※ The Archwizard : จอมเวทบรรลัยกัลป์ ※ ตอนที่ 7 [26/07/2564]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ※ The Archwizard : จอมเวทบรรลัยกัลป์ ※ ตอนที่ 7 [26/07/2564]  (อ่าน 1941 ครั้ง)

ออฟไลน์ Lalilda

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม




        สวัสดีค่ะ ขอแนะนำตัวเองสั้นๆว่า ลี่ นะคะ วันนี้ลี่เอานิยายแฟนตาซีที่ตัวเองเขียนไว้มาลงที่นี่ โดยลี่มีแพลนจะลงอาทิตย์ละ 1 ตอน โดยจะลงทุกวันอาทิตย์ ช่วงเวลาประมาณ 2-3 ทุ่มค่ะ เรื่องนี้เป็นเรื่องยาว ยังไงขอฝากด้วยนะคะ ถ้าชอบหรืออ่านแล้วรู้สึกน่าติดตาม ฝากคอมเม้นท์เป็นกำลังใจให้ลี่ด้วยนะคะ


Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-07-2021 16:57:50 โดย Lalilda »

ออฟไลน์ Lalilda

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ตอนที่ 1

        จะมีมนุษย์ซักกี่คนรู้ว่าบนโลกที่เราอยู่กันปัจจุบันนี้ ยังมีสิ่งเร้นลับ สิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถเปิดเผยตัวตนอยู่อีกมากมาย ต้องยอมปิดบังตัวตนที่แท้จริงเพื่อเลี่ยงปัญหาและความวุ่นวายที่จะตามมาหากมนุษย์รับรู้ถึงการมีอยู่ของพวกเขา และจำยอมใช้ชีวิตเฉกเช่นมนุษย์ทั่วไป



        เดิมที...โลกของเรามีสิ่งมีชีวิตแบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่ เทพ ที่นับเป็นผู้วิเศษ มีเวทมนตร์ มีอิทธิฤทธิ์ มีความสามารถเหนือธรรมชาติ อาจจะมากเกินกว่ามนุษย์จะจินตนาการถึงก็เป็นได้ ซึ่งเทพสามารถแบ่งได้อีกหลายเผ่าพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นผู้ปกปักรักษาดินแดนอย่างผืนป่า ลำน้ำ ผู้รักษาสมดุลของสภาพดินฟ้าอากาศ หรือแม้แต่ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ กระทั่งพ่อมด-แม่มดเอง ที่ตามนิยายของมนุษย์นั้นถูกจัดเป็นผู้รับใช้ซาตาน แต่แท้จริงแล้ว “พวกเรา” เป็นเทพที่มีกายเนื้อคล้ายมนุษย์ เกิดและอาศัยอยู่ในโลกเฉกเช่นมนุษย์ เพียงแต่อายุจะยืนยาวกว่าเป็น 5-10 เท่า แล้วแต่ความสามารถจะประคับประคองกายเนื้อนี้ไปได้ และที่สำคัญ...พวกเราไม่ได้มีจมูกยาวน่าเกลียดเหมือนในนิยายปรัมปรานั่นด้วย



        ประเภทที่สอง ซาตาน แท้จริงแล้วซาตานคือผู้ที่ให้กำเนิดหรือสร้างสิ่งมีชีวิตประเภทนี้ ว่ากันว่าซาตานใช้พลังอำนาจจากศาสตร์มืดและวิญญาณ สร้างพวกเขาขึ้นมาเป็นบริวารรับใช้ ซึ่งมีจำนวนเผ่าพันธุ์และประชากรน้อยที่สุดจาก 3 ประเภท ยกตัวอย่างเช่น ไลแคน แวร์วูล์ฟ แวมไพร์ ยักษ์ ภูตผีปีศาจต่างที่เคยได้ยินผ่านหูล้วนแต่อยู่ในกลุ่มประเภทนี้ทั้งหมด ซึ่งจะเป็นกลุ่มที่มีอายุยืนยาวที่สุดจนแทบเป็นอมตะ ยกเว้นจะบาดเจ็บล้มตายจากการต่อสู้ และยังมีอีกหนึ่งจำพวกที่เรียกได้ไม่เต็มปากว่าเป็นลูกหลานของซาตานก็คือพวกที่ยืมอำนาจศาสตร์มืดต่างๆของซาตานมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือเทพ ถ้าได้ลองใช้ศาสตร์ต้องห้ามที่มีซาตานเป็นเจ้าของ ก็ล้วนแต่จะต้องตกอยู่ในอำนาจของซาตานตามแต่ราคาที่ต้องจ่ายไป ซาตานแม้จะไม่ได้เป็นเทพ แต่ถือตนว่ายิ่งใหญ่กว่าเทพ เพราะสามารถหยิบยื่นพลังอำนาจที่ตนเองมีให้กับใครก็ได้ที่กล้าจ่าย ดังเช่นพวกที่มนุษย์คุ้นชินกันว่าขายวิญญาณให้ซาตาน แม้กระทั่งหมอผีที่มนุษย์นั้นคุ้นเคยกันดี



        ประเภทสุดท้าย มนุษย์ นับเป็นสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอที่สุดแต่มีจำนานประชากรมากที่สุดจากทั้งสามประเภท มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ฉลาด มีไหวพริบและขยัน เพราะถือว่าตนเกิดมาด้อยที่สุด จึงพยายามหาวิธีเพื่อให้เผ่าพันธุ์ของตนอยู่รอด จึงเกิดการทำพันธะสัญญาของบรรพบุรุษจากทั้งสาม ว่าด้วยมนุษย์นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอที่สุด ไม่มีฤทธิ์เดชจะต่อกรกับทั้งเทพและซาตาน จึงขอให้ทั้งสองไม่สามารถเป็นฝ่ายริเริ่มฆ่ามนุษย์ได้ โดยถ้าฝ่าฝืนก็จะต้องได้รับบทลงโทษจากศาลของแต่ละฝ่าย เดิมทีนั้นซาตานไม่เห็นด้วยกับพันธะสัญญาแต่ก็ไม่อาจขัดฝ่ายเทพที่มีอำนาจและพรรคพวกมากกว่าในอดีตกาลจึงยอมตกลงทำสัญญา แต่ก็ไม่วายลั่นวาจาไว้ว่าจะทำให้มนุษย์หลงผิดตกเป็นทาสของซาตานให้ได้ ฝ่ายเทพนั้นลงนามด้วยความเต็มใจเพราะไม่ได้คิดให้รอบคอบว่าวันข้างหน้า มนุษย์จะพัฒนาตัวเองอย่างก้าวกระโดดและครองโลกได้อย่างปัจจุบันนี้ ถึงแม้มนุษย์จะไม่มีเวทมนตร์ใดๆ แต่ก็สามารถพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ ให้ดำรงชีวิตอย่างสะดวกสบายง่ายยิ่งกว่าการใช้เวทมนตร์เสียอีก



        ต้นตระกูลของผมก็เป็นหนึ่งในบรรดาผู้ใช้เวทมนตร์ชั้นสูง ที่หนีจากการล่าแม่มดในทวีปอเมริกาช่วงปีค.ศ. 1800 หลังจากประกาศอิสรภาพของอเมริกาได้ไม่นาน โดยล่องเรือหนีข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกเข้ามาในทวีปเอเซีย คุณตาเล่าให้ผมฟังว่าตระกูลลาโวดอร์ของเรานั้นมีชื่อเสียงโด่งดังมากในเมืองเกิด เพราะต้นตระกูลเรามีความสามารถในการใช้สมุนไพรผสมผสานกับเวทมนตร์เพื่อช่วยเหลือผู้คนจากโรคภัยไข้เจ็บที่หยูกยาในสมัยนั้นยังไม่ได้ประสิทธิภาพเช่นปัจจุบัน แต่ถึงจะช่วยเหลือเกื้อกูลมีน้ำใจต่อกันเพียงไร การมีซึ่งเวทมนตร์ มีพลังที่เหนือธรรมชาติก็ไม่เป็นที่พอใจของคนส่วนใหญ่อยู่ดี ไม่เพียงถูกขับไล่จากบ้านเกิด แต่มนุษย์พวกนั้นไล่ล่าเอาชีวิตอย่างโหดเหี้ยมอำมหิต โดยที่ฝ่ายเราไม่สามารถโต้ตอบได้ตามพันธะสัญญาที่มี ซึ่งดูเหมือนว่านอกจากรุ่นบรรพบุรุษของมนุษย์แล้ว ก็ไม่มีมนุษย์คนไหนรู้เรื่องพันธะสัญญานี้ อีกทั้งในพันธะสัญญาไม่ได้มีข้อห้ามว่ามนุษย์ห้ามฆ่าเทพและซาตาน อาจจะเป็นเพราะความเจ้าเล่ห์ของบรรพบุรุษของมนุษย์ที่ตั้งใจให้เป็นแบบนี้ก็ไม่ทราบได้



        เพราะเหตุนี้พ่อมดแม่มดนับร้อยพันตระกูล รวมทั้งตระกูลของผมต้องยอมทิ้งทุกอย่าง แล้วอพยพเรื่อยมา จนมาปักหลักที่ประเทศไทย บ้างก็แตกออกไปยังประเทศใกล้เคียงนี้ แต่ก็ยังมีผู้ใช้เวทมนตร์หลายตระกูลโดยเฉพาะฝั่งยุโรปที่ยังคงแข็งแกร่งเป็นปึกแผ่นอยู่ในชนชั้นศักดินา ขุนนางชั้นสูง หรือผู้มีชื่อเสียง สามารถแฝงตัวในกลุ่มมนุษย์เรื่อยมาจนทุกวันนี้



        และเพราะถูกมนุษย์กดขี่ กลืนกินการมีตัวตนมาช้านานนับหลายร้อยปี ทำให้ทั้งกลุ่มเทพและซาตานบางกลุ่มต่างเริ่มมีแนวคิดที่จะล้มเลิกพันธะสัญญาที่ทำไว้ เพื่อทวงคืนความยิ่งใหญ่ให้กับทั้งเทพและซาตานเฉกเช่นอดีตกาล แต่นั่นจะนำมาสู่การนองเลือดและสงครามครั้งยิ่งใหญ่ของโลกใบนี้ ในส่วนของผู้ใช้เวทมนตร์นั้น เกิดแตกเป็นสองเสียงจากการประชุมสภาเวทมนตร์เมื่อปีที่ผ่านมา เสียงข้างมากยังคงยืนหยัดให้รักษาพันธะสัญญานี้ไว้ และมุ่งเน้นไปยังการปรับตัวให้เข้ากับมนุษย์



        ส่วนตัวผมนั้น ผมเห็นด้วยกับการปรับตัวให้เข้ากับมนุษย์ อาจเป็นเพราะความเคยชินกับการใช้ชีวิตแบบนี้ เลยไม่ได้รู้สึกว่ามันลำบากเท่าไหร่นัก มีบ้างที่ต้องหลบๆซ่อนๆ ในการใช้เวทมนตร์แต่ก็สนุกและท้าทายไม่เบา



        “9 1”



        ใช่แล้วละครับ อายุของผมปีนี้คือปีที่ 91 ถ้าเป็นมนุษย์ปกติคงเป็นชายชราผมหงอกทั่วทั้งหัวไปแล้วละ แต่สำหรับพ่อมดแบบผมยังเป็นหนุ่มวัยรุ่นอยู่เลย ถ้าเทียบกับมนุษย์ทั่วไปแล้วก็น่าจะมีอายุราวๆ ซัก 20-21 ปี เห็นจะได้ แต่จริงๆผมไม่ได้ตั้งใจบอกอายุของผมกับพวกคุณกันหรอกนะ



        “สาธุค่ะพ่อหมอ งวดนี้รวยเจ้าค่ะ”

        “สาธุเจ้าค่ะ ขอให้รวยๆๆๆ กันถ้วนหน้า”

        “สาธุพ่อ ลูกขออีกงวดนะพ่อนะ ถ้างวดนี้เข้าตรงๆ ลูกจะซื้อทองถวายเจ้าค่ะ”



        ใช่แล้วครับ ผมกำลังบอกเลขหวยให้พวกมนุษย์ทั้งหลายต่างหาก ฮ่าฮ่าฮ่า นี่เป็นอีกหนึ่งในการหารายได้เสริมชั้นดีที่ได้ความสนุกไปในตัวเมื่อเห็นเหล่ามนุษย์ที่งมงายเพราะความละโมบแบบนี้ ซึ่งเหล่าพ่อมดแม่มดหลายคนก็ล้วนเคยทำกันมาแล้วทั้งนั้น เพราะพวกเรามีอายุกันหลายร้อยปี การหางานอดิเรกที่น่าสนุกเช่นการตั้งสำนักร่างทรง ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ไม่เลว



        ผมทำมาแล้วไม่ต่ำกว่า 20 อาชีพ ทั้งนักสืบ เด็กส่งของ เด็กขนของ เลขานุการ ตำรวจ เปิดร้านอาหาร ทุกอย่างที่เราสามารถใช้เวทมนตร์เป็นทางลัด ได้ทั้งความสนุกและทำเงิน มันก็น่าสนใจให้ลองทั้งหมดนั่นละ ต่อให้เรื่องเงินจะไม่ใช่ปัญหาของผู้ใช้เวทมนตร์ส่วนใหญ่ก็ตาม



        แต่อาชีพร่างทรงจะให้คุณตาทราบไม่ได้เด็ดขาด เพราะมันเป็นการมอมเมาความโลภของมนุษย์ ซึ่งคุณตาไม่ชอบใจเท่าไหร่ แต่ใครสนมนุษย์พวกนั้นกันล่ะ?



        จริงๆ แล้วที่ผมได้ตัวเลขจากในอนาคตมาไม่ใช่เพราะความสามารถพิเศษของผมหรอกครับ เป็นของฟาติมา เพื่อนสนิทของผมเอง โดยผู้ใช้เวทมนตร์แต่ละคนจะมีความสามารถพิเศษหรือความเชี่ยวชาญเฉพาะตัวติดมาตั้งแต่เกิดแตกต่างกันออกไป อย่างฟาติมาจะมีความสามารถในการมองเห็นอนาคตอันใกล้ ผมเลยพลอยได้ใช้ความพิเศษนี้ไว้หาเงินและความสนุกไปด้วย ส่วนความสามารถพิเศษของผมนั้น ผมคือผู้ใช้ธาตุดินและพืช จะเรียกว่าเป็นความสามารถพิเศษของตระกูลฝั่งคุณตาของผมก็ได้



        เดิมแท้แล้วตระกูลของผมเป็นผู้ใช้ธาตุดินเป็นหลัก จะมีเพียงบรรพบุรุษบางท่านเท่านั้นนับเป็นส่วนน้อยมากที่สามารถใช้ธาตุพืชได้เป็นธาตุที่สอง และในรุ่นปัจจุบันที่ผมทราบ มีเพียงผมและคุณตาที่มีความสามารถนี้ แต่ถ้าเทียบระดับพลังแล้วละก็....ผมเป็นเพียงฝุ่นดินในขณะที่ตาเปรียบได้ดั่งภูเขาทั้งลูกเลยก็ว่าได้ เรียกได้ว่าตัวผมในตอนนี้แทบจะไม่มีอะไรโดดเด่นเลยละครับ ดูเหมือนจะใช้เวทมนตร์ของทั้งสองธาตุอยู่ในระดับปานกลาง บวกกับวิธีการร่ายเวทที่ได้จากคลาสในโรงเรียนเวทมนตร์เหมือนพ่อมดแม่มดทั่วไป จำพวกเคลื่อนย้ายตัวเอง เสกสิ่งของเล็กๆน้อยๆ เท่านั้น



        หลังจากที่ประชาชนคนบ้าหวยกลับออกไปกันหมดแล้ว ผมปิดประตูบ้านที่ใช้เป็นสำนักมิดชิดแล้วใช้เวทมนตร์เคลื่อนย้ายตัวเองไปยังห้องน้ำสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินที่คุ้นเคย ซึ่งข้อจำกัดของเวทมนตร์ประเภทนี้คือเราจะต้องเคยไปยังจุดหมายปลายทางมาก่อนจึงจะใช้เวทมนตร์นี้ได้สำเร็จ ผมเลยเซทห้องน้ำของสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินให้เป็นปลายทางเสมอ โดยใช้เวทพรางตาให้เหมือนห้องน้ำห้องนี้มีคนเข้าใช้ตลอดเวลา



        จากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน ผมใช้เวลาเดินเพียง 10 นาทีก็ถึงบ้าน แม้รูปทรงลักษณะภายนอกของบ้านจะดูเหมือนบ้านเดี่ยวทั่วๆไปในย่านเศรษฐีกลางใจเมือง แต่ถ้าได้ลองเปิดรั้วเข้ามาในบ้านแล้วรับรองว่าไม่ธรรมดา



        จากบ้านเดี่ยวทรงร่วมสมัยบนพื้นที่เกือบ 200 ตารางวาในสายตาคนทั่วไป เปลี่ยนเป็นบ้านกลางป่าที่มีต้นไม้สูงใหญ่นับไม่ถ้วนสุดลูกหูลูกตาเพียงแค่ผ่านประตูรั้วเข้ามาในบริเวณบ้าน คุณตาเคยบอกว่าบ้านหลังนี้มีพื้นที่ป่าเทียบเท่ากับ 1 ใน 4 ของพื้นที่ทั้งหมดของกรุงเทพมหานคร เรียกได้ว่าเป็นแหล่งผลิตโอโซนที่แท้จริงของกรุงเทพเลยก็ว่าได้ เพียงแต่มันถูกร่ายเวทบิดเบือนพื้นที่ผนึกไว้และพรางสายตาจากคนทั่วไปก็เท่านั้นเอง



        ในบริเวณบ้านที่ผมอยู่นอกจากจะมีต้นไม้น้อยใหญ่และรวมสารพัดพืชพรรณที่จะหาได้จากพื้นที่เขตร้อนชื้นแล้ว ยังมีสัตว์ป่าหลายชนิดที่ยังอาศัยอยู่ในป่าผืนนี้ เพื่อรักษาวัฏจักรความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติที่มนุษย์พยายามบุกรุกทำลายจนแทบไม่เหลือให้เห็นกลางเมืองใหญ่



        ผมสูดรับออกซิเจนให้เต็มปอดก่อนจะสาวเท้าเข้าไปในบ้านอย่างคุ้นเคย บ่ายแก่ๆ วันอาทิตย์แบบนี้ คุณตาคงจะออกไปเดินดูต้นไม้อยู่ที่ไหนซักแห่งในป่านี่แหละ



        “หายไปไหนแต่เช้าเลยมิ”



        ผมหันกลับไปตามเสียง เห็นเจ้าลีโอนอนขดตัวอยู่บนเบาะนุ่มที่ประจำริมหน้าต่างมองมาทางนี้



        ต้องขออธิบายก่อนว่าในบรรดาผู้ใช้เวทมนตร์นั้น บางคนจะมีสัตว์ประจำตัวตั้งแต่ลืมตาดูโลกซึ่งนับว่าเป็นส่วนน้อย และส่วนน้อยในส่วนน้อยของสัตว์ประจำตัว จะสามารถพูดจาสื่อสารภาษามนุษย์เหมือนเจ้าลีโอของผม ส่วนใหญ่ฟังออกแต่ไม่สามารถพูดได้ แต่ที่เป็นเหมือนกันทุกตัวคือสามารถใช้เวทมนตร์ได้ โดยความสามารถจะขึ้นอยู่กับการฝึกของเจ้าของและความสามารถพิเศษที่ติดตัวมา โดยแต่ละคนจะมีสัตว์แตกต่างกันไปตามแต่ลิขิตจะนำพา อย่างเจ้าลีโอของผมเป็นแมวตัวฟูขนสีส้ม สามารถพูดจาตอบโต้ ใช้เวทมนตร์ได้ จะเรียกว่าเป็นสัตว์เวทมนตร์ก็ไม่ถูกซะทีเดียว โดยสัตว์ประจำตัวนั้นจะมีอายุขัยตามเจ้าของ นั่นคือมันจะเกิดและตายพร้อมกับเรา



        ไม่มีใครรู้ว่าสัตว์ประจำตัวมาจากไหน อย่างเจ้าลีโอ อยู่ๆก็โผล่มาในวันที่ผมเกิด



        “ก็ออกไปเที่ยวเรื่อยเปื่อยนั่นละ นี่กลับมาว่าจะนอนเล่นเกม” พูดแล้วก็เดินไปอ้าแขนขออุ้มพาขึ้นไปนอนบนห้องด้วยกันซักหน่อย



        “แล้วทำไมวันนี้ไม่พาไปด้วย ชิ่งไปสนุกคนเดียวอีกแล้ว” ลีโอดีดตัวกระโจนเข้าอ้อมกอด ก่อนถามด้วยท่าทางน้อยใจ



        “ขืนพาไปด้วยก็เป็นเรื่องอีกนะสิ ครั้งที่แล้วก็วุ่นวายไปที”



        ข้อเสียเดียวที่ลีโอมีคือหลายๆครั้งชอบลืมตัว พูดจาตอบโต้ เถียงคำไม่ตกฟากต่อหน้ามนุษย์จนทำเอาวุ่นวายอยู่หลายครั้ง ครั้งล่าสุดก็โวยวายเสียงดังอยู่ในซุปเปอร์มาเก็ตจนคนแตกตื่น ผมเลยต้องแก้ด้วยการหยิบมือถือขึ้นมาทำทีเหมือนคุยโทรศัพท์แล้วเปิดสปีกเกอร์โฟน วันนี้เลยทิ้งไว้ที่บ้านเป็นการทำโทษซะเลย



        “ขึ้นไปนอนเปิดแอร์เย็นๆ เล่นเกมกันดีกว่านะลีโอ”



        “เอาสิๆ วันนี้เล่นเกมตกปลาให้ดูทีนะ” เจ้าแมวส้มพูดอย่างตื่นเต้น ของชอบเขานักแหละ เวลาที่ได้เห็นผมเหวี่ยงเบ็ดตกปลา



        “ก็ได้ๆ”



        อยากกรอกตามองบนซักสิบรอบใส่เจ้าแมวนี่ ดูไปก็เท่านั้นแหละนะ ใช่ว่าจะจับกินได้ซะทีไหน



        นอนเล่นเกมเพลินๆ สุดท้ายก็เผลอหลับกันไปทั้งคู่ ตื่นอีกทีก็แทบจะหมดแสงของวันแล้ว ผมล้างหน้าล้างตาเตรียมตัวลงไปกินมื้อเย็น



        “ไฮลุงแม็กซ์ ไฮป้าคาร่า” ผมทักทายคุณลุงกับคุณป้าสะใภ้ก่อนจะเดินไปถอยเก้าอี้ที่นั่งประจำอีกฝั่งของโต๊ะ เห็นหลังคุณตาแวบๆ เดินไปมาอยู่ในครัว คงกำลังเตรียมกับข้าวอยู่



        บ้านของผมมีสมาชิกด้วยกันทั้งหมด 5 คน มีคุณตาคริส ลุงแม็กซิมัส ป้าคาร่า แมทธิวลูกชายของลุงแม็กซ์กับป้าคาร่า ซึ่งมีอายุแก่กว่าผม และผมมิเกล วัยรุ่นประจำบ้าน ส่วนพ่อกับแม่ผมเสียไปนานแล้วครับ คุณตาว่าอย่างนั้น



        ดูจากชื่อของสมาชิกในครอบครัวผมแล้ว คงคิดว่าหน้าตาต้องดูเป็นฝรั่งจ๋าเลยละสิ ซึ่งจริงๆแล้วก็ใช่นั่นแหละ เว้นผมอยู่คนเดียวที่ดูจะออกไปทางลูกครึ่งเอเซียซะมากกว่า ไม่ได้ดูเป็นฝรั่งเหมือนคนอื่นๆ ขนาดนั้น อาจจะได้ฝั่งของพ่อมา ซึ่งผมเองก็ไม่เคยเห็นหน้าค่าตาพ่อเหมือนกัน ยกเว้นแม่ที่เห็นจากรูปถ่ายที่คุณตาเก็บไว้ให้ดูต่างหน้า



        ปกติจะมีแค่คุณตากับผมที่อาศัยอยู่ประจำในบ้านหลังนี้ ส่วนลุงแม็กซ์กับป้าคาร่าจะไปๆมาๆ เพราะทั้งคู่เป็นครูให้กับโรงเรียนสอนเวทมนตร์หลายที่ ส่วนพี่แมททำงานให้กับหน่วยงานลับของกระทรวงเวทมนตร์ คล้ายๆพวกสารวัตร/สายสืบของพ่อมดแม่มด นานๆจะกลับมาบ้านซักที



        “ผมช่วยไหม?” ผมทำท่าจะเดินไปยกถ้วยซุปจากคุณตาที่กำลังเดินมาทางนี้



        “ไม่ต้องหรอก สบายมาก”



        คุณตายักคิ้วให้พร้อมยกออกมาเสิร์ฟด้วยท่าทางสบายๆ ทั้งๆที่จริงแล้ว กะไอแค่ถ้วยซุปใบเดียว ไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงที่จะใช้เวทมนตร์เคลื่อนย้ายสิ่งของเลย แต่คุณตาชอบทำอะไรด้วยตัวเอง แกบอกว่าเป็นการออกกำลังกายไปในตัว ถึงจะยังดูแข็งแรงอยู่มากแต่คุณตาก็ไม่ได้ดูหนุ่มแล้ว เพราะอายุจริงๆก็เกือบๆ 600 ปีแล้ว เรียกได้ว่าเป็นพ่อมดที่อาวุโสที่สุดคนนึงเลยก็ว่าได้



        แต่เห็นอายุเยอะแบบนี้แล้ว ความสามารถของคุณตาก็ไม่ได้เป็นสองรองใครในบรรดาพ่อมดแม่มดด้วยกันเลย เพราะคุณตาเป็นถึง 1 ใน 12 จอมเวทผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งจะถูกแต่งตั้งจากสภาเวทมนตร์ โดยตำแหน่งนี้จะคงอยู่จนกว่าคุณตาจะสิ้นอายุขัย แต่คุณตาเป็นพวกรักสงบและไม่เคยอวดอ้างว่าตัวเองเก่งกาจเหนือใคร ทุกอย่างล้วนถูกเล่าให้ฟังจากปากต่อปากทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นลุงแม็กซ์ ป้าคาร่า เพื่อนในที่ทำงานของพี่แมท หรือแม้กระทั่งพ่อของเพื่อนสนิทผม ทุกคนล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าคุณตาเก่งมาก



        แต่คุณตาก็ยังคงใช้ชีวิตเรียบง่าย สบายๆ ไม่หวือหวา เพราะตั้งแต่ผมจำความได้ คุณตาแทบจะไม่เคยทิ้งบ้านไปไหนนานๆ จะมีก็แต่เพื่อนเก่าแก่ผลัดกันแวะมาเยี่ยมเยียน และไม่เคยเห็นคุณตาเข้าร่วมประชุมของสภาเวทมนตร์เลย ทั้งๆที่ความสามารถระดับนี้ จะต้องถูกเชิญเพื่อให้มีบทบาทในการขับเคลื่อนของสภาเวทมนตร์ จะมีก็แต่เพื่อนสนิทที่คอยบอกกล่าวความเคลื่อนไหวเป็นไปนานๆครั้ง



        “เอาละ กินข้าวกันเถอะ” คุณตายิ้มให้ทุกคนบนโต๊ะ พร้อมกับเริ่มลงมือทานมื้อเย็นกัน บรรยากาศในโต๊ะเป็นไปอย่างคุ้นเคยและอบอุ่นเช่นเดิม ทุกคนสรรหาเรื่องราวมาเล่าสู่กันฟัง จนกระทั่ง



        “มิเกล ลุงว่าหลานน่าจะคิดเรื่องเรียนหลักสูตรเข้มข้นในอินเดียหรือเกาหลีใต้ได้แล้วนะ” ลุงแม็กซ์พูดขึ้นระหว่างที่รวบช้อนแล้วใช้เนปกินเช็ดมุมปาก ผมยู่ปากก่อนจะหันไปมองคุณตาเหมือนถามความเห็น คุณตาเพียงแค่ยักไหล่แทนคำตอบว่าแล้วแต่ผม



        “ไว้ดูก่อนแล้วกันลุงแม็กซ์” ผมตอบปัดไปก่อน เพราะยังไม่อยากจากบ้านไปไกลๆ ก่อนจะยกแก้วไวน์ขึ้นจิบ



        “ก็เอ้อระเหยอยู่แบบนี้ เมื่อไหร่จะเก่งขึ้น” ลุงแม็กซ์บ่นไม่จริงจังเท่าไหร่นัก ซึ่งแกก็บ่นก็ถามเป็นแบบนี้ทุกทีที่เจอ



        “เอาไว้พี่แมทกลับมาก่อน ผมค่อยปรึกษาว่าจะเรียนที่ไหน จะว่าไปแล้วสองสามเดือนนี้พี่แมทยังไม่กลับบ้านเลย” ผมใช้โอกาสนี้เปลี่ยนเรื่อง เบี่ยงเบนความสนใจมันซะเลย แต่พี่แมทก็หายไปจริงๆนั่นละ โซเชียลของมนุษย์ ทั้งอินสตาแกรม เฟสบุค ทวิตเตอร์ก็ไม่ยอมแตะมันซักแอพ บอกว่ากลัวสาวๆจะหลงติดตาม โถ...



        “กลับมาพอดี” คุณตาพูดเสียงเรียบ พร้อมยิ้มมุมปาก ผมเลยชะเง้อมองออกไปนอกบ้านผ่านหน้าต่างกระจกในห้องทานอาหาร ซักแปบพี่แมทก็เดินเข้ามาผ่านสายตา โบกไม้โบกมือให้



ทุกความเคลื่อนไหวในบ้านหลังนี้ ไม่เคยหลุดรอดสายตาของคุณตาได้เลยจริงๆ



        “แมท ลูกจะกลับมาวันนี้ ทำไมไม่บอกแม่ก่อน ทุกคนจะได้รอกินข้าวพร้อมกัน” ป้าคาร่าเปิดประโยคถามทันทีที่พี่แมทเดินเข้ามาถึงโต๊ะอาหาร



        “พอดีได้พักกะทันหัน เลยคิดว่าจะมาเซอร์ไพรสทุกคน แต่ปู่คงรู้ทันทุกที” พี่แมทตอบป้าคาร่าก่อนจะเดินมายีหัวผมแล้วเลื่อนเก้าอี้ตัวถัดไปนั่ง “ไงตัวแสบ”



        “โหย อย่ามาจับหน่า” ผมตอบอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนปัดมือพี่แมทออก “ไหนละของฝาก รอบนี้ไปถึงประเทศไหน”



        “อะไรกัน เห็นหน้า พูดคุยกันยังไม่ถึงสิบคำ แบมือขอของฝากซะแล้ว” พูดจบก็เขกเข้าที่หัวผมอีกที



        “อย่าแกล้งน้องสิ แล้วกินอะไรมารึยัง?” ป้าคาร่าปรามก่อนจะถามขึ้น พี่แมทพยักหน้าตอบเบาๆ ก่อนจะพูดคุยถามสารทุกข์สุขดิบทั่วไป



        พี่แมทเล่าให้ฟังว่ารอบนี้ตามสืบความเคลื่อนไหวของกลุ่มพ่อมดใต้ดินในแถบประเทศรัสเซียที่ลักลอบใช้มนตร์ดำซึ่งเป็นเวทมนตร์ต้องห้าม อีกทั้งยังฆ่ามนุษย์ไปหลายชีวิต ซึ่งผิดต่อพันธะสัญญาที่ผมเคยพูดถึง แต่ก็จับได้แค่พวกลูกน้องของมัน ยังไม่สามารถจับตัวหัวหน้ามันได้ ทางสภาเวทมนตร์จึงเปลี่ยนคำสั่งให้ส่งต่องานนี้กับอีกทีมเพราะเกรงว่าหัวหน้าของพวกมันจะจำหน้าของทีมพี่แมทได้ทุกคนแล้ว



        ผมฟังทุกคนสลับกันเล่าเรื่องนู้นเรื่องนี้ให้ฟัง เพราะไม่บ่อยนักที่จะได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาแบบนี้



        “ไหนๆวันนี้ก็อยู่กันครบแล้ว มาเล่นซ่อนหากันดีกว่า” ลุงแม็กซ์ถามขึ้นหลังจากทุกคนนั่งพักผ่อน พูดคุยเรื่องสัพเพเหระกันในห้องรับแขก ซึ่งการเล่นซ่อนหาของพ่อมดแม่มดจะไม่เหมือนการเล่นซ่อนหาของมนุษย์ซะทีเดียว โดยวิธีการเล่นคือ เริ่มต้น...ทุกคนจะมีลูกไข่ธาตุที่มีชื่อตัวเองถูกสลักเอาไว้คนละ 1 ลูก โดยลูกไข่จะมีขนาดเท่าไข่ไก่ แต่ละลูกจะมีธาตุแตกต่างกันไปตามจะสุ่มได้



        ใน 30 นาทีแรกทุกคนต้องเอาลูกไข่ธาตุไปซ่อนในขอบเขตที่กำหนด หลังจากนั้นจะเริ่มหาลูกไข่ธาตุของคนอื่นๆ โดยในระยะเวลา 60 นาที ถ้าใครหาลูกไข่ธาตุของคนอื่นๆและปลดธาตุออกได้มากที่สุดจะเป็นผู้ชนะ และในระหว่างการแข่งขัน สามารถใช้เวทมนตร์ได้ทุกรูปแบบ นั่นคือคนที่มีทั้งประสบการณ์และความรู้มักจะเป็นผู้ที่ได้เปรียบกว่า เรียกได้ว่าผมอ่อนหัดที่สุดในครอบครัวตอนนี้เลยก็ว่าได้ ส่วนของรางวัลของผู้ชนะก็แล้วแต่ตกลงกันเป็นครั้งๆไป



        การหาลูกไข่ธาตุว่ายากแล้ว แต่การปลดธาตุนั้นยากกว่า เพราะจะต้องใช้ธาตุที่ชนะทางอีกธาตุมาปลด เช่นธาตุน้ำปลดธาตุไฟ ธาตุไฟปลดธาตุลม และอย่างที่ผมบอกไปว่าตระกูลผมเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านธาตุดิน การจะเรียกใช้ธาตุอื่นจึงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก อาจจะต้องใช้อุปกรณ์เข้าช่วย เช่นธาตุไฟก็ต้องจุดไฟขึ้นมา ซึ่งนั่นจะเป็นการระบุตำแหน่งให้คนอื่นๆ หาตัวเราได้ง่ายขึ้น จึงต้องใช้ความระมัดระวังและความรอบคอบให้มากที่สุด ดูเหมือนคนที่ได้เปรียบที่สุดในสนามจะเป็นพี่แมทธิว เพราะสามารถเรียกใช้ทั้งธาตุดินและสายฟ้า ซึ่งเป็นธาตุติดตัวของป้าคาร่า ส่วนผมกับคุณตาสามารถใช้ธาตุพืชได้ ซึ่งธาตุพืชไม่ได้ชนะธาตุไหนเป็นพิเศษแต่แพ้ธาตุไฟ คงต้องวัดดวงกับลูกไข่ธาตุ และไหวพริบในสนามเอา



        ถึงแม้ว่าผมจะอ่อนแอที่สุดในสนาม แต่ผมจะไม่ยอมแพ้หรอก ผมจะต้องชนะให้ได้



        เจอกันอีกทีวันอาทิตย์หน้าค่ะ ช่องทางการติดตาม/พูดคุยเป็นทางทวิตเตอร์ ชื่อ Lalalilda หรือ #TheArchwizard ค่ะ ฝากด้วยนะคะ  :mew1:

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Lalilda

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ตอนที่ 2


        “ปั้ง!!”

 

        พลุประกายสีเงินบนท้องฟ้าเป็นสัญญาณว่าเริ่มเกมได้ ผมมีเวลา 30 นาทีในการวางแผนซ่อนลูกไข่ธาตุ จะบอกว่าเป็นโชคร้ายก็ไม่ผิดที่ลูกไข่ธาตุของผมเป็นธาตุน้ำ ธาตุที่จะปลดลูกไข่ธาตุของผมได้ก็คือธาตุไฟฟ้า ซึ่งมีป้าคาร่ากับพี่แมทเป็นผู้ใช้ธาตุไฟฟ้า แต่ก็ใช่ว่าลุงแม็กซ์กับคุณตาจะปลดลูกไข่ธาตุของผมไม่ได้ ดังนั้นผมต้องระวังทุกคนไว้อยู่ดี

 

        ผมวางแผนให้ลีโอนำลูกไข่ธาตุไปซ่อน ส่วนผมจะไปสร้างสถานการณ์ล่อไปอีกฟากของป่า ให้ไกลจากตำแหน่งของลีโอที่สุด ผมเชื่อมือลีโออยู่แล้ว ถึงผมจะไม่ได้โดดเด่นเรื่องการใช้เวทมนตร์มากนัก จัดอยู่ในระดับปานกลางของพ่อมดแม่มดทั่วๆไป แต่ลีโอนั้นแตกต่างออกไปมาก ลีโอเป็นสัตว์ประจำตัวที่ดูภายนอกเหมือนแมวส้มประจำบ้านธรรมดาทั่วไป แต่ความสามารถด้านการใช้เวทมนตร์นั้นเทียบได้กับพ่อมดแม่มดเก่งๆเลย โดยเฉพาะความสามารถพิเศษในการกลายร่างเพื่อลอกเลียนแบบของลีโอ สามารถก็อปปี้ได้ทั้งเวทมนตร์ รูปร่างหน้าตาและความสามารถของทุกสิ่งทุกอย่าง ภายใต้เงื่อนไขเพียงได้พบเห็นและจดจำรูปลักษณ์ รูปแบบการใช้พลังหรืออะไรก็แล้วแต่ ไม่มีอะไรบนโลกนี้ที่ลีโอเลียนแบบไม่ได้ อีกทั้งยังเก่งเรื่องการแกะรอยเป็นที่สุด

 

        แต่ก็ใช่ว่าความสามารถของลีโอจะไร้ที่ติเสมอไป เพราะของเลียนแบบยังไงก็เป็นของเลียนแบบอยู่ดี มันไม่ได้สมบูรณ์แบบเสมอไป แต่ก็ยังถือว่าเป็นความสามารถที่มีประโยชน์มากในสถานการณ์คับขันหรือเร่งด่วนที่ส่วนใหญ่มักจะมองข้ามรายละเอียดต่างๆหรืออาจจะกำลังตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่ลีโอเลียนแบบ กว่าจะรู้ตัวว่าโดนลีโอหลอกก็โดนซื้อเวลาเสร็จแมวไปซะแล้ว เว้นก็แต่คนในครอบครัวนี่ละ ที่จับทางได้อยู่เสมอ เพียงแต่จะช้าจะเร็วเท่านั้น

 

        ผมกวาดมือร่ายเวทมนตร์ใช้กลิ่นดินกลบกลิ่นของลีโอเพื่อไม่ให้ถูกตามตัวง่ายๆ ก่อนจะมุ่งหน้าไปอีกฟากตรงข้ามกัน ซึ่งขอบเขตของการเล่นเกมครั้งนี้คือทั้งหมดของอาณาบริเวณบ้านหลังนี้ ซึ่งมีพื้นที่ที่กว้างมากขนาดที่ว่าคนปกติเดินทั้งวันทั้งคืนก็ยังไม่ครอบคลุม

 

        ซึ่งเพื่อรักษาปอดของเมืองนี้ไว้ คุณตาจึงต้องผนึกพื้นที่ป่ากลางใจเมืองไว้ในบริเวณบ้าน พื้นที่ทั้งหมดถูกคุณตากว้านซื้อไว้ตั้งแต่เข้ามาตั้งรกราก ตอนนั้นตรงนี้ยังเป็นเพียงเมืองบางกอกในสมัยกรุงธนบุรี โดยสมัยก่อนคุณตาใช้ข้าวสารเพียงไม่กี่กระสอบแลกกับที่ดินได้ตั้งหลายสิบร้อยผืน ยุคนั้นเป็นยุคข้าวยากหมากแพง เลยเข้าทางคุณตาที่เป็นผู้ชำนาญธาตุพืช ปลูกจับอะไรก็ขึ้นเป็นเงินเป็นทองไปหมด หลังจากนั้นคุณตาค่อยๆรวมและผนึกแผ่นดินทีละนิดๆ ซึ่งไม่เป็นที่สังเกตของคนสมัยก่อนเพราะยังไม่มีเทคโนโลยีอะไรที่วัดได้จริงเหมือนอย่างสมัยนี้ ก่อนจะเปลี่ยนผืนดินเปล่าเป็นป่าผืนใหญ่ที่ผมกำลังยืนอยู่

 

        ไม่เพียงแค่ผืนดินในบริเวณบ้าน ที่ดินทั้งในและนอกเมือง รวมทั้งสิ่งของมีค่าที่ปัจจุบันไม่สามารถประเมินมูลค่าได้ คุณตาก็เก็บรวบรวมไว้ทั้งหมด ถ้าเอาทรัพย์สินที่คุณตามีมากางนับกันจริงๆ อันดับบุคคลที่รวยที่สุดในประเทศนี้คงต้องมีเปลี่ยนแปลงกันบ้างแหละ แต่ต่อให้ร่ำรวยขนาดไหน คุณตาก็ใช้ชีวิตเรียบง่ายปกติเสมอ

 

        “เปรี้ยง!!”

 

        เสียงฟ้าผ่าดังสนั่นหวั่นไหวพร้อมกับแสงสีฟ้าสว่างวาบทั่วทั้งฟากฟ้า มันมาจากทิศที่ผมกำลังจะเดินทางไป ไม่แน่ใจว่าเป็นการร่ายเวทมนตร์ป้องกันบริเวณหรือทำอะไรซักอย่างของป้าคาร่าหรือของพี่แมท

 

        “ตุ๊บ ตุ๊บ ตุ๊บ ตุ๊บ”

 

        ปรากฏเสียงกระทบกับพื้นดินสนั่นจากอีกฟากของป่า ผมย่อตัวลงใช้มือสัมผัสกับดินเพื่อประเมินว่าเกิดอะไรขึ้น

 

        “ทหารดินของลุงแม็กซ์ ต้องใช่แน่ๆ เอาจริงกันทุกคนเลยนะ เห็นทีจะไม่ง่ายแล้วเรา”

 

        ผมพึมพำกับตัวเองเบาๆ ก่อนใช้สมองอันชาญฉลาดคิดหาทางชนะในเกมนี้ จริงๆอย่าว่าแต่เอาชนะเลย...บางทีแค่เอาตัวรอดยังยาก ความมั่นใจเมื่อ 15 นาทีที่แล้วหายไปไหนหมดก็ไม่รู้

 

        ทหารดินคือหุ่นที่ทำขึ้นมาจากดิน มีความแข็งแรง ต้านทานเวทมนตร์สูง เป็น 1 ในเวทมนตร์ที่ลุงแม็กซ์ถนัดเอามากๆ คิดว่าลุงแม็กซ์น่าจะสร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องลูกไข่ธาตุของตัวเอง ถึงแม้ว่าครอบครัวผมจะมีความสามารถในการใช้ธาตุดิน แต่กับทหารดินนั้น มีเพียงเจ้าของที่สามารถบังคับและควบคุมพวกมันได้ ข้อเสียของการสร้างทหารดินคือผู้ร่ายจะต้องมีพลังเวทมนตร์อยู่ในระดับที่สูง เพราะต้องใช้พลังเวทมนตร์ส่วนนึงในการควบคุมทหารดินตลอดเวลา นั่นคือถ้าผู้ร่ายไม่ได้มีความชำนาญหรือพลังเวทมนตร์สูงมากพอ ทหารดินอาจจะกลายเป็นเพียงดินปั้นธรรมดาๆ ไร้ประสิทธิภาพ

 

        ถ้าให้เลือกระหว่างสนามไฟฟ้ากับทหารดิน ผมเลือกสนามไฟฟ้าดีกว่า เพราะมันยังมีวิธีจัดการอยู่บ้าง ขออย่าให้ตาเรียกไอตัวนั้นออกมาก็แล้วกัน แค่นี้ก็เป็นงานหินสำหรับผมมากพอแล้ว

 

        ผมมุ่งหน้าไปยังทิศที่ปรากฏแสงไฟฟ้าวูบวาบเป็นระยะๆ รอจังหวะพลุสีทองยิงขึ้นฟ้าอีกครั้งเป็นสัญญาณให้เริ่มหาลูกไข่ธาตุได้ ในใจภาวนาให้ลีโอไม่ต้องเจออุปสรรคใดๆ จะได้ไม่โดนปลดลูกไข่ธาตุเสียก่อน

 

        สัญญาณพลุสีทองอร่ามทั่วทั้งท้องฟ้า นั่นคือได้เวลาเริ่มหาลูกไข่ธาตุแล้ว ข้างหน้าผมเป็นลานหญ้ากว้างๆ มีสนามไฟฟ้าขนาดกว้างครอบคลุมระยะของสนาม มีฟ้าผ่าลงมาเป็นระยะๆ แต่ไร้เงาของป้าคาร่าหรือพี่แมทจากระยะสายตาของผม เป็นไปได้ว่าจะมีลูกไข่ธาตุอยู่ตรงกลางของสนาม ดังนั้นจะต้องหยุดฟ้าผ่านี่ก่อน ถึงแม้ความแรงของกระแสไฟฟ้าจะไม่ได้ถึงขั้นเอาชีวิต แต่ถ้าโดนไปซักทีก็คงจุกอยู่ชั่วขณะ

 

        ผมกวาดมือร่ายเวทมนตร์เสกลูกบอลสายล่อฟ้าออกมา มันเป็นไอเทมทางวิทยาศาสตร์ที่ผมเคยผลิตเอาไว้ โดยได้ไอเดียจากการประดิษฐ์สายล่อฟ้า เลยนำมาดัดแปลงทำออกมาในรูปแบบของลูกบอล โดยจะมีปลายแหลมโผล่พ้นลูกบอลใสๆ ออกมาเล็กน้อย ซึ่งจะเป็นตัวล่อประจุไฟฟ้าผ่าลงมานำไปยังพื้นดิน

 

        เพราะประสบการณ์จากหลายๆครั้งที่ผ่านมา ทำให้ผมประดิษฐ์สิ่งนี้ไว้รับมือกับธาตุไฟฟ้า ผมเรียกออกมา 5 ลูกก่อนควบคุมให้มันเข้าไปในสนามเป็นรูป 5 เหลี่ยม เพื่อล่อฟ้าผ่าให้ผมเดินเข้าไปในสนามหญ้าได้ง่ายๆ

 

        ทันทีที่ลูกบอลลอยเข้าไปในสนาม กระแสสายฟ้าก็พุ่งไปยังลูกบอลตามที่ผมคิดไว้ทันที ผมรีบเดินเข้าไปยังกลางสนาม โดยที่มือข้างหนึ่งยังคงควบคุมลูกบอลทั้ง 5 ไว้

 

        มาถึงตรงนี้อาจสงสัยว่าวิธีการร่ายมนตร์ของพ่อมดแม่มด ไม่ต้องใช้ไม้กายสิทธิ์เหมือนในหนังหรอกหรอ? คำตอบก็คือ ไม่จำเป็น วัตถุจำพวกไม้กายสิทธิ์ ไม้เท้า คฑา ลูกบอลเวทมนตร์หรืออะไรก็แล้วแต่ที่เคยได้ยิน ล้วนเป็นสิ่งที่ผลิตออกมาทีหลังเพื่อช่วยให้เราสามารถร่ายเวทมนตร์ได้ถนัดขึ้นเท่านั้นเอง ซึ่งได้รับความนิยมแตกต่างออกไปในแต่ละประเทศ แต่วัตถุพวกนั้นไม่ได้ทำให้ประสิทธิภาพของเวทมนตร์สูงขึ้นหรือต่ำลง ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความถนัดที่ถูกฝึกมา

 

        เพราะเดิมทีพ่อมดแม่มดสามารถร่ายเวทด้วยมือเปล่าได้ตามใจนึก เพียงแค่ใช้มือควบคุมกระแสเวท ไม่ต้องมีคาถาเหมือนอย่างในหนัง แต่จำเป็นต้องมีการจัดระเบียบและลำดับความคิดให้ถูกต้อง สมาธิแน่วแน่และมั่นคง

 

        เหมือนจะง่ายแต่ทุกอย่างก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น จึงต้องมีโรงเรียนสอนเวทมนตร์เพื่อฝึกการใช้เวทมนตร์ให้คล่องแคล่วและถูกต้อง เพราะแต่ละคนใช้เวทมนตร์ได้ไม่เหมือนกัน เวทมนตร์บางชนิดก็แทบจะไม่เคยถูกพบเจอ ไม่เคยมีบันทึกในประวัติศาสตร์ของพ่อมดแม่มด ดังนั้นการเรียนในโรงเรียนโดยมีครูผู้เชี่ยวชาญช่วยสอนการจัดระเบียบความคิดจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อดึกศักยภาพเวทมนตร์ออกมาได้สูงสุด

 

        ซึ่งการร่ายเวทของแต่ละคนก็แตกต่างออกไป ลักษณะท่าทางการบังคับควบคุมเวทมนตร์ด้วยมือของแต่ละคนจึงแตกต่างตามความถนัด อย่างของคุณตาจะดูนิ่งแต่ทรงพลัง ถึงแม้จะไม่ค่อยได้เห็นคุณตาร่ายเวทบ่อยๆ แต่นับว่าเป็นจอมเวทที่มีท่วงท่าการร่ายเวทที่เป็นเอกลักษณ์ และสง่างามเป็นที่สุด

 

        ผมเดินเข้ามาถึงกลางสนาม กลับไม่พบลูกไข่ธาตุกลางสนามหญ้านี้เลย ผมใช้มือขวาควบคุมลูกบอลไว้ ก่อนใช้มือซ้ายร่ายเวทหาลูกไข่ธาตุ พยายามสัมผัสถึงแต่กลับไม่รู้สึกอะไรเลย สงสัยคงจะโดนใครซักคนหลอกเข้าแล้ว

 

        ทันทีที่คิดออกก็ดูเหมือนจะช้ากว่าใครซักคนไปหนึ่งก้าว เพราะปรากฏร่างของพี่แมทบินลอยขึ้นเหนือฟ้า ตรงเท้ามีไฟฟ้าวูบวาบบินพุ่งไปอีกทาง เป็นทิศทางเดียวกับที่ผมให้ลีโอเอาลูกไข่ธาตุไปซ่อนไว้

 

        “ตกหลุมพรางพี่แมทจนได้”

 

        สำหรับพี่แมท เป็น 1 ในพ่อมดของกระทรวงที่อยู่ในระดับหัวกะทิ สามารถใช้ธาตุไฟฟ้าประคองตัวเองให้ลอยอยู่ในอากาศแล้วเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง ซึ่งไม่ใช่พ่อมดแม่มดทุกคนที่จะสามารถใช้เวทมนตร์แบบนี้ได้ เพราะมันค่อนข้างซับซ้อน ต้องจัดระเบียบความคิดให้ดี ผ่านการคำนวณทุกอย่างจนสามารถประคองตัวเองบนอากาศได้ แม้แต่มนุษย์ที่สามารถคิดค้นเครื่องบินลำใหญ่ให้ลอยอยู่บนท้องฟ้าและเคลื่อนที่ได้เป็นวันๆ ยังไม่สามารถคำนวณและประดิษฐ์อุปกรณ์ที่ทำให้เราลอยอยู่บนอากาศได้อย่างมั่นคงเลย

 

        ในครอบครัวผม...นอกจากคุณตาก็มีพี่แมทที่สามารถเคลื่อนที่บนอากาศได้ แม้แต่ลุงแม็กซ์กับป้าคาร่าที่เป็นครูสอนเวทมนตร์ยังไม่สามารถใช้เวทมนตร์ประเภทนี้ได้อย่างสมบูรณ์เลย

 

        "ลีโอ ระวังพี่แมทด้วยละ เขาพุ่งไปทางนั้นแล้ว"

 

        ผมพูดใส่หูฟังบลูทูธไร้สายที่ผมกับลีโอใช้ติดต่อสื่อสารกัน ใช่ว่าเป็นพ่อมดแล้วต้องใช้เวทมนตร์ตลอดเวลา เครื่องทุ่นแรงอะไรที่มนุษย์สร้างขึ้นมาแล้วสะดวกกว่าการใช้เวทมนตร์ ผมก็ประยุกต์มาใช้ทั้งหมดนั่นละ เผลอๆสะดวกกว่าใช้เวทมนตร์ด้วยซ้ำ แล้วถึงลีโอจะเป็นแมวแต่ก็สามารถสวมหูฟังและใช้มือถือผ่านคำสั่งเสียงเหมือนมนุษย์ได้ ต้องชื่นชมมนุษย์อีกเช่นกันที่คิดค้นระบบสั่งการด้วยเสียงออกมา น่าเสียดายที่ระบบทัชสกรีนไม่รองรับอุ้งเท้าแมว

 

        "หายห่วงมิ ดูแลตัวเองด้วยนะ"

 

        ผมหยุดควบคุมลูกบอลก่อนจะเสกเก็บไว้ตามเดิม เตรียมตามพี่แมทไป แต่ทันใดนั้นเอง...

 

        "ฟืบ ฟืบ ครืดดดดด"

 

        เสียงเคลื่อนไหวของสัตว์ประจำตัวที่ผมคุ้นเคยกำลังเลื้อยเข้ามาในระยะสายตาไม่ไกลนัก สารภาพเลยว่าเป็นสิ่งที่ผมไม่อยากเจอที่สุดในเกมนี้ ไม่กี่อึดใจก็ปรากฏเป็นบาซิลิสก์ตัวใหญ่อยู่เบื้องหน้า กำลังเคลื่อนที่ข้ามา ปิดทางเดินไว้จนมิด

 

        “วีเซิล!!”

 

        วีเซิลเป็นบาซิลิสก์ สัตว์ประจำตัวของคุณตา ปกติจะมีนิสัยใจดีกับคนในครอบครัวแต่จะดุร้ายกับคนนอก นานๆคุณตาจะเรียกออกมาซักที เพราะรูปร่างขนาดตัวที่ทั้งยาวและใหญ่เกินกว่าจะอยู่ในบ้านด้วยกันได้ วีเซิลจึงอาศัยอยู่ในถ้ำดินที่ตั้งอยู่กลางป่า ส่วนใหญ่จะจำศีลและคอยดูแลความเรียบร้อยของป่าผืนนี้

 

        ที่คุณตาให้ชื่อว่าวีเซิลเพราะว่ากันว่าตามตำนาน...บาสิลิสก์จะกลัววีเซิลหรือเพียงพอน แต่ไม่ใช่เจ้าบาสิลิสก์ตัวนี้ เพราะมันถูกฝึกจนไร้ขอบเขต ไร้ซึ่งความกลัวใดๆ วีเซิลสามารถเข้าใจภาษามนุษย์แต่ไม่สามารถพูดได้

 

        "ตาจริงจังไปไหมเนี๊ยะ!!! "

 

        ผมสบถกับตัวเองก่อนมองไปยังทางที่ถูกขวางไว้มิด ลำตัวของวิเซิลเป็นเกล็ดสีทอง เพียงแค่เห็นก็รู้สึกขนลุกไปทั้งตัว ส่วนหัวมีหงอนเล็กๆ คล้ายมงกุฎ มองเผินๆคล้ายพญานาคของฝั่งเอเชีย แต่ต่างกันตรงบาสิลิสก์จะมีขาและปีก คล้ายไก่ผสมงู ดวงตาของมันกลมโตมีแววดุร้าย ต่อให้มันไม่ทำร้ายผม แต่ก็อดสยองทุกครั้งที่เจอไม่ได้ เพราะเพียงแค่สบตามัน ก็สามารถถูกสาปให้เป็นหินได้ในทันที แถมฟันทุกซี่ก็ยังแหลม มีพิษร้ายแรงทุกซี่

 

        “อย่าขวางเลยหน่า ยังไงวันนี้มิก็ต้องชนะ”

 

        วีเซิลมองหน้าฉงนก่อนเอียงคอไปมา

 

        “งั้นไม่เกรงใจละนะ”

 

        ต่อให้ฟังดูเหมือนผมจะไม่กลัว แต่จริงๆแล้วผมกลัวเจ้านี่มาก เพียงแต่มั่นใจได้อย่างนึงว่าวีเซิลไม่ทำร้ายผมแน่นอน ผมยกมือขึ้นร่ายเวทเรียกเถาวัลย์มารัดที่ขาทั้งสองข้างของมันไว้กับที่ แล้วเรียกไม้เลื้อยขึ้นมาปิดตาเอาไว้

 

        แต่ยังไม่ทันจะปิดตาได้สำเร็จ มันก็กระพือปีกบินขึ้นให้หลุดออกจากเถาวัลย์ไม้ที่ผมควบคุมอยู่ ด้วยพละกำลังมหาศาลและขนาดลำตัวที่ใหญ่ ทำให้ผมควบคุมได้ลำบากมากๆ

 

        ผมเพิ่มความแข็งแรงของเถาวัลย์ไม้และเรียกดอกอุตพิตปล่อยกลิ่นเหม็นฉุน อย่างน้อยแค่ทำให้วีเซิลยอมเปิดทางให้ผมผ่านก็ยังดี และเหมือนได้ผลเพราะวีเซิลเหมือนจะยอมอ่อนแรงลง

 

        "ถ้ายังไม่ถอย จะเรียกมาเยอะๆเลย"

 

        เมื่อเห็นว่าได้ผล ผมก็เสกดอกอุตพิตออกมาจนเต็มพื้นที่ไปหมด จนผมเองก็ชักจะทนกลิ่นมันไม่ไหวแล้วเหมือนกัน ส่วนวีเซิลที่ดูจะอ่อนแรงลง สุดท้ายก็ใช้กำลังสลัดเถาวัลย์จนขาด แล้วบินขึ้นฟ้าไป พร้อมกับกระพือปีกยกใหญ่จนพัดกลิ่นตีกลับเข้าจมูกผม ตลบอบอวลไปหมด

 

        ถึงวีเซิลจะฉุดกระชากเถาวัลย์จนขาดไปหมด แต่ก็นับว่าได้ผลเพราะเหมือนเป็นการเปิดทางให้ผมกลายๆ

 

        ผมร่ายเวทเรียกดอกงิ้วป่าขึ้นตามตัวของวีเซิลจนเต็มไปหมด อย่างน้อยเจ้าตัวนี้ก็คงถ่วงเวลาให้ผมได้ซักแปบละนะ ผมรีบวิ่งไปยังทิศที่พี่แมทตามลีโอไป ก่อนนับในใจเบาๆว่า

 

        “1…..2…..3”

 

        ทันทีที่นับจบ ก็มีเสียงบินหวื่อของผึ้งจำนวนหนึ่งบินไปยังวีเซิลเพื่อตามดอกงิ้วป่าบนตัวมัน อาจจะทำอะไรวีเซิลไม่ได้แต่ก็คงกวนใจ ถ่วงเวลาได้หน่อยนึงก็ยังดี

 

        ผมไม่รู้พิกัดแน่ชัดของลีโอซะด้วยสิ จะหายตัวไปหาด้วยเวทมนตร์เคลื่อนย้ายก็คงจะไม่ได้ เดินทางบนอากาศก็ไม่ได้ ทางเดียวที่ทำได้ดีที่สุดตอนนี้คือเดินและวิ่งให้เร็วที่สุด เดินมาได้ซักระยะก็เห็นเจ้าวีเซิลบินขึ้นฟ้าไปอีกฟากนึง คนละฟากกับที่ผมกำลังจะไป ถ้าให้เดา วีเซิลคงไปเจอกับทหารดินของลุงแม็กซ์แหงๆ

 

        ผมกดต่อสายหาลีโอทันทีที่ทางสะดวก แต่ลีโอไม่ได้รับสาย อาจจะกำลังหลบหรือพรางตัวอยู่ ผมเลยรีบวิ่งไปให้เร็วที่สุด

 

        ผมเห็นพี่แมทจากแสงวูบวาบของไฟฟ้าจากระยะไกลๆ ตอนนี้ผ่านไปแล้ว 25 นาที เหลืออีก 35 นาทีที่ต้องเอาตัวให้รอดจากพี่แมท ถ้าครั้งนี้จะไม่ชนะ ก็ต้องไม่แพ้ให้ใคร!

 

        ผมรีบวิ่งไปหาพี่แมท ดูเหมือนพี่แมทจะกำลังร่ายเวทสายฟ้าลงพื้นเหมือนสุ่มเอาโดยไม่มีแบบแผนและเหมือนพี่แมทเองก็จะรับรู้ว่าผมมาถึง จึงหันหน้ากลับมา

 

        “ไงตัวแสบ มาแล้วหรอ”

 

        “พี่แมทกำลังทำอะไร” ผมถามกลับไปอย่างสงสัย

 

        “กำลังไล่จับแมว คิดว่าคงอยู่แถวๆนี้แหละ”

 

        ผมมองยังรอบๆ ตัวตอนนี้เป็นสวนแอปเปิ้ลที่คุณตาปลูกขึ้น โดยพี่แมทร่ายเวทไฟฟ้าสุ่มพื้นที่ไปเรื่อยๆ ผมเองก็รู้สึกได้ว่าลีโอจะต้องอยู่แถวๆนี้

 

        ผมปรายตามองค้นตัวของพี่แมท คิดว่าลูกไข่ธาตุของพี่แมทคงไม่ได้อยู่กับตัวเป็นแน่ ตอนนี้จะไปวิ่งหาจากอีกสามคนที่เหลือ ก็ดูจะมีโอกาสแพ้มากกว่าการอยู่ช่วยลีโอตรงนี้ ยังไงสองแรงก็ดีกว่าหนึ่ง

 

        เมื่อคิดได้แบบนั้นผมจึงกวาดมือร่ายเวทให้ดินตรงเท้าเป็นแท่นสูงขึ้นอยู่ในระดับเดียวกันกับพี่แมท

 

        “งั้นเดี๋ยวผมช่วยหานะพี่”

 

        จบประโยคผมก็บังคับก้อนหินเจ็ดก้อนขนาดเท่ากำปั้นอัดเข้าไปที่พี่แมทไม่ยั้ง โดยพี่แมทไม่ทันตั้งตัว แต่ชั่วพริบตาเดียว พี่แมทก็เรียกโล่ดินออกมารับการโจมตี รวดเร็วสมกับเป็นคนของสภาเวทมนตร์จริงๆ

 

        “เล่นทีเผลอหรอมิเกล”

 

        ผมยักไหล่ไม่รู้ไม่ชี้ก่อนจะเรียกหมัดดินเสยพี่แมทขึ้นกลางอากาศ แต่ด้วยความรวดเร็วของพี่แมท จึงหลบออกไปได้อย่างฉิวเฉียด

 

        “เอางี้เลยหรอ แปลว่าลีโอต้องอยู่แถวนี้จริงๆ ฮ่าฮ่าฮ่า”

 

        แล้วพี่แมทก็ลอยขึ้นสูงไปอีกก่อนจะร่ายเวทเสกฟ้าผ่ามาที่ผมจังๆ ผมเลยต้องกระโดดหลบโดยเรียกแท่นดินออกมารับไม่ให้เสียจังหวะตกลงไป

 

        จังหวะนี้จะใช้เถาวัลย์ขึ้นไปรัดขาก็คงจะเปล่าประโยชน์ พี่แมทหลบได้แน่นอน ตั้งแต่เด็กจนโตผมไม่เคยสู้ชนะพี่แมทเลยแม้แต่ครั้งเดียว ยิ่งตอนโตที่พี่แมทฝึกตัวเองจนสามารถประคองตัวอยู่กลางอากาศได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะล้มพี่แมท เพราะธาตุที่ผมใช้ทั้งดินและพืช จะได้ผลดีกว่ามากถ้าอีกฝ่ายอยู่บนพื้น

 

        และในระหว่างที่ผมกำลังคิดไม่ตกว่าจะทำอย่างไรกับพี่แมทดี หางตาผมก็เหลือไปเห็นต้นแอปเปิ้ลต้นหนึ่งที่ดูจะแปลกๆไป ไม่ได้แปลกด้วยรูปร่างลักษณะของมัน แต่ผมจำได้ว่าเมื่อสักครู่ตำแหน่งมันออกจะเยื้องๆไปอีกฝั่ง มันดูเหมือนจะเคลื่อนย้ายตัวเองได้

 

        ผมรู้โดยทันทีว่าต้องเป็นเจ้าลีโอแน่ๆ แนบเนียนและคาดไม่ถึงจริงๆ เลือกที่จะปลอมเป็นต้นแอปเปิ้ลเพราะรู้อยู่แล้วว่าพี่แมทคงไม่ร่ายเวทไฟฟ้าใส่ต้นไม้ของคุณตา ผมแอบขยิบตาให้หนึ่งที ก่อนจะหันไปหาพี่แมท

 

        “พี่แมทขี้โกง”

 

        ถ้าดึงดันจะสู้ต่อไปก็มีแต่อาจจะเหนื่อยและแพ้ไป สู้ถ่วงเวลาด้วยฝีปาก ตีบทมึนแบบนี้ดีกว่า

 

        “อะไรกัน สู้ไม่ได้ก็งอแงอีกแล้วหรอ”

 

        “ไม่ได้งอแงซักหน่อย แน่จริงก็อย่าบินขึ้นไปสูงสิ ลงมาสู้บนพื้น” ผมตีรวนพูดไปก่อน

 

        “มิก็ขึ้นมาสู้ข้างบนนี่สิ”

 

        “ผมขึ้นไปได้ที่ไหนล่ะ” พูดจบก็เรียกหมัดดินขึ้นไปเสยพี่แมททีเผลอทันที

 

        แต่พี่แมทก็เหมือนจับทางและรู้ทันผมตลอด เลยใช้หมัดดินของตัวเองทำลายหมัดของผม จนแตกสลายออกเป็นก้อนดินร่วงลงมา ผมใช้จังหวะนี้ บังคับก้อนหินขึ้นไปโจมตีพี่แมท แต่ก็ถูกสกัดด้วยสายฟ้าของพี่แมท ยิงร่วงหมดเลย

 

        “ใครกันแน่ที่ขี้โกง ชอบเล่นทีเผลอ”

 

        พี่แมทพูดด้วยอารมณ์ขัน แต่ผมเริ่มกลับไม่ขำซะแล้ว เพราะทำอะไรพี่แมทไม่ได้เลย แม้กระทั่งหมัดดินของผมยังสู้หมัดดินของพี่แมทไม่ได้ ต่อให้ผมเพียรฝึกขนาดไหน แม้แต่การใช้ธาตุเดียวกันสู้ ผมก็แพ้พี่แมทเสมอ

 

        “ก็ถ้าไม่ทำแบบนี้ผมจะสู้พี่ได้ไหมละ”

 

        ผมรู้สึกเหมือนเลือดขึ้นหน้าไม่รู้เพราะความรู้สึกพ่ายแพ้ที่เก็บสะสมมา หรือ ถูกยั่วโมโหกลับจนกลายเป็นฝ่ายหัวร้อนไปซะเอง ทั้งๆที่ตั้งใจจะยั่วอีกฝ่ายแท้ๆ

 

        ตอนนี้ทั้งทั้งคุณตา ลุงแม็กซ์ และป้าคาร่าก็เดินเข้ามาร่วมวงดูผมกับพี่แมทซะแล้ว แปลว่าใกล้จะหมดเวลาเต็มที

 

        “สู้ไม่ได้ก็เลยต้องทำแบบนี้งั้นสิ” ดูเหมือนพี่แมทเองก็ยังไม่เลิกยั่วโมโหผม จนผมชักจะเริ่มทนไม่ไหวแล้ว

 

        “ก็ผมไม่ได้มีพ่อแม่คอยสอนเหมือนพี่หนิ”

 

        ไม่รู้จะด้วยอารมณ์หรือเป็นสิ่งที่สะสมอยู่ในใจว่าผมด้อยกว่าพี่แมทเสมอ ต่อให้ทุกคนจะให้ความรัก ความอบอุ่น ทดแทนที่ผมไม่เคยได้รับมันจากพ่อกับแม่ แต่ลึกๆแล้วผมก็ยังรู้สึกขาดจนพาลอิจฉาพี่แมทอยู่ดี

 

        “อย่าพูดแบบนั้นมิเกล”

 

        คราวนี้เป็นเสียงของลุงแม็กซ์ปรามขึ้นมาอย่างไม่พอใจ ลุงแม็กซ์รักแม่ของผมมาก เพราะมีกันอยู่แค่สองพี่น้อง ลุงแม็กซ์จึงมักจะบอกให้ผมกับพี่แมทรักกันไว้เหมือนอย่างลุงแม็กซ์กับแม่ของผม และมักจะบอกผมเสมอว่าแม่ของผมเสียสละให้ผมได้มีชีวิตอยู่ ซึ่งนั่นไม่ได้ทำให้ผมดีใจเลยซักนิด

 

        และในจังหวะที่ผมกำลังสับสนทั้งอารมณ์โมโห น้อยใจ ทุกอย่างตีกันจนหัวแทบจะระเบิด พี่แมทก็ลอยเข้าไปใกล้ๆ กับลีโอที่ปลอมเป็นต้นแอปเปิ้ลอยู่ ก่อนทำท่าทางพินิจพิเคราะห์อย่างละเอียด

 

        ผมเห็นดังนั้นไม่รอช้า รีบวิ่งเข้าไปสวมกอดต้นแอปเปิ้ลต้นนั้น พร้อมตะโกนอย่างสุดเสียง

 

        “ลีโอ โยนลูกบอลออกไปซะ!!!!!!!”

 

        สิ้นเสียงของผมก็ปรากฏฟ้าผ่าลงมาเหนือหัวปะทะกับลูกไข่ธาตุของผม พร้อมกับเสียงพลุสีแดงประกายเหนือท้องฟ้าสว่างวาบเป็นสัญญาณว่าหมดเวลาพอดี

 

        ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ลูกไข่ธาตุตกลงมาเปล่งแสงนวลว่าถูกปลดธาตุถูกต้องเรียบร้อย ผมกอดลีโอไว้แนบอกจนสั่นไปหมด ทั้งความโกรธและความกลัวประดังเข้ามาไม่หยุด ผมไม่ได้กลัวแพ้แต่ด้วยความแรงของสายฟ้าของพี่แมทเมื่อครู่ ถ้าโดนลีโอเข้าไปเต็มๆคงจะเจ็บไม่น้อย

 

        “อยากชนะจนต้องรุนแรงขนาดนี้เลยหรอ ถ้าโดนลีโอขึ้นมาจริงๆ จะทำยังไง!”

 

        ผมพูดออกไปโดยไม่แม้แต่มองหน้าพี่แมท ก่อนจะอุ้มลีโอแล้วหายตัวกลับขึ้นมาบนห้องนอนที่บ้าน ไม่อยากเห็น ไม่อยากมอง ไม่อยากได้ยิน ไม่อยากพูดกับใครทั้งนั้น ช่วงเวลาแบบนี้ผมรู้สึกเหมือนผมตัวคนเดียว รู้ทั้งรู้ว่าเป็นความรู้สึกที่คิดและงี่เง่าไปเองล้วนๆ แต่มันก็อดคิดและรู้สึกแบบนั้นไม่ได้

 

        “เราขอโทษนะมิ เกือบจะสำเร็จอยู่แล้วเชียว” ลีโอพูดเสียงเบาหวิวอย่างรู้สึกผิดขณะอยู่ในอ้อมกอดผม

 

        ผมเพิ่งรู้สึกตัวว่ากำลังอุ้มลีโออยู่จึงได้ก้มไปมองก่อนจะวางเจ้าแมวส้มไว้บนเตียง

 

        “ลีโอเจ็บตรงไหนป่าว”

 

        ลีโอไม่ตอบเพียงแค่ส่ายหน้า ก่อนจะเดินมาคลอเคลียใกล้ๆ เพิ่งจะได้สังเกตชัดๆว่าลีโอสวมชุดพลาสติกกันไฟฟ้าทั้งตัว ซึ่งต่อให้โดนฟ้าผ่าขึ้นมาจริงๆก็คงจะไม่เป็นไร แต่ใช่ว่าพี่แมทจะรู้ว่าลีโอมีชุดกันไฟฟ้านี่นา

 

        “ลีโอใส่ชุดกันไฟฟ้าแล้วทำไมเมื่อกี้ถึงโยนลูกไข่ออกไปล่ะ ถ้าเก็บไว้ในเสื้อ ยังไงก็ไม่โดนไฟฟ้าอยู่ดีนี่นา”

 

        ผมถามด้วยความสงสัย

 

        “ก็เราตกใจเสียงมิหนิ” ลีโออ้อมแอ้มตอบ

 

        “โธ่ ไม่งั้นเราก็ไม่แพ้แล้วเนี๊ยะ”

 

        ผมพูดอย่างรู้สึกเสียดาย นี่ผมแพ้เพราะผมตื่นตูมไปเองหรอกหรอ ทั้งๆที่แผนของลีโอออกจะแนบเนียนแถมรอบคอบสองต่อแล้วแท้ๆ นอกจากพี่แมทจะไม่กล้าเสกฟ้าผ่าใส่ต้นแอปเปิ้ลของตาแล้ว ลีโอก็ยังป้องกันตัวด้วยชุดพลาสติกกันไฟฟ้าที่ผมเคยประดิษฐ์ให้อีก ช่างเป็นแมวที่ฉลาดอะไรเช่นนี้ แต่ต้องมาพลาดเพราะผมแท้ๆ

 

        “แต่ก็ทำให้รู้ว่ามิเป็นห่วงเรา” ลีโอตอบแบบอ้อนๆ อีกทั้งยังคลอเคลียเอาใจไม่หยุด “มิอย่าโกรธแมทเลยนะ แมทคงรู้อยู่แล้วว่าเราจะปลอดภัย อีกอย่าง..ถ้ามิไม่วิ่งมากอดเรา แมทก็คงได้แค่ยืนสงสัยจนหมดเวลา”

 

        “หึ ไม่ต้องมาแก้ตัวแทนเลย ลีโอก็เห็นว่าเราเอาชนะพี่แมทไม่ได้เลย”

 

        “ชนะไม่ได้ก็ฝึกอีกเยอะๆสิ หรือบางทีถ้ามิไปเรียนที่อินเดียหรือเกาหลีตามที่แม็กซ์บอก อาจจะเก่งขึ้นก็ได้นะ”

 

        “ไว้ค่อยคิดแล้วกันนะ เราไปแช่น้ำอุ่นกันเถอะ เหนียวตัวจะตายอยู่แล้ว” ตอนแรกว่าจะปรึกษาเรื่องนี้กับพี่แมท แต่ตอนนี้เปลี่ยนใจแล้ว เพราะของอนพี่แมทไปซักสองสามวัน ไปปรึกษาเพื่อนแทนดีกว่า

 

        ผมลากลีโอลงไปแช่อ่างน้ำเพื่อผ่อนคลายและทำความสะอาดร่างกายไปด้วย ได้ยินเสียงเคาะประตูกับเสียงเรียกแว่วๆ น่าจะเป็นพี่แมท แต่ผมก็ไม่ได้ตอบอะไรไป พอได้แช่น้ำอุ่นๆแบบนี้แล้วรู้สึกสบายตัว ทำให้หัวโล่งขึ้นเยอะ จนเกือบจะหายโกรธไปหมดแล้ว จริงๆการที่พี่แมทชอบพูดจายั่วโมโห เล่นกันแรงๆแบบนี้ ก็ไม่ใช่ครั้งนี้ครั้งแรก เป็นอยู่แบบนี้ตั้งแต่เด็กจนโตจนชินแล้ว เพียงแต่ครั้งนี้มันมีแวบนึงของความคิดที่คิดอะไรไม่เข้าท่า เลยทำให้อารมณ์มันเตลิดไปหน่อย

 

        ต่อให้พี่แมทจะชอบเล่นแรงๆกับผมเพราะเราเป็นผู้ชายทั้งคู่ แต่ผมก็รู้ว่าพี่แมทรักและเป็นห่วงผมที่สุด แต่ก่อนนี่เรียกว่าไม่ให้คลาดสายตาเลย จนกระทั่งผมเริ่มโตขึ้นมาหน่อย พร้อมกับพี่แมทรับตำแหน่งในสภาเวทมนตร์ทำให้พี่แมทปล่อยให้ผมมีอิสระมากขึ้น ความสัมพันธ์ของผมกับพี่แมทเลยออกมาในรูปแบบของน้องข้าใครห้ามแตะยกเว้นพี่แมทคนเดียว ก็เล่นแรงจนโดนคุณตาทำโทษบ่อยๆนั่นแหละ


 


ยังไงขอฝากเรื่อง The Archwizard ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะคะ ขอบคุณที่เปิดใจอ่านค่ะ เจอกันวันอาทิตย์หน้า


ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ HamsteR

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 140
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
สนุกดีครับ  o13

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
รีบมาต่อบ่อยๆนะ

รอติดตามม

ออฟไลน์ Lalilda

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ตอนที่ 3


   ผมเดินลงจากห้องนอนมาในตอนเช้า เมื่อคืนหลังจากได้แช่น้ำอุ่นจนสบายตัว สมองโล่งก็รีบนอน หลับสนิทยาวยันเช้า ตื่นมาก็รีบแปรงฟัน ล้างหน้าล้างตาเพราะได้กลิ่นอาหารเช้าหอมขึ้นไปยังห้องนอน



   “มอร์นิ่งจ่ะมิ มากินอาหารเช้ามา ป้ากำลังเตรียมให้อยู่” ป้าคาร่าโผล่ออกมาทักทายพร้อมรอยยิ้มสดใสรับยามเช้าจากในครัวที่ติดกับห้องทานข้าว



   “ครับป้า แล้วคนอื่นๆล่ะครับ”



   “คุณพ่อกับแม็กซ์ออกไปเดินเล่นข้างนอก ส่วนแมทธิวน่าจะยังไม่ตื่น มานั่งก่อนเถอะ” ป้าคาร่าพูดพร้อมกับเดินกลับเข้าไปจัดการอาหารเช้าในครัวต่อ



   แทนที่จะนั่งรอเหงาๆ ผมเลยเดินเข้าไปในครัวเผื่อป้าคาร่าจะมีอะไรให้ผมช่วย



   “ป้ามีอะไรให้ผมช่วยไหมฮะ”



   “ไม่มีจ่ะ สบายมาก ใกล้จะเสร็จเรียบร้อยแล้ว มิไปนั่งเถอะ ทานขนมปังรองท้องก่อนก็ได้” ป้าคาร่าพูดพร้อมกับกวนซุปครีมช้าๆ ส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั้งครัว



   “ผมยังไม่ค่อยหิว”



   ผมพูดก่อนชะโงกไปดูหน้าตาซุปในหมอที่เดือดเบาๆ จริงๆไม่ใช่ไม่หิวหรอก แต่ไม่อยากนั่งแกร่วอยู่คนเดียวต่างหาก เจ้าลีโอตื่นก่อนผมแล้วหายไปไหนก็ไม่รู้



   “ถ้าแมดิสันอยู่ตรงนี้ คงจะปลื้มในตัวลูกชายคนนี้เป็นที่สุด” อยู่ดีๆป้าคาร่าก็พูดถึงแม่ขึ้นมา ทั้งๆที่ปกติไม่ค่อยพูดถึงเท่าไหร่



   ผมเองก็ไม่ค่อยทราบรายละเอียดมากนัก ป้าคาร่าเคยเล่าให้ฟังว่าตัวเองเป็นเพื่อนสนิทกับแม่ของผม และได้แม่เป็นแม่สื่อให้ป้าคาร่ากับลุงแม็กซ์ลงเอยกัน



   “ป้าเล่าเรื่องแม่ให้ผมฟังหน่อยสิ ผมอยากฟัง”



   ผมพูดกับป้าด้วยสายตาอ้อนวอน นานๆทีป้าคาร่าจะยอมเล่าเรื่องของแม่ให้ผมฟัง ทุกคนในบ้านล้วนหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงแม่ของผมอยู่เสมอตั้งแต่ผมยังเด็ก จนเริ่มโตผมก็เลิกเซ้าซี้ที่จะถามถึงแม่เพราะถามไปก็ไม่มีใครพูดถึง ทุกคนพูดแต่เพียงว่าแม่จากไปแล้ว รวมถึงพ่อของผมด้วย



   “ฮ่าฮ่าฮ่า” ป้าคาร่าหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะมองออกไปยังสวนดอกไม้นอกหน้าต่าง “แม่ของมิเป็นแม่มดที่สวย สดใส ร่างเริง แถมยังเรียนเก่งมากๆ เรียกได้ว่าเป็นที่ 1 ของชั้นเรียนเลยก็ว่าได้ ป้ารู้จักกับแม่ของมิเพราะเมื่อก่อนป้าค่อนข้างขี้อาย ไม่มีเพื่อน ในขณะที่แมดมีแต่คนพยายามเข้าหา แต่แมดก็เลือกที่จะเข้ามาทำความรู้จักกับป้า แมดเป็นคนอัธยาศัยดี เป็นที่รักของทุกคนตั้งแต่เด็กๆ จนบางครั้งเวลาที่ป้าเห็นมิ ป้าไม่ได้รู้สึกว่าแมดจากไปไหน มิเหมือนกับแมดมาก เหมือนถอดแบบกันมาเลย”



   มันช่างเป็นเช้าที่ดีที่สุดสำหรับผมกับการได้รับรู้เรื่องราวของแม่ ที่นานๆจะมีใครสักคนพูดถึง แม้ขนาดคุณตายังเลี่ยงที่จะพูด ผมอยากให้แม่อยู่ตรงนี้บ้างจัง



   “แล้วพ่อผมละครับ ป้าคาร่าสนิทด้วยรึเปล่า”



   ป้าคาร่ายิ้มเจื่อนๆ ก่อนส่ายหน้าช้าๆ



   “ป้าไม่เคยเจอพ่อของมิเลย ตอนนั้นป้าย้ายตามครอบครัวไปอังกฤษ ได้เจอแมดครั้งสุดท้ายก็ตอนงานแต่งงานของป้า ส่วนแมดก็ออกเดินทางไปหลายประเทศ พอป้าเริ่มตั้งท้องแมทธิว ป้าก็อยู่อังกฤษยาวหลายปี ยิ่งสมัยนั้นไม่มีเทคโนโลยีเหมือนอย่างตอนนี้เลยทำให้ขาดการติดต่อกัน แม้แต่แม็กซ์เองก็ไม่ได้เจอแม่ของมิเพราะติดตามดูแลป้าตลอด จนแมทธิวเริ่มโตจนพอเดินทางได้ ป้าเลยวางแผนจะย้ายกลับมาที่นี่ ตอนนั้นแมดเริ่มตั้งท้องมิ แต่กว่าจะย้ายกลับมาเธอก็จากเราไปเสียแล้ว”



   “แฮ่ม!”



   เสียงกระแอมของลุงแม็กซ์ดังขึ้นขัดจังหวะ เห็นลุงแม็กซ์กับคุณตาเดินเข้ามาในครัวพร้อมกัน



   “มอร์นิ่งฮะ”



   ผมยิ้มให้ทั้งคู่ก่อนจะเดินไปนั่งที่เก้าอี้ตัวประจำทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ป้าคาร่าก็ยกทุกอย่างขึ้นโต๊ะ พร้อมกับพี่แมทที่ลงมาได้เวลาพอดี



   “ตื่นสายจัง”



   ผมแซวพี่แมท เป็นการส่งสัญญาณว่าหายโกรธเรื่องเมื่อคืนหมดแล้ว เลยโดนพี่แมทเขกกะโหลกเบาๆ หนึ่งที



   “พูดเหมือนตื่นเช้ามาก พนันได้เลยว่านายลงมาก่อนพี่ไม่ถึง 15 นาที”



   พี่แมทพูดพร้อมกับเดินมาเลื่อนเก้าอี้ข้างๆนั่ง



   เราทั้งหมดเริ่มทานอาหารเช้ากันอย่างครื้นเครง จะมีก็แต่คุณตาที่ดูจะขรึมกว่าปกตินิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้ทำให้บรรยากาศโดยรวมดูแย่ สรุปผลการแข่งขันเมื่อวานคือคุณตาชนะเพราะสามารถปลดลูกไข่ธาตุของป้าคาร่ากับลุงแม็กซ์ได้ ป้าคาร่าบอกว่าผมพลาดที่จะได้ให้เห็นการร่ายเวทของสุดยอดจอมเวท ที่แม้แต่ป้าคาร่าแทบจะไม่ทันตั้งตัว ผมเลยพูดอวดไปว่าผมสามารถจัดการกับเจ้าวีเซิลได้ แต่กลับโดนพี่แมทหัวเราะเยาะบอกว่าเพราะวีเซิลตั้งใจจะปล่อยผมไปต่างหาก ซึ่งก็คือเรื่องจริง



   หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว ผมตั้งใจว่าจะไปหาฟาติมากับฟารีดา คู่แฝดคู่ซี้ของผมเอง พี่แมทคงน่าจะอยู่บ้านกับคุณตา ส่วนลุงแมกซ์กับป้าคาร่าจะต้องเดินทางไปทำธุระซักที่ น่าจะไม่เจอกันอีกสักพักใหญ่ๆ ซึ่งก็เป็นปกติของครอบครัวผมที่นานๆทุกคนจะมาเจอกันพร้อมหน้าพร้อมตากันสักที



   ผมนั่งไพรเวทแท็กซี่มาถึงคอนโดของฟาติมากับฟารีดา ซึ่งตั้งอยู่บนตึกสูงริมแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ผมต้องนั่งแท็กซี่เพราะผมขับรถไม่เก่งแถมบางครั้งก็หัวเสียจนเกือบจะใช้เวทมนตร์จัดการพวกรถยนต์ที่ขับขี่ไร้มารยาทอยู่หลายครั้ง เลยตัดสินใจใช้บริการแท็กซี่นี่ละ อีกอย่างก็ไม่ได้ไกลจากบ้านของผมนัก



   ทั้งคู่อาศัยอยู่ในห้องชุดที่ใหญ่ที่สุดของโครงการนี้ มีสิ่งอำนวยความสะดวกทุกอย่างเพียบพร้อม เรียกว่าเป็นลูกค้าที่พิเศษที่สุดของโครงการนี้เลยก็ว่าได้ พ่อมดแม่มดส่วนใหญ่ก็ใช้เงินซื้อความสะดวกสบายให้ตัวเองด้วยกันทั้งนั้น เพราะมันก็เป็นเงินที่เราทำงานด้วยความสามารถของเราเอง อาจจะใช้วิธีลัดเล็กน้อย (ซึ่งจริงๆ ก็ไม่เล็กหรอก)



   ผมเดินไปที่เคาน์เตอร์ต้อนรับ โดยมีพนักงานที่สแตนบายอยู่เดินเข้ามาเชิญให้ใช้ลิฟท์เฉพาะสำหรับชั้นพิเศษ คู่แฝดคงแจ้งกับแผนกต้อนรับไว้แล้วว่าจะมีแขกมา ซึ่งจริงๆผมจะใช้วิธีหายตัวมาเลยก็ได้ เพราะผมมาที่นี่หลายครั้งแล้ว แต่อาจจะดูไร้อารยะซักหน่อย เพราะยังไงทั้งคู่ก็เป็นผู้หญิง ถ้าไม่รีบร้อนหรือเร่งด่วน เดินทางแบบมนุษย์ปกติก็ไม่ได้แย่นัก



   ผมกดออดสองครั้งแล้วเปิดประตูเข้าไปทันทีเพราะมันไม่ได้ล็อคอยู่แล้ว



   “หวัดดีฟาติ หวัดดีฟารี”



   ผมทักทายฟาติมาที่กำลังนอนดูทีวีเอื่อยเฉื่อย ก่อนตะโกนไปยังฟิตเนสที่อยู่ในห้องติดกันที่ฟารีดากำลังเดินบนลู่วิ่งสบายๆอยู่



   ฟาติมากับฟารีดาเป็นคู่แฝดเพื่อนสนิทที่สุดของผมตั้งแต่ยังเด็กๆ พ่อของทั้งคู่เป็นเพื่อนกับลุงแม็กซ์ เลยทำให้เราได้เจอกันตั้งแต่ยังเด็ก และด้วยวัยที่ใกล้เคียงกันทำให้เราเลยสนิทกันไปโดยปริยาย ฟาติมากับฟารีดาเป็นแม่มดที่มีความสามารถพิเศษด้านการควบคุมหรือใช้เวลา อย่างฟาติมาจะสามารถเห็น รับรู้ ได้ยิน สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ แต่ก็จะมีข้อเสียที่ว่าสิ่งที่เธอเห็นอาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ส่วนฟารีดาจะสามารถมองเห็นอดีตที่เราไม่เคยรู้ เพียงแค่สัมผัสสิ่งของหรือตัวบุคคล โดยความสารถของฟารีดาจะค่อนข้างแน่นอนเพราะมันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วในอดีต ซึ่งความสามารถของเธอทั้งคู่เป็นความสามารถที่พิเศษ พบเจอได้น้อยในเหล่าพ่อมดแม่มด



   ทั้งคู่ยังสามารถแสดงสิ่งที่ทั้งคู่เห็นผ่านสายตาของเราเพียงแค่จับมือหรือสัมผัสร่างกายกัน ที่จริงแล้วผมก็เคยนำเสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ของแม่ให้ฟารีดาได้ลองสัมผัสดู แต่ฟารีดาบอกว่าไม่เห็นอะไรเลย ทุกอย่างว่างเปล่าไปหมด พอเอาเรื่องนี้ไปถามคุณตาก็ถูกปรามไม่ให้ทำแบบนี้อีก เลยต้องหยุดความสงสัยเอาไว้



   “มิ พี่แมทกลับบ้านมาแล้วหรอ”



   ฟาติมาถามขึ้นอย่างสงสัย เธออาจจะเห็นพี่แมทจากความสามารถของเธอ เพราะฟาติมาคลั่งไคล้พี่แมทมาก แต่พี่แมทเหมือนจะเห็นฟาติมาเป็นแค่น้องสาว



   “อืม น่าเบื่อชะมัด”



   “หึ แพ้มาอีกละสิ” ฟาติมาถามเย้ยๆ



   “หยุดส่องคนอื่นได้แล้วหน่า” ผมผลักหัวฟาติมาไปทีอย่างหมั่นไส้



   “ไม่ต้องส่องก็รู้ป่าว ว่านายแพ้พี่แมทมา ถึงได้หงุดหงิดแบบนี้”



   ฟาติมาตอบอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะหันไปสนใจทีวีต่อ แล้วฟารีดาก็เดินเข้ามาสมทบพร้อมเหงื่อโชก เธอยกมือขึ้นดีดนิ้วเพียงครั้งเดียว คราบเหงื่อไคล ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าที่เปียกโชกก็กลับเป็นชุดเดิมที่มีสภาพใหม่เอี่ยม ผมเผ้าสละสลวย หน้าตากลับมาสะอาดเหมือนเดิม นั่นเป็นเพราะความสามารถของฟารีดา เธอสามารถย้อนเวลาสิ่งของได้ โดยเวทมนตร์นี้มีข้อจำกัดหลายอย่างที่พวกเราก็ไม่รู้ อย่างตอนนี้เธอมักจะใช้เวทมนตร์แบบนี้ได้กับสิ่งของเล็กๆน้อยๆ เท่านั้น



   “อี๋ เหม็น”



   ผมแกล้งหยอก โดยเอามือปิดจมูก แต่ฟารีดาก็แกล้งเอารักแร้มาให้ดมใกล้ๆ



   “อุ้ย ถ่านไฟเก่า”



   ฟาติมาได้ทีแซวผมกับฟารีดาทันที เพราะผมกับฟารีดาเคยลองคบหาดูใจกัน เรื่องมันก็หลายสิบปีมาแล้ว ก็ยังแซวได้ทุกครั้งที่มีโอกาส สุดท้ายแล้วความสัมพันธ์ฉันท์คู่รักมันก็ไม่เวิร์คสำหรับเราเท่าไหร่ เป็นเพื่อนกันมันสนิทใจ สบายใจกว่า เราเลยตกลงเป็นเพื่อนกันตั้งแต่นั้นมา ผมแอบรู้มาว่าฟารีดาเคยขอให้ฟาติมามองอนาคตของเธอกับผมด้วย เมื่อฟาติมาบอกว่าเป็นเพื่อนกันดีกว่า เธอเลยตกลงที่จะกลับมาเป็นเพื่อนกับผม



   “เรื่องเรียน ไปเกาหลีใต้สิ”



   ฟาติมาชิงพูดขึ้นมา เธอคงเห็นอะไรจากนิมิตของเธอ บางครั้งเธอก็ไม่ได้ตั้งใจจะพูดเหมือนอวดรู้ไปหมดทุกเรื่องหรอก แต่เพราะหลายๆครั้ง ภาพหรือเสียงมันแวบเข้ามาในหัวเธอ ซึ่งเธอต้องพูดมันออกมาเดี๋ยวนั้นก่อนที่จะลืมหรือเลือนหายไปเพราะมีข้อมูลใหม่เข้ามาแทน



   “อืม มิว่าจะเริ่มเรียนจริงจังแล้ว เลยจะมาถามความเห็นอ่ะ อีกอย่างอยากชวนให้ไปเรียนด้วยกัน ฟาติเห็นมิที่นั่นหรอ”



   “น่าจะโซลเพราะเห็นตัวอักษรภาษาเกาหลี เหมือนจะมีคนอื่นอยู่ด้วย”



   ผมกับฟารีดาหันขวับไปหาฟาติมาแล้วถามพร้อมกันว่า



   “ใคร?”



   “ไม่รู้ ไม่เห็นหน้าอ่ะ”



   “อีวานรึเปล่า?”



   อีวานคือเพื่อนอีกคนของกลุ่มเรา แต่ไม่ได้ประจำอยู่ในประเทศไทย ปกติจะไปๆมาๆ ตามครอบครัว เลยทำให้ไม่ได้เจอกันบ่อยๆ



   “ไม่น่าจะใช่อีวาน ช่างมันเถอะ”



   ฟาติมาตอบก่อนสะบัดหัวไปมาเหมือนสลัดภาพนั้นให้หลุดออกจากนิมิต



   “อยากไปประเทศอื่นอ่ะ อินเดียเป็นไง”



   ผมถามความเห็นของทั้งคู่ แต่สุดท้ายจุดรวมสายตาของผมกับฟารีดาก็อยู่ที่ฟาติมาเพื่อขอความเห็นจากนิมิตของเธอ



   “ก็ไปได้แต่นี่เห็นเป็นเกาหลีใต้ไง”



   ผมยักไหล่แบบโนไอเดีย เพราะถ้าเรียนในเกาหลีใต้ รูปแบบการสอนจะต่างกันกับที่อินเดีย เกาหลีใต้จะเน้นการใช้เวทมนตร์ในชีวิตประจำวันให้เก่งขึ้น ได้เรียนแบบหลากหลาย แต่ถ้าเป็นในอินเดียจะเน้นไปที่การฝึกการใช้เวทมนตร์เพื่อการต่อสู้ ถึงแม้ว่าในเกาหลีใต้จะมีส่วนนี้สอดแทรกเข้าไปด้วยเพื่อเป็นการสอนไว้สำหรับป้องกันตัว แต่ก็ไม่ได้เข้มข้นเหมือนในอินเดียที่เน้นสำหรับการต่อสู้โดยเฉพาะ ซึ่งสุดท้ายก็อยู่ที่การประยุกต์ พลิกแพลง จากประสบการณ์ที่ผ่านมาอยู่ดี



   หลังจากได้คำปรึกษาเรื่องเรียนแล้ว เราสามคนก็คุยกันเรื่องสัพเพเหระต่อ เพราะมีประเด็นหัวข้อให้คุยได้ไม่จบสิ้น ลามไปมื้อเที่ยงด้วยกันยาวๆ จากเชฟมือหนึ่งของโรงแรมห้าดาวที่จ้างมาทำมื้อเที่ยงให้เราสามคนเป็นพิเศษ ก่อนจะปิดท้ายตกลงกันเรื่องจะนำเงินบางส่วนไปบริจาคให้กับหน่วยงานหรือมูลนิธิไหนกันดี ถึงพวกเราจะไม่ได้ชอบมนุษย์มากเท่าไหร่ แต่เราก็เห็นใจและคอยช่วยเหลือมนุษย์ที่ตกยากลำบากอยู่เป็นประจำ เพราะสุดท้ายแล้ว เงินที่เราหามาได้ มันก็เหลือกินเหลือใช้ แบ่งปันไปให้กับคนที่เขาไม่มีอย่างเราบ้างคงจะดีไม่น้อย เงินไม่กี่ล้านกับการใช้ความสามารถของฟาติมาในการดูทิศทางของตลาดหุ้น แล้วช้อนซื้อเอาในช่วงเวลาที่ถูกต้อง แค่นี้ก็สบาย...เงินหลักสิบล้านหาได้ง่ายๆ แค่ปลายนิ้ว



   ผมขอตัวกลับเมื่อเห็นว่ามันเริ่มจะเย็นแล้ว โดยขากลับคิดว่าใช้เวทมนตร์เคลื่อนย้ายตัวเองเข้าไปในบ้านน่าจะสะดวกกว่า



   หลังจากถึงบริเวณบ้านเรียบร้อยและกำลังจะเดินผ่านสวนเพื่อเข้าไปในตัวบ้าน ผมเห็นหลังคุณตานั่งอยู่กับแขกคนหนึ่งใต้ร่มไม้ตรงลานบ้าน มันเป็นจุดรับแขกเวลาที่คุณตาอยากรับบรรยากาศสดชื่นยามเย็น ให้ลมพัดเบาๆสบายๆ



   ผมเลี้ยวตัวออกไปทักทายแขกคุณตาซักหน่อยดีกว่า ขืนเดินขึ้นห้องทำเป็นไม่เห็นจะโดนหาว่าไม่มีมารยาทเอาได้



   “อ้าวลุงเบนนี่เอง หวัดดีฮะ” ผมพูดขึ้นทันทีที่ลุงเบนหันมาสบตาผมที่กำลังเดินเข้าไปทักทาย ตอนแรกเป็นหลังคุณตาบังเอาไว้อยู่เลยไม่เห็นว่าเป็นใคร



   “มิเกลเองหรอ ไม่เจอตั้งนานเลยนะ”



   “ฮะ ผมไม่เจอลุงตั้งหลายปี”



   ลุงเบนหรือเบนจามินเป็นเพื่อนอีกคนของคุณตาที่แต่ก่อนมักจะมาหาคุณตาปีละครั้งสองครั้งอย่างสม่ำเสมอ ครั้งล่าสุดที่เจอลุงเบนก็เกือบจะ 10 ปีที่แล้วเห็นจะได้ แต่ลุงเบนดูแก่ลงทุกวัน อาจจะเพราะลุงเบนเป็นเลือดผสมระหว่างพ่อมด-มนุษย์ ที่อายุจะสั้นกว่าและไม่สามารถประคองรูปลักษณ์ภายนอกได้เต็มที่เฉกเช่นพ่อมดแบบพวกเรา



   “ลุงมีหลายเรื่องต้องทำหน่ะ แต่มาที่นี่ทีไรก็ต้องมาขอพึ่งพาตาขอมิเกลอยู่ทุกครั้ง”



   ลุงเบนพูดจาอ่อนน้อม ส่วนคุณตาก็ยิ้มอ่อนๆ อย่างถ่อมตน



   “เข้าบ้านไปเถอะ ตาขอคุยธุระกับลุงเบนซักพัก”



   ผมพยักหน้าก่อนจะขอตัวลาลุงเบนแล้วขึ้นมาบนห้องนอนทันที ขึ้นมาแล้วไอเจ้าแมวตัวแสบก็ไม่อยู่ ไม่รู้หายไปไหนทั้งวันตั้งแต่เช้าตรู่ เรียกอยู่สองสามทีก็ไม่ออกมา เลยหยิบมือถือขึ้นมาเล่นเกมดีกว่า



   เล่นเกม Moba อยู่สองสามเกม ลีโอก็เดินเข้าห้องมา



   “ไปไหนมาลีโอ หายไปตั้งแต่เช้าเลยนะ”



   “คริสให้ไปตรวจป่ากับวีเซิลหน่ะ ว่าแต่คนที่นั่งคุยอยู่กับคริสเป็นใครหรอ” ลีโอพูดพร้อมเดินเข้ามาขดตัวนั่งบนตัก



   “ลุงเบนจามินไง ที่แต่ก่อนมาหาตาบ่อยๆ”



   “โหย เปลี่ยนไปเยอะเลย จำแทบไม่ได้” ลีโอตอบด้วยสีหน้ายังแคลงใจอยู่



   “ก็เขาเป็นลูกครึ่งนี่นา ไม่ได้อายุยาวเหมือนเรา”



   ปกติเลือดผสมพ่อมด-มนุษย์จะมีอายุไม่ได้ยืนยาวมากนัก อาจจะแก่กว่ามนุษย์ทั่วไปนิดหน่อย แต่ไม่ได้ยืนยาวแบบพ่อมดแม่มดที่อยู่ได้อย่างต่ำสองสามร้อยปี



   “แล้วเขามาขอช่วยอะไรคริสหรอ เมื่อกี้แอบได้ยินมา”



   “มิก็ไม่รู้ แล้วทำไมลีโอไม่อยู่ฟังให้จบ”



   “ก็คริสหันมาบอกให้ออกมา ได้ยินแค่ว่าเกี่ยวกับหลานเขา”



   ผมวางมือถือแล้วหันไปหาลีโอเพื่อขอข้อมูลเพิ่ม ต่อมความอยากรู้อยากเห็นทำงานเข้าให้แล้ว “แล้วไงต่อ”



   “ก็ไม่แล้วไง ได้ยินไม่ถนัด แต่ดูเหมือนจะขอให้ช่วยหลาน” ลีโอว่าก่อนจะครุ่นคิดเป็นจริงเป็นจัง



   “ไม่ยักกะรู้ว่าลุงเบนมีหลานด้วย”



   “ไม่รู้สิ”



   ผมยักไหล่ก่อนจะหันมาสนใจเกมต่อ ที่จริงแล้วลุงเบนกับตาไม่ได้สนิทกันมากนักถ้าเทียบกับเพื่อนคนอื่นของตา เรียกว่าจะได้เจอหน้ากันบ่อยๆ เมื่อหลายปีก่อนแล้วก็หายไปเลย จนผมได้เจออีกครั้งก็เมื่อครู่นี่เองแต่เพราะลุงเบนดูเป็นคนใจดี อ่อนน้อมถ่อมตนเสมอ ผมเลยจำแกได้ แต่ทุกครั้งที่มาก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกับผมมากนัก จะชอบคุยธุระกับคุณตา ไม่คุยนอกบ้านก็ออกไปคุยในสวนในป่า ผมเลยไม่ค่อยรู้รายละเอียดอะไรเกี่ยวกับแก โดยเฉพาะเรื่องครอบครัวของแก



   ตอนแรกที่รู้ว่าแกเป็นลูกผสมก็ตกใจอยู่หน่อยเพราะเราไม่ค่อยได้เจอลูกครึ่งเท่าไหร่นัก ถึงจะไม่ได้ผิดกฎของพ่อมดแม่มดแต่การยอมให้ลูกตัวเองเป็นลูกผสม นั่นคือต้องแบกรับสายตาประหลาดเคลือบแคลงความสงสัยจากพ่อมดแม่มดอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิตในโรงเรียนหรือแม้แต่การเข้าสังคม เพราะความสามารถของลูกผสมมักจะครึ่งๆกลางๆ ไม่ชัดเจนหรือโดดเด่น อีกทั้งอายุก็มักจะสั้นกว่าพ่อมดแม่มดปกติ ส่วนใหญ่พวกเราไม่นิยมที่จะมีลูกกับมนุษย์



   การมีเซ็กส์กับมนุษย์เป็นเรื่องปกติของพ่อมดแม่มด แต่การมีลูกกับมนุษย์ไม่ใช่เรื่องปกติ แต่ยังไงคุณตาก็สอนให้เราปฏิบัติกับทุกคนเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์ไหนก็ตาม



   ยิ่งอ่อนแอกว่าเรามากเท่าไหร่ ยิ่งสมควรได้รับการปกป้อง...





   
   สวัสดียามดึกนะคะ แวะมาส่งตอนที่ 3 ก่อนนอนค่ะ ขอบคุณทั้งสามคอมเม้นที่เป็นกำลังใจชั้นดีให้นะคะ จะพยายามอดทนเขียนออกมาให้ดีที่สุดค่ะ ขอบคุณค่ะ ^^ กอดๆ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-06-2021 12:36:18 โดย Lalilda »

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ HamsteR

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 140
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
น่าสนใจขึ้นเรื่อยๆ

ออฟไลน์ Lalilda

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0

ตอนที่ 4


        หลังจากที่ได้คุยกับฟาติมาสามวันก่อนและเริ่มมีภาพในหัวชัดเจนว่าจะเลือกเรียนต่อที่เกาหลีใต้ ผมเลยคิดว่าจะยกเรื่องนี้มาปรึกษาคุณตาระหว่างมื้อเช้าของวันนี้ ซึ่งมีพี่แมทอยู่ด้วยพอดี



        “ตา มิคิดว่ามิจะเรียนต่อที่เกาหลีใต้ ฟาติมากับฟารีดาก็จะไปเรียนด้วยกัน ตาคิดว่ายังไง”



        คุณตาไม่ได้มีท่าทีอะไรพิเศษ ไม่ได้ตกใจหรือประหลาดใจอะไรนัก ผิดกับพี่แมทที่ดูจะประหลาดใจแกมไม่เห็นด้วยเล็กน้อย



        “ทำไมไม่เลือกไปอินเดีย จะได้ฝึกเฉพาะทางไปเลย” พี่แมทถามขึ้น



        “ก็มิอยากเรียนที่เกาหลี ช่วงนี้ KPOP กำลังกลับมาบูมอีกครั้ง” ผมตอบพี่แมทแบบไม่ใส่ใจมากนัก ก่อนจะหันไปหาคุณตาเพื่อขอความเห็นเป็นรอบที่สอง “ตาคิดว่ายังไง”



        “ตามใจมิ อย่าเถลไถลเป็นพอ” คุณตาไม่ได้คัดค้านหรือแนะนำอะไรเพิ่มเติม



        “ปู่ก็ตามใจมิเกลจนเคยตัว ฝีมือถึงอ่อนหัดไม่เอาไหนแบบนี้” พี่แมทได้ทีกัดทีเล่นทีจริง ผมเลยใช้เท้าถีบเข้าให้ใต้โต๊ะอาหาร



        “ที่โซลก็ไม่ได้แย่ ยังไงแมทก็จัดการเรื่องมิให้เรียบร้อยก่อนกลับไปทำงานนะ”



        ผมแลบลิ้นใส่พี่แมทเมื่อคุณตาให้ท้าย



        “แล้วเย็นวันนี้อยู่บ้านกันด้วยทั้งคู่นะ เราจะมีแขก”



        ผมกับพี่แมทมองหน้ากันอย่างอดสงสัยไม่ได้ แต่ก็เลือกที่จะไม่ถามออกไป เพราะถึงเวลาเดี๋ยวก็คงรู้เอง



        ถึงเวลาเย็น...เรานั่งพร้อมหน้ากันในห้องรับแขก ผมอุ้มเจ้าลีโอมานั่งเล่นเกมอยู่มุมนึงของโซฟารับแขก ส่วนคุณตากับพี่แมทก็คุยกันเรื่องเคสที่พี่แมทดูแลอยู่ ซึ่งผมไม่ได้ใส่ใจฟังมากนัก แต่ก็พอได้ยินที่คุณตาให้คำแนะนำพี่แมทอยู่บ้าง



        ไม่นาน...แขกที่คุณตาพูดถึงเมื่อเช้าก็มาพอดี ก็คือลุงเบนจามินที่มาหาคุณตาเมื่อสองสามวันที่แล้วนั่นเอง กับเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันกับผม เดินตามหลังมาด้วย



        เมื่อทั้งคู่เดินเข้ามาในห้องรับแขก ผมได้เห็นเด็กหนุ่มที่มากับลุงเบนจามินอีกครั้งในระยะใกล้มากขึ้น เขามีรูปร่างสูงใหญ่พอๆ กับพี่แมทเห็นจะได้ อาจจะดูตัวบางกว่านิดหน่อย หน้าตาออกมาทางเอเชีย อยู่ในระดับที่หล่อจัดคนหนึ่ง แต่กิริยาท่าทางกลับดูเย็นชา ไร้ชีวิตชีวาจนน่าอึดอัด เขาหันมาสบตาผมแล้วเสมองไปทางอื่นอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก



        “เชิญทั้งคู่นั่งก่อนสิ”



        เป็นคุณตาที่พูดเชื้อเชิญให้แขกทั้งคู่นั่งลงบนเก้าอี้โซฟารับแขกตัวตรงข้าม



        “หวัดดีฮะลุงเบน” เป็นผมที่ทักทายลุงเบนขึ้นมาก่อน ตามมารยาทพื้นฐานด้วยความเคยชิน



        “สวัสดีมิเกล แล้วนี่คงเป็นแมทธิวสินะ ไม่ได้เห็นนาน มาวันก่อนก็ไม่ได้เจอกัน” ลุงเบนตอบรับก่อนจะหันไปถามพี่แมท



        “ครับ ผมแมทธิว”



        แล้วลุงเบนกับพี่แมทก็จับมือทักทายกันแบบตะวันตก ส่วนผมก็มองเลยไปยังชายหนุ่มที่มาด้วยอย่างไม่ละสายตาและอดสงสัยไม่ได้ และดูเหมือนลุงเบนจะมองท่าทางขี้เสือกของผมออกเสียด้วยสิ



        “ส่วนนี่ดิออน หลานชายผมเองครับ” ลุงเบนผายมือไปยังชายหนุ่มที่ผมกำลังสงสัยอยู่ “ดิออน สวัสดีคุณคริส แมทธิว แล้วก็มิเกล”



        ไอชายหนุ่มที่ผมกำลังสงสัยยกมือขึ้นไหว้ คุณตา พี่แมท และผมตามลำดับ พวกเราก็รับไหว้พอเป็นพิธี ไม่คิดว่าเขาจะรู้จักมารยาทไทยด้วย เพราะต่อให้หน้าตาจะกระเดียดมาทางเอเชีย แต่ไม่น่าจะเป็นคนไทยอย่างแน่นอน ดูเป็นลูกเสี้ยวฝั่งตะวันตกผสมเอเชียมากกว่า



        “ยินดีต้อนรับนะดิออน ทำตัวตามสบายได้เลย” คุณตาพูดสบายๆ อีกฝ่ายก็ได้แต่พยักหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉยเหมือนเดิม “แมทธิว มิเกล นับตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป ดิออนจะมาอาศัยอยู่กับเราที่บ้านหลังนี้ และจะไปเรียนที่โรงเรียนเวทมนตร์ที่โซลพร้อมกับมิเกล”



        “ห้ะ!!!”



        เป็นเสียงของผมเอง อุทานได้สูงจนทุกคนพร้อมกันตกใจไม่เว้นแม้แต่คุณตา แม้แต่ผมเองยังอดตกใจเสียงตัวเองไม่ได้เลย ไม่สงวนท่าทีแม้แต่นิดเดียว



        แต่จะไม่ให้ตกใจได้ยังไงไหว ผมโตมาในบ้านหลังนี้เกือบร้อยปี ยังไม่เคยเห็นคุณตาอนุญาตให้คนนอกมาอยู่ด้วยแบบนี้เลย ขนาดญาติๆ กันยังมาค้างแค่แปบๆ ก็กลับไป แต่จากที่ฟังดูนี่ เหมือนจะให้อาศัยอยู่ถาวรซะอย่างนั้น



        “เอ่อ ขอโทษครับ ผมแค่ตกใจ”



        ผมพูดแก้เก้อก่อนจะพยักหน้าขอโทษลุงเบน ซึ่งแกก็ดูจะไม่ได้ถือสาอะไร



        “ยังไงลุงฝากดิออนด้วยนะ เจ้านี่ออกจะเงียบๆ ไปซักหน่อย แต่ไม่มีอะไรหรอก ว่านอนสอนง่าย คุณคริสอบรมสั่งสอนได้เหมือนลูกหลานเลยนะครับ ไม่ต้องเกรงใจ” สิ่งที่ลุงเบนพูดไม่ได้ทำให้สิ่งที่ผมสงสัยกระจ่างขึ้นมาเลย ที่ผมอยากรู้คือเจ้านี่เป็นใคร ทำไมตาต้องอนุญาตให้มาอยู่ในบ้านเราด้วยต่างหาก



        “สีหน้ามิเกลนี่ เก็บความสงสัยไว้ไม่มิดเลยนะ” เป็นลุงเบนที่พูดขึ้นอีกครั้งหลังจากที่ผมปล่อยโป๊ะผ่านสีหน้า ผมได้แต่ยิ้มแก้เก้อให้กับลุงเบน “ดิออนเป็นหลานแท้ๆ เป็นหลานชายคนเดียวของลุง ตั้งแต่เกิดจนโต...ดิออนใช้ชีวิตเหมือนมนุษย์มาตลอด จนกระทั่งอายุ 18 เมื่อสัปดาห์ก่อน...เกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้นและทำให้ลุงมีความจำเป็นที่จะต้องบอกความจริงว่าเขาเป็นเลือดผสม เขาเลยยังต้องใช้เวลาปรับตัวซักหน่อย”



        ลุงเบนพูดแล้วหันไปมองหน้าหลานชายตัวเองที่ยังคงนั่งนิ่งเหมือนรูปปั้น ไม่คิดจะแสดงสีหน้าอะไรหน่อยหรอพ่อคุณ



        “ส่วนที่ลุงมารบกวนคุณตาของมิเกลเพราะว่าลุงรู้ตัวดีว่าลุงอาจจะอยู่ได้อีกไม่นาน ก็อย่างว่าร่างกายของเลือดผสมแบบลุง ไม่ได้แข็งแรงอย่างพ่อมดเต็มตัว”



        สิ่งที่ลุงเบนพยายามรวบรัดอธิบายทำเอาผมช็อกไปเล็กๆ เหมือนกัน ผมมีเป็นร้อยเป็นพันคำถามที่อยากจะถามออกไป แต่ก็เกรงใจคุณตาที่นั่งอยู่ด้วย สงสัยคงต้องคุยกันทีหลังอีกที



        มันค่อนข้างจะเหลือเชื่อกับการที่พ่อมดจะไม่รับรู้ถึงความสามารถหรือพลังเวทมนตร์ของตัวเอง พ่อมดแม่มดทุกคนล้วนมีพรสวรรค์ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ดังนั้น 18 ปีกับการใช้ชีวิตแบบมนุษย์ปกติโดยไม่รับรู้ถึงพลังเวทมนตร์ของตัวเองย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย



        “มิเกล พาเพื่อนขึ้นไปเก็บของบนห้องข้างๆ เราสิ เดี๋ยวตาขอคุยกับเบนจามินและแมทธิวอีกหน่อย แล้วเดี๋ยวค่อยลงมากินข้าวเย็นด้วยกัน”



        คุณตาเตรียมห้องไว้ให้แล้วด้วย มิน่าล่ะ...ผมได้ยินเสียงก๊อกๆ แก๊กๆ อยู่ข้างห้องเหมือนใครทำอะไรซักอย่างเมื่อเย็นวาน และคุณตาคงมีเรื่องอะไรอยากคุยกันโดยที่ไม่อยากให้ผมหรือดิออนรู้ เลยเลือกที่จะให้ผมพาดิออนขึ้นไปห้อง ผมเลยหันไปส่งสัญญาณให้ลีโอด้วยการกะพริบตาสองที ให้สวมบทนาตาชาโรมานอฟ ก่อนจะหันพยักหน้าเรียกดิออนให้เดินตามมา



        ดิออนเดินตามมาพร้อมกับกระเป๋าเป้ 1 ใบ เมื่อได้ยืนใกล้ๆ กันแล้ว พบว่าเขาสูงกว่าผมซัก 6-7 เซนติเมตรเห็นจะได้ ผมเดินนำดิออนขึ้นไปยังชั้นสาม ที่แต่เดิมมีผมคนเดียวที่อยู่บนชั้นนี้ ซึ่งห้องที่ดิออนจะมาอยู่ก็คือห้องถัดไปจากห้องผม



        บ้านหลังนี้มีทั้งหมด 5 ชั้น มีชั้นใต้ดินสำหรับเก็บของต่างๆ ของคุณตา ชั้นหนึ่งที่เป็นส่วนกลางหลักๆ ของบ้าน พวกห้องรับแขก ห้องครัว ห้องทานอาหาร ส่วนชั้นสองจะมีห้องนอนสามห้อง เป็นห้องของคุณตากับห้องลุงแม็กซ์และป้าคาร่าเป็นห้องหลัก และห้องของพี่แมทที่เป็นห้องไซส์เล็กลงมา ซึ่งถึงแม้จะใช้คำว่าไซส์เล็กแต่ทุกห้องนั้นมีพื้นที่กว้างขวางอย่างกับเพนท์เฮ้าส์ส่วนตัว มีห้องน้ำในตัวและสิ่งอำนวยความสะดวกทุกอย่างในแต่ละห้องอย่างครบครัน ส่วนชั้นสามมีเพียงห้องผมกับอีกหนึ่งห้องว่าง ซึ่งปกติจะใช้สำหรับเป็นห้องรับรองแขก ที่นานๆ จะมีแขกมาพักซักที และมีส่วนของระเบียงที่อยู่ติดส่วนหน้าบ้าน ไว้สำหรับปิกนิกกลางแจ้งบนบ้าน ส่วนชั้นที่สี่จะเป็นห้องสมุดกินพื้นที่ไปทั้งชั้น เรียกได้ว่ามีหนังสือเกือบทุกประเภท ส่วนใหญ่จะเป็นคุณตาที่ชอบขลุกตัวอยู่ในห้องหนังสือ



        “ดิออนใช่ไหม” ต่อให้ผมรู้ชื่อมันอยู่แล้ว แต่ผมก็เลือกจะถามเพื่อทำลายความเงียบ



        “อืม”



        ดิออนตอบสั้นๆ แค่นั้น ประจวบเหมาะกับที่ผมเดินขึ้นมาถึงห้องพอดี ผมเปิดประตูแล้วเข้าไปดูความเรียบร้อยซึ่งเป็นไปตามคาด ห้องถูกทำความสะอาดไว้อยู่ก่อนแล้ว ชุดเครื่องนอนก็ถูกเปลี่ยนพร้อม ทุกอย่างถูกตระเตรียม เป็นระเบียบเรียบร้อยไว้หมด



        “นายอายุ 18 หรอ”



        “อืม”



        นี่มันไม่คิดจะถามอะไรผมกลับ หรือ พยายามผูกมิตรกับผมบ้างเลยหรอ



        “แล้วรู้ป่าวว่านี่อายุเท่าไหร่” ผมไม่รอให้มันตอบเพราะกลัวว่ามันจะไม่ตอบหรือตอบว่าไม่อยากรู้ “91”



        ผมเห็นมันเบิกตากว้างเล็กน้อย นิดเดียวจริงๆ เหมือนตกใจ แต่ทุกอย่างถูกกลบเกลื่อนภายใต้บุคลิกเย็นชาของมัน



        “นี่ ไหนๆ ก็ต้องอยู่บ้านเดียวกันแล้ว ไม่คิดจะคุยกันเลยรึไง”



        ผมชักจะหมดความอดทนกับท่าทางเรียบเฉย ไม่รู้ร้อนรู้หนาวของดิออนแล้ว เลยต้องเป็นฝ่ายถามไปตรงๆ ยังไงตรงนี้ก็ไม่มีผู้ใหญ่ให้ต้องเกรงใจเหมือนในห้องรับแขก



        “ก็ไม่รู้จะถามอะไร”



        ดูมันตอบผมสิ ผมยักไหล่อย่างจนปัญญา จะไม่ถามก็เรื่องของเอ็งแล้วกัน



        ผมตรวจดูความเรียบร้อยทั่วห้องแล้วคิดว่าคงไม่มีอะไร ตั้งใจว่าจะเดินกลับเข้าห้องของตัวเองแล้วอีกซัก 20 นาทีค่อยชวนมันลงไปทานข้าว เวลานั้นคุณตาคงคุยธุระเสร็จเรียบร้อยแล้ว



        “แล้วเป็นพ่อมดจริงๆ หรอ”



        ระหว่างที่ผมกำลังจะเดินออกจากห้อง อยู่ๆ ดิออนก็ถามขึ้น ผมหันกลับไปมองหน้าดิออน เพิ่งจะได้เห็นคิ้วเข้มๆ คู่นั้นดูขมวดอย่างสงสัยนิดหน่อย นี่คงเป็นครั้งแรกที่ได้สีหน้าอื่นของเขานอกจากปั้นหน้าเย็นชา



        “แล้วคิดว่าไง เข้ามาในบ้านหลังนี้แล้วไม่ประหลาดใจเลยหรอ”



        ผมถามกลับอย่างนึกสนุก ถ้าให้ผมวิเคราะห์แล้ว...ดูเหมือนดิออนจะยังแคลงใจกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้



        “...”



        ดิออนเลือกที่จะเงียบแทนคำตอบ นี่อาจจะเป็นอาฟเตอร์ช็อกที่รู้ว่าตัวเองมีเลือดพ่อมด ผมเปลี่ยนใจเดินกลับเข้ามาในห้องแล้วเดินไปริมหน้าต่างกระจกกว้างที่มองออกไปเห็นต้นไม้น้อยใหญ่เขียวชอุ่มเต็มไปหมด แม้จะเริ่มค่ำแต่ก็ยังไม่หมดแสงอาทิตย์ดี



        “มาดูนี่สิ”



        ผมเรียกดิออนให้เดินเข้ามายืนใกล้ๆ กันตรงริมหน้าต่าง ก่อนจะใช้มือร่ายเวทควบคุมต้นไม้ขนาดกลางต้นหนึ่งให้มันโตขึ้นอย่างรวดเร็วแตกกิ่งแตกใบผลิออกมาจนกลายเป็นต้นไม้ขนาดใหญ่ พร้อมกับค่อยๆ ยกต้นไม้ทั้งต้นลอยขึ้นกลางอากาศแล้วแช่ไว้อย่างนั้น



        “เป็นไง?” ผมหันไปถามดิออน ก่อนจะค่อยๆ วางต้นไม้ลงกับดิน แล้วจัดการกลบดินฝังไว้ให้มันมีชีวิตตามเดิม



        “อืม”



        แม้จะเป็นเพียงคำตอบสั้นๆ เหมือนเดิม แต่ทว่าสายตาที่ดูจะตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่ผมทำให้ดูก็ปกปิดไว้ไม่มิด อาจจะไม่ได้แสดงออกอย่างโจ่งแจ้งแต่ก็พอคาดเดาได้ว่าดิออนรู้สึกประหลาดใจกับสิ่งที่ผมทำให้ดู



        “แล้วนายละ ทำอะไรได้” ผมถามย้อนไปถึงความสามารถพิเศษของดิออน



        “ผมไม่รู้”



        “ฟังนะ” ผมหันกลับไปสบตาดิออน และใช้น้ำเสียงที่ดูเป็นการเป็นงานขึ้น “จริงๆ แล้วมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่นายเป็นเลือดผสมแต่ไม่รู้สึกถึงพลังเวทมนตร์ของตัวเอง ที่ผ่านมาไม่เคยมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นกับนายบ้างเลยหรอ” ผมพยายามพูดอย่างใจเย็น เพื่อให้เขาลองทบทวนดู



        “ไม่มี ทุกอย่างปกติ”



        “ปกตินั่นละคือผิดปกติ”



        ผมพูดสิ่งที่ผมคิดออกไป แล้วเราทั้งคู่ก็เข้าสู่ความเงียบ เหมือนดิออนก็จมดิ่งอยู่กับสิ่งที่ตัวเองกำลังคิด รวมทั้งผมด้วยเช่นกัน เมื่อไม่มีใครเลือกจะพูดอะไรต่อ ผมจึงชวนดิออนลงไปทานมื้อเย็น คิดว่าคุณตาน่าจะคุยธุระกับลุงเบนเรียบร้อยแล้ว



        พวกเราทั้งหมดร่วมกันทานมื้อเย็นกันก่อนที่จะส่งลุงเบนกลับบ้าน ดิออนดูจะมีอาการเล็กน้อยเมื่อลุงเบนต้องกลับจริงๆ แต่ก็ยังคุมโทนเย็นชานั่นอยู่ เรียกได้ว่าไม่มีหลุดธีมเลย



        ถ้าผมเป็นดิออน...ผมคงรู้สึกเคว้งคว้างกับการต้องมาอยู่ร่วมกับคนแปลกหน้ากะทันหันแบบนี้ ยิ่งถ้าพื้นเพเดิมไม่ใช่คนช่างพูดช่างจาแบบดิออน ยิ่งรู้สึกแปลกแยกและอึดอัด แต่ลุงเบนคงจะมีเหตุผลที่เลือกทางนี้ ดิออนเองก็ดูจะเข้าใจลุงเบนเป็นอย่างดี



        หลังจากลุงเบนกลับไปแล้ว คุณตาก็ให้ดิออนขึ้นไปพักผ่อนบนห้อง ส่วนคุณตาก็เตรียมจะขึ้นห้องพักผ่อนด้วยเช่นกัน เหลือแต่ผมที่กำลังจะอกแตกตายเพราะความสงสัยกับเรื่องในวันนี้



        ดีที่สวรรค์มีตา ฟ้าประทานพี่แมทให้เรียกผมเข้าไปคุยในห้อง



        “เล่ามาให้หมดเลย อยากรู้จะตายชักแล้ว” ผมเร่งพี่แมททันทีที่ปิดประตูห้องลง



        “งั้นลองชักตายให้ดูก่อนแล้วจะเล่า”



        แต่พี่แมทก็ยังเล่นตัว ไม่ยอมเล่าให้ฟังง่ายๆ อยู่ดี ไม่รู้จะเล่นลิ้นไปถึงไหน



        “ถ้าไม่เล่าเดี๋ยวไปถามเอาจากลีโอก็ได้ เพราะมิวางแผนไว้หมดแล้ว”



        ผมพูดเหมือนไม่ได้สนใจพี่แมท เพราะสุดท้ายพี่แมทก็จะแกล้งให้ผมลงแดงจนสาแก่ใจตัวเอง สู้ผมไปถามเอาจากลีโอดีกว่า



        “เสียใจด้วยที่ปู่รู้ทันเลยไล่ลีโอให้ออกไปข้างนอก” พี่แมทพูดเหมือนถือไพ่เหนือกว่า



        ผมกลอกตามองบนอย่างเบื่อหน่าย ไม่อยากจะอ้อนวอนให้พี่แมทได้ใจไปมากกว่านี้ มันดูไม่คูลเท่าไหร่



        “งั้นก็รีบๆ เล่ามาสิ”



        “ใจเย็นๆ หน่า แหม่!” พี่แมทว่าให้ก่อนจะเดินไปนั่งบนเก้าอี้ด้วยท่าทางสบายๆ “ก็ตามที่ลุงเบนเล่าให้ฟังว่าดิออนเป็นหลานของแก เป็นลูกชายของน้องสาวแท้ๆ ของลุงเบน ส่วนน้องสาวแกเสียไปตั้งแต่คลอดดิออนออกมา”



        “ดิออนเป็นเลือดผสมที่ไม่เหมือนคนอื่น เพราะโดนร่ายเวทบิดเบือนความจริงตั้งแต่ยังเด็ก นั่นจึงทำให้ความสามารถในการใช้เวทมนตร์ของดิออนพลอยหายไปด้วยเมื่อโตขึ้น เหมือนเป็นผลข้างเคียงจากเวทบิดเบือน ลุงเบนเลยเลือกที่จะเก็บเรื่องที่ดิออนเป็นเลือดผสมเป็นความลับ และให้ดิออนใช้ชีวิตเหมือนมนุษย์ปกติคนนึง”



        “เวทบิดเบือนความจริงหรอ ลุงเบนร่ายเวทแบบนั้นได้ด้วยหรอ” ผมถามขึ้นอย่างสงสัยเพราะเท่าที่ผมรู้มา การร่ายเวทบิดเบือนความจริงต้องเป็นพ่อมดที่เก่งมากๆ จึงจะใช้เวทมนตร์ประเภทนี้หรือระดับนี้ได้ เพราะแก่นแท้ของเวทบิดเบือนความจริงนั้นใกล้เคียงกับการใช้มนตร์ดำของซาตาน ผู้ใช้เวทมนตร์ชนิดนี้จริงต้องรอบคอบและมีประสบการณ์สูงในระดับที่ลุงเบนน่าจะไม่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง



        “เป็นปู่ต่างหาก”



        “ห้ะ คุณตาเนี๊ยะนะ แล้วคุณตาไปเกี่ยวอะไร ทำไมต้องใช้เวทมนตร์นี้กับดิออน” นั่นไง คิดไว้แล้วไม่มีผิดว่าลำพังลุงเบนคงไม่สามารถใช้เวทมนตร์แบบนี้ได้แน่ๆ เพราะนอกจากจะใช้พลังเวทมนตร์และความเชี่ยวชาญในการร่ายเวทแล้ว ยังต้องใช้พันธุ์ไม้นลึกลับมาสกัดประกอบอีกเยอะแยะไปหมด ซึ่งคุณตาไม่เคยยอมบอกรายละเอียดเรื่องนี้กับใคร หนังสือหรือตำราที่พูดถึงหรือเกี่ยวกับเวทมนตร์ประเภทนี้ ก็ถูกคุณตาเก็บไว้อย่างมิดชิด ไม่เคยมีใครได้เห็นมัน แม้แต่ผมเองก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ศึกษาเรื่องนี้จนกว่าจะถึงเวลา ถึงแม้ว่าผมจะเป็นผู้สืบทอดธาตุพืชเพียงคนเดียวที่เหลือของตระกูลก็ตาม



        “คุณตาบอกพี่ว่ามันเป็นเรื่องของบุญคุณที่ต้องทดแทน เมื่อนานมาแล้วบรรพบุรุษของลุงเบนเคยช่วยเหลือตระกูลเราไว้ คุณตาเลยต้องหยิบยื่นน้ำใจเข้าไปช่วย และที่ต้องบิดเบือนความจริงของดิออน เพราะดิออนไม่ใช่แค่เลือดผสมระหว่างพ่อมดกับมนุษย์ แต่ยังมีแวมไพร์รวมอยู่ด้วย”



        “...”





        สวัสดีวันสุดสัปดาห์นะคะ วันนี้มีตัวละครสำคัญโผล่มาอีกหนึ่งตัว เป็นตอนที่ค่อยๆแนะนำตัวละครพร้อมปูให้เห็นบรรยากาศของเรื่องไปในตัวแล้วกันนะคะ ขอบคุณสำหรับ 3 คอมเม้นท์ที่เป็นกำลังใจให้นะคะ ดีใจที่ยังมีคนตามอ่านอยู่ ราตรีสวัสดิ์ค่ะ ^^

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
อือหืออออ ยุ่งแน่ๆ

ออฟไลน์ HamsteR

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 140
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
ดิออนนี่จะใช่พระเอกป่าวน้าา... ตั้งใจว่าจะรอให้ถึง 10 ตอนก่อนค่อยอ่าน แต่ก็อดไม่ไหว รอตอนต่อไป  :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ Lalilda

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ตอนที่ 5



   วันนี้ทั้งวันจะต้องผมช็อกกี่รอบกันละครับเนี๊ยะ ผมไม่คิดเลยว่าผมจะได้อยู่ร่วมชายคาเดียวกันกับเผ่าซาตานที่คุณตาพร่ำบอกให้ผมหลีกเลี่ยงไม่ว่าจะมิตรหรือศัตรู ซึ่งผมก็ปฏิบัติอย่างเคร่งครัดมาตลอดทั้งชีวิต แต่ตอนนี้กลับต้องมานอนอยู่ห้องข้างๆกันซะอย่างนั้น



   “ไหงเรื่องมันเป็นแบบนี้ไปได้ พี่แมทล้อกันเล่นปะ”



   “ป๊าบ!” พี่แมทลุกมาตบผมหัวจนเซ “มันใช่เรื่องจะมาล้อเล่นไหมล่ะ พี่ก็ไม่รู้ที่มาที่ไปหรอก ลุงเบนแกไม่ได้เล่าละเอียดขนาดนั้น แกก็เล่าในสิ่งที่แกอยากให้รู้แค่นั้นแหละ ปู่กับลุงเบนคงมีอะไรที่ยังไม่ได้บอกเรา”



   “เฮ้อ” ผมรู้สึกว่าทุกอย่างมันตีกันไปหมดจนผมไม่รู้ว่าต้องเริ่มจับต้นชนปลายยังไง



   “เอาหน่า ถึงเวลาถ้ามีอะไรที่เราต้องรู้ เดี๋ยวปู่ก็คงบอกให้รู้เอง ไปๆๆนอนได้แล้ว”



   “แหมม...พี่ก็พูดได้สิ ไม่ได้ต้องอยู่กับดิออนบ่อยๆ ผมนี่สิต้องตัวติดกับมันแหงๆ ไหนจะต้องพาไปเรียนด้วย เกิดวันไหนมันหิวเลือดมาเที่ยวไล่เจาะคอคนอื่นขึ้นมาให้ทำยังไง”



   พี่แมทเอื้อมมือหมายจะตบหัวผมอีกสักที แต่ดีที่คราวนี้ผมไหวหัวหลบทัน



   “คิดไปได้ เรื่องนั้นหายห่วงไปได้เลย ทั้งปู่ทั้งลุงเบนยืนยันว่ามันจะไม่เกิดขึ้นตอนนี้อย่างแน่นอน ดิออนเองก็เพิ่งจะรู้ว่าตัวเองไม่เหมือนคนอื่นได้ไม่กี่วัน ตั้งแต่เด็กก็โตมาเหมือนมนุษย์คนนึง ไม่เคยเรียนรู้วิถีแวมไพร์ด้วยซ้ำ”



   “มันเกี่ยวหรอว่าโตมายังไง มันเป็นเรื่องของสัญชาตญาณไหมพี่”



   สิ่งที่ผมพูดดูเหมือนจะทำให้พี่แมทคล้อยตามและฉุกคิดขึ้นมาหน่อยนึง จริงๆผมก็ไม่ได้กังวลอะไรหรอก เพราะถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นมาจริงๆผมคงรับมือดิออนได้ไม่ยากนัก



   “เอาหน่า บอกว่าไม่มีก็ไม่มีสิ ปู่คงไม่ยอมให้อยู่ด้วยกันถ้าไม่มั่นใจหรอก ปู่คงมีวิธีจัดการของปู่นั่นละ ออกไปได้แล้วพี่จะนอน”



   พี่แมทพูดแล้วพยายามดันให้ผมออกจากห้องไป



   “เดี๋ยวดิ เป็นแวมไพร์แล้วทำไมไม่กลัวแดด มันไม่แปลกๆหรอพี่แมท” ยังไงข้อนี้ก็ยังมีอะไรน่าสงสัย ผมมั่นใจว่าเป็นแวมไพร์จะต้องกลัวแดด



   “จะไปรู้เร้อะ อยากรู้ก็ไปถามปู่ พี่จะนอนแล้ว”



   สุดท้ายผมก็ต้องยอมแพ้ออกจากห้องพี่แมทมาพร้อมคำถามล้านแปดในหัว คนขี้เสือกแบบผมถ้าไม่ได้รู้คำตอบให้ชัดเจนคงข่มตาให้หลับผ่านคืนนี้ไปไม่ได้แน่ๆ



   ผมตัดสินใจเดินขึ้นไปชั้นสามก่อนจะมาหยุดหน้าห้องของดิออน แล้วเคาะประตูเบาๆ เผื่อดิออนยังไม่นอน รอซักพัก...ไม่มีแม้เสียงตอบรับ อาจจะนอนไปแล้วรึเปล่า



   “แกร๊ก”



   เสียงประตูเปิดออก มันแง้มไว้เพียงเล็กน้อย ดูเหมือนข้างในห้องจะมืดสนิทเพราะไม่มีแสงไฟลอดออกมาเลย ผมเลยผลักประตูเข้าไปเปิดกว้างแต่แล้วก็ต้องตกใจ



   ดิออนยืนอยู่หลังประตูในสภาพเปลือยท่อนบน ท่อนล่างสวมเพียงกางเกงนอนขายาวหมิ่นเหม่อยู่ตรงขอบเอว รูปร่างดูเหมือนคนที่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอนั้นดูดีจนผมยังเผลอมองไปชั่วขณะหนึ่ง นอกจากจะหน้าดีแล้ว ยังหุ่นดีจนน่าหมั่นไส้ ไหล่กว้างแข็งแรงดูรับกันดีกับช่วงท้องที่มีกล้ามเนื้อสวยงามกำลังดี มันลายตาไปหมดจนไม่รู้ว่ามีกล้ามท้องกี่ลูก จะเรียกว่า 6 หรือ 8 แพคดี มันไม่ได้ดูบึกบึนเหมือนนักเล่นกล้ามแต่รูปร่างของมันเป็นนิยามของคำว่าพอดี ส่วนของวีเชฟหรุบหายเข้าไปในกางเกงขายาวจนชวนคิดไปไกล



   “มีอะไร”



   เหมือนได้เสียงเรียกสติ ผมเลยต้องเสหน้าไปทางอื่นก่อนหันไปสบตา เพิ่งจะเห็นว่าเจ้าตัวนั้นงัวเงียเหมือนถูกปลุกขึ้นกลางคัน



   “นะ นายนอนแล้วหรอ”



   ไม่รู้ทำไมอยู่ดีๆ คอก็แห้งขึ้นมากะทันหัน เล่นเอาเสียงหลง เสียงหาย ปรับคีย์แทบไม่ถูก



   “อืม นอนแล้ว”



   “เค งั้นนอนต่อเถอะ”



   พูดจบก็ดึงลูกบิดปิดประตูไว้ตามเดิม ก่อนจะเปิดประตูเข้าห้องตัวเองที่อยู่ข้างกันด้วยความรู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้าแถมหัวใจยังเต้นแรงไม่หยุด



   จะว่าเพราะผมขาดเรื่องอย่างว่ามานานก็ไม่น่าเกี่ยว ผมไม่ใช่เด็กๆ อายุ 15-16 ที่จะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ อายุอานามก็ปาไป 91 แล้ว ใช่ว่าไม่เคยผ่านเรื่องแบบนั้นซักหน่อย และด้วยความที่ผมอยู่มานานพอสมควร เทียบได้กับหนึ่งชั่วอายุคน ทำให้ค่อนข้างเปิดเสรีกับรสนิยมทางเพศ ไม่ได้จำกัดว่าตัวเองจะต้องมีเซ็กส์แค่กับเพศหญิง แต่ถ้าต้องเลือกคู่ชีวิตซักคน ก็คงจะเลือกแม่มดที่มีจิตใจดีและไม่ขี้บ่นแค่นี้พอ ส่วนถ้าเป็นผู้ชาย...ผมยังไม่นึกภาพไม่ออกเท่าไหร่



   เซ็กส์กับผู้ชายที่ผ่านๆ มาเกิดขึ้นเพราะความอยากรู้อยากลอง อยากสนุกเพียงข้ามคืนซะมากกว่า มันก็ไม่ได้แย่แต่ก็ไม่ได้ดีจนรู้สึกติดใจ ที่ผมใจสั่นอาจจะเป็นเพราะว่ายังไม่ชินกับการที่มีคนแปลกหน้ามาถอดเสื้ออยู่ในบ้านมากกว่านั่นแหละ



   “เป็นไงบ้างลีโอ ได้ความว่ายังไงบ้าง”



   ผมถามหาความเอาจากเจ้าแมวส้มที่นอนอ้วนอยู่บนเตียง ต่อให้พี่แมทจะบอกว่าคุณตารู้ทัน เลยไล่ลีโอออกไปข้างนอกตอนที่ทั้งสามคุยกัน แต่ผมเชื่อว่าลีโอมีแผนสำรองและไม่ทำให้ผิดหวังเสมอ



   ลีโอเล่าทุกอย่างให้ผมฟังเหมือนที่พี่แมทเล่าไม่มีตกหล่น นั่นแปลว่าพี่แมทไม่ได้มีอะไรปิดบังผมเป็นพิเศษ



   “แต่ว่านะมิ...ก่อนที่เบนจามินจะกลับ เขาอ้อนวอนให้คริสช่วยปกป้องดิออนด้วย”



   ลีโอเล่าให้ฟังอย่างนึกสงสัยอยู่ในที นั่นยิ่งทำให้ผมยิ่งอยากรู้ทุกเรื่องทั้งหมดของดิออนไวๆ



   “ปกป้องดิออนหรอ ปกป้องจากอะไร”



   สุดท้ายก็ไม่สามารถหาคำตอบอะไรต่อได้ในคืนนี้ ผมเลยต้องยอมจำใจนอนแล้วตั้งหลักกันใหม่ในพรุ่งนี้ ผมมีแผนต่อไปในหัวเรียบร้อยแล้ว



   ผมตื่นเช้าด้วยความสดใส วางแผนไว้เรียบร้อยว่าจะต้องพาดิออนไปเจอกับเพื่อนแฝดตามที่คิดไว้ให้ได้ อย่างน้อยนิมิตของฟาติมากับฟารีดาก็ไม่สามารถบิดเบือนความจริงได้ น่าจะได้ข้อมูลหรืออะไรเพิ่มเติมจากทั้งคู่บ้างแหละ



   ผมลงมาร่วมทานมื้อเช้าก็เจอดิออนนั่งทานข้าวกับคุณตาและพี่แมทอยู่ก่อนแล้ว วันนี้ดิออนดูผ่อนคลายขึ้นแต่ก็ยังดูเงียบๆ อยู่ดี



   “เป็นเจ้าบ้านแท้ๆ แต่ตื่นเอาทีหลังเพื่อน”



   เสียงพี่แมทแซวตั้งแต่เห็นผมลากเท้าเข้ามายังห้องอาหาร ผมซ่อนมือไว้ข้างหลัง ก่อนจะแอบร่ายมนตร์เหยาะพริกไทยเข้าไปในโจ๊กของพี่แมท



   “ก็มันนอนไม่หลับ...ก็เลยนอนดึก มอร์นิ่งฮะตา ฮายดิออน”



   คุณตาอมยิ้มเบาๆแล้วพยักหน้า ส่วนดิออนแค่หรุบตาลงเป็นการทักทายตอบ จะขี้เก๊กคีพคูลไปถึงไหน



   “แค่กๆๆ ไอมิ แกใส่อะไรในโจ๊กวะเนี๊ยะ” เสียงพี่แมทโวยวายปนไอออกมาจนผมรู้สึกแสบคอแทน



   “อะไรกัน ใส่อะไร ตอนไหน ไม่มี” ผมลอยหน้าลอยตาพูดก่อนจะหยิบซอสปรุงรสมาปรุงชามโจ๊กของตัวเองที่ถูกตักเตรียมไว้อยู่แล้ว



   “ต้องให้ตาบอกอีกกี่ครั้งว่าอย่าเล่นกับอาหาร”



   เสียงคุณตาดุขึ้นไม่จริงจังนัก ผมเลยต้องก้มหัวขอโทษพร้อมกับยิ้มเจื่อนๆคล้ายสำนึกผิด เมื่อพ้นสายตาคุณตาจึงยักคิ้วให้พี่แมทหนึ่งทีเป็นการเยาะเย้ย ผมเห็นจากหางตาว่าดิออนมองผมอยู่ จึงหันไปมองตอบ



   ดิออนมองสู้ ไม่ได้หลบสายตาแต่อย่างใด เราทั้งคู่เหมือนสบตากันอยู่อย่างนั้นชั่วขณะนึง ก่อนเป็นผมที่เลื่อนสายตามาที่โจ๊กตรงหน้า



   “วันนี้ช่วงสายๆ ว่าจะออกไปซื้อของใช้ส่วนตัวนิดหน่อย เมื่อคืนมีอะไรขาดเหลือรึเปล่า ผมพาดิออนไปด้วยดีไหมตา เผื่ออยากได้อะไรเพิ่มเติม” ท้ายประโยคผมหันไปหาเสียงสนับสนุนจากตา



   “ก็ดี มีอะไรขาดเหลือก็จัดการซื้อให้เรียบร้อย ไม่ต้องเกรงใจนะ”



   เยส! แค่คุณตาเห็นด้วยก็สบายละ



   “ครับ” ดิออนตอบรับอย่างสุภาพ ก่อนจะก้มหน้าก้มตากินโจ๊กในชามต่อ



   “ให้แน่นะมิเกลว่าพาดิออนไปซื้อของ ไม่ใช่ชวนกันไปเล่นอะไรแผลงๆ”



   พี่แมทจะพูดให้เสียเรื่องทำไมเนี๊ยะ ไม่รู้เวล่ำเวลาเลย เดี๋ยวตาก็ไม่ยอมให้ไปหรอก



   “ไปห้างแปบเดียวเดี๋ยวก็กลับ ไม่เชื่อก็รอถามลีโอก็ได้ เดี๋ยวพาลีโอไปด้วย”



   “เดี๋ยววันนี้จะดูมิเกลให้นะแมทธิว รับรองไม่มีเถลไถล” ลีโอเดินเข้ามาในห้องเหมือนรู้จังหวะ ก่อนจะกระโดดขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ตัวถัดจากผม



   “หึ ยิ่งพากันสนับสนุนละสิไม่ว่า เข้าขาอย่างกับอะไรดี”



   พี่แมทส่ายหน้าเหมือนไม่เชื่อ แต่ผมไม่สนใจ ยังไงวันนี้ก็ต้องพาดิออนออกไปข้างนอกให้ได้ พอหันไปหาดิออน เจ้าตัวกำลังตกอยู่ในอาการอึ้ง อ้าปากค้างจนหลุดธีมไปซะอย่างนั้น จ้องไปที่ลีโอตาไม่กะพริบเลย



   “อ๋อ นี่ลีโอ เป็นสัตว์ประจำตัวของชั้นเอง เป็นแมวพูดได้ เจ๋งไปเลยใช่ไหมล่ะ” ผมพูดอวดสรรพคุณลีโอกับดิออน



   “หวัดดีดิออน ยินดีที่ได้รู้จักนะ เหมียววววว”



   ลีโอพูดพร้อมกับส่ายหางไปมาเป็นการอวดโฉม โธ่เอ้ย...ปกติเคยร้องว่าเหมียวซะที่ไหน



   “หวัดดี”



   ดิออนเองก็ตอบรับอย่างอึ้งๆ คงไม่รู้จักสัตว์ประจำตัว ยิ่งไปกว่านั้นคือลีโอเป็นแมวพูดได้



   “งั้นเดี๋ยว 11 โมงเจอกันนะ อยากได้อะไรก็ลิสท์ไว้ละกัน” ผมพูดทิ้งท้ายก่อนจะกินโจ๊กต่ออย่างอารมณ์ดี



   ผมแต่งตัวสำหรับออกไปข้างนอกเมื่อใกล้ถึงเวลานัด พร้อมทั้งโทรและไลน์นัดเพื่อนแฝดให้ไปเจอกันที่ห้างตอนบ่ายโมงนิดๆ คิดว่าจะคุยกันตอนทานมื้อเที่ยงด้วยกัน พร้อมวานให้สองคนนั้นช่วยจองห้องไพรเวทรูมสำหรับมื้อเที่ยงด้วย



   วันนี้พาลีโอไปด้วย ลีโอยืนยันที่จะอยู่ในร่างของแฮมสเตอร์จิ๋วเพื่อเข้ามาซุกตัวในกระเป๋าเสื้อตรงอกผม มากกว่าอยู่ในร่างแมวให้ผมสะพายเป้าสีใสทรงอวกาศเหมือนที่คนนิยมกัน เพราะหลายๆครั้งจะเจอพวกทาสแมวเข้ามาเล่นด้วย ลีโอบอกว่ามันรู้สึกอึดอัดและกลัวลืมตัวโวยวายเสียงดังใส่



   ส่วนดิออนแต่งตัวสบายๆในชุดเสื้อเชิ้ตกางเกงยีน แต่ก็ยังดูดีไร้ที่ติ รูปร่างเขาเหมาะจะเป็นนายแบบจริงๆ



   “นายอยากได้อะไรเป็นพิเศษรึเปล่า”



   ผมหันไปถามดิออนเมื่อขึ้นมานั่งบนรถไพรเวทแท็กซี่แล้วเรียบร้อย



   “จริงๆ ก็ไม่มีอะไรต้องซื้อ อาจจะดูเสื้อผ้าสองสามชุด กับกีตาร์ซักตัว ตัวเก่ามันเสียไปแล้ว ผมไม่ได้หยิบมาจากบ้าน”



   ให้ตายสิ นี่เป็นประโยคที่ยาวที่สุดที่ดิออนพูดกับผมตั้งแต่เจอกันเมื่อวานเลยก็ว่าได้



   “โอเค”



   “ถามอะไรหน่อยดิ”



   นอกจากจะพูดยาวขึ้นแล้วยังขี้เสือกขี้สงสัยขึ้นด้วยหรอเนี๊ยะ ออกจากบ้านหน่อยเดียวเปลี่ยนเป็นคนละคนเลยนะ



   “อะไรหรอ”



   ดิออนดูท่าทางลังเลจะถาม ก่อนหันไปมองคนขับรถแท็กซี่เป็นสัญญาณว่าไม่อยากให้เขาได้ยิน



   “ถามได้” ผมพูดพร้อมกับใช้เวทมนตร์ปรับเสียงวิทยุในรถให้ดังขึ้นกว่าเดิม “แค่นี้ก็ไม่ได้ยินที่เราคุยกันละ”



   “เรื่องสัตว์ประจำตัว พ่อมดแม่มดทุกคนจะต้องมีสัตว์ประจำตัวหรอ”



   อยู่ๆดิออนก็ถามเรื่องนี้ขึ้นมา คงยังติดใจกับลีโอไม่หาย



   “ก็ไม่ทุกคนนะ จริงๆ เป็นส่วนน้อยด้วยซ้ำ” ผมตอบดิออนก่อนจะหยิบลีโอที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อออกมาอุ้มไว้ในมือ “สัตว์ประจำตัวจะมีความสามารถในการใช้เวทมนตร์ หรือความสามารถพิเศษเฉพาะตัวต่างกันออกไป อย่างเจ้าลีโอเป็นแมวที่สามารถเลียนแบบได้ ตอนนี้ก็เลยกลายเป็นแฮมสเตอร์นี่”



   “ว่ากันว่า...สัตว์ประจำตัวของพ่อมดแม่มดจะเกิดและตายพร้อมกับเจ้าของ และมีเจ้าของเพียงคนเดียวชั่วอายุของมัน ส่วนจะเป็นสัตว์ประเภทไหนก็แล้วแต่จะได้มา”



   ดิออนพยักหน้าช้าๆ เป็นอันว่าเข้าใจที่ผมอธิบาย “แล้วเมื่อคืนมีอะไรรึเปล่า”



   ผมสะดุ้งเล็กน้อยที่อยู่ๆ เจ้าตัวก็ถามเรื่องนี้ขึ้นมา เห็นเมื่อเช้าไม่ได้ทักเรื่องนี้คิดว่าจำไม่ได้หรือไม่รู้สึกตัวแล้วซะอีก



   “เปล่า แค่มีอะไรสงสัยนิดหน่อย แต่ช่างมันเถอะ” ผมตอบปัดไปก่อนจะมองออกไปนอกรถ



   เมื่อถึงห้างผมก็พาดิออนตรงเข้าไปที่โซน Luxury Brand ทันที เพราะยังไม่รู้ว่าเจ้าตัวมีแบรนด์ไหนที่ชื่นชอบเป็นพิเศษหรือใช้เป็นประจำหรือเปล่า ห้างวันธรรมดาไม่ได้มีคนพลุกพล่านเหมือนอย่างวันหยุด เลยเดินได้สบายๆไม่ต้องระวังตัวมาก



   “ปกตินายใส่แบรนด์ไหนเป็นประจำ?”



   “ไม่มี...ชอบก็ซื้อ”



   “งั้นเริ่มที่ร้านนี้ก็แล้วกัน ค่อยๆดูไปทีละร้าน” ผมลากดิออนเข้าร้านประจำที่เป็นแบรนด์แฟชั่นชั้นนำระดับโลก แต่ราคาแพงระดับจักรวาล



   “เดี๋ยว...ผมว่ามันแพงไป ผมไม่ได้มีเงินเยอะขนาดนั้น”



   ผมหันกลับไปมองอย่างนึกสงสัย ตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยเจอพ่อมดแม่มดที่มีฐานะยากจนเลย บางคนอาจจะไม่ได้ร่ำรวยมากนักแต่ส่วนใหญ่ก็มีกำลังทรัพย์มากพอที่จะซื้อของพวกนี้ได้สบาย



   “นี่บ้านนายไม่รวยหรอ” เหมือนผมจะพูดออกไปโดยไม่ทันระวังคำพูด ดิออนเลยคิ้วขมวดติดกันเหมือนจะไม่สบอารมณ์อยู่หน่อยๆ “โทษที คือชั้นคิดว่าปกติพ่อมดแม่มดไม่ได้มีปัญหาเรื่องเงินกันเท่าไหร่ ไม่ได้ตั้งใจจะดูถูกดูแคลนอะไร เอาเถอะ...ยังไงนายก็มาอยู่ความดูแลของตา เดี๋ยวชั้นจ่ายให้เอง”



   “ผมจ่ายเองได้ แต่ไม่ใช่ของฟุ่มเฟือยพวกนั้น”



   สีหน้าดิออนดูผ่อนคลายลง คงเข้าใจในสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อ แต่ก็ยังไม่ยอมรับน้ำใจจากผมอยู่ดี



   “มาเถอะ...เดี๋ยวจ่ายเอง นายไม่รู้หรอว่าบ้านชั้นรวย ซื้อห้างนี้ทั้งห้างนี้ยังได้เลย”



   ผมไม่รอให้ดิออนปฏิเสธ รีบลากแขนเดินเข้ามาในร้าน ตั้งใจจะดูเสื้อโค้ทตัวใหม่สำหรับไปเกาหลีด้วย



   “สวัสดีค่ะคุณไมค์”



   พนักงานต้อนรับทักทายด้วยชื่อล่าสุดที่ผมใช้อยู่ เพราะผมเป็นลูกค้าชั้นดีของแบรนด์นี้ ทุกคนในช็อปจำเป็นต้องจำผมให้ได้ ลำบากผมที่ต้องมาไล่ลบความจำทุกครั้งที่เปลี่ยนชื่อ



   ถ้าจะให้อธิบายเพิ่มเติม จริงๆก็ไม่เชิงเป็นเวทมนตร์ลบความทรงจำหรอก แต่เป็นการแทนที่ความทรงจำเก่าด้วยข้อมูลชุดใหม่ ซึ่งนั่นจะทำให้เจ้าตัวเกิดความสับสนแต่จะเลือกเชื่อข้อมูลชุดใหม่ที่ผมป้อนไปทันที ไม่อย่างนั้นผมคงเดินห้างลำบากเพราะหน้าตาแทบจะไม่แก่ลงตั้งแต่ห้างเปิดทำการขึ้นมา



   “เอาคอลเลคชั่นใหม่ล่าสุดให้คนนี้...ทุกชุด แล้วก็ดูโค้ทให้ผมซัก 3 ตัวนะ”



   ผมพูดพร้อมกับผายมือไปที่ดิออน พนักงานเห็นดังนั้นจึงรีบขออนุญาตเจ้าตัวพร้อมกับลากไปวัดตัวทันที ดิออนดูจะไม่เต็มใจนักแต่ก็ได้เพียงแค่อึกอัก



   “ไม่เห็นต้องขนาดนี้เลย” ดิออนพูดแย้งในขณะที่พนักงานกำลังวัดบ่าของเขา



   “เอาๆไปเถอะหน่า อย่าเรื่องมาก”



   “งั้นผมจะไม่ใส่” แน่ะ..มีขู่ด้วย



   “งั้นก็เลือกเฉพาะตัวที่ชอบไปก็แล้วกัน”



   ดิออนพยักหน้าอย่างจำยอม ก่อนจะยืนให้พนักงานวัดอีกสองสามที ถ้าว่ากันตามตรงไซส์ของดิออนแทบจะไม่ต้องวัดตัวเลยด้วยซ้ำ มองผ่านๆยังหยิบไซส์ได้ไม่ยาก พวกพนักงานคงอยากจะแต๊ะอั๋งเขาละสิ



   แล้วพนักงานก็เดินไปจัดคอลเลคชั่นใหม่ทั้งราวเข็นมาให้ดิออนเลือก ซึ่งเจ้าตัวก็ดูไม่ได้ตั้งใจเลือกมากนากแต่ก็เลือกอะไรที่ดูสบายๆ ไม่มีลูกเล่นที่ดูเป็นแฟชั่นจ๋า



   “ลีโอ อยากได้อะไรเป็นพิเศษรึเปล่า”



   ผมถามลีโอที่ซุกตัวอยู่กับอก แต่ได้คำตอบว่าไม่เอาอะไรทั้งนั้น ให้รีบๆซื้อของเพราะเจ้าตัวอึดอัดจะแย่แล้ว สุดท้ายทั้งผมและดิออนก็ได้เสื้อผ้าไปหลายถุงใหญ่ๆ จนต้องให้ทางห้างจัดส่งไปที่บ้าน ซึ่งก็ไม่มีปัญหาอะไร



   ผมพาดิออนไปดูกีตาร์ที่บอกว่าอยากได้ตรงโซนเครื่องดนตรี เห็นเจ้าตัวทั้งดู ทั้งลองดีดอยู่สองสามตัวก่อนจะตัดสินใจเลือกกีตาร์โปร่งตัวหนึ่ง ราคาไม่ได้แพงมากนัก



   “อันนี้ผมจ่ายเอง”



   “ตามใจ!” ผมพูดก่อนเดินไปดูเครื่องดนตรีตัวอื่นที่อยู่ใกล้ๆ กัน ผมชอบฟังแต่ไม่ชอบเล่น น่าจะเป็นไม่กี่อย่างที่ผมไม่คิดจะลองฝึก “เดี๋ยวแวะทานข้าวเที่ยงที่นี่เลยละกัน จองห้องไว้เรียบร้อยแล้ว มีเพื่อนจะแนะนำให้รู้จักด้วย”



   “อะไรนะ ไม่เห็นบอกก่อนว่าจะพาไปเจอคนอื่นด้วย”



   “ก็บอกอยู่นี่ไง” ดิออนมองค้อนผมอย่างหนัก “เอาหน่า เพื่อนชั้นก็เป็นแม่มด แถมนิสัยเฟรนด์ลี่ด้วย ไม่มีอะไรหรอก”



   ผมพาดิออนไปยังร้านอาหารที่นัดคู่แฝดเอาไว้ จากที่ไลน์คุยกันล่าสุด...ทั้งสองคนเข้าไปรอในห้องส่วนตัว พร้อมทั้งสั่งอาหารรอล่วงหน้าแล้ว



   “ว่าไงสาวๆ รอนานป่าว”



   ผมเดินนำดิออนเข้าไปในห้องด้วยเคยชินพร้อมกล่าวทักทาย แต่สายตาของคู่แฝดดูจะโฟกัสอยู่ที่ดิออนอย่างเดียวเลย



   “นี่ดิออน ที่บอกว่าจะแนะนำให้รู้จัก” ผมลากแขนดิออนให้ขยับเข้ามาใกล้ๆ เพราะเจ้าตัวมัวแต่ยืนแข็งเป็นหิน “คนซ้ายนี่ฟาติมา ส่วนคนขวานี่ฟารีดา เป็นฝาแฝดกัน เป็นเพื่อนสนิทชั้นเอง รู้จักกันไว้นะ เดี๋ยวเจอกันบ่อยๆนายคงแยกออกทั้งสองคนได้ไวขึ้น”



   “ยินดีที่ได้รู้จักนะดิออน มานั่งก่อนสิ นี่พวกเราสั่งอาหารรอไว้แล้ว มีอะไรที่ดิออนแพ้หรือทานไม่ได้รึเปล่า ถามมิแล้วมิบอกว่าไม่รู้ เราเลยสั่งแต่ของอร่อยไปก่อน” เป็นฟาติมาที่พูดยาวเหยียดทำความรู้จักกับดิออน



   ผมมองอาหารที่ทั้งคู่ตะบี้ตะบันสั่งจนเต็มโต๊ะ นี่จะสั่งเผื่อไปยังสัปดาห์หน้ากันเลยหรือไง



   “ไม่มีครับ ผมทานได้ทุกอย่าง”



   ผมลากแขนดิออนมานั่งเก้าอี้ตัวข้างๆ ก่อนหันไปร่ายเวทใส่ประตูให้เปิดออกจากข้างนอกไม่ได้ จะได้คุยกันสะดวก ซึ่งปกติถ้าเป็นไพรเวทรูมแบบนี้พนักงานจะไม่เดินเข้ามาสุ่มสี่สุ่มห้าอยู่แล้ว ยกเว้นเราจะกดปุ่มเรียก แต่ป้องกันไว้ย่อมดีกว่า



   ผมหยิบลีโอออกมาจากกระเป๋าเสื้อตรงอก ลีโอรีบคืนสภาพกลายเป็นแมวก่อนจะบ่นระงมว่าทั้งร้อนทั้งอึดอัด



   “ก็ช่วยไม่ได้ เป็นแมวอยู่ดีๆ เลือกจะเป็นหนูอยู่ในกระเป๋าเสื้อ”



   “วันนี้ลีโอสุดหล่อก็มาด้วย นี่ๆฟาติสั่งของโปรดให้ลีโอด้วยนะ”



   แล้วฟาติมากับฟารีดาก็ผลัดกันพูดจาเอาอกเอาใจลีโอ แต่ก็ยังไม่ลืมดีออน มีแต่ผมที่ดูจะเป็นหมาหัวเน่าของวันนี้ เห็นแบบนี้...เจ้าลีโอมีคนตามไอจีเกือบแสนด้วยบทบาทเซเลบแมวส้มชื่อดัง โดยมีฟาติมากับฟารีดาเป็นแอดมิน นั่นยิ่งทำให้เจ้าลีโออึดอัดเวลาต้องออกมาข้างนอก แต่เจ้าตัวก็ยังชอบที่จะเป็นนายแบบถ่ายรูปอยู่ดี



   “อาจจะเป็นดิออนก็ได้นะมิ ที่ชั้นเห็นจากนิมิตครั้งก่อนว่าได้ไปเรียนที่เกาหลีด้วยกัน มันเห็นไม่ชัดเท่าไหร่ แต่คิดว่าน่าจะใช่” อยู่ๆฟาติมาก็พูดย้อนทวนความจำที่เคยบอกไว้เมื่อวันก่อนที่เจอกัน



   ส่วนดิออนก็งงเป็นไก่ตาแตกที่ชื่อตัวเองตกเป็นหัวข้อบทสนทนาแปลกๆ นี้



   “อ๋อ ไม่ต้องแปลกใจหรอก ฟาติมากับฟารีดาเป็นแม่มดที่มีความสามารถในการมองเห็นทั้งอดีตและอนาคต” ผมหันไปอธิบายให้ดิออนฟัง “นายไม่อยากรู้ความเป็นมาของนายที่ลุงเบนไม่เคยเล่าให้ฟังหรอ”



   ดิออนเงียบไปเหมือนกำลังใช้ความคิด



   “ลองดูสิ ไม่มีอะไรเสียหายหรอก” ผมพูดโน้มน้าว และดิออนก็ตอบตกลง



   เราทั้งหมดเริ่มทานข้าวกัน โดยบทสนทนาส่วนใหญ่ตกเป็นของพวกเรา เว้นแต่ดิออน ถึงแม้ทั้งฟาติมาและฟารีดาจะชวนคุยขนาดไหน ดิออนเพียงแต่ตอบตามมารยาทก่อนจะก้มหน้าก้มตากินข้าว



   หลังจากทานข้าวเสร็จ ผมก็เรียกให้พนักงานมาเคลียร์โต๊ะพร้อมยกจานข้าวออกไป แล้วสั่งขนมหวานมาล้างท้อง แล้วจึงร่ายเวทใส่ประตูไว้เหมือนเดิม



   “ฟาติ ฟารี มาลองดูว่าเห็นอะไรบ้าง ให้ฟารีก่อนก็แล้วกัน”



   ฟารีดาเดินอ้อมมานั่งลงบนขอบโต๊ะก่อนขออนุญาตกุมมือดิออนไว้



   “ใส่แหวนไม้ด้วยหรอ” ฟารีดาทักขึ้นคงเพื่อไม่ให้ดิออนรู้สึกประหม่า “ปล่อยตัวปล่อยใจตามสบายนะดิออน”



   แล้วฟารีดาก็หลับตา ร่ายเวทเพื่อมองเห็นอดีตของดิออน



   “อดีตของดิออนแทบจะไม่มีอะไรต่างจากมนุษย์ปกติเลยมิ ส่วนใหญ่ก็ไปโรงเรียน เลิกเรียนก็กลับบ้าน มีแวะเล่นกีฬา เล่นดนตรีกับเพื่อนบ้าง เหมือนเด็กม.ปลายทั่วๆไป” ฟารีดาบรรยายคร่าวๆ ในสิ่งที่ตัวเองมองเห็นจากในนิมิต “ไม่มีอะไรแปลกเลย ยกเว้นนกอินทรีย์ตัวนั้น ตัวใหญ่ๆ ขนสีดำสนิททั้งตัว”



   แล้วฟารีดาก็ลืมตาขึ้น ทุกคนจึงหันไปหาดิออนเพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติม



   “นกอินทรีหรอ นกอินทรีตัวนั้นทำไมหรอ” ดิออนถามขึ้นอย่างประหลาดใจ



   “มันเป็นสัตว์ประจำตัวของดิออน เหมือนลีโอของมิเกลไง ตอนนี้นกตัวนั้นไม่ได้ตามดิออนไปอยู่ที่บ้านของมิเกลใช่ไหม” ฟารีดาอธิบายให้ดิออนฟังก่อนจะถามกลับจากสิ่งที่เธอเห็น



   “ผมไม่รู้ว่านกตัวนั้นเป็นสัตว์ประจำตัวของผม ตั้งแต่เด็กก็จะเห็นมันคอยเกาะอยู่บนต้นไม้ตรงข้ามกับห้องนอน คิดว่าเป็นนกที่หลงกับแม่ของมันตั้งแต่มันยังเล็กๆ มันเลยไม่ยอมไปไหน แต่ก็ไม่เห็นมันพยายามพูดกับผมเหมือนอย่างลีโอ”



   ผมไม่คิดเลยว่าดิออนจะมีสัตว์ประจำตัว ยิ่งดิออนเป็นเพียงพ่อมดเลือดผสม เพราะแม้แต่พ่อมดแม่มดปกติอย่างเพื่อนในกลุ่มไม่ว่าจะคู่แฝดหรืออีวาน หรือจะเป็นคนในครอบครัวคนอื่นๆต่างก็ไม่มีสัตว์ประจำตัว แต่ทำไมเลือดผสมอย่างดิออนถึงมี



   “ดิออน ไม่ใช่สัตว์ประจำตัวทุกตัวจะพูดได้เหมือนลีโอหรอกนะ ลีโอเป็นส่วนน้อยหน่ะ ส่วนใหญ่จะพูดไม่ได้แต่เข้าใจในสิ่งที่เราพูด” ผมอธิบายให้ดิออนเข้าใจ



   “ถ้าอย่างนั้นผมต้องทำยังไงกับมัน”



   “ก็ต้องไปรับมันมาอยู่ด้วยกัน เป็นสัตว์ประจำตัวยังไงก็ต้องอยู่ด้วยกัน” เป็นฟารีดาที่ตอบ



   ดิออนพยักหน้าอย่างเข้าใจ



   “ฟาติ มาดูหน่อย” ผมพยักหน้าเรียกฟาติเข้ามาต่อ



   ฟาติมาเดินมาแทนที่ฟารีดาแล้วจับมือของดิออนขึ้นมาก่อนหลับตาร่ายเวท ซึ่งที่จริงแล้วความสามารถของฟาติมาไม่จำเป็นต้องสัมผัสกับตัวดิออนก็เห็นนิมิตถ้ามันจะเห็น



   “มือคู่นี้ใช้ควบคุมไฟ” ฟาติมาพูดทั้งๆที่ยังหลับตาอยู่



   “อันนั้นผมรู้อยู่แล้ว” เป็นดิออนที่พูดออกมาหน้าซื่อ



   “อ้าว แล้วเมื่อวานที่ชั้นถาม นายบอกว่าไม่มี”



   “ลุงเบนบอกผมตั้งแต่วันที่ผมรู้ว่าตัวเองเป็นอะไรว่าผมสามารถควบคุมไฟได้ แต่ตอนนี้ผมยังทำไม่ได้ ผมเลยบอกคุณไปว่าไม่มี” ดิออนอธิบายขึ้นมา



   “ที่ยังควบคุมไม่ได้เพราะมันถูกบางอย่างปิดกั้นอยู่ ต้องใช้เวลา” ฟาติมาพูดต่อและยังคบหลับตาอยู่ เหมือนกำลังพยายามเรียบเรียงอะไรซักอย่างจากสิ่งที่เห็น



   “บางอย่างที่ว่าคืออะไรหรอฟาติ” เป็นผมที่ถามขึ้นเพราะความสงสัย แต่ฟาติมาก็ได้แต่ส่ายหน้าเพราะไม่รู้หรือมองไม่เห็น ผมก็ไม่ทราบได้



   “ฮึก!!!!”



   ยังไม่ทันที่ผมจะถามให้กระจ่าง อยู่ๆฟาติมาก็สะดุ้งเฮือกพร้อมกับปล่อยมือดิออนลงเหมือนจับโดนของร้อน แล้วมองหน้าผมกับดิออนสลับไปมา



   “ฟาติ มีอะไรหรอ โอเคไหม” ผมรีบลุกขึ้นยืนประคองเพื่อนที่ดูเหมือนจะตกใจอยู่



   “ปะ เปล่า” ฟาติตอบปฏิเสธก่อนจะหลบตาผม



   “จะเปล่าได้ยังไง ก็มิเห็นเหมือนฟาติตกใจจนต้องปล่อยมือดิออน”



   “ไม่มีอะไรหรอกมิ ก็แค่เห็นแกสองคนไปเรียนด้วยกัน ละอยู่ๆภาพในนิมิตมันตัดไป ก็เลยตกใจหน่ะ”



   ฟาติมาพยายามเรียบเรียงอธิบายช้าๆให้ผมเข้าใจ



   “อ้อ ก็อย่างที่เล่าให้ฟังว่าดิออนจะมาอยู่ด้วย คงได้ไปเรียนด้วยกันที่โซล และคงไปไหนมาไหนด้วยกัน” ผมพูดเสริมในสิ่งที่ฟาติมาเห็น



   แต่แท้ที่จริงแล้ว...เธอจะอธิบายกับเพื่อนสนิทของเธอได้อย่างไรว่าภาพที่เธอเห็นจากนิมิตคือสงครามนองเลือดที่มีทั้งสองคนเป็นจุดเริ่มต้น ไม่มีวันจบสิ้น และอาจจะเพลี่ยงพล้ำจนไม่มีใครรอดชีวิต แม้แต่ตัวเธอเอง






   สวัสดีวันอาทิตย์ที่ร้อนตับแตกค่ะ เอาตอนที่ 5 มาเสิร์ฟให้แล้วนะคะ หวังว่าทุกคนที่อ่านมาถึงตอนนี้จะยังชอบนะคะ อยากให้ติดตามกันต่อไป เอาใจช่วยมิเกล ว่าจะเอาชนะโชคชะตาของตัวเองได้หรือเปล่า ส่วนดิออนจะใช่พระเอกอย่างที่เดากันไว้ไหม

   อย่าลืมดูแลตัวเอง รักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ ด้วยความเป็นห่วงค่ะ


ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ HamsteR

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 140
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Lalilda

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ตอนที่ 6


        ผมกับดิออนแยกทางกับคู่แฝดเมื่อซัก 1 ชั่วโมงที่แล้ว โดยพวกเราตั้งใจจะไปยังบ้านเดิมของดิออนซึ่งอยู่อีกฝั่งของกรุงเทพ เป็นชานเมืองที่เกือบจะออกไปปริมณฑล



        เราเดินทางโดยไพรเวทแท็กซี่จากแอปพลิเคชันเรียกรถที่ผมใช้บริการเป็นประจำ อาจจะเพราะเป็นช่วงบ่ายแก่ๆ เป็นช่วงที่โรงเรียนกำลังเลิกพอดี ทำให้การจราจรไม่ได้ลื่นไหลมากนัก เอาไว้ขากลับค่อยใช้เวทมนตร์เคลื่อนย้ายทั้งผมและดิออนกลับบ้านก็แล้วกัน เพราะถ้าเจอเจ้านกอินทรีของดิออนก็คงต้องพากลับไปด้วย จะนั่งรถกลับคงไม่สะดวกเท่าไหร่



        บ้านของดิออนเป็นบ้านสองชั้นอยู่ในหมู่บ้านจัดสรรขนาดกลาง บ้านดูไม่เก่าไม่ใหม่ ซึ่งเจ้าตัวกำลังกดออดเรียกลุงเบนให้เปิดประตู แต่เหมือนจะไม่มีใครอยู่ในบ้าน ดิออนเลยใช้วิธีการโทรหาลุงเบนแทนแต่ก็ดูเหมือนจะติดต่อไม่ได้ แถมดิออนเองก็ไม่ได้พกกุญแจสำรองติดตัวมาด้วยเพราะไม่คิดว่าจะต้องกลับมาที่บ้านหลังนี้วันนี้



        “ลีโอ ช่วยหน่อยนะ เข้าไปดูให้หน่อยว่าลุงเบนอยู่ในบ้านรึเปล่า”



        ลีโอที่เปลี่ยนกลับมาเป็นร่างแมว กระโดดปีนรั้วบ้านก่อนหายเข้าไปสำรวจรอบบริเวณบ้าน ซักพักก็เดินนวยนาดออกมา



        “ไม่มีใครอยู่ในบ้านหลังนี้มิ ยกเว้นบนต้นไม้ข้างบ้าน รู้สึกเหมือนมีตัวอะไรซักอย่าง อาจจะเป็นนกอินทรีที่เรามาหาก็ได้”



        ถึงแม้ว่าในซอยบ้านดิออนไม่ได้มีคนพลุกพล่านนักแต่ก็ยังมีคนสัญจรไปมาไม่ขาดสาย ด้วยเป็นช่วงโรงเรียนเลิกพอดี ถ้าเกิดผมพาดิออนหายตัวเข้าไปในรั้วคงต้องมีคนช็อกตายเป็นแหง



        “งั้นพังก่อนแล้วกัน เดี๋ยวค่อยซ่อมเอา”



        พูดจบผมไม่รอให้ดิออนได้ทักท้วงอะไร ยกมือขึ้นร่ายมนตร์พังประตูเหล็กบานเล็กที่ใช้สำหรับเดินเข้าออกหลุดร่วงลงพื้นทั้งบาน ดิออนดูจะอึ้งๆอยู่หน่อย



        “ชั้นไม่อยากเสียเวลารอ รีบเข้าไปข้างในกันเถอะ”



        ดิออนเปลี่ยนเป็นมองเขม็งก่อนจะส่ายหัวช้าๆ แล้วเดินนำเข้าไปในบริเวณบ้าน มันน่าตบกะโหลกให้ซักทีไอเด็กนี่



        บริเวณบ้านของดิออนมีพื้นที่ขนาดกลาง ไม่เล็กและไม่ใหญ่จนเกินไป ตัวบ้านถูกปลูกไว้ตรงกลางพอดี รอบบ้านมีสนามหญ้าปลูกคลุมพื้นดินเอาไว้ ฝั่งซ้ายเป็นโรงจอดรถสำหรับ 1 คัน ส่วนฝั่งขวามีต้นไม้ใหญ่ปลูกเรียงรายอยู่ห้าหกต้นเห็นจะได้ โดยต้นที่สะดุดตาที่สุดคงไม่พ้นต้นไทยย้อยที่เป็นต้นในสุด ดิออนก็พาเดินมาหยุดอยู่ตรงต้นนี้พอดี



        “ปกติผมจะเห็นนกอินทรีตัวนั้นเกาะอยู่บนต้นนี้ แต่ก็ไม่ได้เห็นทุกวันหรอก”



        “ตรงนี้แหละมิ รู้สึกได้เลย” ลีโอพูดเสริม



        ผมมองขึ้นไปแทบจะมองไม่เห็นข้างในของต้นเลย เพราะมีใบไม้และเถาวัลย์ห้อยลงมาปกคลุมเต็มไปหมด



        “นายลองเรียกมันออกมาสิ”



        “เรียกยังไง ผมเรียกเป็นที่ไหน” ดิออนย้อนถามผม



        “จะเรียกออกเสียง เรียกในใจก็เรียกเถอะ เรียกให้มันออกมา ถ้าเป็นสัตว์ประจำตัวเรามันต้องออกมา”



        ดิออนมองผมเหมือนไม่เข้าใจเท่าไหร่ก่อนจะหลับตาแล้วนิ่งไป ทันใดนั้นเหมือนจะมีอะไรซักอย่างขยับไปมาบนต้นไม้จนทำให้ใบไม้สั่นไหวไปทั้งต้น ผมยกมือร่ายเวทบังคับเถาวัลย์เลื้อยขึ้นไปมาเป็นการกดดันให้มันเผยตัวออกมา และไม่นานก็ปรากฏนกอินทรีตัวใหญ่ มีขนดกดำทั้งตัวบินออกมาจากต้นไม้แล้วขึ้นไปเหนือตัวบ้าน



        “โห”



        ลีโอกระโดดเข้ามาหลบหลังผมตามสัญชาตญาณ เพราะขนาดของตัวมันยามสยายปีกนั้นใหญ่มาก อีกทั้งยังดูน่าเกรงขามสมกับเป็นราชาแห่งท้องนภา



        “นี่มันรอนายอยู่ในต้นไม้นี้นานแค่ไหนแล้วเนี๊ยะ”



        มันบินวนขึ้นไปบนฟ้าก่อนจะบินโฉบลงมาที่ๆ พวกผมยืนอยู่แล้วบินขึ้นไปเกาะตรงกิ่งของต้นไทร ที่ๆเรามองเห็นๆ ได้ชัดๆ



        “ดิออน บอกกับมันเหมือนที่ทำเมื่อกี้ ว่าเราจะพาไปอยู่ด้วยกัน”



        ผมพูดกับดิออนพร้อมกับร่ายเวทเรียกท่อนไม้ซักอันออกเป็นไม้เท้าที่สูงประมาณอกของดิออน ตรงยอดมีแท่นไว้สำหรับให้เจ้านกนั่นเกาะ ก่อนยื่นให้ดิออน



        “ให้มันเกาะตรงนี้” ผมตบไหล่ดิออนเพื่อให้กำลังใจ “อย่าไปกลัวนะ มันจะไม่มีวันทำร้ายนาย”



        ผมถอยออกจากดิออนสองสามก้าวเพื่อให้พื้นที่และไม่ให้เจ้านกอินทรีนี่ระแวงผม ก่อนจะหันไปร่ายเวทใส่ประตูเหล็กที่ทำพังไปเมื่อกี้ให้มันปิดขึ้นมาตามเดิม ไว้ให้ดิออนบอกลุงเบนทีหลังให้ตามช่างมาซ่อมแล้วกันนะ



        เมื่อไหร่ที่นกตัวนั้นเกาะตรงท่อนไม้ ผมจะพาพวกเราทั้งหมดกลับบ้านทันที และทันทีที่ดิออนหลับตาเพื่อทำสมาธิ เจ้านกนั่นบินขึ้นอีกครั้งสยายปีกแสดงให้เห็นถึงความน่าเกรงขาม



        “แอ๊!!”



        มันเปล่งเสียงร้องก้องใสกังวานก่อนจะบินลงมาเกาะตรงแท่นไม้ที่ดิออนถืออยู่ ผมใช้เวลานี้เพียงเสี้ยววินาที ร่ายเวทเพื่อเคลื่อนย้ายพวกเราทุกคนกลับมาที่บ้านของผม



        หลังจากที่ย้ายทุกคนกลับมายังบ้านโดยมาโผล่ตรงบริเวณสวนหน้าบ้านแล้ว เจ้านกอินทรีนั่นบินขึ้นฟ้าพร้อมร้องดังระงมไปทั่วทั้งบริเวณ



        “นี่ นายบอกให้มันเงียบๆ แล้วบินลงมาข้างล่างนี่มา”



        แต่ยังไม่ทันที่ดิออนจะทำอะไร คุณตาก็เดินออกมาจากบ้านแล้วมองมาที่พวกผมทั้งคู่ ก่อนจะแหงนหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้าที่เจ้านกอินทรีนั่นบินวนอยู่เหนือบ้าน



        “ออกคำสั่งให้มันลงมา” คุณตาไม่พูดพร่ำทำเพลง หันไปพูดกับดิออนทันที



        ว่าแต่ทำไมตาถึงรู้ว่านกอินทรีตัวนั้นเป็นสัตว์ประจำตัวของดิออน ยังไม่มีใครพูดอะไรเลยด้วยซ้ำ หรือตาจะได้ยินที่ผมบอกดิออนแล้วเดาออกโดยทันทีก็ไม่น่าจะใช่



        “ลงมา” ดิออนออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจนผมหดคอสะดุ้งโหยง ทีตอนผมสอนทำเป็นขมุบขมิบ ทีอย่างนี้ทำเป็นเข้ม



        สิ้นเสียงคำสั่ง นกอินทรีตัวนั้นก็บินโฉบลงมาเกาะกับท่อนไม้เท้านั่นอีกครั้ง



        “ตารู้อยู่แล้วหรอว่าเจ้านกนี่เป็นสัตว์ประจำตัวของดิออน” ผมหันไปถามตา



        “ใช่ เอาไว้ค่อยคุยเรื่องนี้ทีหลัง” ตาหันมาบอกผมก่อนจะหันไปหาดิออน “ดิออน นกอินทรีตัวนี้ไม่ใช่นกธรรมดา ตั้งสมาธิแล้วออกคำสั่งให้มันแสดงความสามารถของมันออกมา”



        ดิออนเหมือนจะยังงงอยู่ เลยหันมาถามผมเหมือนขอคำอธิบายเพิ่ม



        “ก็เหมือนที่เจ้าลีโอแปลงกายได้ไง” ดิออนพยักหน้าเป็นอันเข้าใจ



        “เจ้าทำอะไรได้ ขอดูหน่อย” ดิออนพูดกับเจ้านกตัวนั้น ส่วนผมยืนกลั้นขำอยู่ข้างหลังคุณตา พยายามเม้มริมฝีปากไม่ให้หลุดเสียงออกไป มันออกจะน่าขำอยู่หน่อยๆ แต่คงเพราะดิออนยังใหม่ เลยดูไม่เป็นธรรมชาติเหมือนอย่างผมกับลีโอ หรือคุณตากับวีเซิล



        เจ้านกอินทรีตัวนั้นร้องแอ๊เป็นการตอบรับ ก่อนจะเริ่มสยายปีกบินขึ้นไปบนฟ้า แล้วกระพือปีกถี่ขึ้นบังเกิดเป็นลมแรงออกมาจากปีกคู่นั้น



        “ลมหรอตา?”



        “นกตัวนี้สามารถเรียกใช้ธาตุได้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นธาตุลม”



        และเหมือนจะยิ่งได้ใจ นกตัวนั้นบินวนขึ้นไปบนฟ้าแล้วบินเป็นวงกลมก่อนจะเกิดเป็นพายุขนาดเล็กๆ หมุนตามแนวบินของมัน



        “นี่ๆ นายบอกให้มันหยุดก่อน จะพังบ้าน พังต้นไม้บ้านชั้นรึไง” ผมรีบตะโกนบอกดิออน เมื่อเห็นว่าเจ้านกนั่นเอาใหญ่



        “พอได้แล้ว ลงมาเถอะ”



        แล้วเจ้านกอินทรีนั่นก็หยุด ทั้งพายุและลมเงียบสงบลง ตัวมันบินโฉบลงมาเกาะแท่นไม้ตามเดิม



        “เจ้านกตัวนี้เป็นนกที่พิเศษมาก สัตว์ประจำตัวที่สามารถเรียกใช้ธาตุหลักแบบนี้นับว่ามีน้อยมากจนแทบจะหาไม่ได้แล้ว ถ้าสามารถประยุกต์ใช้กับธาตุไฟของเจ้าน่าจะเสริมกันได้ดี รีบตั้งชื่อให้เจ้านกตัวนี้ซะนะ เลี้ยงเอาไว้ในสวนนี่แหละ ถึงมันจะพูดไม่ได้เหมือนอย่างลีโอ แต่มันเข้าใจทุกอย่างที่บอกมัน ดังนั้นรีบทำความคุ้นเคยซะ”



        “ครับ ขอบคุณครับ”



        “ให้ชั้นตั้งชื่อให้ดีมะ” ผมรีบเสนอตัวเองช่วยตั้งชื่อให้เจ้านกอินทรี ดิออนเพียงแค่มองผ่านก่อนหันไปสนใจเจ้านกนั่นต่อ เมินน้ำใจของผมไปซะงั้น



        ผมเดินตามคุณตาเข้ามาในบ้านเพื่อจะได้ซักไซ้ถามเรื่องที่ตัวเองสงสัยอยู่ในใจจนอกจะแตกตายอยู่แล้ว



        “รู้หรือเปล่าว่าทำแบบนี้มันอันตราย ถ้านกตัวนั้นมันไม่ได้เชื่อง ไม่ได้เชื่อฟังดิออนเป็นทุนเดิมแล้วทำอันตรายใส่คนอื่นขึ้นมา จะทำยังไง”



        เมื่อเดินเข้ามาในบริเวณตัวบ้านแล้ว เป็นผมที่ได้รับคำบ่นแทนที่จะได้ซักถามเอาจากตา



        “ขอโทษฮะที่ไม่ได้คิดให้รอบคอบ แล้วตารู้เรื่องนี้ได้ยังไง” ผมรีบขอโทษก่อนจะรีบถามเพื่อเข้าประเด็น



        “เดิมทีเบนจามินแค่สงสัยว่าดิออนอาจจะมีสัตว์ประจำตัวเป็นนกตัวนี้ เพราะมันเกาะอยู่บนต้นไม้ต้นนั้นตั้งแต่ตอนที่ดิออนยังเด็ก แต่เพราะตระกูลของเบนจามินไม่เคยมีใครมีสัตว์ประจำตัวเลยได้แค่สงสัย จนเมื่อดิออนเริ่มโตขึ้นก็ยิ่งมั่นใจ จนดิออนอายุซัก 8-9 ขวบจึงมาปรึกษาตาว่าจะทำยังไงกับนกตัวนี้ ตาเลยบอกให้รอไปก่อน เพราะถ้านกตัวนี้เป็นสัตว์ประจำตัวของดิออนจริงๆ คงไม่เป็นอันตรายอะไร แต่อาจจะต้องระวังสายตาของคนทั่วไปก็พอ อีกอย่าง...ตอนนั้นดิออนยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นพ่อมดเลือดผสม มันคงไม่ง่ายที่จะอธิบายเรื่องทั้งหมดกับเด็กอายุไม่ถึง 10 ขวบ ตาเลยให้รอเวลา จนเมื่อดิออนอายุ 18 ตาคิดว่าให้ดิออนค่อยๆ รับรู้ไปน่าจะดีกว่า อย่าลืมว่าดิออนใช้ชีวิตเป็นมนุษย์มาตลอด ทุกอย่างจึงดูใหม่กับเขา ต้องให้เวลาเขาค่อยๆปรับตัว”



        “ครับ แล้วที่ดิออนสามารถใช้ธาตุไฟได้ แต่ทำไมถึงยังไม่สามารถเรียกใช้ได้ในตอนนี้ล่ะตา”



        “ดิออนเป็นพ่อมดเลือดผสมเพียงแค่หนึ่งส่วนสี่ เรียกให้ถูกต้องเรียกว่าลูกเสี้ยว การใช้เวทมนตร์จึงอาจจะไม่ง่ายนัก ถึงแม้จะสามารถเรียกใช้ธาตุไฟได้ แต่ก็ยังต้องฝึกฝนและจัดระเบียบความคิดในการใช้เวทมนตร์อยู่ดี ยิ่งเป็นธาตุไฟยิ่งไม่ใช่เรื่องง่าย อาจจะต้องฝึกจากการควบคุมไฟก่อน”



        คุณตาเดินอ้อมตัวผมก่อนจะไปหยุดอยู่ตรงหน้าต่างบานกระจกที่สามารถมองทะลุออกไปเห็นตรงสวนที่ดิออนยืนอยู่ได้ ดูเหมือนดิออนจะกำลังพยายามทำความคุ้นเคยกับนกอินทรีตัวนั้น แถมเจ้าลีโอด้วยอีก 1 ตัว ไม่รู้ไปยุ่งอะไรกับเขาด้วย



        “ผมมีเรื่องนึงที่สงสัย” คุณตาเงียบเป็นสัญญาณอนุญาตให้ผมถาม ส่วนจะตอบหรือไม่ตอบอีกเรื่องนึง “ดิออนมีเลือดของแวมไพร์ผสม แต่ทำไมถึงโดนแสงอาทิตย์ได้”



        หลายๆ คนอาจจะเคยได้ยิน ได้อ่านหรือได้ดู พวกหนังสือหรือภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับแวมไพร์ ผีดูดเลือด แดร็กคิวล่า ซึ่งส่วนใหญ่จะมีเงื่อนไขที่เป็นไปในทิศทางเดียวกันก็คือห้ามถูกแสงแดด หรือ ไม่สามารถมีชีวิตในช่วงเวลากลางวันได้ ซึ่งทฤษฎีที่ถูกนำไปใช้นั้น ถูกต้องเพียงแค่ครึ่งเดียว



        ในความเป็นจริงนั้นแวมไพร์สามารถใช้ชีวิตได้ในทุกช่วงเวลาเพียงแต่ห้ามโดนแสงของพระอาทิตย์ส่องตกลงมากระทบถึงผิวโดยตรง ว่ากันว่าจะทำให้ผิวค่อยๆ ไหม้เกรียมและถูกทำลายหายไปในที่สุด เหล่าแวมไพร์ส่วนใหญ่จึงนิยมอาศัยอยู่ประเทศที่เวลากลางคืนยาวนานกว่ากลางวัน หรือสภาพอากาศที่ไม่มีแสงแดดตลอดทั้งวัน



        “นั่นเพราะแหวนไม้มะกอกโบราณที่ดิออนใส่และดิออนมีเลือดแวมไพร์เพียงครึ่งเดียวละมั้ง” คุณตาอธิบายสั้นๆ เหมือนรีบตัดบท



        “ไม้มะกอกโบราณหรอฮะ” ผมทวนออกไปอย่างสงสัย ถึงแม้ผมจะไม่ได้เชี่ยวชาญธาตุพืชเหมือนอย่างคุณตา แต่ถ้ามันวิเศษขนาดนี้จริงๆ ผมต้องไม่เคยพลาดคุณสมบัติสำคัญข้อนี้ของไม้ชนิดนี้อยู่แล้ว



        “ว่ากันว่าไม้มะกอกโบราณต้นที่ใช้ทำแหวนของดิออน เป็นต้นเดียวกันกับที่ใช้ทำโลงศพของแวมไพร์ตนแรกของโลกใบนี้ ซึ่งไม่สามารถหาได้อีกแล้ว ที่ตามีอยู่เป็นเบนจามินที่ให้ตามาตั้งแต่ตอนที่ดิออนยังเด็กนัก เบนจามินบอกว่าได้มาจากน้องสาวของเธอหรือแม่ของดิออน เธอให้ไว้ก่อนจะคลอดดิออน ไม่มีใครรู้ว่าเธอได้มายังไง”



คุณตาอธิบายหยาวเหยียดให้ผมฟัง ซึ่งผมเองยังมีข้อสงสัยอยู่มาก แต่จะให้เรียบเรียงถามตาตอนนี้ก็คงยังประมวลผลไม่ทัน ขอไปเรียบเรียงทุกอย่างก่อน



        “แล้วไม่ต้องกินเลือดหรอตา”



        นี่ก็เป็นอีกหนึ่งข้อสงสัยที่ผมคิดไม่ตก และก็คงไม่สามารถหาคำตอบได้ด้วยตัวเอง ถึงแม้แวมไพร์จะสามารถกินอาหารเพื่อประทังความหิวได้เหมือนมนุษย์ปกติ แต่สำหรับแวมไพร์นั้น...เลือดเป็นเหมือนพลังงานที่ทำให้กลไกภายในของร่างกายยังคงทำงานได้ปกติและทรงพลัง รวมถึงการใช้ความสามารถพิเศษต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความแข็งแรง ความเร็ว ที่เพิ่มมากขึ้นกว่าปกติ



        “ตอนนี้ยัง”



        ตาพูดจบแล้วเดินขึ้นไปชั้นสองไปทันที ปล่อยให้ผมยืนงงเป็นไก่ตาแตก ตอนนี้ยังแปลว่าอนาคตจะต้องกินเลือดหรอ แล้วผมต้องระวังตัวเองไหมเนี๊ยะ



        ผมเองก็ไม่ค่อยรู้รายละเอียดเกี่ยวกับซาตานนัก ไม่ว่าจะเป็นแวมไพร์ มนุษย์หมาป่า หรือเผ่าพันธุ์อื่นๆ แม้แต่หนังสือยังมีบันทึกน้อยมากๆ เพราะพวกเขามักจะไม่เปิดเผยตัวตน รวมไปถึงรายละเอียดอื่นๆ ทำให้ยากต่อการศึกษา ดีไม่ดีหนังสือหรือบทความเกี่ยวกับแวมไพร์ของมนุษย์ยังจะมีมากกว่าของพ่อมดแม่มดซะอีก



        ผมหยิบไฟแช็กก่อนจะเดินไปหาดิออนที่ยืนอยู่ตรงลานกว้าง แล้วร่ายเวทเรียกหญ้าแห้งขึ้นมาหนึ่งกอง ไม่เล็กไม่ใหญ่ ก่อนจะจุดไฟขึ้นมา



        “ทำอะไรมิเกล”



        ลีโอขี้สงสัยถามขึ้นทันทีที่เห็นกองไฟลุกโชนขึ้นมา



        “ดิออน นายลองควบคุมไฟดู”



        “ก่อนที่ผมจะมาที่นี่ ผมลองดูแล้ว...แต่ไม่มีอะไรเกินขึ้น”



        “งั้นนายก็ต้องลองจนกว่าจะได้ผล มันคงไม่ฟลุคได้ขึ้นมาเองหรอก นายต้องฝึก”



        ดิออนถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย ก่อนจะปล่อยเจ้านกนั้นบินขึ้นฟ้า แล้วเดินเข้ามาใกล้ๆ กับกองไฟ



        “ที่ผ่านมานายจะลองยังไงก็ช่าง ชั้นจะสอนนายใหม่” ผมว่าก่อนจะเดินเข้าไปยืนข้างๆดิออน



        “นายยกมือขึ้นมาแบบนี้ แล้วค่อยๆเพ่งสมาธิไปที่ไฟ” ผมทำท่าทางให้ดิออนดู พร้อมกับอธิบายวิธีที่ผมถูกฝึกมา “หลังจากนั้นนายสั่งมันในใจ เช่นอยากให้มันลุกโชนขึ้นมาหรือให้มันดับมอดลง เราจะใช้มือของเราในการควบคุมมัน”



        ดิออนค่อยๆยกมือขึ้นทำท่าเหมือนผม แล้วหันมือเข้าหากองไฟ แต่ผ่านไปเกือบครึ่งนาทีแล้วทุกอย่างไม่มีอะไรไหวติง มีเพียงเปลวไฟที่สะพัดไปมา



        “มือ สมอง ใจ ทั้งสามต้องสัมพันธ์กัน ทันทีที่นายคิดเพื่อออกคำสั่ง ใจของนายจะต้องนิ่ง และมือจะต้องบังคับให้ไฟเป็นไปอย่างที่นายต้องการ”



        ดิออนยังคงพยายามอย่างเต็มที่แต่ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น



        “นายดูนี่”



        ผมยกมือขึ้นพร้อมกับค่อยตั้งท่าร่ายเวทเพื่อควบคุมดินให้ดิออนดู



        “ดินจงลอยขึ้นมา ลอยขึ้นมา ลอยไปยังตรงนั้น”



        ทันทีที่ผมออกคำสั่ง ก้อนดินสี่ห้าก้อนก็ลอยขึ้นช้าๆ ตามคำสั่งผม ก่อนจะลอยไปยังอีกฟากของกองไฟแล้วหล่นลงเมื่อผมลดมือออกจากการควบคุม



        “นายค่อยๆทำช้าๆ จำไว้ว่าไฟนี้เป็นของนาย มันต้องเชื่อฟังคำสั่งนาย ไม่ใช่ใครอื่น” ผมพูดเพื่อให้กำลังใจดิออน “ตั้งสมาธิให้ดี ลองดู”



        ดิออนค่อยๆ ยกทั้งสองมือขึ้นก่อนจะหลับตาลงเพื่อทำสมาธิ ก่อนจะลืมตาขึ้นมาแล้วกวาดมือไปยังกองไฟข้างหน้า



        ทันใดนั้นเอง กองไฟที่กำลังลุกโชนอยู่โดยไม่มีทิศทาง กลับถูกดิออนควบคุมบังคับขึ้นมาเป็นเส้นตรงขึ้นไป มันดูแผ่วเบาและพร้อมจะดับได้ทุกเมื่อ



        “นั่นไง นายทำได้แล้ว ค่อยๆบังคับ อ้าว!”



        อยู่ๆไฟที่ดูเหมือนถูกควบคุมอยู่ก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม พร้อมกับดิออนที่ยังคงค้างท่านั้นไว้ เหมือนยังคงตกใจอยู่



        “เห็นไหมว่านายทำได้ เอาใหม่ดิออน นายเริ่มต้นได้ดีแล้ว” ผมหันไปบอกดิออนอย่างดีใจ



        ดิออนเองก็มองผมตอบอย่างดีใจ ถึงแม้จะไม่ได้ยิ้มออกมา แต่สายตาที่ดูปีติ ตื่นเต้นระคนดีใจปิดไว้ไม่มิด





        สวัสดีค่ะ เอาตอนที่ 6 มาเสิร์ฟนะคะ ขอบคุณทุกคอมเม้นท์เลยค่ะ ช่วงนี้สถานการณ์แย่มาก ยังไงก็ดูแลตัวเองกันด้วยนะคะ ด้วยความเป็นห่วงจากใจจริงค่ะ

กู๊ดไนท์ค่ะ

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
เริ่มแนะนำล้าวว

ออฟไลน์ Lalilda

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ตอนที่ 7


   อีกเพียงสองสัปดาห์ก็จะถึงเวลาที่ผมต้องไปเรียนที่โซลประเทศเกาหลีใต้ โดยกลุ่มของผมจะมีกันทั้งหมด 4 คน มีผม ดิออน ฟาติมาและฟารีดา ยังไม่นับรวมเจ้าลีโอกับนกอินทรีของดิออนด้วยนะ ส่วนอีวานเพื่อนสนิทอีกคน อาจจะตามไปเรียนด้วยกันในภาคฤดูหน้า



   สำหรับโรงเรียนสอนเวทมนตร์ส่วนใหญ่จะไม่มีการจำกัดอายุชัดเจน ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไหร่ก็สามารถลงเรียนในคลาสที่สนใจได้ แต่เหมือนเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่พ่อมดแม่มดจะเริ่มฝึกลูกหลานของตัวเองที่บ้านเพื่อให้สามารถใช้เวทมนตร์เบื้องต้นได้ และเริ่มเรียนในโรงเรียนตอนอายุ 19-20 ปี (ซึ่งจะมีรูปร่างหน้าตาเทียบเท่ามนุษย์อายุ 12-14 ปี) โดยผมและพี่แมทได้เริ่มเรียนกับลุงแม็กซ์และป้าคาร่าสลับกันกับคุณตาตั้งแต่ยังเด็กๆ แต่พี่แมทนั้นทั้งเก่งและมีพรสวรรค์โดดเด่นมาก ทำให้ได้ไปเรียนในโรงเรียนตั้งแต่ผมเริ่มจำความได้ ส่วนผมตอนเด็กนั้นไม่แข็งแรงนัก กว่าจะเริ่มไปเรียนที่โรงเรียนได้ก็เกือบจะอายุ 25 เข้าให้แล้ว



   ขออธิบายซักหน่อยแล้วกันว่ารูปร่างหน้าตาของพ่อมดแม่มดนั้นจะมีช่วงเวลาที่เติบโตไม่คงที่เหมือนมนุษย์ โดยในช่วงวัยทารก ร่างกายของเราจะเติบโตช้ากว่ามนุษย์เป็น 2 เท่าเห็นจะได้ นั่นคือตอนที่พ่อมดแม่มดอายุ 10 ปี รูปร่างหน้าตาจะเทียบเท่ากับมนุษย์อายุ 5 ปี และรูปร่างหน้าตาของเราจะเริ่มหยุดนิ่ง เปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆ หรือเกือบจะไม่เปลี่ยนแปลงเลยจวบจนอายุ 40 ปี ซึ่งก็เทียบเท่ามนุษย์อายุ 20 ปีนั่นเอง นั่นจึงทำให้ผมในวัย 91 ปี มีรูปร่างหน้าตาเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน อาจจะมีทรงผม รูปร่าง สไตล์การแต่งตัวที่ดูเปลี่ยนไปบ้าง 



   กลับมาที่เรื่องของคลาสเรียน ถึงแม้จะไม่ได้จำกัดอายุในการเรียน แต่ก็มีการประเมินความรู้ความสามารถในการใช้เวทมนตร์เพื่อแบ่งระดับชั้นตามความเหมาะสมอยู่ดี นั่นจึงทำให้ผมกับดิออนต้องแยกห้องเรียนกันอย่างแน่นอน เพราะดิออนแทบจะไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้เลย อาจจะต้องถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มผู้ใช้เวทมนตร์แรกเริ่ม หรือถ้าเทียบกับมนุษย์ก็คือกลุ่มอนุบาลนั่นเอง ฮ่าฮ่าฮ่า



   ตอนนี้ผมจึงต้องเร่งฝึกดิออนให้สามารถใช้เวทมนตร์ หรืออย่างน้อยก็ควบคุมธาตุไฟของตัวเองให้ได้ เพราะการเรียนของที่นี่จะเน้นไปที่การฝึกความสามารถพิเศษของเราให้แข็งแกร่ง จนสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันหรือการต่อสู้ได้ นั่นคือถ้าดิออนยังไม่สามารถควบคุมธาตุไฟได้ ก็จะเรียนวิชาพวกนี้ได้ไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร แม้จะเป็นวิชาเริ่มต้นก็ตาม



   ผมยืนมองดิออนที่ยืนด้วยท่าทางมั่นคง สองมือยกขึ้นมาระหว่างอก พยายามควบคุมไฟจากแท่นคบเพลิงที่ผมสร้างไว้ให้ดิออนได้ฝึกซ้อม หลายวันมานี้ดิออนพยายามอย่างมากที่จะควบคุมไฟให้ได้ แต่ผลลัพธ์กลับไม่เป็นที่พอใจนัก บางครั้งก็ควบคุมได้แต่ก็ยังดูไม่แข็งแรงเท่าที่ควร ไฟที่ดิออนควบคุมมันดูเบาบาง ไม่มีพลัง พร้อมจะดับได้ทุกเมื่อ



   “พอก่อนเถอะ ชั้นว่าบางทีนายอาจจะเครียดเกินไป”



   แต่เหมือนดิออนจะไม่ได้ใส่ใจที่ผมพูด ยังคงตั้งหน้าตั้งตาพยายามควบคุมไฟจากคบเพลิงนั้น แต่ผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม



   “พอเถอะ” ผมร่ายมนตร์ใช้ดินกลบไฟให้ดับ ดิออนดูจะไม่พอใจอยู่หน่อยๆ “ตามชั้นมา”



   ผมเดินนำดิออนเดินเข้าไปในป่าข้างๆบ้าน ต้นไม้สูงใหญ่กับลมเย็นๆ อาจจะช่วยให้ดิออนผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง



   “นายไม่สงสัยเรื่องป่านี่บ้างหรอ ไม่เห็นเคยถาม?” ปกติไม่ว่าใครที่ได้เข้ามาเห็นป่าผืนใหญ่ในรั้วของบ้านหลังนี้ ที่ถูกซ่อนเอาไว้ ใจกลางเมืองกรุงเทพมหานคร ล้วนต้องตกใจ สงสัย ซักถามบ้างแหละ แต่ผิดกับดิออนที่ดูจะไม่หือไม่อืออะไรเลย หรืออาจจะทราบจากลุงเบนจามินแล้วก็เป็นได้



   “ถ้าเจ้าของบ้านไม่พูด ผมจะถามทำไม มันเป็นมารยาทขั้นพื้นฐาน”



   รู้สึกเหมือนโดนชกหน้าหงายไปเลย นี่มันกำลังหลอกด่าผมทางอ้อมรึเปล่านะ มันรู้ได้ยังไงว่าผมกำลังเกริ่นขึ้นเพื่อถามเรื่องของมัน



   “ฮ่าฮ่าฮ่า จริงๆแล้วป่าตรงนี้ถูกร่ายมนตร์ แล้วซ่อนเอาไว้ในบ้านของตาชั้น รู้ไหมว่าขนาดของป่าเทียบได้กับ 1 ใน 4 ของเมืองทั้งเมืองเลยนะ ถ้าไม่มีป่าตรงนี้คอยผลิตโอโซน ป่านนี้กรุงเทพคงแย่กว่านี้เยอะ PM 2.5 คงสูงปรี๊ด เวทมนตร์มันเจ๋งดีใช่ไหมล่ะ ทำได้ขนาดนี้”



   “ก็ดี” ผมพูดอวยตั้งยาวแต่ดิออนตอบกลับมากระจึ๋งนึง



   “ท่าทางนายไม่เห็นรู้สึกว่ามันเจ๋งเลย” ผมหันไปค้อนก่อนจะเห็นท่าทางเศร้าๆนั้น



   “มันไม่มีอะไรน่าตกใจไปกว่าการที่คุณตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าชีวิตคุณไม่เหมือนเดิม” อยู่ดีๆดิออนก็พูดขึ้นมา “ผมไม่ได้อยากมีเวทมนตร์หรือมีชีวิตที่แปลกประหลาดแบบนี้ ผมอยากใช้ชีวิตปกติ ได้ไปเรียน ได้เล่นกีฬา ได้เล่นดนตรีกับเพื่อนๆเหมือนเดิม แต่ในเมื่อผมไม่สามารถใช้ชีวิตแบบเดิมได้ ผมก็อยากใช้ชีวิตแบบที่ผมไม่ได้เลือกให้มันดี แต่คุณดูสิ…แม่งโคตรแย่”



   เหมือนดิออนได้ระบายสิ่งที่อยู่ในใจออกมา บางทีอาจจะเป็นเพราะลึกๆในใจของดิออนยังปฏิเสธพลังนี้อยู่ จึงทำให้มันแสดงผลออกมาได้ไม่เต็มที่



   “คุณรู้ปะ...วันที่ผมตื่นขึ้นมาแล้วผมโดนแสงแดดไม่ได้ ผมโคตรกลัว ผมไม่รู้เลยว่าตัวเองเป็นอะไร ถ้าไม่มีลุงเบนอยู่ด้วยตอนนั้นผมอาจจะตายไปแล้วก็ได้” ดิออนยังคงพรั่งพรูถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น “ตั้งแต่เด็กๆที่ลุงเบนบอกให้ผมสวมแหวนวงนี้เอาไว้โดยไม่บอกเหตุผล ผมก็ใส่บ้าง ถอดบ้าง เพราะคิดว่ามันคงเป็นความเชื่อแปลกๆของลุง แต่เพราะมันเริ่มคับจนใส่ไม่ได้ ผมเลยถอดเอาไว้ ไม่ได้ใส่ใจอะไร จนวันเกิดของผม ผมตื่นเช้าแล้วเดินไปเปิดหน้าต่าง อยู่ดีๆก็รู้สึกร้อนเหมือนโดนเผาไปทั้งตัว มันไหม้พองไปหมด ตอนนั้นผมยังไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร โชคดีที่มีลมพัดมาปิดหน้าต่างเอาไว้ ทำให้ไม่มีแสงเข้ามาในห้อง ผมสงสัยว่าอาจจะเป็นเจ้านกอินทรีตัวนั้นที่ช่วยใช้ลมพัดหน้าต่างในตอนนั้น แล้วลุงเบนคงได้ยินสียงร้องของผม เลยขึ้นมาเห็นสภาพของผมตอนนั้น แกนึกขึ้นได้จึงรีบหาแหวนมาใส่ให้ผม”



   “จากนั้นลุงเบนก็ตามตาของคุณมาช่วยให้ผมหายจากอาการทั้งหมด ตาของคุณให้แหวนวงใหม่วงนี้กับผม” ดิออนยกนิ้วให้ดู เป็นแหวนไม้มะกอกโบราณที่คุณตาบอกผม “ลุงเบนเล่าให้ผมฟังว่าผมเป็นเลือดผสม พ่อมด มนุษย์ แวมไพร์ ผมโคตรไม่อยากเชื่อ ใครจะไปคิดว่าชีวิตตัวเองจะเหมือนหนังฝรั่งขายฝันหลอกเด็ก แต่ทุกอย่างมันเกิดขึ้นกับผมเอง ผมอยู่กับลุงเบนมา 18 ปี ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลุงเบนเป็นพ่อมด”



   ผมไม่ทราบเลยว่าพื้นเพครอบครัวของดิออนเป็นอย่างไร เพราะถึงแม้ผมจะเห็นลุงเบนมาหาคุณตาอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้สนิทชิดเชื้ออะไรมากนัก การที่ดิออนจะไม่สงสัยหรือระแคะระคายว่าลุงเบนเป็นพ่อมดก็ไม่แปลก เพราะลุงเบนไม่ใช่พ่อมดที่มีความสามารถโดดเด่นอะไรมากนัก ด้วยความที่เป็นเลือดผสมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทำให้รูปแบบการใช้ชีวิตก็คงเหมือนมนุษย์ทั่วไป โดยมีคุณตาคอยช่วยชี้แนะ



   “ผมโคตรสับสนเลยว่าตัวเองจะต้องรู้สึกยังไง มันแปลกจนผมรู้สึกแย่ ผมพยายามเปิดใจให้กับทุกอย่าง แต่มันก็ไม่ช่วยอะไร”



   ผมเดินเข้าไปดึงดิออนมากอดไว้ ดิออนชะงักนิดหน่อยแต่ก็โอนอ่อนทิ้งตัวตามแรงกอด ยังดีที่ผมประคองเอาไว้ไหว ถึงแม้ขนาดตัวจะเล็กกว่าก็ตาม



   “ไม่เป็นไรนะ ตอนนี้นายไม่ได้อยู่คนเดียว พวกเราจะช่วยนายเอง” ผมใช้มือลูบหลังดิออนเบาๆ ให้เขาใจเย็นและรู้สึกปลอดภัย



   เรื่องแบบนี้อาจจะดูแฟนตาซี น่าตื่นตาตื่นใจสำหรับหลายๆคน แต่สำหรับบางคนอาจไม่ใช่ เด็กอายุ 18 ที่ควรจะได้สนุกกับเพื่อน กลับต้องเจอเรื่องที่มันเหนือธรรมชาติ คงจะยังไม่รู้ว่าจะต้องรับมือกับมันยังไง ถึงแม้ภายนอกจะพยายามแสดงออกให้ดูเข้มแข็ง แต่ข้างในอาจจะไม่ได้เข้มแข็งอย่างที่เห็น เมื่อสภาพจิตใจย่ำแย่แบบนี้ มันจึงส่งผลให้พลังของดิออนไม่แข็งแรง



   “นับตั้งแต่วันนี้ นายจะเป็นเหมือนน้องชายชั้น ชั้นจะเป็นพี่ให้นายเอง เรามาใช้ชีวิตแบบพ่อมดให้มันสนุกกันเถอะนะ”



   ดิออนผละออกมองหน้าผม ก่อนจะพยักหน้าช้าๆคล้อยตาม



   “มานี่เถอะ เดี๋ยวจะพาไปดูอะไร”



   ผมรีบเปลี่ยนเรื่องเพราะไม่อยากให้ดิออนดำดิ่งกับความรู้สึกพวกนั้นนานกว่านี้ มันจะเป็นผลเสียกับตัวดิออนเอง ผมจึงพาดิออนมาดูอะไรที่น่าตื่นตาตื่นใจที่อยู่ในถ้ำดินข้างหน้านี้



   “วีเซิล ออกมาหน่อย!!”



   ผมเรียกเจ้าวีเซิลก่อนจะลากดิออนให้ถอยออกมาจากปากถ้ำที่เป็นที่พักของวีเซิลในเวลาจำศีลหรือไม่ได้ออกไปลาดตระเวนรอบๆป่า ไม่นานก็เกิดเป็นเสียงเคลื่อนไหวก่อนที่ส่วนหัวของวีเซิลค่อยๆโผล่ออกมาจากปากถ้ำ แล้วปรากฏเป็นลำตัวยาวค่อยๆเลื้อยออกมา



   “เฮ้ย!!!”



   ดิออนร้องเสียงหลงและผงะไปด้วยความตกใจ



   “ไม่ต้องกลัว วีเซิลเป็นสัตว์ประจำตัวของตา มันไม่ทำร้ายใครถ้าตาไม่ได้สั่ง” ผมพูดอธิบายบอกดิออน แต่เหมือนจะเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา เพราะแม้แต่ดิออนที่ชอบเต๊ะท่านิ่งๆเหมือนไม่กลัวอะไร ยังกลัวเจ้าวีเซิล แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ใครเจอวีเซิลครั้งแรกแล้วไม่กลัวบ้างละ



   เจ้าวีเซิลค่อยๆใช้ปีกสองข้างค้ำตะเกียกตะกายออกมาจากถ้ำ ก่อนจะถีบตัวเองบินขึ้นไปบนท้องฟ้า



   “เจ้าวีเซิลเป็นบาสิลิสก์ นายอาจจะเคยได้ยินจากในหนังหรือในเกม คิดว่ามันจะต้องเหมือนงูใช่ไหมละ แต่จริงๆแล้วตัวมันเป็นแบบนี้ เจ้าวีเซิลโคตรจะเจ๋ง แค่มองตาก็อาจจะโดนสาปให้แข็งเป็นหินได้เลยนะ หรือถ้าโดนกัดก็อาจจะตายได้ทันที เพราะพิษของวีเซิลร้ายแรงมาก” ผมหันไปพูดอวดกับดิออน ก่อนจะหันไปเรียกเจ้าวีเซิล “ลงมานี่ มีใครจะแนะนำให้รู้จัก”



   เจ้าวีเซิลบินต่ำลงมา ค่อยๆลงมายังพื้นดิน ท่าทางของมันยังคงสง่างาม น่าเกรงขามปนสยองอยู่เสมอ



   “หายโกรธมิเรื่องวันก่อนแล้วใช่ไหม มิขอโทษนะ นี่ๆ...วันนี้มิพาสมาชิกใหม่ของครอบครัวเรามาแนะนำให้รู้จัก” ผมพยายามพูดรวบรัด ต่อให้รู้อยู่แล้วว่าวีเซิลไม่เคยโกรธผม แต่ก็ยังอดเกรงไม่ได้



   “นี่ดิออน เป็นน้องชายของมิเอง ดิออนจะเป็นสมาชิกใหม่ของครอบครัวเรานะ” ผมพูดแล้วผายมือไปยังดิออน เจ้าวีเซิลก็มองดิออนอย่างพินิจก่อนจะพยักหน้า “ดิออน นี่วิเซิล ทำความรู้จักกันไว้นะ อ้อ นายเรียกเจ้านกอินทรีของนายมาด้วยสิ เวลาที่บินอยู่ในป่านี้จะได้รู้กันไว้”



   “เรียกยังไง?” ดิออนย้อนถามอย่างงุนงง



   “ก็เรียกชื่อไง นายตั้งชื่อให้มันรึยัง”



   ดิออนส่ายหน้าเว่ายังไม่ได้ตั้งชื่อ



   “วีเซิล ดิออนหน่ะ มีสัตว์ประจำตัวเป็นนกอินทรีนะ เอาไว้วันหลัง…” ผมยังพูดไม่ทันจบก็รู้สึกเหมือนมีเงาอะไรบินผ่านเหนือหัวพอดี “นั่นไงเจ้านกอินทรีของดิออน นายเรียกมันลงมาสิ”



   เจ้านกอินทรีตัวนี้คงจะเป็นห่วงดิออนจึงคอยตามอยู่ห่างๆ ถือว่าใช้ได้เลยนะเนี๊ยะ ไม่เหมือนเจ้าลีโอ ป่านนี้ไปตะลอนอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ แต่จะว่าเจ้าลีโอก็ไม่ถูกนัก เพราะถ้าอยู่ในบริเวณบ้านก็ไม่มีอะไรให้ต้องระวัง ลีโอจึงชอบตะลอนเล่นอยู่เรื่อยไป



   “นายตั้งชื่อให้นกของนายได้แล้ว”



   “...” ไม่รู้ว่าเงียบเพราะกำลังใช้ความคิดหรือไม่มีไอเดียแล้วคิดไม่ออกกันแน่



   “งั้นเดี๋ยวชั้นตั้งให้ เอาเป็น…ซีลีน เป็นไง” ผมเสนอให้ด้วยท่าทีภูมิใจ



   “ห้ะ ไม่เอา” เหมือนจะยังไม่ถูกใจดิออน



   “ทำไมอะ ก็ซีลีน ดิออนไง นายไม่รู้จักหรอ ออกจะเข้าท่า ฮ่าฮ่าฮ่า”



   “ซีลีนนั่นชื่อผู้หญิง”



   “แล้วนายรู้ได้ยังไงว่านกนี่เป็นตัวผู้หรือตัวเมีย ไม่รู้แหละ ชื่อซีลีนก็แล้วกัน ถ้านายเขินจะเรียก ก็เรียกว่าซีเฉยๆก็ได้ แปลว่ามองเห็นไง จะได้เป็นเหมือนอีกตาที่คอยสอดส่องให้นาย” ผมรวบรัดเอาเองทุกอย่างจนดิออนตามแทบไม่ทัน “งั้นรู้จักกันไว้นะวีเซิล นี่ซีลีนเป็นนกของดีออน ส่วนซีลีน...นี่วีเซิลเป็นบาสิลิสก์ สัตว์ประจำตัวของตา”



   “แอ๊” เจ้าซีลีนร้องรับก่อนจะบินหายขึ้นไปบนท้องฟ้าอีกครั้ง



   “ดูสิ เจ้าซีลีนยังชอบชื่อนี้เลย ฮ่าฮ่าฮ่า” ผมมัดมือชกก่อนจะบอกลาวีเซิลแล้วพาดิออนเดินกลับบ้านเพราะนี่ก็เริ่มเย็นแล้ว อีกซักพักก็ถึงเวลามื้อเย็น วันนี้พี่แมทคงกลับมาร่วมโต๊ะด้วย หลังจากที่หายไปหลายวันเพื่อเตรียมตัวจะกลับไปทำงานในวันพรุ่งนี้ ซึ่งผมคงไม่ได้เจอพี่แมทไปอีกหลายเดือน แถมเจ้าตัวเองก็ไม่ยอมใช้โซเชียลเหมือนอย่างคนอื่นๆ



   “เออนี่ ชั้นว่าจะหาปลอกแขนมาให้นายใส่ดีไหม สั่งทำพิเศษเอา เจ้าซีลีนจะได้เกาะแขนนายได้ ไม่ต้องเที่ยวพกไม้อะไรให้เกะกะ” ผมเสนอไอเดียให้ดิออน ซึ่งเจ้าตัวก็ดูจะเห็นด้วย



   และระหว่างที่กำลังกินข้าวกันอยู่ 4 พ่อมด 1 แมว ผมก็ได้ไอเดียอีก 1 ไอเดียที่อยากลองดู แต่จะต้องได้รับอนุญาตจากตาก่อน



   “ตา เดี๋ยวทานข้าวเสร็จแล้วมิอยากสอนดิออนต่อ แต่มิอยากให้ดิออนถอดแหวนวงนั้นออกได้ไหม”



   “ได้สิ” คุณตาตอบโดยไม่คิด ด้วยท่าทีสบายๆ “แต่ผลลัพธ์มันอาจจะเหมือนเดิม เพราะแหวนวงนั้นไม่ได้มีผลอะไร นอกจากช่วยให้ดิออนโดนแสงแดดได้”



   “นี่อย่าบอกว่าที่พี่ให้เราคอยสอนดิออน ยังไปไม่ถึงไหนหรอ” เป็นพี่แมทที่ถามด้วยท่าทีไม่ได้จริงจังนัก คงกะจะหาช่องทางทับถมผมอีกตามเคย เชอะ!



   “ยุ่งหน่า”



   ผมตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก ส่วนดิออนก็ดูจะไม่ใส่ใจกับอะไรทุกสิ่งอย่าง ถึงแม้จะดูผ่อนคลายลงบ้างแต่ก็ยังดูเย็นชาอยู่ดี มันรู้หรือเปล่าเถอะว่าพวกเรากำลังพูดถึงมัน



   หลังจากทานข้าวเสร็จ ผมก็ลากดิออนออกมายังลานกว้างข้างบ้านทันที เป็นจุดเดิมที่มีแท่นคบเพลิงที่ผมสร้างไว้ให้ดิออนซ้อม ตอนนี้คุณตากับพี่แมทกำลังนั่งดื่มกันต่อในห้องนั่งเล่น ข้างนอกจึงมีแค่ผม ดิออน ลีโอและซีลีน



   ผมหยิบไฟแช็กขึ้นมาจุดไฟใส่กองฟางในคบเพลิง จนไฟลุกโชนสว่างไปทั่วบริเวณในเวลากลางคืน



   “นายลองถอดแหวนออกสิ เอาแหวนมาให้ชั้น”



   ผมพูดก่อนจะยื่นมือออกไป ดิออนดูชั่งใจก่อนจะค่อยๆถอดแหวนออกจากนิ้ว แล้ววางไว้บนมือผม ผมรับมาเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกง



   “ไม่มีอะไรต้องกังวล ผ่อนคลา.. ดิออน...ตาของนาย!” ผมตกใจจนต้องรีบล้วงแหวนออกมาเพื่อใส่คืนให้ดิออนเหมือนเดิม เพราะเมื่อครู่ที่ผมได้หันไปสบตากับดิออน นัยน์ตาของดิออนเหมือนกำลังค่อยๆเปลี่ยนสี ผมมั่นใจว่าผมไม่ได้ตาฝาด มันไม่ใช่แสงสะท้อนของกองไฟแน่ๆ



   ดิออนเองก็เหมือนจะตกใจกับอาการที่ผมแสดงออกไป แต่ต่อให้ผมใส่แหวนให้ดิออนเหมือนเดิม สีนัยน์ตาของดิออนก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง



   “นายรู้สึกอะไรไหม รู้สึกเจ็บ หรืออะไรหรือเปล่า”



   “หึ รู้สึกขนลุกแปลกๆ ” ดิออนตอบอย่างสับสน ผมเองก็สับสนผสมงุนงงเข้าไปด้วย



   สีนัยน์ตาของดิออนค่อยๆเข้มขึ้นอย่างช้าๆ สุดท้ายมันฉายเป็นสีแดงเข้มเหมือนสีของเลือด



   “ฟะ..ฟันผม”



   เหมือนดิออนจะเจ็บฟันหรืออย่างไรไม่ทราบ จึงพยายามอ้าปากค้างไว้ จนผมมองเข้าไปและเริ่มสังเกตได้ว่าฟันเขี้ยวทั้งสองข้างของเขาค่อยๆยาวงอกออกมาล้ำฟันซี่อื่น



   “ตา พี่แมท ออกมาดูหน่อย” ผมหันไปตะโกนเรียกทั้งสองคนจากในบ้าน ก่อนจะเข้าไปประคองดิออนอย่างกล้าๆ กลัวๆ “ดิออน นะ..นายโอเคไหม”



   “ผมไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร มันรู้สึกแปลกไปหมด” ดิออนพยายามพูดออกมาอย่างยากลำบาก



   “เกิดอะไรขึ้น!” เป็นคุณตาที่เดินออกมาพร้อมกับพี่แมท ตรงดิ่งมาที่ผมกับดิออน



   “ดิออนเป็นอะไรก็ไม่รู้ตา”



   ผมพูดได้แค่นั้นก็ถูกพี่แมทลากไปไว้ข้างหลังตัวเอง ส่วนคุณตาก็เดินเข้าไปดูดิออนทันที



   “นิ่งไว้ดิออน หันมาทางนี้...ขอดูหน่อย” คุณตาพูดพร้อมกับจับหน้าดิออนพินิจไปมาอยู่สองสามครั้ง ผมเองก็เห็นไม่ถนัดนัก เพราะโดนพี่แมทใช้ร่างกายตัวเองกันเอาไว้ ไม่รู้มาห่วงอะไรไม่เข้าท่าตอนนี้ คนกำลังอยากรู้อยากเห็น โว๊ะ!



   “ไม่มีอะไรหรอก... ดิออนกำลังจะเปลี่ยนเป็นแวมไพร์!”



   .


ทุกคนรักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ เราเองก็หนักมากเหมือนกัน เหนื่อยค่ะ ผ่านวิกฤตตรงนี้ไปด้วยกันนะคะ

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
หู้วววว

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
ไม่มาต่อเหรอค้า

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
หายเลยย

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด