกต่างจากหลายวันที่ผ่านมา ที่เดินทางมาถึงที่นี่ ทุกอย่างและดูผ่อนคลายลง ก้อนมวลความรู้สึกที่เคยหนักอึ้ง เหมือนเป็นม่านหมอกในความรู้สึก มีแสงสว่างส่องเข้ามา ทำให้มองเห็นได้ชัดขึ้น เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายรู้สึกได้ดีขึ้น ไม่ได้อึมครึม ทุกอย่างดูอึดอัดไปเสียหมดเหมือนก่อนหน้านี้

แดนนั่งมองเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกับเขา ที่นั่งอยู่ตรงข้ามอีกฝั่งของโต๊ะ เธอเป็นคนหน้าตาสวย รูปร่างดี คุณสมบัติเพียบพร้อม ที่เด็กหนุ่มในโรงเรียน ต่างก็อยากที่จะมาออกเดตด้วย เธอกำลังเล่าเรื่องเกี่ยวกับตัวของเธอให้แดนฟัง เขาฟังมันไม่ได้ศัพท์สักเท่าไหร่ เพราะเหมือนกับว่า เขาไม่ได้สนใจในสิ่งที่เธอพูดแต่อย่างใด แดนบอกกับตัวเองได้เลยว่า เขาเห็นริมฝีปากของเธอขยับ แต่เขาไม่รู้เลยว่าเธอพูดว่าอะไร

“นี่ฉันพูดมากไปหรือเปล่านี่ ฉันคงพูดเรื่องของตัวเองมากจนเกินไป ทำไมเธอไม่ลองเล่าเรื่องของเธอให้ฉันฟังบ้างล่ะ แดน” เด็กหนุ่มเหมือนหลุดออกจากความคิดของตัวเอง เมื่อเด็กสาวเอามือมาวางทาบบนมือของเขา “เอิ่ม” แดนคิด ว่าเขาควรจะพูดอะไรออกไปดี “คือ เธอเชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิดมั้ย” แดนถามออกไป เด็กสาวดูอึ้งไปกับคำถามที่ได้ยิน ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง

“มันเป็นอะไรที่ฉันคิดว่าโง่เง่าที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมาเลย เธอไม่คิดว่ามันบ้าสิ้นดีหรือไง ไอเดียของการกลับมาเกิดใหม่เป็นใครอีกคนก็ไม่รู้ นี่อย่าบอกนะ ว่าเธอเชื่อเรื่องแบบนี้ด้วย ฮอลลีวูดต้องการตัวเธอแล้วล่ะ” เด็กสาวหัวเราะจนแทบน้ำตาไหล แดนผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะยิ้มให้กับตัวเอง “ฉันว่า มันไม่เวิร์คหรอก เธอกับฉัน เอาเป็นว่า มันเป็นความผิดของฉันเองก็แล้วกัน ยังไง ฉันขอเสียมารยาท ไม่ไปส่งเธอที่บ้านนะ มันยังไม่เย็นด้วยซ้ำ” แดนลุกขึ้นจากโต๊ะ วางเงินค่าอาหาร แล้วถามตัวเองด้วยความประหลาดใจ ว่าสิ่งที่พ่อของเขาขอร้องให้แดนทำ ยังไงมันก็ไม่ได้ผล

เอิงมาถึงโรงเรียนเช้านี้ เด็กนักเรียนหลายคนดูตื่นเต้นกับเทศกาลแห่งความรักนี้ ต่างตระเตรียมของขวัญ ดอกไม้ ช็อกโกแลต มาให้กับคนที่ตัวเองรัก แอบมีใจ หรือหมายปองเอาไว้ สำหรับเอิง มันไม่ได้แตกต่างอะไรจากวันอื่น ๆ เอิงไม่รู้สึกว่าเขาต้องหาสิ่งของเหล่านี้ให้ใคร เพราะตั้งแต่ตอนที่เอิงเป็นเด็กแล้ว หากว่าสิ่งนั้นไม่ใช่สิ่งที่เอิงรอคอย เอิงก็จะปฏิเสธออกไปตรง ๆ

“เอิง ใครไม่รู้ เอาดอกไม้กับช็อกโกแลตมาใส่ลิ้นชักใต้โต๊ะแกด้วยล่ะ” เสียงเพื่อนร่วมห้องตะโกนบอกเอิง ทันทีที่เห็นเขาเดินเข้าห้องเรียนมา เอิงนั่งลงที่โต๊ะเรียน ใต้ลิ้นชัก มีดอกกุหลาบสีแดงสดดอกใหญ่ ผูกริบบิ้นสีชมพูที่ก้าน หนึ่งดอกวางอยู่ กับช็อกโกแลตราคาแพงกล่องใหญ่ บนกล่องมีการ์ดใบเล็ก ๆ เขียนเอาไว้ว่า จะรอคำตอบขอเป็นแฟน ให้เอิงไปเจอที่สนามฟุตบอลตอนเย็นหลังเลิกเรียน

“อีตุ๊ดเอิง” ข้อความนั้นเขียนอยู่บนกระดานดำและที่โต๊ะเรียนของเอิง ในเช้าวันรุ่งขึ้น ที่เอิงมาถึงโรงเรียน เมื่อวานตอนเย็น เอิงกลับบ้านตามปกติ ไม่ได้ไปตามนัดที่เขาอ่านในการ์ดนั้น เพื่อน ๆ ในห้องสืบสาวความเป็นมาเป็นไปจากเอิง ก่อนจะพูดปลอบใจเขา และช่วยกันลบข้อความพวกนั้นออก เอิงเลี่ยงที่จะไม่บอกแม่ ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อแม่โทรหาเขาตอนช่วงเที่ยง เพราะเขาไม่อยากให้แม่ต้องเป็นห่วง ยิ่งต้องอยู่ไกลกันแบบนี้

“ขอบคุณครับคุณลุง” แดนลงจากรถ ก่อนเดินไปทางด้านคนขับ เมื่อรถสองแถวพาแดนและเอิงมาส่งที่สถานีขนส่งประจำจังหวัด คุณลุงคนขับเปิดประตูลงมา “ขอบคุณมากนะครับคุณลุง ที่ช่วยดูแลเราสองคน” เอิงยกมือไหว้ผู้อาวุโส แดนทำตาม ก่อนจะยื่นเงินค่ารถให้ มันมากกว่าปกติที่คุณลุงเคยได้รับ ผู้สูงวัยกว่าปฏิเสธ บอกว่าจำนวนเงินมันมากเกินไป แต่แดนยืนยันว่าเขาอยากให้คุณลุงคนขับรถมันไว้

“ขอบใจเอ็งสองคนมาก” คุณลุงมองแดนและเอิงอย่างเอ็นดู อะไรบางอย่างภายในใจ ทำให้คุณลุงคนขับรถสองแถว รู้สึกผิดกับผู้ชายสองคนนี้ ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อน แต่กลับรู้สึกผูกพัน แต่ในความรู้สึกที่นึกรักเหมือนลูกเหมือนหลานนั้น ก็มีความรู้สึกเหมือนติดค้างหนี้กันอยู่ จนคุณลุงเอง ต้องการที่จะดูแลทั้งสองคนให้เป็นอย่างดี หากว่าทำอะไรให้ได้ ก็ยินดีที่จะทำให้ คุณลุงรับเงินจากแดนมาใส่กระเป๋าเสื้อ เดินกลับไปที่รถ ก่อนจะเดินกลับมาหาทั้งสองคนอีกครั้ง

“ข้ารู้สึกแปลก ๆ ยังไงบอกไม่ถูก เมื่อเจอเอ็งสองคน ไม่รู้ว่าข้าเคยไปทำผิดอะไรกับพวกเอ็งเอาไว้ มันหน่วง ๆ มันอึน ๆ แบบดีใจนะที่ได้เจอพวกเอ็ง แต่ก็เหมือนข้าเคยทำร้ายเอ็งสองคนมาก่อน โดยเฉพาะเอ็ง ไอ้หนู” คุณลุงคนขับหันมาพูดกับเอิง “มันบอกไม่ถูกเว้ย กับเอ็ง ไอ้หนู ข้ารู้สึกผิดมาก ๆ ยังไง ถ้าข้าหรือว่าคนนครอบครัวของข้า เคยทำผิดกับเอ็งเอาไว้ ข้าขอโทษด้วยจริง ๆ” คุณลุงคนขับพูดกับเอิง ก่อนจะเอามือมาตบเบา ๆ ลงที่บ่าของเขา

“ไม่เป็นไรครับคุณลุง” เอิงยิ้มอย่างจริงใจให้กับผู้สูงวัยกว่า ภาพในอดีตย้อนกลับมาอีกครั้ง กับชายวัยกลางคนที่ซัดทอดซายให้กับผู้กองภาคย์ในวันนั้น “คุณลุงไม่ได้เป็นคนทำอะไรผิด เราไม่มีอะไรติดค้างกันนะครับ” เอิงบอกกับคุณลุงคนขับรถออกไป “และหากว่าจะมีใครที่เคยทำอะไรไว้กับผม หรือกับผมจากครั้งในอดีต คนก่อนหน้านี้” คุณลุงนิ่งฟังที่เอิงพูด “ผมรู้ ว่าเขาก็ไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองอะไร เขาไม่ได้ยึดอดีตที่มันกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว” คุณลุงคนขับพยักหน้ารับ พูดขอบใจเอิงอีกครั้ง ก่อนจะเดินไปขึ้นรถ “พวกเอ็งว่าง ๆ ก็มาเที่ยวหาข้าอีกนะ วันนี้เอ็งกลับบ้านกันดี ๆ โชคดีเว้ย” คุณลุงคนขับรถสองแถว พูดทิ้งท้าย ก่อนจะขับรถจากไป

แดนกับเอิงเดินไปซื้อตั๋วมินิบัส เพื่อเดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ หลังจากที่เขาทั้งสองคน มาที่นี่เพื่อค้นหาเรื่องราวที่เกิดขึ้น จนในที่สุด นำพาให้เขาทั้งสองคนมาพบกัน ทั้งคู่นั่งรออยู่บนรถมินิบัสปรับอากาศเพียงไม่นาน พนักงานขับรถก็พารถออกจากสถานี เอิงที่นั่งด้านใน เมื่อมองออกไปที่นอกหน้าต่าง สายตาของเขาค่อย ๆ ทิ้งภาพสองข้างทางนั้นเอาไว้เบื้องหลัง โดยที่เอิงรับรู้ถึงไออุ่นจากตัวของแดนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กัน และมือของทั้งคู่ที่เกาะกุมกันและกันอยู่

เด็กหนุ่มลูกครึ่งอเมริกัน แตะเหรียญโดยสารเข้ามาในสถานีรถไฟใต้ดิน เขารีบออกมาจากโรงแรมที่พัก เมื่อแม่ของเขาโทรมาขอให้ไปช่วยถือของใช้ ที่ซื้อจากซูเปอร์ มาร์เก็ต เขาตามแม่มาเที่ยวเมืองไทยด้วย ก่อนที่จะกลับไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัย เอิงวิ่งเข้ามาภายในสถานีรถไฟใต้ดิน ทันก่อนที่ฝนจะเริ่มโปรยปรายลงมา เด็กหนุ่มไทยแตะบัตรโดยสารเข้าไปในสถานี วันนี้ผู้โดยสารค่อนข้างหน้าตา เอิงเดินใช้บันไดเลื่อนลงไปที่ชั้นชานชาลา ก่อนจะเลี้ยวเดินไปยืนรอทางขวา เด็กหนุ่มลูกครึ่งคนนั้น กึ่งเดินกึ่งวิ่งลงบันไดลงมาที่ชานชาลา ก่อนจะเดินเลี้ยวไปยืนรอทางซ้าย

ขบวนรถไฟเข้าเทียบสถานี ก่อนที่ประตูจะเปิดออก เพื่อให้ผู้โดยสารด้านในออกจากขบวน แดนก้าวเท้าเดินเข้าไปด้านในรถ ผู้โดยสารทยอยเดินตามเข้ามา เด็กหนุ่มเดินลึกเข้าไปยืนอยู่ตรงช่วงรอยต่อของขบวน เอิงเดินตามผู้โดยสารที่อยู่ด้านหน้าเขาเข้าไปในบวนรถ ก่อนที่รถไฟจะเคลื่อนขบวนออก มีแรงเหวี่ยงของตัวรถเล็กน้อย ทำให้เอิงเดินไปหยุดพิงอยู่บริเวณรอยต่อของขบวน เขาพิงหลังกับผนังตัวรถเอาไว้

แดนเอาหูฟังขึ้นสวม กดฟังเพลงแบบที่เขาชอบ จากโทรศัพท์มือถือ สถานีที่เขาต้องการ อยู่ไกลจากโรงแรมที่พักไปหลายสถานีสักหน่อย เด็กหนุ่มลูกครึ่ง คอยมองที่หน้าจอดิจิตอลบ่อยครั้ง เพื่อคอยดูชื่อของปลายทางที่แม่ของเขาส่งมาในข้อความ เอิงต้องการนั่งรถไฟใต้ดินไปไม่กี่สถานี จริง ๆ หากเป็นรถไฟลอยฟ้า จะใกล้ที่พักของเขามากกว่า แต่ฝนตกแบบนี้ เอิงเลยเลือกมาที่นี่แทน เพราะไม่อยากจะตัวเปียกปอนไปซะก่อน เดี๋ยวออกจากรถไฟใต้ดิน ถ้าฝนซา ค่อย ๆ เดินกลับไปคอนโด ก็ไม่เท่าไหร่

เสียงประกาศให้เตรียมตัวก่อนถึงสถานีถัดไป แดนเหลือบสายตามองไปที่หน้าจอ ตัววิ่งภาษาอังกฤษบอกว่า ยังไม่ใช่สถานีที่เขาจะลง เสียงวิ่งของรถไฟ บอกว่ากำลังจะลดความเร็วเข้าสู่สถานี เอิงขยับตัว เพื่อจะขอทางลง ผู้โดยสารด้านหน้าดึงของพะรุงพะรังที่ถือมาขวางหน้าเอิง เด็กหนุ่มไทยขยับเท้าก้าวไปข้างหลัง เพื่อให้คนข้างหน้านั้น มีที่ว่างมากพอที่จะดึงข้าวของที่ถืออยู่ตามหลังไป

“ขอโทษครับ” เอิงกล่าวขอโทษคนที่เขาเพิ่งเอาหลังไปชนค่อนข้างแรง เอิงหันไปดู ก็เห็นเป็นเด็กหนุ่มต่างชาติตัวสูงใหญ่คนหนึ่ง สวมหูฟังแบบครอบหู เอิงกล่าวขอโทษออกไป แต่เด็กชาวต่างชาติ ไม่ได้หันมา เอิงรีบเดินตามผู้โดยสารคนอื่นออกไป เสียงเตือนว่าประตูกำลังจะปิด อยู่ ๆ แดนก็นึกอยากจะรู้ว่า ใครที่เพิ่งชนหลังเขาเข้าอย่างจังเมื่อสักครู่ เด็กหนุ่มลูกครึ่งหันไป ประตูรถไฟฟ้าปิดลง เขาเห็นหลังใครบางคนไว ๆ เอิงออกมายืนที่นอกขบวนรถ รถไฟฟ้าเคลื่อนตัวออกไป เอิงรู้สึกแปลกใจ ที่เขามองตามขบวนรถนั้นไป ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยคิดที่จะสนใจ ทำอะไรแบบนี้มาก่อน

เอิงแตะบัตรโดยสารที่ประตูทางออก เสียงเตือนว่า มีอะไรบางอย่างผิดปกติ เมื่อประตูกั้นไม่เปิดออก เอิงลองอยู่สองสามรอบ แต่ประตูก็ไม่ยอมเปิด จึงเดินไปหาเจ้าหน้าที่ที่ห้องจำหน่ายตั๋ว เจ้าหน้าที่รับบัตรจากเอิงไปตรวจสอบให้ แดนที่แทรกตัวลงจากรถไฟฟ้า เมื่อถึงสถานีถัดไป วิ่งข้ามแพลตฟอร์ม พุ่งตัวเข้าไปในขบวนฝั่งตรงข้ามได้ทันเวลา เด็กหนุ่มลูกครึ่งนั่งรถไฟย้อนกลับไปสถานีเมื่อครู่นี้ ใจของเขาสั่งให้เขาทำอะไรบ้า ๆ นี้ เอิงยืนรอเจ้าหน้าที่ตรวจสอบบัตรโดยสารให้ ก่อนจะรู้ว่าตัวเอง มองไปทางบันไดเลื่อนขึ้นแบบไม่วางตา อะไรบางอย่างดึงดูสายตาของเขาเอาไว้ตรงนั้น เหมือนกับว่า ในอีกไม่กี่วินาทีที่กำลังจะถึงนี้ จะมีใครบางคน คนที่เอิงรอมานาน ขึ้นมากับบันไดเลื่อนนั้น

“ผู้โดยสารคะ” เสียงเรียกของเจ้าหน้าที่ดังขึ้น และดังซ้ำอยู่สองสามรอบ ก่อนที่เอิงจะรู้สึกตัว “ลองแตะบัตรดูอีกครั้งนะคะ” เอิงรับบัตรมาจากเจ้าหน้าที่ เขาค่อย ๆ เดินเข้าใกล้ประตูทางออก ก่อนจะหยุดยืน หันหน้าไปมองทางบันไดเลื่อนนั้นอีกครั้ง แดนยืนรออยู่ที่ประตูรถไฟฟ้า เขาเร่งให้มันเปิดออก เมื่อขบวนรถไฟหยุดจอด เมื่อประตูเปิด เขาเดินออกจากขบวนรถ ก่อนจะมาหยุดชะงักยืนอยู่ที่หน้าบันไดเลื่อน เด็กหนุ่มกำลังคิดว่า ถ้าเขาก้าวขึ้นไปบนบันไดเลื่อนนั้นแล้ว เขาจะเจอกับใคร และถ้าเขาพบกับคนคนนั้น เขาจะทำยังไงต่อไป

คุณปริมมองสามีที่เพิ่งกลับมาถึงห้องพัก สีหน้าของคุณโทมัสดูเคร่งเครียด เมื่อลูกชายคนเดียวของเขา ยังไม่ติดต่อกลับมาแบบที่รับปากเอาไว้ คุณปริมเดินเอาของที่ซื้อมาไปวางไว้บนโต๊ะ คุณโทมัสมองไปที่ภรรยา เขานึกขุ่นใจกับคุณปริม เมื่อเห็นเธอดูจะนิ่ง ไม่ร้อนใจเหมือนกับที่คุณโทมัสเป็นอยู่ในตอนนี้ คุณโทมัสขยับจะพูดอะไรออกไปอยู่หลายที แต่ก็ไม่พูด คุณปริมเห็นแบบนั้น จึงชิงพูดขึ้นมาก่อนเสียเอง

“คุณมีอะไรจะพูดกับฉันหรือเปล่าคะ” คุณปริมถามสามีออกไป “มันบอกว่า จะโทรกลับมาวันนี้ นี่ยังไม่เห็นมันเลย” คุณโทมัสเปิดประเด็น เรื่องที่ลูกชายยังไม่โทรหา “ใจเย็น ๆ ก่อนสิคะคุณมันยังไม่หมดวันเลย” คุณปริมพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ “คุณก็ใจเย็นเกินไป” คุณโทมัสพูดติภรรยาของเขา “คุณตามใจมันจนเคยตัว” คุณโทมัสรู้ว่าภรรยาของเขารักลูกมาก แต่ในเรื่องนี้คุณโทมัสไม่เห็นด้วย

“คุณคะ” คุณปริมพยายามพูดด้วยอารมณ์นิ่ง ๆ “ฉันไม่ได้ตามใจลูกอย่างที่คุณว่านะคะ และถ้าคุณจะหมายถึงเรื่องที่แดนเป็น และเขากำลังตามหาสิ่งที่เขาเชื่อว่ามันเป็นจริง ฉันบอกคุณได้เลย ว่าฉันได้ไปเห็นมันมากับตา พร้อมกับลูก” คุณปริมที่ไปเจอกับแดนที่นิวยอร์ก ยังจำได้ดีถึงเหตุการณ์ในวันนั้น เรื่องที่ไม่น่าเชื่อ ได้เกิดขึ้นต่อหน้าคุณปริม เรื่องราวที่มันร้อยเรียงกัน จนพอเหมาะพอเจาะ เกินกว่าที่จะเป็นการจัดฉากใด ๆ

“ผมรู้ ว่าคุณไปนิวยอร์กกับเจ้าแดนมา แต่ผมไม่นึกว่า คุณจะเห็นดีไปกับมันด้วย” คุณโทมัสทราบเรื่องที่คุณปริมไปหาลูก แต่ก็คิดแค่ว่า มันเป็นการที่แม่ไม่อยากขัดลูกก็เท่านั้น “ถ้าคุณอยู่ในเหตุการณ์เหมือนกับที่ฉันอยู่ คุณจะไม่พูดแบบนี้ นี่ไม่ใช่เรื่องแค่ว่าฉันตามใจลูก แต่นี่คือสิ่งที่ฉัน ที่เป็นแม่ของแดนทำ เพื่อพยายามเข้าใจความคิดของลูก รับรู้ถึงหัวใจและความรู้สึกของเขา” คุณปริมพูดด้วยความรู้สึกของคนเป็นแม่

“ฉันคิดว่า คุณต้องพยายามมองเขาเสียใหม่นะคะ” คุณปริมพูดต่อ “เรื่องที่คุณจะถอนการลงทุน หรืออะไรกับธุรกิจ อันนั้นฉันไม่ขอก้าวก่าย แต่ถ้ามันเป็นเรื่องของแดนนี่ แล้วคุณคิดว่า ฉันจะต่อต้านเขาเพียงเพราะว่า คุณไม่ชอบใจในการตัดสินใจของเขา ฉันขอบอกคุณเอาไว้ตอนนี้เลยนะ คุณโทมัส คุณคิดผิด” คุณโทมัสถึงกับหยุดนิ่ง กับสิ่งที่เพิ่งได้ยินภรรยาของเขาพูดออกมา

“ฉันทนเห็นแดเนียลเจ็บปวดแบบนั้นไม่ได้อีก” ภาพของแดนที่ทรุดตัวลง แล้วร้องไห้ออกมาอย่างเกรี้ยวกราดในวันนั้น คุณปริมยังจำมันได้ติดตา “ถ้าคุณจะไม่ยอมรับลูกชายคนเดียวของเรา ฉันก็จะไม่ว่าอะไรคุณหรอกนะคะ” คุณปริมพูดออกมา อย่างคนที่ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว “แต่คุณคงต้องกลับอเมริกาไป โดยไม่มีฉันกับลูกไปด้วย” คุณโทมัสถึงกับส่ายหน้า บอกว่านั่นเป็นสิ่งที่เขายอมรับไม่ได้ “ชีวิตที่เหลือของฉันตอนนี้ คืออยู่เพื่อเห็นความสุขของลูก” คุณปริมตัดสินใจแล้ว ว่าหัวใจของแดนสำคัญที่สุดสำหรับเธอ

เมื่อดาวเจ้าเรือนศุภะ ที่เป็นเรือนเกี่ยวกับความเจริญก้าวหน้า ความสุขที่มี รวมถึงการดำเนินชีวิต มาสถิตอยู่ในเรือนตนุ ซึ่งเป็นเรือนของตัวตนนั้น เจ้าชะตามีเกณฑ์จะได้ใช้ชีวิตอยู่ในต่างแดน ซึ่งจะสามารถสร้างฐานะได้ด้วยตัวเอง โดยที่มีความคุ้นเคยกับชาวต่างชาติ มีโอกาสจะประสบความสำเร็จ กลายเป็นเจ้าของกิจการใหญ่

มีผู้อุปการะให้ความค้ำจุนช่วยเหลือ จนมีสินทรัพย์เป็นหลักเป็นฐาน ผู้ใหญ่ให้ความรักใคร่เอ็นดู ประสบความสำเร็จในแดนไกลต่างถิ่น เหมือนมีพระมาโปรด โชคดีเมื่อยู่ต่างถิ่น และมีความสุขเมื่ออยู่ในบ้านของตน ข้อเสียนั้น อาจจะเป็นเรื่องที่เจ้าตัว จะไม่ได้อยู่ในถิ่นกำเนิด มักจะต้องจากถิ่นฐาน ต้องเดินทางไป ๆ มา ๆ อยู่เป็นประจำ

“พ่อครับ แม่ครับ” คุณโทมัสและคุณปริมหันไปทางเสียงเรียกนั้น ก่อนจะเห็นแดนยืนจับมือกับเอิง ที่ตอนนี้ เอิงใจเต้นไม่เป็นส่ำ ด้วยความตื่นเต้น เมื่อแดนบอกกับเอิงว่า เขาจะพาเอิงมาพบกับพ่อและแม่ เอิงมือสั่น แดนรู้สึกได้ เขาจึงกระชับมือของเขาให้จับมือของเอิงเอาไว้ให้แน่นและมั่นคงขึ้น “ผมเจอคนที่ผมตามหาแล้ว” แดนบอกออกไป “คนที่ผมเคยได้แต่วาดรูปเขาจากความฝัน คนที่ผมฝันถึงเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าตั้งแต่ผมยังเด็ก”

“พ่อครับ แม่ครับ เขามีตัวตนอยู่จริง” แดนพูดด้วยความเชื่อมั่นในสิ่งที่เขาเลือกแล้ว ว่านี่คือชีวิตของเขาที่จะใช้เดินต่อจากนี้ไป “ผมกับเอิงเคยมีชีวิตอยู่ในอดีต ก่อนที่เราจะกลับมาเกิดใหม่ และพบกันอีกครั้งในชาตินี้” คุณโทมัสมองมาที่แดนและเอิง เขารู้ได้ในทันที และยากที่จะปฏิเสธ ว่าเขาเคยเห็นคนคู่หนึ่ง ที่มีลักษณะคล้าย ๆ กันนี้ในรูปวาดของแดน “ผมเคยสัญญาว่าผมจะกลับมาหาเขาอีกครั้ง” แดนพูดก่อนหันมาสบตากับเอิง

“และผมก็ทำตามสัญญานั้น” แดนพูดก่อนจะหันไปทางพ่อและแม่ “ส่วนเขา เฝ้ารอให้ผมกลับมาหา” แดนบีบมือของเอิง เพื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่า ไม่มีอะไรต้องกังวลใจหรือกลัวแต่อย่างใด “และเขาก็ยืนอยู่กับผมในตอนนี้” แดนรู้ว่า มันจะไม่เหมือนวันที่เขาขึ้นบันไดเลื่อนมา แล้วไม่เห็นใครเลย ที่หน้าประตูทางออกสถานีเหมือนอย่างในวันนั้น

คุณปริมยิ้มให้กับแดนและเอิง สิ่งที่เธอได้ยินจากปากของลูกชาย เธอรู้ว่า แดนพูดมันออกมาจากส่วนลึกที่อยู่ในใจเขา “ผมไม่อยากจะพูดว่า ผมไม่แคร์ ถ้าจะมีใครไม่เชื่อเราสองคน เพราะผมรักพ่อกับแม่มาก แต่ถ้าโลกนี้จะไม่มีใครเข้าใจเราสองคนเลย เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นกับเราในอดีต” แดนพูดพร้อมสบตากับพ่อของเขา

“ผมก็หวังว่า จะมีพ่อกับแม่ ที่เข้าใจเรา” แดนพูดจบ เขาและเอิงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น เพื่อหยุดรอฟังคำตอบ

*********************************

คำแปลเนื้อร้องภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

English Lyrics Translation by KADUMPA

https://www.youtube.com/watch?v=s8oCmxoY6Ow


สิ่งที่ฉันหวัง สิ่งที่ฉันคอย

What I’ m dreaming of, things my heart desires

อาจดูเหมือนเลื่อนลอย

As if being under the delusion

เกือบจะฝันไป

Away with daydreaming

มองหาคนคนหนึ่ง

Searching for the one

ที่ไม่รู้เป็นใคร

It’ s still the unknown

และไม่รู้เมื่อไหร่

Not knowing when

จะพบคนผู้นั้น

To meet whom I am longing for


ส่วนชีวิตฉัน บอกเลยว่ามี

In my life, there were some of them

เจอะคนที่แสนดี

Meeting those who were very nice

อยู่ทุกทุกวัน

Almost every day

เพียงแค่ไม่มีใคร

Just because no one

ที่จะฝันตรงกัน

Cares to share the same dream

แต่ว่าฉันมั่นใจ

But I am certain

จะพบในไม่ช้า

That won’ t be long now


อาจบางทีในเมืองกว้างใหญ่

Maybe this city is too vast

หมอกและควันช่วยกันพรางตา

Fog and smoke get in our eyes

มีขอบรั้วขอบกำแพงสร้างมา

Edges and walls built and all

ตึกระฟ้าคอยบังเราอยู่

Skyscrapers mark the boundary of our vision


แต่เราก็หากันจนเจอ

Yet, we have found ourselves standing here

มันนานแค่ไหนที่คอยเธอมา

It’ s been ages to have been waiting for you

รู้สึกไหมว่าชีวิตคุ้มค่า

Do you feel it that this life is now precious?

เมื่อมีใครสักคนข้างกาย

The minute you have someone right beside you


เกิดมาเพื่อหาใครคนหนึ่ง

Born into this life to await the one

เป็นคนที่ฟ้าสร้างมาตรงใจ

Who is a godsend that fits my heart

เราต่างรู้โลกมันแสนกว้างใหญ่

The world is so wide obviously

แต่มันคงไม่ยากเกินไป

But that won’ t be much of a problem

ที่ฉันจะพบเธอ

For me to find you


อาจมีสักครั้ง

There will be time

ที่เราสองคน

That the two of us

ผ่านทางที่วกวน

Must go through rough roads

อยู่ใกล้ใกล้กัน

Closer than we think

ใบไม้เพียงใบหนึ่ง

There’ s this one leaf

หล่นตอนที่เดินผ่าน

Falling down as we stroll

ฉันคงจะมองมัน

Should I look right over there

เมื่อเธอเดินผ่านมา

The moment you come this way


อาจบางทีในเมืองกว้างใหญ่

In this huge city we’ re living in

หมอกและควันช่วยกันพรางตา

Fog and smoke make the feature inexplicit

มีขอบรั้วขอบกำแพงสร้างมา

Beams and walls and before

ตึกระฟ้าคอยบังเราอยู่

The high-rises get in our ways


แต่เราก็หากันจนเจอ

But now you are here with me

มันนานแค่ไหนที่คอยเธอมา

It’ s been awfully long waiting for you

รู้สึกไหมว่าชีวิตคุ้มค่า

Can you see that this life is a worthy cause?

เมื่อมีใครสักคนข้างกาย

To have someone like you in it


เกิดมาเพื่อหาใครคนหนึ่ง

Born into this world to be with the only one

เป็นคนที่ฟ้าสร้างมาตรงใจ

Who is God’ s creation, and is larger than life

เราต่างรู้ โลกมันแสนกว้างใหญ่

We both know we’ re in this eminent world

แต่มันคงไม่ยากเกินไป

That says it is still relatively effortless

ที่ฉันจะพบเธอ

For me to find you

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 777
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 202
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
๓๐.



พันธุ - มรณะ (บ้านคือวิมานของเรา)





“วันนี้กลับถึงห้องไวจัง” นนท์ทักคนรักของเขา ทันทีที่เปิดประตูเข้ามา เมื่อเห็นอุ่นยืนทำอะไรง่วนอยู่ในครัวเล็ก ๆ นั้น “เสร็จจากงานที่โรงพยาบาล อุ่นไม่มีเคสคนไข้ตามบ้านน่ะครับ รู้สึกเพลีย ๆ เลยอยากกลับห้อง นี่ก็แวะซูเปอร์ มาร์เก็ต ซื้อของมาตุนเอาไว้ แต่ยังไม่ได้เก็บให้เข้าที่เลย” อุ่นเล่าให้คนรักของตัวเองฟัง นนท์เปิดตู้เย็น รินน้ำใส่แก้ว ฟังที่อุ่นพูด ก่อนยกน้ำขึ้นดื่ม มองไปที่อุ่นที่กำลังขมีขมันทำครัวอยู่

“มือเย็น อุ่นทำอะไรให้นนท์กินบ้างครับ” นนท์เดินเข้าไปโอบตัวของอุ่นจากทางด้านหลัง “ระวังมีดบาดครับนนท์” อุ่นร้องเตือน แต่นนท์ไม่สนใจ เขากอดเอวของอุ่นเอาไว้ คางเกยไว้ที่บ่าของคนรัก มองดูมือของอุ่นที่หั่นผลไม้หลากชนิดเป็นชิ้นเต๋าเล็ก ๆ “ตอนไปซูเปอร์ เห็นผลไม้หลายอย่างลดราคาพอดี เลยอยากทำฟรุตสลัดให้นนท์ลองชิม ร้อน ๆ แบบนี้ แก้กระหายได้ดี” นนท์มองดูผลไม้ที่หั่นแล้วหลากสีสัน อยู่ในโถแก้วใบใหญ่

“สีสวยน่ากินจัง” นนท์พูด ก่อนจะเหลือบตามองไปที่เจ้าของเอว “น่ากินไปหมด” นนท์พูดย้ำ เมื่อเห็นอุ่นที่ได้ยินที่เขาพูด แต่ทำเป็นนิ่ง “ส่วนมื้อเย็น อุ่นซื้อเนื้อบดมา ว่าจะทำผัดกะเพราพริกแห้ง เห็นมีคนบ่นว่าอยากกินมาหลายวันแล้ว” อุ่นหลบสายตาของนนท์ มาโฟกัสอยู่ที่ผลไม้ที่กำลังหั่นอยู่ “นนท์กินหมดแหละ” นนท์พูดบอกกับอุ่น “ฟรุตสลัดก็กิน” นนท์ใช้ปลายจมูกไล้ไปที่ต้นคอของอุ่น

“กะเพราเนื้อก็กิน” นนท์พูดก่อนจูบลงที่ด้านหลังหูของอุ่น “แล้วก็ นนท์จะกินอุ่นด้วย” พูดจบ นนท์ก็จูบที่ริมฝีปากของอุ่น ก่อนจะแทรกลิ้นเข้าไปค้นหาความหอมหวานในโพรงปากของอุ่น นนท์ ขบ เม้ม บดริมฝีปากของเขาเข้ากับอุ่น “พอก่อน” อุ่นที่เริ่มหายใจแรง บอกให้นนท์หยุดเอาไว้ก่อน “กลับมาเหนื่อย ๆ อาบน้ำก่อนมั้ย” อุ่นถามขึ้น นนท์สบตากับอุ่นเป็นเชิงชั่งใจ

“ก็ได้ครับ อุ่นจะได้เตรียมตัวด้วย” นนท์จุ๊บปากของเขากับอุ่นอีกครั้ง ก่อนจะเดินผิวปากเดินเข้าห้องนอนไป อุ่นมองตามนนท์ไป ก่อนจะยิ้มอาย ๆ ตั้งแต่เขากับนนท์ได้มีโอกาสกลับมาเป็นแฟนกันอีกครั้ง ชีวิตที่เคยเงียบเหงาและเดียวดายของอุ่น ก็เหมือนกลับมามีลมหายใจอีกครั้ง จากที่การกลับมาถึงห้อง คือการกลับมาจมจ่อมอยู่กับตัวเอง อุ่นเคยมีแต่งานและความเหาเป็นเพื่อนแท้เท่านั้น

ห้องชุดคอนโดห้องนี้ ที่กลายร่างจากความฝันมาเป็นความจริง คืออีกหนึ่งสิ่ง ที่ทำให้ชีวิตของอุ่นเปลี่ยนไป จากวันที่ไปธนาคารด้วยกับนนท์ในวันนั้น จนวันที่ได้ย้ายเข้ามาอยู่ มันเหมือนฝันไป แต่เขาก็ได้ยืนเคียงข้างกับนนท์จริง ๆ แม้ว่า ก่อนหน้านี้ จะต้องผ่านเรื่องราวที่ทรมานใจกันมา นนท์นั้นแสดงให้อุ่นเห็นว่า เขาจริงจังและตั้งใจมาก ๆ ที่จะมีอุ่นอยู่ในชีวิต และจะไม่ยอมให้อะไรมาทำให้ทั้งคู่ ต้องแยกทางกันอีก

อุ่นออกมาจากห้องน้ำ ละอองน้ำยังพราวอยู่บนใบหน้าของเขา อุ่นหยิบเอาเสื้อคลุมอาบน้ำนั้น มาสวมทับร่างกายที่เปลือยเปล่าเอาไว้ เสียงของนนท์เรียกหาตัวเขามาจากห้องด้านนอก อุ่นเยี่ยมหน้าออกไปมอง เห็นนนท์ที่นุ่งกางเกงขาสั้นเพียงตัวเดียว ยืนพิงอยู่ที่ขอบโต๊ะทานข้าว กำลังมองมาที่เขา นนท์เรียกอุ่นอีกครั้งให้เดินไปหา อุ่นเดินไปตามคำเรียกนั้น นนท์หยิบเอาชิ้นผลไม้โยนเข้าใส่ปาก มองตามอุ่นเหมือนไม่อยากให้คลาดสายตา

“อุ่นยังไม่ได้เอามาผสมกันเลย” อุ่นพูด ก่อนที่สองมือของเขา ที่กำลังจะเอื้อมไปหยิบโถแก้วใบใหญ่นั้น จะถูกมือของนนท์รวบเอาไว้เสียก่อน นนท์ดึงตัวของอุ่นให้เข้ามายืนชิดกับเขา ตาของนนท์สบกับอุ่น โดยมือของเขาค่อย ๆ คลายสายรัดเสื้อคลุมจากเอวของอุ่น สาบเสื้อคลุมแยกออกจากกัน นนท์มองตามลงไป ก่อนจะใช้มือเคล้าคลึงที่กึ่งกลางลำตัวของอุ่น อุ่นร้องเบา ๆ ในลำคอ เมื่อส่วนของร่างกายถูกสัมผัสจากมือของนนท์ จับต้อง

“อุ่นจับของนนท์ด้วยสิ” นนท์ไม่พูดเปล่า ดึงมือของอุ่นไปที่แก่นกายของเขา ที่นนท์ดึงออกมาข้างขากางเกง นนท์เป่าลมหายใจออกจากปาก เมื่อมือของอุ่นจับไปที่ความแข็งแกร่งนั้น แล้วขยับมือรูดขึ้นลงช้า ๆ นนท์มองตามมือของอุ่นที่เลื่อนอยู่นั้น ก่อนดันเอวของเขาให้สวนจังหวะมือของอุ่น นนท์หายใจแรงขึ้น ส่วนอุ่นนั้น ใบหน้าแดงระเรื่อขึ้น จากเลือดที่สูบฉีดตามอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน

นนท์ใช้มือดันเสื้อคลุมอาบน้ำของอุ่น ให้หลุดลงไปกองที่พื้น เขามองสำรวจเรือนร่างของอุ่น คนที่เขาปรารถนาจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยตลอดไป นนท์สังเกตเห็นส่วนของอุ่นแข็งขันขึ้น เขาจึงดันตัวขึ้นจากขอบโต๊ะทานข้าว แล้วจับตัวของอุ่นยกขึ้นนั่งบนโต๊ะ นนท์ไล้นิ้วไปบนส่วนปลายของอุ่นที่น้ำใส ๆ นั้น เริ่มดันตัวออกมา มันลื่นติดปลายนิ้วของนนท์ไปทั่วทั้งบริเวณที่นนท์ลากนิ้วผ่านไป นนท์เห็นอุ่นเม้มริมฝีปากเข้าหากัน สะดุ้งตัวเล็กน้อย ไปตามแรงไล้นิ้วของเขา ก่อนที่อุ่นจะต้องบีบแขนของนนท์จนแน่น เมื่อนนท์ก้มลงครอบปากไปตามความยาวทั้งหมดที่อุ่นมี

อุ่นสุดลมเข้าปาก ก่อนจะต้องผ่อนลมหายใจนั้นออกมา เมื่อนนท์ขยับปากของเขาขึ้นลงจนมันฉ่ำเยิ้มไปทั้งขนาด นนท์ยอมรับว่า ขนาดของอุ่นทำให้เขาตื่นเต้นมากจริง ๆ เขาชอบที่ได้เห็นอุ่น ฝ่ายรับของเขามีความเขื่องสีขาวอมชมพูแบบนี้ นนท์รูดเม้มริมฝีปากของเขาที่ส่วนหัวนั้น เขาไม่เลื่อนดึงส่วนหนังหุ้มลง มันทำให้น้ำใส ๆ ที่แสดงถึงความพร้อมที่จะเสพสุขของร่างกายผู้ชาย เคลื่อนตัวลงมาที่แก่นกาย ให้นนท์ได้ตวัดลิ้นลากเอาน้ำใสนั้น ขึ้นไปที่ส่วนปลาย แล้วรูดรั้งให้ส่วนหุ้มหนังนั้นเปิดออก และดันตัวลงมาที่คอหยักตามแรงลิ้นของเขา

นนท์ขยับตัวยืนขึ้น เมื่ออุ่นให้สัญญาณว่า ถ้าขืนนนท์ทำแบบนั้นต่อไป เกมนี้มันจะจบลงในไม่ช้า อุ่นเคลื่อนตัวลงจากโต๊ะทานข้าว ก่อนจะค่อย ๆ ย่อตัวลงนั่งคุกเข่าที่พื้น อุ่นมองเห็นความชูชันของนนท์ ที่เด่นชัดอยู่ตรงหน้า นนท์ใช้มือประคองใต้คางของอุ่น ก่อนจะไกด์นำทางให้ริมฝีปากของอุ่นมาชนเข้ากับส่วนปลายที่บานเป็นเงี่ยงรออยู่แล้ว อุ่นเงยหน้าขึ้นสบตากับนนท์ จูบเบา ๆ ที่ปลายแท่งทวน สัมผัสถึงน้ำหล่อลื่น ที่ละเลงตัวอยู่ทั่ว รสชาติปะแล่มนั้น รับรู้ได้ทันทีที่อุ่นใช้ลิ้นไล้เล็มไปจนทั่ว

นนท์สูดปากออกมาเบา ๆ เมื่อได้รู้สึกถึงความซ่านทรวงนั้น ก่อนที่เขาจะไกด์ให้อุ่น รับเอาความยาวทั้งหมดนั้น เข้าสู่โพรงปาก นนท์ให้อุ่นดูดเล็มความแข็งแกร่งของเขาสักพัก ก่อนที่เขาจะขยับเอวเข้าออก จากช้าเป็นเร็ว จนเมื่อได้ยินเสียงลมหายใจของอุ่นเริ่มติดขัด เขาจึงผ่อนแรงนั้นลง อุ่นถอนปากออกจากความอวบ ชูชัน และแข็งขันนั้น ส่วนปลายแดงของลำยาวสีเข้ม พักอยู่บนริมฝีปากของเขา เส้นเลือดที่ปูดโปนไปตลอดทั้งลำของนนท์ ฝ่ายรุกของเขา เพิ่มการกระตุ้นเร้าอารมณ์ให้อุ่น

นนท์ดึงตัวให้อุ่นยืนขึ้น ก่อนจะบดริมฝีปากเข้ากับอุ่น กลิ่นและรสชาติของผลไม้ที่นนท์กินไปก่อนหน้านี้ อวลอยู่ในปาก เคล้ากับกลิ่นของความเป็นชายจากกันและกัน ที่เป็นตัวการทำให้ชายทั้งสอง ตื่นตัวอย่างเต็มที่ อุ่นนอนลงบนโต๊ะอีกครั้ง โดยที่มีนนท์จับขาทั้งสองข้างของอุ่นยกตั้งขึ้น และนั่นทำให้ช่องทางชมพูระเรื่อของอุ่นเผยขึ้น นนท์รู้สึกได้ถึงน้ำหล่อลื่นของเขาดันตัวออกมาเพิ่ม เมื่อได้เห็นภาพที่เร้าอารมณ์แบบนั้น

“ผลเลือดของเราออกมาแล้วนะครับ” เสียงของนนท์กระเส่า เต็มไปด้วยความต้องการ “เราไม่ต้องใช้แล้วนะ” นนท์บอกกับอุ่น “ไม่ใช้ได้มั้ย” นนท์ถามอุ่นก่อน หากว่าอุ่นจะยังไม่พร้อม ถ้านนท์จะรุกล้ำเข้าไปในตัวของอุ่น โดยไม่มีอะไรกางกั้น อุ่นสบตากับนนท์ ก่อนจะพยักหน้ายินยอม นนท์ก้มลงรูดปากกับแก่นกลางตัวของนนท์อีกครั้ง แล้วจึงค่อย ๆ เลื่อนลิ้นลงสัมผัสช่องทางของอุ่น เขาโลมเลียเลาะเล็ม จนอุ่นต้องส่งเสียงออกมาด้วยความพึงพอใจ

จนเมื่อนนท์เห็นว่า อุ่นพร้อมแล้ว เขาจึงป้ายเจลหล่อลื่นเข้าที่ช่องทางนั้น ก่อนจะใช้นิ้วนำทางมันเข้าไปด้านใน เพื่อให้อุ่นเตรียมพร้อมที่จะรับการรุกล้ำนี้ นนท์สังเกตเห็นแก่นกายของอุ่นชูชันแข็ง ไม่อ่อนลง ก็เอาเจลมาป้ายทาที่แท่งทวนของเขาจนมากพอ แล้วจึงจับให้อุ่นกึ่งนั่งกึ่งนอน ให้อุ่นใช้สองมือโอบรอบคอของเขาไว้ ก่อนนนท์จะประกบปากกับอุ่น แลกลิ้น เมื่อเขาดันตัวเข้าหาอุ่น ที่โหย่งตัวหนีและมีเสียงร้องในลำคอดังให้ได้ยิน

อุ่นเกร็งตัว นนท์รั้งอุ่นให้อยู่นิ่ง ๆ อุ่นกำลังปรับร่างกายอยู่ นนท์จึงแช่ความยาวที่เข้าไปเพียงครึ่งเดียวเอาไว้ก่อน นนท์เทเจลที่มือ ก่อนเขาจะขยับมือนั้น ขึ้นลงที่ความแข็งขันของอุ่น จนอุ่นมีทีท่าว่าจะผ่อนคลายลง นนท์จึงค่อย ๆ เข้าขยับตัวเข้าออก เข้าออก เมื่อไม่รู้สึกว่า ช่องทางของอุ่นต่อต้านความแข็งขันของเขาอีกต่อไป นนท์ก็เร่งความเร็ว รัวบั้นท้ายของเขาไปตามความรู้สึก โดยมีอุ่นขยับตัวสวนช่องทางนั้น เข้าหานนท์อย่างเร่าร้อน

“มาแล้ว มาแล้ว” หญิงสาววางถาดใส่เครื่องดื่มลงตรงกลางวงเพื่อน ๆ ที่นั่งรออยู่ กลุ่มเพื่อนผู้หญิงสามคน เลือกที่นั่งติดกับกระจกบานใหญ่ของร้าน มองออกไปเห็นด้านนอกได้ชัดแจ๋ว สามสาวแจกเครื่องดื่มตามที่แต่ละคนสั่ง ก่อนจะผลัดกันยกกล้องขึ้นถ่ายรูปเครื่องดื่มหน้าตาดี ในแก้วทรงสวยเหล่านั้น เพื่อทำการเช็กอินร้าน ลงรูปในโลกโซเชียล มีเดีย แล้วจึงยกเครื่องดื่มนั้นขึ้นจิบอย่างมีความสุข ทั้งหมดคุยเรื่องสัพเพเหระ ที่ทั้งสามมักจะรวมตัวกันหลังเลิกงาน

“นี่พวกแก ดูผู้ชายเซอร์ ๆ ติ๊สท์ ๆ คนนั้นสิ” หนึ่งในสามสาวบอกให้เพื่อนอีกสองคน มองตามผ่านกระจกใส ออกไปที่นอกร้าน “อุ๊ยหล่ออ้ะ” คนหนึ่งพูดขึ้น เธอว่า ผู้ชายสไตล์แบบนี้หน้าตาดีเข้าขั้น “แอบถ่ายรูปไว้ดีมั้ย” อีกคนหนึ่งสองจิตสองใจ หยั่งเชิงถามเพื่อน “เดี๋ยวสิพวกแก ที่ฉันเรียกให้ดูเนี่ย เพื่อจะบอกว่า ฉันเห็นเขายืนอยู่ตรงนั้น นานแล้ว เหมือนจะมารอใคร” สาวคนแรกที่ชี้ชวนให้เพื่อนดูพูดขึ้น

“มารอแฟนซะล่ะมั้ง” หนึ่งในนั้นเสริม สามสาวมองหน้ากัน ก่อนจะเริ่มถกว่า หนุ่มหล่อมาดเซอร์คนนี้ มารอแฟนจริงหรือเปล่า และแฟนของเขาน่าจะเป็นใคร “ผู้ชายแน่นอน” คนที่เป็นคนยกเครื่องดื่มมาให้เพื่อนยืนยัน “จ้ะ แม่สาววาย” อีกสองคนแซวเพื่อน ที่เป็นคนดูซีรี่ส์ผู้ชายรักกันอย่างติดหนึบ เป็นแฟนตัวยงอย่างเหนียวแน่น “แต่ถ้าเป็นแบบที่เธอบอกจริง ๆ แล้วเป็นผู้ชายตัวเล็ก ๆ แบบ ไฮ้ท์ ดิฟเฟอเร้นท์ ชัดเจน ก็ฟินดีอยู่นะ” หนึ่งในนั้นพูดไปทำท่าเขินไป

“แบบหน้าผากสูงแค่คางเค้า แล้วเค้าต้องก้มมาจุ๊บแบบนั้น ใช่มั้ย” อีกคนหนึ่งเลยพลอยเสริมไปด้วย ทำให้ทั้งหมดคิกคัก กรี๊ดกร๊าดกัน จนต้องเตือนกันเอง เพราะเดี๋ยวจะเสียงดังเกินไปจนรบกวนลูกค้าคนอื่น ๆ ในร้าน “เอาเป็นว่า ให้เขาชอบผู้ชายก่อนดีกว่า” ทั้งสามคนมองหน้ากันอย่างดึงสติให้กัน “ถ้ามายืนรอยาย รอแม่ล่ะ จบเลยนะ” อีกคนพูดกลั้วหัวเราะ สองคนที่เหลือทำท่าจะทุบเพื่อน ที่พูดสลายเรื่องราวในมโนภาพ แต่ก่อนจะได้พูดอะไรกันต่อ ทั้งหมดก็รีบตีแขนกันและกัน ให้ดูภาพตรงหน้านั้น

“รอนานมั้ย” หนูจ๋าที่เดินลงมาจากตึกสำนักงาน ถามขึ้น เมื่อมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า “นานมาก หนูจ๋าต้องโดนพี่ทำโทษ” คันศรแกล้งทำหน้ามุ่ย คาดโทษแฟนของตัวเอง ที่ปล่อยให้เขายืนรออยู่เป็นนานสองนาน “อะไรอ้ะ หนูจ๋าก็ลงมาตามเวลาที่นัดกัน พี่ศรอยากมาก่อนเวลาเอง” เสียงกระเง้ากระงอดนั้น ทำให้คันศรที่อยากจะทำเข้ม กะจะวางมาดแฟนหนุ่มผู้ขึงขังและออกคำสั่ง กลับต้องเป็นฝ่ายอ่อนลง และกลายเป็นฝ่ายที่ต้องยอม

“พี่ล้อเล่นนะครับ” คันศรพูดเสียงอ่อนโยน ก่อนจะเอามือยกขึ้นขยี้ผมของหนูจ๋าเบา ๆ อย่างรักใคร่และเอ็นดู หนูจ๋าที่ทำท่าจะโกรธ งอนแฟนหนุ่ม ก็ต้องหลุดยิ้มออกมาเสียอย่างนั้น “ไม่ได้โกรธจริงนี่ หลอกพี่หรือครับ” คันศรพูด เมื่อเห็นหนูจ๋ายิ้ม “ท่าจะอยู่กับยัยศศิมากไปแล้ว” คันศรคิดว่า เดี๋ยวนี้ที่หนูจ๋าเริ่มจะแสบมากขึ้นเรื่อย ๆ ต้องได้รับอิทธิพลมาจากน้องสาวของเขาแน่ ๆ

“ไป กลับบ้านกันเถอะ แม่รอกินข้าว” คันศรบอกกับแฟนของตัวเอง ก่อนยื่นมือให้หนูจ๋าจับ หนูจ๋าเขินคนที่เดินผ่านไปผ่านมา เลยจับที่ข้อมือของคันศรแทน “ต่อไปพี่อนุญาตให้หนูจับมือเท่านั้นนะ ข้อมือไม่นับ” คันศรยอมผ่อนผันให้หนูจ๋าแค่ช่วงแรกนี้เท่านั้น หนูจ๋าฟังที่คันศรพูด ก็ได้แต่ก้มหน้าเดินงุด ๆ ตามอีกฝ่ายไป ส่วนสามสาวในร้านกาแฟนั้น กรี๊ดกร๊าดชอบใจกันตั้งแต่เห็นช็อตขยี้ผมแล้ว

“กลับมาแล้วครับ” คันศรร้องบอก เมื่อเขาเปิดประตูบ้าน เดินนำหนูจ๋าเข้าบ้านมา “จะไปอาบน้ำกันก่อน หรือจะกินข้าวเย็นกันเลย” คุณอนงค์ถามทั้งสองคน เมื่อเห็นว่าเพิ่งจะกลับถึงบ้านกันมา “หนูหิวแล้ว” เสียงยัยศศิดังลงมาจากชั้นสองของบ้าน “น้องแกบ่นว่าหิวตั้งแต่ถึงบ้าน” ผู้เป็นแม่รายงานเรื่องน้องสาวให้พี่ชายฟัง “หนูจ๋า วันนี้มีหนังใหม่ลงสตรีม เดี๋ยวมาดูด้วยกันที่ห้องศศินะ” น้องสาวของคันศรลงมาจากข้างบน ก็รีบชวนแฟนพี่ชายให้ไปดูหนังเป็นเพื่อนกัน

“แฟนผมครับ ขอโทษ ผมไม่อนุมัติ ห้องผมก็มีดู” คันศรปฏิเสธแทนหนูจ๋า เพราะแน่ใจแล้วว่า ยัยศศินี่แหละ ที่เป็นคนป้อนข้อมูลความลับต่าง ๆ ของเขา ตั้งแต่เด็กให้หนูจ๋าได้รู้ “อยู่ห้องพี่ศร ก็ได้ดูแต่บอลนั่นแหละ ไม่รู้จะมีสตรีมมิ่งไว้ทำไม เปลืองเงินเปล่า ๆ” หนูจ๋าได้แต่อยู่ตรงกลาง ระหว่างศึกของสองพี่น้อง “ไป ๆ แยกกันไปก่อน อย่ามายืนเถียงกันอยู่ หนูจ๋าลูก แล้วพี่หนูดีล่ะ” แม่ไล่ให้คันศรกับศศิแยกกันไป ก่อนจะถามถึงพี่สาวของหนูจ๋า พอดีกับที่กริ่งหน้าบ้านดังขึ้น

“น่าจะเป็นพี่หนูดี เดี๋ยวหนูจ๋าออกไปดูให้นะครับ” หนูจ๋าเดินออกไปที่หน้าประตูรั้ว คันศรทำท่าจะเขกกะโหลกน้องสาว ยัยศศิรีบวิ่งไปหาพ่อ และฟ้องว่าคันศรจะแกล้งเธอ คุณศรัณย์มองลอดแว่นด้วยสายตาตำหนิ ก่อนจะดุทั้งสองพี่น้องว่า “เจ้าศรถ้ายังไม่ไปอาบน้ำอาบท่า ก็ช่วยแม่เขาจัดโต๊ะอาหารเข้า ศศิด้วย โตแล้วทะเลาะกันอย่างกับเด็ก” คันศรกับศศิย่นจมูก เบ้ปากใส่กัน ก่อนจะเดินไปช่วยแม่ยกสำรับกับข้าว อย่างว่าง่าย

“สวัสดีค่ะ คุณพ่อคุณแม่” หนูดียกมือไหว้คุณอนงค์และคุณศรัณย์ ผู้อาวุโสกว่าทั้งสองยกมือรับไหว้ “หนูแวะซื้อขาหมูเจ้าอร่อยมาด้วยค่ะ” หนูดียื่นกับข้าวให้กับศศิที่เข้ามารับไปจัดใส่จาน “ศศิกำลังอยากกินอยู่พอดีเลยค่ะ พี่หนูดี” หนูดียิ้มให้กับศศิ ต่างฝ่ายต่างเป็นพี่สาวและน้องสาวที่ไม่เคยมีของกันและกัน เลยดูจะเข้าใจหัวอกลูกสาวกันได้ดีเป็นพิเศษ หนูจ๋าเดินตามหนูดีเข้ามาเงียบ ๆ

“ให้เวลาเขาหน่อยแล้วกัน” หนูดีรู้ว่า ทำไมน้องชายของเธอถึงทำหน้าหงอยแบบนั้น “หรือว่าจะต้องให้เวลาพ่อกับแม่แบบนี้ ไปจนกว่าจะจากกัน” หนูจ๋าพูดด้วยเสียงเศร้า ๆ หนูดีโอบไหล่ของน้องเอาไว้ เพื่อให้กำลังใจ คันศรมองไปที่แฟนของเขา มองเห็นสายตาของหนูจ๋า ที่มองมายังคุณอนงค์และคุณศรันย์ ที่หนูจ่าเคยพูดกับคันศรเอาไว้ว่า พ่อและแม่ของคันศร ไม่เพียงแต่จะต้อนรับหนูจ๋าเข้ามาเป็นสมาชิกในครอบครัว ในฐานะแฟนของลูกชายแล้ว ยังมีน้ำใจเผื่อแผ่ความรักความเอ็นดู มาถึงพี่หนูดี พี่สาวของหนูจ๋าอีกด้วย เสมือนว่า หนูดีเองก็เป็นลูกสาวอีกคนหนึ่งของทั้งสองท่าน

เมื่อดาวเจ้าเรือนพันธุ ที่แปลว่า ที่ติดเนื่องกัน นั่นหมายถึง ที่อยู่อาศัย บ้าน ที่ดิน พ่อแม่ ญาติพี่น้อง มาตกในเรือนมรณะ ที่มีความหมายถึง การเปลี่ยนแปลงสภาพ สูญเสียหรือแปรเปลี่ยนไป อาจจะรวมถึงการสิ้นสุดของโรคภัยไข้เจ็บ อีกทั้งเครื่องหมายทางเพศ

เจ้าชะตาจึงมีเกณฑ์ที่จะได้อาศัยอยู่ในบ้านที่ไม่ใช่ของตัวเอง มีใครบางคนในครอบครัว ที่อาจจะต้องห่างเหินกันไป อาจจะหมายถึงว่า เจ้าชะตานั้น มีพี่น้องไม่มากนัก จะสร้างหรือหาทางลงหลักปักฐาน คงจะต้องทำมันด้วยตัวเอง เรื่องราวที่ได้ผ่านไปแล้วนั้น อาจจะไม่เป็นไปตามที่หวังเอาไว้ อาจจะมีการโยกย้าย การเกิดขึ้นอย่างลึกลับ แต่มันไม่น่ายินดี ซึ่งถือเป็นจุดอ่อนของตัวเจ้าชะตาเอง

“แกรู้อะไรมั้ย” หนูดีเอ่ยขึ้นกับหนูจ๋า ทำให้น้องชายมองสบตากับพี่สาว “ทายซิ ว่าใครมาส่งพี่ที่บ้านนี้” หนูดีพูด เลิกคิ้วเป็นเชิงให้หนูจ๋าหาคำตอบ “และฉันไม่ได้โกหกแกนะ หนูจ๋า” หนูดีบอกกับน้องชายออกไป “ฉันพูดจริง ๆ” หนูจ๋าพอที่จะรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง กับสถานการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพ่อแม่

“ก็ถือว่า มีพัฒนาการอยู่นะ อาจจะช้าหน่อย แต่ก็ไม่ได้ปิดตายเหมือนก่อนหน้านี้” หนูดีพูด ก่อนจะเดินไปที่โต๊ะอาหาร เมื่อคุณอนงค์เรียกให้ทุกคนไปนั่งทานข้าวด้วยกัน คันศรเดินไปหาหนูจ๋า ยิ้มให้กับแฟนของตัวเอง ก่อนยื่นมือออกไป หนูจ๋ายิ้มตอบกลับมาให้คันศร จับมือของคันศร แล้วเดินมานั่งร่วมโต๊ะอาหารกับครอบครัวของเขา

******************************

คำแปลเนื้อเพลงภาษษอังกฤษ โดย KADUMPA

English Lyrics Translation by KADUMPA

https://www.youtube.com/watch?v=3GuvVQKV77s


จะเป็นดาวดวงใดที่ปลายฟ้า

None of twinkling stars upon the night sky

จะเป็นรุ้งเส้นใดที่ทอดมา

Not even the brightest rainbows after the rain

จะเป็นใครคนใดก็ไม่เข้าตา

No one else out there catches my eye

ไม่สวยงามได้อย่างเธอ

You’re the most beautiful man to me


จะเป็นเพื่อนใกล้ชิดสนิทเพียงไร

There are these closet friends of mine

จะเป็นใครคนใดที่เคยพบเจอ

And all the people I have ever known

ไม่มีใครเข้าใจฉันเหมือนเธอ ไม่มี

That it’s you who totally understand me


จะเป็นใครคนใดเมื่อก่อนนั้น

Not with someone I might have been with

ที่บอกกับฉันว่ารักกันมากมาย

Though once said I was the love of theirs

แต่ละคนเข้ามาก็เลยพ้นไป

They’ve come then gone like all seasons

ไม่รักฉันจริงสักคน

They were not in love with me for sure


อยู่บนโลกที่แสนกว้างใหญ่เกินไป

The expansive interpretation of this world

เหนื่อยใจจนมันเกือบจะไม่ทน

Had my very own heart extremely worn out

แต่ฉันก็ยังได้พบคนอย่างเธอ

Though luck was on my side that I have you with me


หมื่นแสนล้านนาทีต่อไปนี้

Countless of the time from now

ขอใช้มันไปกับเธอ

That will be spent with you

อยากมีวันเวลาที่สวยงามดั่งความฝันที่เคยละเมอ

Our days to come will be beautiful as I am imagining it


แสนล้านนาทีต่อไปนี้ ไม่มีใครเทียมเท่าเธอ

With time remaining here, no one can compare with you

จะบอกให้คนทั้งโลกได้รู้ว่า

I’ll have this world known this very thing

หนึ่งชีวิตฉันยกให้เธอ

That my life belongs to you

ทั้งหัวใจ

With all of my heart


จะไม่มีคืนใดที่เหน็บหนาว

There will be no cold shivering nights left

หากว่าสองเราอิงมาซบกัน

As we’re sharing the warmth that put our hearts at ease

จะไม่มีวันใดที่เลยพ้นผ่าน

Not even one single day will pass

โดยไร้ซึ่งในความหมาย

Without the meaning of our life


จะไม่เหลือพื้นที่สักเศษมุมเดียว

All places and squares will be fully taken

เมื่อเราประคองเกี่ยวโยงหัวใจ

When our hearts connecting all the dots

สุดท้ายชีวิตฉันรักได้แต่เธอ

The big picture is you and I are falling in love


หมื่นแสนล้านนาทีต่อไปนี้

The rest of time in my life from now

ขอใช้มันไปกับเธอ

I’ll spend it with you

อยากมีวันเวลาที่สวยงามดั่งความฝันที่เคยละเมอ

The wonderful days to come will be like in all my dreams

แสนล้านนาทีต่อไปนี้ ไม่มีใครเทียมเท่าเธอ

This minute and the time after, only you are real

จะบอกให้คนทั้งโลกได้รู้ว่า

This world must really know that

หนึ่งชีวิตฉันยกให้เธอ ทั้งหัวใจ

This one life of mine is yours, all of me


แสนล้านนาทีต่อไปนี้

All of my time left

ขอใช้มันไปกับเธอ

I’ll stay with you in each day

อยากมีวันเวลาที่สวยงามดั่งความฝันที่เคยละเมอ

The dreams I dream are beautiful having you in single one of them


แสนล้านนาทีต่อไปนี้

The time of my life from here

ไม่มีใครเทียมเท่าเธอ

You’re the only one I really care

จะบอกให้คนทั้งโลกได้รู้ว่า

I’ll say this and it will be just this, period

หนึ่งชีวิตฉันยกให้เธอ

That I am yours

ทั้งหัวใจ

With all of my heart and soul

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 777
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 202
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
๓๑. (๑)



มรณะ – พันธุ (ทุกที่ที่มีเธอ)





“คิดถึงจังเลยครับ” ปั๋นได้ยินเสียงจากปลายสายบอกกับเขา ด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน คุณย่าท่านที่นั่งอยู่บนตั่งใกล้ ๆ กำลังช่วยคนงานจัดแจกันดอกไม้ เหลือบมองไปที่ปั๋น ท่านไม่ได้พูดอะไร แต่ก็มีรอยยิ้มบาง ๆ ให้เห็น เพราะผู้สูงวัย พอจะทราบว่าเป็นใคร ที่เพียรโทรมาหาได้ตลอด ทั้งเช้า สาย บ่าย ค่ำ “เดี๋ยวผมต้องไปช่วยพี่ ๆ ที่หน้าฟร้อนท์แล้วครับ” ปั๋นเลี่ยงบอกกับคนที่ปลายสายไปแบบนั้น

“ปั๋นไม่คิดจะบอกคิดถึงพี่กลับบ้างเลยหรือไง” ปราชญ์ทำเสียงบ่นน้อยใจ เมื่อแผนตะล่อมของเขา ที่อยากได้ยินคำพูดหวาน ๆ จากอีกฝ่าย ไม่ได้ผล “ใจแข็งจัง” ปราชญ์ทำเสียงกระเง้ากระงอด แต่ก็พอจะนึกสีหน้าของปั๋นออก ว่าคงจะกังวลว่า เขาจะโกรธจริง ๆ “คุณปราชญ์ เราเพิ่งเจอกันไปสัปดาห์ที่แล้วเองนะครับ” ปั๋นเตือนความจำคนที่อยู่ปลายสาย

“ก็มันคิดถึงอีกแล้วนี่ หนึ่งสัปดาห์เต็ม ๆ แล้วนะปั๋น” ปราชญ์เทียวบินขึ้นลงกรุงเทพฯ กับเชียงรายมาหลายสัปดาห์แล้ว “จริง ๆ คุณปราชญ์ไม่ต้องมาทุกสัปดาห์ก็ได้นะครับ มันหมดเปลืองเปล่า ๆ” ปั๋นบอกกับปราชญ์ไป ด้วยเห็นว่า ไหนปราชญ์จะต้องจ่ายค่าเครื่องบิน แล้วยังจะค่าเช่ารถจากสนามบินมาถึงที่รีสอร์ตนี่อีก

“มันไม่ได้สิ้นเปลืองอะไรเลยปั๋น พี่เต็มใจที่จะไปหาปั๋นทุกสัปดาห์ หรือบ่อยกว่านั้น ถ้าพี่ทำได้” ปราชญ์บอกกับปั๋นถึงความตั้งใจของเขาที่มี “พี่ไม่ยอมอีกแล้วนะ การไม่มีปั๋นในชีวิต มันแย่ที่สุดเลยรู้มั้ย ที่ตื่นนอนขึ้นมา แล้วต้องเห็นเตียงมันว่าง ๆ ไม่มีปั๋นอย่างเมื่อก่อน” ปั๋นรู้สึกดี เมื่อเดี๋ยวนี้ ปราชญ์ดูอ่อนโยนขึ้น และใช้คำพูดที่ไม่หักหาญน้ำใจออกคำสั่งกับเขาเหมือนเมื่อก่อน

“อีกอย่าง พี่ก็อยากดูแลคุณย่าด้วย พี่รู้ พี่ละเลยท่านมานาน เหมือนที่พี่ละเลยความรู้สึกของปั๋น” ปราชญ์รู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย ที่ตลอดเวลามานี้ เขาแทบไม่ได้รู้เลย ว่าคุณย่าของเขามีความเป็นอยู่อย่างไร แต่ก็ยังพอเบาใจ ที่ตอนนี้ คุณย่ามีปั๋นคอยดูแลเป็นอย่างดี “เมื่อกี้คุณปราชญ์พูดว่าอะไรนะครับ” ปั๋นถามอีกฝ่ายซ้ำ ปราชญ์ได้ยิน เลยพูดซ้ำอีกที ให้ปั๋นได้ยินช้า ๆ ชัด ๆ

“พี่บอกว่า ที่พี่ขึ้นไปที่เชียงรายบ่อย ๆ ไม่ใช่แค่อยากไปเจอปั๋น แต่พี่ต้องการจะมีโอกาสได้ดูแลคุณย่าของพี่ด้วย” คุณย่าท่านค้อนขวับเข้าให้ เมื่อปั๋นเปิดลำโพงโทรศัพท์มือถือ ให้ท่านได้ยินสิ่งที่หลายชายตัวดีของท่านพูดออกมา แต่ก็ไม่วาย ที่คุณย่าท่านจะยิ้มออกมาด้วยความปลื้มใจ

“ผมต้องวางสายแล้วนะครับ คุณปราชญ์ พี่ ๆ เขารออยู่” ปั๋นเตือนปราชญ์ออกไป ชายหนุ่มที่ปลายสาย ทำเสียงงอแง แต่ก็ยอมวางสายไปแต่โดยดี ปั๋นเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงด้านหลัง ก่อนจะได้ยินเสียงคุณย่าท่านพูดขึ้นว่า “เดี๋ยวนี้ เธอใช้ฉันเป็นเครื่องมือแล้วสินะ” คุณย่าท่านพูด พลางกวักมือเรียกคนงาน ให้มายกแจกันดอกไม้ที่จัดเสร็จแล้วไป ปั๋นได้ยินผู้อาวุโสกล่าวเชิงติ เชิงหยอก ก็ต้องรีบบอกว่า มันไม่ใช่แบบนั้น

“คือ ไม่ใช่นะครับ ปั๋นไม่ได้ใช้คุณย่าท่านเป็นเครื่องมือ เพียงแต่ ปั๋นอยากให้คุณย่าท่านได้ยินสิ่งดี ๆ ที่คุณปราชญ์พูดไว้น่ะครับ” ปั๋นพูดจบ คุณย่าท่านก็ทำถอนหายใจ แต่ที่ริมฝีปากของท่าน ก็ยังแต้มรอยยิ้มจาง ๆ เอาไว้ “เอาเถอะ เธอมีอะไรก็ไปทำซะไป” คุณย่าท่านพูดขึ้น “ไม่ต้องห่วงฉันมากนักหรอก เธอก็ให้แม่นวลนี่ มาอยู่คุมฉันแจอยู่แล้วนี่ ฉันจะกระดิกกระเดี้ยวตัวทำอะไร แม่นวลนี่ก็รายงานเธอซะหมด”

ป้านวลกับปั๋นแอบสบตากัน แล้วยิ้ม เมื่อถูกย่าท่านจับได้ เพราะปั๋นห่วงคุณย่าท่าน ที่อายุมากแล้ว เลยให้ป้านวลมาคอยอยู่เป็นเพื่อน ช่วยหยิบจับทำอะไรตามแต่คุณย่าท่านจะสั่ง ซึ่งป้านวลเองก็เต็มใจ แม้จะโดนดุ โดนค่อนขอดอยู่ประจำ แต่ทุกคนที่นี่ต่างรู้กันดีว่า คุณย่าท่านอาจจะปากร้าย แต่ท่านก็ใจดี และยุติธรรมกับทุกคน

“ตอนเที่ยง ผมจะให้ที่ครัวเขาจัดสำรับมาเร็วกว่าเดิมนิดหนึ่งนะครับ พอดีวันนี้มีแขกที่มาพัก ขอจองห้องอาหารหลังบ่ายโมง” ปั๋นเรียนให้คุณย่าท่านทราบ ก่อนจะถัดตัวมาที่ตั่ง เพื่อยกแจกกันดอกไม้ที่เหลือออกไป “ขอบใจเธอมากนะ” คุณย่าท่านเอื้อมมือมาแตะที่แก้มของปั๋น น้ำเสียงของท่านอ่อนโยน แววตาของท่านแสดงออกถึงความเอ็นดูปั๋นไม่แตกต่างจากหลานของท่านเอง

ปั๋นวางแจกกันดอกไม้ลง ก่อนจะเอามือประคองมือของคุณย่าท่านเอาไว้กับแก้มของเขาจนแนบแน่น คุณย่าท่านเป็นเสมือนญาติผู้ใหญ่คนสุดท้าย ที่ปั๋นเหลืออยู่ กับคุณย่าน้อย ที่รักและปรารถนาดีกับปั๋นมาตั้งแต่จำความได้ ปั๋นไม่มีโอกาสได้ตอบแทนพระคุณท่าน ดังนั้น อะไรที่ปั๋นทำเพื่อคุณย่าท่านได้ หรือสิ่งที่คุณย่าท่านต้องการ ปั๋นจะไม่ลังเลที่จะทำมันเลย

ปราชญ์วางสายจากปั๋นด้วยรอยยิ้ม ชีวิตของเขาดูจะมีหวังและเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น ถึงแม้ว่าตอนนี้ เขาจะทำอะไรตามใจตัวเองไม่ได้ทุกอย่าง แต่อย่างน้อย ปราชญ์ก็รู้ว่า ข้างหน้าต่อจากนี้ไป เขาต้องทำอะไรบ้าง มากน้อยแค่ไหน เพื่อให้ตัวเองบรรลุเป้าหมายที่รอคอยและต้องการ

“นี่มันคงทำทุกหนทาง เพื่อที่จะกลับมาหาแกให้ได้สินะ เจ้าปราชญ์” คุณชัยวัฒน์ที่ได้ยินการสนทนาของลูกชายตัวเอง กล่าวขึ้นอย่างหัวเสีย ปราชญ์เงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์ รอยยิ้มที่เปื้อนใบหน้าของเขาอยู่เมื่อครู่ หายไปในทันที “ผมต่างหากครับ คุณพ่อ ที่ตามหาปั๋นจนเจอ แล้วอ้อนวอนขอให้เขากลับเข้ามาอยู่ในชีวิตของผมอีกครั้ง” ปราชญ์บอกพ่อของเขาด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ

“ฉันกันแกให้ออกห่างจากมัน เพื่อแกจะได้มีชีวิตที่ดีขึ้น แต่แกกลับทุรนทุราย ดิ้นรนกลับไปหามัน อยากจะกลับไปตกนรกร่วมไปกับมัน” ปราชญ์พยายามข่มใจ เก็บความรู้สึก เมื่อได้ยินผู้เป็นพ่อ พูดถึงคนรักของเขาแบบนั้น “พ่อครับ นี่พ่อกำลังเข้าใจผิดนะครับ” ปราชญ์ไม่รู้จะทำอย่างไรดีแล้ว กับอคติที่พ่อของเขามีกับปั๋น “ตอนนี้ปั๋นเขามีชีวิตที่ดีครับ ดีมากซะด้วย ดีมาก ๆ โดยที่ไม่ต้องมีผม” ปราชญ์รู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจ เมื่อต้องพูดออกไปแบบนั้น

“ผมนี่สิ ที่เหมือนกำลังตกนรก เมื่อไม่มีเขา” ปราชญ์รู้สึกแบบนั้น เมื่อความจริงที่เป็นอยู่ในตอนนี้ กำลังสอนเขาว่า ไม่มีอะไรสักอย่างในชีวิต ที่จะเป็นไปตามที่ใจเขาต้องการ มันไม่ใช่สิ่งเสมอไปในชีวิต “ตอนนี้เขามีรีสอร์ต มีธุรกิจที่ทำเงินให้กับเขาเป็นกอบเป็นกำ เพราะอะไรรู้มั้ยครับพ่อ ก็เพราะว่าสิ่งที่เขาเป็นเนี่ยแหละครับ ลูกค้าของเขามองเห็นคุณค่าในตัวปั๋น เขาก็แห่กันมาพักจนรีสอร์ตแทบแตก” ปราชญ์ยังมีเรื่องให้ต้องกังวลเกี่ยวกับปั๋นอีกหนึ่งเรื่อง

“ลูกค้าทั้งไทย ทั้งเทศ หล่อกว่าผม ฐานะดีกว่าผม ประสบความสำเร็จมากกว่าผมหลายร้อยเท่า แข่งกันมาขายขนมจีบให้กับปั๋น พ่อยังคิดว่า ผมยังเป็นคนคุมเกมอยู่หรือครับ ผิดถนัดครับ” นี่คืออีกเหตุผลหนึ่ง ว่าทำไมปราชญ์ถึงต้องยอมเหนื่อย เทียวขึ้นเทียวลงไปหาปั๋น “พอโลกเปิดหนทางให้กับเขา ตัวเลือกดี ๆ ดีกว่าผม ก็พาเหรดกันมาไม่ขาดสาย ผมไม่ใช่ตัวเลือกเดียวของเขา เหมือนตอนที่ผมบังคับเขาได้ที่บ้านแล้วนะครับ”

“แต่มันเป็นพวกลักเพศ” คุณชัยวัฒน์ตวาดใส่ปราชญ์ดังลั่น ปราชญ์มองพ่อของเขาด้วยหัวใจที่ร้าวราน “ลูกของพ่อก็ไม่ต่างกับเขาครับ” คำพูดที่ทำร้ายความรู้สึกที่ออกมาจากบิดาของเขา ทำให้ปราชญ์น้ำตารื้นขึ้นที่ขอบตา คุณชัยวัฒน์ชะงัก เมื่อได้ยินลูกชายพูดออกมาแบบนั้น “ผมถึงต้องทำทุกอย่าง เพื่อให้มั่นใจว่า ผมจะเป็นคนที่ถูกเลือก” ปราชญ์บอกกับตัวเองเอาไว้แล้วว่า เขาจะไม่ยอมปล่อยให้ปั๋นหลุดมือไปเป็นของคนอื่นอย่างแน่นอน

“อีกอย่าง พ่อเคยคิดจะบอกดผมสักคำมั้ยครับเรื่องมรดกของย่าน้อย ว่าย่าน้อยยกทุกอย่างให้กับปั๋น” คุณชัยวัฒน์หลบตา เมื่อได้ยินลูกชายของตัวเองถามคำถามนั้นออกมา เพราะรู้ตัวว่า เขาเองต้องการจะปิดบังความจริงนี้เอาไว้ เพื่อให้สมบัติที่เป็นที่ดินแปลงใหญ่ มูลค่ามหาศาลถูกถ่ายโอนไปให้กับเจ้าเด็กนั่น “มันเป็นของน้องสาวย่าแก มันควรจะเป็นของแก” คุณชัยวัฒน์ต้องการให้ที่ดินของน้าสาว ตกเป็นของปราชญ์

“ย่าน้อยมองออกทะลุปรุโปร่งจริง ๆ” ปราชญ์เองก็ไม่อยากจะเชื่อ ว่าพ่อบังเกิดเกล้าของเขา จะเป็นคนแบบนี้ “พ่อจะเอาสมบัติของย่าน้อย แต่ตอนที่ย่าน้อยอยู่บ้านใน แค่ถัดกำแพงบ้านเราไป พ่อเคยไปเยี่ยมเยียนดูแลย่าน้อยบ้างมั้ยครับ” ปราชญ์ถามด้วยความรู้สึกเสียใจ “ก็ฉันมีงานต้องทำ มีแกให้ต้องเลี้ยงดู” คุณชัยวัฒน์แก้ตัวออกมา

“ถ้าอย่างนั้น ผมมีพ่อดูแลแล้ว ย่าน้อยยกมรดกให้ปั๋น ที่ไม่มีใครคิดจะดูแล มาดูดำดูดีเลย ว่าจะเป็นตายร้ายดียังไง ก็ถูกต้องเหมาะสมแล้วนี่ครับ” ปราชญ์นึกสงสารปั๋นจับใจ กับช่วงเวลาที่ปั๋นต้องกัดฟันทน เพื่อให้ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนั้นไปให้ได้ ปั๋นในเวลานั้นไม่มีใครเลยจริง ๆ

“อ้อ แล้วคุณย่าก็บอกกับผมมาแล้วนะครับ ว่าบ้านในนั้น ย่าน้อยก็ยกให้ปั๋น อย่าให้ถึงกับต้องโดนคดียักยอกนะครับพ่อ คืนให้เขาไปซะ” ปราชญ์ยังไม่อยากเห็นพ่อของเขาต้องลำบาก มามีคดีความต้องติดคุกตอนแก่ “ฉันทำทุกอย่างก็เพื่อแก เจ้าปราชญ์” คุณชัยวัฒน์พูดบอกกับลูกชาย ด้วยความสัตย์จริง เขารักลูกชายของตัวเองมาก แต่กับปั๋น คุณชัยวัฒน์ไม่ต้องการลูกที่ติดภรรยาใหม่เลยสักนิด

“เป้าหมายของผมใกล้จะเป็นความจริงแล้วอย่างหนึ่ง คือ หนี้ที่บริษัทของพ่อก่อเอาไว้ ถูกชำระจนเกือบหมดแล้ว” ปราชญ์พยายามรวบรวมสติ และเลือกใช้น้ำเสียงที่เหมาะสม เพราะอย่างน้อย คุณชัยวัฒน์ก็คือพ่อของเขา “ถ้าพ่อไม่พอใจในสิ่งที่ผมเป็น ก็ไล่ผมออกซะครับ ผมจะได้ไปตามทางของผม นี่ผมติดหนี้บุญคุณปั๋นเขาอีกอย่างนะครับ ที่เขาดูแลคุณย่า”

“ใช่ครับ แม่ของพ่อ ปั๋นเขาดูแลเป็นอย่างดี โดยไม่รังเกียจสักนิด ว่าคุณย่าคือแม่ของคนที่ไล่เขาออกจากบ้าน อย่างหมูอย่างหมา แถมดูถูกเขาสารพัด เงินสองแสนที่พ่อใช้ฟาดหัวเขาไป คุณย่าให้ปั๋นโอนเงินคืนให้แล้วนะครับ ป่านนี้ พ่อก็คงจะทราบแล้ว ยังไงผมขอตัวทำงานก่อนนะครับ พรุ่งนี้เช้าผมมีไฟลต์แต่เช้า ผมจะไปหาคนรักของผม”

“ก็อย่างที่ผมบอกนะครับ ถ้าพ่อคิดว่าสิ่งที่ผมทำ เป็นการขัดคำสั่ง ขัดใจพ่อแล้วล่ะก็ พ่อไล่ผมออกได้ทุกเมื่อ” คุณชัยวัฒน์มองหน้าลูกชาย แต่ก็พูดอะไรไม่ออก “แต่ถ้าพ่อต้องการให้ผมช่วยปลดหนี้ให้บริษัท ซึ่งผมมีหน้าที่ช่วยพ่อแค่เรื่องนี้เท่านั้น แล้วละก็” ปราชญ์เน้นย้ำในสิ่งที่เขาจะทำและไม่ทำ

“ให้ผมทำงานของผมให้เสร็จ และร่วมยินดีกับความสำเร็จของผมก็พอ” ปราชญ์พูดจบ ก็ลงมือจดจ่ออยู่กับกองเอกสารโปรเจ็กต์ใหม่ตรงหน้า ไม่ได้สนใจผู้เป็นพ่อ ที่เปิดประตูเดินออกจากห้องทำงานของลูกชายไปเงียบ ๆ คุณชัยวัฒน์ถอนหายใจออกมา เมื่อรู้สึกตัวแล้วว่า ทุก ๆ คนที่เคยอยู่ในชีวิตของเขา ได้พากันออกไปจากตัวเขา ไกลได้เท่าไหร่ยิ่งดี

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 202
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
๓๑. (๒)


ธนภพกับซื่อหนานมาถึงที่รูฟท็อป บาร์ อันหรูหราบนชั้นดาดฟ้าของโรงแรมระดับไฮเอนด์แห่งหนึ่งในตัวเมือง พนักงานกล่าวต้อนรับด้วยชื่อของทั้งสองคน ก่อนจะเดินนำไปที่โต๊ะที่ได้จองเอาไว้ มันเป็นโต๊ะที่สามารถชมวิวเมืองหลวง โดยเห็นทัศนียภาพยามพระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้าได้เป็นมุมกว้าง แต่ก็เป็นส่วนตัวมากพอ สำหรับค่ำคืนอันพิเศษนี้

“ขอบคุณนะครับภพ ที่พาหนานมา” ซื่อหนานที่ยกกล้องมือถือขึ้นถ่ายรูปวิว รวมถึงบรรยากาศของรูฟท็อป บาร์ มุมนั้น มุมนี้ บอกกับธนภพด้วยรอยยิ้ม ดีใจที่ธนภพเลือกร้านนี้ “ภพบอกแล้ว ว่าอาหนานต้องชอบ” ธนภพนึกเอ็นดูสีหน้าและแววตาของคนรัก ที่ซื่อหนานไม่สามารถซ่อนอาการของเด็กชายซื่อหนาน ที่อยู่ในตัวเอาไว้ได้

แต่กว่าที่ซื่อหนานจะยอมมากับเขาได้ ธนภพต้องทั้งหว่านล้อม ต้องตะล่อมกันอยู่นาน เหตุว่า ซื่อหนานไม่อยากให้เขาสิ้นเปลือง แล้วอีกอย่าง อาหนานไม่อยากปิดร้านในวันรุ่งขึ้น เพราะเสียดายรายได้ แต่ก็ได้คุณนุจรี แม่ของธนภพที่ช่วยพูดให้ ว่าเมื่อวันหยุดยาวที่เพิ่งผ่านมา ร้านไม่ได้ปิด ทำให้ลูกค้าแน่นขนัดตลอดลองวีคเอนด์ ทุกคนเหนื่อยกันมากในวันนั้น วิ่งวุ่นดูแลลูกค้าจนขาแทบขวิด ก็ถือซะว่า ให้พนักงานได้หยุดพักย้อนหลังแล้วกัน

“ไปเถอะลูก อาหนาน ไปพักผ่อน ทำอะไรเพื่อตัวเองซะบ้าง” คุณนุจรีพูด พลางลูบหน้าลูบตาแฟนของลูกชาย ซึ่งก็คืออีกคนของเธอ “เรื่องร้านนี่ เดี๋ยวก็ปิดประตู ล็อกให้ดี ส่วนยายเดี๋ยวแม่ดูให้เอง คืนนี้แม่พายายไปนอนที่บ้านด้วย โน่น พ่อเจ้าภพเขาคิดถึง บ่นว่าอยากจะเจอยายอยู่พอดี” คุณนุจรีเล่าเรื่องสามีของเธอ อยากจะเจอยายของซื่อหนาน สองคนนี้เข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย เพราะผู้อาวุโส ทำให้พ่อของธนภพคิดถึงแม่ของเขาที่ล่วงลับไปแล้ว

“ไปกับภพเถอะอาหนาน ไม่ต้องห่วงยาย มีแม่นุจดูแลยายทั้งคน” ยายของซื่อหนานบอกกับหลานชาย ธนภพยิ้มให้กับซื่อหนานแบบเป็นต่อ เมื่อทั้งแม่และยายเข้าข้างเขา “ตั้งแต่แต่งกัน ก็ยังไม่ได้ไปฮันนีมูนกันเลย ถือซะว่า ไปซ้อม ๆ กันก่อน ไว้เวลาไปจริง จะได้ไม่เขิน” คุณนุจรีพูดแซวซื่อหนาน ที่ตอนนี้เขินจนไม่รู้จะทำหน้ายังไงดี

“แม่นุจ” ซื่อหนานอยากจะพูดประท้วง ธนภพหัวเราะเสียงดังชอบใจ แม้แต่ยายเองก็ยังหัวเราะตาม “ยายจ๋า ยายต้องเข้าข้างหนานสิ” ซื่อหนานกอดเอวยายจากด้านหลัง ก่อนจะยู่หน้าให้กับธนภพ “อีกอย่าง ภพได้เลื่อนตำแหน่ง ได้ปรับเงินเดือน อาหนานไปฉลองกับภพหน่อยนะครับ”

ธนภพยื่นมือออกไปให้ซื่อหนานจับ ยายตบมือเบา ๆ ลงบนแขนของซื่อหนาน บอกให้หลายชายไปร่วมแสดงความยินดีกับคนรัก ซื่อหนานยื่นมือไปจับมือธนภพ คุณนุจรีและยายต่างชื่นใจ กับภาพที่ได้เห็นทั้งลูกชายและหลานชาย มีความสุข

“ยังไงขวดแรกนี้ ออน เดอะ เฮาส์นะคะ” ผู้จัดการรูฟท็อป บาร์ เป็นผู้ที่เดินเอาเครื่องดื่มมาบริการเองถึงโต๊ะ “ถือเป็นอภินันทนาการจากทางร้าน” เธอให้ธรภพและซื่อหนานดูฉลากที่ขวดแชมเปญในมือ ก่อนจะเปิดขวดและรินใส่แก้วให้กับทั้งคู่ “ยินดีด้วยนะคะกับคู่แต่งงานใหม่ และการเลื่อนตำแหน่งของคุณผู้ชายด้วย” ผู้จัดการสาวผู้ทะมัดทะแมงกล่าวแสดงความยินดีกับทั้งคู่

“ขอบคุณมากนะครับ” ซื่อหนานค้อมศีรษะกล่าวขอบคุณผู้จัดการร้าน ธนภพยิ้มแล้วกล่าวขอบคุณกลับไป “ยินดีค่ะ เชิญตามสบายนะคะ ขาดเหลืออะไร เรียกได้เต็มที่เลย” เธอพูดจบ ก่อนจะขอตัวไปบริการแขกท่านอื่นต่อ ซื่อหนานเคอะ ๆ เขิน ๆ ด้วยว่า ไม่เคยมาสถานที่อะไรแบบนี้มาก่อน ซื่อหนานรู้ว่านี่มันเป็นเรื่องธรรมดาของธนภพ แต่ตอนที่เรียนนั้น ธนภพเป็นสุภาพบุรุษมาก เขาไม่เคยชวนซื่อหนานมาเที่ยวกลางคืนเลยสักครั้ง

“เอ้าดื่ม” ธนภพยกแก้วขึ้นชน ซื่อหนานทำตาม ก่อนจิบแชมเปญแก้วแรกในชีวิตเข้าปาก “หืม อร่อยดี เหมือนน้ำผลไม้เลย แต่ซ่า ๆ เหมือนใส่โซดา” ซื่อหนานทำตาโต พูดบอกกับธนภพ “อาหนาน ภพเตือนไว้ก่อน มันเมาง่ายนะ” ธนภพทั้งขำทั้งเอ็นดูกับความสดใสและใสซื่อของซื่อหนาน “ไม่กี่แก้วเอง ไม่เป็นไรหรอก” ซื่อหนานทิ้งท้ายเอาไว้แบบนั้นในชั่วโมงนี้

“ภพ ทำไมหนานรู้สึกว่า แก้มมันตึง ๆ น่วม ๆ ไปหมด” ซื่อหนานไม่พูดเปล่า แต่เอาข้อนิ้วทั้งสองมือ กดลงบนบริเวณโหนกแก้มของตัวเอง “อาหนาน เมาแล้วนะ” ธนภพอดยิ้มไม่ได้ ที่แฟนของเขาที่จากขวดแรก เป็นขวดที่สอง และกำลังจะขึ้นขวดที่สาม กระดกแชมเปญลงคอเหมือนเป็นน้ำเปล่า

“ยังไม่เมาซักหน่อย” ซื่อหนานตอบกลับ ก่อนจะยิ้มออกมาเขิน ๆ ธนภพที่เพิ่งเคยเห็นคนรักของเขาเมาเป็นครั้งแรก ก็ให้สนใจว่า จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป “เมาไม่ได้เหรอ” ซื่อหนานทำท่างอน เสียงพูดเริ่มอ้อแอ้มากขึ้น “ถ้าอาหนานเมาตอนอยู่กับภพ ก็ไม่มีปัญหาหรอกครับ” ธนภพนั้น ตราบใดที่ซื่อหนานอยู่กับเขา “ภพดูแลอาหนานเอง” ธนภพที่ดื่มไปเพียงไม่กี่แก้นึกเอ็นดูอาการเมาของแฟนตัวเอง

“งั้นก็ชน” ซื่อหนานยกแก้วขึ้นนำ ธนภพทำตาม จิบแชมเปญในแก้ว ก่อนจะยกกล้องในโทรศัพท์มือถือขึ้นถ่ายรูปอาหนาน แล้วส่งไปให้แม่ของเขา คุณนุจรี เปิดรูปที่ธนภพ ลูกชายส่งมาให้ดูทางโปรแกรมแชท “อาหนานเมา” คุณนุจรีเดินเอามือถือไปให้ยายของอาหนานดู “แก้มแดงไปหมดเลย” คุณนุจรีพูดกลั้วหัวเราะ

“ตายแล้ว อาหนานมันไม่เคยเมามาก่อนเลย” ยายของซื่อหนานพูดด้วยความเป็นห่วงหลานชาย “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณยาย อยู่กับตาภพ คนนั้นไม่ยอมปล่อยให้อาหนานเป็นอะไรแน่นอน” คุณนุจรีให้ความเชื่อมั่นกับยาย “ปล่อยให้เด็ก ๆ เขาสนุกกันไป ส่วนเรา มาจิบชาร้อน ๆ หอม ๆ กันดีกว่าครับคุณยาย ผมเพิ่งได้มาจากเมืองนอก ตอนแวะพักรอต่อเครื่องกลับมาไทย” สามีของคุณนุจรี ชวนผู้สูงวัย ให้มาจิบชาด้วยกัน

“ไหวมั้ย อาหนาน” ธนภพโอบตัวของซื่อหนานเอาไว้ เมื่ออีกฝ่ายโถมน้ำหนักตัวมาทางเขา ซื่อหนานเงยหน้าขึ้นสบตากับธนภพ ใบหน้าแดงเพราะฤทธิ์แชมเปญ กับสายตาที่ดูยั่วยวน ที่ซื่อหนานมองมาที่เขา ทำให้ธนภพในเต้นแรง “เรากลับห้องพักโรงแรมเลยดีกว่า” ธนภพพูดขึ้น ก่อนกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ลงคอ เมื่อซื่อหนานที่ไม่ได้พูดอะไร กลับยื่นหน้าเข้าหาเขา ก่อนจะจูบที่ริมฝีปากของธนภพ

“กลับห้องเลย กลับห้องกันเลยเถอะ” ธนภพรีบกดลิฟต์เพื่อลงไปยังชั้นที่พักของเขา ตลอดทางในลิฟต์นั้น ยิ่งทำให้ธนภพมือไม้สั่น เมื่อซื่อหนาน เดี๋ยวก็ซบที่แผงอกของเขา เดี๋ยวก็หอมเข้าที่แก้ม เดี๋ยวก็จูบปากเขาอยู่อย่างนั้น พอประตูลิฟต์เปิดชั้นที่ต้องการ ธนภพก็เดินโอบเอวซื่อหนานไปที่ห้องพัก เมื่อถึงที่หน้าประตู ซื่อหนานเอาหลังพิงประตูห้องเอาไว้ ก่อนสบตากับธนภพตรง ๆ

“ตอนเราเข้าห้องไปแล้ว” ซื่อหนานพูด ก่อนจะวางมือทั้งสองข้าง ไว้บนกล้ามอกของธนภพ “เราจะทำกันหรือเปล่า” ธนภพเห็นภาพตรงหน้า ที่ซื่อหนานของเขาพูดจบ ปากก็เผยอขึ้นหน่อย ๆ เหมือนรอให้เขาพุ่งเข้าใส่ก็ไม่ปาน “หนานยังต้องถามอีกเหรอ” ธนภพพูด เอาแขนข้างหนึ่งโอบหลังของซื่อหนานไว้ ส่วนมืออีกข้าง แตะคีย์การ์ดเพื่อเปิดประตูห้อง

“ทำก็ทำ” ซื่อหนานพูด ก่อนจะกลับหลังหัน ดันประตูเปิดเข้าไปในห้อง ธนภพไล่สายตามองคนรักของเขา ตั้งแต่เส้นผมจรดปลายเท้า ก่อนจะเห็นซื่อหนานเอี้ยวตัวหันกลับมามองที่เขา ทำให้ธนภพปิดประตูตามหลัง ล็อกห้อง แล้วเดินเข้าไปหาซื่อหนาน ธนภพโอบกอดซื่อหนานจากด้านหลัง ทำให้หว่างขาของเขาเบียดแนบเข้ากับบั้นท้ายของซื่อหนาน อะไรบางอย่างที่แข็งขันของธนภพ พร้อมทำหน้าที่แล้ว

“หนานอาบน้ำก่อน” ซื่อหนานบอก ธนภพพยักหน้าไว ๆ ซื่อหนานเดินเข้าไปในห้องน้ำ ไม่นานก็ได้ยินเสียงน้ำจากฝักบัวชาวเวอร์ เฮ้ด ไหลลงกระทบพื้น พร้อมกลิ่นสะอาด ๆ ของชาวเวอร์ เจล ลอยออกมากระทบจมูก ธนภพรีบถอดเสื้อและกางเกงออก ก่อนจะหันไปมองตัวเองในกระจก เขาอยู่ในกางเกงชั้นในแบบบรีฟสีขาว ที่ด้านในมีอาวุธพอเหมาะพอเจาะกับการใช้งานดุดันแข็งขันอยู่

ซื่อหนานเดินออกมาจากกห้องน้ำ โดยมีผ้าขนหนูพันรอบเอวออกมาแค่ผืนเดียว ธนภพแทบจะแทบจะรอไม่ไหว เขารีบเข้าไปในห้องน้ำ จัดการอาบน้ำ ถูให้ทุกซอกทุกมุมสะอาด เขารู้ดีว่า ส่วนไหนของเขาที่กระตุ้นอารมณ์คนรักได้เป็นอย่างดี เขาก็บรรจงฟอกชาวเวอร์ เจลจนฟองฟอดตรงส่วนนั้น นานเป็นพิเศษ เพราะซื่อหนานจะต้องเล่นกับตรงนั้นของเขา นานเป็นพิเศษเช่นกัน

“หนาน” ธนภพที่ใช้ผ้าเช็ดตัว เช็ดผม เช็ดตัวแบบลวก ๆ แบบหยดน้ำยังเกาะตัวอยู่ ยังไม่แห้งดี เดินออกจากห้องน้ำมาเรียกชื่อคนที่เข้าไปซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มอุ่น หอมกรุ่นและขาวสะอาด บนเตียงนอนแบบคิงไซซ์นั้นแล้ว “อาหนาน” ธนภพเดินไปที่เตียง ก้มลงมองซื่อหนาน ลองฟังเสียงลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอนั้น

“อ้าว” ก่อนจะเห็นว่า ซื่อหนานหลับไปเสียแล้ว และไม่ได้หลับแบบที่เขาเห็นตอนอยู่ที่บ้าน ตอนเวลาธนภพ เดินแก้ผ้าโทง ๆ ออกมาจากห้องน้ำ แล้วเห็นซื่อหนานรีบหลับตาลง แล้วแอบหรี่ตามอง ว่าธนภพจะยังคงโทง ๆ เดินขึ้นเตียงนอน หรือจะไปหยิบเอากางเกงบ็อกเซอร์ ที่ซื่อหนานวางเตรียมไว้ให้มาใส่

“ปกติถ้าภพโทง ๆ แบบนี้ มันต้องได้สิ อาหนาน” ธนภพบ่นกระปอดกระแปดอยู่คนเดียว โดยที่อาหนานที่นอนอยู่ข้าง ๆ เขา หลับสบายใจไปแล้ว ธนภพจำใจปิดไฟที่หัวเตียง แล้วซุกตัวเข้าใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน ธนภพโอบแขนรอบตัวซื่อหนาน เจ้าตัวคนที่โดนโอบพลิกกลับมาตามแรงหมุนของแขนธนภพ โดยที่ธนภพ เอื้อมมือไปจับส่วนกลางลำตัวของตัวเองที่ยังแข็งขันอยู่ แต่พอจับไปที่ซื่อหนาน รายนั้นหลับปุ๋ยไปแล้วจริง ๆ

ธนภพทำใจ และจำใจเข้านอนไปทั้งอย่างนั้น จนรุ่งเช้า เขาลืมตาขึ้นในความมืด นาฬิกาที่บนโต๊ะข้างหัวเตียง บอกว่าอีกสิบนาทีจะหกโมงเช้า ธนภพโอบแขนไปทางซื่อหนาน ก่อนจะควานมือลงไป แล้วพบว่า ซื่อหนานมีอาการไม่ต่างกับเขาในตอนเช้า ธนภพเอื้อมมือกดเปิดไฟหัวเตียง ก่อนจะเห็นตาคู่แป๋วมองเขาอยู่ก่อนแล้ว

“ของภพก็พร้อมแต่เช้าเหมือนกัน” ธนภพพูดยิ้ม ๆ ซื่อหนานแอบยิ้มโดยเอาผ้าห่มมาปิดไว้ครึ่งหน้า “จริง ๆ ภพพร้อมตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว แต่มีใครบางคน เมาแล้วยั่วภพจนแข็งไปหมด แล้วหลับทิ้งกันได้” ธนภพทำเสียงเหมือนต้องการจะเอาผิดคนที่แกล้งเขาเมื่อคืนนี้ ซื่อหนานบอกว่า ธนภพห้ามถือสาคนเมา

“ต่อไปไม่ให้ไปเมาที่ไหนแล้วนะ” ธนภพพูดจริงจัง เพราะเขาเห็นกับตา เจอกับตัวเอง ซื่อหนานตอนเมานี่ยั่วยวนเป็นบ้า ต่อให้เป็นผู้ชายที่เคลมว่าตัวเองชอบผู้หญิงก็เถอะ เจอสายตา เจอสีหน้าแบบที่ซื่อหนานทำกับเขาเมื่อคืนนี้ ต้องมีหวั่นไหวกันบ้างล่ะ “เมากับภพได้เท่านั้น และก็ทำแบบนี้กับภพได้คนเดียว เข้าใจมั้ย” ธนภพพูดก่อนจะดึงผ้าห่มที่ปิดหน้าซื่อหนานอยู่ลง ซื่อหนานทำแก้มป่อง ก่อนจะพยักหน้าสัญญา

“ภพขอนะ” ธนภพเอื้อมมือไปลูบที่บั้นท้ายของคนรัก แล้วจับมือของซื่อหนานมาที่หว่างขาของเขา “อื้อ” เสียงของซื่อหนานตกใจ ที่มือสัมผัสน้ำใส ๆ ที่ด้านปลายเป็นจำนวนมาก “ก็อั้นไว้ตั้งแต่เมื่อคืนนี่นา” ธนภพเลิกผ้าห่มขึ้น ก่อนจะรั้งให้ปลายทั้งหมด โผล่พ้นส่วนหนังหุ้มออกมา “แต่มันไม่มีเจลนะ” ซื่อหนานเตือนธนภพ “โอ๊ย ไม่สิ” ธนภพร้องออกมาเสียงหลง

“ภพอุตส่าห์กลั้นใจ ไม่ใช้มือจัดการตัวเองเมื่อคืน ไม่เอาแล้ว คราวหลังไม่มาโรงแรมแบบนี้แล้ว ลืมหมดอุปกรณ์สำคัญ” ธนภพโอดครวญ “แล้วทำยังไงดี” ธนภพชี้ให้ซื่อหนานดูที่กึ่งกลางลำตัวของเขา ที่มันไม่มีทีท่า ว่าจะอ่อนตัวลงไปง่าย ๆ “ใช้แชมพูมั้ย” ธนภพพูดขึ้น ซื่อหนานส่ายหน้าปฏิเสธ ซึ่งธนภพก็เข้าใจและเห็นใจคนรักของเขา ว่ามันทำให้ซื่อหนานรู้สึกแสบ แทนที่จะรู้สึกดี

เมื่อดาวเจ้าเรือนมรณะ ที่เป็นเจ้าเรือนแห่งความสูญเสีย การเสียเพื่อจะเริ่มต้นใหม่ มาตกอยู่ที่เรือนพันธุ หรือเรือนแห่งที่อยู่ บ้าน แหล่งอาศัย ด้านดี เจ้าชะตามีมรดกเป็นอสังหาริมทรัพย์ ตกเป็นทรัพย์สินของเจ้าชะตาเอง ตอนเยาว์วัยสักหน่อย อาจจะต้องย้ายบ้าน ย้ายถิ่นฐานอยู่บ่อยครั้ง แต่พอโตขึ้น มีโชคจากสิ่งที่ไม่คิดว่าจะได้ เช่นมรดกของผู้วายชนม์ที่อาจจะเกี่ยวข้องเป็นญาติสนิทกับบิดาของตน ญาติที่มีก็มั่งคั่งมั่นคง มีคู่ครองมอบทรัพย์สินให้เมื่อแก่ตัว

ด้านร้าย เจ้าชะตาอาจจะเป็นลูกกำพร้า สูญเสียบิดามารดาไปตั้งแต่ตอนเด็ก อาจจะด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ เสียชีวิตในถิ่นเกิด อาจเป็นไปได้ว่า เสียชีวิตในบ้านพักอาศัยของตัวเอง อาจจะสูญเสียทรัพย์สินเช่นบ้านไป หรืออาจจะแปลได้ว่า เจ้าชะตาเป็นคนไร้ญาติ อาจจะต้องย้ายที่อยู่บ่อย ๆ

ภายในห้องโรงแรมนั้น เสียงหอบหายใจหนัก ๆ ของชายหนุ่มสองคน ดังสอดประสานกัน เมื่อทั้งคู่พลอดรักกันด้วยความเสน่หา เนื้อที่แนบเนื้อ กายที่รุ่มร้อน สัมผัสที่ทำให้เร่าร้อนไปตลอดสรรพางค์กาย แม้ไม่มีการสอดใส่ใด ๆ แต่ทั้งสองคนก็ปลดปล่อยอารมณ์ และอุ่นรักให้ต่างฝ่ายได้ดูดดื่มกันและกัน

***********************************

คำแปลเนื้อร้องภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

English Lyrics Translation by KADUMPA

https://www.youtube.com/watch?v=QjHaMG4xHQg


หากลมพัด ไม่ปลิวปลิดใบไม้ไหว

When the wind blew, and the leaf stayed intact

เธอนั้นเพียงเดินผ่านไป

You just went the other way

อาจเป็นเสี้ยวนาทีที่

It could have been that split second

ฉันและเธอคลาดกัน

You and I would have missed



หากดอกไม้ ผลิบานอย่างไรสีสัน

When flowers blossomed without colorful scenery

ไม่งดงามพอให้ฉัน

It wouldn’t be attractive enough for me

หยุดและพบเธอในตอนนั้น

To pause and notice that you were there

วันนี้จะเป็นอย่างไร

What might have happened to us then?



ก่อนว่ารักมีเพียงความฝัน

I used to think that love existed in dreams

กลับได้พบเมื่อเธอเข้ามา

Soon realized it was not when you came along

จับมือเธอ ซบลงตรงข้างกัน

Holding hands, laying my head upon your shoulder

ขออยู่อย่างนั้นเหมือนเวลาไม่หมุนไป

And stay there as if time would never change



จะไม่ทิ้งเธอไปจากฉัน

Not a chance I’ll leave you

จากวันนี้จนนานแค่ไหน

For as long as the time lasts

จะขอ แค่มีเธอข้างกาย

I’ll have you by my side

โชคดีแค่ไหนเมื่อหมดใจที่ฉันมี

I am the luckiest guy on earth whose heart

ได้พบเธอ

Is connected with yours



เมื่อลมหนาว ปกคลุมเส้นทางทุกสาย

When cold winter breeze was covering the avenue

ถ้ารถขบวนสุดท้าย

And that last train ride

หยุดและรับเธอไปห่าง

Stopped and took you away

ก็ไม่อาจได้พบกัน

We might have lost our chance forever



ถ้าบนฟ้า มืดมนไม่มีแสงจันทร์

If in the sky, no moon that shined at night

เพียงก้าวเดียวที่ผ่านฉัน

One step passed me by

เธอไม่แหงนขึ้นมองบนนั้น

You didn’t look up and see

คงไม่มีวันได้เจอ

We couldn’t have been together



ก่อนว่ารักมีเพียงความฝัน

I used to think that love existed in dreams

กลับได้พบเมื่อเธอเข้ามา

Soon realized it was not when you came along

จับมือเธอ ซบลงตรงข้างกัน

Holding hands, laying my head upon your shoulder

ขออยู่อย่างนั้นเหมือนเวลาไม่หมุนไป

And stay there as if time would never change



จะไม่ทิ้งเธอไปจากฉัน

Not a chance I’ll leave you

จากวันนี้จนนานแค่ไหน

For as long as the time lasts

จะขอ แค่มีเธอข้างกาย

I’ll have you by my side

โชคดีแค่ไหนเมื่อหมดใจที่ฉันมี

I am the luckiest guy on earth whose heart

ได้พบเธอ

Is connected with yours



เฝ้ารอเพื่อได้พบเธอทั้งชีวิตนี้

Been longing for you my whole life

รู้ทุกนาทีฉันมีแค่เธอ

Know that every minute in my life is yours

เมื่อฉันได้รู้ว่าวันพรุ่งนี้จะมีไว้เพื่อใคร

I’ve got this figured out my future is with you

เหนื่อยเพียงใดพร้อมจะเจอ

May be super hard yet I’m ready

ขอแค่มีเธอและฉัน

To be there, you and me

จากตรงนี้

From now on



ก่อนว่ารักมีเพียงความฝัน

I used to think that love existed in dreams

กลับได้พบเมื่อเธอเข้ามา

Soon realized it was not when you came along

จับมือเธอ ซบลงตรงข้างกัน

Holding hands, laying my head upon your shoulder

ขออยู่อย่างนั้นเหมือนเวลาไม่หมุนไป

And stay there as if time would never change



จะไม่ทิ้งเธอไปจากฉัน

Not a chance I’ll leave you

จากวันนี้จนนานแค่ไหน

For as long as the time lasts

จะขอ แค่มีเธอข้างกาย

I’ll have you by my side

โชคดีแค่ไหนเมื่อหมดใจที่ฉันมี

I am the luckiest guy on earth with loving heart



ก่อนว่ารักมีเพียงความฝัน

I thought love would only be real in dreams

ซบลงตรงข้างกัน

Snuggling up against your body

ขออยู่อย่างนั้นเหมือนเวลาไม่หมุนไป

As if the time would stand still



จะไม่ทิ้งเธอไปจากฉัน

I wouldn’t ever leave you

จากวันนี้จนนานแค่ไหน

For as long as I live

จะขอ แค่มีเธอข้างกาย

I’ll have you right next to me

โชคดีแค่ไหนเมื่อหมดใจที่ฉันมี

How lucky I am to learn that my heart

ได้พบเธอ

Has found yours

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 777
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 202
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

๓๒.



ลาภะ – ลาภะ (หากว่าความรักนั้นบังเกิด)





ฐานทัพยืนมองสถานที่นี้ด้วยความหวัง ทุกอย่างที่เขาเตรียมไว้ ได้ถูกตกแต่ง จัดวางอย่างที่ชายหนุ่มต้องการ วันนี้ตั้งแต่เช้า ฐานทัพมาคอยคุมงาน ให้เป็นไปตามแผนที่เขาวางเอาไว้ เขาอยากให้ทุกอย่างลุล่วงไปได้ด้วยดี และเสร็จทันเวลานัดหมาย ซึ่งเป็นช่วงหัวค่ำของวันนี้

ฐานทัพขอร้องให้คนงานทุกคนเร่งมือ เพื่อให้ทุกอย่างลงตัว ภายในกำหนดเวลา แต่เขากำชับให้ทำทุกอย่างด้วยความรอบคอบ เรียบร้อย และสมบูรณ์ที่สุด ให้ใกล้เคียงกับภาพความคิดที่เขาเห็นได้มากที่สุด สถานที่นี้จึงถูกดำเนินการด้วยคนงานนับสิบคน และทุกอย่างก็ดูเป็นไปด้วยดี

ลมทะเลเย็น ๆ โชยมา พอทำให้ฐานทัพได้ผ่อนคลายอารมณ์ลงมาได้บ้าง เขาพยายามขจัดความขุ่นมัว ความคิดที่คอยแต่จะพาเขาให้เขวไปจากความเชื่อมั่นที่เขามีตั้งแต่แรก ชายหนุ่มบอกกับตัวเองว่า สิ่งที่เขาตัดสินใจทำอยู่นี้ คือสิ่งที่เขาเลือกที่จะทำ และมันก็ดีแล้ว ที่เขาตัดสินใจแบบนี้

ลลินมองอันน์หัวจดเท้า ด้วยสายตาของคนที่รู้สึกดูถูกกันอย่างเปิดเผย หญิงสาวสะใจมากที่ได้เห็นอันน์อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ มันดีมาก ๆ ลลินบอกกับตัวเอง เธอรอคอยที่จะได้เห็นความย่อยยับอับจน หาหนทางไปไม่ได้ ของอีกฝ่ายมาโดยตลอด ยิ่งได้มาเห็นกับตา รับรู้กับตัวแบบนี้ มันยิ่งสร้างความสุขให้เธออีกเป็นร้อยเท่าพันทวี

“ไปแล้วก็ให้ไปลับ ไม่ใช่ว่า ผ่านไปไม่กี่วัน จะได้เห็นท่านรองประธาน ซมซานกลับมาฟูมฟาย อ้อนวอนขอกลับมาที่นี่อีกนะคะ” ลลินที่ยืนดูอันน์กำลังเก็บข้าวของส่วนตัว พูดขึ้น ขณะที่สั่งให้พนักงานที่เคยเป็นหน้าห้องของอันน์ เปิดประตูห้องทำงานค้างเอาไว้ เพื่อให้ทุกคนได้เป็นพยานร่วมกัน

ด้วยเหตุผลที่ว่า ลลินกลัวว่าอันน์จะหยิบข้าวของเครื่องใช้ สมบัติของบริษัทติดไม้ติดมือไปด้วย อันน์พยายามไม่ใส่ใจกับสิ่งที่เธอได้ยิน ยิ่งในช่วงเวลาเช้า ๆ แบบนี้ด้วยแล้ว เธอได้แต่พยายามแผ่เมตตาให้ แม้ดูไปแล้ว ลลินไม่ยินดีรับส่วนกุศลผลบุญใด ๆ ให้เข้าสู่ชีวิตทั้งสิ้น ยังคงทำหน้าตายียวน สลับกับสะใจอยู่ในทีแบบนั้น

“คุณอันน์ ไม่ต้องไปก็ได้นะครับ” พฤกษ์เดินมาที่ห้องทำงาน ที่กำลังจะเป็นอดีตห้องทำงานของอันน์ “ลองคิดทบทวนอีกสักครั้งดีมั้ยครับ” พฤกษ์นั้นเสียดายฝีมือการทำงานของอันน์เป็นอย่างมาก ตลอดระยะเวลาที่มีโอกาสร่วมงานกันมา อันน์คือบุคคลที่มีคุณค่าต่อองค์กรเป็นอย่างมาก “พฤกษ์จะไปพูดจารั้งคุณอันน์เขาไว้ทำไมคะ” ลลินรู้สึกขัดใจที่พฤกษ์เข้ามาพูดแบบนั้น

“เขาเป็นคนตัดสินใจจะไปเอง ก็ปล่อยเขาไปให้สมใจสิคะ เกิดผิดพลาดอะไรขึ้นมา เขาจะพูดได้ว่าเขาไม่เกี่ยว ไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วย เหมือนที่โยนความผิดให้กับคุณทัพอยู่คนเดียว แต่ตัวเองทำเป็นมีสปิริตสูงส่ง ลาออกเพื่อรับผิดชอบต่อเรื่องราวและปัญหาทั้งหมด เสียสละมากจริง ๆ ค่ะ”

ลลินรู้สึกสะอิดสะเอียนกับเรื่องอะไรแบบนี้ พูดถึงฐานทัพแล้วก็ยิ่งเสียดาย ผู้ชายที่เพียบพร้อมไปเสียทุกด้านแบบนั้น คิดยังไง ถึงได้มาวอแวกับผู้หญิงข้ามเพศอย่างอันน์ ถ้าชอบแบบนี้ ชอบผู้หญิงแบบเธอก็ได้ ลลินคิด เพราะถ้าฐานทัพเล่นด้วย เธอคิดว่า เธอก็พร้อมจะตีจากพฤกษ์ได้ไม่ยาก

อันน์ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย นี่ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ คำพูดของลลินคงทำให้อารมณ์ของอันน์เต้นไปตามคำพูดที่ยั่วโมโหแบบนั้น เธอคงต้องคิดหาคำพูดมาตอกกลับผู้หญิงคนนี้ให้เจ็บแสบไปถึงทรวง แต่ตอนนี้ อันน์บอกกับตัวเองว่า แค่กลอกตาใส่ ยังเสียเวลาชีวิตของเธอมากเกินพอเสียด้วยซ้ำ ถ้าจะต้องต่อปากต่อคำกับลลิน

“ลิน คุณพูดเยอะเกินไปแล้ว” พฤกษ์ส่งเสียงห้ามปรามหญิงสาว เขาส่ายหัวให้กับความไม่เลิกไม่ราของลลิน “คุณอันน์อย่าถือสากับคำพูดพวกนี้เลยนะครับ” พฤกษ์พยายามพูดให้อันน์ ไม่ต้องไปสนใจสิ่งที่ลลินพูดออกมา อันน์มองหน้าพฤกษ์และลลินไปมา ก่อนจะก้มหน้าก้มตาเก็บของต่อ

“ทำไมพฤกษ์ว่าลินแบบนั้นล่ะคะ ก็ลินพูดจริงนี่ ก็คุณอันน์น่ะ” ลลินพยายามจะต่อความยาวสาวความยืด “พอได้แล้วลิน คุณนี่พูดมากจริง ๆ จนทำให้ทุกอย่างมันแย่ลงไปกว่าเดิม” พฤกษ์พูดด้วยความรู้สึกรำคาญผู้หญิงคนนี้ “คุณอันน์ครับ เรื่องจดหมายลาออก” พฤกษ์นั้นกำลังคิดว่า การเสียมือดีอย่างอันน์ ที่ช่วยงานเขาได้สารพัดไป มันไม่ใช่เรื่องที่ดีอย่างแน่นอน

“ถึงทางบอร์ดผู้บริหารจะยินยอมอนุมัติ แต่ผมสามารถแก้ไขมันได้อยู่นะครับ ขอแค่คุณอันน์บอกผมมาคำเดียว ว่าคุณอันน์จะอยู่ต่อ รับรองครับ เรื่องทุกอย่างไม่มีปัญหาแน่นอนครับ” อันน์จ้องเข้าไปในดวงตาของพฤกษ์ พลางถามตัวเองว่า นึกยังไงที่ก่อนหน้านี้ ถึงเคยรู้สึกหลงใหลได้ปลื้มไปกับผู้ชายคนนี้ และนั่นมันนานมากจริง ๆ นานตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย

“อันน์ตัดสินใจแล้วค่ะ” พูดจบ เธอก็ยกกล่องของใช้ส่วนตัวขึ้นมาถือไว้ในมือ “ขอบคุณในความหวังดีนะคะ คุณพฤกษ์” อันน์ยิ้มให้กับพฤกษ์ ที่กำลังทำหน้าเครียด ที่การพูดอ้อนวอนของเขา ดูท่าว่าจะไม่ได้ผล “แต่อันน์ตัดสินใจแล้ว” และนี่คือนิสัยของอันน์ ที่พฤกษ์เห็นมานานหลายปี ความเด็ดเดี่ยว ความเป็นผู้นำ และการยอมรับในความผิดพลาดของตัวเอง แม้ว่ามันแทบจะไม่เคยเกิดขึ้นเลย ในชีวิตการทำงานที่ผ่านมาของอันน์

“ยังไง ลองใช้ชีวิตแบบมีความสุขบ้างนะคะ อย่าเอาแต่มองในส่วนที่คนอื่นมี แต่ตัวเองขาด ความสุขคือสิ่งที่คุณมีในวันนี้ อย่ามัวแต่ทุกข์กับการที่อันน์ จะเป็นหรือไม่เป็นอะไรเลยค่ะ อันน์เห็นแล้วเหนื่อยแทน ลองทำตัวเป็นดอกบัวที่โผล่พ้นขึ้นมาบานรัวแสงแดด อยู่เหนือน้ำบ้างนะคะ ลองดูค่ะ”

อันน์พูดจบ อยู่ ๆ ก็หัวเราะออกมา แต่เธอไม่ได้ขำลลินที่ตอนนี้ กำลังทำหน้าบอกบุญไม่รับ แต่อยู่ ๆ ก็นึกถึงเรื่องตลกที่เอิง เพื่อนรุ่นน้อง เคยเล่าให้ฟังต่างหาก เธอเดินไปกดลิฟต์ ก่อนเดินเข้าไปในนั้น แล้วคิดว่า มิตรภาพของเธอและเพื่อน มันช่วยให้เธอรู้ว่า ชีวิตยังพอมีหวัง การเดินออกจากที่คุ้นเคย อาจจะทำให้ใจประหวั่นพรั่นพรึงอยู่บ้าง แต่มันจะเป็นการก้าวออกเดินครั้งสำคัญของชีวิตอันน์แน่นอน

“นี่พฤกษ์ได้ยินแล้วใช่มั้ยคะ ได้ยินกับหูแล้วนะ ว่ามันร้ายกาจอย่างที่ลินบอกกับพฤกษ์ตั้งหลายครั้งมั้ย ดูสิ มันด่าลิน ว่าลินเป็นบัวใต้โคลน คือบัวที่เป็นอาหารของเต่าของปลา มันกล้าดียังไง ถึงมาพูดแบบนี้ใส่หน้าลิน แถมต่อหน้าพฤกษ์ด้วย สำคัญตนมากถึงขนาดนี้ ปล่อยมันไปนั่นแหละดีแล้ว บริษัทของเราจะได้เจริญรุ่งเรือง ลินอายเขาจะตาย ที่มีกะเทยมาเป็นหนึ่งในทีมผู้บริหารที่นี่” พฤกษ์ได้ยินที่ลลินพล่ามออกมา จนเขาเหลืออดกับเสียงฉอด ๆ ของหญิงสาว

“ลิน นั่น โต๊ะทำงานของคุณอันน์” พฤกษ์ชี้ไปที่โต๊ะทำงานของท่านรองประธาน “ตอนนี้มันว่างแล้ว ไหน ไป นั่ง ไปสิ” พฤกษ์ไม่พูดเปล่า ชายหนุ่มดันหลังของลลินให้เดินไปนั่งที่เก้าอี้ทำงานเบาะหนังทรงสูงนั้น ลลินงงว่าพฤกษ์กำลังจะทำอะไร เธอเดินแถ่ด ๆ ไปตามแรงมือของพฤกษ์ที่ดันตัวเธอ ก่อนจะโดนกดไหล่ให้นั่งลงบนเก้าอี้นั่น

“เอ้านี่ โปรเจ็กต์นี้ทางบริษัทเราอยากได้งานนี้ เมื่อลินเก่งนัก เก่งกว่าคุณอันน์อย่างปากว่า เอาเลยครับ พฤกษ์ยกตำแหน่งนี้ให้ลิน” ลินเงยหน้าจากกองเอกสารที่เธออ่านไม่เข้าใจพวกนี้ขึ้นมองพฤกษ์ “เอาสิครับ ลงมือเลย มัวรออะไรอยู่ โปรเจ็กต์นี้มูลค่าสูง แต่ก็ยังน้อยกว่าโครงการที่คุณอันน์ทำสำเร็จมานับไม่ถ้วน ลินลงมือเลยครับ ทำให้พฤกษ์เห็นอย่างปากว่าได้บ้าง” พฤกษ์พูดจบ ก็เดินหัวเสียออกจากห้องนั้นไป ทิ้งให้ลลินส่งเสียงกรี๊ดไล่หลังชายหนุ่มไป อย่างไม่เกรงใจใครทั้งนั้น



ฐานทัพมองดูนาฬิกา มันใกล้เวลาที่เขาขอให้อันน์มาพบเขาที่นี่แล้ว คืนนั้น ในคืนที่เขาเข้าไปในห้องของอันน์ มันถือว่า เป็นคืนที่เขาได้เปิดใจกับอันน์ ฐานทัพได้พูดทุกอย่างที่เขาคิด ทุกความรู้สึกที่เขามีต่ออันน์ออกไป อันน์คือคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา และฐานทัพสามารถเดินจากทุกอย่างออกมา โดยไม่นึกเสียดายมันทีหลัง

“ผมจะรอคุณอันน์อยู่ที่นั่น ผมอยากให้คุณอันน์มาหาผม มาเจอผมในฐานะคนรัก ถ้าคุณอันน์รู้สึกว่า คุณอันน์พอจะรับรักผู้ชายอย่างผม และให้ผมได้ทำทุกอย่างที่ผมทำได้ เพื่อคุณอันน์ ได้มั้ยครับ” ฐานทัพพูดบอกกับอีกฝ่ายไปแบบนี้ อันน์ไม่ได้ตอบอะไรเขากลับ เมื่อตอนที่ฐานทัพเดินออกจากห้องเพ้นท์เฮ้าส์ของอันน์

ความมืดเริ่มโปรยตัวลงมา แสงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปแล้ว ลมทะเลโชยมาเป็นระยะ ๆ เสียงคลื่นซัดเข้าชายหาดดังมาให้ได้ยิน ไฟประดับถูกเปิดขึ้น มันดูเหมือนแสงดาวที่ลงมาระยิบระยับบนพื้นโลก ฐานทัพในชุดทักซิโด้ที่ทำให้เขาดูหล่อ สง่า สมาร์ตอย่างแทบไร้ที่ติ ยืนรอคนที่เขารักอยู่ตรงนั้น สายตาของชายหนุ่ม จับจ้องไปที่ทางเดินตรงมาที่ลานกว้างข้างชายหาดนี้

ใจของฐานทัพเต้นรัว มันใกล้ถึงเวลาที่เขาบอกกับอันน์เอาไว้ ยิ่งเวลาขมวดขึ้นเท่าไหร่ ใจของเขายิ่งสั่น ยิ่งเต้นแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยความหวังที่มีอย่างเปี่ยมล้นอยู่ในหัวใจ การเดินทางอันยาวนานของการแอบรักคนคนหนึ่ง มันใกล้เข้ามาที่จะถึงบนสรุปแล้ว ฐานทัพคิดถึงวินาทีแรกที่เขาเจอกับอันน์ และการที่อันน์ได้เข้ามานั่งในหัวใจของเขาแทบจะในทันที

ฐานทัพเฝ้ามองการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของอันน์ ต่อให้อีกฝ่ายจะดูเปลี่ยนไปมากแค่ไหน แต่อันน์ก็ยังเป็นอันน์คนเดิมสำหรับเขา เป็นพี่อันน์ที่ฐานทัพตั้งแต่ยังเป็นวัยหนุ่มน้อย กับการคิดไม่ซื่อ คิดที่จะทำเรื่องลามกด้วย เรื่องคนรักกันเขาทำกัน จนฮอร์โมนวัยหนุ่มของเขาเริ่มเข้าที่เข้าทาง และฐานทัพคิดกับอันน์มากกว่านั้น เขาคิดถึงเรื่องอนาคตที่เขาอยากจะมีร่วมกับอันน์ หากว่าอันน์เอง ก็คิดอยากจะใช้ชีวิตร่วมหัวจมท้ายไปกับผู้ชายอย่างเขา

อีกไม่กี่นาที เข็มนาฬิกาจะบอกว่าถึงเวลาที่เขานัดกับอันน์เอาไว้แล้ว แต่ตอนนี้ ยังไม่เห็นวี่แวว ว่าอันน์จะมาถึงตามที่เขาขออีกฝ่ายเอาไว้ ฐานทัพเริ่มรู้สึกโหวง ๆ ข้างในอก เมื่อความคิดลบกำลังส่งเสียงกรอกใส่หัวเขาว่า อันน์ไม่มาแล้วแน่ ๆ ไม่มีทางที่คนอย่างอันน์จะมาอยู่กับคนอย่างเขา มันจะเป็นไปได้อย่างไร เขาเป็นใครกัน ที่อันน์จะมาสนใจไยดี และนั่นก็มาพอ ที่จะทำให้ฐานทัพใจเสีย

เข็มวินาที เดินเข้าหาเลขสิบสองบนหน้าปัดนาฬิกา นับถอยหลังไปเรื่อย ๆ หัวใจของฐานทัพแทบหยุดเต้น เมื่อเข็มวินาทีนั้น แตะลงที่สองวินาทีสุดท้าย และมันก็เดินเลยผ่านไป อย่างที่ว่ากันไว้ ว่าเวลาไม่เคยหยุดนิ่ง ตอนนี้มันเลยเวลานัดของเขากับอันน์แล้ว ฐานทัพหัวเราะออกมาเบา ๆ เหมือนกับจะเยาะเย้ยตัวเอง ที่หวังสูงเกินตัว

ฐานทัพมองไปตรงทางเดินที่เขาคาดว่าจะมองเห็นอันน์เดินเข้ามาก่อนหน้านี้ แต่มันยังคงไร้การเคลื่อนไหว และมันคงไม่ต่างอะไรกับหัวใจของเขาในตอนนี้ ที่มันดูชา ๆ หนึบ ๆ กับการที่ไม่เห็นอันน์ เดินเข้ามาหาเขา อย่างที่ใจของเขาจินตนาการและวาดฝันเอาไว้ ฐานทัพยกมือขึ้นชี้ไปทางซ้ายมือ เป็นสัญญาณบอกกับทีมงาน ไฟประดับด้านนั้น ดับลง ฐานทัพถอนลมหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะชี้ไปทางขวามือ ไฟประดับด้านนั้นดับลง

คงเหลือแต่ไฟที่ส่องจากทางเดิน ตรงมาที่ชายหนุ่มยืนอยู่เป็นดวงสุดท้าย ฐานทัพมองไปตรงนั้นอีกครั้ง เขาอยากมองมันเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะสั่งให้คนงานดับมันลง ไฟสปอตไลต์ดวงนั้น ก็ดับลง ทุกอย่างรอบตัวของฐานทัพตกอยู่ในความมืด ชายหนุ่มกำลังจะขยับตัว จากที่ยืนพิงรั้วไม้ที่กั้นระหว่างลานกว้างนี้กับชายหาด

เสียงรองเท้าส้นสูงเดินกระทบทางเดินที่ปูด้วยหินก้อนใหญ่ ดังขึ้นในความเงียบนั้น เสียงฝีเท้าเดินใกล้เข้ามาขึ้นเรื่อย ๆ ฐานทัพจ้องตาไม่กะพริบไปที่ทางเดินด้านหน้า ที่เขาเฝ้ามองมันมาตลอด ไฟดวงเล็ก ๆ ที่พันเอาไว้ตลอดทางเดิน เริ่มติดขึ้นทีละส่วน เสียงเดินนั้นใกล้เข้ามา ฐานทัพใจเต้นแรง เฝ้ารอคอย

อันน์เดินไปตามทางเดินที่ปูด้วยหินก้อนใหญ่นั้น ไฟด้านข้าง ค่อย ๆ เปิดติดขึ้นเมื่อเธอเดินใกล้เข้าไปเรื่อย ๆ จนอันน์ที่อยู่ในชุดราตรียาวสีแดงเพลิง เดินพ้นออกมาจากทางเดินนั้น ฐานทัพเผยรอยยิ้มออกมาอย่างคนที่ดีใจ เหมือนคนที่เพิ่งได้รับของขวัญล้ำค่าที่สุดในชีวิต เขามองดูอันน์ด้วยความตะลึง อันน์สวยในสายตาของฐานทัพเสมอ

“ขี้ใจน้อยจัง” อันน์พูดขึ้น เมื่อเดินมาหยุดยืนอยู่ไม่ไกลจากฐานทัพ ที่ชายหนุ่มยืนพิงราวกั้นนั้นอยู่ “ปิดไฟมืดเชียว น้อยใจอะไรหรือเปล่าเนี่ย” อันน์พูดแบบไม่มองหน้าฐานทัพ ที่กำลังรู้สึกว่า เขานั้นได้ตกเป็นเบี้ยล่างเสียแล้ว “ผู้ชายก็เสียใจเป็นนะครับ” อันน์เหลือบมองฐานทัพ ชายหนุ่มในค่ำคืนนี้ อันน์ต้องยอมรับว่า ฐานทัพหล่อมากจริง ๆ

“คุณอันน์เลยเวลานัด” ฐานทัพท้วงบอก อันน์หันมามองทางชายหนุ่ม “ก็คุณบอกให้ฉันแต่งตัวให้สวยที่สุด” อันน์พูด พลางนึกเขินประโยคที่พูดออกไปของตัวเอง ฐานทัพมองดูอันน์ คืนนี้อีกฝ่ายทำให้ฐานทัพจิตใจพองโต เพราะอันน์ดูโดดเด่นมากจริง ๆ ในชุดราตรียาวสีแดงเพลิงชุดนี้ ซึ่งจริง ๆ แล้ว อันน์มาถึงก่อนเวลานัดด้วยซ้ำไป ถ้าไม่เพียงแต่ว่า



“เดี๋ยว ๆ อย่าเพิ่งจอด วนรถกลับไปก่อน วนไปก่อนค่ะ” อันน์ที่ใจเต้นไม่เป็นส่ำบอกคนรถลิมูซีน ที่ฐานทัพเตรียมเอาไว้รับอันน์ ให้ออกรถจากตรงนั้นไปก่อน “โอเคมั้ยพี่อันน์” เสียงพูดผ่านลำโพงโทรศัพท์ในวิดีโอ คอลนั้น ดังผ่านออกมา “ให้ฉันทำใจก่อน” อันน์บอกกับคนที่ปลายสาย ที่อยู่เป็นเพื่อนเธอ มากว่าชั่วโมงแล้ว “เอิง มันจะดีเหรอ” อันน์ถามเอิงที่อยู่ในสาย

“ดีสิพี่อันน์ คุณฐานทัพเขารอพี่อยู่นะ ไปหาเขาเถอะ” เอิงบอกกับรุ่นพี่ออกไป ก่อนจะเห็นสีหน้าของความกังวลแสดงออกมาจากใบหน้าของอันน์ อย่างเห็นได้ชัด “ฉันกลัว” อันน์บอกออกไปตามตรง ที่อยู่ ๆ ความกลัวนี้ได้พุ่งเข้ามาในความรู้สึก เธอไม่ได้กลัวว่า ฐานทัพจะเป็นคนไม่ดี หรือไม่ได้รักไม่ได้ชอบเธอจริง แต่มันเป็นความกลัวที่ว่า เธอเองต่างหาก ที่อาจจะทำให้ฐานทัพผิดหวัง

“อีเจ้ อย่าป๊อด” เสียงของปราชญ์ดังขึ้น หลังจากทั้งสามคนรวมสาย แล้วเขาต้องไปช่วยปั๋นรับรองแขกกลุ่มใหญ่ ที่มาเข้าพักที่รีสอร์ต “อีปราชญ์ ปากดีนักนะ” อันน์แหวใส่เพื่อนรุ่นน้องกลับไป ก่อนจะได้ยินปราชญ์ส่งเสียงหัวเราะชอบใจ “ทีชวนผู้ชายคนนี้เข้าห้องน่ะ ไม่เห็นจะกลัว” ปราชญ์ค่อนขอดเพื่อนรุ่นพี่เข้าให้

“ฉันไม่น่าเล่าอะไรให้แกฟังเลยจริง ๆ นะ ไอ้ปราชญ์” สรุปแล้ว อันน์ก็พลาด เล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้ปราชญ์ฟังอยู่เรื่อย ไม่เว้นแม้แต่ความลับสุดยอดแบบนี้ “ไป” เสียปราชญ์ไล่อันน์ “ไปมีผัวได้แล้ว อีเจ้ อย่ามางอแงอะไรไม่เข้าท่า” ปราชญ์รู้สึกสนุก ที่ได้พูดแหย่รุ่นพี่คนนี้ โดยมีเอิงเป็นลูกคู่ หัวเราะคิกคักอยู่ในสายด้วย

“เอิง เดี๋ยวก่อน อย่าให้ฉันเริ่มเรื่องแกบ้างนะ” อันน์ว่าเอิงเข้าให้ ที่เห็นเอิงหัวเราะคิกคักชอบใจ กับคำพูดของปราชญ์ “นี่แก ปราชญ์ ไม่เอาสิ อย่าว่าพี่อันน์มาก” เอิงหันไปทำดุใส่เพื่อนสนิท อันน์ส่ายหน้าเมื่อสีหน้าของเอิงไม่ได้จริงจังในการว่าปราชญ์เลยสักนิด โดยมีแดนที่พูดบอกกับเอิงว่า อย่าใจร้ายกับเขาเหมือนที่อันน์ทำกับฐานทัพ

“พอกัน พอกันหมด ทั้งพี่กู เพื่อนกู” ปราชญ์รู้สึกเพลียใจกบการที่รุ่นพี่และเพื่อนสนิทของเขาแอบไปมีคู่กันหมด แต่ก็รู้สึกยินดี ที่ทุกคนดูจะเติบโตขึ้น ตามวันและเวลาที่สมควร เพราะเมื่อชีวิตเดินมาจนถึงห้วงเวลาที่ต่างก็พร้อมที่จะสร้างครอบครัว ก็จงปล่อยให้ชีวิตดำเนินไปตามครรลองของมัน



“คืนนี้คุณอันน์สวยมากนะครับ” ฐานทัพเอ่ยปากชม ใบหน้า ทรงผม เรือนร่างที่เผยสัดส่วนของอันน์ ซึ่งนั้นเย้ายวนใจฐานทัพเป็นอย่างมาก คำชมของชายหนุ่ม ดึงเเอาความคิดของอันน์ให้กลับมาจากเรื่องของเพื่อนรุ่นน้องสองคนนั้น “ขอบคุณค่ะ” และครั้งนี้ อันน์รู้สึกดี ที่ได้ยินฐานทัพเอ่ยชมเธอ

“คุณอันน์ใส่น้ำหอมที่ผมชอบมาด้วย” ฐานทัพได้กลิ่นน้ำหอมที่เขาบอกกับอันน์ในคืนนั้น ว่าหากอันน์ตัดสินใจมากหาเขาในวันนี้ ก็ขอให้อันน์ใส่น้ำหอมกลิ่นนี้มาด้วย เพราะฐานทัพคิดว่ามันเข้ากันอันน์มากที่สุด และฐานทัพจะถือว่า อันน์ยอมตกลงเป็นแฟนกับเขา โดยไม่ต้องเอ่ยคำพูดใด ๆ อันน์รู้สึกใจเต้นรัว เธอไม่เคยรู้สึกเขิน จนทำตัวไม่ถูกแบบนี้มาก่อน ความรู้สึกนี้ เพิ่งเคยเกิดขึ้นตอนนี้ที่อยู่กับฐานทัพ มันไม่เคยเกิดขึ้นแบบนี้เลย ตอนอยู่กับพฤกษ์

“ตกลงคุณเลือกที่นี่หรือคะ” อันน์หันไปมองโรงแรมที่ติดกับชายหาด ที่ต่อไปฐานทัพตัดสินใจจะลงทุนทำธุรกิจนี้ “ใช่ครับ ลองวัดดวงดู” ฐานทัพตอบ ก่อนจะพูดต่ออีกว่า “ก็ต้องขอขอบคุณปราชญ์ ที่หาโรงแรมให้” ฐานทัพเห็นแล้วว่า คนรอบตัวของอันน์นั้น มีแต่คนที่มีน้ำใจเอื้อเฟื้อต่อกัน กลุ่มเพื่อนเล็ก ๆ แค่สามคน เอิง อันน์ และปราชญ์ ไม่เคยสักครั้งที่จะทอดทิ้งกัน ในยามที่เดือดร้อน

“ปราชญ์มันทำเรียล เอสเตท อยู่แล้ว มันเก่งมากนะ ที่หาทำเลและราคาได้ดีมาก” อันน์เห็นโรงแรมสวย ทำเลดี และมีฐานลูกค้าเดิมเหนียวแน่นแห่งนี้แล้ว ก็รู้สึกว่า ก้าวต่อไปมันคงไม่ยากนักสำหรับเธอและฐานทัพ ที่จะช่วยกันประคับประคองกันไป “ยังไง เดี๋ยวฉันช่วยลงทุนอีกแรงนะคะ” อันน์บอกกับฐานทัพ เพราะรู้ดี ว่าชายหนุ่มต้องใช้เงินลงทุนอีกเยอะ ยิ่งต้องเสียเงินค่าปรับให้กับคุณโทมัสไปมหาศาลแบบนั้นด้วยแล้ว

“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ได้เดือดร้อนอะไร เมื่อเช้าผมเซ็นเช็คให้ปราชญ์ไปแล้ว ค่าซื้อโรงแรมนี้ เรื่องโฉนดที่ดินไม่น่าจะมีปัญหาอะไร” อันน์ได้ยินแบบนั้นแล้วก็ให้สงสัย “เดี๋ยวนะคะ คุณเพิ่งจะจ่ายเงินคุณโทมัสไป ต้องขายห้องเพนท์เฮ้าส์ ต้องกวาดเงินจนหมดบัญชี เพื่อใช้หนี้กับบริษัท แล้วคุณจะจ่ายค่าที่ ค่าอะไรนี่ได้ยังไงคนเดียว” อันน์ถาม ก่อนจะเห็นฐานทัพอึกอัก ๆ

“คือ” ฐานทัพหัวเราะแหะ ๆ ก่อนจะตอบออกไปว่า “ไอ้เงินพวกนั้น ผมเอามาจากที่ผมเล่นหุ้นเอาไว้ตอนอยู่นิวยอร์ก และมันก็เหลือเฟือ เกินพอที่จะจ่าย” ฐานทัพเริ่มเห็นแววตาที่ดูโหดของอันน์ เมื่อรู้แล้วว่า มีอะไรควรบอกอีกฝ่ายไปให้หมด “ส่วนเพนท์เฮาส์ ผมไม่ได้อยากอยู่อยู่แล้ว เพราะคิดว่า ผมจะหาบ้านดี ๆ เนื้อที่กว้าง ๆ อยู่กับคุณอันน์ ผมเลยขายต่อให้ฝรั่งไป ก็ได้กำไรดีอยู่”



เมื่อดาวเจ้าเรือนลาภะ ที่เป็นเรือนแห่งความหมายของโชค ลาภผล ความโชคดี ความสำเร็จต่าง ๆ เดินมาตกอยู่ใในเรือนลาภะนั้นเอง ก็เสมือนกับได้กลับบ้าน มีมาตรฐานดาวเป็นเกษตร ที่แปลว่า ความหนักแน่น สมบูรณ์ เจ้าชะตาถือว่าเป็นคนที่มีโชคลาภเข้ามาไม่ขาด เป็นคนที่มีเพื่อนฝูงมาก และล้วนแต่เป็นคนที่ดี

เพื่อนฝูงต่างให้การสนับสนุนเจ้าชะตาอย่างเต็มที่ การงานเหมาะแก่การเป็นผู้ลงทุน และจะเป็นผู้ที่มีรายได้สูงมากเข้ามา เป็นผู้รู้จักนำผลประโยชน์ ผลกำไรที่มี ไปลงทุนเพื่อหมุนเวียนในการลงทุน ให้กิจการงอกเงย มีลาภผลก้อนใหญ่และการงานชิ้นใหม่ที่มั่นคงต่อไป



“แล้วปล่อยให้อันน์เป็นห่วงคุณอยู่ได้ตั้งนาน” อันน์พูดเสียงงอน ๆ ก่อนทำท่าจะเดินหนีไป ฐานทัพรีบคว้าเอวของอีกฝ่ายเข้ามากอดไว้ได้ก่อน “ไม่โกรธผมนะครับคุณอันน์ ผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจ” ฐานทัพทำเสียงออดอ้อน “ผมดีใจนะครับ ที่คุณได้ยินคุณอันน์พูดว่า คุณอันน์ห่วงผม” กลิ่นน้ำหอมจากตัวของอันน์ก็ช่างเย้ายวนเขาเสียเหลือเกิน เขานึกถึงคืนนั้น คืนที่เขาได้ทำเรื่องลามกกับอันน์ไปแล้วสมใจ แล้วคืนนี้ล่ะ ฐานทัพคิดว่า เขาไม่น่าพลาด อันน์ไม่รอดเงื้อมมือเขาไปได้หรอก

“นี่คุณรวย มีเงินมากขนาดนี้จริงหรือคะ” อันน์เอียงหน้าหันไปถามฐานทัพที่กอดเธอเอาไว้จากทางด้านหลัง “จริง” ฐานทัพพยักหน้าตอบ “แล้วมีอะไรที่คุณยังไม่ได้บอกอันน์อีกมั้ย” มาถึงตรงนี้ ฐานทัพคิดว่า เขาควรจะพูดออกไปเลยดีมั้ยว่า ยังไงซะบริษัทของพฤกษ์ก็ต้องกลับมาตกเป็นของเขาอยู่ดี เพราะเขาให้พ่อของเขาถือหุ้นใหญ่ของบริษัทเอาไว้ แต่คิดดูอีกที เก็บเอาไว้เป็นเซอร์ไพรซ์ของขวัญวันแต่งงานของเขากับอันน์ จะดีมั้ยนะ

*********************************

คำแปลเนื้อร้องภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

English Lyrics Translation by KADUMPA

https://www.youtube.com/watch?v=HYHDWQ_pw14

มันคงเป็นความรัก

This has to be love

ที่ทำให้ตัวฉัน ยังยืนอยู่ตรงนี้

Therefore, I am still standing here

มันคงเป็นความรัก

This must be called love

ที่ทำให้ใจฉัน ไม่ยอมหยุดเสียที

That makes my heart keep going, and never stops


แม้ว่าเหมือนไม่มีโอกาส

Though, it seems I’m out of luck

แม้ว่าฉันต้องพลาดไปอีกสักที

Chances I am probably missing out

แต่ว่าความรัก ก็ยังขอให้ฉันทำแบบนี้

But this love, I’m pushing myself to the limits


ที่จะให้เธอจนกว่าเธอจะรับ

I’m giving my all until you’ll embrace it

บอกรักเธอจนกว่าเธอนั้นจะยอม

Say I love you till you say `I do`

เธอคือความสุขของฉัน

You’re the source of my happiness

ถ้าเธอไม่รับมัน ให้ฉันเริ่มต้นอีกกี่ครั้งก็พร้อม

If you still say no, tomorrow I’ll come back and start it all over again


หากสุดท้าย เธอไม่เปลี่ยนใจ

In the end, you won’t change your mind

ไม่เป็นไร ใจฉันก็ไม่ยอม (เปลี่ยนใจ)

That’s alright, my heart won’t change either

ก็ต่อให้ฉันหยุดหัวใจ

In case I tell my heart to say no

คงต้องรอให้โลกหยุดหมุนไปก่อน

That has to be after the world stops spinning round and round


มันคงเป็นความรัก

This must be this thing called love

ที่เปลี่ยนคำว่าชีวิต เลยฟังดูมีความหมาย

Alters my life, now that it sounds so promising

มันคงเป็นความรัก

This has gotta be real love

ที่เปลี่ยนคำว่าชีวิต เลยฟังดูมีความหมาย
Alters my life, now that it sounds so promising
มันคงเป็นความรัก
This has gotta be real love
ที่ทำให้การรอคอย เป็นเรื่องง่ายดาย
That I have a long wait made so simple and easy

แม้ว่าเหมือนไม่มีโอกาส

Though, it seems I’m out of luck

แม้ว่าฉันต้องพลาดไปอีกสักที

Chances I am probably missing out

แต่ว่าการรอคอยนี้ก็คุ้ม เพราะมีเธอเป็นจุดหมาย
And me waiting for you is so worthy ‘cause you’re there at my destination


ที่จะให้เธอจนกว่าเธอจะรับ

I’m giving my all until you’ll embrace it

บอกรักเธอจนกว่าเธอนั้นจะยอม

Say I love you till you say `I do`

เธอคือความสุขของฉัน

You’re the source of my happiness

ถ้าเธอไม่รับมัน ให้ฉันเริ่มต้นอีกกี่ครั้งก็พร้อม

If you still say no, tomorrow I’ll come back and start it all over again


หากสุดท้าย เธอไม่เปลี่ยนใจ

In the end, you won’t change your mind

ไม่เป็นไร ใจฉันก็ไม่ยอม (เปลี่ยนใจ)

That’s alright, my heart won’t change either

ก็ต่อให้ฉันหยุดหัวใจ

In case I tell my heart to say no

คงต้องรอให้โลกหยุดหมุนไปก่อน

That has to be after the world stops spinning round and round


ในวันที่เธอนั้นไม่มีใคร

The day you find there’s no one being around

ในวันที่โลกนี้ทิ้งเธอไป

The day that the whole world has left you behind

ในวันนั้นหันมามองเถอะ

That very same day, please turn around and you’ll see

ฉันจะยืนอยู่ตรงนี้

I will be right here waiting for you


และจะให้เธอจนกว่าเธอจะรับ

I’ll giving you my best until you’re satisfied

บอกรักเธอจนกว่าเธอนั้นจะยอม

I’ll say I love you until you do know I do

เธอคือความสุขของฉัน

You’re my true happiness

ถ้าเธอไม่รับมัน

You may deny it

ให้ฉันเริ่มต้นอีกกี่ครั้งก็พร้อม

I won’t accept it and ready to fight for you


หากสุดท้าย เธอไม่เปลี่ยนใจ

At the end of the day, you’re still not mine

ไม่เป็นไร ใจฉันก็ไม่ยอม (เปลี่ยนใจ)

That’s okay ‘cause nothing’s gonna change my mind

ต่อให้ฉันหยุดหัวใจ

To stop this very heart of mine

เธอรอให้ฉันหันหลังเดินลับหายไป

You might wonder if I would walk away from all of this

ได้ยินไหม

Do listen to me now

คงต้องรอให้โลกหยุดหมุนไปก่อน

That will occur on the day the earth stands still


มันคงเป็นความรัก

It must be called love, you and me
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-05-2022 19:20:13 โดย KADUMPA »

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 777
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 202
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
๓๓.



ศุภะ – ปัตนิ (เสมอด้วยดวงใจ)





“ยังไง ถ้าพี่มีงานด่วนจริง ๆ แกก็ช่วยพี่หน่อยแล้วกัน” พี่ว่านพูดกับเอิง เข้าใจที่เอิงจะขอหยุดช่วยงานแปลเอกสารชั่วคราว “จริง ๆ ก็เคยให้เด็กในสำนักงานมันแปลให้ แต่ก็ไม่ค่อยไหว มันแปลไม่ครบไม่ถ้วน ไม่ถูกใจเหมือนแกทำให้ เจ้าเอิง” พี่ว่านไว้เนื้อเชื่อใจความสามารถของเอิง มาตั้งแต่ได้ลองทดสอบฝีมือกัน สมัยที่เอิงกำลังจะจบมหาวิทยาลัย

“ได้ครับพี่” เอิงตอบกลับพี่ว่านไป “เอิงขอโทษอีกทีนะพี่ว่าน” เอิงยกมือไหว้ผู้อาวุโสกว่า “เฮ้ย ไม่เป็นไร ไม่ต้องคิดมาก” พี่ว่านรีบโบกไม้โบกมือห้ามเอิง “แล้วนี่จะไปไหนกันต่อ กับพ่อหนุ่มสูงยาวเข่าดีนั่น” พี่ว่านชะโงกมองหนุ่มต่างชาติที่นั่งรออยู่ที่โซฟาด้านนอก ที่เห็นแอบมองมาหาเองเป็นระยะ ๆ อดไม่ได้ที่จะพูดแซวออกไป

“วันนี้ก็คงแล้วแต่เขาล่ะครับ” เอิงตอบ ก่อนจะหันไปเห็นแดนที่รอสบตาเขาอยู่ก่อนแล้ว เอิงร่ำลาพี่ว่าน แล้วจึงเดินออกมาหาหนุ่มลูกครึ่งที่ส่วนรับรองแขกของสำนักพิมพ์ แดนลุกขึ้นจากโซฟา ยิ้มให้กับอีกฝ่ายที่เดินออกมาสมทบ “ทุกอย่างโอเคดีนะครับ” แดนถาม หนุ่มลูกครึ่งขอตามมาเป็นเพื่อนเอิง เมื่อรู้ว่า เอิงจะเอาต้นฉบับเอกสารที่แปล มาส่งให้กับพี่ว่าน

“เรียบร้อยครับ” เอิงพยักหน้าให้กับแดน “ขอบคุณที่มาเป็นเพื่อนเอิงนะครับ” หลายวันที่ผ่านมานี้ แดนอยู่กับเอิงตลอด คอยช่วยนั่นช่วยนี่ คอยหาเรื่องมาพูดคุย ให้เอิงรับรู้ว่า เอิงไม่ได้อยู่คนเดียวอีกต่อไป และคนที่เอิงรอคอยมาโดยตลอด เขามาอยู่กับเอิงที่นี่แล้ว และไม่มีอะไรต้องกลัวอีกต่อไป “ด้วยความยินดีครับ” แดนตอบกลับไป ก่อนที่ทั้งสองคนจะเดินออกจากสำนักงานของพี่ว่าน

แดดยามสายที่เริ่มร้อนขึ้น เอิงเห็นคอเสื้อยืดคอวีสีเทาที่แดนใส่ ตอนนี้ชุ่มด้วยเหงื่อ ใบหน้าของหนุ่มลูกครึ่งแดง แดนเช็ดเหงื่อที่แขนเสื้ออยู่บ่อยครั้ง เอิงรู้สึกสงสารและเห็นใจแดน ก่อนจะเดินเลี้ยวเข้าไปในร้านกาแฟตรงหัวมุมถนน แดนเผลอยิ้มออกมา เมื่อเดินตามเอิงเข้าไป ความเย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศ ทำให้แดนรู้สึกผ่อนคลาย ชายหนุ่มเดินตามเอิงไปที่เคาน์เตอร์สั่งเครื่องดื่ม

ทั้งสองสั่งเครื่องดื่มที่ต้องการ เอิงแตะบัตรจ่ายเงินแบบคอนแท็คเลส พนักงานแจ้งให้ทราบว่า เดี๋ยวจะนำเครื่องดื่มไปเสิร์ฟที่โต๊ะ แดนและเอิงตอบขอบคุณพนักงานร้าน ก่อนจะเดินไปหาที่นั่ง แดนเดินไปที่โต๊ะสำหรับสองคน ที่มุมด้านในสุดของร้าน ติดกับหน้าต่างกระจกบานใหญ่ มองสามารถมองออกไปด้านนอก เห็นการจราจรในท้องถนนของมหานครกรุงเทพฯ ได้

แดนชวนเอิงคุยนั่นคุยนี่ ระหว่างที่รอเครื่องดื่ม เขาเห็นโต๊ะถัดไปไม่ไกล หนุ่มสาวสองคนนั้นสั่งสลัดกับอาหารทานเล่นสองสามอย่าง เลยถามเอิงว่าเขากินอะไรกันน่าอร่อย เอิงเลยนึกสนุก บอกกับแดนว่า งั้นให้สั่งเลียนแบบ ลองสั่งมาชิมดู ไม่นานนักพนักงานก็ยกเครื่องดื่มมาให้ เอิงสอบถามว่า โต๊ะถัดไปสั่งเมนูอะไรบ้าง พนักงานเลยเอาสมุดเมนูเล่มโต มาเปิดให้ดูภาพไปด้วย ก่อนที่แดนจะสั่งสองในสี่อย่างมาทาน

แดนรู้สึกดีมาก ๆ ที่หลังจากกลับมากรุงเทพฯ เขาได้เห็นเอิงในแบบที่เป็นเอิงจริง ๆ อย่างที่อันน์เคยบอกไว้ เอิงไม่ใช่คนเงียบไม่พูดไม่จา จากที่ตอนขึ้นไปที่สะพานนั่น เอิงพูดแทบนับคำได้ ความรู้สึกเหมือนว่า เอิงมีเงาของใครอีกคนทาบทับไว้ตลอดเวลา ซึ่งนั่นก็คงจะเป็นเงาจากอดีตของซาย ที่ทำให้เอิงไม่เป็นตัวของตัวเอง ซึ่งแดนก็เข้าใจได้ เพราะตอนที่เขาได้รับอิทธิพลจากความทรงจำของแมท เขาเองก็ดูไม่ใช่ตัวเองสักเท่าไรนัก

แดนกับเอิงนั่งดื่มเครื่องดื่มกันไป คุยกันไป เวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว อาหารของที่นี่รสชาติดีเยี่ยม ทั้งสองคนดีใจที่ลองสั่งมา โดยที่แดนจัดการอาหารจานใหญ่สุดนั้นให้หมดจนได้ ทั้งคู่หัวเราะให้กัน แดนใช้มือตบเบา ๆ ที่ท้องของเขา พูดขึ้นว่า ถ้าอยู่เมืองไทย กล้ามท้องเขาต้องหายสูญสลายไปอย่างแน่นอน เอิงบอกว่า ไม่เป็นไร อ้วน ๆ กลม ๆ ก็น่ารักดี

“เกือบบ่ายสองแล้ว” เอิงดูนาฬิกาบนหน้าจอโทรศัพท์ แดนสบตากับเอิง ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ยังไม่อยากกลับเลย” หนุ่มลูกครึ่งทำตาละห้อย เอิงมองดูแล้วก็ให้นึกขำ แต่วันนี้เขาได้ตั้งใจเอาไว้แล้ว ว่าจะตามใจแดน ที่ด้านนอกหน้าต่าง มีเด็กนักเรียนตัวน้อยทั้งชายและหญิง เดินต่อแถวยาว ตามคุณครูไป เอิงถึงนึกขึ้นได้ ว่าที่ฝั่งตรงข้าม มีศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาตั้งอยู่

เอิงพาแดนเดินบนสกายวอล์ก ข้ามไปที่ฝั่งตรงข้าม ก่อนจะซื้อบัตรเข้าชมนิทรรศการ และบัตรเข้าชมท้องฟ้าจำลอง พี่พนักงานทักว่า รอบบรรยายภาษาอังกฤษของท้องฟ้าจำลอง มีเฉพาะรอบสิบโมงวันอังคารเท่านั้น แดนจึงได้โชว์สกิลพูดภาษาไทยให้พี่ ๆ แถวนั้นฟัง จนฮือฮากันใหญ่ ว่าแดนพูดภาษาไทยได้ชัดเจนมาก หนุ่มลูกครึ่งถึงกับรู้สึกยืด ภูมิใจไปกับคำชมนั้น จนเอิงเห็นแล้วน่าหมั่นไส้

ยังพอเหลือเวลาอีกเกือบชั่วโมง กว่าที่รอบของท้องฟ้าจำลองที่ซื้อบัตรเข้าชมไว้จะเริ่มขึ้น ทั้งสองเดินเข้าไปชมด้านในของนิทรรศการถาวร ซึ่งมีความน่าสนใจมากมายให้เลือกชม แดนกับเอิงรู้สึกเหมือนกับได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ได้อ่านความรู้ที่ครั้งหนึ่งเคยจำได้ แต่ตอนนี้หลงลืมไปแล้ว ทั้งสองผลัดกันหยอกอีกฝ่าย เมื่อเล่นเกมทางวิทยาศาสตร์แล้วแพ้ หรือตอบคำถามของเด็กประถมที่ควรจะรู้ไม่ได้

“ไม่ได้ทำอะไรสนุก ๆ แบบนี้มานานแล้ว” แดนที่นั่งลงพักเหนื่อย ยกขวดน้ำดื่มขึ้นจิบ “ได้กลับไปเป็นเด็ก ๆ อีกครั้งก็ดีเหมือนกันนะ” เอิงเสริม เห็นด้วยว่า สถานที่แห่งนี้ก็เป็นหนึ่งในความทรงจำในวัยเยาว์ ที่เอิงห่างหายจากมันมานาน ทั้งสองคนนั่งรอเพื่อเข้าชมท้องฟ้าจำลอง ก่อนจะเห็นเด็ก ๆ วัยประถมต้น เดินออกมาจากโดม เมื่อชมการแสดงจบแล้ว คุณครูผู้นำทีมเด็ก ๆ เรียกทุกคนให้มารวมตัวกัน โดยอยู่ไม่ไกลจากเอิงและแดนนัก

“ดูท่าจะแสบ ๆ กันทั้งนั้น” แดนมองไปที่เด็ก ๆ แล้วก็นึกถึงตอนเขาเป็นเด็ก คงจะไม่ต่างกันมากนัก “เลี้ยงเด็กสักคน มันยากจริง ๆ นะ” แดนหันไปพูดกระซิบกระซาบกับเอิง หนุ่มลูกครึ่งสบตามองอีกฝ่าย “แต่ตอนทำก็น่าสนุกดีอยู่” ก่อนที่เอิงจะเห็นสายตากรุ้มกริ่มมาจากแดน “แดน เดี๋ยวเด็กได้ยิน” เอิงปรามหนุ่มลูกครึ่ง ที่หัวเราะชอบใจออกมา

“พี่คนนี้หน้าแดง” เด็กผู้ชายตัวน้อยคนหนึ่ง ชี้นิ้วมาที่เอิง ที่ยิ่งหน้าแดงเพิ่มขึ้นอีก เมื่อถูกเด็กตัวน้อยแซว แถมยังเสียงดัง จนเพื่อน ๆ คนอื่น ๆ หันมามองที่แดนและเอิงเป็นตาเดียวกัน “พี่เขาคงเขิน” ยัยเด็กผู้หญิงฟันหน้าหลอสองสี่หน้าอีกคน เปิดประเด็นได้อย่างแก่แดดแก่ลมเกินวัย เอิงนึกโทษอินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยีที่เข้าถึงเด็ก ก่อนวัยอันควร

“แล้วทำไมพี่เขาต้องเขินด้วย” หนุ่มน้อยอีกคนถามออกมาจากความไร้เดียงสา “พี่สองคนเขาเป็นผู้ชาย แม่เราบอกว่า ผู้ชายเป็นแฟนกัน ก็ต้องเขินกัน เพราะแม่ก็เขิน” ยัยเด็กฟันหลอสองสี่หน้าเลคเชอร์เพื่อน ๆ “แล้วเธอรู้ได้ยังไง” เด็กผู้ชายจ้ำม่ำที่มีกระติกน้ำทรงยาวคล้องคออยู่ถามเพื่อน

“ก็แม่เราเป็นสาววาย เราได้ยินแม่พูด แม่ลงเรือตลอดเลย ชิป แม่บอก แม่ชิป” ยัยฟันหลอสองสี่หน้าตั้งตนเป็นโปรเฟสเซอร์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้ ทั้งหมดเลยพยักหน้าเออออตาม ๆ กัน ก่อนที่ทั้งหมด จะเดินตามคุณครูที่มาเช็กชื่อและเรียกไปขึ้นรถ ทิ้งให้เอิงนั่งหน้าแดงเพราะเขินและแดนที่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ด้วยความชอบอกชอบใจ

“ตรงนั้น เธอเห็นมั้ย นั่นหมู่ดาวหมีใหญ่ มันเรียกว่า เออร์ซ่า เมเจอร์” แมทชี้นิ้วขึ้นไปบนท้องฟ้า ให้ซายดู ท่ามกลางความมืดมิดในป่า มีเพียงแสงดาวบนฟากฟ้า และแสงจากกองไฟเล็ก ๆ เท่านั้นที่ให้แสงสว่าง “คืนนี้เห็นชัดดีจัง” ลมหนาวโชยมา ทำให้แมทขยับตัวเข้าใกล้ซายมากขึ้น ก่อนจะโอบอีกฝ่ายเอาไว้ ดึงหลังของซายให้มานั่งแนบชิด รับไออุ่นจากแผงอกของเขา

“เธอรู้ใช่มั้ย หมี บิ๊กแบร์” แมทถามซาย ซึ่งซายทำหน้างง แมทจึงพยายามทำท่าทาง ชี้นิ้วไปที่ตัวเขาเอง ก่อนจะกางมือทั้งสองข้างออก ให้เป็นเหมือนอุ้งเท้าหมี ก่อนจะทำหน้าบิดเบี้ยว อ้าปากคำรามออกมา พอแมทลืมตาขึ้นมา ก็เห็นซายหัวเราะออกมาอยู่ก่อนแล้ว “ทำไม ฉันทำไม่เหมือนหรือไง ฉันนี่แหละ เป็นแบร์ตัวบิ๊ก ๆ หมีตัวใหญ่อุ่น ๆ ให้เธอเท่านั้น” แมทพูดจบ ก็เอาผ้าห่มผืนหนา ที่เขาพกติดตัวมาจากค่าย ห่มคลุมตัวทั้งซายและเขาใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน

“ที่สว่างที่สุด นั่นเรียกว่าอัลอิออธ” แมทกระซิบบอกซายที่ข้างหู ซายรู้สึกว่าเขาอบอุ่นทั้งกายและใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “และเลยขึ้นไปนั่น คือดาวเหนือ เรียกว่า โพลาริส” แม้ว่าซายจะไม่เข้าใจว่าแมทพูดว่าอะไรบ้าง แต่ก็พอจะเดาได้ ว่าแมทชี้ชวนให้แหงนมองฟ้า เพื่อดูดาวที่สวยงามนั้นด้วยกัน แมทกระชับอ้อมกอดของเขาให้แน่นขึ้น ซายซุกหน้าเข้ากับแผงอกของแมท มันคือช่วงเวลาที่ทั้งสองคนได้เก็บเกี่ยวความรู้สึกที่ดีต่อกันไว้ ให้จดจำไปอีกนานเท่านาน

“7 ดวงดาวหลักในกลุ่มดาวหมีใหญ่ ประกอบไปด้วยอัลอิออธ ที่เป็นดาวฤกษ์ที่สว่างที่สุด ในกลุ่มดาวหมีใหญ่ หรือที่คนไทยรู้จักกันดี ในชื่อของกลุ่มดาวจระเข้ ซึ่งเป็นกลุ่มดาวที่พบเห็นได้ง่ายที่สุดในบรรดากลุ่มดาวสากล เนื่องจากมีขนาดใหญ่ที่สุด ในกลุ่มดาวทางฝั่งฟ้าซีกเหนือ และใหญ่เป็นอันดับที่สาม ของกลุ่มดาวทั้งหมดบนฟากฟ้า” เสียงบรรยายในท้องฟ้าจำลอง อธิบายภาพกลุ่มดาวเหล่านั้น

เอิงนั่งดูพลางนึกย้อนกลับไปถึงช่วงที่เขาเป็นเด็กประถม ก่อนที่ภาพจากเมื่อครั้งอดีตภพ จะแวบผ่านเข้ามาให้เห็น เอิงหันไปมองที่นั่งทางซ้ายของเขา แดนเอนตัวลงกับพนักเก้าอี้อย่างเต็มที่ ผสานกับแอร์เย็น ๆ เสียงบรรยายที่ฟังรื่นหู หนุ่มลูกครึ่งเอนศีรษะมาทางเอิง ก่อนจะพักมันลงบนไหล่ของเอิง เสียงกรนเบา ๆ นั้นทำให้เอิงนึกขำ แต่ก็เข้าใจ เพราะแดนนั้น ดูแลเอิงไม่ห่างมาตลอดหลายวันมานี้



คุณโทมัสเปิดดูรูปจำนวนมากที่ส่งมาให้เขาทางโทรศัพท์มือถือ รูปทั้งหมดเป็นรูปของแดนและเอิง เริ่มจากที่ทั้งสองคนแวะไปที่สำนักพิมพ์ ตามมาด้วยรูปที่ร้านคาเฟ่นั้น ที่รูปส่วนใหญ่คือรูปที่แสดงว่าทั้งสองคน กำลังใช้เวลาดี ๆ ร่วมกัน คุณโทมัสมองดูรอยยิ้มของแดน ลูกชายคนเดียวของเขา ที่ลอยเด่นออกมาจากรูปถ่ายเหล่านั้น

แดนที่ทั้งยิ้ม ทั้งหัวเราะ แม้ว่าจะเป็นรูปที่แดนกำลังมองเอิงทำอะไรอยู่ตรงหน้า รอยยิ้มเหล่านั้น เปื้อนใบหน้าของแดนอยู่เสมอ และยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่คุณโทมัสเห็นได้อย่างชัดเจนก็คือ แววตาของแดน แววตาของความสุข ของคนที่พบเจอคนที่รัก ได้เห็นคนรักอยู่ตรงหน้า ได้ทำอะไรร่วมกัน แม้มันจะเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างรูปที่แดนยิ้มอย่างมีความสุข ที่เห็นเอิงเติมน้ำผึ้งลงในถ้วยไมโลร้อน คุณโทมัสไม่อาจจะปฏิเสธได้เลยว่า ลูกชายของเขากำลังสุขใจ เต็มอิ่มกับจิตใจที่ถูกเติมเต็มไปด้วยความรัก

ภาพหนึ่งที่ถูกส่งมา ตอนที่ทั้งสองคนอยู่ที่ท้องฟ้าจำลองด้วยกัน คุณโทมัสมองเห็นความสดใสในตัวของเอิง ถูกถ่ายทอดออกมาให้เห็นเช่นกัน ผิดกับท่าทางของเอิง เมื่อวันที่เจอกันที่บริษัทของฐานทัพ ที่ตอนนั้น เอิงดูเหมือนจะมีอะไรที่หนักอึ้งอยู่ในใจ แต่พูดบอกใครไม่ได้ เอิงในวันนั้นเหมือนกับมีม่านหมอกอะไรบางอย่างปกคลุมเอาไว้ แต่กับที่ท้องฟ้าจำลอง กับแดน ภาพของชายหนุ่มสองคน นั่งมองตากัน คุณโทมัสรับรู้ได้ ว่าทั้งแดนและเอิง ต่างมีความสุขที่ได้อยู่ด้วยกัน

“นี่คุณถึงกับต้องจ้างคนตามถ่ายรูปลูกกับแฟนของเขาเลยหรือคะ” คุณปริมตกใจที่เห็นคุณโทมัส ผู้เป็นสามีกำลังเลื่อนรูปถ่ายของแดนและเอิงบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือของเขา ถึงกับต้องพูดขึ้นด้วยความรู้สึกไม่พอใจ ระคนเสียใจที่คนเป็นพ่อที่ดีอย่างคุณโทมัส จะทำอะไรแบบนี้กับลูก

“ปริม ไม่ใช่นะ คุณปริม มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิด” คุณโทมัสที่ไม่ทันได้ระวังตัว ไม่ทันได้ยินว่าคุณปริมกลับมาจากข้างนอกแล้ว จะมาเห็นรูปถ่ายเหล่านี้ “นี่มันไม่เป็นการละเมิดเรื่องส่วนตัวของลูกมากไปหน่อยหรือคะ” คุณปริมพูดด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ เธอเองก็กำลังสับสนภายในจิตใจ กับเรื่องที่เธอคิดหนัก หากว่าเธอต้องตัดสินใจเลือกขึ้นมาจริง ๆ

“ไปกันใหญ่แล้ว ผมไม่ได้มีเจตนาอะไรอย่างนั้น คุณปริม ฟังผมพูดก่อน” คุณโทมัสพยายามอธิบายและอยากให้คุณปริมผู้เป็นภรรยารับฟังเขาสักนิด “นี่ถ้าไม่ติดว่า คุณเป็นพ่อของแดนนี่ ฉันจะแจ้งตำรวจจับคุณเสียตอนนี้เลย” คุณปริมไม่ชอบใจอย่างมาก ที่คุณโทมัสจะมาตามถ่ายรูปลูกชาย เพื่อให้รู้ความเป็นไปในชีวิตของแดนนี่ทุกฝีก้าว ตามสืบเรื่องคนรักของลูกชายอย่างนี้

“คุณปริม” คุณโทมัสถึงกับอ้าปากค้าง “ฉันพูดจริงนะคะ ฉันไม่ชอบสิ่งที่คุณทำอยู่นี่เลย” คุณปริมจะว่าผิดหวังก็ไม่ผิด แม้ว่าเธอจะรู้ดี ว่าคุณโทมัสรักลูกชายมากแค่ไหน แต่วิธีนี้มันผิด และเธอยอมไม่ได้ ที่จะเห็นผู้เป็นสามีใช้แนวทางแบบนี้ เพื่อควบคุมตัวแดนนี่ให้ทำตามที่คุณโทมัสต้องการ

“คุณปริม มันไม่ใช่อย่างที่คุณพูดเลย คือ ผมยอมรับว่าจ้างคนไปถ่ายรูปแดนกับเอิงจริง แต่ ผมสั่งยกเลิกไม่ทัน ภาพมันก็ถูกส่งมาแล้ว ผมก็ต้องเลยตามเลย และถึงผมจะได้รูปพวกนี้มา แต่ผมก็ไม่ได้คิดจะเอาไปทำอะไรนะ” คุณโทมัสพูดกับคุณปริมด้วยน้ำเสียงอ่อนลง “แน่นะคะ” คุณปริมถามเพื่อให้คุณโทมัสยืนยันในคำตอบอีกครั้ง

“ผมเห็นเขาสองคน เวลาอยู่ด้วยกันแล้วล่ะ” คุณโทมัสตอบออกไป สบตากับภรรยาที่อยู่กินกันมาอย่างยาวนาน ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาอย่างคุณปริม สาวไทยผู้รักครอบครัวเหนือสิ่งอื่นใด เธอรักและเคารพในตัวสามี และรักลูกชายหัวแก้วหัวแหวนอย่างแดนนี่ด้วยชีวิต คุณโทมัสรู้ดี ว่าคุณปริมนั้นยิ่งกว่านางสิงห์ที่หวงลูกน้อยเสียอีก คุณปริมพร้อมที่จะทำทุกทาง เพื่อปกป้องลูกชายของเธอ

“แดนนี่หรือลูก” คุณโทมัสเห็นคุณปริมยกโทรศัพท์มือถือขึ้นพูด เมื่อมีเสียงเรียกเข้า ขัดจังหวะบทสนทนาของเขากับภรรยา และรับรู้ว่า เป็นแดนที่โทรมาหาแม่ “ครับแม่” แดนนี่พูดตอบกลับแม่ของเขาไป “คืนนี้ผมค้างที่คอนโดของเอิงนะครับ” แดนพูดบอก ว่าเขาขอค้างกับเอิง “เอิงเขาต้องโอเคนะลูก แดนต้องเป็นสุภาพบุรุษ เข้าใจที่แม่พูดใช่มั้ย” คุณปริมเตือนลูกชายให้ปฏิบัติตัวต่อเอิงให้ดี

“ครับแม่ ผมสัญญา” แดนให้สัญญากับแม่ของเขา “แต่ผมรบกวนแม่อย่างหนึ่งได้มั้ยครับ” แดนถามแม่ของเขา คุณปริมตอบว่าได้ ให้แดนบอกเธอมาได้เลย “รบกวนแม่ช่วยบอกกับพ่อด้วยนะครับ ว่าขอให้เอ็นจอยกับรูปสวย ๆ ของผมกับเอิงในวันนี้” คุณปริมถอนหายใจออกมาดัง ๆ เพื่อให้คุณโทมัสได้ยิน

“แดนนี่รู้ ว่าคุณส่งคนไปตามถ่ายรูปพวกเขาสองคน” คุณปริมบอกกับคุณโทมัส ในขณะที่แดนยยังคงอยู่ในสาย คุณโทมัสที่โดนจับได้ ต้องยอมจำนน “แดนนี่ พ่อไม่ได้ตั้งใจ พ่อจะไม่ใช้รูปพวกนั้นทำอะไร พ่อสัญญากับแม่เขาแล้ว แม่เป็นพยานให้พ่อได้ แดน ไอ แอม ซอรี่ ซัน” คุณโทมัสพูดเสียงให้ดังมากพอ เพื่อแดนที่อยู่ปลายสายจะได้ยิน “แต๊งส์ แด๊ด” แดนกล่าวขอบคุณพ่อของเขา ก่อนจะพูดอะไรอีกเล็กน้อยกับคุณปริม แล้วจึงวางสายไป



เมื่อดาวเจ้าเรือนศุภะ หรือเรือนแห่งความดีงาม การดำเนินชีวิต ความเจริญก้าวหน้าในชีวิต มาตกในเรือนปัตนิ หรือเรือนของคู่ครอง คู่ค้า คู่สัญญา จะทำให้เจ้าชะตามีโอกาสที่จะแต่งงานอยู่เมืองนอก ได้คู่ครองเป็นผู้ที่มีหลักฐานมั่นคง เป็นเจ้าของกิจการ หรือได้คู่ครองในต่างถิ่น ความสำเร็จที่เกิดจากการทำงานร่วมกัน ร่วมหัวจมท้ายก็ว่า

แต่เมื่อมีดี ย่อมมีเสีย เป็นของคู่กัน เจ้าชะตาอาจจะมีเกณฑ์มีศัตรูอย่างเปิดเผย เมื่อไปอยู่ต่างถิ่นต่างแดน ศัตรูอาจจะมาจากคนละประเทศกัน มีการเดินทางไกลไปในที่ที่ไม่คุ้นเคย เกี่ยวข้องกับการทำศึกสงคราม อาจจะเสียทรัพย์ เสียชีวิตจากการปล้นชิง หรือความบาดหมาง แม้จะพยายามหลบลี้หนีหน้า แต่ไม่อาจจะพ้นไปจากเจ้ากรรมนายเวรนั้น



ใต้ดวงดาวอันพร่างพรายนั้น แมทล้มตัวลงนอน โดยมีซายอยู่ในอ้อมแขนของเขา นายทหารช่างหนุ่มโอบกอดกระชับร่างเล็ก ๆ นั้นให้อิงแอบแนบชิดกับตัวของเขาให้มากที่สุด ให้ไออุ่นจากร่างกายของเขา ทำให้ซายได้รู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย เมื่อมีเขาอยู่ใกล้ ๆ ซายกอดแมทเอาไว้จนแน่น ทุกนาทีที่ได้อยู่ใกล้กับแมท ทำให้ซายรู้สึกว่าชีวิตของเขาไม่ได้สิ้นไร้ไม้ตอก หมดหวังอีกต่อไป มันคือช่วงเวลาอันแสนวิเศษที่เขาอยากจะยื้อเอาไว้ ให้นานที่สุด เท่าที่จะทำได้



แดนนอนลืมตาในความมืดอยู่นานแล้ว ตั้งแต่ที่เขาเห็นเอิงปิดไฟที่หัวเตียงลง แดนที่สองจิตสองใจ ไม่กล้าที่จะเริ่มต้นก่อน ด้วยว่ารับปากกับแม่เอาไว้ กำลังมีเทพและมารเถียงกันอยู่ในความคิด ก่อนที่แดนจะรับรู้ว่า เอิงแตะมือลงบนหลังมือของเขาอย่างแผ่วเบา แดนขยับตัวไปทางเอิง ถามออกไปด้วยน้ำเสียงกล้า ๆ กลัว ๆ จนเมื่อเอิงแตะริมฝีปากเข้ากับแดนเบา ๆ ความกังวลทุกอย่างจึงคลายลง

แดนจึงเริ่มต้นทำตามสิ่งที่หัวใจเขาเรียกร้อง ความตื่นเต้น ความรู้สึกหวามไหวในอก ความต้องการทางกาย ความรู้สึกในจิตใจที่ปฏิพัทธ์ต่อกัน ทำให้แดนเริ่มตักตวงเอาความหอมหวานจากอีกฝ่าย โดยไม่รีรออีกต่อไป เอิงยินยอมให้แดน นำเขาไปสู่ความรู้สึกที่ไม่เคยสัมผัสจากใครมาก่อน ความโหยหาที่มีในหัวใจ ทำให้ความเร่าร้อนทางกายได้ปะทุขึ้น ค่ำคืนที่แดนและเอิงต่างเป็นของกันและกันโดนสมบูรณ์

*********************************

คำแปลเนื้อร้องภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

English Lyrics Translation by KADUMPA

https://www.youtube.com/watch?v=PiiNH6-Ac3w

ในเมืองเล็กเล็กที่มีผู้คนอยู่มากมาย

This small city filled with many people

จะมีบ้างไหมสักคนที่มองมาหาฉัน

Will there be any one looking for me?

คล้ายโลกนี้ไม่มีใครอยู่

As if no one else is left

มีฉันคนเดียวที่ต้องคู่

It’s just only me up for grabs

อยากอยู่ด้วยกันนับวันจากนี้ไป

Then we will now live happily ever after


ในเมืองเล็กเล็กที่มีผู้คนอยู่รอบกาย

This tiny city surrounded by lots of people

จะมีบ้างไหมสักคนที่ทำให้เรื่องร้าย

Will there be the one making bad stuff disappeared

ฉันกลายเป็นเรื่องที่ยิ้มได้

I am that person bringing all smiles

ได้คิดและเริ่มชีวิตใหม่

Reckoning and reviving a new beginning

สบตาทีไรสดใสได้ทุกที

Looking into each other’s bright eyes


อยากมีไว้ ใครสักคนที่ยืนข้างข้างกัน

I’ll have one, someone to be side by side

อยากจะมีเวลาดีดีกับคนนั้น

Cherishing the good times with that only one


อยากตกอยู่ในสภาวะทิ้งตัว

I wish I could fall for someone really hard

อยากทิ้งทั้งตัวและหัวใจ

Both of myself and then my heart

กับใครสักคนหนึ่ง คงต้องมีอยู่

With someone, somebody out there

แต่ก็ไม่รู้จะได้เจอกันจากมุมไหน

Yet, still don’t know where to start to look for


หากตกอยู่ในสภาวะทิ้งตัว

If I definitely would fall head over heels

จะไม่มามัวยืนมองให้เสียเวลา

Will never waste my time just looking at you

จะดึงเธอเข้ามากอด และทิ้งตัวลงที่ตัก

You’ll be wrapped in my arms, I’ll sink myself into your lap

และจะหยุดพักหัวใจของฉันไว้

My heart says I can now rest my case

ที่ไหล่ข้างซ้ายของเธอตลอดไป

On your left shoulder where I belong


ในมุมลึกลึกทุกคนก็มีความต้องการ

Deep down in the corner of our desires

ยังคงค้นหาและรอปล่อยใจดวงเล็กเล็ก

Keep searching for to set our breakable heart free

ให้ไม่ต้องเหงาเหมือนเมื่อวาน

So, today the loneliness is no longer there

จับมือกันเดินอยู่ในบ้าน

Holding hands though we’re in our own home

มี ส.ค.ส.ให้กันได้ทุกปี

Say, the Hallmark moments are reserved every year


อยากมีไว้ ใครสักคนที่ยืนข้างข้างกัน

I’ll get one, someone to have and to hold

อยากจะมีเวลาดีดีกับคนนั้น

Adoring the memorable times with the one and only


อยากตกอยู่ในสภาวะทิ้งตัว

I wish I could fall for someone really hard

อยากทิ้งทั้งตัวและหัวใจ

Both of myself and then my heart

กับใครสักคนหนึ่ง คงต้องมีอยู่

With someone, somebody out there

แต่ก็ไม่รู้จะได้เจอกันจากมุมไหน

Yet, still don’t know where to start to look for


หากตกอยู่ในสภาวะทิ้งตัว

If I definitely would fall head over heels

จะไม่มามัวยืนมองให้เสียเวลา

Will never waste my time just looking at you

จะดึงเธอเข้ามากอด และทิ้งตัวลงที่ตัก

You’ll be wrapped in my arms, I’ll sink myself into your lap

และจะหยุดพักหัวใจของฉันไว้

My heart says I can now rest my case


ทุกวันยังคอยมอง ทุกคืนยังคอยลุ้น

Every day I am waiting for, every night I am hoping that

ว่าจะมีใครสักคนที่เข้ามาหนุนนอนที่ใจ

There’s someone to come looking for my warmth at night

ของฉันที่เหงาจะตาย

This loneliness is killing me softly


อยากตกอยู่ในสภาวะทิ้งตัว

I say I’d lounge away the remainder of my days

อยากทิ้งทั้งตัวและหัวใจ

Leave myself and my whole heart

กับใครสักคนหนึ่ง คงต้องมีอยู่

With someone, that someone must be out there

แต่ก็ไม่รู้จะได้เจอกันจากมุมไหน

We’ll have to see the right perfect place to look for


หากตกอยู่ในสภาวะ ทิ้งตัว

If I am able to be kicking back, freewheeling

จะไม่มามัวยืนมองให้เสียเวลา

I’ll make every second count

จะดึงเธอเข้ามากอด และทิ้งตัวลงที่ตัก

You’ll be in my arms, my head is cradled on your lap

และจะหยุดพักหัวใจของฉันไว้

My heart can say it’s already back home


ที่ไหล่ข้างซ้ายของเธอตลอดไป

Laying my head upon your left shoulder forever there

จะมีไหมใคร ให้ฉันได้ทิ้งตัว

Can it be you for me to fall for?

ทิ้งตัวลงที่ตัก พักใจเอาไว้

That I can be vulnerable, you’re my security blanket


หยุดทั้งหัวใจ

My heart is here with you

อยากทิ้งตัว

Free fall

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด