แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (20) 100% (22/02/64)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (20) 100% (22/02/64)  (อ่าน 10976 ครั้ง)

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
อะ ตัวละครเพิ่มมมมม

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Brithday

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 10
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ llมว_น้oe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-4
[17] 50%


เรื่องแปลก

นับจากวันที่เขาเสนอความคิดออกไปเมิ่งอวิ๋นก็ไม่ได้ออกไปที่ไหนอีกเลย ด้วยตนรู้สึกว่าคล้ายจะถูกติดตามอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งไม่ว่าเมื่อไรที่ย่างเท้าออกไปจากจวน จะต้องมีเรื่องเกิดขึ้นให้เขาต้องมีโทสะ เขาจึงตัดสินใจหยุดตนเอาไว้ในจวนเท่านั้น อยู่กับความเบื่อหน่ายที่ผ่านพ้นไปในทุกวัน

เช่นเดียวกับในวันนี้ที่ไร้ซึ่งสีสันให้เขาได้สนใจ หนังสือกองแล้วกองเล่าที่ถูกเปิดผ่านๆ ไปนั้น ทำให้เสี่ยวหลงที่เห็นนึกเห็นใจนายน้อยของตนสุดหัวใจ ใบหน้างดงามที่บัดนี้ไถลไปกับโต๊ะ ดวงตาฉายชัดถึงความเบื่อนั้นเป็นภาพที่ดึงดูดหัวใจใครที่ได้พบเห็นไม่น้อย แต่สำหรับเสี่ยวหลงแล้วกลับไม่อาจทนมองได้แม้แต่น้อย ใครจะเข้าใจนายน้อยของเขาไปได้ดีกว่าเขากัน นายน้อยของเขานั้นทั้งร่าเริงและใจดี รักสนุกที่จะได้เที่ยวเล่นไปตามที่ต่าง ๆ การที่ต้องมาทนอยู่แต่ในจวนล้วนแต่เป็นการทำร้ายนายน้อยทั้งสิ้น

เช่นนี้...จะให้เขาทนได้อย่างไร

“นายน้อย ออกไปข้างนอกกันดีหรือไม่ขอรับ” เมิ่งอวิ๋นชายตามองเสี่ยวหลงด้วยความเกียจคร้านก่อนจะถอนหายใจออกมา

“ใช่ว่าข้าไม่อยากไป แต่ข้าไม่อยากพบเจอปัญหาอีก” แต่การที่นายน้อยอยู่แบบเบื่อหน่ายเช่นนี้ก็เท่ากับทำให้จวนนี้ไม่มีความสุขไปด้วย ทั้งที่อยากจะบอกออกไปให้นายน้อยของตนได้รับรู้ แต่เสี่ยวหลงก็เพียงอ้าปากแล้วหุบปากลงเช่นเดิม

ตอนนี้นายน้อยรู้สึกเช่นไรนั้นเขาเองคงไม่อาจรู้ได้โดยละเอียด วันนั้นที่ออกไปกับคุณชายใหญ่เกิดสิ่งใดขึ้น เขาเองก็ไม่รู้เลย เพราะไม่ได้ตามไปดูแลนายน้อยด้วย เสี่ยวหลงคิดแล้วก็เจ็บใจตนเองนัก หากวันนั้นเขาดึงดันจะติดตามไปด้วยป่านนี้คงรู้สาเหตุที่ทำให้นายน้อยไม่ยอมออกจากจวนเป็นแน่ หากรู้แล้วก็คงหาวิธีแก้ไขได้ ไม่ใช่การเดาทางอยู่เช่นนี้

“เฮ้อ...เวรกรรมอะไรของข้ากันนะ”

เสี่ยวหลงที่ได้ยินคำบ่นที่คล้ายเสียงกระซิบเต็มสองหู ในใจปรากฏความคิดดีเยี่ยมอย่างหนึ่งขึ้นมาได้ หากเป็นที่แห่งนั้นนายน้อยของตนต้องยอมไปอย่างแน่นอน คิดแล้วเสี่ยวหลงก็ระบายยิ้มออกมาแล้วเอ่ยถามผู้เป็นนายด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“นายน้อย เช่นนั้นไปวัดกันดีหรือไม่ขอรับ” เมิ่งอวิ๋นที่หลับตาอยู่ก่อนด้วยความเบื่อหน่ายนั้น รีบลืมตาขึ้นมามองเสี่ยวหลงด้วยความสนใจ

“วัดหรือ ที่นี่มีวัดด้วยหรือ?”

“มีแน่นอนขอรับ อยู่ไม่ห่างจากจวนมากเท่าใด หากนายน้อยสนใจบ่าวจะเร่งไปแจ้งแก่ฮูหยิน” เมิ่งอวิ๋นยิ้มพร้อมกับพยักหน้าด้วยอารมณ์ที่ยินดียิ่ง

“ดีๆ เจ้ารีบไปบอกท่านแม่เร็วเข้า!”

“ขอรับ บ่าวจะรีบไปแจ้งเดี๋ยวนี้”

เสี่ยวหลงรีบพาร่างของตนวิ่งออกจากประตูห้องของนายน้อยตนไปด้วยความเร็วที่คาดไม่ถึง เมิ่งอวิ๋นตั้งแต่มาที่นี่ได้หลายเดือนแล้วยังไม่เคยได้ไปไหว้พระสักที เห็นทีคราวนี้จะได้เข้าไปเห็นกับตาเสียแล้วว่าวัดในยุคนี้เป็นเช่นไร อีกทั้งอยู่ในเขตวัดวาอาราม คงไม่มีตัวขัดโชคอะไรเข้าไปทำให้เขาขุ่นเคืองได้หรอก

คิดเช่นนั้นแล้วเมิ่งอวิ๋นก็พลอยเบิกบานใจไปอย่างอารมณ์ดี เหยียดแขนขาออกเพื่อยืดเส้นยืดสายก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ เปิดประตูห้องออกไปภายนอกดื่มด่ำกับแสงแดดและกลิ่นรอบกายของตน ก่อนจะสาวเท้าเดินไปตามทางเดินที่คุ้นเคย เพื่อมุ่งหน้าไปหามารดา

อู๋ชิวอิ่งนั้นยามได้ยินว่าบุตรชายคนเล็กของตนต้องการจะไปวัด ยังมีท่าทางตกอกตกใจถึงขนาดทำถ้วยชาหล่นแตกเสียด้วยซ้ำ ครั้งเมื่อได้สติก็พออกพอใจยิ่งนัก แม้ว่าจะรู้ดีว่าเมิ่งอวิ๋นชื่นชมบุรุษมากกว่าสตรี แต่หากได้ลองพบเหล่าหญิงงามที่เดินทางไปสักการะเหล่าไต้ซือทั้งหลาย ย่อมต้องเปลี่ยนใจแน่นอน เมื่อมองเห็นความเป็นไปได้ตรงนี้ในใจก็ยิ่งเบิกบาน รีบออกคำสั่งให้คนตระเตรียมของมากมายเพื่อจะไปที่วัดกับบุตรชาย

เมื่อจิตใจเบิกบานร่างกายก็คล้ายจะเยาว์วัยลงไปด้วย อู๋ชิวอิ่งที่กำลังเพลิดเพลินไปกับความคิดตนก็พลันหันมาเห็นเมิ่งอวิ๋นที่ยืนอยู่พอดี ใบหน้าที่เดิมทีนั้นอ่อนโยนต่อเขาอยู่แล้ว กลับยิ่งทวีความอ่อนโยนยิ่งขึ้นไปอีกจนเมิ่งอวิ๋นยังแปลกใจกับความรู้สึกที่ได้รับ

“ท่านแม่ยุ่งอยู่หรือขอรับ”

“ที่ไหนกัน แม่เพียงสั่งให้พวกเขาตระเตรียมของเพื่อไปวัดกับเจ้าอย่างไรเล่า” เมิ่งอวิ๋นพยักหน้าอย่างเข้าใจ สายตากวาดมองไปจนทั่วก็ไม่เห็นเสี่ยวหลง แต่ก็ไม่ได้แปลกใจนักด้วยคิดว่ามารดาของตนคงสั่งให้เตรียมข้าวของอยู่เช่นกัน

“ท่านแม่ เราต้องเตรียมของไปมากหรือขอรับ เช่นนั้นจะเดินไปได้หรือ” อู๋ชิวอิ่งนึกเอ็นดูกับคำถามที่ฟังอย่างไรก็คล้ายเด็กน้อยผู้หนึ่ง กำลังตั้งคำถามเพราะปรารถนาให้มารดาเอ่ยตอบตน มือของนางจึงเอื้อมออกไปลูบเส้นผมบนศีรษะของเมิ่งอวิ๋น มองด้วยแววตารักใคร่และเอ็นดู

“หากเดินไปไม่ได้ก็นั่งรถม้าไปก็ได้นี่ เจ้าอย่าห่วงไปเลย ของพวกนี้ล้วนนำไปเพื่อทำบุญทั้งนั้น” เมิ่งอวิ๋นนิ่งคิด ก่อนจะเห็นด้วยกับมารดา

“จริงของท่านแม่ เช่นนั้นเราเตรียมของมากหน่อยก็ดีนะขอรับ ข้าไม่เคยได้ทำบุญสักที” ฮูหยินของบ้านหัวเราะออกมาเสียงดังจนเมิ่งลู่เหยาที่กำลังเดินผ่านอยู่ด้านนอกต้องเข้ามาร่วมสนทนาด้วย

“ใครกันทำให้ท่านแม่อารมณ์ดีได้เช่นนี้”

“ก็น้องเจ้านะสิอาเหยา จะมีใครทำให้แม่เป็นเช่นนี้ได้อีก” เมิ่งลู่เหยามองใบหน้างุนงงของน้องชายแล้วนึกเอ็นดูขึ้นมา จึงหัวเราะในลำคออย่างแผ่วเบา

“พี่ใหญ่ ข้ายังไม่ได้ทำอะไรเลยจริง ๆ นะ” ยิ่งแก้ตัวออกไปก็ยิ่งเพิ่มเสียงหัวเราะของทั้งสองมากขึ้น เมิ่งอวิ๋นก็ยิ่งไม่เข้าใจว่าตนทำสิ่งใดให้พี่ชายและมารดาได้ขบขัน

“แล้วนี่ท่านแม่จะไปที่ใดหรือขอรับ จึงให้คนเตรียมของมากมายเช่นนี้” อู๋ชิวอิ่งลูบเส้นผมของบุตรชายคนเล็กอย่างเบามือ พร้อมกับเอ่ยตอบบุตรชายคนโตออกไป

“เสี่ยวอวิ๋นบอกแม่ว่าอยากไปวัด แม่จึงให้คนเตรียมของมากหน่อยจะได้ไปกับน้อง”

ไปวัด? เมิ่งอวิ๋นจะไปวัดหรือ? เมิ่งลู่เหยาเลิกคิ้วมองน้องชายอย่างแทบไม่เชื่อหู

“เจ้าจะไปด้วยหรือไม่เล่าอาเหยา” เมิ่งลู่เหยาครุ่นคิดครู่หนึ่ง นับว่าตอนนี้ตนเองก็ว่างอยู่แล้ว ติดตามไปดูแลมารดาและน้องชายย่อมเป็นสิ่งที่ควรทำ

“ข้าไปขอรับ”

“ดี ๆ วันนี้วันดีนัก ฟางเอ๋อร์” เสียงเรียกของอู๋ชิวอิ่งนับว่าไม่ดังมากนัก แต่ผู้ถูกเรียกก็ยังได้ยินและก้าวออกมาหาผู้เป็นนาย

“บ่าวอยู่นี่เจ้าค่ะฮูหยิน”

“เจ้าไปบอกให้พวกเขาเตรียมของเพิ่มอีก เร่งมือเข้าด้วยเล่า” ทั้งที่เป็นคำสั่งแต่ฟางเอ๋อร์กลับระบายยิ้มออกมาราวกับว่านั่นคือคำชม ก่อนจะเอ่ยตอบรับ

“เจ้าค่ะ บ่าวจะเร่งไปสั่งการ”

ฟางเอ๋อร์ไม่กล้าชักช้าจึงพาตัวเองออกไปสั่งตามที่ได้รับคำสั่งมา เหลือไว้เพียงหนึ่งมารดากับสองบุตรชายที่ยังคงพูดคุยสนุกสนาน เป็นภาพแสนสุขของครอบครัวที่ใครหลายคนต่างก็ปรารถนา เมิ่งอวิ๋นมองรอยยิ้มของมารดาและพี่ชายอย่างอิ่มเอมใจ ชีวิตของเขาเติมเต็มด้วยความรักของครอบครัวแล้ว เขาไม่ปรารถนาสิ่งใดอีกแล้วนับจากนี้ ขอเพียงเขาและครอบครัวได้เป็นสุขเช่นนี้ตลอดไปก็พอแล้ว เขาขอเพียงเท่านี้จริง ๆ



เมิ่งอวิ๋นกวาดสายตามองไปรอบตัวอย่างสนใจ ผู้คนมากมายต่างเดินเข้าออกสถานที่ที่เรียกว่าวัดด้วยใบหน้าสงบ มองดูด้วยตาเปล่าก็รู้ว่าคนเหล่านี้นั้น ล้วนมาด้วยความนับถือจริง ๆ เมิ่งอวิ๋นฟังอู๋ชิวอิ่งมาตลอดทางว่า เหล่าผู้คนในเมืองหลวงหากไม่ใช่มาเพื่อขอพรก็จะมาเพื่อกราบไหว้พระเท่านั้น เมิ่งอวิ๋นเองก็พอเข้าใจได้ ในยุคนี้ไม่ได้มีอะไรมากมายเหมือนดั่งในช่วงชีวิตเก่าของเขา ผู้คนก็ล้วนดูแล้วจริงใจมากกว่า เล่ห์เหลี่ยมมีเพียงหยิบมือส่วนคนใสซื่อล้วนมุ่งแต่จะทำมาหากิน

อารามตรงหน้าดูแล้วไม่ได้ใหญ่โตโอ่อ่า ทว่ากลับเต็มไปด้วยกลิ่นอายที่ทำให้ใจสงบจนเขายังอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าปอด กลิ่นธูปที่ลอยคละคลุ้งไม่ได้ทำให้รู้สึกเวียนหัวเลยแม้แต่น้อย

“ผู้คนล้วนแต่มาก็เพื่อขอพร เจ้าอยากจะไปขอพรกับแม่บ้างหรือไม่เล่า” เมิ่งอวิ๋นลอบมองเข้าไปภายใน เห็นเหล่าหญิงสาวต่างอายุผลัดกันเดินเข้าออกแล้วก็ได้แต่ฝืนยิ้ม

“ข้าขอเดินรอบๆ ดีกว่าขอรับท่านแม่” อู๋ชิวอิ่งเห็นใบหน้าบุตรชายคนเล็กแล้วก็พอเข้าใจ จึงหันไปถามกับบุตรชายคนโตแทน

“เจ้าเล่าอาเหยา จะเข้าไปกับแม่หรือไม่” น้องชายยังไม่เข้าไป มีหรือที่เมิ่งลู่เหยาจะเข้าไป แน่นอนว่าไม่! เขาปฏิเสธด้วยน้ำเสียงชัดเจน

“ข้าจะอยู่กับเสี่ยวอวิ๋นขอรับ น้องยังจำสิ่งใดไม่ค่อยได้นัก ข้ากลัวว่าน้องจะหลงทาง” อู๋ชิวอิ่งได้ยินเช่นนั้นก็พอใจไม่น้อย พี่น้องรักใคร่กลมเกลียวมีมารดาคนใดบ้างไม่ภูมิใจ นี่คือสิ่งที่นางอยากเห็นที่สุด มากยิ่งกว่าบุตรชายของนางสอบติดจอหงวนเสียอีก

“เช่นนั้นก็ได้ พวกเจ้าก็อย่าไปไกลกันนัก แม่จะรีบออกมา”

"ขอรับ / ข้าทราบแล้วท่านแม่” สองพี่น้องตอบออกมาอย่างพร้อมเพรียง ใบหน้าฉายชัดถึงความเชื่อฟังจนนางอดไม่ได้ที่จะเห็นภาพของบุตรชายในวัยเยาว์ซ้อนทับ

“ฟางเอ๋อร์ ดูแลท่านแม่ให้ดี” นั่นคือคำสั่งจากปากของเมิ่งลู่เหยา ฟางเอ๋อร์ที่ได้ยินระบายยิ้มอ่อน เอ่ยตอบด้วยความนอบน้อมอย่างที่สุด

“เจ้าค่ะคุณชายใหญ่”

“ดูเจ้าสิ ห่วงแม่เกินไปแล้ว” ใบหน้าของอู๋ชิวอิ่งเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ในใจพองโตจนคับอก ความปลาบปลื้มใจมันไม่อาจจะหายไปได้ในเวลาอันรวดเร็ว การได้ยินบุตรชายนางกำชับคนของนางให้ดูแลนาง นั่นยิ่งเท่ากับบอกว่าบุตรชายของนางกตัญญูต่อนางมากเพียงใด ในใจของนางจึงเต็มไปด้วยความยินดี

เมื่อเห็นมารดาและสาวใช้ข้างกายจากไป เมิ่งอวิ๋นก็มองพี่ชายของตนอย่างสงสัย ใช่ว่าจะออกมาเองครั้งแรกเสียเมื่อไร การไม่ยอมเข้าไปกับท่านแม่แล้วอ้างเขาเช่นนี้คงไม่ใช่ว่ากลัวอะไรกระมัง

“พี่ใหญ่ห่วงข้าจริงหรือ?”

“เหตุใดเจ้าถามพี่เช่นนั้น เจ้าเป็นน้องชายคนเดียวของพี่ พี่ต้องเป็นห่วงเจ้าอยู่แล้ว” เมิ่งอวิ๋นได้แต่แสยะยิ้ม เอ่ยถามกระเซ้าอีกครั้งอย่างจงใจ

“มิใช่ว่ากลัวท่านแม่จะจับคู่ให้หรอกหรือ?”

“เฮ้อ...เหตุใดวันนี้จึงได้ร้อนนักนะ” เมิ่งลู่เหยาไม่ตอบกลับเฉไฉไปเรื่องอื่นราวกับไม่ได้ยินคำถามของน้องชายตน ส่วนผู้ที่เอ่ยถามก็ได้แต่หัวเราะไม่ออก พี่ชายเล่นเมินคำถามตนเช่นนี้ดูอย่างไรก็ชัดเจนอยู่แล้ว เช่นนั้นการที่ท่านแม่ชวนเขาเข้าไปก็คงหวังให้เขามองสตรีสักคนสินะ

แม้แต่ในวัดก็จับคู่ได้หรือ?

เมิ่งอวิ๋นรีบส่ายศีรษะเมื่อรู้ตัวว่าความคิดตนคล้ายจะนำบาปมาเข้าตัวเอง หากมารดามิได้คิดเช่นนั้นจะเป็นเขาเองที่บาปหนัก ช่างมันเสียก็ได้ จะอย่างไรหากได้พบคนที่ชอบก็ดี ไม่พบก็ช่าง เรื่องเช่นนี้ให้วาสนาพาไปก็พอแล้ว โชคชะตาช้าเร็วก็ต้องนำคู่มาให้ ไม่มีผู้ใดต้องอยู่คนเดียวหรอก เขาเชื่อเช่นนี้

“พี่ใหญ่ เหลาจื่อเค่อเป็นอย่างไรบ้าง” เมื่อน้องชายเปลี่ยนคำถาม เมิ่งลู่เหยาก็พร้อมจะกลับมาคุยด้วยเช่นเดิม

“นับว่าดีขึ้นมาแล้ว ความคิดเจ้าเยี่ยมยอดนัก ท่านพ่อเองเมื่อได้ยินแล้วก็พอใจมาก” เมิ่งอวิ๋นขมวดคิ้ว กังวลว่าจะถูกพี่ชายเกลียดชังเข้าหรือไม่กับการแสดงความสามารถทางความคิดเช่นนี้ เขาไม่อยากสูญเสียความรักที่พี่ชายมีต่อเขาไป

“พี่ใหญ่ ข้าอยากจะอธิบายให้ท่านเข้าใจ ความดีความชอบใดๆ ข้าล้วนไม่เคยอยากได้ ข้าเพียงไม่อยากให้เหลาอาหารของตระกูลเราต้องทรุดโทรมลงไปเท่านั้น” เมิ่งลู่เหยาขมวดคิ้ว มองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลของน้องชายอย่างครุ่นคิด

“ความดีความชอบเป็นของเจ้า เหตุใดจึงบอกว่าไม่อยากได้?” เมิ่งอวิ๋นไม่ตอบเพียงหลุบตาลงมองพื้น ริมฝีปากเม้มเข้าหากันอย่างอดกลั้น คล้ายกำลังหวาดกลัวสิ่งใดสักอย่างแต่ไม่อาจพูดออกมาได้ เมิ่งลู่เหยามองน้องชายอย่างไม่เข้าใจ แต่ไม่นานก็ฉุกใจคิดขึ้นมาได้ การที่เมิ่งอวิ๋นกล่าวเรื่องนี้ขึ้นมาคงมีเรื่องเดียวเท่านั้นให้ต้องกังวล

นั่นคือกลัวเขาจะไม่พอใจ

คิดได้เช่นนั้นเมิ่งลู่เหยาก็ระบายยิ้ม วางฝ่ามือลงบนศีรษะของน้องชาย โยกมันไปมาราวกับคนตรงหน้าเป็นเพียงเด็กชายตัวน้อยเมื่อครั้งอดีต

“เจ้านี่นะ คิดอะไรอยู่กันแน่ คงมิใช่กำลังคิดว่าพี่ชายเจ้าคนนี้จะนึกอิจฉาและเกลียดชังจนขึ้นมาหรอกนะ”

“พี่ใหญ่...” แววตากลมโตใสแจ๋วชวนให้นึกเอ็นดูไม่น้อย ยิ่งในแววตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความออดอ้อนด้วยแล้ว มีหรือที่เมิ่งลู่เหยาจะทนได้ เขาลดใบหน้าลงมาจนใกล้กับน้องชายตนเอง ห่างกันเพียงแค่หนึ่งฝ่ามือแล้วยี้มออกมา

“พี่ชายของเจ้าคนนี้ยินดียิ่งนักที่เจ้ามีความสามารถ”

“...”

“ไม่เคยนึกน้อยใจจนพาลเกลียดเจ้าแต่อย่างใด”

“...”

“ต่อให้เจ้าจะเป็นเมิ่งอวิ๋นคนเดิมที่แสนร้ายกาจ หรือจะเป็นเมิ่งอวิ๋นแสนอ่อนโยนเช่นในยามนี้”

“...”

“พี่ก็ยังคงรักเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง” เมิ่งอวิ๋นมองรอยยิ้มสว่างไสวที่เปล่งประกายความหล่อตรงหน้าอย่างลืมตัว หัวใจของเขาอิ่มเอมและเต็มตื้นไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่อธิบายไม่ถูก ความอ่อนโยนที่เมิ่งลู่เหยามอบให้นั่น ยิ่งทำให้พี่ชายของเขาผู้นี้...หล่อเหลายิ่งกว่าผู้ใด





50%





ไม่นะ เรือบาปไม่ควรแล่นสิ มันไม่ควรนะคะ ทุกคนจะลงเรือนี้ไม่ได้นะ แมวเตือนคุณแล้วววว สวัสดีปีใหม่นะคะทุุกคน ขอให้ปีนี้มีแต่สิ่งดี ๆ มีความสุขความเจริญรุ่งเรือง สมหวังดังปรารถนาทุุกประการ และมีรอยยิ้มตลอดทั้งปีนะคะ 

เมิ่งอวิ๋น

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
 :pig4:
 :3123:
สวัสดีปีใหม่2564ค่ะ

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8

ออฟไลน์ llมว_น้oe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-4
[17] 100%


“พี่ใหญ่ ขอบคุณนะพี่ใหญ่”

ขอบคุณจริง ๆ ที่ไม่ทิ้งเมิ่งอวิ๋นไม่ว่าจะเมื่อไรก็ตาม

“ฮ่า ๆ ขอบคุณอะไรกัน ข้ามีเจ้าเป็นน้องชายคนเดียวนะเสี่ยวอวิ๋น เรื่องแค่นี้ข้าหรือจะเก็บเอามาใส่ใจ” บางครั้ง...เขาก็อิจฉาเมิ่งอวิ๋นที่มีครอบครัวรักใคร่กลมเกลียว ในขณะที่ตัวเขาเอง...ไม่มีใครสักคน หากว่าต้องถูกกระทำเช่นเขา เมิ่งลู่เหยาผู้นี้จะยังคงยิ้มและรักน้องชายได้อยู่อีกไหมนะ

“พี่ใหญ่...ข้า...ถ้าหากว่า”

“หืม?” เมิ่งอวิ๋นกัดริมฝีปาก คำถามเช่นนั้นคงถามออกไปไม่ได้แน่

“ไม่มีอะไร ข้าว่าจะไปเดินเล่นทางนั้น พี่ใหญ่จะไปกับข้าหรือไม่” เมิ่งอวิ๋นชี้ไปอีกทิศทางหนึ่งซึ่งเมิ่งลู่เหยาก็มองตาม แต่อีฝ่ายกลับส่ายหน้าปฏิเสธ

“ไม่ดีกว่า เจ้าไปเถอะ แต่อย่าไปไหนไกลเล่า” เมิ่งอวิ๋นหัวเราะเมื่อได้ยินการกำชับเหมือนเช่นทุกครั้ง

“ข้ารู้แล้วพี่ใหญ่”

เขาทั้งสองต่างแยกกันเดินไปคนละทิศทาง เมิ่งอวิ๋นเดินไปรอบ ๆ อย่างสำรวจ ในความเป็นจริงวัดแห่งนี้นับว่ามิได้แตกต่างจากในยุคก่อนของเขาแต่อย่างใด อาจจะมีบางจุดที่แตกต่างไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้ชัดเจนจนต้องตกตะลึง เมิ่งอวิ๋นจึงก้าวเดินไปเรื่อย ๆ อย่างสบายใจ

เมิ่งอวิ๋นคิดว่าการได้มาที่นี่คือเรื่องดีสำหรับเขาจริง ๆ การที่เขาและเมิ่งอวิ๋นต่างแลกเปลี่ยนกันมาในครั้งนี้ สำหรับเขาแล้วมันคุ้มค่าจนรู้สึกว่าตนเองนั้นติดหนี้บุญคุณต่อเมิ่งอวิ๋นเหลือเกิน จนอดคิดไม่ได้ว่าการที่เขาโยนภาระอันหนักอึ้งของตนเองให้เมิ่งอวิ๋น เหมือนเขาสลัดทิ้งความเหนื่อยยากที่แสนทรมานออกให้กับเมิ่งอวิ๋น ซึ่งเขารู้สึกแย่กับตัวเองไม่น้อย

หากว่าครอบครัวของเมิ่งอวิ๋นได้รู้เข้าว่าเขาไม่ใช่เมิ่งอวิ๋นตัวจริง เขาจะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่อาจรู้ได้ จะยังได้รับรอยยิ้ม ได้รับความเอ็นดูและความรักจากทุกคนอยู่อีกหรือไม่

ความกลัวส่งผลให้เมิ่งอวิ๋นชะงักฝีเท้าที่กำลังก้าวเดินลง หยุดตัวเองอยู่กับที่ราวกับเวลาทุกอย่างถูกหยุดลง เมิ่งอวิ๋นแหงนใบหน้าขึ้นมององค์พุทธรูปองค์ใหญ่ตรงหน้า นึกภาวนาให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปด้วยดี วิงวอนให้เมิ่งอวิ๋นตัวจริงอย่าได้พบเจอความลำบากใด ๆ เลย ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจวางใจได้จริง ๆ

เขาถอนหายใจแล้วเดินวนอยู่รอบวัดอีกครั้ง ไม่นานนักเขาก็เห็นแผ่นหลังของเมิ่งลู่เหยาที่หยุดนิ่งอยู่เบื้องหน้า เขาคิดจะเอ่ยปากเรียกพี่ชาย ทว่าเงาร่างของใครคนหนึ่งที่ไหวไปเบื้องหน้าทำให้เมิ่งอวิ๋นชะงัก ขมวดคิ้วมองแล้วเร่งฝีเท้าเดินไปหาพี่ชาย ทว่าเบื้องหน้าของพี่ชายกลับไม่มีใครอยู่เลยสักคน มีเพียงใบหน้าของเมิ่งลู่เหยาเท่านั้นที่เคร่งขรึมขนเมิ่งอวิ๋นยังต้องเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ

“พี่ใหญ่ ท่านเป็นอะไรหรือ?” เมิ่งลู่เหยาเพียงหันมายิ้มให้เมิ่งอวิ๋นราวกับเมื่อครู่ไม่ได้กำลังขบคิดสิ่งใด

“พี่ไม่เป็นไร”

“เมื่อครู่...พี่ใหญ่คุยกับใครหรือ”

“พี่จะคุยกับใครได้เล่า” เมิ่งลู่เหยาหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดีก่อนจะเดินออกมาก่อนเมิ่งอวิ๋น เขาได้แต่ขมวดคิ้วกับท่าทีแปลกประหลาดของเมิ่งลู่เหยา หากสายตาเขาไม่ได้มีปัญหาอะไรคนที่หายไปเมื่อครู่นั้น น่าจะเป็นสาวใช้ข้างกายของเยี่ยหนิงหลัน คุณหนูเยี่ยที่เขาได้พบในวันนั้น คนที่กุมหัวใจของพี่ชายของเขาเอาไว้

เมิ่งอวิ๋นได้แต่หันไปมองด้านหลังของตนในทิศทางที่เงาสายนั้นพาดผ่านไป แต่ก็ไม่ได้คิดจะติดตามไปแต่อย่างใด เขาหันกลับมาและเดินตามหลังพี่ชายของตนไปโดยไม่เข้าไปใกล้นัก อย่างไรก็ควรเว้นระยะให้พี่ชายของเขาได้คิดและใคร่ครวญให้มากหน่อย บางทีเมิ่งลู่เหยาอาจจะมีปัญหาอะไรอยู่ก็ได้ เพียงแต่ไม่ยอมบอกเขา ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ได้แต่ต้องปล่อยให้พี่ชายของเขาคิดไปเพียงลำพัง

เมิ่งอวิ๋นและเมิ่งลู่เหยากลับมายืนอยู่ที่เดิมเพื่อรอมารดาที่ขึ้นไปไหว้พระขอพรกลับไปด้วยกัน ฝ่ายของอู๋ชิวอิ่งนั้นเมื่อเห็นใบหน้าของบุตรชายทั้งสองก็ระบายยิ้มออกมาอย่างสุขใจ ในใจของนางนั้นเปี่ยมไปด้วยความสุขที่แทรกซึมไปทั่วทั้งหัวใจ จนนางไม่อาจห้ามริมฝีปากตนเองไม่ให้ฉีกยิ้มได้เลย

พูดคุยกันอยู่ไม่นานผู้เป็นมารดาและบุตรชายทั้งสองก็พากันกลับ ก้าวขึ้นไปนั่งบนรถม้าด้วยสีหน้าที่ติดรอยยิ้ม ไม่เว้นแม้แต่เมิ่งลู่เหยาก็เช่นกัน เมิ่งอวิ๋นลอบมองเมิ่งลู่เหยาเป็นพัก ๆ ด้วยความกังวลใจจึงไม่อาจปล่อยผ่านเรื่องนี้ได้แต่ก็ไม่อาจก้าวก่ายเช่นกัน จึงทำได้เพียงเฝ้าสังเกตเท่านั้น

“ท่านแม่ขอรับ”

“มีอะไรหรืออาเหยา” เมิ่งลู่เหยาลอบกำมือทั้งที่ริมฝีปากยังระบายยิ้ม ดวงตากักเก็บความรู้สึกที่แท้จริงเอาไว้จนมิด แทนที่มันด้วยความสุขที่ได้อยู่พร้อมหน้า

“ก่อนนี้เสี่ยวอวิ๋นให้ลูกค้นหาบางอย่างที่พิเศษเพื่อนำไปตอบแทนให้ใครบางคน”

“บางอย่าง? เจ้าต้องการอะไร เหตุใดไม่ยอมบอกแม่เล่าเสี่ยวอวิ๋น” เมิ่งอวิ๋นงุนงงกับการเปิดประเด็นขึ้นมาของเมิ่งลู่เหยา แต่ก็ยังเอียงคอและตอบคำถามออกไปไม่คิดปิดบัง เว้นเพียงว่าผู้ที่จะได้รับมันเป็นใครเท่านั้น ที่เขาจะไม่เอ่ยมันออกมา

“ของชิ้นนี้หากยากนักขอรับท่านแม่ ข้าจึงวานให้พี่ใหญ่ค้นหาให้” อู๋ชิวอิ่งขมวดคิ้ว ความจริงแล้วของต่อให้หายากเช่นไรนางเองก็ย่อมต้องมีเก็บเอาไว้อยู่แล้ว เมื่อคิดเช่นนั้นนางจึงเปิดปากจะกล่าวบางสิ่ง แต่ก็ถูกเมิ่งลู่เหยาขัดขึ้นมาเสียก่อน

“ท่านแม่อย่าห่วงเลยขอรับ เดิมทีลูกคิดจะถอดใจแล้วแต่ไม่นานมานี้ ลูกได้ยินข่าวถึงของสิ่งหนึ่งที่นับว่าล้ำค่ายิ่งนัก”

“เช่นนั้นหรือ”

“ขอรับ เพียงแต่...”

“มีอะไร เงินของเจ้าไม่พอหรือ เช่นนั้นแม่จะ...”

“มิใช่ขอรับ เพียงแต่ลูกจะต้องเดินทางไปที่นั่นด้วยตัวเอง ของล้ำค่าเช่นนี้ลูกไม่อาจวางใจให้ผู้อื่นไปแทนได้” เมิ่งอวิ๋นไม่อาจมองเห็นความผิดปกตินั้นด้วยตาเปล่า เพียงแต่หัวใจของคนเป็นน้องชายอย่างเขากลับร้องเตือนอย่างประหลาด ไม่ว่าอย่างไรมันก็ไม่อาจสงบใจลงได้

“เจ้าจะไปที่ใดหรืออาเหยา” เมิ่งลู่เหยานิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบไม่เต็มเสียงนัก

“เมืองเอ้อหู ตรงชายแดนระหว่างแคว้นของรับ”



ตกค่ำเมิ่งอวิ๋นเดินวนไปวนมาอยู่ในห้องของตนอย่างคนคิดไม่ตก เดิมทีเขาคิดเอาไว้แต่แรกว่าจะขอให้ติงหยุนมู่ช่วยเป็นธุระหาให้เขา แต่ด้วยความที่ติงหยุนมู่สหายของคนผู้นั้นกำลังอยู่ในช่วงหวานชื่นกับภรรยา เขาเองก็ไม่อยากจะไปรบกวนนัก เช่นที่พี่ชายบอกกับเขาจึงต้องวานพี่ชายอย่างเมิ่งลู่เหยาให้เป็นธุระให้แทน แต่ไม่คิดเลยว่าจะถึงขั้นลำบากลำบนต้องเดินทางไกลถึงเพียงนี้

แม้จะไม่ได้กางแผนที่เมืองมาดูก็รู้ได้ไม่ยากว่ามันจะต้องไกลมากนักจากเมืองหลวง เมิ่งอวิ๋นร้อนใจราวกับมีไฟมาเผาอยู่ภายใน ขบคิดซ้ำ ๆ ว่าจะทำเช่นไรดี เมื่อคิดไม่ตกจึงผลักประตูออกไป สาวเท้าเร่งเดินไปยังห้องของเมิ่งลู่เหยาด้วยหวังจะพูดคุยให้เข้าใจมากกว่าเดิม

เขาไม่ปรารถนาให้เมิ่งลู่เหยาต้องไปในที่ห่างไกลจากบ้านเพื่อเขา เพราะเขารู้ดีว่าตนเองไม่ใช่เมิ่งอวิ๋นในใจของพี่ชาย ไม่ใช่คนที่ถูกอุ้มชูฟูมฟักมาตั้งแต่เด็ก ความผูกพันทางเลือดเนื้ออาจจะใช่ แต่ทางวิญญาณนั้นไม่ใช่เลย

แล้วเขาจะกล้าหรือ กล้าให้ผู้ชายแสนดีที่เป็นพี่ชายที่ดีที่สุดคนนี้ ต้องไปยังที่ห่างไกลเพื่อเขาหรือ

ย่อมไม่อยู่แล้ว

เมิ่งอวิ๋นมาถึงหน้าห้องของเมิ่งลู่เหยาก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง เปิดประตูเข้าไปทันทีโดยไม่สนใจมารยาทใด ๆ อีก แต่สิ่งที่เห็นอยู่เบื้องหน้าเมิ่งอวิ๋นพลันขมวดคิ้ว พี่ชายของเขากำลังสะพายห่อผ้าสัมภาระเตรียมตัวจะเดินทางเสียแล้ว

หากเขาไม่มาเล่า จะไปล่ำลาเขาบ้างหรือไม่

คิดแบบนั้นแล้วเมิ่งอวิ๋นก็ปรากฏความน้อยใจขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

“พี่ใหญ่ท่านจะไปไหน” แม้จะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว แต่เขาก็ไม่เข้าฝใจตัวเองเช่นกันว่าเหตุใดจะต้องเอ่ยถามออกไปอีก

“พี่ต้องรีบเร่งเดินทาง เจ้าหลบทางให้พี่เถอะ” เมิ่งอวิ๋นไม่เพียงไม่หลบทาง อีกทั้งยังขยับขวางทางยิ่งกว่าเดิม ไม่ว่าเมิ่งลู่เหยาจะขยับไปซ้ายหรือขวา เขาก็จะขยับตามไปทางนั้นเช่นกัน

“เสี่ยวอวิ๋น...เจ้ากำลังถ่วงเวลาพี่อยู่นะ” เมิ่งลู่เหยาถอนหายใจและเอ่ยกับน้องชายด้วยท่าทางอ่อนใจ

“พี่ใหญ่ เหตุใดต้องรีบร้อนเพียงนี้ ของชิ้นนั้นข้าไม่เอาแล้วก็ได้ อย่าไปเลยนะพี่ใหญ่” ความไม่สบายใจที่เกาะกุมหัวใจของเมิ่งอวิ๋นทำให้เขาต้องเอ่ยออกไปเช่นนั้น เขายอมติดหนี้บุญคุณนานอีกหน่อยก็ได้ ขอเพียงพี่ชายไม่ไป คนแซ่หลี่ผู้นั้นนับเป็นตัวอะไร

“เสี่ยวอวิ๋น ของชิ้นนี้สำคัญมาก ไม่ใช่แค่กับเจ้ากับข้าก็เช่นกัน”

“พี่ใหญ่หมายความว่าอย่างไร” เมิ่งลู่เหยาหลับตาแน่น เม้มริมฝีปากของตนเองเอาไว้ ดวงตาสะท้อนความรู้สึกแปลกๆ ที่เมิ่งอวิ๋นไม่อาจเข้าใจในความหมายของมันได้ แต่เพียงคู่เดียวมันก็หายไป

“เชื่อพี่ อย่างไรพี่ก็ต้องไป เจ้า...ดูแลท่านพ่อท่านแม่แทนพี่ด้วย”

นี่ไม่ปกติ ไม่ปกติเลยสักนิด

แต่ที่ใดเล่า? สิ่งใดที่มันแปลกกัน เมิ่งอวิ๋นเองก็ยังไม่อาจจะตอบตนเองได้

“พี่ใหญ่...ท่านจะไปนานเพียงใดหรือ”

นานเท่าใด เมิ่งลู่เหยาเองก็ไม่รู้ จะได้กลับมาเมื่อไร เมิ่งลู่เหยาเองก็ตอบไม่ได้

“ไม่ไปได้หรือไม่ ของชิ้นนั้นข้าไม่เอาแล้ว ไม่ว่าสิ่งใดย่อมไม่สำคัญเท่าท่านเลยนะ พี่ใหญ่หากท่านไปแล้วข้าเล่า ข้า...ท่านไม่กลัวข้าถูกรังแกหรือ หากพวกเขาทำร้ายข้าเล่า ท่านจะมาช่วยข้าได้หรือ” เมิ่งอวิ๋นหมดสิ้นหนทางเหนี่ยวรั้ง ได้แต่เอ่ยอ้างความอ่อนแอราวกับเหยื่อตัวน้อยที่ต้องการการปกป้องจากผู้แข็งแกร่ง หวังเพียงมันจะช่วยดึงใจของพี่ชายให้อยู่ต่อได้ ล้มเลิกความคิดที่จะไปเสียให้หมดแล้วอยู่กับเขาที่นี่ต่อไป

เมิ่งลู่เหยามองดวงตากลมสีเกาลัดของน้องชายก็ใจอ่อน แต่ถึงอย่างไรเมื่อได้ตัดสินใจไปแล้วก็ย่อมต้องทำ ความตั้งใจอย่างแรงกล้าของเขาไม่อาจสั่นคลอนให้ล้มลงได้โดยง่าย

“เจ้า เจ้าอย่าทำเช่นนี้เลยเสี่ยวอวิ๋น พี่จำเป็นต้องไป”

ไม่ว่าจะเอ่ยคำใดหัวใจของเมิ่งลู่เหยาก็ไม่เปลี่ยนแปลง ของในห่อผ้าบรรจุเงินและเสื้อผ้าเพียงไม่กี่ชุดเพื่อให้สะดวกต่อการเดินทาง แต่ในสายตาของเมิ่งอวิ๋นนั้นมันช่างไม่เพียงพอเลย

เมื่อกล่อมพี่ชายไม่ได้เขาก็ได้แต่ถอนหายใจ ล้วงเอาตั๋วเงินในอกตนออกมาแล้วยื่นให้พี่ชายแทน หากไม่อาจห้ามปรามก็ได้แต่ช่วยเป็นกำลัง ถึงอย่างไรพี่ชายก็ไปเพื่อเขา เพื่อให้เขาเอาของมาตัดสะบั้นบุญคุณที่เขาไม่เคยคิดอยากจะมีต่อคนผู้นั้นเสียให้ขาด จบเรื่องเมื่อไรจะได้ลาขาดกันเสียที

“เช่นนั้นพี่ใหญ่เอานี่ไปด้วยเถิด” เมิ่งลู่เหยารับมาถือไว้แล้วคลี่ออกดู

“เหตุใดจึงมากมายเช่นนี้”

“ระยะทางเท่าไรก็ไม่รู้ อุปสรรคข้างหน้าอาจมีมากจนพี่ใหญ่เหนื่อยล้า ข้าที่เป็นน้องชาย จะทนให้พี่ใหญ่เงินขาดมือได้อย่างไร” เมิ่งอวิ๋นก้มใบหน้าลงซ่อนความไม่ยินยอมให้ไปในดวงตาเอาไว้ แต่คนตรงหน้าของเมิ่งอวิ๋นกลับเต็มตื้นไปด้วยความรู้สึกขอบคุณ ดึงร่างของน้องชายคนเดียวเข้ามากอดจนแนบแน่น เอ่ยคำขอบคุณอย่างแผ่วเบาออกมา

“ขอบคุณ เจ้าเป็นน้องชายที่ดีของพี่เสมอ” เมิ่งอวิ๋นถอนหายใจ ใช้มือตบหลังพี่ชายเบาๆ สองสามครั้งเป็นการปลอบ

“ปล่อยข้าได้แล้วพี่ใหญ่”

“จริงของเจ้า พี่ควรรีบไปได้แล้ว”

ทั้งสองเงียบใส่กันอยู่ครู่ใหญ่ ไม่มีใครพูดอะไรเพียงมองสบตากันเท่านั้น เมิ่งอวิ๋นไม่รู้ว่าควรจะร้องไห้ออกมาตรงนี้ หรือควรจะยิ้มอำลาให้พี่ชายดี ใบหน้าของเขาจึงดูบิดเบี้ยวอย่างประหลาดนัก

ส่วนเมิ่งลู่เหยาเห็นใบหน้าของน้องชายที่ไม่รู้จะยิ้มหรือร้องไห้ดีก็พลันรู้สึกอยากจะหัวเราะขึ้นมา แต่ในอกมันตื้นตันจนน้ำตาเริ่มจะไหลลงมา เขาจำต้องกลั้นมันเอาไว้ภายใน ไม่ให้เมิ่งอวิ๋นต้องเป็นห่วงเขามากนัก

“เสี่ยวอวิ๋น”

“พี่ใหญ่...” ทั้งสองเอ่ยเรียกอีกฝ่ายพร้อมกัน จนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา

“เจ้าพูดก่อน”

“ไม่...พี่ใหญ่พูดก่อนเถิด” เมื่อได้ยินเช่นนั้นเมิ่งลู่เหยาก็พยักหน้าเอ่ยออกมาก่อนเป็นคนแรก

“พี่ไม่อยู่ เจ้าต้องดูแลท่านพ่อท่านแม่ให้ดี อีกทั้งเรื่องเหลาจื่อเค่อก็เช่นกัน เจ้าจะต้องเข้าไปดูแลบ้าง อย่างไรเจ้าก็คือบุตรชายคนหนึ่งของสกุลเมิ่ง”

“ข้ารู้ ข้าจะไปดูแลเหลาจื่อเค่อแทนพี่ใหญ่ รอจนพี่ใหญ่กลับมาข้าจะกลับไปเที่ยวเล่นอีกครั้ง” เมิ่งลู่เหยาหัวเราะ ยกมือขึ้นมาลูบศีรษะของน้องชายด้วยความเอ็นดู เขาอยากจะให้ทุกอย่างหยุดลงที่ตรงนี้ไม่เดินหน้าไปไหนต่อ แต่ก็ทำไม่ได้ อีกนานแค่ไหนถึงจะได้เห็นรอยยิ้มนี้อีกก็ไม่รู้ สิ่งที่ทำได้มีเพียงเก็บมันเอาไว้ในความทรงจำ

“พี่ต้องไปแล้ว” เมิ่งอวิ๋นอาวรณ์ต่อสัมผัสนั้นมาก เขาไม่อยากให้มันหายไปแต่ก็รู้ดีว่าไม่อาจรั้งเอาไว้

“พี่ใหญ่เดินทางดีๆ นะ นี่ก็มืดมากแล้วระวังตัวด้วย”

“ได้...”

แผ่นหลังของเมิ่งลู่เหยาค่อย ๆ ห่างออกไปทีละน้อย พี่ชายคนเดียวของเขากำลังจะไปแล้ว หัวใจที่กำลังเต้นในอกพลันเจ็บแปลบขึ้นมาเล็กน้อย ทว่ากลับไม่ใช่ความรู้สึกของเมิ่งอวิ๋นที่ตกค้าง แต่เป็นความรู้สึกของเขาที่แสดงออกมาเอง

พี่ใหญ่...ท่านเองก็เป็นพี่ชายที่ดีเช่นกัน ขอบคุณที่ทำเพื่อข้าแม้ข้าจะไม่ใช่เมิ่งอวิ๋นก็ตาม







TBC



เอ๊ะ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่านะ ไหนใครรู้บอกแมวหน่อยสิ มากระซิบข้างๆหูแมวเลยเร็ว // ทำให้ทุกคนรอนานมากใช่ไหมคะ แง้ จะบอกว่าก่อนหน้านี้แมวเพิ่งจะติดเรื่องย้ายบ้านค่ะ แต่ตอนนี้ทุกอย่างลงตัวแล้ว เย้! 

เมิ่งอวิ๋น 

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
ไม่เอาน้าาา ห้ามเจ็บห้ามตาย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ llมว_น้oe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-4
[18] 50%


เรื่องใหญ่

หลังจากที่เมิ่งลู่เหยาออกเดินทางไป เมิ่งอวิ๋นก็พลอยนอนไม่หลับไปด้วย เกือบทั้งคืนที่เขาเอาแต่นอนพลิกไปพลิกมาไม่อาจข่มตาให้หลับได้ ความกังวลใดก็ไม่ทราบที่รบกวนจิตใจของเขา ทำให้เขาต้องอดหลับอดนอนก็ยังไม่อาจรู้คำตอบที่ค้นหาได้

เช้าวันนี้เมิ่งอวิ๋นจึงดูอิดโรยเป็นพิเศษ ความง่วงไม่ได้เข้ามาจู่โจมแม้แต่น้อย กลับเป็นอาการปวดศีรษะเสียมากกว่าที่ทำให้เขาต้องกุมขมับและไม่ปรารถนาจะลุกขึ้นจากตั่งนอน

เสี่ยวหลงมองใบหน้างดงามที่ซีดเซียวของผู้เป็นนายด้วยความร้อนใจ ครั้งเมื่อเอ่ยปากจะไปบอกกล่าวแก่นายท่านและฮูหยิน นายน้อยของตนก็ออกปากห้ามเอาไว้ ไม่ยอมให้ไปแจ้งอาการนี้แก่ผู้ใด เสี่ยวหลงจึงมีสีหน้าไม่ดีนัก แต่ก็จนด้วยปัญญาที่จะทำสิ่งใดได้

ทางด้านเสี่ยวฉีเองก็เพียงนำอ่างน้ำมาให้เมิ่งอวิ๋นได้ล้างหน้าล้างตา หวังจะบรรเทาอาการปวดศีรษะของเมิ่งอวิ๋นได้บ้างไม่มากก็น้อย แต่เสี่ยวหลงไม่อาจวางใจ หากป่านนี้คุณชายใหญ่ยังอยู่ที่จวน คงจะสามารถเกลี้ยกล่อมให้นายน้อยเชิญท่านหมอมาตรวจดูอาการ

“นายน้อย...”

“เจ้าอย่าพูดเลย ข้าเพียงปวดหัวเท่านั้น เหตุใดต้องทำหน้าราวกับข้าใกล้ตายด้วยเล่า” เสี่ยวหลงได้ฟังถึงกับตาโต ละล่ำละลักแก้คำของผู้เป็นนายแทบไม่ทัน

“นายน้อยเหตุใดกล่าวเช่นนั้นขอรับ เอ่ยถึงเรื่องตายได้อย่างไร ไม่ได้ บ่าวจะไปเรียนฮูหยิน”

“หากเจ้าไป...ข้าจะไม่คุยกับเจ้าอีก”

“นายน้อย!” เสี่ยวหลงแทบจะร่ำไห้ออกมาให้เสียงดังลั่น นายน้อยของตนข่มขู่มาเช่นนี้มีหรือที่เสี่ยวหลงจะกล้าขยับตัวออกไปจากห้อง หากทำเช่นนั้นก็เท่ากับว่าไม่อยากอยู่ใกล้ชิดนายน้อยอีกต่อไปแล้ว เสี่ยวหลงทนไม่ได้

“เสี่ยวฉี...เจ้าก็เช่นกัน หากเรื่องนี้ไปถึงหูท่านพ่อท่านแม่ข้า เจ้าก็เตรียมกลับไปทำหน้าที่เดิม”

“บ่าวเข้าใจแล้วขอรับ”

เมื่อได้ยินคำตอบที่น่าพอใจ ใบหน้าที่ติดจะดุหน่อย ๆ ของเมิ่งอวิ๋นก็คลายลง เขาเอนแผ่นหลังไปพิงกับตั่งนอนอย่างผ่อนคลาย หลับตาลงช้า ๆ คล้ายกับว่ากำลังตกอยู่ในภวังค์ เสี่ยวหลงเห็นผู้เป็นนายหลับตาก็ได้โอกาสสะกิดเสี่ยวฉี เอ่ยกระซิบกับอีกฝ่าย

“เจ้าดูนายน้อยเอาไว้ ข้าจะไปแจ้งแก่พ่อบ้านเหลย” เสี่ยวฉีปรายตามองร่างของเมิ่งอวิ๋นบนตั่งครู่หนึ่ง ก่อนจะแย้งเสี่ยวหลงออกมา

“ข้าไม่คิดว่านั่นจะเป็นความคิดที่ดีนัก นายน้อยสั่งเอาไว้แล้วว่ามิให้บอกแก่ผู้ใด เจ้าไม่กลัวว่านายน้อยจะไม่พูดกับเจ้าอีกต่อไปหรือ” เสี่ยวหลงหรือจะไม่กลัว ริมฝีปากบางเม้มแน่นออกคล้ายจะร่ำไห้เสียให้ได้เรียกสายตาเอ็นดูของเสี่ยวฉีได้เป็นอย่างดี แต่เพียงครู่เดียวเท่านั้นสายตาของเสี่ยวฉีก็แปรเปลี่ยนเป็นเรียบเฉยไร้อารมณ์เช่นเดิม

“แล้วเจ้าจะให้ข้าปล่อยนายน้อยไว้เช่นนี้หรือ เจ้าไม่ห่วงนายน้อยเลยใช่หรือไม่” เป็นบ่าวรับใช้ยังไงกัน นายป่วยเช่นนี้กลับไม่ทุกข์ร้อน ใช่สิ...คนผู้นี้เพิ่งจะติดตามนายน้อยได้ไม่นานนัก มีหรือจะรู้สึกรักใคร่ห่วงใยนายน้อยจากใจจริงเช่นเขา ที่เฝ้าดูแลเติบโตมาพร้อมกันกับผู้เป็นนาย

ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห เสี่ยวหลงจึงตวัดสายตาดุร้ายคล้ายกับลูกแมวตัวกลมที่พองขนรอสู้กับศัตรูตรงหน้า

เสี่ยวฉีไม่อยากยอมรับจริงๆ ว่าเขาชื่นชอบท่าทางของคนตรงหน้าเป็นอย่างมากจนอดไม่ได้ที่จะกระตุกมุมปากขึ้นมา แม้คนตรงหน้าจะไม่ได้งดงามราวกับหญิงสาว ไม่ได้หล่อเหลาเหมือนอย่างเมิ่งลู่เหยา แต่สีหน้าที่เปลี่ยนได้ตามอารมณ์ของคนผู้นี้ดึงดูดให้สายตาของเขาจับจ้องไม่หลบหลีก

ยิ่งได้เห็นก็ยิ่งปรารถนาจะเห็นมากขึ้น ทุกอารมณ์ ทุกความรู้สึก ทุกสีหน้า

ล้วนแต่น่าสนใจสำหรับเสี่ยวฉีทั้งสิ้น

“ข้าหิวแล้ว” จู่ ๆ เมิ่งอวิ๋นก็พูดขึ้นมาทั้งที่ดวงตายังปิดสนิท เสี่ยวหลงที่กำลังข่มขู่อีกคนด้วยท่าทางน่ากลัว เปลี่ยนการแสดงออกเป็นกระตือรือร้นแทบจะทันที

“นายน้อย อยากกินอะไรหรือขอรับ”

เห็นไหมเล่า...เปลี่ยนง่ายจนน่าสนใจ

เสี่ยวหลงไม่ได้รู้สึกถึงความคิดของเสี่ยวฉีแม้แต่น้อย เพราะเขาให้ความสนใจไปที่ผู้เป็นนายมากกว่าคนข้างกาย จึงปล่อยให้สายตาของคนข้าง ๆ จับจ้องตนต่อไปโดยไม่คิดจะห้ามปรามใดๆ

“เจ้าลองไปถามที่ห้องครัวดูว่ามีสิ่งใดบ้าง สิ่งใดน่ากินเจ้าก็ยกมาเถอะ”

“ขอรับ บ่าวจะรีบไป”

เพียงขยับตัวไม่นานเสี่ยวหลงก็พลันนึกขึ้นมาได้ว่า ไม่ควรปล่อยให้นายน้อยของตนอยู่ลำพังกับเสี่ยวฉี เสี่ยวหลงจึงหรี่ตามองท่าทางไม่ทุกข์ร้อนของเสี่ยวฉี แล้วออกปากสั่งให้อีกคนไปแทน

“เจ้าว่างนี่ ข้าจะอยู่ดูแลนายน้อยเอง เจ้าไปที่ห้องครัว ทำตามคำสั่งของนายน้อยเสีย” เมิ่งอวิ๋นแทบจะหลุดขำออกมากับการสั่งการของเสี่ยวหลง บ่อยครั้งที่เห็นเสี่ยวหลงร้อนใจในเรื่องของตน แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่จะเห็นเสี่ยวหลงใช้งานผู้อื่น ริมฝีปากของเมิ่งอวิ๋นจึงอดกระตุกขึ้นมาไม่ได้

“ได้...” เสี่ยวฉีไม่คิดขัด จึงเดินออกไปจากห้อง ปล่อยให้ทั้งห้องเหลือเพียงเสี่ยวหลงที่คอยดูแลเมิ่งอวิ๋นต่อไป อย่างไรนี่ก็คือคำสั่งของผู้เป็นนาย จะให้ผู้ใดไปก็ไม่ต่างกัน

เสี่ยวหลงมีสีหน้าดีขึ้นมาหน่อย คอยรินน้ำชาให้นายน้อยของตนจิบเป็นระยะ เฝ้ามองดูอาการของผู้เป็นนายไม่ห่าง แต่ใบหน้าอิดโรยของผู้เป็นนายก็ไม่ได้ดีขึ้นแม้แต่น้อย นั่นทำให้เสี่ยวหลงไม่สามารถคลายความร้อนใจลงไปได้เลย เสี่ยวหลงขยับตัวอยู่ตลอดเวลา ยิ่งเมื่อเมิ่งอวิ๋นไม่มีทีท่าว่าจะหายในเวลาอันรวดเร็วเสี่ยวหลงก็ยิ่งขยับตัวมากยิ่งขึ้น จนทำให้เมิ่งอวิ๋นที่ยังหลับตาอยู่รู้สึกทนไม่ไหว

“เจ้าหยุดสักทีเถอะ”

“ขอรับ?” เสี่ยวหลงไม่เข้าใจในคำพูดของนายน้อยตน

“เจ้าหยุดเดินไปเดินมาเสียที มันยิ่งทำให้ข้าปวดหัวมากกว่าเดิมเสียอีก” เสี่ยวหลงหยุดฝีเท้าลงนิ่งสงบในทันที นึกโทษตัวเองที่ทำให้ผู้เป็นนายรู้สึกแย่กว่าเก่า เขาเป็นบ่าวรับใช้ที่ไม่ได้เรื่องเสียจริง

“เจ้าไปดูเสี่ยวฉีเถอะ ข้าอยู่คนเดียวได้”

“แต่...”

“ไปเถิด เผื่อว่าข้าได้อยู่คนเดียวแล้วข้าจะดีขึ้น”

เมิ่งอวิ๋นไม่รู้เลยว่าคำพูดนั้นทำให้เสี่ยวหลงเศร้าลงทันตา ใบหน้าของเด็กหนุ่มมีแต่ความโศกเศร้าและเสียใจ นึกน้อยใจที่ผู้เป็นนายมองว่าไม่มีตนแล้วจะหายเร็วขึ้นมากกว่าการที่มีตนอยู่ น้ำเสียงสั่นเครือจึงเอ่ยตอบรับอย่างไม่เต็มเสียงนัก แต่ก็ชัดเจนพอให้เมิ่งอวิ๋นได้ยิน

“ขอรับ”

เสี่ยวหลงหันหลังให้ผู้เป็นนาย เดินไหล่ตกออกไปจากห้องด้วยอารมณ์น้อยใจ เมิ่งอวิ๋นที่ได้ยินน้ำเสียงเช่นนั้นก็ทบทวนคำพูดตนอยู่เงียบๆ ก่อนที่จะลืมตาขึ้นมาในช่วงเวลาที่ประตูห้องกำลังจะปิดลง

“เสี่ยวหลง”

“ขอรับ...” เสี่ยวหลงชะงักมือที่จะปิดประตูลง โผล่ใบหน้ามาเพียงเสี้ยวหนึ่งเพื่อรอรับคำสั่งจากผู้เป็นนาย

“เจ้า...อย่าถือคำข้าเลย บางครั้งข้าพูดออกไปมันก็ไม่ได้หมายความเช่นนั้นหรอกนะ ข้าเพียงแค่...อยากพักผ่อน ไม่ได้มองว่าเจ้าน่ารำคาญ หรือการมีเจ้าอยู่ข้างกายข้าจะทำให้ข้าแย่ลง เจ้าเข้าใจข้าใช่ไหม”

“นายน้อย...” เสี่ยวหลงน้ำตาคลอด้วยความซาบซึ้งใจ นายน้อยของตนเอาใจใส่ขนาดนี้จะว่ากล่าวเขาได้อย่างไร เป็นตัวของเขาเองต่างหากที่คิดชั่วช้า น้อยใจในคำพูดที่นายน้อยมิได้มีความหมายใดแอบแฝง อีกทั้งยังทำให้นายน้อยของตนต้องฝืนตนเพื่ออธิบายให้เขาฟัง

เขามันแย่เสียจริง!

“บ่าวจะรีบไปดูเสี่ยวฉีให้นำแต่ของอร่อยที่น่ากินมาให้นายน้อย จะยกมาให้นายน้อยเยอะๆ เลยขอรับ นายน้อยพักผ่อนเถิด อย่าห่วงเลย บ่าวจะจัดการทุกอย่างเอง” เมื่อพบว่าน้ำเสียงของเสี่ยวหลงร่าเริงขึ้น เมิ่งอวิ๋นก็พอจะวางใจส่งยิ้มไปให้เสี่ยวหลงพร้อมกับพยักหน้ารับคำ และมองเสี่ยวหลงปิดประตูออกไปเงียบๆ

เมื่อประตูถูกปิดลง เมิ่งอวิ๋นก็ถอนหายใจออกมา เขาป่วยหรือเปล่าไม่รู้ แต่อาการปวดหัวเช่นนี้ทำให้อดคิดไปถึงเรื่องเก่าก่อนไม่ได้จริง ๆ การที่ต้องอยู่คนเดียวโดยไม่มีเมิ่งลู่เหยาผู้ให้ความรู้สึกแบบพี่ชาย มันทำให้เขาหวาดกลัว กลัวว่าจะต้องกลับไปเป็นเหมือนในชาติก่อน

เมิ่งอวิ๋นหลับตาลงนึกถึงเรื่องราวเมื่อครั้งที่เขาต้องโดดเดี่ยว

มันตั้งแต่เมื่อไรกันนะที่เขาและเสี่ยวเฟิงต้องห่างไกลกัน ตั้งแต่เมื่อไรกันนะที่เสี่ยวเฟิงไม่มองเขาด้วยแววตานับถืออีกต่อไปแล้ว

มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไรเขาเองก็จำไม่ได้ แต่สิ่งที่เขาจำได้ดีคือ...ไม่ว่าจะถูกมองด้วยสายตาเช่นไร สำหรับเขาแล้ว เสี่ยวเฟิงก็คือเสี่ยวเฟิง คนที่วิ่งออกไปตากฝนกับเขาในวันนั้น

เสี่ยวเฟิงยังคงเป็นน้องชายที่เขารักมากที่สุดอยู่ดี

เมิ่งอวิ๋นปล่อยให้น้ำตารินไหลลงสองแก้ม พร้อมกับภาพเหตุการณ์เก่า ๆ ที่ฉายวนเวียนซ้ำ ๆ ให้หัวใจของเขามันได้เต้นเป็นจังหวะที่ทรมาน





50%



บรรยากาศมันพาไป ฉากต่อไปคืออดีตนะจ๊ะ รออ่านกันได้เลย 

เมิ่งอวิ๋น

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8

ออฟไลน์ llมว_น้oe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-4
[18] 100%


หลังจากที่กลับมาจากมหาวิทยาลัยที่อยู่ไกลจากบ้าน เซี่ยอี้เจินก็เดินเข้ามาในบ้านอย่างเหน็ดเหนื่อย เขาเรียนหนักมาก ทุ่มเทให้กับมันจนแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอนเพื่อจะเป็นเรี่ยวแรงช่วยดูแลทุกอย่างในตระกูล ลดความเหนื่อยยากของคุณปู่ที่บัดนี้ได้แก่ชราลงไปมากแล้ว

ดวงตากลมหันมองหาร่างของน้องชายที่เขาคิดถึงแต่พบเพียงความว่างเปล่า จึงหันไปส่งกระเป๋าเสื้อผ้าให้กับหวงหลินผู้เป็นแม่บ้านและเอ่ยถามแทน

“ป้าหวงครับ เสี่ยวเฟิงละ?” หวงหลินยิ้มบาง ๆ ให้กับคุณชายของบ้าน

“อยู่ที่ห้องค่ะ คุณชายใหญ่จะขึ้นไปหาคุณชายเล็กก่อนหรือจะอาบน้ำล้างตัวก่อนดีคะ”

“ผมไปหาน้องก่อนดีกว่าครับ ไม่ได้เจอกันมาตั้งสองปี ผมอยากจะคุยกับน้อง”

ได้ยินเช่นนั้นแม่บ้านหวงนามว่าหลินก็ยิ้มเอ็นดู พร้อมกับเดินถือกระเป๋าของเซี่ยอี้เจินไปเก็บไว้ที่ห้อง ส่วนเซี่ยอี้เจินก็เดินขึ้นบันไดตรงไปยังห้องของน้องชาย แล้วเคาะประตูเรียก

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“เสี่ยวเฟิง พี่เองนะ อยู่หรือเปล่า” ไม่นานนักประตูก็เปิดออก ใบหน้าของน้องชายที่โตขึ้นจากสองปีก่อนทำให้เซี่ยอี้เจินประหม่าไม่ได้ ทว่าแววตาของเซี่ยอี้เจินยังคงเต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดี ความดีใจที่ได้พบหน้าน้องนั้นทำให้เขาต้องยิ้มกว้างออกมา ทว่าสายตาเย็นชาจากน้องชายและคำถามราวกับคนไกลห่างทำให้เซี่ยอี้เจินยิ้มค้าง

“มีอะไรหรือเปล่าครับ?” เซี่ยอี้เจินพยายามสูดลมหายใจ ปลอบตัวเองว่าน้องเพียงห่างจากเขาไปนานจึงมีอาการเช่นนี้

“พี่กลับมาแล้ว เสี่ยวเฟิงเป็นยังไงบ้าง” เขาเอื้อมมือออกไปหวังจะสัมผัสศีรษะของน้อง แต่เซี่ยเฟิงกลับถอยหลัง มองเขาอย่างดุร้ายด้วยแววตาที่แข็งกร้าว นั่นทำให้เซี่ยอี้เจินชะงัก มองความเย็นชาไม่เป็นมิตรนั่นอย่างไม่เข้าใจ

“เสี่ยวเฟิง...”

“ขอโทษด้วย ผมไม่ชอบให้ใครแตะต้อง พี่คงจะเหนื่อยจากการเดินทาง ไปพักเถอะ ผมไม่ค่อยว่าง”

“ดะ...เดี๋ยว...เดี๋ยวก่อนสิ” แต่เซี่ยเฟิงไม่ได้รอฟัง เขาปิดประตูลงทันทีที่ตนเองพูดจบ ทิ้งให้เซี่ยอี้เจินยืนปวดใจอยู่ด้านนอก ทิ้งความโดดเดี่ยวเอาไว้ในหัวใจของเซี่ยอี้เจินจนเขาขยับก้าวขาไปไหนไม่ได้

ไม่เข้าใจเลย ทำไมถึงเป็นแบบนี้ เขาทำอะไรผิดหรือน้องชายถึงไม่อยากคุยกับเขา

“เสี่ยวเฟิง...” น้ำเสียงหวานได้แต่เอ่ยเรียกน้องอยู่หน้าประตูอย่างแผ่วเบา ฝ่ามือแม้อยากจะสัมผัสประตูตรงหน้าก็ไม่กล้าพอแม้แต่จะเอื้อมออกไป หัวใจดวงน้อยกำลังค่อย ๆ แหลกสลายลงไปอย่างช้า ๆ ในทุกวัน


เมิ่งอวิ๋นกำมือของตนเอาไว้แน่นก่อนจะลืมตาขึ้นมาช้า ๆ นัยน์ตาคู่สวยยังคงเจือไปด้วยร่องรอยของความโดดเดี่ยวและปวดร้าว เขาเองไม่เข้าใจและไม่เคยได้เข้าใจในเหตุผลนั้น ว่าทำไมน้องชายของเขาจึงเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ เขาจำได้ดีว่านับจากวันนั้นเป็นต้นมา เขาและเสี่ยวเฟิงก็ไม่เคยได้พูดคุยกันเหมือนช่วงเวลาที่ยังเป็นเด็กอีกเลย บางทีอาจจะเพราะเวลาที่ทำให้เราสองคนห่างกันไป

หรืออาจจะเพราะเขา...ไม่คู่ควรกับการเป็นพี่ชายของน้องชายอีกแล้ว

“นายน้อย! เกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับ!” เสียงของเสี่ยวหลงดังมาตั้งแต่ไกล ก่อนที่ประตูจะเปิดออกเสียด้วยซ้ำ เมื่อได้ยินว่าเกิดเรื่องใหญ่ ใจของเมิ่งอวิ๋นที่ไม่สงบอยู่แล้วก็ยิ่งปั่นป่วนมากยิ่งขึ้น เขากลัวที่สุดคือข่าวร้าย หากว่ามีคนส่งข่าวมาบอกว่าพี่ชายของเขาเกิดเรื่องเล่าจะทำเช่นไรดี หากเป็นเรื่องถึงแก่ชีวิตเขาจะช่วยเหลืออย่างไรดี เมิ่งอวิ๋นกระวนกระวายใจอย่างมาก เมื่อร่างของเสี่ยวหลงโผล่เข้ามาเขาจึงรีบเอ่ยถามทันที

“มีเรื่องอะไร เกิดอะไรขึ้นเจ้ารีบพูดมา” ความร้อนใจทำให้เมิ่งอวิ๋นเร่งเร้าเสี่ยวหลงที่หอบหายใจหน้าซีดเผือดอยู่หน้าประตู

“มะ มี มี” เสี่ยวหลงละล่ำละลักพูดติดขัดจนเมิ่งอวิ๋นนึกขุ่นเคือง

“มีอะไรเจ้าพูดมาให้ชัดเร็ว ๆ เข้า!” เสี่ยวหลงพลันสะดุ้งกับน้ำเสียงของผู้เป็นนายจนต้องรวบรวมสติแล้วเอ่ยบอกกล่าวออกอีกครั้ง

“มีคนจากทางการมาถามหาคุณชายใหญ่ที่หน้าจวนขอรับนายน้อย!” เมิ่งอวิ๋นไม่เข้าใจ ทำไมคนจากทางการจะต้องมาถามหาพี่ชายของเขาด้วย

“ถามหาไปทำไม? พี่ข้าออกไปนอกเมือง มีเรื่องอะไรกันแน่”

“เรื่องนี้บ่าวได้ยินมาไม่แน่ชัด แต่จากที่ฟังมาจวนของรองเสนาบดีเยี่ยแจ้งทางการว่าบุตรสาวได้หายตัวไปขอรับ!”

“แล้วเกี่ยวอันใดกับพี่ใหญ่ข้า?”

“รองเสนาบดีเยี่ยให้การว่าคุณหนูเยี่ยหนิงหลันถูกคุณชายใหญ่ลักพาตัวออกไปขอรับ”

ปึง!

“กล้าดียังไงมากล่าวหาพี่ใหญ่ของข้าเช่นนี้!” เมิ่งอวิ๋นโกรธจนเลือดขึ้นหน้า ทุบกำปั้นลงบนตั่งนอนอย่างแรงโดยไม่เกรงกลัวต่อความเจ็บปวดสักนิด พี่ชายเขาคือบุรุษผู้แสนดีที่ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่มีทางเทียบได้ การกล่าวเอ่ยคำออกมาเช่นนี้มิเท่ากับใส่ความกันหรอกหรือ!

เมิ่งอวิ๋นไม่พอใจกับเรื่องที่ได้ฟังจนฝืนกายไม่สนใจอาการปวดศีรษะก่อนนี้ของตนแม้แต่น้อย ลุกจากตั่งพร้อมกับเดินตรงไปยังร่างของเสี่ยวหลง

“นายน้อยจะไปที่ใดขอรับ”

“ข้าจะไปคุยกับทางการที่มาให้รู้เรื่อง เรื่องใหญ่เช่นนี้มิเท่ากับหาเรื่องตายให้พี่ใหญ่ของข้าหรอกหรือ!”

เมิ่งอวิ๋นรีบสาวเท้าออกไปจากห้องโดยไม่สนใจผู้ใดอีก ในเวลานี้เขาขบคิดเพียงคำถามเดิมซ้ำๆ ว่านี่ใช่เรื่องบังเอิญหรือไม่ เดิมทีเขาก็กังวลเป็นทุนเดิมอยู่แล้วเรื่องของพี่ใหญ่ แต่ใครจะไปคิดว่ามันจะมีเรื่องเกิดขึ้นมาจริง ๆ เขายังแปลกใจว่าเหตุใดพี่ใหญ่จึงรีบไปนัก แต่การที่มีเรื่องราวเช่นนี้เกิดขึ้นเขาย่อมไม่กล้าปักใจเชื่อว่าเป็นฝีมือของพี่ชายของเขา

จะเป็นไปได้อย่างไร พี่ชายของเขาเหตุใดจะต้องลักพาตัวคุณหนูเยี่ยด้วย ในเมื่อทั้งสองต่างมีใจให้กัน

เรื่องนี้จะต้องไม่เป็นความจริง พี่ชายของเขาย่อมไม่มีวันทำเช่นนั้นแน่ เขามั่นใจ!

เมื่อเห็นว่าร่างของคนมากมายอยู่ภายในจวนล้วนแต่ไม่คุ้นหน้าคุ้นตา เมิ่งอวิ๋นจึงรีบเร่งเดินเข้าไปหาหวังจะถามไถ่เรื่องราวความจริงให้กระจ่าง แต่ก็ต้องชะงักเมื่อพบกับคนที่คุ้นตาเสียก่อน

“ไม่ทราบพวกท่านนำทหารเข้ามาในจวนของสกุลเมิ่งเช่นนี้ มีเรื่องอะไรกันหรือ?” เมิ่งอวิ๋นเอ่ยถามอย่างสุภาพ ทว่าบรรยากาศรอบกายกลับไม่มีความเป็นมิตรแม้แต่น้อย ยิ่งคนที่เมื่อเห็นเขาก็ก้าวออกมายืนอยู่เบื้องหน้าเขายิ่งแล้วใหญ่ คนผู้นี้ยิ่งทำให้ความเป็นมิตรของเมิ่งอวิ๋นติดลบไปในทันที

“ข้ามาหาเมิ่งลู่เหยา อยู่หรือไม่”

“พี่ชายข้าออกเดินทางไปต่างเมืองตั้งแต่เมื่อคืน ไม่ทราบต้องการพบด้วยเรื่องอันใด” เสิ่นหยวนมองใบหน้าเย่อหยิ่งของเมิ่งอวิ๋นด้วยความไม่ชอบใจ คนผู้นี้ถือดีอะไรมาชูหน้าชูตาอยู่ตรงหน้าเขา เป็นเพียงบุตรชายของพ่อค้า กลับกล้ายืนอยู่ตรงหน้าขุนนางเช่นเขา คนไร้ศักดิ์ต้อยต่ำเช่นนี้น่ารังเกียจเหลือทน!

“ไปต่างเมืองหรือ มิใช่หนีความผิดลักพาตัวบุตรสาวท่านรองเสนาบดีเยี่ยไปด้วยกระมัง” น้ำเสียงติดเย้ยหยันและสีหน้าดูแคลนของเสิ่นหยวนนั้น ไม่ได้ทำให้เมิ่งอวิ๋นมีโทสะหรืออะไรทั้งสิ้น กลับมองว่าคนผู้นี้น่าสมเพชกว่าผู้อื่นถึงขนาดต้องเหยียบย่ำผู้คนให้ตนรู้สึกสูงกว่า ช่างน่าขัน

เมิ่งอวิ๋นเพียงยืดตัวขึ้นด้วยท่าทางแสนสง่า มือทั้งสองไขว้เอาไว้ที่ทางด้านหลังพร้อมกับใบหน้าที่เชิดสูง

“กล่าวออกมาเช่นนี้ ความหมายของท่านคงไม่พ้นกล่าวหาว่าพี่ชายข้ากระทำความผิดกระมัง”

“แล้วมิใช่หรือ? พี่ชายของเจ้าลักพาตัวคุณหนูเยี่ยไปจากจวนของท่านรอเสนาบดี เช่นนี้มิใช่ทำผิดหรืออย่างไร” เมิ่งอวิ๋นกระตุกยิ้ม มองสบดวงตาเย้ยหยันของเสิ่นหยวนอย่างไม่คิดจะหลบ

“คุณชายเสิ่น...ท่านกล่าวแรงเกินไปแล้ว”

“แรงไปหรือ? ข้าว่าไม่กระมัง ข้าเพียงบอกว่าพี่ชายเจ้าลักพาตัวคนอื่นนี่แรงไปอย่างไร”

“เช่นนั้นขอถามคุณชายเสิ่น ไม่ทราบมีหลักฐานหรือไม่ว่าพี่ชายข้าเป็นผู้ลักพาตัวคุณหนูเยี่ยไป?” เสิ่นหยวนที่แต่เดิมมีรอยยิ้มเย้ยหยันอยู่บนใบหน้านิ่งค้าง รอยยิ้มค่อยๆ เลือนหายไปจากใบหน้าพร้อมกับดวงตาเกลียดชังไม่ปิดบังมาแทนที่ เมิ่งอวิ๋นเข้าใจได้ในทันทีที่ได้เห็นสีหน้าของคนตรงหน้า จึงปรากฏรอยยิ้มที่เหนือกว่าข่มอีกฝ่ายให้จมลง

“หากมีหลักฐานก็เชิญท่านนำมาให้ข้าเห็นเป็นบุญตาหน่อยเถิด เพราะหากไม่มีหลักฐานแล้ว ข้าคงอดคิดไม่ได้ว่าพวกท่านใช้อำนาจรังแกคน!”

เมิ่งอวิ๋นไม่คิดจะให้เรื่องจบง่ายเพียงนั้นอยู่ก่อนแล้ว ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดแต่เล่นแหกันมาเยอะมากมายขนาดนี้ อย่างไรจวนสกุลเมิ่งย่อมถูกนำไปนินทาเสีย ๆ หาย ๆ คนพวกนี้รับผิดชอบไหวหรือ? ความจริงยังไม่มีสิ่งใดแน่นอน หลักฐานอะไรหรือก็ไม่มีแต่คิดจะมาคุมตัวพี่ชายของเขาไป มิเท่ากับหาเรื่องกันหรืออย่างไร

“หรือท่านเห็นว่าสกุลเมิ่งเป็นเพียงพ่อค้าวาณิช จะกระทำเช่นไรก็ไม่จำเป็นต้องเห็นหัว ไม่จำเป็นต้องให้เกียรติใช่หรือไม่

“เจ้า! หุบปากของเจ้าเดี๋ยวนี้นะ!” เมิ่งอวิ๋นเลิกคิ้วขึ้นมองอย่างไม่เข้าใจว่าตนทำสิ่งใดผิด เหยียดยิ้มเยาะเย้ยออกไปบ้างอย่างคนที่เหนือกว่า

“ทำไมข้าจะต้องหยุดพูด ในเมื่อท่านไร้หลักฐานแต่กลับนำคนมาค้นจวนของข้า เช่นนั้นทำไมข้าจะพูดออกไปบ้างไม่ได้”

เสิ่นหยวนทำสิ่งใดไม่ถูก ได้แต่ยืนตัวสั่นมองเมิ่งอวิ๋นก่อความวุ่นวายอยู่เบื้องหน้า ก่อนจะออกคำสั่งเด็ดขาดให้จัดการกับเมิ่งอวิ๋น

“จับตัวเมิ่งอวิ๋นเอาไว้! แล้วนำไปโบยเสีย!”

“อย่าคิดจะทำร้ายนายน้อยของข้าได้” เหล่าทหารคล้ายจะขยับตัวแต่เสี่ยวฉีและเสี่ยวหลงที่เห็นเหตุการณ์อยู่ก่อนแล้ว ได้ขยับตัวมาขวางทางเอาไว้ ปกป้องเมิ่งอวิ๋นอยู่ด้านหลังแทน

“จับตัวพวกมันสองคนไปโบยด้วย! เอาตัวไปให้หมด!” เสิ่นหยวนโกรธจนขาดสติ สั่งการเสียงดังลั่นจนเมิ่งอวิ๋นต้องหัวเราะออกมาเสียงดัง

“คุณชายเสิ่นช่างกล้าหาญดีแท้ ไม่ทราบข้าไปเป็นบ่าวรับใช้ในเรือนของท่านตั้งแต่เมื่อไรหรือ? จึงสั่งคนให้โบยข้าเช่นนี้”

“ข้าใช้กฎหมายสั่งการ เจ้าก่อความวุ่นวายย่อมต้องได้รับโทษ” เสิ่นหยวนยังคงเชิดหน้าขึ้นกล่าวราวกับตนไร้ความผิด เมิ่งอวิ๋นมองเขาด้วยแววตาดุดันก่อนจะเหยียดยิ้มออกมา

“เช่นนั้นคุณชายเสิ่นที่มาก่อความวุ่นวายในจวนของข้าเล่าควรถูกโบยสักกี่ไม้ดี?” เสิ่นหยวนตาวาววับด้วยโทสะ ชี้หน้าเมิ่งอวิ๋นด้วยปลายนิ้วที่สั่นไปตามอารมณ์

“เจ้ากล้าเรอะ!” แต่เมิ่งอวิ๋นหาได้เกรงกลัวแม้แต่น้อยไม่ กลับเดินก้าวเข้ามายืนอยู่เบื้องหน้าของเสิ่นหยวนอย่างไม่กลัวตาย ใช้สายตาที่เต็มไปด้วยโทสะจับจ้องจนเสิ่นหยวนที่เคยดูแคลนเมิ่งอวิ๋นเอาไว้ยังนิ่งงัน ตัวแข็งทื่อขยับกายไปไหนไม่ได้

“กับเจ้า...ข้าไม่ต้องใช้ความกล้าใดๆ เลย”

“...”

“เจ้าอาจไม่รู้ว่าโลกนี้ย่อมมีสิ่งที่แตะต้องไม่ได้อยู่”

“...”

“และสำหรับข้าคือครอบครัว หากวันใดเจ้ากล้าเอื้อมมือมาทำให้ครอบครัวของข้าเจ็บปวดแม้เพียงปลายเล็บ”

“จะ...เจ้า...เจ้าจะทำอะไร” เมิ่งอวิ๋นยิ้มพร้อมก้มใบหน้าลงมาแทบจะชิดกับคนตรงหน้า ในขณะที่เสิ่นหยวนตัวสั่นไปทั้งร่าง

“พูดไปไหนเลยจะรู้ได้ มิสู้คุณชายเสิ่นลองพิสูจน์ดูดีกว่ากระมัง”





TBC



กรี๊ดดดดดด ผัวมากค่ะลูก หนูผัวมาก แมวใจเต้นแรงไปแล้ว เรื่องนี้ยืนยันว่าพระเอกคือท่านแม่ทัพ ความเกลียดที่ทุกคนมีสาเหตุมาจากเรื่องร้ายๆในช่วงที่เมิ่งอวิ๋นคนเก่ามีชีวิตอยู่เราบอกได้เลยว่ามันเป็นปมนะคะ เราจะมีเฉลยปมแน่นอน เพราะงั้นกัดเนื้ออีแม่ทัพไปเลยค่ะแรงๆ พอเฉลยปมค่อยช่วยนางทำแผล (ฮ่าๆ) 

เมิ่งอวิ๋น

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ llมว_น้oe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-4
[19] 100%


ไร้หลักฐาน

เสิ่นหยวนมองใบหน้าที่เกือบจะชิดตนด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ ผงะร่างถอยห่างพร้อมกับชี้นิ้วมาที่ด้านหน้าอย่างคาดโทษ

“เจ้า...เจ้า ข้าจะบอกเจ้าให้นะเมิ่งอวิ๋น ข้าชื่นชอบสตรีไม่มีทางเปลี่ยนใจมาเป็นเช่นเดียวกับเจ้าแน่” น้ำเสียงของเสิ่นหยวนดังลั่นไปทั่วทั้งจวน ทว่าเมิ่งอวิ๋นกลับไม่เข้าใจในสิ่งที่เสิ่นหยวนพยายามบอกสักนิด เขาเองก็ชอบสตรี...เหตุใดจึงกล่าวว่าไม่เป็นเช่นเดียวกับเขา? ความงุนงงทำให้ใบหน้างามพริ้มพรายเอียงศีรษะไปด้านข้าง มองเสิ่นหยวนด้วยความฉงนสนเท่ห์

“เจ้าพูดอะไร?”

“เจ้า เจ้า เจ้ามัน...”

“ข้ามัน?”

“เจ้ามันปีศาจจิ้งจอก!”

“หา?” ถูกกล่าวหาว่าเป็นปีศาจจิ้งจอกเช่นนี้เมิ่งอวิ๋นยิ่งไม่เข้าใจเข้าไปอีก สรุปแล้วเขาทำอะไรให้อีกฝ่ายกัน ทำไมเสิ่นหยวนผู้นี้จึงกล่าวคำแปลกประหลาดออกมาทำให้เข้าไม่เข้าใจสักคำ ครั้งจะหันไปมองเสี่ยวหลงก็เห็นเพียงว่าเสี่ยวหลงนั้นซบใบหน้าลงกับฝ่ามือตนเอง ส่วนเสี่ยวฉีนวดขมับของตนราวกับกลัดกลุ้ม ไม่มีผู้ใดไขความกระจ่างให้แก่เขาได้สักคนเดียว

“เจ้าพูดอะไรของเจ้ากัน!” คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจ ยิ่งไม่เข้าใจเท่าไรอารมณ์ของเขาก็ยิ่งคุกรุ่นเท่านั้น

“เจ้าคือปีศาจจิ้งจอกแน่ๆ ปีศาจจิ้งจอกมักจะใช้รูปโฉมล่อลวงผู้คน ข้าไม่มีวันหลงกลเจ้าหรอก ไม่มีวัน!!”

“อะ อ้าว” เสิ่นหยวนกล่าวจบก็สะบัดร่างหนีหายไปจากจวนทันตา ทิ้งให้เหล่าทหารทั้งหลายต่างพากันมองหน้ากันเอง ก่อนจะตัดสินใจล่าถอยออกไปจากจวนสกุลเมิ่ง เมิ่งอวิ๋นที่ยังไม่อาจเข้าใจความหมายของเรื่องทั้งหมด จึงทำได้เพียงทำหน้าตาสงสัยอยู่ที่เดิม

“นี่มีแต่ข้าหรือเปล่าที่ไม่เข้าใจคุณชายเสิ่น?” เสี่ยวหลงทนมองไม่ไหวจึงเดินออกมาหาคุณชายของตน ใบหน้านี้ช่าง...นำพาแต่ความยุ่งยากมาให้ผู้เป็นนายของตนจริง ๆ จะอธิบายออกไปอย่างไรเล่าว่าคุณชายเมื่อครู่ถูกความงดงามนี้ล่อลวงไปเสียแล้ว

“นายน้อย กลับเข้าห้องเถิดขอรับ”

อย่าให้มีใครต้องหลงใหลใบหน้างดงามของท่านอีกเลย เพียงเท่านี้ก็วุ่นวายพอแล้ว

“แต่ข้ายังไม่ทันได้ทำอะไรเลยนะ เมื่อครู่ข้าเพียงต้องการขู่เขาเท่านั้น”

“ขอรับ ๆ บ่าวเข้าใจดี” เมิ่งอวิ๋นเพียรคิดใคร่ครวญดูอีกครั้งก่อนจะยกกำปั้นขึ้นมาทุบลงบนฝ่ามืออีกข้างของตน

“ข้ารู้แล้ว! คุณชายเสิ่นจะต้องหวาดกลัวจนวิ่งหนีไปแน่ ดีนัก! ต่อไปจะได้ไม่ต้องมากล่าวหาพี่ใหญ่ของข้าอีก”

เสี่ยวหลงได้แต่ยกมือขึ้นปิดใบหน้าของตนเองเอาไว้เท่านั้น เพราะไม่กล้าจะมองใบหน้าอันเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจของผู้เป็นนายตน จะมีสักกี่คนที่คิดได้เช่นนี้กัน เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าคุณชายเสิ่นผู้นั้นถูกใบหน้าของนายน้อยของตนล่อลวงจนต้องรีบหนีไป หากแต่คนล่อลวงเช่นนายน้อยของตนกลับไม่ได้รู้สึกเลยแม้แต่น้อยว่าตนเองทำสิ่งใดลงไป เสี่ยวหลงเหลือบมองนายของตนเองครู่หนึ่ง เมื่อเห็นอีกฝ่ายไร้ความกังวลราวกับเด็กไร้เดียงสาก็ได้แต่ถอนหายใจ แม้แต่เสี่ยวฉีเองก็ไม่ต่างกัน

เมิ่งอวิ๋นในอารมณ์อันแสนสุขเดินกลับเข้าจวนด้วยท่าทางที่ไร้ความกังวล ใบหน้าเปื้อนยิ้มราวกับโลกใบนี้ไม่มีสิ่งใดให้ต้องห่วงหรือพะวงอีกต่อไปแล้ว เขาก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง คิดจะกลับไปที่ห้องของตนเอง แต่ก็ชะงักเท้าลงเสียก่อนแล้วหันมามองบ่าวข้างกายทั้งสอง

“จะว่าไปเสียงดังขนาดนี้เหตุใดข้าไม่เห็นท่าพ่อท่านแม่ออกมาเลย” เสิ่นหยวนผู้นั้นนับว่ามาไม่เบาเลย เข้าออกจวนด้วยท่าทางคุกคามทำเสียงดังคล้ายกลัวว่าชาวประชาจะไม่รู้ ว่าจวนสกุลเมิ่งกำลังมีเรื่องให้ได้เล่าลือกันออกไป

“นายท่านและฮูหยินออกไปตรวจร้านจื่อเค่อตั้งแต่เช้าแล้วขอรับ” เมิ่งอวิ๋นเลิกคิ้วขึ้น

“ออกไปตั้งแต่เมื่อใด?”

“ก่อนคุณชายเสิ่นจะมาไม่นานขอรับ นายน้อยมีอะไรแปลกหรือขอรับ?” เมิ่งอวิ๋นคิดวนไปวนมาซ้ำ ๆ ก็ยังไม่อาจหาคำว่าแปลกมาอธิบายได้

นั่นสิ มีอะไรที่แปลกหรือเปล่านะ

“นายน้อย บ่าวคิดว่าคุณชายเสิ่นคงหวังเพียงมาก่อกวนจวนสกุลเมิ่ง และกลั่นแกล้งนายน้อยเท่านั้นขอรับ มิได้คิดการใหญ่ใด ๆ ให้ต้องกังวล” เมื่อเสี่ยวฉีพูดมาเช่นนั้นเมิ่งอวิ๋นก็พอจะคลายหัวคิ้วลงไปได้บ้าง

“เจ้าว่าเป็นเช่นนั้นหรือ?”

“ขอรับ ดูจากท่าทีวันนี้คงคิดจะมาก่อความวุ่นวายให้สกุลเมิ่งอับอาย แต่คุณชายเสิ่นคงคาดไม่ถึงว่านายน้อยจะมากความสามารถเช่นนี้”

ความสามารถที่ใช้ใบหน้างดงามหลอกล่อจนอีกฝ่ายต้องถอยไปเองอย่างไม่เต็มใจ ก็นับเป็นความสามารถอย่างหนึ่งเช่นกันกระมัง เสี่ยวฉีได้แต่คิดทว่าไม่กล้าเอ่ยออกไปแม้ครึ่งคำ

เมิ่งอวิ๋นที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยืดอก หัวเราะเริงร่าอย่างภูมิใจแล้วตบที่แผ่นอกของตนเองไม่เบามือนัก เสียงหวานดังกังวานให้ความรู้สึกคล้ายสายลมอ่อนพัดพามาให้คล้ายความร้อน ทั้งเสี่ยวหลงและเสี่ยวฉีต่างก็ก้มใบหน้าลงต่ำ อดยิ้มมุมปากตามไม่ได้

นายน้อยที่เป็นเช่นนี้ดีนักในสายตาของเสี่ยวหลง เพราะเสียงหัวเราะที่น้อยครั้งเขาจะได้ยิน ทำให้หัวใจดวงเล็ก ๆ ของบ่าวรับใช้อย่างเขาอิ่มเอมไปหมดทั้งหัวใจ

เสียงหัวเราะยังไม่เงียบลง มันยังคงดังไปตลอดทางจวบจนเมิ่งอวิ๋นกลับเข้าห้องของตนไปแล้ว เสียงหัวเราะจึงได้เงียบลง

ในวันนี้เองที่ทุกคนได้รู้แล้วว่า บุรุษตัดแขนเสื้อหรือบุตรชายคนเล็กของสกุลเมิ่งนั้น หาได้รังแกได้ง่ายไม่ ทั้งฝีปากและคารมทุกสิ่งล้วนแต่เยี่ยมยอดทั้งนั้น หากใครกล่าวว่าเขาไร้ความสามารถ เอาแต่ไล่ตามบุรุษก็นับว่าไร้ตาเสียแล้ว ทว่าคำกล่าวเหล่านี้...มีเพียงเมิ่งอวิ๋นเท่านั้นที่ไม่รู้



ทางด้านเมิ่งหยวนที่ได้ยินเสียงร่ำลือมาจากเหล่าชาวบ้านก็รีบตรงกลับจวนอย่างรวดเร็ว ในใจของเมิ่งหยวนทั้งกังวลและร้อนใจอย่างหนัก ไม่ต่างจากอู๋ชิวอิ่งที่ทั้งร้อนใจจนอยากจะหายตัวไปพบบุตรชายที่จวนในตอนนี้ เพื่อให้มั่นใจว่าบุตรชายของนางยังสบายดี มิได้เสียใจหรือเศร้าโศกใด ๆ

เมื่อมาถึงจวนเมิ่งหยวนก็รีบตรงไปหาบุตรชายแทบจะทันที โดยที่ไม่ได้สนใจเลยว่าอู๋ชิวอิ่งจะตามมาด้วยหรือไม่ แต่อู๋ชิวอิ่งมีหรือจะปล่อยความกังวลในครั้งนี้ไป นางย่อมรู้ดีว่าสามีของนางกำลังไปที่ใด และนางย่อมต้องตามไปอย่างแน่นอน หากมีสิ่งใดกระทบใจของบุตรชาย นางจะได้เอ่ยปลอบได้ทันเวลา เพียงไม่นานทั้งสองก็เดินมาพบกับบุตรชายของตนที่ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจใด ๆ กับเรื่องร้ายแรงนี้

“เสี่ยวอวิ๋นของแม่!” เสียงเรียกของมารดาเรียกให้เมิ่งอวิ๋นหันหน้าไปพบกับบิดาและมารดา ทันทีที่ได้เห็นเมิ่งอวิ๋นก็ยิ้มออกมาอย่างน่าเอ็นดู ใจคนแม่เป็นมีหรือจะไม่อ่อนลง ยิ่งมองสำรวจแล้วว่าบุตรชายมิได้รับบาดเจ็บหรือมีสิ่งใดกระทบกระเทือนจิตใจ นางก็ยิ่งวางใจได้หลายส่วน

“ท่านพ่อท่านแม่ กลับมาแล้วหรือขอรับ” เมิ่งหยวนมองบุตรชายคนเล็กด้วยแววตาคมกริบ จับจ้องใบหน้าของเมิ่งอวิ๋นไม่วางตาราวกับต้องการจะมองให้เห็นถึงภายในจิตใจ คนถูกมองอย่างเมิ่งอวิ๋นเองยังอดเย็นวาบไม่ได้ เพียงแต่ตนต้องข่มใจเอไว้มิให้แสดงสิ่งใดออกมา

“เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง แม่ได้ยินว่า...”

“เมิ่งอวิ๋นเจ้ามีปัญหากับคนของทางการงั้นรึ” ยังไม่ทันที่อู๋ชิวอิ่งจะทันได้กล่าวจบ น้ำเสียงเข้มที่แฝงความดุดันเอาไว้ก็เอ่ยแทรกขึ้นมาเสียก่อน เมิ่งอวิ๋นนึกอยู่แล้วว่าเรื่องราวคงเล่าลือไปไกลเป็นแน่ ทว่าไม่คิดเลยว่าจะเร็วปานนี้

“ว่าอย่างไร ข้าถามเจ้าอยู่!” เมิ่งอวิ๋นถอนหายใจ ก่อนจะยอมรับออกมาอย่างไม่มีความรู้สึกผิดใด ๆ ทั้งสิ้น

“เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ขอรับท่านพ่อ”

คำตอบของเมิ่งอวิ๋นนั้นทำให้เมิ่งหยวนโกรธเสียจนอยากจะสั่งลงโทษบุตรชายคนนี้เสีย มีที่ไหนรนหาที่ด้วยการหาเรื่องกับคนของทางการ เช่นนี้มิเท่ากับหาเรื่องเดือดร้อนให้ตนเองหรอกหรือ? ผู้ใดเขาต่างก็รู้ว่าขุนนางและเหล่าผู้มีอำนาจนั้น ไม่ควรสักนิดที่จะมีปัญหาด้วยเพราะหากถูกหมายหัวเอาไว้แล้วละก็ คงไม่พ้นหนทางข้างหน้าถูกคนเหล่านี้ขัดขวางหาทางเอาคืนอย่างแน่นอน

คิดถึงตรงนี้แล้วเมิ่งหยวนทั้งโกรธทั้งเครียดเสียเหลือเกิน

“เจ้า! เจ้านี่ช่าง!” เมิ่งอวิ๋นมองนิ้วมือของบิดาที่ชี้มาตรงหน้าของตนอย่างมั่นคง แววตาไร้ความหวาดกลัวแม้แต่น้อย มีเพียงความหยิ่งผยองถือดีอันเป็นนิสัยของเมิ่งอวิ๋นเท่านั้น

“หากข้าถอยให้พวกเขา มิเท่ากับปล่อยให้พวกเขารังแกหรือขอรับท่านพ่อ?”

ถึงแม้จะไม่ได้คิดจะให้ใครรังแก แต่การที่เมิ่งอวิ๋นมุทะลุไม่ยอมถอยแม้สักก้าว เป็นเช่นนี้แล้วมิเท่ากับชักปัญหาเข้ามาในจวนเสียมากกว่าหรือ เมิ่งอวิ๋นนั้นไม่ได้เข้าใจความคิดของเมิ่งหยวนผู้เป็นบิดาแม้แต่น้อย หากแต่เขายังคงยึดมั่นในความคิดตน ในเมื่อตนไร้ความผิด สกุลเมิ่งมิได้ทำสิ่งใดขัดต่อบ้านเมืองหรือผู้ใดให้เดือดร้อน แล้วเหตุใดเขาจะต้องถอยด้วยเล่า นั่นเขาไม่มีวันยอมทำ!

เมิ่งอวิ๋นเชิดใบหน้าขึ้นอย่างถือดี กล่าวบอกบิดาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลทว่าไม่อ่อนแอแม้แต่น้อย “ท่านพ่อคงไม่ทราบว่าพวกเขามากันด้วยเรื่องอันใด”

“จะเรื่องใดก็มิใช่เหตุผลที่สมควรให้เจ้า…”

“เช่นนั้นเรื่องของพี่ใหญ่ก็ไม่สมควรหรือขอรับ?” เมิ่งอวิ๋นยิ่งคิดก็ยิ่งไม่ชอบใจนัก เป็นเช่นนี้มาแต่โบราณกาล ไม่ว่ายุคสมัยใดผู้มีอำนาจก็ย่อมใหญ่เสียจนคับฟ้า ทว่าในกาลข้างหน้าอำนาจเงินเองก็สูงส่งไม่แพ้กัน หากสกุลเมิ่งในยามนี้อยู่ในยุคสมัยที่เขาจากมา คงไม่ต้องเกรงกลัวทางการเหล่านั้นหรอก

“การที่คนของทางการบุกเข้ามารื้อค้นจวน เพียงเพราะคำกล่าวอ้างลอย ๆ ไร้ซึ่งหลักฐานที่บ่งบอกว่าพี่ใหญ่ทำผิด”

“...”

“เช่นนี้แล้วข้าควรยอมปล่อยให้พวกเขาเข้ามารื้อค้นจวนของเราหรือขอรับท่านพ่อ”

“...”

“หากว่าข้ายอมถอยจึงจะถือว่าถูกต้องหรือขอรับ?”

“...”

“หากวันนี้คนที่ยืนรับหน้าคนของทางการเป็นท่านพ่อ ท่านพ่อจะปล่อยให้เขาเข้ามาใช่หรือไม่”

“...”

“แม้ว่าคนที่ถูกตราหน้าว่ากระทำผิดจะเป็นบุตรชายของท่านก็ตาม ท่านก็จะปล่อยให้พวกเขาทำเพียงเพราะเกรงกลัวอำนาจของพวกหรือขอรับ?”

“เสี่ยวอวิ๋น เจ้ากล่าวเช่นนี้กับบิดาของเจ้าได้อย่างไร รีบขอโทษท่านพ่อของเจ้าเร็วเข้า!”

“ข้าพูดผิดหรือท่านแม่ ในเมื่อท่านพ่อโกรธเพียงเพราะข้าไม่ยอมถอย โดยไม่สนใจสักนิดว่าต้นเหตุคือสิ่งใด ข้าเพียงถามกลับไปเท่านั้น”

“เสี่ยวอวิ๋น...”

“ท่านแม่...หากข้าผิดที่ปกป้องชีวิตของพี่ใหญ่ ปกป้องพี่น้องของข้า เช่นนั้นข้าก็คงผิดจริงขอรับ แต่ข้าไม่เสียใจแม้แต่น้อย เพราะสำหรับข้าแล้ว สิ่งที่ข้าทำไปนั้นถูกต้องที่สุด แม้จะผิดในสายตาของผู้ใดก็ตาม”

เมิ่งอวิ๋นกลืนความรู้สึกผิดในแกเอาไว้ ด้วยรู้ดีว่าไม่ควรทำกิริยาเช่นนี้กับบิดามารดาของเมิ่งอวิ๋น ทว่าเขาก็ไม่อาจมองความอยุติธรรมที่มีต่อพี่ชายของเมิ่งอวิ๋นได้ คนเหล่านั้นบุกมายังจวนสกุลเมิ่งอย่างไม่มีความเกรงใจ เอิกเกริกเสียจนคนทั่วเมืองต่างก็เล่าขานเรื่องราวในวันนี้ไปทั่ว ทั้งยังกล่าวหาความผิดต่อพี่ชายของเขาร้ายแรงเช่นนี้ เขาจะทนนิ่งเฉย หดหัวเกรงกลัวในอำนาจได้อย่างไร

ย่อมเป็นไปไม่ได้แน่นอน!

“หากท่านพ่ออยากลงโทษข้าก็ทำเถิดขอรับ ข้าจะยินยอมให้ท่านลงโทษแต่โดยดี” แม้จะถูกลงโทษก็ไม่เป็นไร ในตอนนี้เขาเชื่อว่าทำถูกต้องแล้ว ความผิดที่ไร้หลักฐานนั้นคือการใส่ร้าย และการใส่ร้ายในครั้งนี้...เขาไม่ยอมรับ!

“ในสายตาของเจ้า ข้าเป็นพ่อที่ไร้ความสามารถหรือ? เป็นบิดาที่ขี้ขลาดตาขาวปล่อยบุตรชายของข้าให้ตายเพียงเพราะความกลัวหรือ? เจ้ามองพ่อเช่นนั้นหรือเมิ่งอวิ๋น”

เมิ่งอวิ๋นมองความปวดร้าวในแววตาของเมิ่งหยวนออก หัวใจของเขากระตุกวูบกับคำถามนั้นจึงได้แต่นิ่งเงียบ ทบทวนในคำพูดของตนเมื่อครู่อีกครั้ง ทว่าท่าทีก่อนนี้ของท่านพ่อมิใช่ว่าต้องการให้เขาถอยหรอกหรือ

“แต่ท่านพ่อบอกให้ข้าถอย ท่านพ่อโกรธที่ข้ามีปัญหากับคนของทางการมิใช่หรือขอรับ” เมิ่งหยวนสูดลมหายใจเข้าแล้วหลับตาลงซ่อนความรู้สึกเอาไว้ภายใน ก่อนจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้งด้วยแววตาที่ไร้ความรู้สึก

“ใช่ ข้ายอมรับว่าโกรธที่เจ้าไม่ยอมถอย นั่นเพราะพ่อเป็นห่วงเจ้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าอำนาจในมือพวกเขาทำเช่นไรกับเจ้าได้บ้าง”

“ทราบขอรับ”

“เช่นนั้นแล้วเจ้าจะมิให้พ่อโมโหหรือ? เจ้าจะให้พ่อยิ้มรับที่เจ้าเอาตัวเข้าไปปะทะคมดาบหรืออย่างไร ในสายตาเจ้าแล้ว พ่อควรจะหัวเราะใช่หรือไม่!”

“ท่านพี่ใจเย็นก่อนนะเจ้าคะ เสี่ยวอวิ๋นยังเด็กย่อมไม่รู้ความ อย่าโกรธเคืองลูกเลยนะเจ้าคะ” เมิ่งอวิ๋นหน้าชา สมองกลั่นกรองความหมายของคำพูดของผู้เป็นบิดาอีกครั้งอยู่เงียบ ๆ ในขณะที่อู๋ชิวอิ่งพยายามอย่างสุดความสามารถให้สามีของตนอภัยในความเยาว์วัยของบุตรชายของนาง

“ท่านพ่อ ข้า ข้ามิได้ ข้าขอโทษขอรับ” เมิ่งอวิ๋นทิ้งตัวลงคุกเข่าอยู่เบื้องหน้า นัยน์ตาแดงก่ำคล้ายคนจะร่ำไห้ มองดูแล้วให้ความรู้สึกน่าสงสารเหลือเกิน

“ลุกขึ้น ไม่ต้องคุกเข่าแล้ว” เมิ่งหยวนโบกมือเอ่ยปากสั่งให้บุตรชายของตนลุกขึ้นเท่านั้น มิได้ว่ากล่าวใด ๆ เขาเป็นพ่อ ย่อมรู้ดีว่าเมิ่งอวิ๋นนั้นร่างกายไม่แข็งแรงมากนัก ปล่อยให้คุกเข่านาน ๆ อาจจะทำให้ล้มป่วยอีกก็เป็นได้ แม้ในใจจะยังคงมีความน้อยใจอยู่ แต่ก็ไม่อาจใจแข็งโกรธบุตรชายคนนี้ได้นาน ทำได้เพียงแหงนหน้ามองฟ้าพร้อมกับถอนหายใจออกมา

“รองเสนาบดีเยี่ยกล่าวหาว่าพี่ใหญ่ลักพาตัวคุณหนูเยี่ยหนิงหลันไป ทางการบุกเข้ามารื้อค้น หวังจับพี่ใหญ่ไปลงโทษ ข้าจึงทนไม่ได้ที่พี่ใหญ่ถูกใส่ความเช่นนั้น” เมิ่งอวิ๋นนึกแล้วก็เจ็บแค้นใจ แม้ว่าเขาจะถูกใจเยี่ยหนิงหลันผู้ที่เขาหมายตาอยากจะได้มาเป็นพี่สะใภ้ ทว่าบิดาของคุณหนูเยี่ยผู้นี้กลับกล่าวหาพี่ชายเขา หมายให้ตายเช่นนี้แล้ว เขาไม่รู้ว่าตนเองควรจะรู้สึกเช่นไรดี

“เอ๊ะ แต่พี่เจ้าเดินทางไปเมืองเอ้อหูมิใช่หรือ?” อู๋ชิวอิ่งไม่เข้าใจ บุตรชายคนโตของนางเดินทางไปเมืองเอ้อหู เหตุใดจึงถูกกล่าวหาว่าลักพาตัวคุณหนูสกุลเยี่ยได้เล่า

“เพราะพี่ใหญ่ไปเมืองเอ้อหู ข้าจึงไม่ยอมให้พวกเขาเข้ามา กล่าวหาพี่ใหญ่ทั้งที่ไร้หลักฐาน เช่นนี้เท่ากับใส่ความสกุลเมิ่งของเรา ข้าจะทนได้อย่างไร” เมิ่งอวิ๋นคิดแล้วก็นึกโกรธเคืองยิ่งนัก ไม่เข้าใจเลยว่าด้วยเหตุใดรองเสนาบดีเยี่ยจึงได้ใส่ความพี่ใหญ่ด้วย

“ก่อนนี้แม่เคยให้แม่สื่อติดต่อไปที่สกุลเยี่ย แต่ไม่คิดเลยว่ารองเสนาบดีเยี่ยจะไม่ไว้หน้าเราแม้แต่น้อย ซ้ำยังหัวเราะที่สกุลเมิ่งเราไปสู่ขอบุตรสาวของเขาอีก” เดิมทีเรื่องนี้นับว่าน่าขายหน้านัก นางเองก็ไม่อยากจะเล่าให้ผู้ใดฟัง แต่เพราะเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว คงไม่มีสิ่งใดแย่ไปกว่านี้

“พ่อเองก็ได้ยินมาว่า รองเสนาบดีเยี่ยคิดจะให้บุตรสาวคนโตแต่งเป็นฮูหยินรองของขุนนางผู้หนึ่ง ทว่าไม่ได้ฟังชัดเจนนัก รู้เพียงว่าอายุของขุนนางผู้นั้นไม่น้อยไปกว่าบิดาของนางเลย”

เมิ่งหยวนคิดแล้วก็ได้แต่ขมวดคิ้ว เรื่องนี้ดูจะไม่ง่ายเสียแล้ว อย่างไรคนก็ไม่อยู่ที่จวน อีกฝ่ายเองก็ไร้ซึ่งหลักฐาน เมื่อเป็นเช่นนี้ก็คงได้แต่ต้องรอ รอให้บุตรชายของเขาติดต่อมา จะได้สอบถามได้ชัดเจน

“หากเป็นเช่นนั้นก็คือการบังคับแต่งงานใช่หรือไหมขอรับท่านพ่อ”

“จะเรียกว่าเช่นนั้นก็ไม่ถูกนัก เดิมทีการแต่งงานของบุตรย่อมเป็นพ่อแม่จัดการ แต่ถ้าหมายถึงจิตใจของคุณหนูเยี่ยก็คงใช่” เมิ่งอวิ๋นนึกถึงรอยยิ้มของนางก็ให้ความรู้สึกหดหู่ใจนัก เป็นเช่นนี้แล้วเขาคิดว่าคุณหนูเยี่ยคงไม่ปรารถนาจะแต่งงานกับขุนนางผู้นั้น จึงได้หนีออกจากจวน แต่ผู้หญิงคนเดียวทำเช่นนี้นับว่าอันตรายมาก

“ข้าสงสารนางเหลือเกินท่านพ่อ ข้าปรารถนาอยากได้นางมาเป็นพี่สะใภ้เหลือเกิน”

“หากมีวาสนา พี่ชายเจ้ากับนางคงจะสมหวัง” แต่จากที่มองแล้ว ไม่ว่ายังไงก็คงจะยากนัก บุตรชายคนโตของเขาเองก็รักคุณหนูผู้นี้เหลือเกินเสียด้วย หากรู้เข้าคง...

ทั้งสามต่างจมอยู่กับความคิด คาดหวังเพียงขอให้จบลงในเร็ววัน มิฉะนั้นคงมีคนทุกข์ใจมากกว่าสองเป็นแน่



TBC



ผัวอยู่ตอนเดียวตอนนี้กลับมานุ่มนิ่มอีกแล้วนะอวิ๋นน้อย! โอ้ย! หนูจะตกผู้ชายเพิ่มไม่ได้แล้วนะคะลูก แม่ไม่ได้วางเรื่องให้มันฮาเร็ม อย่าสอยผู้ชายในเรื่องแบบนี้สิคะ /ดมยาดม

เนื่องจากตอนนี้ค่อนข้างจะสั้นแมวจึงลงรวดเดียวไปเลยไม่มีการแบ่งพาร์ทนะคะ และจะมาอัพอีกครั้งในอาทิตย์หน้า อาทิตย์นี้ก็ขอให้ทุกคนมีความสุขมาก ๆ นะคะ 新正如意 新年发财 ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้ค่ะทุกคน


เมิ่งอวิ๋น

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8

ออฟไลน์ llมว_น้oe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-4
[20] 50%


ความจริง

นับจากวันที่ถูกเมิ่งอวิ๋นทำให้อับอายเสิ่นหยวนและเหล่าทางการก็ไม่มีใครเข้ามาก่อกวนเมิ่งอวิ๋นให้รำคาญใจอีก ข้อหาที่กล่าวหาว่าเมิ่งลู่เหยาลักพาตัวบุตรสาวคนโตของรองเสนาบดีเยี่ยนั้น ล้วนแต่ถูกเมิ่งอวิ๋นทำให้กลับกลายเป็นเพียงคำกล่าวหาที่ไร้น้ำหนักทั้งสิ้น หลายวันมานี้จึงมีแต่ความเงียบสงบเกิดขึ้นในสกุลเมิ่ง ไร้เภทภัยให้ต้องกังวลใจ

เมิ่งอวิ๋นเดินทอดสายตามองไปตามรายทาง แม้จะถูกสายตาจากหลายคนจับจ้องก็ไม่ได้ทำให้เมิ่งอวิ๋นรู้สึกวางตัวลำบากเลยแม้แต่น้อย กลับกันเขากลับชินชาต่อมันไปเสียแล้ว

เมิ่งอวิ๋นสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างรู้สึกสบายใจและสบายกายเป็นที่สุด หลายวันที่ผ่านมานี้ไม่ใช่เพียงเรื่องของพี่ชายเท่านั้นที่ทำให้เขาพอใจต่อท่าทีของเหล่าทางการ ยังมีคนแซ่หลี่ผู้นั้นอกีที่หายหน้าหายตาไปราวกับปลดปล่อยเขาให้เป็นอิสระ ซึ่งสำหรับเมิ่งอวิ๋นแล้วนั้นมันช่างน่ายินดีเหลือเกินเพราะการไม่เจอหน้าคนผู้นั้นคือความสุขอีกอย่างหนึ่งของเขา แม้ว่าช่วงหลังมานี้หัวใจดวงน้อยของเมิ่งอวิ๋นจะไร้ซึ่งความรู้สึกตกค้างที่มีต่ออีกฝ่ายไปอย่างสิ้นเชิง แต่การไม่พบเจอกันย่อมไม่ก่อให้เกิดประกายไฟเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้มันลุกโชนขึ้นมา

นี่จึงจะเป็นเรื่องดีที่เขาพอใจ

“นายน้อย...ข้างหน้าคือร้านลู่เมิ่งขอรับ”

ร้านลู่ เขาไม่เคยได้ยินร้านนี้ และไม่เคยได้ก้าวเท้าเข้าไปเช่นกัน

“เจ้ามีสิ่งที่อยากได้หรือเสี่ยวหลง?” เสี่ยวหลงที่ถูกถามสีหน้าเต็มไปด้วยความตกใจ รีบร้อนปฏิเสธและอธิบายให้เมิ่งอวิ๋นฟัง

“มิใช่ขอรับนายน้อย! ร้านลู่เมิ่งนับเป็นอีกร้านหนึ่งของสกุลเมิ่ง เป็นร้านที่นายน้อยน่าจะเข้าไปตรวจตรา ไปดูแลระหว่างที่คุณชายใหญ่ไม่อยู่” เมิ่งอวิ๋นหรี่ตามองท่าทางอึกอักของเสี่ยวหลงแล้วเกิดความเข้าใจขึ้นมา ทว่าสิ่งที่เสี่ยวหลงกำลังคิดนั้นไม่น่าพอใจเลยสักนิดจึงทำให้เมิ่งอวิ๋นที่เดิมดีกำลังสบายใจแปรเปลี่ยนเป็นความเคร่งเครียดขึ้นมา น้ำเสียงที่เอ่ยจึงติดเย็นชาจนคนฟังหนาวสะท้านไปทั้งร่าง

“เจ้าคงมิได้คิดจะให้ข้าแย่งชิงสิ่งที่สมควรจะเป็นของพี่ชายข้ากระมัง?”

“บ่าว...” เห็นท่าทางอึกอักของเสี่ยวหลงเขาก็พอเข้าใจ จึงแสยะยิ้มออกมา

“ข้าเมิ่งอวิ๋นจะบอกเจ้า ต่อให้สิ้นไร้ไม้ตอก ตกระกำลำบากสักเพียงใดก็จะไม่แย่งชิงสิ่งใดก็ตามที่เป็นของพี่ข้าอย่างชอบธรรม แม้ว่าคนที่นำมันมากองไว้ให้ข้าจะเป็นท่านพ่อเองก็ตาม! อย่าได้คิดเช่นนั้นอีกเข้าใจรึไม่!”

“บ่าวมิกล้าแล้วนายน้อย บ่าวเลอะเลือน นายน้อยโปรดยกโทษให้บ่าวด้วยขอรับ”

“ฮึ!” เมิ่งอวิ๋นไม่ได้ตอบกลับแต่ก็ยังเดินไปข้างหน้าเพื่อตรวจตราร้านลู่เมิ่งของสกุลเมิ่งดังที่เสี่ยวหลงว่า แต่เจตนาของเมิ่งอวิ๋นชัดเจนมาตั้งแต่แรกที่ได้ลืมตาตื่น นั้นคือปกป้องดูแลสกุลเมิ่งอย่างดี มิให้เกิดเรื่องใด ๆ ที่เป็นอันตรายต่อสกุลเมิ่ง ในชีวิตก่อนเขาเองก็เฝ้าดูแลทุกอย่างในตระกูลเซี่ยแม้จะไม่เคยได้รับคำชม ต้องโหมร่างทำงานหนักแต่มันก็ทำให้เขารู้สึกดีที่ได้ทำเพื่อคุณปู่และน้องชายของเขา

เมิ่งอวิ๋นหลับตาลงสูดลมหายใจเพื่อขับไล่ความทรงจำเก่า ๆ ที่ไหลเวียนเข้ามาในสมองระงับอาการบ้าบอที่เกิดขึ้นมาไม่ดูเวล่ำเวลานี้ลงไปเสีย แล้วเดินไปข้างหน้าต่อ

“ร้านลู่เมิ่งไม่นับว่าเป็นร้านติดอันดับของเมืองหลวง ทว่าก็มิได้ด้อยค่าไร้ราคานะขอรับนายน้อย” เมิ่งอวิ๋นกวาดสายตาไปรอบ ๆ ก็พยักหน้ารับคำของเสี่ยวหลง เสี่ยวหลงที่เดิมยังเกรงกลัวว่านายน้อยของตนจะขุ่นเคืองก็พลอยโล่งใจไปด้วยจึงกระตือรือร้นเล่าต่อ

“ความจริงสกุลเจียงเป็นร้านหยกอันดับหนึ่งของเมืองหลวง แต่หยกของสกุลเมิ่งนั้นไม่นับว่าเป็นรอแต่อย่างใด เพียงแต่สกุลเจียงมีเส้นสายขุนนาง บุตรชายของสกุลเจียงนามว่าเจียงซือเป่าเป็นขุนนางอยู่ในกรมโยธาขอรับ” คราวนี้เป็นเสี่ยวฉีที่เอ่ยขึ้นมาแทน

“เจ้ารู้เรื่องพวกนี้ด้วยหรือเสี่ยวฉี” เสี่ยวฉีพลันตัวแข็งทื่อก่อนจะเอ่ยตอบเพื่อเลี่ยงปัญหาใหญ่

“บ่าวเพียงได้ยินมาเล็กน้อยขอรับ มิได้รู้มากมายอะไรเลย”

“โอ้...” เมิ่งอวิ๋นไม่เชื่อแม้แต่น้อย ทว่าก็ไม่มีปัญญาจะตรวจสอบได้ว่าคนผู้นี้เป็นใครและเข้ามาเพื่อจุดประสงค์ใด แต่เขารู้เพียงหนึ่งอย่างคือเสี่ยวฉีตรงหน้าย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน บ่าวรับใช้สกุลอื่นในบรรดาเหล่าขุนนางอาจรู้จักกรมโยธาและกลมอื่น ๆ นั้นไม่ถือเป็นเรื่องแปลกอะไรแต่บ่าวในจวนสกุลเมิ่งที่มิได้เกี่ยวข้องกับเรื่องขุนนางกลับรู้เรื่องเช่นนี้ ไม่นับว่าธรรมดาเสียแล้ว

เมิ่งอวิ๋นแม้จะวางท่าทางคล้ายไม่สนใจความเป็นมาของเสี่ยวฉี คล้ายว่าไม่ติดใจกับสิ่งที่เสี่ยวฉีนั้นแสดงออก แต่ความจริงแล้วในใจเต็มไปด้วยความสงสัยและรอบสังเกตคนผู้นี้อยู่เงียบ ๆ ส่วนเสี่ยวฉีกลับไม่รู้เรื่องนี้แม้แต่น้อยกลับลอบถอนหายใจออกมา เพราะคิดว่าเมิ่งอวิ๋นมิได้ติดใจสงสัยในตน

“นายน้อย...”

เสียงเรียกที่ไม่คุ้นหูทำให้เมิ่งอวิ๋นหันไปมองอย่างช่วยไม่ได้ ใบหน้าของคนผู้หนึ่งที่เมิ่งอวิ๋นเองก็ไม่แน่ใจว่าตนรู้จักคนผู้นี้ตั้งแต่เมื่อใด หรือคนผู้นี้เป็นบ่าวรับใช้ของจวนสกุลเมิ่งหรือไม่ทำให้เมิ่งอวิ๋นที่แม้จะยิ้มรับทว่าหัวคิดกลับขมวดเข้าหากัน

“ท่านลุง ท่านเรียกข้าหรือ?” ลุงหลู่เดิมทีเพียงคิดจะยื่นของให้นายน้อยตามคำสั่ง กลับถูกทักทายด้วยคำเรียกที่แสนเกรงใจนั้นทำให้คนชราเช่นเขารีบร้อนบอกกล่าว

“นายน้อย บ่าว บ่าวเป็นเพียงบ่าวรับใช้ ไหนเลยจะกล้าให้นายน้อยเรียกขานเช่นนั้นกันขอรับ”

“เช่นนั้นท่านลุงเป็นบ่าวรับใช้สกุลเมิ่งหรือ เหตุใดข้ามิเคยพบท่าน”

“บ่าวมีนามว่าหลู่ เป็นบ่าวรับใช้ที่คอยดูแลคุณชายใหญ่ขอรับ” เมิ่งอวิ๋นได้ยินก็เบิกตากว้าง มือไม้เย็นเฉียบแต่รอยยิ้มกลับกว้างขึ้นมา

“คนของพี่ใหญ่หรือ เช่นนั้นแล้วพี่ใหญ่เล่า พี่ใหญ่ของข้าอยู่ที่ใดกัน?” ท่าทางร้อนรนอยากพบหน้าพี่ชายของเมิ่งอวิ๋นทำให้ลุงหลู่เพียงเหลือบมองซ้ายขวาแล้วยื่นบางสิ่งออกมาตรงหน้า

“นี่อะไรหรือ?” เมิ่งอวิ๋นถามทว่าก็ยื่นมือออกไปรับของชิ้นนั้นมา

ของที่รับมาคือกล่องไม้ธรรมดาที่ไม่ได้มีราคาใด ๆ แต่เมิ่งอวิ๋นก็ถือมันเอาไว้อย่างทะนุถนอม ไม่คิดจะปล่อยหรือส่งให้เสี่ยวหลงหรือแม้แต่เสี่ยวฉีถือให้ เขาเต็มใจจะถือมันเอาไว้เอง

“นี่คือของที่คุณชายใหญ่ให้บ่าวนำมาส่งให้นายน้อยขอรับ อีกทั้งยังกำชับว่าต้องส่งให้ถึงมือท่าน และบอกกล่าวแก่ท่านหนึ่งประโยค”

“ประโยคใดหรือลุงหลู่” ลุงหลู่ที่รู้ดีว่าเกิดสิ่งใดขึ้นหลับตาลงยืนอกพร้อมกับสูดลมหายใจ เมื่อลืมตาขึ้นมาจึงเอ่ยคำที่ถูกถ่ายทอดออกมาให้เมิ่งอวิ๋นฟัง

“ขอโทษนะ”

เมิ่งอวิ๋นแข็งค้างไปทั้งร่างนึกวนไปมาถึงสาเหตุของคำขอโทษนี้คือสิ่งใด แต่สมองกลับไม่ทำงานเสียอย่างนั้นจึงกลายเป็นว่า เมิ่งอวิ๋นเพียงยืนเงียบ ๆ คล้ายกำลังเฝ้ารออะไรบางสิ่งซึ่งลุงหลู่ก็กระอักกระอ่วนไม่น้อย

“แล้วตอนนี้พี่ใหญ่ของข้าเล่า อยู่ที่ใดกัน” ลุงหลู่เห็นแววตาเลื่อนลอยของเมิ่งอวิ๋นก็นึกเห็นใจ

“คุณชายใหญ่บอกบ่าวเอาไว้ว่า หากนายน้อยเอ่ยถามเรื่องนี้ ให้แจ้งแก่นายน้อยว่า มิได้อยู่ไกลห่าง แต่ยังไม่อาจกลับมาได้ขอรับ” เมิ่งอวิ๋นเม้มริมฝีปากแววตาสั่นระริก

“ลุงหลู่...ท่านไปเถิด”

“นายน้อย...รักษาตัวด้วย”

เมิ่งอวิ๋นมองแผ่นหลังของลุงหลู่ที่กำลังจะเดินห่างออกไปทีละก้าวอย่างคนเหม่อลอย ก่อนจะนึกถึงบางเรื่องขึ้นมาได้จึงเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งดี

“เดี๋ยวก่อน...”

“นายน้อยมีสิ่งใดหรือขอรับ” เมิ่งอวิ๋นมองใบหน้าชราของลุงหลู่แล้วหลบสายตาลงมองพื้น เอ่ยถามอย่างไม่เต็มเสียนัก

“พี่ใหญ่สบายดีใช่หรือไม่” ลุงหลู่ระบายยิ้มออกมากล่าวบอกอย่างจริงจังไม่ปิดบัง

“คุณชายใหญ่สบายดีขอรับ มิได้ทุกข์กายหรือใจแม้แต่น้อย มีเพียงแต่คิดถึงนายน้อยและบิดามารดาเท่านั้น” เมิ่งอวิ๋นเพียงหัวเราะในลำคออย่างขมขื่น เดินเข้าไปหาลุงหลู่แต่ไร้ท่าทีคุกคาม มือบางสอดเข้าไปใต้แขนเสื้อ นำของสิ่งหนึ่งออกมายื่นให้แก่ลุงหลู่ไป

“นี่เป็น...ไม่สิ...ฝากลุงหลู่มอบให้พี่ใหญ่ด้วย บอกเขาให้ข้าทีว่าข้าไม่เคยโกรธเคืองเขา ไม่เคยแม้สักวันเดียว” ลุงหลู่มองกระดาษที่ถูกส่งมาให้อย่างตกตะลึง ก่อนจะรีบเก็บเอาไว้อย่างมิดชิด สิ่งที่ถูกส่งมาให้คือตั๋วเงินมากมายหากไม่เก็บให้ดีคงไม่อาจไปถึงมือของคุณชายใหญ่แน่ น้ำใจจากนายน้อยนั้นทำให้คนแก่อย่างเขาซึ้งใจยิ่งนัก

“บ่าวจะแจ้งทุกคำ ไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียวแน่นอนขอรับ นายน้อยโปรดรักษาตัวด้วย”

“ลุงหลู่ ท่านก็เช่นกัน...ลำบากท่านแล้ว”

“เป็นหน้าที่ของบ่าว หาได้มีความลำบากอันใด นายน้อยบ่าวขอตัวนะขอรับ”

เมิ่งอวิ๋นพยักหน้า มองลุงหลู่เดินออกไปจนลับตาแล้วก็กลับมาทิ้งสายตาของตนลงที่กล่องไม้ในมือแทน เขาใช้ปลายนิ้วลูบไล้กล่องไม้อย่างแผ่วเบาราวกับกลัวว่าหากใช้แรงมากเกินไปจะทำให้มันแตกสลายได้ เมิ่งอวิ๋นรู้สึกแน่นไปทั้งอกขอบตาร้อนผ่าวเสียจนควบคุมตัวเองแทบจะไม่ได้

เขารู้แล้ว รู้อยู่แล้วแต่ไม่อยากจะยอมรับ

สิ่งที่เกิดขึ้นเมิ่งอวิ๋นรู้ดีอยู่แก่ใจว่าความจริงนั้นเป็นเช่นไร ทว่าลึก ๆ ในใจนั้นไม่อยากจะยอมรับก็เท่านั้น เขาเพียงแค่ปฏิเสธความจริงที่ประดังเข้ามา อยากจะเชื่อว่าสิ่งที่เขาเชื่อมั่นนั้นมันคือความจริง

“นายน้อย...” เสี่ยวหลงมองใบหน้าที่ปริ่มไปด้วยหยาดน้ำตาของผู้เป็นนายตนด้วยความร้อนใจและกังวล ทว่าเมื่อคิดจะเอ่ยปากปลอบใจกลับถูกเสี่ยวฉีดึงแขนของตนเอาไว้แล้วส่ายหน้าไม่ให้เข้าไปยุ่ง เสี่ยวหลงแม้ในใจจะไม่ยินยอมเพียงใดก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าช่วงเวลานี้เขาไม่ควรเข้าไปยุ่งจริง ๆ

ทั้งสองเพียงมองไปรอบ ๆ กาย หวังเพียงไม่ให้ผู้คนทั้งหลายได้เห็นว่านายน้อยของตนในยามนี้อ่อนแอมากเพียงใด หากสามารถซ่อนผู้เป็นนายน้อยของตนเอาไว้ได้ด้วยแผ่นหลัง เขายินดีจะยืดอกปกป้องความเปราะบางนี้เอาไว้สุดความสามารถ ท่าทางที่นายน้อยของตนกอดกล่องไม้ในมือเอาไว้แน่นนั้นทำให้เสี่ยวหลงปวดใจยิ่งนัก แต่ตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจสักนิดว่าทำไมนายน้อยของตนจะต้องเศร้าใจขนาดนั้นด้วย

คุณชายใหญ่มิใช่สบายดีหรอกหรือ เหตุใดนายน้อยจะต้องเศร้าโศกเสียใจขนาดนี้กัน เรื่องนี้เสี่ยวหลงไม่เข้าใจแต่ก็ไม่อาจเอ่ยปากถามสิ่งใด ทว่าเมื่อหันไปมองเสี่ยวฉีกลับพบว่าอีกฝ่ายไร้ซึ่งความสงสัย หรือแม้แต่ความใส่ใจต่อเรื่องนี้ก็ยังไม่มีให้เห็นแม้แต่น้อย

“โอ้...ดูสิว่าข้าพบใครเข้า”

เมิ่งอวิ๋นหันไปมองคนมาใหม่ทั้งที่ยังไม่ได้เช็ดร่องรอยน้ำตาบนใบหน้า ทำให้เสิ่นหยวนที่ยังเจ็บใจจากเหตุการณ์ครั้งก่อนหวังเดินเข้ามาเยาะเย้ยถากถางอีกฝ่ายชะงักไป ใบหน้าที่มีรอยยิ้มเหยียดหยามต้องหุบลงแทบไม่ทัน หัวใจที่ครั้งก่อนถูกคนตรงหน้าทำให้หวั่นไหวเอนเอียงไปไม่น้อยในเวลานี้กลับเต้นระรัวไม่ยอมสงบลง ผิวแก้มของเสิ่นหยวนแดงก่ำท่าทางอึกอักคล้ายทำตัวไม่ถูกยามถูกเมิ่งอวิ๋นจับจ้องนั้นให้ความรู้สึกตลกเสียจนเสี่ยวหลงและเสี่ยวฉีแทบจะกลั้นหัวเราะไม่อยู่

“จะ...เจ้า...ร้องไห้ทำไมกัน!” เมิ่งอวิ๋นไม่เข้าใจสักนิด เห็นเสิ่นหยวนที่ยืนหน้าแดงถลึงตาใส่ตนก็เกิดความไม่เข้าใจ

เมิ่งอวิ๋นปาดไล่น้ำตาบนใบหน้าของตนลวก ๆ อย่างไม่ใส่ใจ แม้บนใบหน้าจะไร้คราบน้ำตาแล้ว แต่สองตาที่มีรอยแดงกับริมฝีปากอิ่มสีแดงจากการถูกขบกัดเพื่อข่มความเสียใจกลับดูยั่วยวนเสียจนเสิ่นหยวนเกือบจะทนมองอีกต่อไปไม่ได้

“ไม่ทราบคุณชายเสิ่นมีสิ่งใดกับข้าหรือ?”

คุณชายเสิ่น คำเรียกนี้ช่างห่างเหินนัก

เพียงคิดได้แค่นั้นเสิ่นหยวนที่กำลังน้อยอกน้อยใจก็พลันตกใจกับความคิดตนเอง แม้แต่ความรู้สึกตัดพ้อในอกก็ไม่อาจจะเชื่อว่านี่คือความรู้สึกของตน

เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เจ้าปีศาจจิ้งจอกตรงหน้าเขาทำสิ่งใดต่อเขา ร่ายมนตร์สะกดใดกันจึงทำให้เขาเปลี่ยนไปถึงเพียงนี้...

เสิ่นหยวนกัดริมฝีปากเอาไว้ ทั้งที่ไม่อยากยอมรับแต่ฝีเท้ากลับก้าวเข้าหาอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วพร้อมกับใช้ปลายนิ้วของตนเช็ดหยาดน้ำตาที่คลออยู่ที่กระบอกตาเบา ๆ “คนโง่เช่นเจ้าร้องไห้ก็ยิ่งดูโง่”

เมิ่งอวิ๋นนิ่งค้างไปกับการกระทำของเสิ่นหยวนแม้แต่เสี่ยวหลงและเสี่ยวฉีเองก็ชะงักไปอย่างคิดไม่ถึงเช่นกัน เดิมทีเสี่ยวหลงคิดว่าเสิ่นหยวนผู้นี้คงไม่แคล้วมาหาเรื่องนายน้อยของตนเป็นแน่ ยิ่งเห็นนายน้อยของตนกำลังอ่อนแอ ร้องไห้ออกมาเช่นนี้คงจะต้องเยาะเย้ยใส่อย่างแน่นอน แต่ใครจะไปคิดว่าคุณชายเสิ่นผู้นี้จะใช้ปลายนิ้วของตนเกลี่ยหยาดน้ำตาออกให้กับนายน้อย

นี่มันจะต้องเป็นความฝันอย่างแน่นอน!

“เจ้า?” เห็นเมิ่งอวิ๋นนิ่งค้างไปสายตาคู่สวยนั้นจับจ้องใบหน้าของตนเสิ่นหยวนก็เพียงเชิดใบหน้าขึ้น ข่มความเขินอายเอาไว้ภายในใจ

เจ้าทำอะไร? เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือ?

ไม่ว่าจะเป็นคำถามใด ๆ ก็หาได้ทำให้เสิ่นหยวนสนใจไม่

เพราะในตอนนี้สิ่งที่น่าสนใจ มีเพียงปฏิกิริยาของเมิ่งอวิ๋นที่อยู่ตรงหน้าเขาต่างหากที่น่าสนใจ

“ข้าทำไม เฮอะ! ใครให้เจ้ามีหน้าตาน่าเกลียดกันเล่า หากไม่เช็ดออกคนเขาคงได้ตกใจกันหมด” ทั้งที่เอ่ยปากออกไปเช่นนั้นทว่าความจริงแล้ว เสิ่นหยวนเพียงกลัวว่าความงดงามของเมิ่งอวิ๋นจะทำให้ใครอื่นตกหลุมรัก ยิ่งกับคนที่เมิ่งอวิ๋นเคยมีใจ...เขายิ่งกังวล





50%





ปุกาศจ้า ปุกาศ มีคนตกหลุมรักน้องอีกคนแล้วจ้าาา ปากนี่ต่อว่าน้องแต่การกระทำนั้น แหมมมมม อยากจะแหมซะเหลือเกิน น้องอวิ๋นของเราอยู่เฉย ๆ ก็ตกผู้ชายได้อีกแล้ว งื้ออ แมวอิจฉาแล้วน้าาา ว่าแต่พี่ใหญ่ฝากอะไรมาให้น้องกันนะ รอลุ้นกันพรุ่งนี้นะคะ 

เมิ่งอวิ๋น

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Brithday

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 10
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :o12: :o12:พี่ใหญ่รีบกลับมานะ

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8

ออฟไลน์ llมว_น้oe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-4
[20] 100%


“ข้าทำไม เฮอะ! ใครให้เจ้ามีหน้าตาน่าเกลียดกันเล่า หากไม่เช็ดออกคนเขาคงได้ตกใจกันหมด” ทั้งที่เอ่ยปากออกไปเช่นนั้นทว่าความจริงแล้ว เสิ่นหยวนเพียงกลัวว่าความงดงามของเมิ่งอวิ๋นจะทำให้ใครอื่นตกหลุมรัก ยิ่งกับคนที่เมิ่งอวิ๋นเคยมีใจ...เขายิ่งกังวล

หากเป็นไปได้เขาก็ไม่ปรารถนาให้แม่ทัพหลี่ได้มองเห็นความงามจากคนตรงหน้าเลยสักนิด เขาเพียงอยากเก็บงำสิ่งนี้เอาไว้เพียงผู้เดียว

เสิ่นหยวนตกใจกับความคิดของตนอีกครั้ง เหตุใดเขาจึงได้มีความคิดชั่วช้าเอนเอียงไปหาอีกฝ่ายขนาดนี้กัน นี่จะต้องเป็นเพราะเจ้าปีศาจจิ้งจอกตรงหน้าร่ายมนตร์สะกดเขาเป็นแน่ มิเช่นนั้นมีหรือเขาจะ...เขาจะ...

เสิ่นหยวนมองเมิ่งอวิ๋นอีกครั้งแล้วกัดริมฝีปาก สองมือกำแน่นอยู่ในแขนเสื้อของตน บรรยากาศที่อีกฝ่ายกำลังเป็นรอง มองเช่นไรเมิ่งอวิ๋นผู้นี้ก็กำลังอ่อนแอ มันยิ่งทำให้เสิ่นหยวนอยากจะดึงอีกฝ่ายเข้ามากอดแล้วปลอบประโลม ทว่าก็ไม่กล้าเอื้อมมือออกไปตรงหน้า จึงได้แต่ยื่นสิ่งหนึ่งออกไปตรงหน้าอีกฝ่ายเท่านั้น

“นั่นอะไร?” เมิ่งอวิ๋นไม่อาจปล่อยวางความระแวงสงสัยไปได้ หรี่ตามองของในมือของอีกฝ่ายอย่างไม่ไว้ใจ

เสิ่นหยวนเองก็ไม่คิดจะพูดอะไรมากนัก แต่เมื่ออีกฝ่ายไม่เข้าใจก็จะอธิบายเสียหน่อยก็ได้ “นี่คือกำไลหยกที่ข้า...อะแฮ่ม...ช่างเถิด เอ้า รับไปเสียสิ”

เมิ่งอวิ๋นยังไม่อาจลดความระแวงลงแม้แต่น้อย กลับถามออกมาด้วยน้ำเสียงติดจะแข็งกร้าว “เจ้าเอามาให้ข้าทำไมกัน คิดจะทำอะไรกันแน่!”

เสิ่นหยวนทั้งนึกฉุนทั้งอ่อนใจจนต้องถลึงตาใส่เมิ่งอวิ๋นก่อนจะดึงมือเมิ่งอวิ๋นออกมาแล้วสวมมันเข้าไปไว้ที่แขนของเมิ่งอวิ๋นอย่างไม่สนใจในแรงขืน “คนโง่เช่นเจ้าไม่จำเป็นต้องรู้หรอก...แค่รับเอาไว้ก็พอแล้ว”

เมิ่งอวิ๋นอยากจะถอดทิ้งเสียตรงนั้น เขาไม่เคยรู้สึกดีกับคนตรงหน้าเลย เสิ่นหยวนผู้นี้นับว่าเป็นอะไรได้ วันก่อนยังมาหาเรื่องเขาถึงในจวนทว่าวันนี้กลับเอาของมาให้ นี่ไม่แปลกเกินไปหรือ จะต้องมีเรื่องอะไรสักอย่างแน่! นั่นยิ่งรับไม่ได้ใหญ่

เสิ่นหยวนไม่สนใจปฏิกิริยาของเมิ่งอวิ๋นแม้แต่น้อย หลังจากจับมืออีกฝ่ายเอาไว้เรียบร้อยก็เพียงลูบไล้หลังมือของเมิ่งอวิ๋นเบาๆ สีหน้าของเสิ่นหยวนในสายตาของเมิ่งอวิ๋นในตอนนี้นั้นคล้ายเด็กชายคนหนึ่งที่กำลังพึงพอใจกับการได้ลูบหลังมือของเขา เล่นเอาเมิ่งอวิ๋นกับเสี่ยวหลงและเสี่ยวฉีนิ่งงันตกใจจนแทบจะอ้าปากค้าง

เสิ่นหยวนไม่ได้มองเห็นความเปลี่ยนแปลงในแววตาของเมิ่งอวิ๋นเลยแม้แต่น้อย “เหมาะกับเจ้าจริง ๆ”

เสิ่นหยวนยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ ขอชิ้นนี้เขาใช้เวลานานกว่าจะเลือกออกมาได้สักชิ้นหนึ่ง คิดอยู่นานแสนนานว่าสิ่งใดจะเหมาะกับคนตรงหน้า แม้ราคาจะไม่ได้สูงหรือมีค่ามากมายเช่นของชิ้นอื่น แต่เพราะความเกลี้ยงเกลาของมันและเนื้อในสีขาวทำให้เสิ่นหยวนนึกถึงเมิ่งอวิ๋นขึ้นมา ช่างเหมาะกับเมิ่งอวิ๋นจริง ๆ ดังที่คาดเอาไว้

หลังจากลูบจนพอใจเสิ่นหยวนก็ปล่อยมือของเมิ่งอวิ๋นแล้วสะบัดแขนเสื้ออย่ายโส “ข้าให้เพราะเห็นว่ามันเหมาะกับเจ้า หากไม่พอใจก็จงบอกมาเสีย”

หากเจ้ากล้าบอกว่าไม่ชอบหรือคิดจะคืนให้ข้า ข้าจะสับเจ้าเป็นหมื่นชิ้น! แต่เสิ่นหยวนเพียงคิดในใจเท่านั้น ไม่อาจเอ่ยคำออกไปให้อีกฝ่ายฟังได้

เมิ่งอวิ๋นหลุดออกจากอาการตกใจแล้ว ก้มลงมองกำไลที่อยู่บนข้อมืออีกครั้งแล้วก็ถอนหายใจ “เช่นนั้นก็ขอบคุณคุณชายเสิ่นมาก ของขวัญชิ้นนี้ข้าย่อมยินดีรับไว้แน่นอน”

เสิ่นหยวนดีใจจนหัวใจแทบจะกระโดดออกมาจากอก ทว่าก็ยังคงเชิดใบหน้าขึ้นอย่างยิ่งยโส แค่นเสียงออกมาคำหนึ่งแล้วเดินจากไป เพียงแค่หันหลังในเมิ่งอวิ๋นริมฝีปากที่เอ่ยคำไม่น่าฟังก็ปรากฏรอยยิ้มกว้าง ยิ่งทำให้ใบหน้าของเสิ่นหยวนนั้นหล่อเหลาขึ้นกว่าเดิมเสียอีก น่าเสียดายเหลือที่เมิ่งอวิ๋นไม่ได้เห็นใบหน้าที่ถูกซ่อนเอาไว้ของเสิ่นหยวน

ลับตาจากเสิ่นหยวนเมิ่งอวิ๋นก็พลันขนลุกขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ลอบมองเสี่ยวหลงและเสี่ยวฉีทว่าทั้งสองคนยังไม่อาจตื่นขึ้นมาจากความตกใจที่พบก่อนนี้ได้

“นี่คงไม่ใช่ว่า...” เมิ่งอวิ๋นกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก

“นายน้อย...”

“เสิ่น...เสิ่นหยวนผู้นั้นคงมิได้” เสี่ยวหลงกลั้นหายใจแม้แต่เสี่ยวฉีเองก็เฝ้ารอคำพูดของผู้เป็นนายอย่างใจจดใจจ่อ “เขาคงมิใช่ว่าชอบข้าหรอกนะ...ใช่ไหม”

เสี่ยวหลงรู้สึกสุขใจอย่างบอกไม่ถูก ในที่สุดนายน้อยของตนก็เข้าใจความรู้สึกของผู้อื่นเสียที “มิใช่หรอกขอรับ นี่อาจจะเป็นเพียงของที่แทนคำขอโทษก็ได้นะขอรับนายน้อย” ทว่าเมื่อคิดจะเอ่ยปากบอกความเห็นตามความจริง กลับถูกเสี่ยวฉีชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน จนเสี่ยวหลงต้องตวัดสายตาหันไปมองทันทีที่ได้ยินคำพูดเช่นนั้น

เพราะนั่นไม่จริงเลยสักนิด หากใครได้เห็นต่างก็รู้ว่าคุณชายเสิ่นมีใจให้นายน้อยทั้งนั้น คนผู้นี้ตาบอดหรืออย่างไรจึงได้โง่จนมองไม่ออก

“เจ้าคิดว่าเช่นนั้นหรือ?” เมิ่งอวิ๋นได้แต่จับจ้องกำไลหยกที่ข้อมือตนอย่างไม่แน่ใจนัก ทว่าเสี่ยวหลงก็ยังไม่ทันได้เอ่ยคำขัดใด ๆ ก็ถูกเสี่ยวฉีเอ่ยตอบนายน้อยกลับไปเสียก่อน

“ขอรับ”

ได้ยินเช่นนั้นเมิ่งอวิ๋นก็พลันยิ้มออกมาอย่างสบายใจ “ข้าก็คิดเช่นนั้น คุณชายเสิ่นผู้นั้นหรือจะมาชอบข้า เป็นไปได้อย่างไร...ฮ่า ๆ”

กล่าวจบเมิ่งอวิ๋นก็หันหลังกลับจวนอย่างสบายใจโดยไม่ได้สนใจจะมองใบหน้าเคร่งเครียดของเสี่ยวหลงแม้แต่น้อย เสี่ยวฉีก็เพียงยิ้มบาง เอ่ยรับคำอย่างแผ่วเบาพร้อมกับเดินตามหลังผู้เป็นเจ้านาย แต่กลับถูกเสี่ยวหลงที่ยังไม่เข้าใจดึงแขนของเสี่ยวฉีเอาไว้เสียก่อน “เดี๋ยว...”

เสี่ยวฉีหยุดเดินหันกลับมามองเสี่ยวหลงอย่างสงสัย “มีอะไรหรือ?”

“เจ้า...เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าคุณชายเสิ่นมีใจให้นายน้อย เหตุใดเจ้ากล่าวคำโกหกเช่นนั้นกัน” คิ้วของเสี่ยวหลงขมวดเข้าหากันอย่างเคลือบแคลงสงสัย

แต่สำหรับเสี่ยวฉีแล้วความสงสัยของคนผู้นี้ไหนเลยสำคัญ “ข้าโกหกหรือ...” เสี่ยวฉีเพียงตีหน้าคล้ายไม่เข้าใจในคำพูดของเสี่ยวหลง “ข้าเห็นเช่นนั้นจริง ๆ นี่ คุณชายเสิ่นก็เพียงรู้สึกผิดที่มาหาเรื่องนายน้อย เจ้าจะบอกว่าข้าโกหกได้อย่างไร”

ในเมื่อเสี่ยวหลงเองก็ไม่มีสิ่งใดมายืนยันเสียหน่อยว่าเสิ่นหยวนมีใจให้กับเมิ่งอวิ๋น เช่นนั้นก็คงไม่ผิดที่เขาจะปัดปัญหาที่จะนำความวุ่นวายมาให้แก่เมิ่งอวิ๋นนั้นทิ้งไปเสียก่อน “เรื่องเช่นนี้หากกล่าวออกไปมั่วๆ มิเท่ากับหาเรื่องให้นายน้อยเดือดร้อนหรอกหรือ?”

“เจ้า!”

เสี่ยวฉีไม่สนใจเสี่ยวหลงที่ยังคงยืนกัดฟันกรอดอย่างอับจนคำพูดอยู่ตรงนั้น ทิ้งให้อีกฝ่ายยังคงคับแค้นใจอยู่ที่เดิมส่วนตนก็เพียงเดินติดตามนายน้อยกลับจวนอย่างไม่รู้สึกอะไร เสี่ยวหลงทั้งเจ็บแค้น ทั้งขุ่นเคือง แม้จะไม่อยากยอมรับแต่สิ่งที่เสี่ยวฉีพูดมานั้นไม่ผิดเลยสักนิด เรื่องบางอย่างหากไม่รู้ให้แน่ใจแล้วพูดไปก็จะเท่ากับหาเรื่องใหญ่ให้นายน้อยของตนเสียเปล่า ๆ

แต่เขาเจ็บใจ!

เจ็บใจทั้งที่เขาเองอยู่ข้างกายนายน้อยมาก่อนกลับทำพลาดไปได้!

เจ็บใจเหลือเกิน!



เมิ่งอวิ๋นกลับมาถึงจวนด้วยใบหน้าที่ติดจะครุ่นคิดอยู่ไม่น้อย สองคิ้วขมวดเข้าหากันจนเป็นปมทั้งที่ในมือถือกล่องไม้เอาไว้อย่างหวงแหน ในสายตาของผู้คนในจวนนั้นมีแต่ความห่วงใยทั้งสิ้น กลัวแต่ว่านายน้อยของจวนสกุลเมิ่งจะเจอเรื่องใดที่กระทบกระเทือนจิตใจเข้า

เสี่ยวหลงรีบเร่งฝีเท้าเดิมตามหลังของนายน้อยของตนอย่างรีบร้อน โดยไม่สนใจว่าเสี่ยวฉีจะเดินตามมาหรือไม่ด้วยซ้ำ ในตอนนี้หลังจากที่เดินกลับมาได้ครึ่งทางใบหน้าของนายน้อยก็พลันเศร้าหมองลง ก่อนจะเคร่งเครียดเมื่อใกล้จะถึงจวน ทำให้เสี่ยวหลงอดไม่ได้ที่จะเป็นห่วง

“นายน้อย...” เมื่อเสี่ยวหลงก้าวเข้ามาในห้องก็พบว่าเมิ่งอวิ๋นซบหน้าลงกับโต๊ะด้วยความเหนื่อยล้า “นายน้อย ให้บ่าวเตรียมน้ำร้อนดีหรือไม่ขอรับ”

เมิ่งอวิ๋นถอนหายใจแล้วพลิกใบหน้าลงให้หน้าผากของตนแตะลงกับโต๊ะ “เจ้าออกไปเถอะ ข้าอยากอยู่คนเดียว”

“แต่...ขอรับนายน้อย” เสี่ยวหลงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกัดริมฝีปากแล้วตอบรับคำอย่างช่วยไม่ได้ แล้วเดินออกจากประตูไป

เมิ่งอวิ๋นเมื่อรับรู้ถึงการจากไปของเสี่ยวหลงก็เงยหน้าขึ้นมา มองไปที่กล่องไม้ด้วยแววตาที่ไม่อาจอธิบายได้ เขายืดตัวขึ้นมาก่อนจะยื่นมือออกมาจับกล่องไม้ตรงหน้าแล้วเลื่อนมันเข้ามาใกล้ตัว

ลวดลายใด ๆ ไม่มีปรากฏอยู่บนตัวกล่อง ทั้งที่มันก็ดูมีราคา...ทว่าก็คล้ายจะไร้ราคาอยู่เช่นกัน หากผ่านมาพบเห็นคงไม่สนใจคิดว่าเป็นกล่องไม้ธรรมดาไม่มีค่าให้มอง แต่ของเช่นนี้ก็นับว่าตบตาพวกโจรได้ดี คิดว่าพี่ใหญ่คงจะคิดมาดีแล้วจึงเลือกกล่องไม้ชิ้นนี้

มือของเมิ่งอวิ๋นเลื่อนฝากล่องออกอย่างช้า ๆ ในใจก็อดลุ้นไม่ได้ว่าสิ่งใดกันแน่ที่อยู่ด้านในตัวกล่องไม้นี้ ของที่พี่ใหญ่ส่งมาให้เขานั้น เขาย่อมรู้ดีว่ามันไม่ใช่ของของเขาโดยตรง แต่เป็นสิ่งที่เขาเคยร้องขอให้พี่ใหญ่หาของบางอย่างเพื่อนำไปทดแทนบุญคุณของหลี่เจี้ยนเฉิง เพราะฉะนั้นแล้วแม้เขาจะลุ้นกับของภายในมากเท่าใด ก็อดเสียดายไม่ได้ว่าจะต้องมอบมันให้กับคนผู้นั้น

ทันทีที่ฝ่ากล่องถูกเปิดออก สิ่งที่เมิ่งอวิ๋นเห็นคือกระดาษแผ่นหนึ่งและหยกพกชิ้นหนึ่งลวดลายคล้ายวิหคสยายปีก เพียงได้จับจ้องหนึ่งครั้งก็ไม่อาจละสายตาออกมาได้

งดงามเกลี้ยงเกลาเช่นนี้นับว่าถูกใจไม่น้อย

เมิ่งอวิ๋นกวาดสายตามองไปจนทั่ว แม้แต่เชือกที่ใช้ร้อยหยกพกเส้นนี้ก็ดูมีราคาไม่ต่างจากตัวหยกเอง แต่เขาไม่ได้เชี่ยวชาญการมองหยกถึงเพียงนั้น อย่างไรก็ไม่อาจตีราคาของมันได้ แต่ในใจก็เกิดความสงสัยว่าของชิ้นนี้จะเพียงพอแน่หรือกับการตอบแทนบุญคุณที่อีกฝ่ายช่วยชีวิตของเขาเอาไว้ เมิ่งอวิ๋นจึงวางหยกลงในกล่องเช่นเดิม แล้วเลือกหยิบจดหมายขึ้นมาเปิดอ่านแทน

‘เสี่ยวอวิ๋น...พี่ชายของเจ้าผู้นี้นำของสิ่งนี้มอบให้เจ้าตามที่เจ้าเคยร้องขอแก่ข้าแล้ว แม้ว่าหยกชิ้นนั้นอาจจะดูไม่ต่างจากหยกธรรมดานัก แต่หยกที่พี่มอบให้นั้นมีชื่อว่านัยน์ตาวิหค หากเจ้าชมชอบจะเก็บไว้เองก็ไม่เป็นไร อย่างไรเสียของมีค่าเช่นนี้พี่ก็ปรารถนาให้เจ้าครอบครองมันเสียยิ่งกว่าการยกให้คนอื่น แต่หากเจ้าไม่สบายใจก็ไปที่ร้านลู่เมิ่งเถิด ถึงไม่แม้ว่าความล้ำค่าไม่อาจเทียบเท่ากับหยกนัยน์ตาวิหคที่พี่ให้เจ้า แต่ก็ไม่ด้อยค่าไปกว่าสิ่งอื่นแน่นอน

เดิมทีพี่ไม่คิดจะสร้างความลำบากให้เจ้าและท่านพ่อหรือท่านแม่แม้แต่น้อย แต่พี่คาดว่าหลังจากพี่จากมาย่อมเกิดเรื่องตามหลังพี่มาอย่างแน่นอน ในตอนนี้พี่ทำได้เพียงขอโทษเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกว่าเจ้าจะอภัยให้พี่ แม้จะรู้ว่าทำผิดต่อท่านพ่อท่านแม่ ทำผิดต่อเจ้ามากมายสักเพียงใด แต่พี่และคุณหนูเยี่ยรักกันด้วยใจจริง พี่ไม่อาจทนมองนางต้องแต่งกับบุรุษเช่นนั้นได้ พี่ทนไม่ได้จริง ๆ ’

“เจ้าพี่โง่ คิดว่าข้าไม่รู้จริง ๆ นะหรือ ฮึ!” เมิ่งอวิ๋นยิ้มมุมปากอย่างคลายอารมณ์ นัยน์ตาหวานสะท้อนเพียงความอ่อนโยนและอ่อนใจต่อพี่ชายของตนเหลือเกิน

‘หากสักวันหนึ่งเราสองคนสามารถกลับไปยังเมืองหลวงได้ พี่จะกลับไปให้เจ้าเล่นงานจนสมแก่ความโกรธที่เจ้ามี ขอเพียงเจ้ายังไม่หันหนีพี่ไปก็พอ พี่หวังเพียงเจ้าและท่านพ่อท่านแม่จะสบายดี ไม่ถูกคนพาลหรือผู้ใดมารังแกเพราะเรื่องที่ข้าก่อ’

“พี่ใหญ่...ท่านนี้ช่าง...ข้าเดือดร้อนไปแล้วนะท่านรู้หรือไม่” ทั้งที่หยอกเย้าอยู่กับจดหมาย แต่น้ำเสียงของเมิ่งอวิ๋นกลับเต็มไปด้วยความอ่อนโยนอย่างที่สุด มีเพียงใบหน้าเท่านั้นที่แสดงความปวดร้าวหัวใจออกมาให้เห็น แต่ห้องของเขามีเพียงแค่เขาที่อยู่ภายใน ใครเล่าจะมาเห็นได้อีก

เมิ่งอวิ๋นมองจดหมายที่อ่านจบอีกครั้ง ไม่ว่าจะมองมันเนิ่นนานสักเท่าใดก็คล้ายจะไม่พอให้เขาวางใจจึงวางจดหมายลง ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินออกมาจากตรงนั้นทอดสายตามองไปไกลแสนไกล พี่ใหญ่ของเขาอยู่ไกลออกไปเท่าใดก็ไม่อาจรู้ ดูท่าว่าเมืองที่พี่ใหญ่เคยบอกว่าจะไปก็คงเป็นเพียงคำลวงเท่านั้น ในตอนนี้คงไม่อาจจะรู้ได้ว่าพี่ใหญ่ของเขาและคุณหนูเยี่ยหนิงหลันไปอยู่ที่ใด แต่ไม่ว่าจะที่ใดก็ยังดีกว่าที่นี่ เขายังคงปรารถนาให้ทั้งสองคนอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข

เพราะบางที...มันอาจจะดีกว่าได้อยู่ในเมืองหลวงก็ได้

เมิ่งอวิ๋นผ่อนคลายความกังวลลงเหลือเพียงความเรียบเฉยบนใบหน้า ในเมื่อสัญญาแล้วว่าจะปกป้องสิ่งใดที่เป็นความสุขเขาก็จะปกป้อง หากนั่นคือทางที่พี่ชายของเมิ่งอวิ๋นเลือกเขาเองก็พร้อมจะสนับสนุน

เมื่อคิดเช่นนั้นเมิ่งอวิ๋นก็หันกลับมามองจดหมายที่ถูกวางอยู่บนโต๊ะด้วยสายตาที่เข้มขึ้น มือบางคว้างมันขึ้นมาแล้วเดินตรงไปยังเทียนที่ถูกจุดเอาไว้มุมหนึ่ง กระดาษในมือถูกเปลวไฟกลืนกินไปทีละน้อยอย่างช้า ๆ ก่อนจะกลืนกินไปจนหมดสิ้น

เมื่อมันเหลือเพียงเศษซากของเถ้าถ่านเมิ่งอวิ๋นจึงวางใจ หันหลังเดินออกไปไม่หวนกลับมามองมันอีก หากแต่เมิ่งอวิ๋นไม่ได้รู้เลยว่าอีกมุมหนึ่งของความมืดนั้นได้มีร่างของใครบางคนซ่อนอยู่พร้อมกับกระดาษที่ไม่แตกต่างจากแผ่นที่ถูกเผาไปเมื่อครู่เลยสักนิด แววตาของคนในความมืดซุกซ่อนความเงียบเชียบเอาไว้ ก่อนจะหลบเข้าไปในเงาอีกครั้งและหายตัวไป







TBC



เอ๊ะ!! ใครคะ ใครรรร ใครมาขโมยจดหมายของน้องงง พร้อมตบมาก แต่เสี่ยวฉีลูก โกหกน้องทำไมมมม น้องก็ช่างเชื่อไปได้นะคะ เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าคุณชายเสิ่นเขาชอบหนู กรี๊ดดดดด ลูกชายเนื้อหอมแม่ปลื้มค่ะ จะเป็นลม ปล. พระเอกจะมาตอนหน้าแล้วนะคะ พระเอกที่ถูกแช่งให้สะดุดอากาศจนหัวฟาดพื้นตายยังไม่ยอมลงจากตำแหน่งพระเอกค่ะ โปรดกัดนางแรงๆ แล้วค่อยไปช่วยทำแผลตอนเฉลยปมนะคะ 

เมิ่งอวิ๋น

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8

ออฟไลน์ lcortsess

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-3

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด