31st Lies : หากได้พบคุณอีกครั้ง
เชียงใหม่ ประเทศไทยปราณันต์กำลังนั่งเคลียร์รายชื่อลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการที่โรงแรมอยู่ในออฟฟิศที่ตนเองทำงานอยู่ โดยมีเสียงโทรทัศน์เปิดคลออยู่ใกล้ๆ และมีฝาแฝดนั่งเล่นอยู่ตรงแถวๆ หน้าทีวี
ปราณันต์เงยหน้าจากกองเอกสารขึ้นมามองเด็กๆ ทั้งสองที่กำลังนั่งเล่นกันอย่างเอ็นดู เขาและน้องๆ ย้ายมาอยู่เชียงใหม่ได้หนึ่งเดือนแล้ว กับเรื่องงานที่นี่ไม่มีปัญหาเลย เพราะงานสไตล์นี้ปราณันต์เคยทำมาก่อน ซึ่งอันที่จริงเขาก็เคยทำงานมาแล้วทุกแบบนั่นแหละ มันเลยไม่ยุ่งยากเท่าไหร่ และยิ่งพ่อของกันต์กวีให้ความช่วยเหลือเป็นอย่างดีด้วยแล้ว ทุกอย่างเลยยิ่งสะดวก ส่วนเรื่องความเป็นอยู่ที่ปราณันต์เคยกังวลก็ไม่มีอะไร เพราะคนที่นี่น่ารักใจเย็น แถมยังเอื้อเฟื้อพร้อมให้ความช่วยเหลือเขาและน้องๆ ตลอด เพราะฉะนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับปราณันต์เลยในการปรับตัว
แต่กับปุณณกันต์และปัณณธรไม่เป็นแบบนั้น
เด็กๆ ดูตื่นที่พอสมควรตั้งแต่ย้ายมา ปุณณกันต์ที่พูดน้อยอยู่แล้วก็กลับยิ่งพูดน้อยยิ่งกว่าเดิม ส่วนปัณณธรเองที่เคยช่างพูดช่างเจรจาก็ช่างพูดน้อยลง วันๆ พวกแกก็มักจะคุยกันเองเสียมากกว่า ซึ่งปัญหาเรื่องวัยคือเรื่องหลักของฝาแฝด เพราะที่โรงแรมนี้แทบไม่มีเด็กเลยด้วยซ้ำ เนื่องจากไม่มีพนักงานคนไหนกระเตงน้องหรือลูกมาทำงานด้วยเหมือนปราณันต์ สภาพแวดล้อมที่ฝาแฝดเจอส่วนใหญ่ก็เลยเป็นคนทำงานทั้งนั้น ส่วนตัวปราณันต์เองก็งานยุ่งเพราะเป็นช่วงเรียนรู้เลยต้องทำงานหนักกว่าคนอื่น เวลาที่จะได้คุยเล่นกับเด็กๆ เหมือนเมื่อก่อนจึงน้อยลงตามไปด้วย ครั้นจะให้เขาพาน้องๆ ไปฝากโรงเรียนอนุบาลเหมือนเด็กอื่นๆ ก็ยังหาโรงเรียนไม่ได้เพราะเด็กๆ เข้าตอนกลางเทอม มันเลยค่อนข้างจะยาก ปราณันต์เลยต้องพาฝาแฝดมาทำงานด้วยทุกวัน ซึ่งตัวเด็กๆ เองก็ไม่ได้เป็นเด็กดื้อหรือซนอยู่แล้ว พนักงานส่วนใหญ่เลยให้ความเอ็นดูทั้งนั้น
ปราณันต์เองก็พยายามเฝ้าบอกให้น้องๆ อดทนอีกนิด เขาเชื่อว่าหลังจากที่เพื่อนๆ ช่วยหาโรงเรียนอนุบาลให้ได้แล้ว ปุณณกันต์กับปัณณธรน่าจะใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น ซึ่งเด็กๆ เองก็ให้ความร่วมมืออย่างดี แต่ดูจากความหงอยเหงาของพวกแกแล้ว ปราณันต์ก็ไม่สบายใจเอาเสียเลย ครั้นจะติดต่อกลับไปหาเพื่อนๆ ที่กรุงเทพก็ไม่กล้า เพราะกลัวคามินจะสืบรู้ และหาเจอว่าเขาหนีมาอยู่ที่นี่
ปราณันต์ได้แต่ถอนหายใจอย่างหนักใจ ยิ่งพอเมื่อเช้าเขาแอบได้ยินปัณณธรพูดเบาๆ ให้ปุณณกันต์ฟัง เขายิ่งปวดใจ ไม่รู้จะช่วยน้องยังไงเลยต้องทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ทั้งที่รู้อยู่เต็มอก
‘ปัณณ์คิดถึงพี่ครามจังเลยพี่ปุณณ์ พี่ปุณณ์คิดถึงไหม?’
‘อื้อ คิดถึงสิ คิดถึงมากเลย ไม่รู้พี่ปราณคิดถึงพี่ครามเหมือนพวกเรารึป่าว’ปราณันต์หลับตาลงช้าๆ ก่อนจะตอบน้องๆ ในใจอย่างเจ็บปวด
‘พี่ก็คิดถึงคุณครามเหมือนฝาแฝดเหมือนกัน แต่ทำยังไงได้ล่ะ ... อดทนหน่อยนะปุณณ์ ปัณณ์’แต่ปราณันต์กลับทำอะไรมากไปกว่าคิดถึงคามินไม่ได้ เพราะไม่เช่นนั้นทุกอย่างที่ทำมาเป็นเดือนๆ จะสูญเปล่า และฝาแฝดก็จะกลับมาไม่ปลอดภัยอีกครั้ง
ในขณะที่ปราณันต์กำลังคิดอะไรเพลินๆ เสียงทีวีช่องข่าวหลักก็ดังขึ้น ตอนที่นักข่าวพูดถึงหัวข้อข่าว ปราณันต์ก็ไม่ได้สนใจฟังเท่าไหร่ แต่พอตัดเข้ารายละเอียดข่าว ปราณันต์จึงเหลือบตาขึ้นมอง ก่อนจะเห็นภาพของคามินและพรวลัยขึ้นคู่กัน โดยมีเสียงแถลงเป็นแบคกราวด์ ซึ่งมีเนื้อหาว่าใจความหลักๆ ว่าทั้งคู่เลิกราและถอนหมั้นกันแล้ว
ปราณันต์ตกใจจนตาที่โตอยู่แล้วแทบจะถลนออกมานอกเบ้าหลังจากได้ยินข่าวนั้น
“ถอนหมั้นงั้นหรอ... คามินคุณทำบ้าอะไรกัน”
คนตัวเล็กพึมพำอย่างหัวเสีย เพราะมั่นใจว่าการถอนหมั้นของคามินและพรวลัยต้องมีเหตุผลบางส่วนมาจากตัวเขาเองแน่ๆ
ปราณันต์จ้องภาพที่จอทีวีตาไม่กะพริบ โดยมีปุณณกันต์กับปัณณธรมองตามสายตาปราณันต์ไปที่จอโทรทัศน์ สลับกับหันมามองพี่ชายตัวเองเป็นระยะๆ
จนกระทั่งภาพในทีวีตัดไปที่นักข่าวกำลังตาม ใช้คำว่ารุมทึ้งสัมภาษณ์คามินอยู่ น่าจะชัดเจนกว่า
‘ตามที่ทางพีแอนด์วีคอนสตรัคชั่นให้สัมภาษณ์เลยครับ ผมขอตัวก่อน’คามินตอบคำถามนักข่าวอย่างขอไปที คนตัวโตไม่ได้พูดอะไรมาก นอกจากประโยคที่ปราณันต์เพิ่งได้ยินไป คนตัวเล็กขบฟันตัวเองลงบนริมฝีปากล่างทันที เมื่อได้เห็นหน้าคนที่ตัวเองคิดถึงอยู่ตลอดตั้งแต่จากมา
“เอ๊ะ! นั่นพี่ครามนี่ ... พี่ปุณณ์ดูสิๆ นั่นใช่พี่ครามไหม?” ปัณณธรน้อยพูด พลางเขย่าแขนพี่ชายฝาแฝดอย่างตื่นเต้น
“ใช่ๆ พี่ครามจริงๆ ด้วย” และเสียงของปุณณกันต์เองก็ดูตื่นเต้นไปไม่น้อยกว่าแฝดคนน้องเลย
แต่เสียงของฝาแฝดที่ดังคับห้องก็ไม่สามารถทำให้ปราณันต์ละสายตาจากจอทีวีได้แม้แต่วินาทีเดียว
‘คามิน ทำไมคุณผอมลงแล้วก็ดูเหนื่อยขนาดนั้น ผมขอให้คุณดูแลตัวเองไม่ใช่หรือไง ทำไมไม่ฟังกันบ้าง’ปราณันต์นึกไปพลาง ปาดน้ำตาออกไปพลาง สภาพของคามินไม่ได้เป็นแบบที่เขาคิดไว้สักนิด ทำไมถึงปล่อยให้ตัวเองให้ทรุดโทรมได้ขนาดนี้กัน
ปราณันต์คิดอย่างเจ็บปวด พลางน้ำตาไหลไม่เลิก ฝาแฝดมองภาพพี่ชายที่ทำหน้าเศร้าหมองยามมองไปยังคามินที่อยู่ในทีวีอย่างไม่สบายใจ
“พี่ปราณต้องคิดถึงพี่ครามมากๆ แน่เลยเนาะพี่ปุณณ์” เจ้าแฝดคนน้องพูดกับพี่ชายตัวเองเศร้าๆ
“นั่นสิปัณณ์ อยากให้พี่ครามมาหาเราจัง เมื่อไหร่พี่ครามจะว่างนะ” ปุณณกันต์เองก็เช่นกัน เขาแทบจะนับวันรอให้คามินมาหาแทบไม่ไหว แต่ดูเหมือนว่ารอเท่าไหร่ พี่ครามก็ไม่มาเสียที
ที่เด็กๆ คาดหวังว่าคามินจะมาหา นั่นเป็นเพราะเจ้าหนูทั้งสองไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร และเชื่อคำพูดพี่ชายที่บอกว่าคามินจะมาหาทันทีที่ว่างงาน และตอนนี้ที่มาไม่ได้เพราะกำลังยุ่งอยู่ จนหมดสิ้น
“อยากรู้จังว่าพี่ครามจะว่างตอนไหน เราโทรไปถามพี่ครามกันดีไหมพี่ปุณณ์” ปัณณธรน้อยเสนอขึ้นอย่างตื่นเต้น
“แต่เราไม่มีเบอร์นะปัณณ์ จะไปเอาเบอร์พี่ครามมาจากที่ไหน” และพอปุณณกันต์พูดขึ้นมาแบบนั้น สองหนุ่มพี่น้องก็ฝันสลายทันที แต่จู่ๆ เหมือนปัณณธรก็นึกขึ้นได้
“พี่ปุณณ์! ปัณณ์มีเบอร์พี่ครามนะ... ปัณณ์จำได้!”
เจ้าหนูคนน้องวิ่งตึกตักไปที่กระเป๋าเป้ของตัวเองทันที ก่อนจะวิ่งกลับมาหาพี่ชายฝาแฝด พร้อมกับกระดาษโน๊ตเล็กๆ แข็งๆ ในมือ “นี่ไง พี่ครามเคยบอกว่าให้เก็บไว้ เผื่อมีอะไรจะได้โทรหาพี่ครามได้”
ปัณณธรว่า พลางยื่นกระดาษนั้นให้ปุณณกันต์ แต่ปุณณกันต์ก็อ่านไม่ออก เพราะมีแต่ตัวหนังสือเล็กๆ กับตัวเลขเต็มไปหมด เด็กๆ ก็เลยตั้งใจว่าจะไปถามพี่ปราณว่าในนี้เขียนไว้ว่าอะไรบ้าง และเบอร์โทรศัพท์พี่ครามอยู่ตรงไหน
แต่คิดอีกทีว่าถ้าไม่ไปถามน่าจะดีกว่า เพราะถ้าพี่ปราณรู้ คงโดนห้ามไม่ให้โทรหาพี่ครามแน่ๆ เด็กๆ เลยเก็บกระดาษที่คามินให้ไว้อย่างมิดชิด กะว่าเดี๋ยวถ้าพี่ปราณออกไปข้างนอก จะขอให้พี่พนักงานคนอื่นช่วยโทรให้ ยังไงวันนี้ปุณณกันต์กับปัณณธรต้องคุยกับพี่ครามให้ได้
และแล้วโอกาสก็เป็นของเจ้าหนูทั้งคู่ เมื่อจู่ๆ ปราณันต์ต้องออกไปข้างนอกออฟฟิศ และต้องทิ้งเด็กๆ ไว้ลำพัง
“ปุณณ์ ปัณณ์ อยู่ที่นี่ก่อนนะ พี่ปราณจะเอารายชื่อลูกค้าไปให้คุณลุงก่อน อย่าดื้อ อย่าซนล่ะ เดี๋ยวพี่กลับมา”
“ครับ/ครับ” เจ้าหนูทั้งสองรับคำอย่างดี ก่อนจะมองหน้ากันอย่างรู้ใจ
และเมื่อปราณันต์เดินออกไปจากห้อง ฝาแฝดก็ชะเง้อมองหาคนที่จะมาเป็นฮีโร่ให้พวกตนอย่างใจจดใจจ่อ และในที่สุดก็มีพี่พนักงานผู้หญิงคนนึงเดินเข้ามาจนได้
“อ่าวปุณณ์ ปัณณ์ ยังไม่กลับกันอีกหรอ แล้วนี่พี่ปราณไปไหนซะล่ะ” พี่คนนั้นเอ่ยทัก พลางเก็บของลงกระเป๋าเตรียมตัวจะกลับบ้าน
“พี่ปราณไปหาคุณลุงครับ” ปุณณกันต์ตอบ ก่อนที่ปัณณธรจะเข้าประชิดตัวฮีโร่ของพวกตนทันที
“พี่ค้าบ พี่ช่วยปัณณ์กับพี่ปุณณ์หน่อยได้ไหมครับ” ปัณณธรกล่าวอ้อน พลางทำตาปริบๆ ทำเอาพนักงานสาวหลงเสน่ห์และท่าทางน่ารักๆ นั่นทันที เธอตกปากรับคำว่าจะทำสิ่งที่ฝาแฝดขอให้อย่างไม่เกี่ยงงอน
“เอาสิจ๊ะ ปัณณ์อยากให้พี่ทำอะไร หื้ม?” เธอถามพลางยื่นมือไปลูบศีรษะเจ้าเด็กรู้มากอย่างเอ็นดู
“นี่ครับ” ปุณณกันต์ยื่นกระดาษที่คามินให้ไว้ ให้กับผู้หญิงคนนั้น “เราสองคนอยากโทรหาพี่ครามครับ เบอร์อยู่ในนี้ แต่เราอ่านไม่ออก แล้วก็กดเลขไม่เป็น”
พนักงานหญิงคนนั้นยิ้มอย่างเอ็นดูพลางตอบ “โถ่ นึกว่าเรื่องอะไร เรื่องแค่นี้เอง ว่าแต่พี่ครามของพวกหนูนี่ คือคุณคามินใช่ไหม”
เธอถามพลางอ่านทวนนามบัตร หรือกระดาษที่พวกเด็กๆ พูดถึง ซึ่งตอนนี้อยู่ในมือของเธอเอง
“ใช่ครับๆ พี่ครามชื่อนี้เลย”
พอได้รับการยืนยันแบบนั้น เธอก็จัดการต่อสายให้เด็กๆ ทันที และในระหว่างรอสาย เธอก็เหลือบมองนาฬิกาก่อนจะเห็นว่าถึงเวลาที่ต้องกลับแล้ว เลยจัดการฝากฝังและพูดจากับฝาแฝดให้เข้าใจ
“เดี๋ยวพี่ต้องไปแล้ว ปุณณ์กับปัณณ์รอสายจนกว่าฝั่งนู้นจะรับนะครับ แล้วถ้าคุยเสร็จเรียบร้อยก็วางสายซะนะ อีกสักพักพี่ปราณคงจะกลับมา”
“ครับ ขอบคุณพี่มากนะครับ” ปุณณกันต์เอ่ยขอบคุณพร้อมกับยกมือไหว้ให้อย่างน่ารัก ทั้งๆ ที่มือก็ถือหูโทรศัพท์แนบอยู่กับหูตัวเอง พนักงานสาวจึงยิ้มให้เด็กๆ ทั้งสองก่อนจะเดินออกไป ปล่อยให้เด็กๆ รอสายอย่างใจจดใจจ่อ
เจ้าหนูทั้งสองรอสายอยู่นานจนท้อ และในขณะที่กำลังจะถอดใจนั้นก็ดูเหมือนว่าอีกฝั่งจะกดรับสายขึ้นมาพอดี
ด้วยความดีใจปุณณกันต์ก็กรอกเสียงลงไปไม่หยุด
“ฮัลโหลๆ พี่ครามครับพี่คราม”
โดยมีเสียงปัณณธรพูดแทรกเข้าไปไม่หยุด เมื่อเห็นปฏิกริยาของพี่ชายตัวเอง “พี่ครามรับรึยังอ่ะพี่ปุณณ์ ขอปัณณ์ฟังบ้าง”
เมื่อเห็นอีกฝั่งเงียบ เจ้าหนูทั้งสองก็พูดย้ำใส่สายโทรศัพท์ไม่ยั้ง
“พี่ครามๆ พี่ครามได้ยินไหมครับ ได้ยินปุณณ์กับปัณณ์ไหมครับพี่คราม ฮัลโหลๆ”
(ปุณณ์... ปัณณ์ นั่นหนูสองคนใช่ไหม)
และในที่สุดคามินก็ตอบรับเด็กๆ ตอบด้วยน้ำเสียงสั่นพร่าราวกับไม่แน่ใจ
“เย่ๆ พี่ครามรับแล้วปัณณ์” ปุณณกันต์หันไปพูดกับน้อง ก่อนจะหันกลับมาตอบคามินอีกครั้ง “ใช่ครับพี่คราม นี่ปุณณ์กับปัณณ์เองครับ”
เสียงสดใสของเด็กฝาแฝดที่แสดงความดีใจตอนได้ยินเสียงคามิน ทำเอาคนอีกฝั่งยิ้มกว้างทั้งน้ำตา จนไม่น่าเชื่อว่ารอยยิ้มที่เห็นนี้จะเป็นรอยยิ้มของคนที่เคยมีหัวใจเย็นชามาก่อน
(ครับๆ พี่ครามได้ยินหนูสองคนแล้ว แล้วนี่ยังไง ทำไมถึงโทรหาพี่ครามได้ล่ะครับ)
คามินไถ่ถามยกใหญ่ และอดแปลกใจไม่ได้ว่าปุณณกันต์กับปัณณธรโทรมาเขาได้ยังไง และเขาเองก็มั่นใจว่า ปราณันต์ต้องไม่รู้เรื่องนี้แน่ๆ ซึ่งก็เป็นปัณณธรเองที่เฉลยให้คามินฟังอย่างภาคภูมิใจ
“เราสองคนก็เห็นพี่ครามในทีวี ทีนี้ปัณณ์เองก็จำได้ว่าพี่ครามเคยเอาเบอร์โทรใส่ไว้ในกระเป๋าเป้ให้ปัณณ์ ปัณณ์ก็เลยเอาเบอร์ให้พี่สาว ให้พี่สาวกดโทรออกหาพี่ครามให้ครับ”
เจ้าตัวน้อยคนน้องผลัดร่ายยาว จากนั้นก็มีเสียงคนพี่แซงเข้ามาบ้างแต่ไม่บ่อย เพราะปุณณกันต์ไม่ใช่คนช่างพูดอยู่แล้ว เสียงเด็กทั้งสองดังแทรกเข้าไปในโทรศัพท์จ้าละหวั่น ทำเอาปลายสายยิ้มกว้างไม่หยุด คามินคิดถึงฝาแฝดมากเหลือเกิน มากจนเขาแทบไม่รู้ตัวเลยว่า แค่ได้ยินเสียงลมหายใจของเด็กทั้งสองดังแว่วมาตามสาย เขาก็ดีใจจนไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว
ไม่สิ... คามินไม่ได้ต้องการแค่ฝาแฝด เขาต้องการปราณันต์ คนพี่ของเจ้าหนูทั้งสองด้วย พอคิดได้ดังนั้นก็ตั้งสติรีบตั้งคำถามกับเด็กๆ เพราะกลัวว่าจะมีอะไรมาขัดเสียก่อน
(ปุณณ์ครับ ปัณณ์ครับ ฟังพี่ครามก่อน) พอได้ยินคามินพูดแบบนั้น ฝาแฝดก็เงียบกริบ ตั้งใจฟังอีกฝ่ายที่อยู่คนละจังหวัดพูดทันที (พวกหนูคิดถึงพี่ครามใช่ไหม ปุณณ์กับปัณ์อยากเจอพี่ครามรึป่าวครับ)
และก็โดยไม่รอช้า เจ้าหนูทั้งสองประสานเสียงตอบทันที
“คิดถึงครับ/คิดถึงครับ”
“ปุณณ์คิดถึงพี่ครามมากเลย แต่พี่ปราณบอกว่าพี่ครามไม่ว่าง ทำงานยุ่งมากๆ ครับ”
“ใช่ๆ เรารอพี่ครามทุกวันเลย ปัณณ์เหงา ไม่มีเพื่อนเล่น มีแต่พี่ปุณณ์คนเดียว แล้วบางทีก็มีคนพูดภาษาแปลกๆ ด้วย เราสองคนฟังไม่เข้าใจเลยพี่คราม”
เด็กๆ พูดเสียงเศร้า ทำเอาคามินหดหู่ไปด้วย สงสัยปราณันต์จะบอกน้องว่าเขายุ่งเลยไปหาไม่ได้ ทั้งที่จริงแล้วไม่ได้เป็นแบบนั้นสักนิด ซึ่งก็พอเข้าใจได้อยู่ว่าปราณันต์คงไม่อยากให้เด็กๆ เสียใจ คามินคิดนั่นคิดนี่อย่างร้อนใจ ถ้าเขาถามเจ้าตัวน้อยทั้งคู่ไป เด็กๆ จะตอบถูกไหมว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหน แต่จู่ๆ คนตัวโตก็ฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ จากประโยคที่ปัณณธรพูดได้
(ปัณณ์ครับ เมื่อกี้ปัณณ์บอกว่ามีคนพูดภาษาแปลกๆ หรอครับ) คามินคิดอย่างใจชื้น เขาพอจะเดาอะไรออกบ้างแล้ว
“ใช่ครับ บางทีปัณณ์ก็ฟังรู้เรื่องมั่ง ไม่รู้เรื่องมั่ง” เด็กน้อยบ่นอุบ ก่อนที่คามินจะถามต่อ
(ปุณณ์ครับ ปัณณ์ครับ ตอนนี้พวกหนูอยู่ที่ไหนพอจะบอกพี่ครามได้ไหม พี่ครามจะรีบไปหาทันทีเลย)
เด็กทั้งสองอึกอัก ไม่รู้จะตอบคามินยังไง เพราะวันๆ ฝาแฝดก็ขลุกอยู่แต่ในออฟฟิศพี่ปราณทั้งวัน อพาร์ทเม้นท์ที่พัก พี่ปราณก็พาลัดเลาะเดินไปทางหลังโรงแรมไม่ไกลก็ถึง ปุณณกันต์กับปัณณธรเลยยังไม่เคยได้เห็นอะไรเท่าไหร่เลย จะบอกให้พี่ครามเข้าใจได้ยังไงก็พูดไม่ถูก
“เฮ้อ ปุณณ์ก็อยากบอกนะ แต่พูดไม่ถูกเลยครับพี่คราม เพราะตั้งแต่มาจากบ้านหลังใหญ่ของพี่คราม พี่ปราณก็ให้อยู่ที่โรงแรมตลอด ไม่ได้พาปุณณ์กับปัณณ์ไปไหนเลย” ปุณณกันต์พูดอย่างจนปัญญา แต่ประโยคต่อมาของปัณณธรนี่สิ ที่ทำเอาคามินลิงโลดไม่น้อย
“ใช่ครับ พี่ปราณพาพี่ปุณณ์กับปัณณ์นั่งเครื่องบินมาด้วยแหละครับ ตอนนั้นตื่นเต้นมากเลย แต่ตอนนี้อยากกลับแล้วเพราะคิดถึงพี่ครามมากๆ”
คามินยิ้มออกมาอย่างยินดี ในที่สุดเขาก็รู้จนได้ว่าปราณันต์หนีเขาโดยทางไหน มิน่าล่ะ เขากับสิปปกรแทบจะพลิกแผ่นดินกรุงเทพหาก็หาไม่เจอ นั่นเป็นเพราะปราณันต์ไม่ได้อยู่ที่กรุงเทพหรือจังหวัดใกล้ๆ นั่นเอง ยอมรับตามตรงว่าคามินแทบจะไม่เฉลียวใจเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ เขาไม่คิดว่าปราณันต์จะใจกล้าพาน้องไปไกลขนาดนั้น
แล้วคำถามต่อมาคือปราณันต์หนีไปจังหวัดไหนล่ะ ซึ่งนั่นยังไม่ใช่ปัญหามากพอเท่ากับอีกคำถามที่ว่า ถ้าคามินรู้จังหวัดที่ปราณันต์ไปแล้ว เขาจะตามหาปราณันต์กับเด็กๆ เจอได้ยังไงในเมื่อมันไม่ได้แคบเหมือนเดินวนอยู่ในออฟฟิศเขาเสียเมื่อไหร่
แต่คามินก็คิดอย่างใจเย็นว่า ยังไงซะเขาก็ต้องรวบรวมข้อมูลจากปุณณกันต์และปัณณธรให้ได้มากที่สุดก่อน และในขณะที่คามินจะถามอะไรจากฝาแฝดต่อนั้น เขาก็ได้ยินเสียงแว่วเข้ามาในสายอีกเสียง
เป็นเสียงหวานละมุนที่เจือไปด้วยความอ่อนโยนและใจดี
“เด็กๆ เก็บของได้แล้วครับ พี่ปราณเสร็จงานแล้ว เรากลับบ้านกันดีกว่าเนาะ”
เสียงของปราณันต์ …
(คุณปราณ...)
ใจของคามินเต้นระรัวจนแทบจะหลุดออกจากอก เสียงที่เขาไม่ได้ยินมานานนับเดือน กำลังอยู่ใกล้แค่นี้ ใกล้แค่เอื้อม แต่เขากลับจับต้องไม่ได้
“พี่ครามๆ พี่ปราณมาแล้ว ปุณณ์กับปัณณ์ต้องไปแล้ว” ปุณณกันต์บอกเสียงตื่นเต้น ก่อนจะแทรกด้วยเสียงของปัณณธรอีกเสียง
“ใช่ๆ ต้องไปแล้วครับ พี่ครามรีบมาหาพวกเรานะ ปัณณ์กับพี่ปุณณ์คิดถึงพี่ครามมากๆ เลย”
แล้วคามินก็ได้ยินเสียง จุ๊บๆ ดังตามมาอีกสองสามครั้ง ก่อนที่สายจะตัดไป
และถึงแม้อีกฝั่งจะวางสายไปแล้ว แต่คามินก็ยังคงถือโทรศัพท์ค้างแนบหูอยู่อย่างนั้น เหมือนคนที่ยังไม่สามารถหลุดออกจากภวังค์ที่ชื่อว่าปราณันต์ได้
...เสียงที่คามินคิดถึงอยู่นานนับเดือน เสียงที่เขาเกืบจะถอดใจแล้วว่าอาจจะไม่ได้ยินไปตลอดชีวิต แต่เมื่อกี้เขากลับได้ยินเสียงนั้นอีกครั้ง...
“คุณปราณ... ผมคิดถึงคุณ”
คามินพึมพำอยู่กับโทรศัพท์ แม้ว่าจะไม่มีใครได้ยินแล้วก็ตาม
.
.
.
และกว่าที่คามินจะตั้งสติได้ ก็กินเวลาไปเกือบสิบนาที และเมื่อคิดได้ว่าต้องทำอะไรมากกว่าการนั่งเหม่อลอยแบบนี้ เขาก็โทรตามให้แทนคุณเข้ามาหาตนโดยด่วน แม้ว่าเวลานั้นจะดึกมากแล้วก็ตาม
“แทนคุณ เข้ามาด่วน ฉันได้ข่าวคุณปราณกับเด็กๆ แล้ว”
ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เแทนคุณก็มายืนอยู่ตรงหน้าคามิน ดูเหมือนคนสนิทของท่านประธานก็ตื่นเต้นไม่น้อยไปกว่าเจ้านายของตัวเองเลย
“บอสครับ บอสจะให้ผมทำอะไรบ้างครับ สั่งมาได้เลย”
ดูเหมือนว่าการตั้งรับกับกองทัพนักข่าวเรื่องถอนหมั้นระหว่างลูกชายอสังหาฯ กับลูกสาวการก่อสร้างฯ จะไม่ใช่เรื่องสำคัญต่อไป ในเมื่อตอนนี้เรื่องการตามหาครอบครัวปราณันต์ต่างหากที่สำคัญที่สุด
“เมื่อกี้ปุณณ์กับปัณณ์โทรมาฉัน” คามินเอ่ยปากเล่า ทำเอาแทนคุณแปลกใจไม่น้อย “ฉันจำได้ว่าคุณปราณเคยบอกไว้ว่ากลัวเด็กๆ จะพลัดหลง เลยมักใส่เบอร์โทรศัพท์ ชื่อและที่อยู่ของตัวเอง ไว้ในกระเป๋าเป้ของฝาแฝดเสมอ พอตอนที่เด็กๆ ย้ายมาที่คอนโดฉันใหม่ๆ ฉันเลยทำบ้าง... ฉันเอานามบัตรตัวเองใส่ไว้ในกระเป๋าปัณณธร และบอกแกไว้ว่าถ้ามีอะไรด่วนให้โทรหาฉัน”
แทนคุณพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ พลางคิดว่าคุณหนูฝาแฝดทั้งสองนี่ช่างฉลาดเกินวัยจริงๆ
“ปัณณ์คงจำได้ เลยเอาเบอร์ฉันมาให้คนแถวนั้นช่วยโทรให้”
คามินเล่าไปยิ้มไป เขายอมรับว่าภูมิใจในตัวเด็กฝาแฝดทั้งสองมาก พวกแกเหมือนเกิดมาเพื่อเป็นสิ่งนำโชคให้เขาจริงๆ
“แล้วคุณหนูบอกบอสถูกหรอครับ ว่าตอนนี้คุณหนูทั้งสองกับคุณปราณันต์อยู่ที่ไหน”
แทนคุณถามอย่างสงสัย นี่ถ้าเกิดคุณหนูปุณณ์กับคุณหนูปัณณ์บอกถูกจริง สงสัยจะไม่ได้อายุสี่ขวบย่างห้าขวบอย่างที่คุณปราณันต์บอกแล้วล่ะ
“ประเด็นมันอยู่ตรงนี้แหละ เด็กๆ บอกไม่ถูกหรอกว่าพวกแกอยู่ที่ไหน แต่สิ่งที่พวกแกบอกมาคือ ปราณันต์พาพวกแกนั่งเครื่องบินไป และที่ๆ พวกแกอยู่บางครั้งก็พูดภาษาอะไรไม่รู้ พวกแกฟังไม่รู้เรื่อง” คามินเล่าพลางมองหน้าแทนคุณ “นายพอจะเดาออกไหมแทนคุณว่าสิ่งที่เด็กๆ พูด หมายความว่ายังไง”
“คุณปราณันต์พาคุณหนูทั้งสองหนีไปทางเหนือหรือไม่ก็ทางใต้ แล้วน่าจะเป็นเหนือสุดหรือไม่ก็ใต้สุดด้วย.. ถูกไหมครับ” แทนคุณตอบในทันทีโดยที่แทบจะไม่ต้องหยุดคิด
“ใช่” คามินมองหน้าแทนคุณอย่างพอใจ คนตรงหน้ารู้ใจเขาเกือบทุกเรื่อง สมแล้วที่เป็นคนที่คามินวางใจ และเชื่อใจที่สุด
“แต่คำถามคือฉันไม่รู้ว่าจังหวัดไหนนี่สิ จะถามปุณณ์กับปัณณ์ต่อ คุณปราณก็มาเสียก่อน พวกแกเลยต้องรีบวางไป”
ท้ายประโยคของคนเป็นเจ้านายดูแผ่วลง แทนคุณเดาได้ไม่ยากเลยว่า ท่านประธานของเขาคงคิดถึงคุณปราณันต์ขึ้นมาอีกแล้ว เพราะในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ ไม่มีวันไหนเลยที่บอสจะไม่คร่ำครวญถึงคนที่หายไปอย่างคุณปราณันต์
“บอสคิดว่าแบบนี้เพื่อนๆ ของคุณปราณันต์จะรู้ไหมครับ” แทนคุณถาม เล่นเอาคามินชะงักไป ก่อนจะโพล่งขึ้นมาเหมือนนึกขึ้นได้
“เดี๋ยวนะแทนคุณ! ก่อนหน้านี้เราเคยคิดกันใช่ไหมว่า เพื่อนๆ ของคุณปราณน่าจะรู้ดีว่าคุณปราณหายไปไหน อยู่กับใคร”
“ใช่ครับ” แทนคุณตอบคามินงงๆ เพราะไม่รู้ว่าเจ้านายตัวเองคิดอะไรอยู่
“แล้วถ้าสมมติฐานมันเป็นแบบนี้ล่ะแทนคุณ อนาวิน นทนัช และกันต์กวีรู้ดีว่าคุณปราณหนีไปต่างจังหวัด เพราะฉะนั้น นั่นหมายความว่าต้องมีใครสักคนในสามคนนี้หาที่อยู่ ที่ทำงานไว้ให้คุณปราณพร้อม ไม่งั้นคุณปราณคงไม่กล้าพาเด็กๆ ไปลำบากไกลถึงต่างจังหวัด จริงไหม”
คามินวิเคราะห์มาเป็นฉากๆ โดยมีแทนคุณพยักหน้ารับและเห็นด้วยว่า สมมติฐานที่ท่านประธานตั้งไว้มีสิทธิ์เป็นไปได้สูงมาก
“ครับบอส ผมเข้าใจแล้ว เดี๋ยวผมจะให้คนไปสืบครับว่าในบรรดาเพื่อนทั้งสามคนของคุณปราณันต์ มีใครมีญาติที่มีกิจการอยู่ต่างจังหวัดบ้าง”
แทนคุณเสนอทางออกให้ราวกับรู้ใจคามินดี ก่อนที่คามินจะนึกบางประโยคของปุณณกันต์ได้ จึงย้ำกับแทนคุณไปอีกครั้ง
“อ่ะ อีกอย่าง ฉันได้ยินปุณณ์พูดว่า ‘พี่ปราณก็ให้อยู่ที่โรงแรมตลอด’ นั่นน่าจะหมายความว่างานที่คุณปราณไปทำคงเป็นงานเกี่ยวกับโรงแรม นายก็สืบดูแล้วกัน ถ้าใครมีลักษณะของกิจการตรงกับข้อมูลที่เรามีมากที่สุด ฉันเดาว่าที่นั่นแหละคือที่ๆ คุณปราณพาฝาแฝดไป”
“ครับบอส”
แทนคุณรับคำอย่างตั้งใจ ถ้ามีข้อมูลมากขนาดนี้ เขามั่นใจมากว่าจะหาครอบครัวของปราณันต์ได้ภายในวันสองวันนี้แน่ แต่นั่นดูเหมือนจะไม่ทันใจท่านประธานของเขาสักเท่าไหร่ เพราะเส้นตายที่คามินให้ ดูเหมือนว่าจะกระชั้นชิดกว่าที่เขาคิดไว้มาก
“ฉันต้องรู้ว่าคุณปราณอยู่ที่ไหนภายในพรุ่งนี้ และทันทีที่รู้ให้จองตั๋วเครื่องบินทันที ฉันจะไม่รออะไรทั้งนั้น”
คนติดตามร่างใหญ่ค้อมศรีษะรับคำสั่งนิ่ง เขาคิดไว้แล้วว่าต้องเจอกับอะไรแบบนี้แน่ บอสของเขาไม่เคยคิดรั้งรออะไรอยู่แล้ว ถ้าเป็นเรื่องของคุณปราณันต์
“แล้วพรุ่งนี้ก็เรียกประชุมบอร์ดด้วย ฉันจะหารือเรื่องข่าวที่ถอนหมั้นกับพรวลัยไป จากนั้นจะได้สั่งงานต่อเผื่อต้องไปหลายวัน”
คามินสรุปเสร็จสรรพ แทนคุณถึงกับพูดไม่ออก ก็เจ้านายเขาเล่นคิดไว้ซะทุกอย่างขนาดนี้
“ครับบอส” แล้วผู้ติดตามอย่างเขาจะทำอะไรได้ นอกจากรับคำไป
คามินยิ้มบางๆ อย่างยินดี เมื่อพอจะมองเห็นลู่ทางที่จะหาปราณันต์เจอหลังจากที่มืดมิดมานานนับเดือน ทั้งนี้ทั้งนั้นคนที่เขาต้องขอบคุณมากที่สุดก็เห็นจะเป็นฝาแฝดตัวน้อยผู้นำโชคของเขานั่นแหละ นี่ก็คิดว่าถ้าหาครอบครัวปราณันต์เจอเมื่อไหร่ คงต้องให้รางวัลเจ้าหนูน้อยทั้งสองอย่างงามทีเดียว
.
.
.
(อ่านต่อด้านล่าง)