END εїз เรื่องเล็กๆ <3 : 15 เรื่องที่ดีที่สุดแล้ว εїз
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: END εїз เรื่องเล็กๆ <3 : 15 เรื่องที่ดีที่สุดแล้ว εїз  (อ่าน 4524 ครั้ง)

ออฟไลน์ Maywrite

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-05-2020 17:50:45 โดย Maywrite »

ออฟไลน์ Maywrite

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
#ณภัทรปณวัช

εїз

"ภัทรแกล้งลืมวันเกิดเค้าทำไม"

ผมถามออกไปทั้งน้ำตาเพราะผมรู้ดีที่สุด

รู้ดีว่าเขาเองก็รู้อยู่แก่ใจ

ว่ามันไม่มีทางเลยสักนิด

ที่คนอย่างเขาจะลืมวันพิเศษวันนี้ไปได้

"ภัทรแกล้งเขาทำไม"

[...] ยังไม่มีคำตอบใดๆจากปลายสาย ภัทรยังคงเงียบไม่พูดอะไรออกมาสักคำ

แต่มันก็เหมือนในทุกครั้ง เพียงได้ยินเสียงลมหายใจที่ไม่สม่ำเสมอของเขา ผมก็เดาได้ทั้งหมดว่าเขาเองก็ไม่ได้ไม่รู้สึกอะไร

ภัทรกำลังร้องไห้..

ทั้งๆที่ไม่เห็น แต่ผมสามารถจินตนาการเห็นเขาที่กำลังใช้มือที่ว่างปิดปากตัวเองจนสนิท บังคับร่างกายที่สะอื้นเฮือกไม่ให้ส่งเสียงใดๆออกมา

ผมรู้..

เพราะผมรู้จักภัทรของผมดีกว่าใคร

แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมไม่รู้

คือเขาร้องไห้ด้วยความรู้สึกอะไร

มันเป็นเพราะเขาเสียใจที่ยุ่งจนไม่มีเวลาให้กับผมในวันเกิด

ที่ต้องโกหกว่าลืมเพราะไม่สามารถหลีกเลี่ยงมันได้จริงๆ

"ภัทรไม่รักเค้าแล้วหรอ"

หรือร้องเพราะมันยากเกินไปสำหรับเขา ที่จะบอกกันตรงๆ ว่าความรักที่มันเคยมีมากมายมันไม่มีอีกแล้ว

มันยากสำหรับเขา

ที่จะบอกว่าเขาไม่รักกันเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว..


******

สวัสดีค่า~ 

น้องภัทร น้องเป้มาแล้ววว

น้องสองคนมาจากเรื่อง "เรื่องเล็กๆ/a small story" นะคะ แต่เรื่องนี้จะไม่ต่อเนื่องจากภาคแรกเลย อ่านได้โดยไม่ต้องย้อนไปอ่านเรื่องที่แล้วเลยค่ะคุณ (แต่ถ้าอ่านเราก็จะรักแหละ แต่ไม่อ่านก็รักอยู่แล้วน้า~) 

เรื่องแรกจะเป็นภาคตอนเด็กหัวเกรียน ตอนนี้ก็โตกันหมดแล้ว นิสัยก็เปลี่ยนไปบ้าง ยังไงต้องลองติดตามกันดูเนาะ ชอบไม่ชอบยังไง เม้นมาเลยยย อย่าปล่อยเราไว้คนเดียวเลย  555

ออฟไลน์ Maywrite

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
#ณภัทรปณวัช
01 เรื่องราวของเรา



ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเมื่ออาจารย์บอกเลิกคลาส ตั้งใจจะส่งข้อความไปหาใครบางคนที่ยังมีเรียนอยู่ว่าจะไปรอที่คณะเพราะเมื่อวานบอกไว้แล้วว่าวันนี้จะไปรับมากินข้าวเที่ยงด้วยกัน

"..."

'เค้าต้องเข้าประชุมเชียร์ตอนเย็น ตอนนี้เลยต้องรีบปั่นงานให้เสร็จ คงไปเจอไม่ได้ ขอโทษนะ'

อีกแล้ว..

ผมคิดในใจพร้อมพรูลมหายใจเฮือกใหญ่อย่างสุดจะทน ผมไม่อยากทำตัวงี่เง่ากับเขา เพราะรู้ดีว่าปีหนึ่งแบบเรา นอกจากการเรียนแล้วมันยังมีกิจกรรมอีกมากมายที่ทำให้ไม่มีเวลาไปไหนต่อไหน หรือทำอะไรได้ตามใจอย่างเคย

แต่ผมคิดว่านี่มันก็มากเกินไปหน่อย

คือตั้งแต่เปิดเทอมมาสามอาทิตย์ ผมก็อุตส่าห์อดทนอดกลั้นไม่ไปหาเขาหลังเลิกเรียนอย่างที่เจ้าตัวเคยขอไว้ จะได้เจอกันบ้างก็ช่วงระหว่างเรียนหรือเสาร์อาทิตย์ที่เขาว่างเท่านั้น

แต่พอนานวันเข้ามันก็เริ่มแย่เข้าไปใหญ่ อาทิตย์นี้ผมยังไม่ได้เจอเขาเลยสักครั้ง โทรศัพท์ที่เคยโทรคุยกันทุกวันก็เริ่มลดน้อยลงทุกที แม้แต่ข้อความที่เคยส่งหากัน ถ้าผมไม่ทักไปก่อนเขาก็ไม่เคยส่งมาหาผมเลย

แล้วนี่คืออะไร แค่อยากไปกินข้าวเที่ยงด้วยกันสักครึ่งชั่วโมง มันจะยุ่งมากจนปลีกตัวออกมาไม่ได้จริงๆ น่ะหรอ ผมขอเขามากไปจริงๆหรอ

“...”

ลึกๆ ผมก็รู้ดีว่าทั้งหมดมันก็เป็นแค่ข้ออ้าง

คนเราถึงจะมีงานเยอะแยะขนาดไหน แต่มันไม่มีทางเลยที่จะยุ่งเสียจนหาเวลามาเจอแฟนตัวเองไม่ได้เลยแบบนี้

อย่างน้อยภัทรก็ต้องกินข้าว

แล้วมันจะไม่ได้เลยหรอ ที่เราจะนั่งกินข้าวด้วยกัน

ผมส่ายหัวพยายามไล่ทุกความคิดน้อยอกน้อยใจที่มันสุมแน่นในอกออกไป ตลอดมาผมไม่อยากจะทำตัวเป็นคนน่ารำคาญ ไม่อยากให้ภัทรคิดมาก ไม่อยากทำตัวเป็นภาระอีกชิ้นนึงของเขา ผมพยายามเต็มที่ที่จะทำตัวเป็นแฟนที่ดี แฟนที่เข้าอกเข้าใจอย่างดีที่สุด แต่มันเกลับกลายเป็นว่ายิ่งผมเงียบเสียงลงเท่าไหร่ เราสองคนก็ดูเหมือนจะยิ่งห่างกันไกลออกไปเท่านั้น

ผมจับต้นชนปลายไม่ถูกจริงๆ

ผมไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆระหว่างเรามันถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้

ผมจ้องข้อความของเขาอยู่สักพัก ในที่สุดก็ตัดสินใจกดออกจากหน้าแชทของเรา ผมจะไม่ตอบอะไรกลับไป เพราะตอนนี้หัวใจมันเริ่มฉุนขึ้นแล้วจริงๆ กลัวเหลือเกินว่าจะเผลอเขียนอะไรที่อาจจะทำให้ต้องมานั่งเสียใจกันทีหลัง

ในตอนที่กำลังจะกดล๊อคโทรศัพท์ จู่ๆ ก็มีเสียงแจ้งเตือนว่ามีข้อความใหม่เข้ามา ผมรีบกดเข้าไปดูทันทีโดยไม่ทันแม้แต่จะดูชื่อคนส่ง แอบหวังไว้ลึกๆ ว่าอาจจะเป็นภัทรที่เปลี่ยนใจบอกให้ผมไปหาก็ได้

'ไปกินข้าวกันมึง' ผมกัดฟันแน่นอย่างเจ็บใจ ความหวังลมๆ แล้งๆ ของผมพังสลายลงในชั่วพริบตา มันไม่ใช่ข้อความจากภัทร แต่มันเป็นอีกครั้งที่ไอ้บอลเพื่อนสนิทตั้งแต่มอต้นของผมเป็นคนส่งข้อความมา

มันก็เป็นอีกคนที่มีท่าทีแปลกๆ มันไม่ได้เล่าอะไรให้ผมฟังหรอก แต่ผมเดาเองว่ามันคงเข้ากับเพื่อนใหม่ในคณะวิศวะของมันได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก เพราะทั้งอาทิตย์นี้มันมาหาผมเพื่อขอกินข้าวเที่ยงด้วยกันได้ทุกวี่ทุกวัน ทั้งๆ ที่คณะของมันอยู่ไกลกับคณะผมคนละฟาก

แล้วอีกอย่าง มันมาหาผมทุกวันยังกับคนที่ไม่ค่อยได้เจอกัน ทั้งๆ ที่มันน่ะ เป็นรูมเมทของผมเอง

พูดถึงเรื่องนี้แล้วผมยังขัดใจไม่หาย

พอรู้ผลว่าได้เรียนที่เดียวกัน ไอ้บอลมันก็คะยั้นคะยอให้ผมเช่าห้องอยู่ด้วยกับมัน แน่นอนว่าผมต้องอยากที่จะเช่าหออยู่ด้วยกันกับภัทรอยู่แล้ว ผมจึงปฏิเสธมันหนักแน่นไม่ว่ามันจะมาเซ้าซี้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง

แต่ไปๆ มาๆ กลับเป็นภัทรเองต่างหากที่เป็นคนบอกให้ผมอยู่กับมัน ด้วยเหตุผลง่ายๆคือเพราะเขาอยากอยู่หอคนเดียว 

แต่เหตุผลของเขาน่ะ มันฟังไม่ขึ้นเลยสักนิด

แต่ไหนแต่ไร ผมรู้ดีที่สุดว่าภัทรน่ะเป็นคนขี้เกรงใจ เรียกได้ว่าเป็นคนประเภทที่เห็นอกเห็นใจคนอื่นจนบางครั้งลืมคิดถึงตัวเองไปเลยด้วยซ้ำ ผมถึงคิดว่าที่ภัทรทำแบบนี้มันต้องเป็นเพราะไอ้บอลไปขอร้องเขาไว้แน่ๆ ไม่งั้นภัทรที่ตลอดเวลาห้าปีที่คบกันติดผมขนาดนั้น เขาจะไม่อยากอยู่กับผมได้ยังไง

ยิ่งคิดแล้วยิ่งเสียดาย ผมน่าจะตื้อให้มากกว่านี้ถ้าเราอยู่ด้วยกัน อย่างน้อยเวลาที่เขายุ่งจนไม่มีเวลาให้กันแบบนี้ เราก็ยังจะได้เจอหน้ากันทุกวันอยู่ดี

ผมตัดสินใจตอบตกลงไอ้บอลไปในที่สุด รวบเก็บอุปกรณ์การเรียนบนโต๊ะทั้งหมดเข้ากระเป๋าสะพายหลังของผม จับพาดไหล่หนึ่งข้างก่อนจะเปิดโต๊ะเลคเชอร์ยันตัวลุกขึ้นเพื่อเดินไปรอเพื่อนสนิทของผมที่ตอนนี้มันคงกำลังบึ่งเวสป้าคันโปรดมาหาที่โรงอาหารของคณะเหมือนเคย

"เห้ยเป้ ไปไหนต่อมึง" ผมหันขวับเมื่อไอ้สิงหา เพื่อนในภาคที่กึ่งวิ่งกึ่งเดินจากที่นั่งแถวหลังสุดเอ่ยเรียก ปกติผมจะนั่งเรียนข้างมันกับไอ้โย แต่เพราะวันนี้ไอ้โยไม่เข้า และไอ้สิงบอกว่ามันง่วงนอนจัด มันเลยขอหลบไปนั่งแถวหลังเพื่อจะได้นอนได้เต็มที่

"ไปกินข้าว นัดไอ้บอลไว้ มึงจะไปด้วยกันไหมล่ะ" มันตอบตกลงในทันที ผมหัวเราะพร้อมส่ายหัวให้ความใจง่ายของมัน

ไอ้สิงมันเพิ่งรู้จักกับผมก็จริง แต่เพราะมันเป็นคนเฮฮาสนุกสนาน มีมุกนั่นมุกนี่มาเล่นกันตลอด แถมเป็นคนกินง่ายอยู่เป็น ทำให้ถึงจะแค่รู้จักกันไม่กี่อาทิตย์ผมถึงรู้สึกสนิทใจเหมือนรู้จักกับมันมานานแล้ว

อีกอย่าง ทั้งผมกับไอ้บอลลงความเห็นว่ามันน่ะนิสัยเหมือนไอ้เดี่ยว เพื่อนของพวกผมที่ตอนนี้ไปเรียนอยู่ที่มหา'ลัยแถวรังสิต เพราะแบบนี้พวกผมถึงถูกชะตา สนิทกับมันได้เร็วขนาดนี้

"เออ แล้วมึงไปกินเลี้ยงน้องมาแล้วดิ เป็นไงมั่งว่ะ พี่หมีพูห์มึงโครตน่ารักอ่ะ เห็นทีไรใจสั่นมาก" มันถามตอนที่เราสองคนเดินมารอไอ้บอลที่โรงอาหาร เมื่อผมพยักหน้ารับ มันก็ถามต่อให้ผมต้องอธิบายเพิ่ม

"ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว กูไปมาสามสี่ครั้งได้แล้วมั้งมึง พี่หมีพากูไปนั่งร้านล่องลอยที่หลังมออ่ะ พอดีพี่ดิน ลุงกูร้องเพลงอยู่ที่นั่นเป็นประจำ บรรยากาศดี ดนตรีเยี่ยม มึงควรจะไปเจิม" ผมเล่าไปพลางคิดไปถึงวันที่นัดเจอกับพี่ๆในสายรหัส ผมว่าผมค่อนข้างโชคดีนะที่ได้มาอยู่สายนี้

พี่หมีพูห์พี่รหัสของผมเป็นคนที่เรียกได้ว่าโครตของโครตอัธยาศัยดี เราสนิทกันเร็วมากทั้งๆ ที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่เท่าไหร่ สนิทขนาดที่ว่าพี่หมีรู้เรื่องของผมกับภัทรทั้งๆ ที่ปกติผมจะไม่เล่าให้ใครฟังก่อน

คราวนี้ผมก็ไม่ได้เล่า แต่พี่หมีบังเอิญมาเห็นผมกับภัทรเดินอยู่ร้านข้าวด้วยกัน พี่แกบอกว่าสายตาที่ผมมองภัทรมันไม่ธรรมดาเลย มองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่แค่เพื่อนแน่ๆ หลังจากนั้นพี่หมีก็แซวจนผมหลุดปากไปในที่สุด และไม่รู้ว่าไปไงมาไง พี่แกกับภัทรมีเบอร์ของกันและกันไปแล้วซะงั้น

ทั้งๆ ที่ถ้าลองเทียบกับไอ้บอลที่เป็นเพื่อนภัทรมาตั้งแต่มอสอง ภัทรเพิ่งคิดจะขอเบอร์มันตอนช่วงที่เรากำลังจะจบมอปลายเอง คิดดูสิ เขาสนิทกันรวดเร็วขนาดไหน

นอกจากพี่หมีแล้ว ในสายของผมยังมีพี่นนท์ที่เป็นปู่รหัสสายเปย์ เจอหน้ากันนี่คือพี่แกต้องเรียกไปเลี้ยงตลอด ไม่พาไปกินข้าวก็ต้องซื้ออะไรสักอย่างให้ อย่างวันก่อนเจอกับพี่แกหน้าเซเว่น พี่แกก็ลากเข้าไปซื้อขนมเต็มตระกร้า เรียกว่าเลี้ยงดีกว่าที่บ้านผมอีกด้วยซ้ำ

แล้วพวกหนังสือเรียนที่ปกติเขาจะเอาของเก่าให้รุ่นน้องใช้ต่อกัน แต่พี่แกก็คือลงทุนซื้อเล่มใหม่มาให้กับทุกคน เพราะอยากให้น้องๆ แต่ละคนเก็บไว้อ่านในยามที่จำเป็นอีกต่างหาก 

แล้วนั่นคือยังไม่เท่าไหร่ วันที่รู้สายรหัสวันแรก พี่นนท์ทำผมอึ้งแบบไปไม่เป็นจริงๆ พี่แกพาผมไปร้านขายอุปกรณ์ดนตรีที่ผมรู้วันนั้นเองว่ามันเป็นธุรกิจของที่บ้านพี่เขา

ขอโทษนะครับ แต่ผมเพิ่งเคยเจอจริงๆ ถึงผมจะเป็นสายรหัสก็เถอะ แต่มันดูไม่มากเกินไปหรอครับที่คนคนนึงจะซื้อกีต้าร์แพงๆให้ใครอีกคนง่ายๆ

พอผมบอกไม่เอาก็โดนด่า บอกให้ผมออกจากสายรหัสไปเลย เอ้า! ผมงงก็งง แต่ก็จำใจเลือกมาหนึ่งรุ่น พยายามหาเอาแบบที่ราคาถูกที่สุดเท่าที่จะหาได้ แต่ก็โดนด่าอีกว่าตาไม่ถึง เลือกไม่เป็น แล้วในที่สุดพี่แกก็ทนไม่ได้เลือกให้เอง แล้วคือเป็นรุ่นที่แพงที่สุดในร้านอีกต่างหาก

สายเปย์เอาแต่ใจ นี่ล่ะครับนิยามของปู่รหัสผม

นอกจากพี่หมีที่แสนเฟรนด์ลี่กับพี่นนท์คนใจสปอร์ตแล้ว สายผมยังมีพี่ดินลุงรหัสของผมที่เป็นคนดังของคณะอีกหนึ่งคน ด้วยความที่พี่ดินร้องเพลงเพราะ หน้าตาดี (มาก) และยังเป็นเพื่อนสนิทกับพี่ตั้งต้นที่เป็นเดือนคณะรุ่นก่อนอีกต่างหาก เพื่อนๆ ในภาคผมโดยเฉพาะสาวๆ ต่างก็พากันอิจฉาผมกันทั้งนั้น

ผมก็ดีใจนะที่ผมได้เป็นน้องพี่เขา แต่ไม่ใช่เพราะคุณสมบัติข้างต้นที่ผมกล่าวมาหรอกนะ แต่เพราะพี่ดินเป็นคนที่ใจดีที่สุดไปเลยต่างหาก

ด้วยความที่พี่ดินร้องเพลงอยู่ที่ร้านล่องลอยอาทิตย์ละสามวัน พี่แกจึงเป็นคนที่นัดพวกผมออกไปรวมตัวกระชับความสัมพันธ์กันบ่อยๆ และผมคิดว่ามันได้ผลจริงๆ เพราะตอนนี้ผมรู้สึกสนิทกับพี่ๆทุกคนเหมือนพวกเขาเป็นพี่ของผมไปแล้วจริงๆ

ตอนที่ผมกำลังนั่งสาธยายสรรพคุณของรุ่นพี่ผม ไอ้บอลก็ขับเวสป้าสีเหลืองคันเก่งของมันมาถึง ผมสั่งอาหารเผื่อมันแล้ว เราจึงนั่งรอกันอีกไม่นานก่อนที่จะเริ่มลงมือจัดการกับอาหารที่มาเสิร์ฟพร้อมกัน

"วันนี้ตอนบ่ายพวกมึงว่างไหม ไปดูหนังกัน มึงจำหนังซอมบี้ที่กูเคยให้มึงดูไหม เข้าโรงแล้วนะ" ไอ้บอลเปิดประเด็น ก่อนที่จะเปิดคลิปหนังตัวอย่างที่มันเคยส่งมาให้ผมให้ไอ้สิงดู

"เอาดิ ไหนๆ วันนี้ก็วันศุกร์ไม่มีเข้าเชียร์ด้วย ไปห้างแล้วตอนเย็นก็ไปนั่งร้านล่องลอยกันไหม มึงเล่าซะกูอยากไปเลย"

สิงมันว่าพร้อมหันหน้ามาถามความคิดเห็นของผม ผมนิ่งคิดไปนิด แต่เมื่อโดนเพื่อนทั้งสองคะยั้นคะยอหลายครั้งก็เลยตอบตกลงอย่างไม่อยากให้มันเสียน้ำใจ ไหนๆ วันนี้ตอนเย็นภัทรก็ไม่ว่างอยู่แล้ว

"งั้นก่อนไปกูขอไปหาภัทรก่อนได้ไหม" ผมว่า "กูไม่เจอเขามาเป็นอาทิตย์แล้ว อย่างน้อยขอเจอหน้าสักนิดก็ยังดี"

"เอากับมันดิครับ ไม่เห็นหน้าเห็นหลังคาคณะก็ยังดีงี้" ไอ้สิงเอ่ยแซวผม ถึงปกติผมจะไม่ได้เล่าให้ใครต่อใครฟังว่าภัทรเป็นแฟน แต่ผมก็ไม่ได้คิดจะโกหกหรือปิดบังอะไรหรอกนะ

'รีบขนาดนี้ คนสำคัญล้านเปอร์เซ็นต์'

'อือ สำคัญที่สุด’

"งั้นเอางี้ ไอ้บอลมึงทิ้งรถมึงไว้นี่ แล้วเดี๋ยวนั่งรถกูไปแวะหน้าตึกให้ไอ้เป้ แล้วพวกกูจะรอมึงที่รถ จะได้ไม่ต้องย้อนไปย้อนมา" ไอ้สิงเสนอ

พวกเราเออออตามมัน เมื่อตกลงกันได้ก็เดินออกจากโรงอาหารไปขึ้นรถไอ้สิงที่จอดอยู่หน้าคณะ ก่อนที่รถของเราจะมุ่งตรงไปหน้าตึกบัญชีเพื่อไปหาใครบางคนที่ผมคิดถึงที่สุด

εїз

ไอ้สิงจอดรถอยู่ในลานจอดรถของคณะบัญชี พอลงจากรถมาได้ ผมก็เดินตรงมายังบริเวณใต้ตึกที่เขามักจะนั่งทำงานกับเพื่อนเขาเป็นประจำ กวาดสายตาไปรอบๆ เมื่อเห็นว่าเขาไม่อยู่แถวนี้ ผมเลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ตั้งใจจะโทรหาให้เขาออกมาเจอกับผมสักหน่อย สักห้านาทีก็ยังดี

"เป้" แต่ยังไม่ทันได้โทรออก ผมก็โดนใครบางคนทักมาจากด้านหลัง พอหันไปดูก็เห็น ร่มโพธิ์ เพื่อนในภาคของเขาที่ยืนยิ้มกว้างอยู่ข้างผม

"อ้าว ร่ม หวัดดี" ผมทักเขากลับ ผมจำเขาได้ เพราะตอนที่มาหาภัทรที่คณะคราวก่อน ภัทรแนะนำให้ผมรู้จักกับเพื่อนของเขาสองสามคน เขาแนะนำในฐานะที่ผมเป็น 'เพื่อนสนิท' สมัยมัธยมของเขา

"ภัทรล่ะ" ผมว่าต่อ สายตายังชะเง้อมองรอบด้าน แต่ก็ไม่เห็นวี่แววของคนของผมเลยสักนิด

"ภัทรมันไปซื้อขนมที่เซเว่น วันนี้งานยุ่งจนยังไม่ได้กินข้าวกันเลย" ร่มโพธิ์ว่าให้ผมใจชื้น อย่างน้อยภัทรก็ไม่ได้โกหกกันเรื่องที่ทำงานยุ่งจนมาเจอผมไม่ได้

"นั่งรอด้วยกันไหมล่ะ โต๊ะเราอยู่ตรงหัวมุมด้านโน้น"

"ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราต้องไปแล้ว เราตามภัทรไปเซเว่นเลยดีกว่า"

"เอางั้นนะ" ผมพยักหน้ารับ บอกลากันก่อนที่ผมจะเดินไปตามทางที่เขาชี้บอก ในตอนที่กำลังจะถึงหน้าร้าน ประตูบานเลื่อนของร้านก็เปิดออกพร้อมกับที่ผมได้ยินเสียงหัวเราะลอดออกมาจากใน

ผมชะงักในทันที เพราะมันเป็นเสียงหัวเราะที่ผมคุ้นเคย

และมันก็ใช่จริงๆ มันเป็นเขาที่เดินออกมาจากในร้าน กำลังยิ้มหัวเราะอยู่กับเรื่องตลกบางเรื่องที่คนตัวสูงด้านหลังเอ่ยเล่าไม่หยุด

"เป้" และในทันทีที่ตาของเราสบกัน มันก็เป็นเขาอีกที่สะดุ้งตกใจจนเผลอเรียกชื่อผมออกมา

“เป้” เขาเอ่ยชื่อผมย้ำอีกครั้งอย่างพยายามดึงความสนใจ ดึงสายตาของผมให้กลับไปมองที่เขา 

เพราะตอนนี้ผมเอาแต่จ้องตรงไปยังคนด้านหลังที่เจ้าตัวเองก็ไม่ยอมหลบตา มองคนที่มือข้างหนึ่งอยู่บนไหล่บางของภัทร มองไปยังคนที่มาซื้อของด้วยกันกับเขา แต่กลับเป็นคนที่ถือถุงทุกใบไว้ด้วยตัวเอง

"เค้าแวะมาหาภัทร ขอคุยด้วยสักห้านาทีได้ไหม" ผมหันกลับมาคุยกับเขา เมื่อภัทรขยับตัวเข้ามาหาผมทำให้มือที่อยู่บนไหล่หลุดออกไปในที่สุด 

ภัทรพยักหน้ารับและบอกให้ผมรอ ก่อนที่จะหันกลับไปคุยกับคนข้างหลังเพื่อบอกให้เจ้าตัวกลับไปที่โต๊ะก่อนได้เลย

เขาหันกลับไปคุยโดยไม่คิดจะแนะนำผมให้อีกฝ่ายรู้จักเลยด้วยซ้ำ

ผมเดินตามเขาไปยังม้านั่งว่างๆที่อยู่ในสวนเล็กๆข้างเซเว่น ตอนที่เรานั่งลงข้างกัน มันก็เป็นเขาที่เอ่ยออกมาทำลายความเงียบระหว่างกัน

"เป้มาได้ยัไง"

“สิงกับบอลรออยู่ที่รถ เค้าจะไปดูหนังกับพวกมันวันนี้ เลยอยากมาหาภัทรก่อน”

“...”

“ภัทรอยากไปด้วยกันไหม”

“เราไม่ว่าง” ภัทรสวนกลับมาทันที แต่เจ้าตัวก็ชะงักในทันทีเหมือนกัน เพราะนึกขึ้นได้ว่าเผลอใช้สรรพนามที่ผมไม่ชอบ “เค้า..เค้าหมายถึงว่าเค้าไม่ค่อยว่าง มันมีงานที่ต้องรีบส่ง แล้วตอนเย็นก็ต้องเข้าห้องเชียร์”

“...”

“เค้าก็ส่งข้อความไปบอกเป้แล้วนี่”

ผมไม่ได้ตั้งใจฟังเหตุผลที่เขากำลังตั้งใจอธิบายเพราะใจนึงผมก็รู้อยู่แล้วว่าเขาต้องปฏิเสธ แต่สิ่งที่ทำให้ผมติดใจคือท่าทางของเขาต่างหาก ท่าทางที่ทำเหมือนว่าผมพูดไม่รู้เรื่อง ท่าทางที่ดูเหมือนว่าผมทำให้เขารำคาญนักหนา

“เค้าก็แค่ถามดู เผื่อภัทรเปลี่ยนใจ”

“...”

“เค้าคิดถึงภัทรนะ” ผมเอื้อมมือของผมออกไป ตั้งใจจะจับมือเขา แต่เพียงแค่ผมเริ่มขยับ มันก็เป็นเขาที่สะดุ้งและเขยิบถอยห่างแทบจะทันที

“...”

"..."

"ภัทรคิดถึงเค้าไหม" ในที่สุดผมก็เก็บกั้นอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ ท่าทางหมางเมินของเขามันไม่ธรรมดาเอาเสียเลย ทั้งๆที่ไม่ค่อยได้เจอกัน เขาควรจะดีใจไม่ใช่หรอที่ผมมาหาเขาแบบนี้

“ภัทรไม่คิดถึงเค้าเลยหรอ” อย่างเผลอตัว ภัทรหันมาสบตากับผมในทันทีที่ผมถามประโยคสุดท้ายออกไป ในชั่ววินาทีนั้นผมเห็นนัยย์ตาของเขาวาวไหว มันมีบางสิ่งบางอย่างอยู่ในนั้น บางสิ่งบางอย่างที่อีกคนพยายามซ่อนไว้ บางสิ่งบางอย่างที่แสดงให้ผมเห็นว่าภัทรยังเป็นคนเดิม

ยังเป็นภัทรคนเดิม ยังเป็นภัทรของผม

แต่มันก็เป็นแค่ชั่วแวบเดียวก่อนที่เขาจะกลับมามีสีหน้าเรียบเฉยเหมือนเดิม ผมไม่รู้เลยจริงๆว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ ไม่รู้ ไม่เข้าใจอะไรเลยสักอย่าง

“ภัทรเป็นอะไร” ผมเอื้อมมือไปกุมหลังมือของเขาไว้ในที่สุด ภัทรพยายามจะดึงมันออก แต่เป็นผมเองที่ไม่ยอมปล่อยไป

“บอกเค้าไม่ได้เลยหรือไง”

“...”

“ที่ภัทรเป็นแบบนี้ เป็นเพราะเค้ามาหาที่คณะหรอ”

ผมคิดเหตุผลอื่นไม่ออกจริงๆ แต่ไหนแต่ไร ทั้งๆที่ผมอยากจะบอกใครต่อใครว่าเขาเป็นแฟนผม แต่มันก็เป็นภัทรเองที่ห้ามกันไว้ และยิ่งพอเข้ามหา'ลัย ผมก็รู้สึกได้จริงๆว่าเขาไม่อยากให้ใครรู้ เขาไม่อยากให้ผมเข้าไปยุ่งย่าม ไปมีตัวตนในโลกใบใหม่ของเขา

“...”

“...”

ความเงียบเข้ามาครอบคลุมรอบตัวของเราทั้งสอง ภัทรยังคงก้มหน้าก้มตามองก้อนหินสองก้อนที่อยู่บนพื้นถนนตรงหน้าอย่างตั้งอกตั้งใจ ส่วนผมเอง ก็ทำได้แต่ลอบมองอากัปกิริยาของเขา ผมสังเกตเห็นเขาขบกัดฟันแน่นอย่างลืมตัว มันเป็นแบบนี้ทุกครั้งเวลาที่ภัทรรู้สึกอึดอัดใจ

และตอนนี้ เป็นผมเองที่กำลังทำให้เขาอึดอัดใจ

“เค้าขอโทษนะ” ผมลูบหลังมือของคนที่นั่งนิ่ง ก่อนจะยอมปล่อยมือออกในที่สุด ในจังหวะนั้นผมสังเกตได้ถึงการคลายตัวของช่วงไหล่ของเขาและการพ่นลมหายใจออกช้าๆอย่างโล่งอก และก็เป็นตอนนั้นเอง ที่ผมมั่นใจว่าผมคงทำให้เขาอึดอัดมากจริงๆนั่นแหละ

“ไม่ต้องห่วงนะ ถ้าภัทรไม่อนุญาต เค้าจะไม่มาอีกแล้ว”

“...”

“งั้นเค้าไปล่ะ”

หมับ!

“เป้” เขาเรียกพร้อมจับข้อมือผมไว้ในตอนที่ผมหยัดตัวขึ้นยืนตรงเตรียมจะเดินไปหาเพื่อนที่รอผมอยู่ที่รถ ผมชะงักเท้าในทันทีก่อนที่จะหมุนตัวกลับไปหาเขา

“เค้าไม่ได้เป็นอะไรนะ แค่ช่วงนี้เครียดเพราะงานมันเยอะ แล้วอีกอย่...” ไม่ทันที่เขาจะพูดจบ มันก็เป็นผมที่ยกมือปรามไว้เป็นสัญญาณห้ามไม่ให้เขาพูดต่อ มันได้ผลเพราะเขานิ่งลงในทันที

“ภัทร.. ตอนนี้ เค้าไม่เข้าใจอะไรเลยสักอย่าง แต่เค้ารอได้ รอได้จริงๆ” ผมว่าออกไป ยกยิ้มจริงใจที่ผมคิดว่าเขาจะเข้าใจในสิ่งที่ผมพยายามจะสื่อสาร “อะไรก็ได้ แต่สัญญาได้ไหม อย่าโกหกเค้าได้ไหม”

ภัทรนิ่งมองผมอยู่อย่างนั้น จนในที่สุดก็พยักหน้ารับ เขายังคงเงียบแต่ก็พยักหน้ารับซ้ำๆ จนผมแทบจะทนไม่ไหวกับท่าทางน่ารักๆของเขา ทนไม่ไหวจนอยากดึงเขาเข้ามากอดให้รู้แล้วรู้รอดกันไป

กอดแล้วบอกว่าผมคิดถึงเขาจับใจ 

กอดแล้วบอกให้เค้ารู้ว่า

ผมยอมเขาแล้วทุกอย่าง

อะไรก็ได้

ที่มันจะไม่ทำให้เราเป็นแบบนี้

อะไรก็ได้

ที่มันจะทำให้เรากลับไปเหมือนเดิม

εїз

“ไอ้เป้ๆ เบามึงเบา” ไอ้บอลยื่นมือมาพยายามจับแก้วเหล้าที่ผมรับมากระดกรวดเดียวไม่ยอมหยุด ผมเบี่ยงตัวหลบจนมันสบถออกมาหลายครั้งในความพูดไม่ฟังของผม

“มึงชงมาอีกแก้วดิ”

“ไอ้เป้กูว่าพอก่อน” คราวนี้เป็นไอ้สิงโตที่กล่าวเตือนผม ผมมองมันตาขวางแต่มันไม่กลัวหรอก มันยื่นมือมาหยิบแก้วเหล้าเปล่าที่ผมวางไว้ แทนที่ด้วยแก้วน้ำส้มคั้นสดที่มันไปสั่งให้ผมมาตอนไหนก็ไม่รู้

“แดก แก้แฮงค์” มันว่า “กูให้มึงพากูมาชิว ไอ้ห่า มาถึงก็แดกเอา แดกเอา เสียอารมณ์ฉิบหาย” มันบ่นอย่างไม่จริงจังเท่าไหร่ แต่ผมไม่สนมันหรอกนะ

ตอนนี้ ไม่ว่าอะไรผมก็ไม่สนใจทั้งนั้น

ทั้งๆที่ผมพยายามใจเย็นจนถึงที่สุด ทั้งๆที่บอกเขาไว้แล้วว่าจะรอให้เขาพร้อมก่อนแล้วเราค่อยมาคุยกัน แต่พอออกมาจากโรงหนังแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็คเท่านั้นล่ะ ความอดทนอดกลั้นที่เคยมีมาตลอดก็ระเบิดตัวกระจัดกระจายจนผมไม่เหลือคราบเป้ใจเย็น คนที่เข้าอกเข้าใจ คนที่แสนดีอีกต่อไป

เพราะมันทั้งนั้น!

พอผมเปิดเข้าไปในเฟสบุ้ค สิ่งแรกที่ผมเห็นคือภาพของแฟนผมที่โดนแอบถ่ายตอนกำลังยิ้มกว้าง ผมบอกเลยว่ามันเป็นภาพที่ดูดีจนผมเผลอกดเซฟเก็บไว้ แต่ปัญหาคือคนที่ลงรูปและคนถ่ายภาพมันดันเป็นคนที่ผมเจอหน้าเซเว่นน่ะสิ

แล้วคือไม่ใช่อะไร แม่งดันชื่อนิวอีกด้วย

ชื่ออื่นมีเป็นร้อยเป็นพัน แต่มารหัวใจผมคือต้องชื่อนี้เบอร์นี้กันทั้งนั้น แล้วดูแคปชั่นมันนะ

'Your smile made my day'

แม่งคือมันอยากตายของแท้

คือครับ ผมคบกับภัทรมาห้าปี อย่าว่าแต่แท๊กหา รูปเขาผมยังไม่เคยกล้าลงซักรูป

"ไอ้เป้ มึงเบา ไอ้เหี้ยยยย" ไอ้บอลตะโกนลากยาวตอนที่ผมยกขวดเหล้าขึ้นกระดก ผมกับมันยื้อแย้งกันเสียงดังจนคนรอบโต๊ะเริ่มหันมามอง ไอ้สิงรีบลุกขึ้นช่วยกันพยายามจับผมไว้อีกแรง

"ไอ้สัดเป้ มึงเป็นอะไรว่ะ"

"ปล่อยกู เอาเหล้ากูคืนมา ไม่งั้นกูจะชกมึง"

"ไอ้สิงมึง จับมันมัดไว้กับโต๊ะดิ"

"ไอ้เหี้ยเป้ พอออ ไอ้ห่ากูเหนื่อย"

"เป้!" พวกผมทั้งสามชะงักค้างอยู่อย่างนั้นในทันทีที่ได้ยินเสียงๆหนึ่งเรียกชื่อผมมาจากนอกโต๊ะ แล้วพอยิ่งหันไปมองผมก็ยิ่งตาโตด้วยความตกใจเมื่อเห็นว่าเป็นใครที่ยืนอยู่ตรงนั้น

"พี่ดิน..."

ตอนนี้ ลุงรหัสที่ผมเคยคิดว่าใจดีที่สุดของผมกำลังยืนกอดอกหน้าเครียดมองตรงมาทางผม

ผมกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่

"มึงเป็นเหี้ยอะไร"

ครับ พี่ดินที่โครตจะสุภาพกับน้องๆ กำลังพูดคำหยาบกับผม

ออฟไลน์ Maywrite

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
#ณภัทรปณวัช

02 เรื่องของความอดทน



ผมเดินออกมาจากห้องน้ำของร้านหลังจากที่เดินเข้าไปล้างหน้าล้างตาตามคำสั่งของลุงรหัสผม มันเป็นโชคดีจริงๆที่พี่ดินมีคิวที่จะต้องขึ้นร้องเพลงพอดี ไม่งั้นแค่พิจารณาจากสายตาที่พี่เขามองผมก่อนหน้านี้ ผมว่าวันนี้ผมคงไม่ได้กลับห้องครบสามสิบสองแน่ๆ

“พี่หมี” ผมครางเบาๆ ออกมาเมื่อเดินกลับมาถึงโต๊ะที่ผมเคยนั่ง ตอนนี้ไม่เหลือเพื่อนของผมเลยสักคน มีแต่พี่รหัสที่ปกติแสนจะร่าเริงแจ่มใส กำลังนั่งไขว้ห้างกอดอกมองผมตาขวาง

ผมว่าพี่หมีคงจะรีบออกมาน่าดู เพราะดูจากผมเผ้าที่ไม่เป็นทรงกับชุดนอนลายทอยสตอรี่ที่คงไม่ทันได้เปลี่ยน ผมเดาว่าลุงรหัสของผมเป็นคนตามพี่เขาออกมา

“กลับ” ไม่พูดพร่ำทำเพลง พี่หมีเหยียดตัวยืนขึ้นตรง เดินนำผมไปยังลานจอดรถข้างร้าน ผมที่วันนี้ดื่มเข้าไปเยอะพยายามตั้งสติ ได้แต่สงบปากสงบคำเดินตามพี่เขาออกไปเงียบๆอย่างคนมีชนักติดหลัง

“ผมขอโทษครับพี่หมี” ทันทีที่เข้าไปนั่งตรงเบาะข้างคนขับในรถยนต์ญี่ปุ่นสีขาวที่เป็นรถของพี่ดิน ผมก็ยกสองมือไหว้พี่เขาและกล่าวขอโทษจากใจที่ต้องทำให้พี่เขาต้องมาเดือดร้อนแบบนี้

“เราทำอะไรลงไปรู้ตัวหรือเปล่า” พี่หมีสวนผมกลับมาในทันที น้ำเสียงที่ได้ยินมันทำให้ผมเสียวสันหลังวาบ จากที่มึนๆเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ตอนนี้สมองของผมตื่นตัวขึ้นเต็มที่ทันทีทันใด

“...”

“ยังดีที่เป็นร้านนี้ ถ้าพี่ดินไม่เจอก่อนไม่รู้จะเป็นยังไงเลยนะ”

“...”

“เราอย่าลืมนะ เราเพิ่งขึ้นปีหนึ่ง อายุเพิ่งจะสิบแปดด้วยซ้ำ ถ้าจะมากินเหล้าสังสรรค์กับเพื่อนๆ พวกพี่ก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่เราต้องรู้จักควบคุมตัวเองด้วย เพื่อนเรามันบอกว่าเอาเราไม่อยู่แล้วเมื่อกี้ ดีนะที่พี่ดินเข้าไปห้ามไว้ได้ก่อน โตๆ กันแล้ว พี่ก็ไม่ได้อยากจะยุ่งหรอกนะ ถ้าพี่มาวุ่นวายก็ขอโทษด้วยแล้วกัน”

“ไม่เลยพี่ ไม่เลย ผมขอบคุณพี่มากครับ แล้วก็ผมขอโทษจริงๆ ครับพี่ที่ทำให้เดือดร้อน” ผมรีบตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความร้อนรนสลับกับยกมือไหว้พี่เขาไม่หยุด พี่เขาคงจะโกรธผมจริงๆ เพราะผมเพิ่งเคยเห็นพี่หมีพูดติดกันเยอะๆแบบนี้จนตอนนี้เจ้าตัวยังหอบไม่หาย

ในที่สุดคนตัวเล็กที่นั่งอยู่ในตำแหน่งคนขับก็พรูลมหายใจออกมายาวๆ ก่อนจะถามออกมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่เย็นขึ้น

“แล้วสรุป จะบอกได้ไหมว่าเราเป็นอะไร”

“...”

“ทะเลาะกับภัทรหรือไง” ผมหันขวับไปมองพี่เขาในทันที อดแปลกใจไม่ได้ที่พี่เขาเดาอาการผมถูกตั้งแต่ครั้งแรก

เมื่อหันไปก็พบว่าพี่หมีมองผมมาอยู่ก่อนแล้ว ผมไม่รู้ว่าตอนนี้สภาพผมมันต้องดูแย่มากแค่ไหน ถึงทำให้สายตาที่พี่เขามองมา มันเต็มไปด้วยความเป็นห่วง ความเห็นอกเห็นใจได้มากมายขนาดนี้

"มีปัญหาอะไรก็คุยกันดีๆไม่ได้หรือไง"

"..."

"หนีมาเมาแบบนี้ แล้วภัทรจะ.."

"เขาไม่ยอมคุยกับผมเลยพี่.." ผมตอบกลับไปทั้งๆที่พี่เขายังพูดไม่จบ

ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ในเมื่อพี่หมีเดาออก ผมเองก็อยากระบายมันให้ใครสักคนฟังเหมือนกัน เหนื่อยเหลือเกินที่ต้องเก็บมันไว้อยู่คนเดียวมาตลอดแบบนี้

ผมไม่กล้าจะพูดหรือเล่าให้ใครฟังเพราะไม่อยากโดนใครตัดสินเรื่องของเรา ภาวนาเสมอว่าเดี๋ยวมันจะดีขึ้นเอง แต่ไม่ว่าจะรอเท่าไหร่ อดทนมากเท่าไหร่ ผมก็ไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรดีขึ้นมาเลยสักนิด

"ผมก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไร ตั้งแต่เข้ามอมา เราก็ไม่ค่อยได้เจอกันอย่างเมื่อก่อน แล้วคืออาทิตย์นี้ไม่ได้เจอกันสักครั้งเลยพี่"

"เขายุ่งอยู่หรือเปล่า ปีหนึ่งก็แบบนี้กันทั้งนั้น"

"ผมก็เคยคิดอย่างนั้นนะ แต่พอวันนี้ผมไปหาเขา ผมคิดว่าเขาจะดีใจเสียอีก แต่มันกลับกันเลยพี่ เขาเหมือนไม่อยากเจอกัน แถมเขายังไม่แนะนำให้เพื่อนเขารู้ว่าเราเป็นแฟนกันด้วย"

ผมคิดว่ามันเป็นเพราะวันนี้เผลอดื่มเข้าไปเยอะ มันจึงทำให้ผมต่อมน้ำตาแตกง่ายดายได้ขนาดนี้ ผมเล่าไปปาดน้ำตาไป พี่หมีตกใจสุดขีดที่เจอผมในโหมดนี้ ได้แต่ลูบหลังผมที่สะอื้นฮักไม่หยุด

" บางที..ผมก็คิดนะ..ว่าเขาไม่ได้รักกันแล้วหรือเปล่า.."

"..."

"บางทีมันคงเป็นแค่ผม.."

"เฮ้ย เป้ เราใจเย็นก่อน" พี่หมีว่าออกมาในที่สุด พยายามลูบหัวลูบไหล่ผมที่ยังสะอื้นไม่หยุด "อย่าคิดไปเอง เรื่องแบบนี้ห้ามคิดไปเอง เป้กับภัทรคบกันมาตั้งนาน อยู่ๆเขาจะมาหมดรักเราได้ยังไง"

"แต่บางครั้งเขาไม่เหมือนภัทรที่ผมรู้จักเลยพี่ เขา...เขา..."

"พอ..เป้..ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว" พี่หมีห้ามผมที่สะอื้นหนักจนพูดอะไรต่อไม่ได้ ตอนนี้เหมือนคำพูดทั้งหมดมันจุกแน่นจนผมทำอะไรต่อไม่ถูก ผมได้แต่ปล่อยให้น้ำตาที่มาจากไหนไม่รู้ตั้งมากมายพรั่งพรูออกมาอย่างไม่อาจจะกักกั้นมันได้อีกต่อไป

εїз

ผมก้าวลงมายืนหยัดบนพื้นอย่างไม่มั่นคงเท่าไหร่นักเมื่อพี่หมีพาผมมาถึงที่หมาย เมื่อปิดประตูจนสนิท ผมก็โน้มตัวไปโบกลาคนในรถอีกครั้ง

"งั้นพี่ไปนะ"

"ขับรถดีๆนะครับพี่หมี"

"วันจันทร์ต้องเข้าเรียนนะ ไปกินข้าวเที่ยงกับพี่หลังเลิกคลาสด้วย"

"ครับพี่ ขอบคุณนะครับ"

ผมตบปากรับคำก่อนที่จะโบกมือลาเป็นครั้งสุดท้าย ยืนรออยู่อย่างนั้นจนรถคันที่ผมนั่งมาหายออกไปจากซอยที่ผมยืนอยู่ในที่สุด

"..."

อย่างไร้เหตุผล ผมเงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้า หลับตาแน่นสูดเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าไปเต็มปอดก่อนที่จะลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งๆที่ก็มีแสงไฟจากรอบด้านสว่างไสว แต่อาจจะเป็นเพราะวันนี้ฟ้าโปร่งไร้เมฆ มันจึงทำให้ผมเห็นดาวระยิบระยับเต็มไปหมด

มันสวย สวยจนผมจ้องมองมันอยู่อย่างนั้น มันพร่าเบลอและกลับมาสดใสอีกครั้งเมื่อผมเอื้อมมือไปปาดคราบน้ำตาที่มาเอ่อล้นบดบัง

'เอาไง จะให้พี่ไปส่งที่หอเราเลยไหม'

'พี่หมี..'

'หืม..'

'พี่ว่าภัทรจะโกรธผมมากไหมถ้าผมไปหาเขาตอนนี้'

'...'

'ไปหาโดยที่ไม่บอกแบบนี้'

'แล้วคิดว่าไม่ไปวันนี้ เราจะนอนหลับหรือเปล่า'

ในที่สุดผมก็เลื่อนสายตาไปยังระเบียงห้องของใครบางคนที่อยู่บนชั้นหกของตึก ในตอนนี้มันมีเพียงแสงสีส้มจางๆ ที่ลอดออกมาจากความมืด เจ้าของห้องคงอาบน้ำเรียบร้อย ตอนนี้ก็คงกำลังนั่งอ่านหนังสือและเปิดเพลงฟังอย่างที่ชอบทำเป็นประจำก่อนนอน

ผมรู้ว่าที่ผมทำแบบนี้มันอาจจะทำให้เขาโกรธ

[ครับ] ในทันทีที่ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสาย ไม่ต้องรอนานก็มีเสียงตอบรับมาจากอีกฝั่ง

“ภัทร”

[เป้...]

“ภัทรนอนหรือยัง”

[ก็...กำลังจะนอน เป้ล่ะ ทำอะไรอยู่]

“เค้ามาหาภัทร”

[หืม.. มาหายังไง เป้อยู่ไหน]

“อยู่หน้าหอภัทร”

ที่มาโดยพลการ มาหาโดยไม่คิดจะขออนญาตเขาก่อนแบบนี้

[เป้มายังไง]

“พี่หมีมาส่ง”

[เป้กลับห้องไปดีกว่านะ มันดึกแล้ว]

“พี่หมีกลับไปแล้ว”

[...]

ผมสัมผัสได้จากจังหวะการหายใจที่เปลี่ยนไปของเขาว่าเขาเริ่มไม่พอใจ

“ขอเค้าขึ้นไปได้ไหม”

ใช่ผมดูออก ไม่ว่าจะเป็นการกระพริบตา การเม้มปาก ขบฟัน หรือจังหวะการหายใจ ถ้าเป็นภัทรของผมแล้ว

ผมดูออกมันทั้งหมดนั่นแหละ

[แต่...]

และผมก็ยังรู้ดีที่สุดอีกว่า

ถ้าเขายังเป็นภัทรของผม

ไม่ว่าเขาจะไม่พอใจแค่ไหน

“เค้ากลับไม่ไหว เค้าเมา” ผมยกยิ้มมุมปากเมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจดังลอดผ่านปลายสายโทรศัพท์

ถ้าเขายังเป็นภัทรของผม

[ขึ้นมาไหวไหม หรือจะให้เค้าลงไปรับ]

มันก็มีทางเสมอ ที่ผมจะทำให้เขาใจอ่อน

εїз

ในทันทีที่ผมก้าวเข้าไปในห้องพักเล็กๆ ของเขา สิ่งแรกที่ผมสัมผัสได้คือกลิ่นหอมที่ผมแสนคุ้นเคยกระจายฟุ้งอยู่ในอากาศ ผมสูดดมมันเข้าไปเต็มปอด

อย่างไม่น่าเชื่อ เพียงแค่เท่านั้น มันก็สามารถทำให้หัวใจของคนที่เคยว้าวุ่นและสับสนสงบลงทันทีทันใด ความเจ็บปวดที่เกิดจากความคิดถึงที่อัดแน่นมานานบรรเทาเบาบางจางหายวับไปทันตา

เสียงเพลงรักเศร้าๆจากลำโพงข้างเตียงนอนคือสิ่งที่สองที่ผมรับรู้ได้เมื่อภัทรทิ้งผมลงบนเตียงของเขาก่อนที่เจ้าตัวจะเดินผละออกไป ภัทรก็เป็นแบบนี้เสมอ เขารักการฟังเพลงทุกประเภท ไม่ว่าเมื่อไหร่ห้องของเขาก็จะมีเสียงเพลงเปิดคลออยู่ตลอด

ผมได้ยินเสียงประตูห้องถูกปิด ก่อนที่ผมจะมองตามเขาที่เดินเข้าไปในห้องน้ำอย่างไม่อยากให้คาดสายตา แต่เมื่อประตูเล็กนั้นปิดลง ผมจึงถือโอกาสเลื่อนสายตาไปสำรวจห้องที่ผมเพิ่งเคยจะมาเป็นครั้งแรกอย่างคนอยากรู้อยากเห็น

ห้องเล็กๆนี้มันก็เหมือนกับห้องนอนของเขาที่บ้าน ทุกสิ่งทุกอย่างถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ จะต่างก็ตรงที่ที่นี่มีเฟอนิเจอร์เพียงไม่กี่ชิ้น ผมเห็นตู้เสื้อผ้าหนึ่งตู้ตั้งอยู่ในมุมหนึ่งข้างกับชั้นหนังสือที่มีหนังสือแน่นขนัด มีต้นลิ้นมังกรสองต้นตั้งอยู่ติดกัน ตามด้วยโต๊ะเขียนหนังสือเล็กๆ ที่อยู่ติดกับระเบียง

ในที่สุดผมก็ยกยิ้มกว้าง ใจที่เคยห่อเหี่ยวแห้งแล้งชุ่มชื่นขึ้นมาอีกครั้ง ความรู้สึกขุ่นมัว ความสับสน ความน้อยอกน้อยใจมลายหายไปในทันทีเมื่อผมมองเห็นโทรทัศน์เครื่องใหญ่ตั้งอยู่บนชั้นวางทีวีไม้ตรงปลายเตียง

ภัทรเป็นคนไม่ดูโทรทัศน์ ไม่ชอบดูหนัง เวลาเดียวที่เขาจะใช้มันคือเวลาที่เขาเล่นเกมส์กับผม

อย่าว่าผมเว่อร์เลยนะ แต่มันเป็นครั้งแรกในรอบหลายสัปดาห์จริงๆที่ผมรู้สึกมีตัวตนขึ้นมา

มันเป็นครั้งแรกที่ผมมั่นใจ ว่ามันยังมีที่ของผมหลงเหลืออยู่ในโลกของเขา

ความสนใจของผมกลับไปอยู่ที่เจ้าของห้องในทันทีที่เขาเดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมกะละมังสีฟ้าหนึ่งใบ เขาวางมันบนโต๊ะข้างหัวเตียงก่อนจะชุบผ้าขนหนูผืนเล็กๆ บิดจนหมาดแล้วจึงทรุดนั่งบนเตียงข้างตัวผม

“เมาขนาดนี้ได้ยังไง แล้วนี่บอลไปไหน” เขาเริ่มถามปนบ่นให้ผมที่มัวแต่นอนจ้องหน้าเขา ผมไม่มีคำตอบ ได้แต่นอนยิ้มมองเขาที่ยุ่งอยู่กับการเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ผม

"เป้ดื้อ" เขาว่า "ไหนเคยสัญญาว่าจะไม่กินจนเมา"

"อืม เค้าดื้อ" ผมยอมรับแต่โดยดี ถ้ารู้ว่าเมาแล้วจะโดนเขานั่งบ่นแบบนี้ ผมคงเมาไปนานแล้ว 

"เค้ายอมให้ภัทรตีเลย" 

เขาย่นจมูกอย่างหมั่นไส้ให้กับคำพูดของผม โน้มตัวไปวางผ้าไว้ที่ขอบกะละมัง ตั้งใจจะผละไปถอดถุงเท้าผมออก แต่เป็นผมเองที่รีบจับข้อมือของเขาไว้ ออกแรงดึงแรงๆ จนเขาร่วงลงมาบนตัวผม

“เป้ ทำอะไร!”เขาแหวพร้อมทุบอกผมเบาๆ ผมรวบสองมือเข้าไว้ด้วยมือเดียว ก่อนจะเอื้อมมือที่เหลือไปล๊อคหน้าเขาให้เราสบตากันตรงๆ

“ภัทร...”

"อะไร..."

"เค้าเมา"

"ถ้าเมาก็นอนไปสิ"

“แต่เค้าคิดถึงภัทร”

“...”

“เรื่องวันนี้ ภัทรหายโกรธเค้าหรือยัง”

“...”

“เค้าจะไม่ไปหาภัทรที่คณะอีกแล้วจริงๆ เค้าสัญญา”

“มันไม่ใช่แบบนั้น...” เขาเอ่ยออกมาในที่สุด แต่มันก็แค่นั้น ไม่มีคำอธิบายใดๆเพิ่มเติม เขาเงียบลงอีกครั้ง

“มันไม่ใช่อย่างนั้นแล้วมันคืออะไร”

“...”

ผมถอนหายใจหนักออกมาเพราะมันยาก มันยากที่จะต้องมาคิดเองเออเอง มากังวลว่าทั้งๆที่ผมคิดว่าเราก็รักกันมากขนาดนี้ แล้วอะไรกันแน่ที่มาทำให้เขาถอยห่างจากผมไป

“ภัทรรู้ไหม บางทีเค้าก็อยากให้มันมีแค่เราในโลกใบนี้” ผมว่า "เราจะได้ไม่ต้องแคร์ใคร ไม่ต้องไปสนคำพูดหรือคิดมากเพราะคนอื่น"

"..."

"ภัทรจะได้เป็นของเขาคนเดียว" ผมเริ่มออดอ้อน เลื่อนฝ่ามือที่ประทับอยู่บนแก้มขาวไปที่หลังคอของเขา ดันเขาเข้ามาใกล้ ก่อนจะยกหัวขึ้นนิดเพื่อประทับริมฝีปากทั้งสองให้แนบชิดกันช้าๆ ผมทำอย่างนั้นซ้ำๆ อย่างแสนคิดถึง

“ภัทรคิดถึงเค้าไหม” เสียงของผมแหบพร่า ยิ่งอยู่ใกล้กันระยะนี้ผมยิ่งควบคุมตัวเองได้ยาก ที่จริงต้องบอกว่าผมควบคุมอะไรไม่ได้เลยต่างหาก

และมันก็เป็นตอนนั้น

ที่ผมรู้สึกว่าผมได้เขากลับคืนมา

คนของผมยังคงไม่ตอบอะไร แต่การที่เขาเป็นคนก้มลงมาเพื่อเริ่มต้นจูบต่อไปมันแทนคำพูดทุกคำได้ดีเหลือเกิน

ผมไม่รอช้าที่จะตอบรับและเป็นคนสานต่อสิ่งที่เขาเพิ่งเริ่ม มือไม้ของผมเริ่มอยู่ไม่สุข มันทำหน้าที่ของมันได้ดี มันทำทุกอย่างที่สมองผมสั่ง ทำทุกสิ่งที่ใจผมอยากให้เป็น

และ ณ ตอนนั้น เวลานั้น

ผมก็กลับไปเป็นผมที่มีความสุขคนเดิม

คนที่มีภัทรเป็นของตัวเองอีกครั้ง

εїз

ผมลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งในเวลาเช้าเมื่อแสงอาทิตย์จากนอกหน้าต่างลอดมาแยงตา ผมต้องผงะในตอนที่เอี้ยวตัวตั้งใจจะสวมกอดคนข้างกาย เมื่อเจอแต่ก้อนผ้าห่มก้อนใหญ่อยู่ข้างตัวผม

ผมยันตัวขึ้นจากเตียงอย่าวรวดเร็ว สายตากวาดมองไปรอบด้านเพื่อมองหาเขา

ผมเจอแต่ความว่างเปล่า

เขาไม่อยู่ในห้องนี้ ผมลุกขึ้นไปดูในห้องน้ำและระเบียง เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครจริงๆ ผมจึงเดินกลับไปหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง

'เป้ ทำอะไรอยู่ครับ'

'วันนี้ต้องกลับบ้าน จำได้ใช่ไหม'

ข้อความจากแม่ของผมเป็นสิ่งที่ผมเห็นเป็นสิ่งแรกเมื่อหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ผมตอบกลับไปสั้นๆว่าผมจะไปตอนบ่าย ก่อนจะเลื่อนไปยังข้อความของเจ้าของห้องที่อยู่ถัดไป

'มีประชุมงาน วันนี้อาจจะเลิกดึก'

ผมยอมรับว่าผมเริ่มโมโหขึ้นมาจริงๆ ทั้งๆที่เมื่อคืนตอนที่เราอยู่ด้วยกันมันดีมาก มันดีเสียจนผมแอบคิดว่ามันเป็นผมเองที่กังวลไร้สาระไปคนเดียว 

แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วจริงๆว่ามันไม่ใช่

ภัทรมีเรื่องปิดบังอะไรสักอย่างและพยายามหนีห่างจากผม มันเป็นอีกครั้งที่เขาทำตัวแบบนี้ ผมจำได้ดี เพราะมันเคยเป็นอย่างนี้มาก่อน ตอนช่วงก่อนที่เราจะคบกัน

เพราะตอนนั้นผมยังเด็ก ผมอายุแค่สิบสี่เท่านั้นเอง อย่าว่าแต่ความรักแบบชายรักชายเลย ความรักครั้งแรกของผมก็ยังไม่เคยมีด้วยซ้ำ

เรารู้จักกันมาสักพัก ก่อนที่ภัทรจะสารภาพรักกับผมในวันนึงตอนที่เราเดินเล่นอยู่ในสวนสาธารณะแถวบ้านเขา เขาบอกว่าเขาไม่อยากใช้คำว่าเพื่อน ไม่อยากใช้ความใจดีของผมมาหลอกใกล้ชิดกัน เขาถึงเลือกที่จะพูดมันออกมาตรงๆแบบนั้น

ผมยังจำสายตาและทุกท่าทางของเขาได้ดี ผมรู้ว่ามันไม่ง่ายเลยสำหรับเขา แต่เขาก็ทำมันอย่างเต็มที่ที่สุด เป็นผมเองที่วันนั้นทำอะไรได้ไม่ดีสักอย่าง ผมให้คำตอบอะไรเขาไม่ได้เลย และผมก็ยังเป็นคนเห็นแก่ตัวที่บอกให้เขารอคำตอบของผม

และก็เป็นเพราะความลังเล ความไม่ชัดเจนของผมที่ในที่สุดก็ทำให้เขาเริ่มหลบหน้ากันไป เขาคิดว่าผมตัดสินใจไปคบกับเพื่อนผู้หญิงที่อยู่ห้องอื่น เขายอมห่างเพราะไม่อยากทำให้ผมลำบากใจ

และก็เป็นครั้งแรกในชีวิตจริงๆ ที่ผมคิดว่าชีวิตมันยาก ในแต่ละวันที่ไม่มีภัทร ผมเพิ่งรู้จริงๆ ว่าการยิ้ม การมีความสุขมันยากมากแค่ไหน

ผมเป็นคนใจร้อนและเมื่อผมคิดได้ผมก็ไม่ยอมปล่อยมันไว้ ผมไม่ยอมให้เขาหลบหน้าไปนาน ตรงเข้าไปหาเขา แสดงความชัดเจนทั้งหมดเท่าที่เด็กอายุสิบสี่จะทำได้ เพื่อที่จะรักษาบางสิ่งที่มีค่าเอาไว้

และผมก็ทำสำเร็จ หลังจากนั้นเราก็เริ่มคบกันแบบเงียบๆ ผมน่ะ จริงๆแล้วอยากจะป่าวประกาศให้คนทั้งโลกรู้ไปเลย แต่ก็เพราะความรู้สึกของภัทรมันสำคัญที่สุด สำคัญกว่าอะไรทั้งนั้นน่ะสิ

ถึงบ้างครั้งมันจะทำให้ผมหึง ทำให้ผมโมโหจนเป็นบ้าเป็นหลัง แต่ผมก็เข้าใจในตัวภัทรนะ เขาเป็นคนที่ค่อนข้างเก็บตัว เก็บมันทั้งหมดนั่นแหละ ตั้งแต่ความรู้สึกแย่ๆ จนกระทั่งความรู้สึกดีๆ ที่เขารู้สึก

ภัทรไม่ชอบการเป็นจุดเด่น เขาไม่ชอบให้ใครมอง ขนาดเวลาอยู่ข้างนอกผมอยากจับมือ อยากโอบไหล่เขามากแค่ไหน ผมก็ยังไม่กล้าทำเลย

ผมเลื่อนนิ้วไปเปิดแอปเฟซบุ๊ก เป็นอีกครั้งที่ได้แต่จ้องมองภาพที่เพื่อนของเขาแท๊กมา เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่ยังไม่ได้คุยกันสินะ

[ครับ]

"ภัทรจะเลิกกี่โมง" ผมโพลงออกไปในทันทีเพราะอารมณ์ที่มันครุกรุ่น ลืมแม้แต่จะกล่าวทักทายคนปลายสาย

[อืม..ยังไม่รู้เลย..คือ..งานมัน..]

ผมน่ะ

ไม่ชอบจริงๆ เวลาที่เขาโกหก

"เป้ขอรอที่ห้องได้ไหม"

[...]

"กลับบ้านเค้าด้วยกันนะวันนี้ แม่เค้ามา" ผมเอ่ยชวนเขากลับบ้านผม ที่จริงเราสองคนเป็นคนพิษณุโลกเหมือนกัน แต่ผมมีบ้านอยู่ที่กรุงเทพฯ อีกหลังเพราะแม่ผมต้องเข้ามาทำงานบ่อยๆ

[เค้ามีงานต่ออีกพรุ่งนี้ เป้กลับไปก่อนเถอะ]

"..."

เขาเลี่ยงอีกแล้ว

เมื่อก่อน มันเป็นเพราะพ่อของภัทรต้องไปทำงานต่างจังหวัดบ่อยๆ และเพราะภัทรอยู่กับพ่อแค่สองคน มันจึงมีหลายครั้งที่แม่ผมบอกให้ผมชวนภัทรมานอนบ้านเพราะห่วงที่ภัทรต้องอยู่คนเดียว ดังนั้นในตอนนั้น เขาจึงเข้าออกบ้านผมเป็นว่าเล่น

มันเป็นแบบนั้นมาตลอด จนช่วงมอหกที่ผมรู้ผลสอบเรียบร้อยแล้ว ผมตัดสินใจคุยกับพ่อและแม่ของผมตรงๆ เรื่องของเรา ที่ผมรอจนถึงตอนนั้น ก็เพราะผมอยากให้ท่านเห็นว่า ความรักของเรามันไม่ได้มีผลเสียกับการเรียนเลยสักนิด

ท่านทั้งสองถึงจะดูตกใจไปบ้างแต่ก็ไม่ได้กล่าวห้ามจริงจังอะไรนัก เพียงแค่บอกให้เราดูๆ กันไป อย่ารีบร้อน และให้ยึดเรื่องเรียนเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด

แต่มันก็เป็นตัวภัทรเองต่างหากที่เริ่มตีตัวออกห่าง ตั้งแต่วันที่ผมเล่าให้เขาฟังว่าผมคุยกับพ่อแม่ผมแล้ว เขาไม่เคยไปบ้านผมอีกเลย

และที่สำคัญหลังจากนั้น เขาก็ไม่ชวนผมไปบ้าน เขาอีกเลย

ที่จริงผมก็รู้อยู่แก่ใจ ว่าภัทรชอบเก็บทุกอย่างเป็นความลับ และการที่ผมบอกกับผู้ใหญ่โดยที่ไม่ปรึกษาเขาก่อน มันคงทำให้เขาไม่พอใจอยู่ไม่น้อย และที่เขาไม่พาผมไปบ้าน มันก็คงเพราะเขาไม่อยากให้ผมเจอหน้าพ่อเขาอีก เขาคงกลัวว่าผมจะบอกพ่อของเขาเหมือนที่บอกกับคนที่บ้านแน่ๆ

และมันก็คงเป็นตั้งแต่ตอนนั้น ที่ผมจำได้ว่าความสัมพันธ์ของเราสองคนเริ่มจะไม่ราบรื่นเหมือนเคย เราทะเลาะกันหลายครั้งเรื่องนี้ เพราะผมรู้สึกจริงๆว่าเขาไม่ยอมเปิดใจ ไม่ลองพยายามอะไรเพื่อเราเลย

[...]

แต่ไม่ว่าจะทะเลาะกันกี่ครั้ง พอเขาเงียบไป ผมก็เป็นฝ่ายที่ทนไม่ได้

"โอเค งั้นวันนี้เค้ากลับบ้านก่อนก็ได้"

ต้องง้อ ต้องยอมลงให้กับเขาทุกที

[เป้..คือเค้า..]

"ภัทรยังไม่ต้องพูดอะไรหรอกนะ" ผมแทรกขึ้นอีกครั้ง

แต่ผมก็หวังเพียงว่า..

"อะไรก็ได้ ไม่โกหกเค้านะ"

เพราะไม่เช่นนั้น 

ความอดทนทั้งหมดที่ผมมี

มันคงจะแตกสลายแบบที่ไม่มีวันกลับคืนได้เลย

εїз

ผมนั่งอยู่ในร้านอาหารญี่ปุ่นแห่งหนึ่งแถวสุขุมวิท บ้านของผมอยู่แถวนี้เพราะมันใกล้กับร้านของแม่ แม่ผมเป็นทันตแพทย์ มีหุ้นส่วนร้านทำฟันอยู่สองแห่งคือที่พิษณุโลกและกรุงเทพฯ ถึงปกติแม่จะประจำอยู่ที่ร้านที่พิษณุโลกมากกว่า แต่พอผมเริ่มมาเรียนที่นี่ แม่ก็เลยหาโอกาสมาแทบจะทุกอาทิตย์

ปกติสาขาที่กรุงเทพฯ คนที่ดูแลคือน้ามณีที่ตอนนี้นั่งทานข้าวอยู่ตรงข้ามแม่ผม เธอกับแม่ผมรู้จักกันมาตั้งแต่สมัยมัธยม เป็นทั้งหุ้นส่วนและเพื่อนสนิท ที่จริงเธอเป็นคนพิษณุโลกเหมือนกัน แต่น้ามณีย้ายมาอยู่กรุงเทพฯเมื่อเรียนจบเพราะแต่งงานกับสามีที่ทำงานอยู่ที่นี่ก่อนแล้ว

"เป้กินกุ้งชุบแป้งทอดไหม" ผมพยักหน้ารับพร้อมยกยิ้มให้กับคนตรงหน้า เธอคือลูกสาวคนเดียวของน้ามณี ผมกับเธอรู้จักกันมาตั้งแต่เด็กๆ ถึงจะไม่ได้สนิทกันมากนัก แต่เพราะเจอกันหลายครั้ง เวลาเจอกันมันถึงไม่ได้รู้สึกอึดอัดอะไรเท่าไหร่

"ขอบใจนะสา"

"ที่มหา'ลัยน้องสากับน้องเป้ได้เจอกันบ้างหรือเปล่า" มันเป็นคำถามจากแม่ผม ผมพยักหน้ารับ เพราะเคยเห็นเธอสองสามครั้งตอนผมไปหาภัทรที่คณะ เธอเรียนบัญชีเหมือนกัน

"อยู่มอเดียวกันก็พาสาไปกินข้าวบ้าง"แม่ว่าต่อ ผมไม่ว่าอะไรได้แต่ยิ้มๆ พยายามเปลี่ยนเรื่องด้วยการขอเอารถไปใช้เพราะตั้งใจจะขับไปฉลองวันเกิดที่ต่างจังหวัดกับเพื่อน

ผมที่กินอิ่มแล้ววางช้อนลงก่อนที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูแก้เบื่อ เวลาอยู่ด้วยกันทีไร แม่กับน้ามณีชอบพูดเรื่องคนไข้ ใช้คำทับศัพท์ทางการแพทย์ยากๆที่ถ้าไม่ตั้งใจฟังก็จะหลุดจากวงสนทนาในทันที

เพราะมันยังคงติดอยู่ในใจ ผมจึงเปิดเข้าไปในเฟซบุ๊กเป็นอย่างแรก กดเข้าไปในหน้าโปรไฟล์ของภัทรเพื่อดูรูปที่เมื่อวานเขาโดนแท๊กมา

แต่ผมว่านั่นมันคงเป็นการตัดสินใจที่ผิด

เพราะนอกจากรูปที่ลงเมื่อคืนแล้ว มันยังมีรูปใหม่เพิ่มขึ้นมา มันเป็นรูปที่ภัทรโดนแอบถ่ายตอนที่เขากำลังก้มหน้าก้มตาตั้งใจอ่านหนังสือ แต่ไม่ใช่แค่นั้น เพราะมันเป็นภาพจากกล้องหน้าที่ดันมีคนที่ถ่ายติดอยู่ด้วยน่ะสิ

'Bookwarm'

"เหี้ย" ผมเผลอสบถออกมา มันดังพอให้คนทั้งโต๊ะอาหารหันมามองที่ผมด้วยสายตาตำหนิ ผมขอโทษก่อนที่จะขออนุญาตลุกออกมาจากโต๊ะแล้วเดินมาบริเวณลานจอดรถ ผมรีบเปิดรูปตัวปัญหาขึ้นอีกครั้ง ไล่อ่านคอมเม้นที่ใครหลายคนเขียนไว้

'พี่นิวววว ใครน่ะ'

'จิ้นได้ไหม คือดี คือได้'

'เปิดตัวหรือเปล่าเทออออ'

ผมกดล๊อคโทรศัพท์ลงในที่สุด อย่างหยุดตัวเองไม่ได้ผมเตะถังขยะที่อยู่ข้างตัวอย่างแรงจนมันเอียงล้มลงกับพื้น ก่อนที่จะระบายความรู้สึกอัดอั้นด้วยการชกกำแพงซ้ำๆ

ผมกำลังโมโห

แต่ที่มากกว่านั้นคือความน้อยใจ

ไม่ว่าผมจะขอกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ภัทรไม่เคยอนุญาตให้ผมลงภาพหรือแสดงความเป็นเจ้าของใดๆทั้งสิ้น

แล้วนี่มันคืออะไร

'มึงเห็นรูปหรือยังว่ะเป้' และมันก็เป็นไอ้เดี่ยว เพื่อนของผมที่ส่งข้อความเข้ามาหาผมในตอนนั้น มันทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่าในเฟซของภัทรมันมีเพื่อนที่รู้เรื่องของเรามากมายแค่ไหน

ภัทรไม่ไว้หน้าผมเลยสักนิด

"เค้าต้องทำยังไง" ผมพึมพำออกไปกับกำแพงตรงหน้าที่ตอนนี้มีสีแดงของเลือดผมเปื้อนอยู่

"ภัทรต้องการอะไรกันแน่ จะต้องให้เค้าคลั่งตายก่อนใช่ไหม ภัทรถึงจะพอใจ"

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Maywrite

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
#ณภัทรปณวัช

03 เรื่องของวันพิเศษ



'ภัทร'

'หืม'

'เค้าคิดได้แล้วนะ ว่าวันเกิดเค้า เค้าอยากได้อะไร'

มันเป็นต้นฤดูฝนที่เราเพิ่งขึ้นมอหก ในวันเกิดที่ผมอายุครบ 17 ปีบริบูรณ์ ผมใช้สิทธิ์ของการเป็นเจ้าของวันเกิดในการขับรถของที่บ้านพาเขาไปในสถานที่ที่นึงโดยไม่ยอมบอกจุดหมายปลายทาง ทั้งเนื้อทั้งตัวภัทรมีเพียงกระเป๋าเสื้อผ้าใบเล็กๆติดตัวมาด้วย เพราะผมบอกเขาไว้เพียงว่าเราต้องค้างอยู่ที่นี่อย่างน้อยหนึ่งคืน

'สวนผึ้ง?' ผมยิ้มกว้างพร้อมพยักหน้ารับเมื่อในที่สุดคนที่นั่งอยู่บนเบาะข้างคนขับเดาถูก ถึงผมจะชอบทะเลที่สุด แต่เพราะภัทรชอบภูเขามากกว่า ผมถึงเลือกที่จะพาเขามาในสถานที่แห่งนี้ในวันสำคัญของผม

ผมยังจำรอยยิ้มของเขาในวันนั้นได้ดี ภัทรที่ปกติชอบเก็บงำความรู้สึกไว้ในใจตื่นเต้นเกินไปจนไม่สามารถเก็บกักความรู้สึกใดๆได้เลย

ผมอดขำไม่ได้เมื่อสล็อตของผมมองซ้ายทีมองขวาทีไม่หยุด ต้นไม้ใหญ่เขียวขจีที่แน่นขนัดตลอดข้างทางทำให้เขากระตือรือร้นเป็นพิเศษ เมื่อเจ้าตัวนึกขึ้นได้ก็เปิดกระเป๋าหยิบกล้องดิจิตอลตัวเล็กๆที่เราเก็บเงินซื้อด้วยกันขึ้นมาถ่ายรูปไม่หยุดมือ

'ภัทรชอบไหม'

'อืม ชอบที่สุดเลย' เขานิ่งไปนิดพร้อมทำสีหน้าประหลาดคล้ายระอายในบางสิ่งบางอย่าง 'ชอบจนมันเหมือนเป็นของขวัญวันเกิดเค้าเลยด้วยซ้ำ'

ผมหัวเราะเบาๆเมื่อเขาว่าอย่างนั้น เอื้อมมือใหญ่ไปวางลงบนกลุ่มผมนุ่มของเขา

เขาพูดไม่ถูกเลยสักนิด

มันเป็นของขวัญวันเกิดของผมต่างหาก

ที่ได้เห็นเขายิ้มอยู่ข้างๆผม ได้เห็นเขาหัวเราะอย่างมีความสุขเพราะผม แค่นี้มันก็เป็นของขวัญที่ดีที่สุดสำหรับผมแล้วล่ะ



"ไอ้เป้" ผมที่ตกอยู่ในภวังค์ได้สติกลับมาอีกครั้งเมื่อมีเสียงเรียก ผมนั่งอยู่บนเตียงด้วยสภาพของคนเพิ่งตื่น เงยหน้าขึ้นมองรูมเมทที่เดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ มันอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้วเพราะวันนี้มันมีเรียนแต่เช้า

"ว่าไงมึง"

"กูออกไปก่อนนะ ตอนเที่ยงกินข้าวด้วยกันไหม"

"มึงแม่ง ชวนกูได้ทุกวัน ที่คณะไม่มีคนคบมึงหรอ" ผมพูดติดตลกให้มันด่าออกมาสองสามคำ ก่อนที่มันเองจะเป็นคนทรุดตัวลงนั่งบนเตียงประชันหน้ากันกับผม

"แล้ววันนี้เอาไง" คำถามเดียวกับที่เมื่อวานมันก็ถามผม แต่ผมว่าผมก็ตอบมันเสียงดังฟังชัด ปฏิเสธมันไปแล้วไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ แต่มันก็ยังดึงดันที่จะถามอยู่นั่น

"กูไม่คิดว่าเขาจะลืมหรอกนะ กูเชื่อว่าเขาคงกำลังเตรียมเซอร์ไพรส์อะไรสักอย่างให้กูอยู่ กูจะรอเขา"

ไอ้บอลมองหน้าผมนิ่ง มันเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ห้ามตัวเองไว้ได้ก่อน มันสบถเบาๆก่อนที่จะถอนหายใจเสียงดัง เอื้อมมือหนามาตบไหล่ผมอย่างหนักสองสามที

"ถ้าเขาไม่มา สัญญานะว่าจะโทรหากู"

"เขาจะมา" ถึงแม้น้ำเสียงผมมันจะดูไม่มั่นใจสักเท่าไหร่ แต่ผมก็กล่าวสวนกลับไปในทันที จนมันที่ตอนแรกดูเป็นห่วงทำหน้าตึงเหมือนเริ่มโมโหอะไรสักอย่างขึ้นมาแล้วจริงๆ

"ไอ้เป้กูรู้ว่ากูไม่ควรยุ่ง แต่กูขอพูดอะไรหน่อยได้ไหม"

"..."

"กับภัทร มึงก็รู้ว่ามันไม่เหมือนเดิม"

"มึงหยุด" ผมขึงตาใส่มัน จนมันชะงักไปนิด ยกมือเสยผมรัวๆหลายครั้งอย่างคนที่หาที่ระบายอารมณ์ไม่ได้

"กูรู้ว่าเขาจะมา" ผมย้ำอีกครั้ง

"เออ! กูก็หวังว่ามันจะเป็นแบบนั้น" มันกระแทกเสียงว่าอย่างเสียไม่ได้ก่อนที่จะลุกขึ้นยืนเต็มสองเท้า มันเดินไปหยิบกระเป๋าขึ้นมาคาดไหล่ ก่อนที่จะเดินออกจากห้องไปมันหันกลับมาจ้องที่ผมอีกครั้ง

อ้าปากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็หุบลงในทันทีเมื่อเห็นสายตาดุๆของผม มันขยี้หัวตัวเองอย่างสุดทน ก่อนที่จะพรูลมหายใจออกแรงๆเหมือนคนที่ปลงตกได้ในที่สุด

"ยังไงก็..สุขสันต์วันเกิดว่ะไอ้เพื่อนยาก"

ผมรู้ว่านั่นไม่ใช่ทั้งหมดที่มันอยากจะพูด ผมยิ้มก่อนที่จะกล่าวขอบใจมัน

ขอบใจที่มันเข้าใจและไม่กดดันผมไปมากกว่านี้

ผมรู้ว่าผมทำให้มันเป็นห่วง ผมคบและรู้จักกับมันมาตั้งแต่มอหนึ่ง เล่าให้กันฟังทุกเรื่อง ผ่านอะไรมาด้วยกันก็มาก แต่ตอนนี้ผมยังไม่พร้อม แค่เรื่องนี้ ตอนนี้เท่านั้น ที่ผมไม่อยากจะปรึกษา ไม่อยากได้ความคิดเห็นจากใครทั้งนั้น

มันเป็นเพราะผมกลัว กลัวที่จะได้ยินมันบอกว่ามันก็เห็นแบบเดียวกับที่ผมเห็น ว่ามันรู้สึกแบบที่ผมรู้สึก

กลัวจะได้ยินมันบอกว่ามันก็เห็นว่าภัทรเขาไม่ได้สนใจผมแล้ว

กลัวถ้ามันจะบอกให้ผมหันมารักตัวเอง แล้วให้ผมเลิกรักภัทรซักที

ในมือของผมยังมีโทรศัพท์มือถือที่ผมใช้เปิดย้อนดูรูปเก่าๆของผมกับภัทรอยู่ รูปสุดท้ายที่ค้างอยู่มันเป็นรูปของเราที่จับมือกันบนเตียงนอนนุ่มในวันที่เราไปสวนผึ้ง ผมเป็นคนถ่ายมันเอาไว้เอง ถ่ายมันไว้ในคืนนั้น 

ในคืนแรกของเรา

'สุขสันต์วันเกิดนะ' ภัทรเอ่ยออกมาพร้อมกับยื่นกล่องของขวัญเล็กๆในมือมาให้ผมหลังจากที่ผมก้มเป่าเค้กก้อนเล็กที่เราแวะซื้อจากเซเว่นข้างทาง เขาขำตอนที่ผมทำตาตื่นเพราะผมไม่ได้คาดหวังอะไรเอาไว้เลย เขายื่นมันมาใกล้กว่าเดิมเมื่อผมไม่ยอมรับมันไว้สักที

'ภัทร..' ผมครางออกไปอย่างลืมตัวเมื่อเปิดออกมาเห็นปิ๊กกีต้าร์เล็กๆ มันเป็นปิ๊กไม้ทำมือที่มีรูอยู่ตรงมุมสามเหลี่ยมข้างหนึ่งให้สามารถสอดสร้อยไว้คล้องคอได้ ตรงกลางมีชื่อของพวกเราสองคนเขียนไว้ตัวเล็กๆด้วยตัวอักษร cordia new

ณภัทรปณวัช..

'เป้ชอบไหม'

'ชอบสิ ชอบมากๆเลย'

'เค้าให้มันกับเป้ เพราะเค้ารู้ว่าดนตรีคือความสุข คือทุกสิ่งทุกอย่าง เค้าไม่อย่างให้เป้ละทิ้งความฝันนั้นไป' 

'...'

'เค้าจะเป็นกำลังใจให้เป้เสมอ เค้าจะทำทุกอย่าง เค้าจะเอาใจช่วยเป้เอง เป้สัญญากับเขาได้ไหม ไม่ว่ายังไง เป้ห้ามทิ้งมันนะ'

'...'

ผมจำได้ว่าผมกอดเขาแน่น แน่นที่สุดจนเหมือนผมสามารถจะทำให้เขาแตกสลายไปได้ในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง แต่เขาไม่ได้ว่าอะไรผมเลย นอกจากจะคอยลูบหลังปลอบใจผมที่กำลังร้องไห้ไม่หยุดซ้ำไปซ้ำมา

มันก็เหมือนวัยสิบเจ็ดในชีวิตของหลายคน ช่วงชีวิตที่เรากำลังจะก้าวจากวัยเด็กสู่ความเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว มันเป็นช่วงชีวิตที่ทั้งสับสน ทั้งกดดัน ทั้งต้องเลือก และในบางครั้ง มันเป็นช่วงเวลาที่เราจำใจต้องตัดบางสิ่งบางอย่างออกไปจากชีวิตทั้งที่ไม่อยากทำ

ตั้งแต่ผมจำความได้ ดนตรีคือสิ่งที่ผมรัก ผมไม่เคยคิดภาพตัวเองที่จะอยู่โดยไม่มีมัน มันคือความความฝัน คือแรงบันดาลใจ คือพลังให้ผมก้าวไปในแต่ละวัน 

'แม่อยากให้น้องเป้เรียนหมอ'

แต่ถึงอย่างนั้น เมื่อถึงวันที่ต้องเลือก ผมก็ไม่แน่ใจเลยว่าสิ่งที่ผมรักมาตลอดมันจะมั่นคง มันจะพาผมไปได้ไกลแค่ไหน

มันจะมั่นคงมากพอให้ผมต่อสู้กับทุกคำสบประมาทที่ผมได้รับหรือเปล่า จะมั่นคงพอให้ผมเพิกเฉยต่อคำวิพากวิจารณ์รอบด้านที่ผมต้องเจอหรือไม่

แล้วมันจะพาผมไปได้ไกลพอไหม พอที่จะไม่ทำให้คนที่ผมรักผิดหวัง ไม่ทำให้เขาต้องอับอายขายขี้หน้า และท้ายที่สุดมันจะไปได้ไกลพอที่จะทำให้เขาภูมิใจในตัวผมได้หรือเปล่า

ผมไม่รู้เลย ผมไม่รู้เลยจนกระทั่งตอนนี้

'เค้ารักภัทรนะ' ผมพูดซ้ำๆในตอนที่พรมจูบลงบนริมฝีปากเรียวนุ่มแทนความรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจที่มันล้นแน่นอยู่ในอก

วันนี้ผมได้รู้ซึ้งแล้วว่ามันดีแค่ไหน มันดีเหลือเกินที่คนที่ผมให้ความสำคัญในชีวิต เข้าใจ ยอมรับและสนับสนุนในสิ่งที่ผมต้องการจะทำอย่างไม่มีการตั้งเงื่อนไขใดๆ

คนที่เห็นความสุขของผมสำคัญกว่าความสำเร็จ ความมั่นคง ความเหมาะสมใดๆ คนที่พร้อมจะยืนอยู่เคียงข้างไม่ว่าเส้นทางที่ผมเลือกเดินมันจะดีหรือร้ายในสายตาเขา

'ภัทรเป็นของเค้านะ'

และก็เป็นตอนนั้นที่ผมเอ่ยคำนี้ออกไป มันเป็นวินาทีนั้นที่ผมแสดงความเห็นแก่ตัวจนถึงที่สุดออกไป แต่ผมทนไม่ไหวแล้วจริงๆ กับคนคนนี้ คนน่ารักตรงหน้าผม ผมอยากตีตราจอง อยากเป็นเจ้าของทั้งตัวและหัวใจ

แก้มนุ่มของภัทรขึ้นสีแดงเรื่อเมื่อผมเอื้อมมือไปสัมผัส ลูบไล้มันอย่างรักใคร่ก่อนที่จะโน้มหน้าลงไปกดจูบที่ริมฝีปากเรียบเนียน จูบหวานที่เราทำเป็นประจำเนิ่นนานและลึกล้ำกว่าเคย จนในที่สุดเมื่อลิ้นอุ่นร้อนขอผมรุกล้ำเข้าไป ภัทรก็ลืมตากลมขึ้นอย่างตื่นกลัว

'ภัทรเป็นของเค้าได้ไหม' ผมออดอ้อนอย่างเอาแต่ใจอีกครั้ง ประสานสายตาอยู่อย่างนั้นรอฟังคำตอบจากเขา จนในที่สุดเมื่อภัทรที่หลุบตาลงไม่มองหน้ากันพยักหัวเป็นการตอบรับหนึ่งครั้ง มันก็เป็นตอนนั้น เวลานั้นเอง ที่ผมไม่เป็นตัวของตัวเองอีกต่อไป

คืนแรกของเราผ่านไปอย่างทุลักทุเล มันเป็นเพราะว่าทั้งผมและเขาต่างก็ไม่เคยทำมันมาก่อน สิ่งหนึ่งที่ผมจำได้ดีคือวันนั้นภัทรคนน่ารักของผมน่ารักกว่าเคย เขาพยายามเต็มที่ในส่วนของเขาเพื่อจะทำให้ผมมีความสุข ผมเอง ถึงจะควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้ แต่ผมก็พยายามที่จะใจเย็นให้มากที่สุดเหมือนกัน

เพราะรู้ดีว่าถ้าเทียบกันแล้ว สิ่งที่เรากำลังจับมือกันก้าวผ่าน มันเป็นภัทรต่างหาก ที่ต้องเจอกับสิ่งที่ยากกว่าผมเป็นหลายร้อยหลายพันเท่า

'เป้' เขาเรียกชื่อผมในตอนที่ผมยกกล้องขึ้นถ่ายมือที่จับกันแน่นของเราสองคน ผมวางมันลงทันที ก่อนที่จะตะแคงข้างชันศอกขึ้นข้างลำตัว ทิ้งหัวลงบนฝ่ามือ เผชิญหน้ากับเขาที่ตอนนี้เขยิบตัวเข้ามาซุกในอ้อมอกของผม

'ภัทร' ผมเรียกชื่อเขาเป็นการขานรับ เอื้อมมือไปลูบแก้มใสของคนที่กำลังมองตากันอย่างรักใคร่เอ็นดู

'เป้สัญญากับเค้านะ เป้ต้องทำในสิ่งที่เป้คิดว่าเป้จะมีความสุขเท่านั้น สัญญากับเค้าได้ไหม' ผมหลุดยิ้มให้กับน้ำเสียงออดอ้อนที่เขาใช้ มันน่ารักเสียจนผมอดจะแหย่เขาไม่ได้เลย

'เค้าก็เพิ่งทำไปเมื่อกี้ ภัทรจะให้เค้าทำอีกหรอ' ผมหัวเราะร่าเมื่อโดนทุบหน้าอกดังปั๊กในทันทีที่พูดจบ

'อย่าเพิ่งเล่นสิ สัญญากับเค้ามาก่อน' เขาว่าอีกครั้ง ไม่ยอมให้ผมเปลี่ยนเรื่องไปง่ายๆ

'ไม่ว่ายังไง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เป้ต้องอยู่อย่างมีความสุข สัญญาได้ไหม'

ผมจำได้ว่าในตอนนั้น มันเป็นอีกครั้งในชีวิตที่ผมยิ้มได้กว้างที่สุด ผมตอบรับคำสัญญาของภัทรเป็นมั่นเป็นเหมาะ เพราะผมคิดไม่ออกเลยจริงๆว่า ผมจะสามารถใช้ชีวิตอย่างไม่มีความสุขได้อย่างไร

ตราบใดที่เขายังอยู่ข้างกัน ผมจะไม่มีความสุขกับชีวิตได้อย่างไร

εїз

ผมใช้ช่วงเช้าของวันเกิดในการรอการติดต่อมาจากเขา แต่มันไม่มีอะไรเลยแม้แต่ข้อความหรือโทรศัพท์ซักสาย ผมรออยู่อย่างนั้นจนในที่สุดผมก็ต้องลุกจากที่นอนไปอาบน้ำแต่งตัวเพราะผมมีเรียนตอนบ่าย และถ้าผมไม่ยอมไป ร้บรองว่าไอ้สิงมันจะเอาไปฟ้องพี่รหัสของผมแน่นอน

'ทำอะไรอยู่' ข้อความห้วนสั้นของปู่รหัสของผมถูกส่งเข้ามาในตอนที่ผมกำลังจัดกระเป๋า ผมวางมือจากทุกอย่างรีบเขียนข้อความตอบกลับไปเพราะกลัวจะโดนไล่ให้ออกจากสายรหัสอีกครั้ง 

ไม่ตามใจทีไรขู่แต่เรื่องเดิมตลอด

'กำลังจะไปเรียนครับพี่'

'มีเรียนบ่ายสองนี่ มาหาพี่ที่โรงอาหารคณะ พี่ให้เวลาสิบนาที' ผมหลุดหัวเราะพร้อมส่ายหน้าให้กับความเอาแต่ใจของอีกฝ่าย ตอบตกลงก่อนจะเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าแล้วรีบเดินเร็วๆไปเอารถของที่บ้านที่ผมขอเอามาใช้อาทิตย์นี้

"สุขสันต์วันเกิดน้องเป้!!" ยังไม่ทันเดินเข้าไปในโรงอาหารดีก็ได้ยินเสียงพี่หมีลอยมาให้หลุดขำแต่ไกล พี่รหัสผมตะโกนโบกไม้โบกมือเรียกอย่างไม่เกรงใจสายตานับร้อยคู่ที่หันมามองเลยซักนิด

ผมทำได้แต่อ้าแขนกว้างตอนที่พี่เขาตั้งหน้าตั้งตาวิ่งมาแล้วกระโดดกอดผมไว้แน่น ถึงจะยังไม่ค่อยชินเท่าไหร่แต่ผมก็ไม่ได้เก้ๆกังๆเท่าในช่วงแรกที่โดนทำแบบนั้นอีกแล้ว

อย่างที่พี่ดินบอกไว้ในวันแรก

'เดี๋ยวพี่มันก็ทำให้เราชินไปเอง'

"น้องเป้ อยากกินอะไรวันนี้บอกพี่นนท์เลยนะ นี่คือการปิดโรงอาหารเลี้ยง ใครไม่ได้ชื่อปณวัชออกจากโรงอาหารไปให้หมด" พี่หมีตะโกนโวกเวกให้ผมได้แต่ยิ้มเจื่อนเพราะตอนนี้มีแต่คนจ้องมาทางเราเต็มไปหมด 

ไอ้สิงมันเคยบอกผมนะว่า ผมน่ะเป็นตัวเก็งเดือนคณะปีนี้ มันไม่ได้จะชมว่าผมหล่อหรอกนะ แต่มันบอกว่าเป็นเพราะผมน่ะดังกว่าใครในรุ่น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะลุงรหัสที่ทั้งหล่อทั้งดังเกินใคร และสองเพราะพี่รหัสผม ที่ชอบเอาผมไปโฆษณาให้ใครต่อใครฟังตลอดเวลา

'เลือกเป้นะ น้องพี่ทั้งหล่อทั้งเล่นดนตรีเก่ง เสียงก็เพราะที่ซู้ดดด'

'ถ้าเป้ได้เป็นเดือนนะ พี่นนท์ปิดล่องลอยเลี้ยงทั้งรุ่น!'

"น้องเป้มานั่งด้วยกันมา" ผมยกมือไหว้พี่ๆในโต๊ะก่อนจะเดินเข้าไปนั่งเมื่อพี่อินที่เป็นแฟนของลุงรหัสผมเรียก เพื่อนในภาคของผมคือไอ้สิง ไอ้ชาติและไอ้ยามานั่งกันหน้าสลอนอยู่ก่อนแล้ว นอกจากพวกมันแล้วในโต๊ะยังมีพี่ๆอีกหลายคนที่คุ้นหน้ากันเพราะเคยไปนั่งสังสรรค์ที่ร้านล่องลอยด้วยกันบ่อยๆ

พวกพี่ๆสั่งอาหารจากร้านอาหารตามสั่งที่ผมมานั่งกินประจำหลายอย่าง นอกจากนี้ยังสั่งทั้งพิซซ่า ไก่ทอดและของกินเล่นมาอีกเต็มโต๊ะ พี่หมีบอกว่ามันจะได้ดูสมกับเป็นปาร์ตี้ขึ้นมาบ้าง

"สุขสันต์วันเกิดนะน้องเป้ อันนี้ของพี่ๆสามคนนะ" พี่หมีเป็นคนยื่นถุงสีขาวของ Supremeให้ ผมยอมรับว่าผมชะงักไปนิดเพราะใครก็รู้ดีว่าเสื้อผ้ายี่ห้อนี้มันแพงแค่ไหน

แต่คนเรามันก็ต้องรู้จักเรียนรู้ ถึงอยากจะปฏิเสธแค่ไหนผมก็ไม่คิดจะพูดออกไปหรอกนะ เพราะรู้ดีว่าถึงจะพูดจนปากเปียกปากแฉะยังไง นอกจากจะโดนด่ากลับมาแล้วสุดท้ายผมก็ต้องรับมันมาอยู่ดี

"เป็นไง ถูกใจไหมน้องเป้" พี่ดินเอ่ยถามเมื่อผมหยิบเสื้อฮู้ดสีขาวออกมาจากถุง แน่นอนว่าผมต้องชอบมันอยู่แล้ว

"ชอบครับ แต่ผมเกรงใจจนเกร็งไปหมดแล้วพี่" พี่ดินหัวเราะหึ ตบไหล่ผมเบาๆก่อนจะบอกว่าเดี๋ยวผมก็ชินไปเอง

ครับ อะไรที่เปลี่ยนไม่ได้ก็ต้องทำตัวให้ชิน

"แล้วตอนเย็นตกลงเอาไง พี่ถามไอ้บอลมันก็บอกให้ลองถามเราเอง ให้ป๋านนท์ปิดล่องลอยเลยไหม" พี่ดินว่าต่อให้ผมยิ้มเจื่อน เมื่อผมบอกว่าตอนเย็นผมมีนัดแล้ว ผมก็โดนทั้งโต๊ะตะโกนเอ่ยแซว บอกให้พาคนสำคัญมาเปิดตัวให้พี่ๆเพื่อนๆเห็นได้แล้ว

"ขอเวลาหน่อยพี่ ถ้าเขาพร้อมเมื่อไหร่ผมจะพามาทันทีเลย"

"แล้วตกลงวันนั้นคุยกันหรือยัง" เมื่อหัวข้อสนทนาในโต๊ะเปลี่ยนไปจนไม่มีใครสนใจผม พี่หมีก็โน้มตัวเอามือป้องปากมากระซิบถามข้างหู ผมได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆคืนไปเป็นคำตอบ เมื่อเห็นอย่างนั้น พี่หมีก็เอื้อมมือมาถูหลังผมขึ้นลงเป็นการปลอบใจ

"ไม่ว่ายังไงก็ห้ามคิดไปเอง" พี่หมีว่าในตอนที่เลื่อนมือมากระชับกับหลังมือผม

"ยังไงก็ต้องเปิดใจคุยกัน เข้าใจไหม" ผมทำเป็นพยักหน้ารับหนักแน่น เพราะผมไม่อยากทำให้พี่เขาต้องมาคิดมากตามผมอีกแล้ว

"ขอบคุณนะครับที่เป็นห่วง" ในตอนที่พี่เขายิ้มรับคำขอบคุณ ผมก็พยายามเต็มทีที่จะยิ้มตอบกลับไป

ยิ้ม เพื่อให้ทุกคนที่ไม่ใช่ผมสบายใจ

ยิ้ม เพื่อแสดงความรู้สึกที่มันไม่ได้ใกล้เคียงกับความรู้สึกข้างในของผมเลยสักนิดออกมา

εїз

และในที่สุด

วันนี้ของผมก็หมดไปพร้อมกับความหวังที่มันไม่เหลือเลยสักนิด

ที่จริงมันน่าจะหมดไปตั้งแต่ตอนที่ผมแยกย้ายจากรุ่นพี่ออกจากโรงอาหาร ผมที่รอให้เขาติดต่อมาตลอดเช้าก็หมดความอดทนลงจนได้ ตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาเขา ตั้งใจจะถามให้มันรู้แล้วรู้รอดกันไปเลยว่าเขาจะเอายังไงกันแน่

แต่ไม่ใช่แค่ไม่ได้คำตอบอย่างที่ใจต้องการ ผมติดต่อเขาไม่ได้เลยเพราะโทรศัพท์เขาปิด นี่ถ้าไม่ติดว่าช่วงบ่ายโดดไม่ได้ ผมคงบุกไปหาเขาที่คณะอีกครั้งทั้งๆที่เพิ่งสัญญาไปว่าจะไม่ไปอีกเลยด้วยซ้ำ

เวลาในแต่ละนาทีเดินช้าเสียจนผมแทบคลั่ง นอกจากจะเรียนไม่รู้เรื่องแล้ว สมองยังนึกจินตนาการไปสารพัดจนปวดหัวไปหมด ผมพยายามคิดในแง่ดีเอาไว้ก่อน บางทีโทรศัพท์เขาอาจจะแบตหมดหรือกำลังติดประชุมงานสักอย่างอยู่ก็ได้

[สวัสดีค่ะ]

"สา นี่เป้นะ" ในทันทีที่ผมออกมาจากห้องเรียน ผมก็รีบล้วงโทรศัพท์ขึ้นมา ทำในสิ่งที่มันแว๊บเข้ามาในหัวตอนที่ผมนั่งบ้าอยู่ในห้องเรียน 

เรื่องของวันนี้ มันเป็นครั้งแรกที่ทำให้ผมคิดได้ว่า ผมไม่มีหนทางการติดต่อเขาเลยถ้าเขาปิดเครื่อง เพราะผมไม่มีเบอร์เพื่อนเขาเลยสักคน ในตอนที่กำลังถอดใจ จู่ๆผมก็นึกขึ้นได้ว่าที่จริงผมยังมีคนที่ผมรู้จักในคณะนั้นอยู่อีกหนึ่งคน

[ว่าไงเป้] เธอตอบกลับมาแบบนั้นด้วยน้ำเสียงร่าเริงเหมือนเคย อย่างไม่อ้อมค้อม ผมรีบเข้าเรื่องในทันทีเพราะตอนนี้ร้อนใจไปหมดแล้ว

"เราถามอะไรหน่อยสิ สารู้จักภัทรไหม เรียนบัญชีปีหนึ่งเหมือนกัน"

[อ๋อ ภัทรนิวหรือเปล่า]

"..."

[รู้สึกว่าจะชื่อ..ณภัทรหรือเปล่านะ]

"..."

[เป้?]

"อะ..อืม ใช่ชื่อณภัทร วันนี้สาเห็นหรือเปล่า"

[วันนี้ปีหนึ่งไม่มีเรียนนะ สาไม่ได้เข้ามอ]

"แล้วประชุมเชียร์ตอนเย็นล่ะ"

[หูย ไม่มีไปตั้งนานแล้ว บัญชีไม่ได้จริงจังกันขนาดนั้น]

"..."

[เป้มีอะไรกับหรือเปล่า ถามหาภัทรทำไมเนี้ย]

ผมเงียบจนสาเรียกชื่อผมซ้ำๆอย่างเริ่มกังวล ผมเลยรีบเรียกสติตัวเองกลับมา ก่อนที่จะเอ่ยอธิบายกลับไป

"ไม่มีอะไรหรอก ภัทรเป็นเพื่อนเก่าเรา เราติดต่อไม่ได้เลยลองถามสาดู ตอนแรกเราว่าจะไปหาที่คณะน่ะ"

[วันนี้น่าจะไม่มีใครเข้าหรอก ลองไปหาที่หอสิ]

เราคุยกันอีกเล็กน้อยแต่ผมจำบทสนทนาระหว่างเราไม่ได้เลยซักนิดเพราะสมองมันเบลอไปตั้งแต่ประโยคแรกที่สาบอกแล้ว

'ภัทรนิว'

เหี้ย

มันจะภัทรนิวได้ยังไงวะ

ผมวางโทรศัพท์เมื่อผมขึ้นมานั่งในรถ ก่อนที่จะขับมันตรงไปยังหอของเขาอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทั้งๆที่รีบร้อนขนาดนี้ แต่เมื่อไปถึงที่นั่นจริงๆผมกลับตัดสินใจเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นที่เขาอยู่แทนที่จะใช้ลิฟท์อย่างเคย

อาจจะเป็นเพราะยังไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังทำอะไร ผมไม่แน่ใจว่าผมต้องการอะไรกันแน่ ผมจึงได้แต่เดินครุ่นคิดพร้อมกับก้าวขึ้นไปอย่างช้าที่สุด แต่ถึงแม้ผมจะตั้งใจถ่วงเวลาให้มันนานมากกว่าปกติแค่ไหน แต่ท้ายที่สุดเพียงชั่วพริบตาผมก็มาหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องพักของเขาอยู่ดี

"..."

มองจากข้างล่าง ห้องทั้งห้องมืดสนิทไร้แสงไฟ ถ้ามันเป็นในเวลาปกติ มันควรจะหมายความว่าเขาไม่ได้อยู่ที่ห้อง เพราะมันไม่ใช่วิสัยของภัทรเลยซักนิดที่จะปิดไฟจนมืดสนิทแบบนี้ เขาเป็นคนขี้กลัว ถ้าภัทรอยู่ที่ห้อง แม้แต่เวลานอนเขายังต้องเปิดไฟข้างหัวเตียงไว้ไม่ให้ห้องมืดเลยด้วยซ้ำ

แต่ถึงอย่างนั้น ลางสังหรณ์บางอย่างมันพาผมมาตรงนี้ มันบอกผมว่าเขาไม่ได้ไปไหน มันบอกผมว่าเขาอยู่ในนั้น

อยู่ใกล้กับผมแค่เพียงประตูกั้นเท่านั้นเอง

Rrrrrrrr

สันนิฐานของผมได้รับการพิสูจน์ในทันทีเมื่อมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น มันดังมาจากข้างในห้อง หัวใจของผมเต้นรัวเพราะความรู้สึกหลากหลายที่ผุดขึ้นมากลางหัวใจ

เหมือนมันตื่นเต้นดีใจที่ในที่สุดผมก็หาเขาเจอสักที และมันก็มีแว๊บนึงที่ผมรู้สึกสะใจ เพราะเหมือนว่าในที่สุดผมก็จับคำโกหกเขาได้

แต่ไม่ว่าจะความรู้สึกอะไรก็แล้วแต่ที่มันผุดขึ้นมา มันมีเพียงความรู้สึกเดียวที่อยู่เหนือความรู้สึกใดๆทั้งหมด 

คือตอนนี้ผมรู้สึกเสียใจ

เสียใจที่เขาปิดบัง

เสียใจที่เขาโกหก

ทั้งๆที่เขาน่ะ รู้ดีที่สุดแล้วว่านั่นเป็นสิ่งที่ผมไม่ชอบมากที่สุด

ผมได้ยินเสียงของเขาลอดผ่านออกมาตามช่องประตู ถึงผมจะจับคำไม่ได้แต่มันเป็นเสียงของเขาแน่นอน ผมรออยู่อย่างนั้นจนเมื่อเหมือนว่าเขาวางสายแล้วจริงๆ ผมจึงตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง ที่แม้พอจะเดาผลลัพธ์ของมันได้ ผมก็ยังคงหวังว่าผมจะเดามันผิด

[ครับ] ผมกดโทรศัพท์หาเขา โทรศัพท์ที่ผมติดต่อไม่ได้มาทั้งวันในที่สุดก็มีสัญญาณตอบรับ ทั้งๆที่มันคงยังอยู่ในมือแต่เขาก็ปล่อยให้มันดังอยู่อย่างนั้นจนมันตัดไป อย่างดื้อรั้นผมต่อสายไปอีกครั้งในทันที อีกครั้งและอีกครั้ง จนในที่สุดเขาก็กดรับมัน

"..."

[เป้..]

"ภัทรอยู่ไหน" กลั้นใจถามสิ่งที่รู้อยู่เต็มอกออกไป ภาวนาในทุกลมหายใจว่ามันจะมีสักครั้งที่เขาจะเลือกพูดความจริงกับผม

ขอแค่ครั้งนี้ที่เขาจะไม่โกหกกัน

[เค้า..เค้าทำงานอยู่ที่คณะ]

และมันก็เป็นตอนนั้นที่เหมือนโลกใบนี้หยุดหมุน ผมหายใจสะดุด ขอบตาร้อนผ่าวเพราะความรู้สึกที่ถาโถมเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว

มันเหมือนตอนเด็กๆที่ผมกำลังวิ่งตามรุ้งกินน้ำที่ปรากฎให้เห็นหลังฝนตก มันเหมือนจะใกล้แค่เอื้อมมือคว้า แต่แท้จริงแล้ว ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน ไม่ว่าจะหาหนทางใด ผมก็ไม่มีทางสัมผัสมันได้เลย

"เค้าอยู่หน้าประตูห้องภัทรนะ"

[...]

"วันนี้วันเกิดเค้า" ผมว่าเสียงสั่น มากกว่าความน้อยใจมันคือความสับสน ผมไม่เข้าใจว่ามันเป็นเพราะอะไร มันเริ่มจากตอนไหน เริ่มจากอะไร ที่ทำให้เรื่องของเรากลายมาเป็นแบบนี้

[...]

"ภัทรแกล้งลืมวันเกิดเค้าทำไม"

ผมถามออกไปทั้งน้ำตาเพราะผมรู้ดีที่สุด

รู้ดีว่าเขาเองก็รู้อยู่แก่ใจ ว่ามันไม่มีทางเลยซักนิด ที่คนอย่างเขาจะลืมวันพิเศษวันนี้ไปได้

"ภัทรแกล้งเขาทำไม"

ผมเหมือนเด็กชายคนนั้นที่วิ่งตามหาสายรุ้งจนเหนื่อย ร้องไปวิ่งไปเพราะไม่ว่าจะก้าวไปไกลแค่ไหนก็ไปไม่ถึงมันสักที จนท้ายที่สุดผมคนนั้น เด็กชายคนนั้นก็ล้มลงเพราะสองขาที่ไร้เรี่ยวแรงและความหวังที่ไร้จุดหมาย

[...] ยังไม่มีคำตอบใดๆ จากปลายสาย ภัทรยังคงเงียบไม่พูดอะไรออกมาสักคำ

แต่มันก็เหมือนในทุกครั้ง เพียงได้ยินเสียงลมหายใจที่ไม่สม่ำเสมอของเขา ผมก็เดาได้ทั้งหมดว่าเขาเองก็ไม่ได้ไม่รู้สึกอะไร

ภัทรกำลังร้องไห้..

ทั้งๆ ที่ไม่เห็น แต่ผมสามารถจินตนาการเห็นเขาที่กำลังใช้มือที่ว่างปิดปากตัวเองจนสนิท บังคับร่างกายที่สะอื้นเฮือกไม่ให้ส่งเสียงใดๆ ออกมา

ผมรู้..

เพราะผมรู้จักภัทรของผมดีกว่าใคร

แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมไม่รู้

คือเขาร้องไห้ด้วยความรู้สึกอะไร

มันเป็นเพราะเขาเสียใจที่ยุ่งจนไม่มีเวลาให้กับผมในวันเกิด

ที่ต้องโกหกว่าลืมเพราะไม่สามารถหลีกเลี่ยงมันได้จริงๆ

"ภัทรไม่รักเค้าแล้วหรอ"

หรือร้องเพราะมันยากเกินไปสำหรับเขา ที่จะบอกกันตรงๆ ว่าความรักที่มันเคยมีมากมายมันไม่มีอีกแล้ว

มันยากสำหรับเขา

ที่จะบอกว่าเขาไม่รักกันเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว..

******

#ณภัทรปณวัช

เทอ เลาว่าภัทรมันไม่รักเป้แล้วว่ะ เอาไงต่อดี 555 // ปั่นทำไมเนี่ยยย

ป.ล. ดราม่าแค่ไหนเราก็ไม่ลืมชมพี่ดิน 555



ทวิต: maywrite_






ออฟไลน์ Maywrite

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
#ณภัทรปณวัช

04 เรื่องของความรักที่เปลี่ยนไป



ผมจำใจต้องลุกจากที่นอนอีกครั้งเพราะผมรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำจนทนไม่ไหว มันคงเป็นเพราะเมื่อคืนผมดื่มเบียร์เข้าไปเยอะ ดังนั้นตั้งแต่ตีสี่ผมจึงต้องลุกขึ้นมาหลายรอบจนทำให้นอนหลับๆตื่นๆอยู่แบบนี้

ผมทิ้งตัวลงบนฟูกนุ่มเมื่อกลับมาจากการทำธุระส่วนตัว เสียงของนกร้องและแสงรำไรของวันใหม่ลอดผ่านเข้ามาตามช่องหน้าต่างและประตู ดูจากที่อากาศยังคงเย็นสบายทั้งๆที่ผมไม่ได้เปิดแอร์หรือพัดลมแบบนี้ ผมเดาว่ามันน่าจะยังเป็นเวลาเช้าตรู่ที่ใครต่อใครยังคงหลับใหลอยู่เป็นแน่

แต่ใครต่อใครที่ว่า มันไม่ใช่ผม

ผมเพ่งมองเพดานของห้องพักที่มันยังมีลายผีเสื้อกับดอกไม้หลากหลายสีสันอยู่บนนั้น มันยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน เจ้าผีเสื้อปีกเหลืองสลับดำที่ภัทรชอบมากที่สุดตัวนั้น มันยังคงกระพือปีกกว้างบินด้วยท่าทางมุ่งมั่นไม่เคยเปลี่ยน

ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ไม่ว่าจะผ่านไปกี่เดือน กี่ปี ไม่ว่ามันจะพยายามมากแค่ไหน เจ้าผีเสื้อหน้าโง่ตัวนั้นมันก็ยังไปไม่ถึงดงดอกไม้สีขาวตรงมุมห้องซักที

ผมกระพริบตาถี่ๆเพื่อไล่น้ำตาที่มาเอ่อคลอจนทำให้ผมมองอะไรไม่เห็น ก่อนที่ในที่สุดผมจะถอดใจปิดเปลือกตาลงเพราะผมไม่อยากจะเห็นอะไรอีกต่อไปแล้วทั้งนั้น มันทรมานเกินไป เพราะไม่ว่าผมจะมองไปส่วนไหนหรือมุมใดของห้อง ผมก็เห็นแต่ภาพของเราพาดทับเข้ามาให้เจ็บแน่นที่หัวใจไปหมด

'ภัทรไม่รักเค้าแล้วหรอ'

เมื่อวานหลังจากที่ผมถามคำถามนั้นออกไป ผมก็ทำได้เพียงกำหมัดแน่นอดทนรอฟังคำตอบอยู่อย่างนั้น แต่เมื่อผมไม่ได้มันมาซักที อย่างไม่รู้ตัวผมเริ่มร้องไห้ออกมาอย่างคนที่หมดสิ้นแล้วทุกความหวัง

ผมปล่อยให้เสียงสะอื้นของตัวเองดังขึ้นเรื่อยๆอย่างไม่อาจจะควบคุมมันได้อีกต่อไป แต่ทั้งๆที่ทั้งร้องทั้งอ้อนวอนให้เขาตอบกลับผมมาซักเท่าไหร่ เขาก็ยังใจแข็งได้อย่างไม่น่าเชื่อ มันไม่มีคำตอบใดๆ เขาไม่ยอมพูดอะไรกับผมเลยซักคำ

ผมไม่รู้เลยว่าโทรศัพท์ของเราตัดไปตั้งแต่ตอนไหน ผมได้แต่ยืนร้องไห้อยู่อย่างนั้นแบบคนที่ไม่รู้แล้วว่าควรจะทำอะไรต่อไปจริงๆ มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ไอ้บอลกับไอ้สิงมันวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหาผม พวกมันทั้งดึงทั้งฉุดให้ผมกลับไปกับมัน ทั้งๆที่ผมพยายามขืนตัวเองไว้ แต่ผมในตอนนั้นก็อ่อนแอเกินไปที่จะต้านทานแรงของพวกมันได้

'เอากุญแจรถมึงมา' ไอ้สิงว่าพร้อมแบมือยื่นออกมาตรงหน้าผม 'สภาพมึงแบบนี้ กูขับเอง'

'ไอ้สิง' ผมลังเลอยู่นิดก่อนที่จะตัดสินใจล้วงกระเป๋ากางเกงเข้าไปหยิบกุญแจรถ วางมันลงบนมือที่แบรออยู่ก่อนแล้ว ก่อนที่จะเอ่ยเรียกชื่อให้มันขานรับ

'ไอ้บอล' ผมหันไปเรียกชื่อเพื่อนอีกคน

'พวกมึงไปส่งกูหน่อยได้ไหม'

แล้วก็เป็นตอนนั้น ในกลางดึกของวันเกิดที่ใกล้จะหมดลงของผม เราทั้งสามขับรถตรงไปที่รังสิตเพื่อไปรับคนที่โวยวายว่าไม่ว่ายังไงก็จะมาด้วยให้ได้ ก่อนที่ขับตรงไปยังจังหวัดราชบุรี ตรงไปยังที่พักที่มันเป็นที่แห่งความทรงจำ ที่พักที่ผมตั้งใจจองไว้เพื่อจะใช้เวลาร่วมกับภัทรในคืนวันเกิดของผม

ปังๆๆๆๆๆๆๆ

ผมหลุดจากผวังค์พร้อมเด้งขึ้นจากที่นอนในทันทีเมื่อประตูของห้องพักถูกเคาะรัวเสียงดัง ปกติที่พักที่นี่จะเงียบสงบมาก พนักงานไม่เคยมาหาที่ห้องเลยด้วยซ้ำถ้าผมไม่เรียก แต่พอตั้งสติได้ผมก็นึกรู้ว่ามันคงเป็นใครไม่ได้นอกจากไอ้สามตัวที่มันมากับผม

เมื่อคืนพอเรามาถึง ผมก็เดินถือถุงเบียร์เข้าห้องแล้วปิดประตูล๊อคไล่ให้พวกมันไปที่อื่นในทันที มาถึงตอนนี้ ผมก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อคืนพวกมันไปนอนกันที่ไหน

"เปิดช้ามากกกกกก กูนึกว่ามึงจะมาเปิดพรุ่งนี้" ในทันทีที่บิดลูกบิดประตู บานประตูก็ถูกผลักเข้ามาให้ผมต้องถอยร่นไปข้างหลัง แล้วก็เป็นไอ้เดี่ยวที่เดินบ่นนำเข้ามาในห้อง

"ไอ้ห่าเป้ ทำไมมันเรี่ยราดแบบนี้ กระป๋องเบียร์เต็มพื้นเลยมึง" ไอ้บอลที่เดินตามหลังมาโวกเวกเสียงดังตามสไตล์มัน ก่อนที่จะเริ่มหยิบถุงพลาสติกสีขาวไล่เก็บกระป๋องเบียร์ที่ผมเขวี้ยงกระจัดกระจายตามพื้น

"พวกมึงไปนอนไหนกันมาวะ" ผมถามพวกมันขึ้นด้วยความรู้สึกผิดนิดๆ รู้หรอกว่าสิ่งที่ทำไปมันไม่ดี แต่เมื่อคืนผมไม่มีกระจิตกระใจจะคุยอะไรกับใครทั้งนั้น พอปิดห้องปุ๊บก็ได้แต่นั่งร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลังอย่างคนที่หมดสิ้นหนทางแล้วจริงๆ

ครับ ผมคิดว่าผมมาจนสุดทางแล้วจริงๆ

ที่ไอ้บอลพูดมันถูกทั้งหมดนั่นแหละ จริงๆผมก็รับรู้มันมาได้ตลอดว่าภัทรเขาไม่เหมือนเดิมแล้ว แต่ที่ผมยังดื้อรั้น ยังทำเป็นว่าทุกอย่างมันยังเหมือนเดิม นั่นก็เพราะผมไม่เคยยอมรับความจริงได้เลยต่างหาก

ผมมันก็เหมือนหมาที่กำลังจะโดนเจ้าของทิ้ง 

เขาที่พยายามเอาผมไปปล่อยไว้ที่ไหนซักแห่งเพราะไม่ต้องการกันแล้ว กับผมคนที่ยังจงรักภักดี พยายามทุกหนทุกทาง วิ่งสะเปสะปะไปมาไม่หยุดเพื่อที่จะหาทางกลับไปหาเขา

ในตอนแรกผมก็คือหมาตัวโตที่โดนทิ้งใกล้ๆบ้านที่มันเคยอยู่ มันยังคิดว่าทุกสิ่งเป็นเพียงแค่เกมเกมหนึ่งที่เขาต้องการจะเล่นกับมันเท่านั้น 

แต่ในทุกครั้งที่มันหาทางกลับมาได้ไม่ว่ามันจะยากเย็นแค่ไหน ไม่ใช่แค่มันจะไม่ได้รับรางวัลใดๆ แต่มันยังกลับได้รับสายตาที่ไม่แสดงความรู้สึก ไม่ยินดียินร้ายที่ได้เห็นมันอีกครั้งตอบแทนกลับมา

และในทุกครั้งอีกเช่นกัน มันก็เป็นเขาที่พาผมไปยังที่ที่ใหม่ ที่มันทั้งยากทั้งหาทางกลับลำบากกว่าเดิม จนในที่สุดหมาตัวนั้น หมาหน้าโง่ตัวนั้นมันก็เริ่มรับรู้ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายทำอยู่มันไม่ใช่การล้อเล่นเลยซักนิด

มันก็เหมือนผม

ที่สับสนเพราะไม่รู้ว่าทำไม ทั้งๆที่เคยเป็นที่รักได้มากมายขนาดนั้น แต่ทำไมวันนึงเขาถึงหมดรัก และไม่ต้องการให้ผมเคียงข้าง ทำไมเขาถึงไม่ต้องการผมอีกต่อไป

"มึง มาถึงก็เที่ยงคืนแล้ว กูไม่ไปเช่าห้องให้เปลืองหรอก พวกกูนอนกันบนรถนั่นแหละ เดี๋ยวคืนนี้ค่อยเช่าอีกห้องเพิ่ม" ผมหันไปตั้งใจฟังไอ้สิงที่ตอนนี้กึ่งนั่งกึ่งนอนพิงพนักเตียงผม ดูจากท่าทางเหนื่อยล้าของพวกมันแล้ว เมื่อคืนมันคงไม่ได้นอนกันดีๆจริงๆนั่นแหละ

"คืนนี้?"

"เออ คืนนี้ มึงจะทำแปลกใจเพื่อ มึงคงไม่คิดว่าพวกกูจะมาแค่ส่งมึงหรอกนะ ขอเที่ยวกันก่อนแล้วค่อยกลับพร้อมกัน"

"..."

"อ่ะ ไอ้เป้ มึงไปอาบน้ำล้างหน้าล้างตา โทรมฉิบหาย" ไอ้บอลว่าพร้อมยื่นผ้าเช็ดตัวจากในตู้เสื้อผ้าให้ผม ผมนิ่งมองตามมือมันอยู่อย่างนั้น เพียงแค่เห็นผ้าเช็ดตัวของที่พัก ผมก็เริ่มคิดถึงเขาอีกแล้ว

ผมปาดน้ำตาที่ออล้นออกมาอย่างรวดเร็ว มองหน้าเพื่อนทั้งสามคนสลับกันก่อนที่จะถอนหายใจหนัก ก็รู้นะว่าพวกมันเป็นห่วง อยากพยายามให้ผมอารมณ์ดีขึ้น แต่ผม...

"..กูขอบอกมึงตรงๆเลยนะ คือกูไม่มีอารมณ์จะเที่ยวไหนทั้งนั้น คือกู..."

"พอ ไอ้เป้" เป็นไอ้เดี่ยวที่พูดขัดผมขึ้นมา ด้วยสีหน้าจริงจังแบบที่ผมไม่ได้เห็นบ่อยนักในคนอารมณ์ดีแบบมัน

"เมื่อคืนกูปล่อยมึงไปแล้ว อยากอยู่คนเดียวก็ให้อยู่ อยากแดกเบียร์จนหมดถุงก็ไม่ว่า อยากร้องก็ปล่อยให้ร้องจนน้ำมึงมันจะหมดตัวแล้ว"

"..."

"พอแล้วมึงพอแล้ว กูปล่อยให้มึงทำร้ายตัวเองพอแล้ว ต่อไปนี้มึงต้องตั้งสติ เผชิญหน้ากับความจริงไม่ว่าแม่งจะเหี้ยหรือดี มึงจะหนีตลอดไปไม่ได้ ถ้ามันไม่ใช่แล้วจริงๆ มึงก็ต้องตัดให้ได้ มึงต้องรักตัวเองให้เป็น"

ผมนิ่งฟังในสิ่งที่มันพูดเคล้าน้ำตา ไอ้เดี่ยวมันก็เป็นแบบนี้ทุกที ปกติใครๆก็คิดว่ามันเป็นคนเฮฮา บ้าบอไปวันๆ แต่พวกผมรู้ดีกว่าใคร พอมีปัญหาอะไรขึ้นมาจริงๆ ไอ้คนที่ใครๆก็ว่าทำตัวไร้สาระ มันนั่นแหละที่สามารถเรียกสติกลับมาได้เร็วที่สุดเสมอ และยังเป็นคนที่คอยเตือน คอยช่วยเหลือพวกผมอยู่ตลอดอีกด้วย

"แต่กูอาจจะเข้าใจผิด ขอกูทำใจก่อน แล้วกูจะกลับไปคุยกับเขา" ผมว่าขึ้นอีกครั้ง เม้มปากแน่นกับสิ่งที่ใจยังแอบหวังทั้งๆที่มันดูจะเป็นสิ่งที่เหลือเชื่อที่สุด

"ไอ้ห่าเป้ มึงจะคุยเหี้ยอะไร เขาไม่อยากคุยกับมึง มึงไม่เห็นหรือไง" ไอ้เดี่ยวพูดอย่างพยายามเก็บอารมณ์ แต่ผมดูออกว่ามันเริ่มฉุนแล้ว มันเดินมาพาดแขนบนไหล่ผม

"ปณวัช มึงต้องรักตัวเองได้แล้ว"

"แต่บางทีเขาอาจจะมีปัญหาอะไรซักอย่างอยู่ก็ได้ บางทีที่เขาออกมาหากูไม่ได้..."

"พอได้แล้วไอ้เหี้ยเป้มึงพอ! กูไม่ทนแล้วโว้ย!" แล้วก็เป็นไอ้บอลที่นั่งเงียบอยู่บนเก้าอี้ตะโกนแทรกขึ้นมา ผมเลิกคิ้วอย่างแปลกใจกับท่าทางที่ดูโกรธแค้นอะไรสักอย่างของมัน มันลุกขึ้นและเดินมาตรงหน้าผม

"มึงฟังนะไอ้เป้ ตลอดมาที่มึงสงสัยนักสงสัยหนาว่าทำไมกูถึงโทรหามึงเช้า กลางวัน เย็น คอยลากมึงไปกินข้าวด้วยกัน มึงอยากรู้ไหมว่ากูทำแบบนั้นทำไม" มันตะโกนร่ายยาว ก่อนที่จะจบด้วยการหอบหายใจหนักๆอย่างคนที่หายใจไม่ทัน

"..ไอ้บอล"

"เพราะว่าภัทรเป็นคนขอกูเอง เขาขอให้กูช่วยดูแลมึง ขอให้กูดึงมึงออกมาจากชีวิตเขา แม้แต่เรื่องที่กูพยายามคะยั้นคะยอขออยู่หอกับมึง มันก็เป็นเพราะเขาขอกูไว้ทั้งนั้น"

"อะไร..ทำไม...มึงพูดเหี้ยอะไรเนี้ย" ผมขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความแปลกใจ เรื่องที่กำลังได้ยิน มันทำให้ความสับสนที่มันเคยมีมากอยู่แล้วพอกพูนเพิ่มขึ้นหลายร้อยหลายพันเท่า

"เขาอยากเลิกกับมึงไอ้เป้ มึงได้ยินไหม เขาไม่อยากคบกับมึงแล้ว"

"ไม่จริง! ไอ้เหี้ยบอล มึงพูดอะไรออกมามึงรู้ตัวไหม"

"กูรู้! และกูรู้มาตลอด กูรู้ว่าเขาอยากจะเลิกกับมึงมาตลอด แต่เขาแค่กลัวมีงจะทำใจไม่ได้ เขาเลยตั้งใจจะค่อยๆห่างจากมึงไป โอ๊ย ไอ้เป้ มึงทำเหี้ยอะไรเนี้ย!" มันตะโกนเสียงดังเมื่อผมเผลอผลักมันอย่างแรงจนมันล้มลงไปกองกับพื้น แต่ตอนนี้ผมไม่สนใจหรอกนะว่ามันจะเจ็บแค่ไหน

"มึงโกหก! ภัทรไม่ได้อยากเลิกกับกู"

"กูไม่ได้โกหก เขาบอกกูเองว่าเขาอยากค่อยๆห่างจากมึง อยากให้มึงค่อยๆชินกับการไม่มีเขา"

"ไอ้เหี้ยบอลหยุด! กูบอกให้มึงหยุดพูด!"

"เขาบอกกูว่าระหว่างมึงกับเขามันไม่เหมือนเดิมแล้ว แต่เขาไม่รู้จะออกมาได้ยังไง"

"หยุด กูบอกให้มึงหยุด!"

"มึงได้ยินไหม เขาไม่ได้รักมึงแล้วไอ้เหี้ย!"

พลั่ก! พลั่ก!

แล้วก็เป็นตอนนั้นที่ผมหยุดตัวเองไม่ได้ สติผมขาดสะบั้น ผมกระโจนเข้าหาไอ้บอลที่นั่งอยู่ที่พื้น ต่อยหน้ามันเข้าเต็มๆก่อนที่จะโดนมันสวนกลับมาในทันที

"ไอ้หมาขี้แพ้ มึงมีมือมีตีนคนเดียวหรือไง วันนี้กูจะต่อยให้มึงตื่น มึงจะได้รู้ซักทีว่าเขาไม่รักมึงแล้ว!"

"ไม่จริง มึงหยุดพูดเดี๋ยวนี้นะ!"

สิ้นคำผมก็พุ่งเข้าหามันอีกครั้ง มันเองก็ไม่คิดจะหลบผมเหมือนกัน ผมทั้งร้องไห้ทั้งต่อยกับมันอยู่อย่างนั้น แลกกันคนละหมัดสองหมัดจนสมองผมเบลอไปหมด

พลั่ก!

"ภัทรรักกู มึงโกหก!"

"กูไม่ได้โกหก มึงนั่นแหละที่โกหกตัวเอง!"

พลั่ก! พลั่ก!

ในที่สุดทุกอย่างก็ยุติลงเมื่อผมเผลอไปต่อยไอ้สิงเข้าตอนที่มันพยายามเข้ามาห้าม มันฮุกใส่พวกผมคนละหมัด และภาพหลังจากนั้นก็ตัดไปตอนที่ผมกับไอ้บอลนอนกองอยู่กับพื้นห้อง

สมองที่ยังมึนเบลอทำให้ภาพที่ผมเห็นบนเพดานเคลื่อนไหว ในจังหวะหนึ่งผมเห็นฝูงผีเสื้อขยับเคลื่อนไหวไปมาไล่ตอมดอกไม้ที่เบ่งบานในสวน สองตาของผมพยายามสอดส่องมองหา และในที่สุดผมก็เห็นมัน เจ้าผีเสื้อปีกเหลืองสลับดำตัวนั้น

มัน ที่ตอนนี้พยายามสุดความสามารถที่จะบินเข้าไปหาดอกไม้สีขาวดอกนั้นที่มันชอบมากที่สุด

"เมื่อไหร่" ผมถามออกไปทั้งที่ยังจ้องเพดานห้องตาไม่กระพริบ

"ไอ้เป้..."

"เมื่อไหร่ที่เขาบอกมึง" ผมว่าต่อ "เมื่อไหร่ที่เขารู้ตัวว่าเขาไม่อยากอยู่กับกูอีกต่อไปแล้ว"

"หลังผลสอบรอบแรก ตอนที่รู้ผลว่าจะได้เข้ามอนี้ เขาขอให้กูมาชวนมึงเป็นรูมเมท" 

น้ำตาที่เอ่อคลอไหลลงข้างแก้ม แน่นอนว่ามันเจ็บปวดอยู่แล้วที่ได้มารู้ว่าเขาไม่รัก แต่สิ่งที่ทำให้ผมเจ็บปวดมากกว่าคือการที่ผมทำให้เขาต้องทนอยู่กับผมมานานขนาดนี้

"มึงจะบอกว่าเขาอยากเลิกกับกูตั้งแต่ตอนนั้นเลยหรอ"

มัน ที่ในที่สุดก็ไปถึงดอกไม้ดอกนั้น เพื่อที่จะได้พบความจริงที่ว่า

"มึงจะบอกว่ากูทรมานเขามาเป็นปีๆเลยหรอวะ" ถ้ามันตั้งแต่ตอนนั้นมันก็เกือบจะปีแล้วที่เขาเก็บมันไว้ เขาต้องอึดอัดมากแค่ไหนกันนะ ที่ต้องมาทนอยู่กับคนที่เขาไม่รักแล้วแบบนี้

มันเคยเป็นหนอนที่มากัดกินใบไม้ เป็นผีเสื้อที่เอาแต่ใจ เป็นผีเสื้อที่ทำร้ายดอกไม้ดอกนั้นมาตลอด

ในทุกจูบ ทุกกอด ทุกสัมผัสที่เราเคยมี มันจะทำให้เขารังเกียจหรือลำบากใจแค่ไหนกันนะ

"มึงจะบอกเป็นกูน่ะหรอ ที่ขโมยความสุขของเขาไป"

และความสุขทั้งหมดของดอกไม้

ก็คือการที่ไม่มีมันอยู่ในชีวิต

εїз

ในตอนแรกพวกมันก็ปล่อยให้ผมร้องไห้อยู่กับพื้นแบบนั้น แต่เมื่อผมเหมือนไม่มีทีท่าว่าจะหยุดสักทีมันทั้งสามจึงลากผมไปอาบน้ำแต่งตัว ก่อนที่จะพาผมออกตะลอนเที่ยวจนทั่วสวนผึ้งโดยไม่ฟังเสียงคัดค้านใดๆจากผมทั้งนั้น

ผมว่ามันก็ดีเหมือนกัน

เพราะผมร้องไห้ตาบวมจนตอนนี้มองอะไรแทบจะไม่เห็นแล้ว

เราเริ่มจากการไปกินข้าวเที่ยงที่คาเฟ่แห่งหนึ่งที่มีฟาร์มแกะ หลังจากให้อาหารตัวเองกันแล้ว พวกมันก็พาผมเข้าไปใกล้ชิดกับฝูงแกะที่ดูจะหิวโหยอยู่ตลอดเวลา ผมก็ไม่รู้ว่าพวกมันคิดว่าตัวเองน่ารักกันแค่ไหนหรอกนะ ในตอนที่เดินเงียบๆเข้าไปซบกับขนแกะให้ผมถ่ายรูปอยู่แบบนี้

ในที่สุดเมื่อไอ้บอลมันคิดว่าแกะคงจะอิ่มแล้วจริงๆ เราจึงได้ฤกษ์ออกเดินทางไปยังจุดแลนมาร์คต่างๆที่มีคนแนะนำในพันทิป ไม่ว่าจะเป็นอัลปาก้า ฮิลล์ สวนกล้วยไม้ออร์คิด ไร่องุ่น และสถานที่สวยงามอีกมากมายที่เหมาะแก่การถ่ายรูป ก่อนที่ทริปสั้นๆนี้จะจบลงด้วยการที่ผู้ชายสี่คนไปยืนเบียดกันเลือกเทียนหอมที่บ้านหอมเทียน

เมื่อเห็นว่าพระอาทิตย์ใกล้จะลาลับฟ้า พวกผมจึงตัดสินใจแวะไปร้านสะดวกซื้อเพื่อซื้อของกินเล่นและเครื่องดื่มสำหรับคืนนี้ก่อนที่จะตรงกับที่พักของเรา

เราแวะสั่งอาหารกับทางรีสอร์ทก่อนที่จะกลับห้องเพื่อไปอาบน้ำ พวกเราตัดสินใจเช่าห้องเพิ่มอีกห้องที่อยู่ติดกันแทนที่จะเสริมเตียง ไอ้บอลกับไอ้สิงลากกระเป๋าตัวเองกลับห้องเพื่อไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ผมได้มีโอกาสอยู่คนเดียวครั้งแรกเมื่อไอ้เดี่ยวเดินเข้าห้องน้ำไป ผมเลยถือโอกาสนี้นั่งเช็คมือถือที่วันนี่ปิดไว้ทั้งวัน 

"..."

มันก็เป็นเหมือนทุกครั้งที่พอผมกดเปิดมือถือ ความรู้สึกตื่นเต้นที่ทำให้ใจเต้นแรงมันเกิดขึ้นเสมอ ผมลุ้นว่าเขาจะโทรมาหรือส่งข้อความอะไรมาหรือเปล่า แต่มันก็เหมือนในทุกครั้งอีกเหมือนกันที่ผมต้องผิดหวังเพราะมันไม่เคยมีอะไรเลย

ผมละเลยความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในใจ มันยังเจ็บเหมือนเดิม มันไม่ได้น้อยลงไปเลยสักนิด แต่ตอนนี้ผมเหนื่อยเดินไปที่จะมานั่งฟูมฟายอีกต่อไปแล้ว ผมเลื่อนหน้าไปตอบข้อความจากแม่และพี่รหัสที่ส่งมา ก่อนที่จะเดินเข้าห้องน้ำไปเมื่อไอ้เดี่ยวเดินออกมา

"ขอบใจพวกมึงนะ" ผมบอกมันออกไปในที่สุดเมื่อเราทั้งสี่กำลังนั่งกินมื้อเย็นกันบริเวณโต๊ะไม้หน้าห้องพัก ผมจ้องตามันทีละคน เพราะรู้ว่าวันนี้ทั้งวันพวกมันแต่ละคนพยายามมากมายแค่ไหนที่จะไม่ให้ผมจมอยู่กับความเศร้า

"แล้วก็ขอโทษมึงด้วยไอ้บอล ทั้งเรื่องวันนี้และที่ทำให้ต้องลำบากมาตลอด" ผมบอกมันออกไปแบบนั้นเพราะมันมาจากความรู้สึกลึกๆในใจของผมจริงๆ ไอ้บอลยิ้มก่อนที่จะตบไหล่ผมแรงๆแทนคำตอบ

"ไอ้เป้.." ไอ้สิงเป็นคนเอ่ยขึ้น วันนี้ทั้งวันนอกจากที่มันต่อยผมจนล้มคว่ำมันก็ได้แต่อยู่เงียบๆผิดนิสัย อาจจะเป็นเพราะจริงๆแล้วเราก็ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น มันคงไม่รู้จะทำยังไงเวลาเห็นผมเป็นแบบนี้

"มึงไหวหรือเปล่า" มันพาดแขนลงบนไหล่ผม ถามออกมาด้วยน้ำเสียงนุ่มเหมือนพยายามจะปลอบใจกัน "ถ้ามึงไม่ไหวมึงกลับบ้านไหม เดี๋ยวเรื่องเรียนกูหาทางแก้ตัวให้มึงได้นะ"

ผมยิ้มให้กับความหวังดีของมัน

"กูว่าจะกลับบ้านก่อนเหมือนกัน แล้วค่อยมาสู้ใหม่ ไม่ไหวก็ต้องไหว" ผมตอบพร้อมตบไหล่มันกลับหนักๆ "ยังไงกูก็อยากไปคุยกับภัทรให้รู้เรื่อง"

"ไอ้เป้ นี้มึงยัง.." ไอ้บอลมันแทรกขึ้นมาให้ผมยกมือทำสัญญาณห้ามไม่ให้มันพูดแทรก

"ยังไงกูก็ต้องคุยกับเขา"

"..."

"แล้วถ้าเขาอยากเลิกกันจริงๆ กูก็จะปล่อยเขาไป"

"..."

เมื่อจบประโยคนั้นของผม โต๊ะทั้งโต๊ะก็ตกอยู่ในความเงียบ พวกมันทั้งสามมองอย่างพยายามชั่งอาการของผม พอเห็นว่าผมยิ้มเจื่อนกลับไป มันก็ได้แต่ลูบหัวตีไหล่ให้กำลังใจกลับมา

"เอ้า พอๆ มาดื่มให้กับความรักที่เปลี่ยนไปกัน" เป็นไอ้เดี่ยวที่ยกแก้วเบียร์ขึ้นกลางวง ก่อนที่พวกผมอีกสามคนจะทำตามมัน

"ลูกผู้ชายอย่างเรา เจ็บแค่นี้ไม่ตายหรอกมึง" ผมชนแก้วกับพวกมันเมื่อไอ้สิงกล่าวจบ กระดกเบียร์ที่มีอยู่เต็มแก้วในทีเดียวจนหมด

ในวินาทีนั้นผมคิดจริงๆนะว่าผมจะทำได้ ไม่รู้ว่าผมไปเอาความมั่นใจมาจากที่ไหน แต่มันมีแว๊บนึงที่ผมคิดจริงๆว่า ถึงผมอาจจะเจ็บปางตาย แต่ผมก็จะผ่านมันไปได้จริงๆ

εїз

พวกเราแยกย้ายกันเข้าห้องนอนเมื่อไอ้บอลเมาจนหลับไปแล้ว ผมช่วยแบกมันกลับห้องกับไอ้สิง เมื่อจัดการให้มันนอนได้สบายๆแล้วก็ขอตัวกลับมาที่ห้องพัก

"ครับ เดี่ยวก็คิดถึงเหมือนกัน ฝันดีนะครับ"

ในตอนที่เดินผ่านประตูห้องเข้ามา ก็ทันได้ยินไอ้เดี่ยวมันบอกลาใครสักคนในโทรศัพท์ให้ผมหูผึ่ง

"คุยกับใครวะ" ผมถามเมื่อมันวางโทรศัพท์ มันเดินยิ้มๆมานั่งลงบนเตียงข้างผม ก่อนจะเปิดรูปของหญิงสาวหน้าตาน่ารักคนนึงให้ดู

"คนคุยกู ชื่อมิ้งคณะกูเอง น่ารักไหม"

"จริงจัง?"

"ยังมึง ใจเย็นดิ เขาเรียกดูๆกันไปก่อน" มันว่าพร้อมกับหัวเราะให้กับท่าทางงงๆของผม

"มึงลืมแต้วได้แล้วหรอวะ" ผมถามถึงแฟนเก่าของมันที่คบกันมาตั้งแต่ช่วงมอสอง มันเพิ่งเลิกกันได้ไม่นาน ตอนนั้นมันยังร้องห่มร้องไห้จะเป็นจะตาย บอกว่ามันอยู่ไม่ได้เมื่อไม่มีเขาอยู่เลย

มันชะงักและหุบยิ้มลงในทันทีเมื่อได้ยินคำถาม ดูจากแววตาที่มันมองผม ผมก็รู้แล้วว่าคำตอบของมันคืออะไร

"มึงคิดว่ากูจะลืมเขาได้จริงๆหรอ กูคบเขามาสี่ปี มึงคิดว่ากูจะลืมเขาได้สนิทเลยไหม" มันว่า น้ำตาที่ไม่รู้จู่ๆมาจากไหนเอ่อล้นที่ขอบตาของมัน

"แต่มึงจะให้กูทำยังไง ในเมื่อเราทั้งคู่ต่างไม่โอเคกับมัน กูก็ทำได้แค่ปล่อยเขาไปเจอคนที่เขาคิดว่าใช่ กูเองก็ต้องเดินต่อไปเหมือนกัน"

ผมรู้สึกอิจฉามันขึ้นมาทันที ไอ้เดี่ยวมันดีตรงนี้ มันรู้ดีเสมอว่าตัวเองต้องการอะไร พุ่งตรงเข้าไปหา พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะคว้ามันไว้ และยอมปล่อยมือออกมาง่ายๆ เมื่อคิดว่ามันถึงจุดที่ไม่ควรจะดันทุรังต่อไป

"แต่กู..กูคิดภาพที่กูจะไปรักคนอื่นนอกจากภัทรไม่ได้เลยว่ะ" มันหัวเราะหึในลำคอ

"แล้วมึงเคยคิดภาพที่เขาจะไม่รักมึงออกไหม"

"..."

"มึงก็ไม่เคยคิดใช่ไหม" มันว่าต่อเมื่อผมไม่ตอบอะไร 

"ไอ้เป้...ชีวิตมันก็แบบนี้แหละมึง ทั้งๆที่มึงว่ามึงทำดีที่สุดแล้ว แต่มึงควบคุมมันไม่ได้ทุกอย่างหรอก" มันว่าพร้อมวางมือลงบนหลังคอของผม ตบมันลงมาเบาๆ

"ไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างที่มึงหวังไว้จะเป็นจริง แล้วมันก็มีบางสิ่งที่แม้มึงไม่อยากให้เกิด ในบางครั้งมันก็เกิดขึ้นได้"

"คือกู..คือมัน..มันแค่เหลือเชื่อเกินไปว่ะมึง ทั้งๆที่ทุกอย่างมันดีมาตลอด กูแค่ไม่เข้าใจว่าอะไรคือเหตุผล อะไรคือสิ่งที่ทำให้เขาอึดอัดจนตัดสินใจปล่อยมือกันแบบนี้"

"กูตอบแทนภัทรไม่ได้หรอกนะ แล้วกูก็ไม่ได้จะโทษมึง แต่มึงต้องอย่าลืมว่า สิ่งที่มึงคิดว่าดีที่สุดแล้วสำหรับมึง บางทีมันอาจจะไม่เคยโอเคสำหรับเขาเลยก็ได้"

"..."

"ไม่ใช่ว่ากูไม่รักแต้ว" มันว่า 

"แต่ว่าเพราะรักต่างหาก เลยไม่อยากจะให้มันแย่ไปกว่านี้ กูคงทนไม่ได้ถ้าวันนึงความรู้สึกดีๆที่เคยมีให้กันมันไม่เหลือแล้วจริงๆ"

"..."

"..."

"กูจะผ่านมันไปได้ใช่ไหมมึง" หลังจากที่เราทั้งสองจมอยู่ในความคิดของตัวเองสักพัก มันก็เป็นผมที่เอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง

"..."

"มันจะยาก มันคงจะยากที่สุด แต่กูจะผ่านมันไปได้ใช่ไหม" ผมถามมันออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ใช้ตาเรื่อน้ำของผมจ้องตาคมของมันเพื่อทวงคำตอบ

"มึงยังมีพวกกูปณวัช" มันว่า ยิ้มพร้อมเอื้อมมือมาพาดบ่า กระชับไหล่ผมแน่นอย่างอยากให้ผมแน่ใจว่ามันยังอยู่ตรงนี้ 

"มันอาจจะเจ็บเจียนตาย แต่มึงจะผ่านมันไปได้ในที่สุดไอ้เป้ มึงเชื่อกู"

และในตอนนั้น ผมก็เชื่อมัน

เชื่อ ทั้งๆที่ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าผมจะทำได้ยังไง

ว่าผมจะผ่านมันไปได้ยังไง

****

#ณภัทรปณวัช

เอาแล้วเด้ออ เป้จะมีใหม่แล้วเด้ออ

นี่สี่ตอนแล้ว เลาว่ามันก็คงจะเครียดไปหรือเปล่า ไม่มีใครอ่านเลย555 แต่เลาก็ยังยืนยันว่ามันเป็นรักวัยรุ่นนะเทอ แล้วเทอจะเห็น เทอจะสัมผัสเมื่อมรสุมผ่านไป! 

และในที่สุดตอนหน้าก็มาถึง! ได้เวลามาฟังความจากน้องภัทรกันบ้างแล้วทุกคนนน อย่าเพิ่งหมดหวัง อย่าเพิ่งเปลี่ยนเรือเลย ขอร้อง~

ทวิตเตอร์เด้อออ @maywrite_



ท้ายที่สุด ดูแลตัวเองกันดีๆนะคะ สถานการณ์โลก สถานการณ์บ้านเมืองรุมเร้า ดูแลสุขภาพจิต สุขภาพกาย แล้วเราทุกคนจะผ่านมันไปด้วยกันค่ะ :)








ออฟไลน์ Maywrite

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
#ณภัทรปณวัช

05 เรื่องของภัทร



มันจะดูสมเหตุสมผลหรือเปล่า

มันจะฟังขึ้นบ้างไหม

ถ้าผมจะบอกว่าที่ผมทำมันทั้งหมด

ผมทำมันเพื่อเขา

เพื่อให้เขาเจ็บน้อยที่สุด

เพื่อให้เขาจะยังอยู่ได้ แม้มันอาจจะยากไปซักหน่อย

เพื่อให้เขาพร้อมที่สุด

เพื่อวันนี้

วันที่เราสองคนต้องเลิกกัน



ผมลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งในเช้าวันใหม่ รู้สึกอึดอัดนิดหน่อยเพราะตอนนี้มันเหมือนมีอะไรบางอย่างมารัดตัวผมไว้จนทำให้ผมขยับตัวได้ไม่สะดวกนัก แต่เมื่อตื่นขึ้นมาเต็มตาผมจึงสัมผัสได้ว่ามันเป็นเพราะวงแขนของเขาที่รัดเอวของผมแน่น เสียงหายใจเบาๆข้างหูเป็นการยืนยันว่าเขามีตัวตนอยู่ตรงนั้นโดยไม่ต้องหันหลังไปดู 

เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนค่อยๆไหลย้อนกลับเข้ามาในความทรงจำ เขาคลายมือออกเมื่อผมพยายามพลิกตัวกลับไปทางเขา ตาคมที่ผมชอบที่สุดยังคงปิดสนิท เสียงหายใจที่เป็นจังหวะสม่ำเสมอมันทำให้ผมรู้ว่าเขาคงไม่ตื่นขึ้นมาง่ายๆ

เมื่อคืนเป้เมา

เมื่อคืนเขามาหาผมที่ห้องโดยไม่ได้โทรมาบอกก่อน แน่นอนว่าในตอนแรกผมพยายามปฏิเสธ แต่พอเขาบอกว่าเขาเมา ผมก็อดที่จะห่วงเขาจนทำใจแข็งไล่กลับไปไม่ได้

ที่จริงผมก็พอจะเดาได้นั่นแหละว่ามันเป็นแค่ข้ออ้างเท่านั้น แต่ผมก็ยอมที่จะเชื่อมันอย่างง่ายดาย เพราะที่จริงมันไม่ใช่แค่สำหรับเขาเท่านั้นหรอก แต่สิ่งที่เขาทำ มันเป็นข้ออ้างชั้นดีสำหรับตัวผมเองด้วยต่างหาก

มันเป็นข้ออ้างง่ายๆที่เขาใช้เพื่อขึ้นมาหาผมที่ห้อง และก็เป็นผมที่ยอมเชื่อมัน เพื่อจะใช้เป็นเหตุผลในการบอกตัวเองว่า การที่ผมได้มาใกล้ชิดเขาแบบนี้ ยอมให้เขาเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวของผมอีกครั้งแบบนี้ มันไม่ใช่เพราะผมไม่ยอมปล่อยเขาไป แต่มันเป็นแค่เหตุสุดวิสัยจริงๆ

'แต่เค้าคิดถึงภัทร'

คำพูดของเขาทำให้ผมใจอ่อนยวบ สายตาที่มองมามันทำให้ผมรู้ว่าเขาทรมานแค่ไหน เป้ของผม ผมรู้จักเขาดีกว่าใคร ผมรู้ว่าตอนนี้เขาไม่มีความสุขเลยซักนิด เหมือนตัวผมเองที่ไม่อาจมองหาเหตุผลในการใช้ชีวิตได้อีกต่อไปเมื่อไม่มีเขา

'ภัทรคิดถึงเค้าไหม'

และก็เป็นเพราะคำพูดคำนั้นที่ทำให้ผมทนไม่ไหว ผมก้มลงไปจูบเขา แทรกตัวเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดอบอุ่นที่ผมคุ้นเคยมากที่สุดอีกครั้ง ปล่อยทุกความคิด ทุกเหตุทุกผลให้ล่องลอยไปกับอากาศ และทำในสิ่งที่ใจผมโหยหา แสดงออกทุกความคิดถึงที่มันฝังแน่นในใจออกไปโดยไม่คิดจะเก็บกักมันไว้อีกแล้ว

ผมรู้ว่ามันผิด รู้ว่าผมจะทำให้มันยากขึ้นกว่าเดิม แต่มันก็เป็นความรู้สึกผิดที่น่าหลงใหล ความผิดที่ผมอดใจไม่ได้ ผมได้แต่พร่ำบอกตัวเองซ้ำๆว่ามันคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง ถ้าผมจะขอเห็นแก่ตัวอีกนิด ถ้าผมจะขอให้เขากอดผมอีกสักครั้ง ถ้าผมจะขอให้เขาเป็น 'เป้ของผม' อีกซักวันนึง

ผมคงไม่ได้ขอมากไปใช่ไหม

ผมนอนมองใบหน้าคมที่ยังคงหลับลึก อดเอื้อมหลังนิ้วไปเกลี่ยแก้มขาวของเขาเบาๆและหยิกแก้มนุ่มนั้นอย่างหมั่นเขี้ยวไม่ได้ ถึงเมื่อคืนมันจะดีมากก็เถอะ แต่ดื่มเข้าไปเยอะขนาดนั้น ตื่นมาไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะปวดหัวมากแค่ไหน

เห็นแบบนี้แล้วมันน่าตีนัก ผมเคยบอกเขาไปตั้งไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วว่าห้ามดื่มเยอะเกินตัวแบบนี้ ทั้งๆที่เช็ดตัวให้แล้วแท้ๆ กลิ่นเบียร์กลิ่นเหล้ายังติดตามตัวอยู่เลย คอยดูเถอะ ตื่นมาเมื่อไหร่จะบ่นให้หูชากันไปข้าง

ติ้ง! ติ้ง!

เสียงเตือนของโทรศัพท์ดังขึ้นให้ผมเอี้ยวตัวไปมอง ผมหยิบมันขึ้นมาดูอย่างถือวิสาสะ เพราะคิดว่ามันอาจจะมาจากพี่หมีหรือเพื่อนของเขา พวกนั้นคงเป็นห่วงกันน่าดูแล้ว เมื่อคืนตอนมาถึง เป้ไม่ได้ส่งข้อความไปบอกใครเลยนี่น่า

'เป้ ทำอะไรอยู่ครับ'

'วันนี้ต้องกลับบ้าน จำได้ใช่ไหม'

"..."

ผมชะงักเมื่อมันไม่ใช่ข้อความจากเพื่อนๆพี่ๆอย่างที่คิด แต่มันเป็นข้อความจากคุณแม่ของเป้ อย่างไม่คิดผมรีบวางโทรศัพท์ไว้ที่เดิม ก่อนจะรีบลุกแล้วเดินเข้าห้องน้ำปิดประตูลงกลอนอย่างรวดเร็ว

"ณภัทร มึงใจเย็นๆนะ.." ผมกำเสื้อบริเวณหน้าอกแน่นเพราะตอนนี้หัวใจมันเต้นแรงเหมือนจะหลุดออกมาอยู่แล้ว ผมลูบปลอบมันอยู่อย่างนั้นเบาๆพยายามหายใจเข้าออกลึกๆ หลับตาลงเพื่อเรียกสติตัวเองอีกครั้ง

"เขาก็แค่ส่งข้อความมาปกติภัทร เขาไม่รู้ซักหน่อยว่ามึงอยู่กับลูกเขา" ผมพยายามปลอบตัวเองที่ตอนนี้สติแตกไปแล้ว สิ่งที่ผมรู้สึกตอนนี้ มันเป็นความกลัวที่ผสมปนด้วยความรู้สึกผิด ในตอนนี้ผมเหมือนคนทำผิดที่โดนจับได้คาหนังคาเขา

'ภัทรเลิกกับเป้ได้ไหมล่ะ'

'ครับ?'

'แม่ถามว่า ที่ภัทรบอกว่าภัทรจะยอมทำทุกอย่างเพื่อความสุขของเป้ มันรวมถึงการที่ภัทรจะยอมเลิกกับเป้ด้วยไหม'

'คุณแม่..เอ่อ คุณแม่รู้..'

ความทรงจำที่ผมไม่อาจลืมหวนกลับมา ผมยังจำวันนั้นได้ดี มันเป็นสองอาทิตย์ก่อนที่เป้จะอายุครบสิบเจ็ด ช่วงนั้นผมไปนอนบ้านเขาบ่อยมากเพราะผมไม่อยากให้เป้อยู่คนเดียว มันอยู่ในช่วงที่เราต้องเลือกคณะเรียน และมันก็เป็นช่วงชีวิตที่ผมไม่เคยลืมเลยว่ามันทำให้เป้ของผมอ่อนแอได้มากแค่ไหน

ผมเคยคิดมาตลอดว่าการเป็นเป้มันช่างดีเหลือเกิน เขาเป็นคนมีพรสรรค์ในการเรียนรู้อย่างแท้จริง ไม่ว่าเขาจะทำอะไร จะหยิบจับอะไร เหมือนว่าทุกสิ่งทุกอย่างเมื่ออยู่ในมือเขาแล้ว มันดูจะง่ายดายไปเสียหมด เป้เรียนเก่ง เล่นกีฬาก็ได้ มนุษย์สัมพันธ์ก็ดี และยิ่งเป็นเรื่องดนตรีที่เขารักหนักรักหนา เขาทำมันได้อย่างยอดเยี่ยมและมีเสน่ห์ที่สุด

'พ่อกับแม่อยากให้เค้าเรียนหมอ' มันคือคำตอบของเขาหลังจากที่ผมพยายามคาดคั้นหนักหนาว่าช่วงนี้ทำไมเขาถึงได้ดูซึมแบบนี้

เมื่อได้เริ่มต้นเล่าออกมา มันก็เหมือนว่าในที่สุดคนที่ชอบเปิดเผยแต่ดันต้องเก็บความรู้สึกทั้งหมดเอาไว้ก็เล่ามันออกมาทั้งหมด ผมรู้ว่าเขาร้องไห้เก่ง แต่นี่มันไม่เหมือนทุกครั้ง เป้ดูสับสนและกระวนกระวายใจกว่าครั้งไหนๆ จนผมอดที่จะสงสารเขาไม่ได้เลยจริงๆ

และในตอนนั้นผมจึงได้รู้ว่า คนที่ปกป้องผมมาตลอดแบบเขาอ่อนแอมากแล้วจริงๆ และมันก็ถึงคราวของผมบ้างแล้ว ที่จะต้องลุกขึ้นมาสู้ มาปกป้องทุกสิ่งที่เป็นความสุขของเขาบ้าง

เมื่อคิดได้อย่างนั้นผมจึงตัดสินใจเข้าไปหาคุณแม่เป้ที่ผมค่อนข้างสนิทใจมากกว่าคุณพ่อของเขา ผมตั้งใจจะช่วยพูดอีกแรงเพราะอย่างน้อยผมที่อยู่ข้างเป้มาตลอดก็เห็นทุกสิ่งทุกอย่าง มันไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร ผมไม่อยากให้ท่านทั้งสองต้องมาเสียใจทีหลังที่ต้องกลายเป็นคนที่มาพรากความสุขของเป้ไป

เป้อยากเรียนด้านดนตรีมาตลอด เขาพูดถึงมันมาตั้งแต่เราสองคนขึ้นมอปลาย ถ้าเขาคิดจะขัดขืนผมก็รู้ว่าพ่อแม่เขาจะทำอะไรไม่ได้ แต่ที่เขายังมานั่งกลุ้มใจแบบนี้ มันเป็นเพราะเขาแคร์ครอบครัวของตัวเองมากต่างหาก

คุณพ่อของเป้เป็นศัลยแพทย์ เป็นหุ้นส่วนของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในจังหวัดพิษณุโลก ส่วนคุณแม่ของเขาก็เป็นทันตแพทย์ ดังนั้นครอบครัวของเป้จึงอยากให้เขาเลือกเรียนสายแพทย์ซักสาย เพราะทั้งคู่อยากให้เป้ที่เป็นลูกชายคนเดียวมาช่วยสืบทอดกิจการของพวกเขา

'ภัทรมั่นใจแค่ไหน ว่าเราจะเป็นทุกคำตอบให้เป้ได้' คุณแม่ของเขาถามผมอีกครั้งให้ผมเผลอเงยหน้าขึ้นสบตา

ท่าทางจริงใจที่อีกฝ่ายส่งมา มันทำให้รู้เลยว่าเธอไม่ได้พูดมันด้วยอคติ เธอถามเพราะเธอต้องการคำตอบที่มันสมเหตุสมผลจริงๆ คำตอบอะไรซักอย่างที่จะทำให้เธอยอมรับและอนุญาตให้เธอยกลูกชายคนเดียวให้ผมดูแล

'ภัทรจะมั่นใจได้ยังไง ว่าเมื่อโตไปกว่านี้ เป้เขาจะไม่อยากมีครอบครัว ไม่อยากมีลูก ภัทรเองก็เหมือนกันนะลูก ไม่สงสารคุณพ่อหรอคะ'

ท่าทางและน้ำเสียงของคุณแม่เป้ยังคงใจดีเหมือนเดิม แต่คำพูดของเธอทิ่มแทงลงมาในใจของผมซ้ำๆจนผมแทบจะกลั้นน้ำตาไม่ไหว

ไม่ใช่ว่าผมไม่คิด ผมเข้าใจทุกความหมายที่เธอถามผมได้ดี ผมเองก็กลัวเหมือนกัน ผมเองก็ไม่อยากให้พ่อผมผิดหวังในตัวผม และผมยิ่งไม่อยากเข้าไปใหญ่ ถ้าผมจะเป็นสาเหตุให้เป้กลายเป็นสิ่งที่ไม่น่าภูมิใจของครอบครัวเขา

'ที่แม่พูด เพราะแม่รู้ว่ามันไม่ง่ายเลยสักนิด ยิ่งเราถลำลึกเข้าไปแค่ไหน มันก็จะมีแต่จะยากขึ้นนะคะ สู้เลิกกันไปตั้งแต่ยังไม่จริงจังกันดีกว่าเนอะ'

ผมไม่ได้พูดอะไรออกไป ทั้งๆที่ตอนนั้นไม่ได้เข้าใจเลยสักนิดว่าคำว่าจริงจังของคุณแม่เป้มันคืออะไร ผมไม่เห็นด้วย เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา ถ้ามันเป็นเรื่องของเป้แล้ว ผมก็ว่าผมจริงจังที่สุด จริงจังกว่าเรื่องไหนๆในชีวิตของผมแล้วนะ

การนั่งอยู่ตรงหน้าคุณแม่ของเป้ในตอนนั้นมันทำให้ผมนึกถึงสมัยที่ผมอยู่ปอสี่ ผมที่นั่งกำมือแน่นจนเล็บจิกเนื้ออยู่ตรงหน้าพ่อกับแม่ของผม มันเหมือนกัน เพราะมันเกิดขึ้นในตอนที่ผมไม่พร้อมอะไรเลย มันเป็นวันที่สองคนที่ผมรักที่สุดบอกให้ผมเลือกว่าผมจะอยู่กับใคร

ให้ผมเลือกว่าผมจะทิ้งใครไว้ข้างหลัง

ผมผ่านวันนั้นมาอย่างยากลำบาก แต่สำหรับคราวนี้ ตอนนี้ คำตอบของผมมันไม่ได้ยากเหมือนวันนั้นหรอกนะ ถึงแม้สิ่งที่ผมกำลังจะบอกไป มันอาจจะทำให้ผมเจ็บไปจนตาย แต่ผมมั่นใจว่าคำตอบคำตอบนี้มันถูกต้อง และผมจะไม่มีวันเสียใจทีหลัง

'ถ้าคุณแม่สัญญากับผมเรื่องมหาลัยของเป้ ผมก็จะสัญญาเหมือนกันว่าผมจะออกไปจากชีวิตเขาเองครับ'

และผมก็พูดคำสัญญานั้นออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง ทำหน้ามุ่งมั่นทั้งๆที่ผมไม่รู้เลยว่าผมจะทำมันได้อย่างไร แต่ถ้ามันต้องแลกกับความสุขทั้งชีวิตของเป้แล้ว ถ้ามันจะทำให้เส้นทางที่เขาเลือกเดินง่ายขึ้น ไม่ว่าจะถามผมกี่ครั้ง ผมก็จะเลือกทางนั้นโดยไม่ลังเลเลยซักนิด

วันนั้นผมบอกคุณแม่เขาว่าผมขอเวลาจนกว่าเราจะสอบเสร็จ ผมไม่อยากจะให้เป้ต้องมาเสียสมาธิกับอะไรทั้งนั้น ผมบอกกับแม่เขาว่าถ้าเราเข้ามหาลัยกันได้เมื่อไหร่ ผมจะค่อยๆหายไปจากชีวิตของเป้เองตามสัญญา

ผมได้รับความร่วมมืออย่างดีจากบอล เขาซักไซ้ผมนิดหน่อยในตอนแรกแต่ก็ยอมร่วมมือกับผมในที่สุด เขาคะยั้นคะยอขออยู่หอเดียวกับเป้ตามที่ผมขอ และพยายามจะใช้เวลาอยู่กับเพื่อนเขาให้มากที่สุดเท่าที่ตัวบอลเองจะหาเวลาได้

ผมคิดว่าเป้ช่างโชคดีเหลือเกินที่มีเพื่อนดีๆแบบนี้ ผมขอบคุณเขาจริงๆที่เขาทำมันอย่างจริงจังตามทุกคำขอร้องของผม ผมรู้ว่าบอลเองก็โกรธผมแทนเพื่อนเขาไม่น้อย แต่ที่ยังยอมรับโทรศัพท์ ยังทำตามที่ผมพูด เพราะผมบอกเขาว่านี่มันเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้เพื่อนของเขาเจ็บน้อยที่สุดเวลาที่ผมบอกเลิกเป้ไป

ผมมองเงาในกระจกห้องน้ำ เห็นตัวเองที่ยังสั่นเทาเพราะความตกใจไม่หาย เพราะลึกๆแล้วผมรู้สึกผิด ผมก็รู้นั่นแหละว่าที่ผมยังยื้อเวลาต่อไปอยู่แบบนี้ที่จริงมันไม่ใช่เพื่อเขาหรอก ที่จริงแล้วผมทำเพื่อตัวเองต่างหาก เพราะผมยังทำใจไม่ได้ที่จะให้เขาหายไปจากชีวิตของผมต่างหาก

'ถ้าภัทรไม่รักษาสัญญา แม่จะให้เป้ดรอปจริงๆด้วย'

คำพูดสุดท้ายของคุณแม่เป้ยังดังก้องอยู่ในหัว มันก็เหมือนกับการไปผูกสัญญากับความตายนั่นแหละ ถึงมันจะน่ากลัว แต่เมื่อผมได้สิ่งที่ผมต้องการมาแล้ว มันก็ถึงเวลาที่ผมต้องยอมทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้

มันคงถึงเวลาที่ผมควรทำเพื่อเป้แล้วจริงๆ

εїз

"ตกลงภัทรจะเอาไง" ผมกระพริบตาปริบยืนมองหน้าบอลที่ตอนนี้ยืนท้าวเอวอยู่หน้าห้องของผม เขาเพิ่งโทรหาผมเมื่อกี้ บอกว่าให้รอที่หอเพราะเขากำลังขับรถเวสป้าของเขาตรงมาหา

"..."

"มันรอคำตอบภัทรมาทั้งอาทิตย์ นี่ก็เห็นมันไปยืมรถของที่บ้านมา มันคงตั้งใจจะพาภัทรไปไหนซักแห่ง"

"..."

"เราพยายามช่วยภัทรเต็มที่แล้วนะ แต่เราว่าไอ้เป้มันจะไม่ไหวแล้ว ภัทรจะเอาไงก็เลือกไปซักทางเลยไม่ได้หรือไง"

"แล้ว...บอลคิดว่าถ้าเราบอกเขาตอนนี้ แล้วเขาจะรับได้หรือไง"

"..."

"บอลคิดว่าเป้จะอยู่ได้ไหม เป้จะโอเคหรือเปล่าถ้าจู่ๆเราก็เดินออกมา"

"..."

"แล้ว.."

"แล้วภัทรจะแคร์ทำไม" เขาแทรกขึ้นมาเสียงเข้มในตอนที่ผมกำลังพูดไปเรื่อยเพื่อหาเหตุผลที่จะยื้อเวลาต่อไป  

เขามองหน้าผมอยู่อย่างนั้น บอลที่ปกติจะใจดีกับผมเสมอมองมาด้วยสายตาจริงจังจนผมเผลอกลืนน้ำไหลอึกใหญ่ลงคอ

"คือ..เรา.."

"ภัทรจะแคร์ทำไมในเมื่อภัทรไม่ได้รักมันแล้ว"

"คือ.."

"หรือภัทรจะบอกว่ายังรักมันอยู่ ถ้ายังรักมันอยู่แล้วจะเลิกกับมันทำไม ทั้งๆที่มันรักภัทรตั้งขนาดนั้น มีอะไรค่อยๆคุยกันไม่ได้เลยหรือไง"

"..."

"ภัทร เราช่วยภัทรมาตลอด เพราะเราไม่ใช่แค่เพื่อนไอ้เป้ เราก็เป็นเพื่อนภัทรเหมือนกัน วันนี้เราของพูดตรงๆเลยได้ไหม" บอลว่าต่อเมื่อผมพยักหน้ารับช้าๆ

"ภัทรชอบคนชื่อนิวหรอ"

"หืม?"

"ที่อยากเลิกกับไอ้เป้ ก็เพราะมันใช่ไหม"

"ปะ..เปล่านะ.."

"เราจะไม่ตัดสินอะไรภัทรทั้งนั้น แต่เราแค่ขอให้ภัทรชัดเจนเถอะ ถ้าอยากเลิกกับมันก็บอกมันไปตรงๆ แล้วภัทรจะไปคบกับใครมันก็เป็นสิทธิ์ของภัทรเลย"

"..."

"ถือว่าสงสารไอ้เป้มันนะ"

ผมไม่แน่ใจว่าผมตอบกลับบอลไปว่ายังไง ผมอาจจะเอาแต่เงียบจนในที่สุดเขาก็เป็นฝ่ายทนไม่ได้จนกลับไปเองหรืออาจจะตอบตกลงที่จะไม่ยุ่งกับเป้อีกแล้วก็เป็นได้ แต่ที่ผมจำได้คือตั้งแต่บอลกลับไปผมก็เอาแต่นอนร้องไห้อยู่บนเตียง นอนมองกรอบรูปสีขาวที่มีครอสติสลายผี้เสื้อที่ผมปักอยู่ในนั้น

ผีเสื้อปีกเหลืองสลับดำ

ผมเลือกที่จะทำมันให้เขาเป็นของขวัญวันเกิด ผมตั้งใจปักมันอย่างสุดความสามารถ มันเป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมตั้งใจจะให้ เพราะหลังจากผ่านวันเกิดนี้ไป มันคงไม่เหลือข้ออ้างอะไรให้เราได้ใกล้ชิดกันอีกแล้ว

ผมหลับไปทั้งๆที่น้ำตานองหน้า ผมไม่รู้ว่าผมเผลอนอนไปนานแค่ไหน แต่เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่ารอบด้านมืดสนิทไปแล้ว

ผมควานหาโทรศัพท์มือถือที่ผมปิดเครื่องแล้วยัดไว้ใต้หมอน กดเปิดมันอีกครั้งด้วยหัวใจตุ่มๆต่อมๆ แต่ยังไม่ทันได้ดูหรือเช็คข้อความอะไรก็มีเสียงเรียกเข้าให้ต้องสะดุ้งสุดตัว

Rrrrrrrrrrrrr

"น้องภัทรรรรรรรร" เสียงสดใสร่าเริงดังมาจากปลายสาย พี่หมีของเป้ยังคงเป็นคนที่มีพลังบวกเยอะเสมอ เยอะจนทำให้ผมที่มีสภาพแบบนี้ยกยิ้มขึ้นมาได้

"สวัสดีครับพี่หมี"

"ถึงไหนกันแล้ว ออกจากกรุงเทพฯหรือยังลูก"

"ครับ?"

"บอกเป้ให้ขับรถระวังๆน้า ค่ำมืดแบบนี้ ไม่ต้องรีบกันนะ ถึงเมื่อไหร่โทรบอกพี่ด้วย"

"เอ่อ..คือผม..ผมไม่ได้อยู่กับเป้ครับพี่.."

"อ้าว! แล้วเป้ไปไหนอ่ะ มันยังไม่ไปรับเราอีกหรอ โห ชักช้าขนาดนี้ กว่าจะถึงสวนผึ้งไม่ดึกเลยหรือไง อ่ะ! ผมพูดเยอะเกินไปแล้วอ่ะพี่ดิน ไอ้เป้ด่าผมแน่~ ทำไงดี ทำไงดี ภัทรอย่าบอกมันนะว่าพี่บอก"

เสียงของพี่หมียังดังเจื้อยแจ้วอยู่ข้างหู แต่ตอนนี้หูของผมมันมืดดับ มันเป็นอีกครั้งที่ผมไม่รู้เลยว่าควรจะทำยังไงต่อไป

Rrrrrrrrrr

ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสายของพี่หมีมันตัดไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมเหลือบมองโทรศัพท์อีกครั้งเมื่อมันมีเสียงเรียกเข้า และมันก็เป็นเขา คนที่อยู่ในทุกห้วงความคิด ทุกลมหายใจของผม ผมได้แต่นั่งร้องไห้ ปล่อยให้เสียงของโทรศัพท์ดังอยู่แบบนั้นแล้วดับไป แต่เมื่อมันดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดผมก็ทนไม่ไหว

"ครับ"

[...]

"เป้.."

[ภัทรอยู่ไหน]

"เค้า..เค้าทำงานอยู่ที่คณะ"

εїз

"ภัทร"

"หืม"

แชะ!

"อีกแล้วนะนิว เลิกถ่ายรูปตอนเราเผลอได้ไหม น่าเกลียดจะตาย" ผมโวยวายขึ้นเมื่อเพื่อนที่เรียกชื่อผมชูโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปผมตอนเผลออีกแล้ว

ผมพยายามเอื้อมตัวไปยื้อแย้งโทรศัพท์ในมือ แต่เจ้าของเครื่องก็ลุกขึ้นและเหยียดแขนขึ้นฟ้า จนตอนนี้แม้ผมจะทั้งกระโดดทั้งเขย่งยังไงก็เอื้อมไม่ถึง

"เอามาเลยนะ เราจะลบออกให้หมดเลย"

"โห ได้ไงล่ะภัทร กว่าจะได้มาแต่ละภาพ" เขาว่าอย่างนั้นพร้อมหัวเราะเสียงใสเมื่อผมทำหน้ามุ่ยตอนที่เขาเอามือมาขยี้ผมของผมจนยุ่งไปหมด

"แล้วจะถ่ายไปทำไมตั้งเยอะแยะ จะเก็บไว้แบล็คเมล์เราหรอ"

"เปล่า เราจะเก็บไว้ดูตอนเศร้า เห็นหน้าหมูแก้มยุ้ยๆแล้วมันตลกดี" เขาวิ่งหนีตอนผมพยายามเอื้อมมือไปตีเขา ร้องโวยวายบอกให้เพื่อนช่วยแล้ววิ่งหนีผมไปรอบโต๊ะไม้ที่พวกเรานั่งอยู่

ผมอดขำกับท่าทางและน้ำเสียงตลกๆที่เขาใช้ไม่ได้ นิวก็เป็นแบบนี้ มาแกล้งให้ผมโมโหได้ทุกวันไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย

"โอ้ย เรามึนหัว พวกแกสองคนเลิกวิ่งได้ไหม" ร่มโพธิ์ตะโกนขึ้นมาในที่สุดเพราะพวกผมยังไม่หยุดวิ่งไล่จับกันสักที

"แกบอกนิวดิ มันแกล้งเราอีกแล้ว"

"โอ๊ย แกล้งกันไปแกล้งกันมาแบบนี้ลูกดกแน่นอน"

"ร่มโพธิ์! ชอบพูดแบบนี้ คนเขาถึงเข้าใจผิดกันไปหมดแล้ว นิวก็เหมือนกัน เลิกลงรูปเราได้แล้ว" ผมค้อนให้นิวก่อนที่จะเดินกลับมานั่งฝั่งตรงข้ามกับร่มอีกครั้ง

"โอ๋ๆน้า ก็ภัทรน่ารักนี่น่า ขอลงหน่อยไม่ได้หรือไง ลงรูปภัทรทีไรทั้งคอมเม้นทั้งยอดไลท์มันพุ่งเอาพุ่งเอานี่น่า" นิวตามมานั่งข้างผม เขย่าแขนผมเบาๆให้ผมหายโกรธ

"โห สรุปนี่คือเอาเราไปแลกกับยอดไลท์หรอ" ผมทำเป็นงอน แต่พอเขาง้อด้วยท่าทางตลกๆผมก็หลุดหัวเราะออกมาจนได้

"ภัทรยิ้มแล้ว! งั้นขอลงอีกรูปนะ"

"พอเลยนะนิว เจ้าเล่ห์ที่สุดอ่ะ ไม่ลงแล้ว พอๆ" ผมหัวเราะเสียงดังเมื่อนิวทำเป็นแกล้งร้องไห้ ชี้รูปนั้นรูปนี้ในโทรศัพท์ให้ผมดู บอกว่ารูปดีขนาดนี้ไม่ลงไม่ได้แล้วจริงๆ เล่นใหญ่ตลอดล่ะคนนี้

"ภัทร"

เสียงเรียกจากด้านหลังผมทำให้เราทั้งสามคนในโต๊ะหันไปมอง

"เป้.." และมันก็เป็นผมที่เรียกชื่อเขากลับก่อนที่จะยัดตัวยืนขึ้นอย่างรวดเร็ว เป้มองผมด้วยสายตาเรียบเฉย เลื่อนหางตาไปมองนิวอีกนิด ก่อนที่ท้ายที่สุดจะยกยิ้มมุมปากรับการทักทายจากร่มโพธิ์

"เราขอคุยกับภัทรแป๊ปนึงนะ" เขาบอกเพื่อนผม ก่อนที่จะหันมาสบตากัน ก่อนจะพูดขึ้นเบาๆให้เราได้ยินกันแค่สองคน

"ขอโทษที่ไม่ได้โทรบอกก่อน แต่เค้ากลัวว่าถ้าบอกล่วงหน้าแล้วจะไม่ได้เจอ เค้าขอคุยกับภัทรแป๊บนึงได้ไหม"

ผมเดินตามแผ่นหลังที่นำผมไปยังสวนสาธารณะข้างเซเว่น เรานั่งลงที่ม้านั่งตัวเดิมที่ผมเคยพาเขามา เขานั่งนิ่งมองตรงไปข้างหน้าด้วยสีหน้าไม่แสดงอารมณ์ ตาคมของเขาบวมฉึ่งเหมือนผ้านการร้องไห้มาเยอะ ผมได้แต่นั่งเก้ๆกังๆ ขยับไปขยับมาอยู่กับที่ มันเป็นวันแรกที่เราได้เผชิญหน้ากัน ตั้งแต่วันเกิดของเขา เราสองคนก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย

"เป้..."

"ภัทรดูมีความสุขเนอะ" เขาแทรกขึ้นมาพร้อมกับมองหน้าผม ผมหลุบตาลง ได้แต่มองเรียวปากหยักที่ขยับไปมาของเขา ผมจ้องมันอยู่อย่างนั้น เพราะผมคิดว่ามันยากเกินไปที่จะสบตากับเขาตรงๆ ในเวลานี้

"เป้..."

"ภัทรเก่งจังเลยเนอะ" เขาว่าต่อ "ภัทรเก่งขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เก่งขนาดที่ยิ้มได้โดยไม่มีเค้า เก่งขนาดที่ไม่ต้องการความรักของเค้าอีกต่อไปแล้ว"

"..."

"เค้าไม่ไหวแล้วภัทร เค้าขอได้ไหม ถ้าภัทรอยากจะรักใคร หรือถ้าภัทรอยากจะเลิกกับเขา ก็บอกเค้ามาตรงๆเถอะนะ"

ผมเฝ้าคิดถึงวันนี้มาตลอด เคยจินตนาการไปมากมายว่าสุดท้ายแล้วมันจะออกมาเป็นแบบไหน

"เค้าทรมานภัทรมานานแล้วใช่ไหม เค้าจะไม่ถามหาเหตุผลอะไรเลย ตอนนี้เค้าแค่อยากรู้ว่าภัทรต้องการอะไร ภัทรบอกมาคำเดียว ถ้าภัทรไม่ต้องการกันแล้ว เค้าก็จะเป็นคนเดินออกไปเอง"

เป้ของผมเป็นคนขี้แย เขาเป็นคนที่อ่อนไหวง่าย และในทุกครั้งที่มีเรื่องในใจเขามักจะระบายมันออกมาด้วยน้ำตา แต่วันนี้เป้ของผมเก่งมากที่สุด ถึงตาคมของเขาจะวาวน้ำ แต่เขาไม่ร้องไห้ออกมาเลยซักนิด

ผมว่าวันนี้ เป้คงพร้อมแล้วจริงๆนั่นแหละ

"เค้าขอโทษนะ แต่เค้า..เค้าว่าเราห่างๆกันไปก่อนดีกว่า" ผมพูดในสิ่งที่มันไม่จริงเลยซักนิด เป้ที่มองผมด้วยหน้าตาผิดหวังทำให้ผมใจเสีย แต่ผมรู้ว่าเขาจะไม่เป็นไร

เขาจะยอมรับมันและเดินไปหาเพื่อนเขาสองคนที่มายืนรออยู่ที่ลานจอดรถ เขาอาจจะร้องไห้หนักแต่มันก็จะเป็นการร้องไห้ครั้งสุดท้ายของเขา

มันอาจจะยากสักหน่อย

แต่ผมรู้ว่าซักวันเขาจะลืม

ผมรู้ว่าซักวัน

เรื่องของวันนี้

จะกลายเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้วสำหรับชีวิตของเขา

*****

#ณภัทรปณวัช

เอ้าาา อ่านตอนนี้แล้วมีความเห็นยังไงบ้างเอ่ย คือตอนนี้มันเป็นตอนแรกที่เราเขียนเลยสำหรับเรื่องนี้ เรื่องนี้เขียนยากอะ เวลาอ่านแล้วสับสนกับไทม์ไลน์กันหรือเปล่าคะ ย้อนเยอะเหลือเกินเรื่องนี้ เขียนเองก็งงเอง ตอนนี้ตัวละครชั้นอยู่ฉากไหนกันแน่เนี้ย แงง..

คือเอาจริงๆ เราเองก็บอกไม่ได้อะ ว่าใครถูกใครผิด คือตัวภัทร ในวัยเท่านี้ เมื่อเจอเรื่องแบบนี้ คนเราก็อาจจะมีวิธีแก้ไขปัญหาต่างกันไป แต่เชื่อเถอะว่าน้องมันก็ทำเต็มที่เท่าที่มันจะทำได้แล้วอะเนอะ

ฮึบๆ ผ่านตอนนี้ไปได้ ตอนหน้าก็ฉิวแล้ว บอกแล้วว่านี่นิยายรักวัยรุ่น ปมง่ายๆ นิยายรักหวานๆก่อนนอนงี้ 555 

ออฟไลน์ piakunaa

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
คุณแม่เป้เคยโดนเท้าสะกิดขาตอนเดินมั้ยคะ​ กำหมัดดดดด
เป็น​กำลัง​ใจ​ให้​นักเขียน​นะคะ​ ​สู้​ๆ​นะคะ​นักเขียน​

ออฟไลน์ Maywrite

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
#ณภัทรปณวัช

06 เรื่องของที่บ้าน



"ภัทร"

"พ่อ!" ผมที่กำลังงัวเงียอยู่บนเตียงลุกจากที่นอนในทันทีที่พ่อเปิดประตูเข้ามาในห้องนอนของผม ผมตรงเข้าไปในอกกว้างอันอบอุ่นของเขา ซุกและสูดกลิ่นหอมอุ่นๆที่ผมแสนคิดถึงที่สุดเข้าไปเต็มปอด

"คิดถึงพ่อจังเลย" ผมเอ่ยออกไปอย่างออดอ้อน น้ำเสียงที่ผมส่งไปมันดูสั่นเครือกว่าที่คิดไว้ ถึงผมจะพยายามควบคุมมันให้ดีที่สุดก็เถอะ แต่แค่ผมได้เห็นรอยยิ้มแสนอบอุ่นของพ่อ เพียงแค่นั้นน้ำตาของผมก็พลันจะไหลลงมาอีกแล้ว

"หืม ทำไมวันนี้อ้อนเก่งจัง"

"ก็ไม่ได้เจอกันตั้งนาน หรือพ่อจะบอกว่าพ่อไม่คิดถึงภัทร"

"ถ้าพ่อไม่คิดถึง พ่อจะรีบกลับมาทำข้าวต้มกุ้งให้เราหรือไง นี่พ่อยังไม่ได้นอนเลยนะ" ผมยกยิ้มกว้างเมื่อได้ยินว่าพ่อทำของโปรดให้ผม เขย่งหอมซ้ายหอมขวาคนที่แสนใจดีกว่าใครหลายที

เมื่อคืนหลังจากเป้จากไป ผมก็ตัดสินใจขึ้นรถทัวร์กลับบ้านในทันที เมื่อคืนตอนผมมาถึงบ้านช่วงดึกพ่อยังไม่กลับจากที่ทำงานเลยด้วยซ้ำ พ่อผมเป็นวิศวะโยธา บางครั้งงานของพ่อก็ทำให้เขาต้องอยู่ดึกหรือทำงานข้ามคืนอยู่บ่อยๆแบบนี้

ผมยอมผละออกจากอกอุ่นในที่สุดเมื่อพ่อไล่ให้ไปอาบน้ำแต่งตัวเพราะข้าวต้มใกล้จะสุกแล้ว จัดการตัวเองอย่างรวดเร็วและเมื่อลงมาถึงชั้นล่างก็ต้องยิ้มกว้างขึ้น เมื่อพ่อที่อยู่ในชุดผ้ากันเปื้อนสีฟ้าหันหน้ามาหา พยักเพยิดโชว์ของในมือที่แสนจะภูมิใจเสนอ

"ปาท่องโก๋~" ผมปรบมือดีใจรัวๆก่อนที่จะสาวเท้าก้าวเข้าไปนั่งที่โต๊ะอาหาร กลิ่นข้าวต้มกุ้งฝีมือพ่อที่ผมคิดถึงลอยกระทบให้ผมสูดหายใจเข้าเต็มปอด

"กินช้าๆ เดี๋ยวก็โดนลวกหรอก" พ่อกล่าวเตือนกลั้วหัวเราะเมื่อผมรีบตักกินอย่างลืมหายใจ

"ก็มันอร่อยนี่น่า ไปกินร้านไหนก็ไม่อร่อยเท่าที่พ่อทำเลย" ผมว่าสลับกับตักข้าวต้มกุ้งเข้าปาก หันไปหยิบปาท่องโก๋จิ้มสังขยาแล้วยัดเข้ามาทีเดียวจนหมดให้พ่อหัวเราะเสียงดัง 

มันเป็นเพราะช่วงที่ผ่านมาผมเครียดมาตลอด นี่มันอาจจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนเลยมั้งที่ผมกินอย่างเอร็ดอร่อยได้อย่างนี้

"แล้วกลับมาพร้อมเป้หรอ" ผมชะงักปากที่เคี้ยวตุ้ยๆในทันทีที่ได้ยินชื่อเขา กลืนทุกอย่างลงคอไปในทีเดียวก่อนที่จะหลุบตาลงเอ่ยตอบออกมาเบาๆ

"เปล่าครับ..ภัทรกลับมาคนเดียว"

"..."

"..."

"อยากเล่าให้พ่อฟังไหม"

"ครับ?"

"ก็เรื่องที่ทำให้ตาเราบวมได้ขนาดนี้ อยากเล่าให้พ่อฟังหรือเปล่า"

ในวินาทีนั้น อย่างสุดกลั้น น้ำตาผมไหลลงมาอาบสองแก้ม ผมจะทนเข้มแข็งต่อไปได้อย่างไร ในตอนที่อ่อนแอตั้งขนาดนี้ ในตอนที่พ่อมองมาด้วยสายตาอ่อนโยนแบบนี้ ผมจะแกล้งเข้มแข็งต่อไปได้ยังไง

"ภัทรมีเรื่องจะเล่าให้พ่อฟัง พ่อช่วยฟังภัทรได้ไหม แต่ภัทรขอล่ะ พ่ออย่าโกรธภัทรนะ"

พ่อของผมพาผมไปนั่งบนโซฟาในห้องนั่งเล่นและก็เป็นตอนนั้นที่เรื่องทั้งหมดพรั่งพรูออกมาจากปากผม ตั้งแต่วันแรกที่เจอเป้ รู้จักและยอมรับกับตัวเองว่ารักผู้ชายคนนั้น สารภาพรักและในที่สุดก็ได้รักกัน เล่ามันออกมาทั้งหมดจนถึงวันที่เราสองคนเลิกกัน

"แล้วเป้ก็มาหาภัทรที่คณะ มาถามว่าภัทรต้องการอะไร แล้วภัทรก็บอกว่าภัทรขออยู่ห่างๆกันไปสักพัก มันก็เหมือนภัทรบอกเลิกเขาไปแล้ว"

"..."

"พ่อโกรธภัทรหรือเปล่า ผิดหวังในตัวภัทรไหม" ผมหันไปถามคนที่นั่งนิ่งฟังเรื่องทั้งหมดมาเงียบๆโดยตลอด พ่อหันหน้ามาหาผมที่ตอนนี้เอาแต่ยกมือเช็ดน้ำตาที่ไหลไม่หยุด ยกยิ้มบางก่อนที่จะใช้ปลายนิ้วโป้งมาช่วยเกลี่ยน้ำตาให้ผม

"แล้วภัทรคิดว่ามีเรื่องไหนที่พ่อควรจะโกรธ หรือควรจะผิดหวังในตัวภัทรล่ะ"

"..ก็ภัทรเป็นเกย์ ภัทรชอบผู้ชาย.. ภัทรมีหลานให้พ่อไม่ได้ ภัทรจะทำให้พ่ออาย"

"งั้นมาคุยกันทีละเรื่องแล้วกัน ถ้าเรื่องที่ภัทรชอบเป้ พ่อดูออกมานานแล้ว ที่พ่อไม่พูดเพราะพ่อก็แค่รอให้ภัทรพร้อมและเดินมาบอกพ่อเอง พ่อรู้ และพ่อไม่อาย ภัทรเป็นเด็กดีมาตลอด พ่อภูมิใจในตัวลูกมากที่สุด"

"พ่อ.."

"และพ่อก็ไม่เคยโกรธภัทร ความรักไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นกับเพศไหนมันก็มีทั้งดีและเลวทั้งนั้น ถ้าพ่อจะกังวล พ่อจะไม่กังวลว่าเขาเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่พอจะกังวลว่าเขาจะเป็นคนดี เขาจะทำให้ภัทรของพ่อมีความสุขหรือเปล่าต่างหาก"

"พ่อ~"

"แต่ถ้าพ่อจะโกรธ ก็คงเป็นเรื่องที่ลูกชอบกลุ้มใจอยู่คนเดียว มีอะไรไม่ยอมปรึกษาพ่อ ทั้งๆที่พ่อจะดีใจมากเลยนะถ้าเราเห็นพ่อเป็นที่พึ่งได้บ้าง"

"แต่ภัทรไม่อยากให้พ่อต้องมาคิดมากเรื่องภัทรนี่น่า พ่อยุ่งกับงานมามากพอแล้ว ภัทรไม่อยากให้พ่อต้องไม่สบายใจเพราะภัทร"

"ภัทรต้องเลิกคิดมาก และรู้ตัวสักทีว่าภัทรสำคัญที่สุดสำหรับพ่อ ถ้ายังทำตัวแบบนี้ มีอะไรก็เงียบไม่ยอมปรึกษาอยู่แบบนี้ พ่อว่าพ่อจะลองโกรธเราจริงๆแล้วนะ"

"พ่ออ่ะ~" ผมรีบเข้าไปสวมกอดร่างโปร่งตรงหน้า ได้มาคุยกับพ่อแบบนี้ เหมือนผมได้รับการปลดปล่อยทุกสิ่งทุกอย่างที่พันธนาการตัวผมไว้ ตัวผมเบาหวิว สมองปลอดโปร่งโล่งไปหมด นึกโกรธตัวเองนักว่าทำไมก่อนหน้านี้ไม่ยอมเปิดใจกับพ่อแบบนี้

"แต่พ่อว่าภัทรทำไม่ถูกนะเรื่องเป้" พ่อว่าต่อในตอนที่ลูบหลังผมที่อยู่ในอ้อมกอดไปมา

"ไม่ใช่ว่าพ่ออยากให้เราเลิกหรือคบกัน แต่ความรักมันเป็นเรื่องของคนสองคนนะลูก ภัทรควรจะถามความเห็นของเป้ด้วย ไม่ใช่ไปตัดสินใจแทนเขาแบบนี้"

"..."

"ไม่อยากลองคุยกันตรงๆสักครั้งหรอครับ บางทีมันอาจจะมีทางออกทีดีกว่านี้ก็ได้นะ"

"...พ่อว่าเป้ยังอยากจะคุยกับภัทรอยู่ไหม" ผมผละออกมาสบตากับพ่อก่อนที่จะถามออกไป พ่อยกยิ้มอบอุ่นส่งกลับมาให้ ก่อนที่จะเอื้อมมือมากหยิกแก้มผมเบาๆแล้วส่ายมันไปมา

"ก็ต้องลองดู เป้เขาพยายามมาเยอะแล้ว เราก็ต้องพยายามในส่วนของเราให้เต็มที่ แล้วถ้ามันจะจบจริงๆ ภัทรก็รู้อยู่แล้วใช่ไหมว่ายังมีอกอุ่นๆของพ่อรอภัทรอยู่"

"พ่อ~" ผมไม่รอช้า พุ่งเข้าไปซุกตัวในแผ่นอกกว้างอย่างรวดเร็วอีกครั้ง อกของพ่ออุ่นอย่างที่พ่อพูดจริงๆ อุ่นจนทำให้ผมอยากจะเชื่อในทุกสิ่งที่พ่อบอก อยากจะเชื่อว่ามันจะมีทางออกที่ดีกว่านี้ ทางออกที่พอจะทำให้ผมมีความสุขได้มากกว่านี้ ทางออกที่ผมยังสามารถมีเป้อยู่ในชีวิตผมได้อีกต่อไป

εїз

"เป้..เป้..ปณวัช" ผมรู้สึกตัวอีกครั้งในตอนที่แม่มาเขย่าตัวเรียกชื่อผม เมื่อลืมตาขึ้นก็ต้องรีบหรี่ตาลงอย่างรวดเร็วเมื่อม่านหนาที่เคยกั้นแสงอาทิตย์ถูกเปิดออกจนสุด แสงแดดยามสายของวันที่อากาศร้อนชื้นสาดเข้ามาทั่วห้องนอนของผม อย่างไม่เต็มใจนัก ในที่สุดผมก็บิดขี้เกียจแรงๆหลายครั้งและลุกขึ้นมานั่งบนเตียงในห้องนอนของผม

ผมนั่งมองแม่ที่เดินไปเดินมาในห้อง ก้มเก็บเสื้อผ้าที่ใส่แล้วของผมใส่ตะกร้าพร้อมทั้งบ่นไม่หยุด ผมพึ่งมาถึงเมื่อวานตอนเย็น พอมาถึงก็ล้มตัวนอนลงในทันทีเพราะความเหนื่อยล้าจากการที่ทั้งร้องไห้ทั้งขับรถมานานกว่าสี่ชั่วโมง ไม่ทันได้แม้แต่อาบน้ำหรือเอาข้าวของออกจากกระเป๋าเลยด้วยซ้ำ

เมื่อวานผมทนอยู่ตรงนั้นต่อไปไม่ไหว ตอนที่ไปหาภัทรที่คณะ ถึงผมจะเตรียมใจไว้บ้างแล้วก็เถอะ แต่พอผมเจอเขา อยู่ในสถานการณ์จริง และที่สำคัญได้เห็นเขาที่ยังทั้งหัวเราะทั้งยิ้มได้ทั้งๆที่ผมอยู่ในสภาพนี้ ผมว่ามันน่าจะเป็นทั้งหมด มันคงเป็นตอนจบของเรื่องรักเพ้อฝันที่ผมมีมาตลอดจริงๆ

"น้องเป้"

"คะ..ครับ?"

"ไม่ได้ยินที่แม่ถามหรือไง"ผมสะดุ้งนิดหน่อยเพราะไม่รู้ว่าตั้งแต่ตอนไหนที่แม่ลงมานั่งอยู่ข้างๆผมบนเตียงแบบนี้

"แม่ว่าอะไรนะครับ?"

"แม่ถามว่า เราจะอยู่ที่นี่กี่วัน จู่ๆก็กลับมาแบบนี้ ไม่มีเรียนหรือไง"

"ก็..ก็มีครับ" ผมหลุบตาลงทันที เพราะแม่ทำสายตาดุส่งมาในตอนที่ผมพูดจบ แม่ผมไม่ค่อยดุนัก แต่มีแค่เรื่องเรียนเท่านั้นที่แม่ไม่เคยยอมให้ผมเลย

"แล้วขาดมาได้ยังไง เราไม่ใช่เด็กๆแล้วนะเป้"

"..."

"เรามีเรื่องต้องคุยกัน อาบน้ำเสร็จแล้วลงไปกินข้าว แม่ให้พี่เพลินจัดอาหารเช้าให้เราแล้ว กินเสร็จเมื่อไหร่ก็เข้าไปหาแม่แล้วกัน"

ผมมองตามหลังแม่ของผมจนประตูห้องปิดสนิท พรูลมหายใจออกมาอย่างหมดแรงเพราะรู้ว่าวันนี้มันคงผ่านไปได้ไม่ง่ายเลย แต่เมื่อวานผมคิดมาดีแล้ว ที่จริงผมคิดมาตั้งแต่วันเกิดของผมแล้ว และในที่สุดมันก็คงต้องถึงเวลาที่ผมจะลงมือทำซักที

ผมลุกขึ้นเดินไปอาบน้ำก่อนจะแต่งตัวด้วยชุดอยู่บ้าน ลงไปกินข้าวเช้าที่พี่เพลินแม่บ้านของเราเป็นคนเตรียมไว้

"ของเป้ทั้งหมดเลยหรอครับพี่เพลิน" ผมพูดกลั้วหัวเราะเมื่อเห็นของกินมากมายเรียงรายอยู่บนโต๊ะ แม่ต้องเป็นคนบอกพี่เพลินให้ไปซื้อมาให้แน่ๆ มันมีทั้งข้าวเหนียวหมูปิ้งจากเจ้าประจำที่ผมชอบ โจ๊กชื่อดังของจังหวัด และยังมีน้ำเต้าหู้ทรงเครื่องร้อนๆอีกด้วย

"ก็น้องเป้ไม่ได้กลับมาตั้งนาน ต้องคิดถึงของโปรดที่นี่แน่ๆ" พี่เพลินว่าตอนที่เดินถือปาท่องโก๋กองโตกับน้ำจิ้มไส้สังขยามาวางลงตรงหน้าผม

"เนี่ย พี่เห็นปาท่องโก๋แล้วอดคิดถึงน้องภัทรไม่ได้เลย ถ้าน้องภัทรมาด้วยคงดีใจแย่แล้วที่เห็นปาท่องโก๋เจ้านี้ พี่ไปซื้อมาจากร้านแถวบ้านน้องเลยนะ"

ผมได้แต่ยกยิ้มกลับไป ก่อนที่จะทำเป็นวุ่นวายกับอาหารเช้าเพื่อหลีกเลี่ยงบทสทนากับพี่เพลิน เพราะเมื่อก่อนภัทรมานอนบ้านผมบ่อยๆ พี่เพลินเองก็เลยสนิทกับภัทรมาก เวลาเจอหน้าผมทีไร พี่แกถึงคอยจะถามหาภัทรไปด้วยทุกที

"งั้นผมขึ้นไปหาแม่ก่อนนะพี่ ขอบคุณนะครับ" ผมบอกพี่เพลินตอนที่ผมรวบจานชามที่ใช้แล้วไปวางไว้ในซิ้งค์ พี่เพลินยิ้มรับก่อนที่จะกลับไปสนใจกับงานในมือของตัวเองต่อ

ผมเดินขึ้นบันได เลี้ยวขวาตรงไปยังห้องด้านในสุดที่ใช้เป็นห้องทำงานของแม่ เคาะประตูก่อนที่จะเปิดเข้าไปเมื่อได้ยินเสียงอนุญาตจากด้านใน

แม่ผมละสายตาจากคอมพิวเตอร์ตรงหน้า ถอดแว่นสายตาที่ใช้เฉพาะเวลาทำงานออกก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผม ตบเบาะของเก้าอี้ข้างตัวเป็นสัญญาณให้ผมเดินเข้าไปนั่ง

เพราะหน้าที่การงานมันทำให้แม่ผมเป็นคนที่ดูเข้มงวด จริงจังและบางครั้งก็ออกจะดูน่ากลัว แต่เอาจริงๆแล้ว ผมว่าแม่ผมเป็นคนค่อนข้างใจดี อาจจะขี้บ่นไปหน่อยแต่ตั้งแต่เด็กแม่ก็มักจะตามใจผม ไม่เคยบังคับให้ผมทำอะไรที่ผมไม่ชอบเลย

อย่างตอนที่จะเลือกเรียนต่อก็เหมือนกัน เพราะบ้านผมทำงานสายแพทย์กันทั้งนั้น ในตอนแรกผมจึงกลุ้มใจพอสมควรที่จะต้องคุยกับแม่เรื่องขอเรียนคณะอื่นที่ไม่ใช่สายนั้น แล้วยิ่งเป็นสายดนตรีที่ญาติๆผมชอบพูดว่ามันไม่มีอนาคตแล้วด้วย มันจึงยิ่งดูยากไปหมดจนผมกินไม่ได้นอนไม่หลับ

แต่พอคุยกับแม่จริงๆจังๆ แม่กลับเข้าใจผมได้ง่ายดายอย่างเหลือเชื่อที่สุด แม่เพียงบอกว่า ไม่ว่าจะอยากเรียนหรืออยากทำอะไร ขอแค่ให้จริงจังกับมันเท่านั้น ทำมันให้เต็มที่ แล้วแม่จะคอยสนับสนุนอยู่ข้างหลังเอง

"ทำไมถึงโดดเรียน" ดังนั้นตอนนี้แม่ผมถึงโกรธผมมากแบบนี้น่ะสิ

"ผม..คือเป้.."

"ปณวัช มองหน้าแม่" ผมรีบเงยหน้าขึ้นไปสบตาตามคำสั่ง ถึงจะหวั่นๆแต่วันนี้ผมก็ต้องพูดมันออกไป

"เป้ว่าเป้จะดรอป"

"ว่าอะไรนะ!" แม่ผมหันมาหาผมเต็มตัว เสียงดังขึ้นเพราะความตกใจ แต่ผมไม่ยอมปล่อยโอกาสตอนที่แม่กำลังอึ้งให้เสียเปล่า รีบพูดสิ่งที่คิดออกมาจนหมด

"เป้ว่าจะดรอป คือที่จริงเป้ว่าจะเลิกเรียนคณะนี้ แม่เคยบอกว่าแม่อยากให้เป้เรียนหมอใช่ไหม เป้จะกลับมาอยู่บ้าน เป้จะตั้งใจอ่านหนังสือ เป้มั่นใจว่ากว่าจะถึงปีหน้าเป้คงเตรียมตัวพร้อม"

"..." ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบเมื่อผมพูดจบ แม่นั่งนิ่งมองผมอยู่อย่างนั้น คิ้วขมวดเข้าหากันเหมือนคนกำลังคิดหนัก ผมได้ยินแม้แต่เสียงกลืนน้ำลายของตัวเองเพราะห้องมันเงียบมาก ได้แต่รออยู่อย่างนั้น รอว่าแม่จะว่ายังไงบ้างกับการตัดสินใจของผม

"ที่พูดมา คิดมาดีแล้วใช่ไหม"

"..."

"นึกว่าเล่นขายของหรือไง รู้ไหมว่ามันยากแค่ไหนกว่าแม่จะพูดให้พ่อยอมให้เราเรียนคณะนี้"

"แต่แม่ก็อยากให้เป้เรียนหมออยู่แล้วนี่ ไม่ดีหรอครับ แม่จะได้มีคนสืบทอดกิจการไง"

"ปณวัช ที่แม่อยากให้เราเรียนหมอ มันไม่ใช่ว่าแม่อยากได้คนมาทำร้านต่อ แต่เพราะเห็นว่าเราเป็นเด็กหัวดี เรามีโอกาสและได้เปรียบใครๆหลายคน แม่รู้เพราะแม่อยู่ในวงการนี้มานาน แม่รู้ว่าเป้จะสามารถไปได้ไกล" แม่พยายามอธิบายออกมาอย่างช้าๆและชัดที่สุด แต่เหมือนว่าแม่จะอารมณ์ครุกรุ่นขึ้นเรื่อยๆเมื่อย้อนนึกถึงวันนั้น

"และในตอนนั้น แม่ไม่รู้เลยว่าเป้ก็มีความฝันของเป้อยู่แล้ว เพราะเป้ไม่เคยบอกแม่เลยสักครั้ง เป้ทำเหมือนเป้ไม่เชื่อใจแม่ เป้กลัวว่าแม่จะไม่ยอมรับ"

"แม่.."

"ถ้าแม่รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ลูกต้องการ แม่ไม่เคยคิดจะขัดขวางหรอกนะ แต่ขออย่างเดียว เวลาที่เป้จะตัดสินใจอะไร แม่ขอให้เราคิดหน้าคิดหลังดีๆ อย่าใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล คิดถึงผลได้ผลเสียที่จะตามมา ถ้าคิดมันดีแล้ว แม่ก็ขอให้เป้รู้ว่ายังมีแม่คนนึงนี่แหละที่สนับสนุนเราเสมอ ไม่ว่าเราจะเลือกทางไหนก็ตาม"

"..."

"งั้นแม่ขอถามเราอีกครั้ง ตอนนี้ไม่อยากเรียนคณะนี้แล้วจริงๆหรอ ถ้าคิดทบทวนดีแล้ว แม่ก็จะตามใจเรา"

ในที่สุดผมที่นิ่งคิดตริตรองอยู่นานก็ส่ายหัวปฎิเสธ มันจะเป็นไปได้ยังไง ผมเฝ้าฝันที่จะเรียนคณะนี้มานานหลายปีแล้ว และไม่เคยมีสักครั้งเลยที่ผมจะรู้สึกเสียใจที่เลือกเดินทางนี้ หนำซ้ำผมยังสนุกกับมันเอามากๆเสียด้วย

"แล้วทำไมถึงมาบอกแม่แบบนี้ แม่เลี้ยงเป้มา แม่รู้ว่าลูกไม่ใช่คนที่พูดไม่คิด บอกได้ไหมว่าอะไรทำให้เป้ตัดใจจากสิ่งที่อยากได้มาตลอด"

"เป้เลิกกับภัทรแล้วแม่" และผมก็พูดมันออกไปตรงๆให้แม่ชะงักค้าง ตอนนี้แม่คงมองว่าผมไร้สาระน่าดู แต่ผมก็ไม่คิดจะปิดบังอะไรอีกแล้ว

"ภัทรกับเป้เลิกกันแล้วหรอ?"

"ภัทรเขาขอเป้เลิก เป้รู้ว่ามันฟังดูไร้เหตุผล แต่เป้ทนไม่ได้จริงๆที่จะต้องอยู่ตรงนั้น ถ้าเป้ยังอยู่ต่อไป เป้ต้องไม่มีทางปล่อยภัทรไปอย่างที่สัญญากับเขาแน่ๆ เป้คงทนไม่ได้ที่จะเห็นเขาไปคบกับใคร ยิ้มหัวเราะกับใครที่ไม่ใช่เป้"

"..."

"ที่จริงภัทรเขาอยากเลิกกับเป้มาตั้งนานแล้ว ก่อนที่จะเข้ามหา'ลัยเสียอีก แต่เป็นเพราะเขายังห่วงความรู้สึกเป้ เขาถึงต้องฝืนอยู่ด้วยกันมาตลอดแบบนี้ เพราะงั้นถึงเป้จะยังรักเขาอยู่ ยังอยากจะรั้งเขาไว้ แต่เป้ก็ต้องปล่อยเขาไป เป้ทรมานเขามานานแล้ว"

"..."

"เป้คิดมาดีแล้วจริงๆนะแม่ แม่กับพ่อจะให้เป้ทำอะไรก็ได้ จะให้เรียนอะไรก็ได้ เป้ไม่สนแล้วไอ้ความฝันบ้าบอ เป้ไม่สนแล้วไอ้คำว่าใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ถ้าไม่มีภัทร ถึงได้เรียนคณะนี้ ถึงได้ใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการเป้ก็ไม่มีวันมีความสุข ถ้าเป้กลับมาเรียนหมอให้ อย่างน้อยเป้ก็พอจะทำให้พ่อกับแม่มีความสุขได้บ้าง"

เป็นอีกครั้งที่ความเงียบปกคลุมทั่วพื้นที่ห้องทำงานกว้างแห่งนี้ เป็นอีกครั้งที่แม่เพ่งมองมาที่ผมอย่างพินิจพิจารณา ยิ่งผมเห็นหน้าแม่ผมก็ยิ่งอยากจะร้องไห้ ผมมันโครตห่วย ไม่ว่าจะทำอะไรหรือตัดสินใจอะไรก็มีแต่ทำให้คนที่ตัวเองรักลำบากใจ

ผมรู้ว่าเหตุผลของผมมันฟังไม่ขึ้นเลยสักนิด ถ้าไปบอกใครต่อใครว่าเปลี่ยนคณะเรียนเพราะอกหัก เขาก็คงว่าผมว่าไร้สาระที่สุด แต่ผมคิดมาแล้วจริงๆ ผมไม่อาจจะอยู่ตรงนั้น เล่นดนตรีด้วยความรู้สึกแบบนั้นได้อีกต่อไป เพราะในดนตรีทุกชิ้นที่ผมหัดเล่น ทุกเพลงที่ผมฝึกร้อง มันมีแต่เขาอยู่ในห้วงความคิด เป็นทุกแรงบันดาลใจมาตลอด แค่ผมคิดว่าต่อไปผมจะไม่มีเขา ผมก็ไม่สามารถมองเห็นตัวเองที่มีความสุขกับเส้นทางนี้ได้เลย

ไม่ใช่สิ ไม่ใช่ว่าผมจะมองไม่เห็น

แค่ผมไม่อยากที่จะมีความสุขโดยไม่มีเขาต่างหาก

"ชักจะไปกันใหญ่แล้ว นี่จะเอาให้ได้เลยใช่ไหม" แม่ว่าขึ้นมาอีกครั้ง ยกสองนิ้วนวดหว่างคิ้วอย่างคนที่กำลังปวดหัวอย่างที่สุด

"นี่สรุปว่าจะรักกันให้ได้เลยใช่ไหม"

"แม่?"

"ก็ไหนบอกว่ายังไม่จริงจังไง ตอนนั้นภัทรบอกว่ายังไม่มีอะไรกันเลยนี่"

"แม่พูดอะไรเนี้ย!" ผมแหวขึ้น มองหน้าแม่ตาโตด้วยความรู้สึกงงงวยที่จู่ๆแม่ก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมา

"แม่เป็นคนบอกให้ภัทรเลิกกับเป้เอง"

"แม่!!!!" ผมลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ ตะโกนเรียกแม่เสียงดังจนแม่มองผมตาขวางกับกริยาไร้มารยาทของผม

"เป้นั่งลง"

"ผมไม่นั่ง แม่ทำอย่างงี้ได้ไง แม่บอกมาเลยนะ แม่ทำอะไร!"

"ปณวัช พูดจากับแม่ดีๆ แล้วแม่บอกให้นั่งลงก่อน.." เมื่อเห็นแม่เสียงเข้มขึ้นกว่าเดิม ผมก็ฮึดฮัดนิดหน่อยก่อนจะนั่งลงตามที่แม่บอก เพราะตอนนี้ใจผมร้อนรนไปหมด ผมอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

"ตอนช่วงวันเกิดเราปีที่แล้ว ภัทรเขามาคุยกับแม่เรื่องที่เราอยากเรียนดนตรี เขาบอกว่าเราเศร้ามาก ไม่อยากเรียนหมอ เขาไม่อยากให้แม่กับพ่อเสียใจภายหลังที่เป็นคนทำลายความฝันเรา"

"..."

"พูดเยอะแยะเต็มไปหมด บอกว่าจะยอมทำทุกอย่างเพื่อความสุขของเรา แม่ก็เลยถามว่ายอมขนาดที่จะเลิกกันได้ไหม แล้วเขาก็ยอมตกลง"

"แม่!!!! แม่พูดอย่างนั้นได้ไง แม่ทำอย่างนั้นได้ไงอ่ะ" ผมโวยวายใหญ่โต โมโหจนหัวร้อนไปหมด แต่ในเวลาเดียวกันมันก็แอบมีความอบอุ่นก่อเกิดขึ้นในหัวใจ

นี่มันแปลว่าที่ภัทรมาบอกเลิก มันไม่ใช่เพราะเขาไม่รักกันแล้ว มันไม่ใช่เพราะเขาไม่อยากอยู่ด้วยกันอีกต่อไปแล้วใช่ไหม

"ก็แม่โมโหนี่น่า!" ผมชะงักเมื่อแม่ที่ปกติไม่ชอบใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผลตะคอกออกมา "ภัทรมาพูดเหมือนรู้จักเป้มากกว่าแม่ ทำเหมือนเป้คิดว่าแม่กับพ่อพยายามทำลายความสุขเราซะอย่างนั้น"

"..."

"ทำเหมือนภัทรรักเป้มากที่สุด ทั้งๆที่ไม่มีใครในโลกนี้รักเป้เท่าแม่หรอกนะ" ผมมองแม่ผมที่พูดไปค้อนผมไป ถึงมันจะไม่เข้ากับสถานการณ์ซักเท่าไหร่ แต่ผมก็หัวเราะออกมาจนได้

"โอ๋ๆ ไม่งอนนะ เป้รู้ว่าแม่รักเป้ที่สุด เป้เองก็รักแม่มากที่สุดเหมือนกัน" ผมเขยิบเข้าไปกอดรอบเอว ซบหัวลงบนไหล่อุ่นๆของแม่ พูดจาออดอ้อนให้แม่อารมณ์เย็นขึ้น

"แม่บอกไว้เลยว่าที่แม่ให้เป้เรียนสายนี้ มันไม่ใช่เพราะภัทรมาขอร้องหรือมาสัญญาว่าจะเลิกกับเป้ ตอนนั้นแม่แค่พูดไปเพราะอยากดูว่าภัทรจะทำยังไง แล้วอย่างที่คิด ภัทรไม่ผ่านการทดสอบของแม่จริงๆด้วย"

"แม่อ่ะ แม่ก็รู้จักภัทร ถ้าแม่เป็นคนพูดแล้วเขาจะกล้าขัดได้ยังไงล่ะ"

"..."

"แล้วตกลงเรื่องผมกับภัทร แม่ยอมรับแล้วหรอครับ"

"เฮ้อ..ถ้าให้พูดกันตรงๆ แม่ก้ไม่อยากจะยอมรับหรอกนะ ใครๆเขาก็อยากให้ลูกแต่งงานมีครอบครัว มีหลานให้ชื่นใจกันทั้งนั้น แต่ถ้าเราจะเป็นซะขนาดนี้ จะทั้งรักทั้งหลงขนาดนี้ แม่ก็ไม่อยากจะห้ามอะไรหรอก ว่าแต่เราเถอะ มั่นใจแค่ไหน เจอแค่นี้ภัทรก็ทิ้งเราไปแล้ว"

"ก็แม่แกล้งภัทรอ่ะ แม่ก็รู้ว่าภัทรคิดมากแค่ไหน แล้วแม่ยังไปขู่เขาแบบนั้นอีก"

"แต่เป้ก็รู้ใช่ไหม ว่าสิ่งที่เราสองคนเลือกเดินมันไม่ง่าย ถึงจะผ่านแม่ไปได้แล้ว เป้ก็ยังต้องเจออีกหลายด่าน ทั้งคุณพ่อ คุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยาย แล้วก็สังคมภายนอกที่จะมาพูดนั่นพูดนี่ ถ้าเป้กับภัทรไม่เข้มแข็งพอ มันก็จะมีปัญหาแบบนี้มาอีกเรื่อยๆ"

"..."

"แม่เห็นเราสองคนมาตั้งแต่เด็กๆ แต่ไหนแต่ไรแม่ไม่เคยมั่นใจเลยว่าเราสองคนคบกัน แต่แม่รู้มาตลอดว่าเราชอบเขา เพราะมันมีแต่เป้ที่แสดงออกชัดเจนมาตลอด ตัวภัทรเขาเป็นคนเงียบๆ ไม่เคยแสดงความรู้สึกอะไรออกมาเลย แล้วเป้คิดว่าถ้ามันเป็นอยู่อย่างนั้น เป้จะไหวจริงๆหรอลูก เป้จะสามารถแบกรับน้ำหนักทั้งหมดไว้ที่ตัวเองได้จริงๆหรอ"

"..."

"ถ้าคิดจะคบกันจริงๆ ก็ต้องคุยกันให้เข้าใจ ไม่งั้นสุดท้ายมันก็จะจบลงแบบนี้อีก เข้าใจที่แม่พูดไหม"

"..."

"..."

"นี่ตกลงว่าที่ภัทรอยากเลิกกับเป้ เป็นเพราะแม่แกล้ง ไม่ใช่เพราะเขาไม่รักเป้ใช่ไหม"

"ไอ้ลูกคนนี้ แม่พล่ามมาขนาดนี้ ตีความออกมาได้แค่นี้เนี้ยนะ" แม่เขกกระโหลกผมที่นั่งยิ้มแป้น ก็ผมอดดีใจไม่ได้จริงๆนี่น่าว่าที่ผ่านมาทั้งหมด ทุกสิ่งที่ภัทรทำไปมันเป็นเพราะภัทรรักผม

"ก็เป้ดีใจนี่น่า" ผมสวมกอดแม่แน่นขึ้นกว่าเดิม คลอเคลียอยู่อย่างนั้นให้แม่ยกมือลูบผมของผมไปมา

"แล้วตกลงว่าจะเอายังไง รู้อย่างนี้แล้วยังอยากจะเลิกเรียนอีกไหม" ผมส่ายหน้าปฏิเสธทันที ยกยิ้มกว้างทำตาปริบๆ ออดอ้อนให้คนที่ทำหน้าดุคลายยิ้มออกมา 

"รู้ใช่ไหมว่าทำตัวแบบนี้มันเด็กมาก เรื่องรักก็ส่วนเรื่องรัก เรื่องเรียนก็ส่วนเรื่องเรียน ที่รอบนี้แม่ไม่ว่าอะไรเพราะแม่เองก็มีส่วนผิดเหมือนกัน แต่แม่ขอให้เป้จำไว้นะครับ แม่จะยอมรับฟังและสนับสนุนทุกความคิดเห็นของเป้ แต่เป้เองก็ต้องทำตัวให้สมกับที่แม่ไว้ใจนะครับ เราโตแล้ว ต้องมีสติเยอะๆนะ"

"เป้ขอบคุณแม่มากที่สุดเลยนะครับ เป้ขอโทษที่ไม่เคยเล่าอะไรให้ฟังเลย เป้รักแม่มากที่สุดเลยน้า"

"หึ แล้วแม่กับภัทรรักใครมากกว่ากัน"

"แม่อ่ะ! มันเทียบกันได้ที่ไหนเล่า"

"ชั้นคลอดเธอมานะปณวัช"

"อย่าเล่นมุกนี้ ไม่งั้นเป้ร้องนะ"

"ร้องไปเลย ถ้ารักเขามากกว่าชั้นก็ย้ายข้าวของออกจากบ้านไป"

"แม่อ่ะ! ผมขอเลย แม่อะใจร้าย ห้ามแกล้งภัทรอีกนะ"

"มันก็ธรรมดาไหม แม่ผัวลูกสะใภ้มันก็ต้องมีกระทบกระทั่งกันบ้าง เอ๊ะ หรือเราไปเป็นสะใภ้บ้านนั้น"

"ใช่ที่ไหนเล่า ผมไปดีกว่า แม่เริ่มพูดไม่รู้เรื่องแล้ว" ผมโวกเวกโวยวายเมื่อแม่ถามไม่หยุดว่าใครอยู่ตำแหน่งไหน แล้วคืออะไรที่แม่รู้จักฝ่ายรับฝ่ายรุกด้วยซะงั้น ผมรีบลุกขึ้นหันหลังเดินออกมาจากห้องให้ไกลจากบทสนทนาที่สุด แต่ในตอนที่กำลังจะปิดประตูก็ดันได้ยินเสียงตะโกนแว่วมาตามหลัง

"ใส่ถุงยางด้วยนะปณวัช"

"แม่อ่ะ!!!!"


********

#ณภัทรปณวัช

มาบ่อยจุ๊ง เขียนได้ก็ลงปุ๊บจริงๆ หยุดตัวเองไม่ได้เลย ดราม่ามีแค่นี้อ่ะ 555 เล่นใหญ่ร้องห่มร้องไห้มาห้าหกตอน บทจะดีกันก็ง่ายแค่นี้ล่ะ ก๊ากก ก็บอกแล้วฟีลกู๊ด ฟีลกู๊ด ไม่มีใครเชื่อเลยยย

ปล. เป้กับแม่เป้นิสัยเหมือนกันเด๊ะ งอแงที่หนึ่ง 5555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Maywrite

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
#ณภัทรปณวัช

07 เรื่องของคนที่(ไม่)รักษาสัญญา



เมื่อคืนนี้ผมฝัน

ผมฝันถึงเรื่องจริงที่เคยเกิดขี้นเมื่อหลายปีก่อน

มันเคยเป็นอีกครั้งในชีวิตที่ผมสับสนและมาถึงทางตัน

ในวันนั้น ตอนเย็นหลังเลิกเรียน ที่ป้ายรถเมล์ที่มีแค่เราสองคน

'ภัทรพูดถูก ว่าเรายังเด็ก...'

'...'

'แล้วเราก็คบกันมาแค่สองเดือนนี่เนอะ'

'...'

'แล้วมันก็จะมีเรื่องเข้ามาอีกเยอะ มันจะยุ่งยากและเค้าก็ไม่มีอะไรให้ครอบครัวภัทรมั่นใจได้ซักอย่างด้วย'

'...'

'ถ้าไปคบกับผู้หญิงสักคนมันคงจะง่ายกว่านี้เยอะเลยเนอะ'

ผมจำได้ว่าเมื่อเขาพูดมาถึงประโยคนั้น ตัวผมสั่นเทิ้มมากแค่ไหน เพราะว่าเรื่องนี้มันยาก ความคิดที่ว่าเขาอาจจะเปลี่ยนใจมันเกิดขึ้นมาและทำให้ผมกลัวไปหมด

'แต่เค้าก็ยังเชื่อว่าความรักที่เค้ามีให้ภัทรเป็นของจริง'

และมันก็เป็นเหมือนทุกๆครั้ง ที่เขาเป็นคนๆเดียวที่เข้ามาเปลี่ยนทุกความกลัวให้กลายเป็นความสุข

'แล้วภัทรล่ะ ภัทรคิดเหมือนกันหรือเปล่า'

ผมยังจำแววตาที่แสนมั่นคงของเขาได้ดี แววตาที่ทำให้ผมทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากจะฮึดขึ้นสู้ นอกจากจะยอมเชื่อใจเขา

'ความรักที่ภัทรให้เค้า เป็นของจริงไหม'

ผมเห็นตัวเองที่พยักหน้ารัวไม่หยุด พยักหน้าอย่างหนักแน่น พยักหน้าอย่างอยากให้เขารู้ว่าความรักของผม ความรักที่ผมมีให้เขา มันเป็นของจริงที่สุด ของจริงยิ่งกว่าสิ่งใดๆในโลกใบนี้

'งั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่าปล่อยมือเค้านะ'

'...'

'ถ้าภัทรเชื่อเหมือนที่เค้าเชื่อ ถ้าภัทรไม่ปล่อยมือเค้า เรามาพิสูจน์ไปด้วยกันนะ ให้ทุกคนเห็นว่าเราไม่ได้สับสน ไม่ได้ล้อเล่น และความรักของเรามันไม่ทำลาย แต่ทำให้เราสองคนดีขึ้น'

ผมในตอนนั้นโผเข้าไปในอ้อมกอดของเขา ร้องห่มร้องไห้เหมือนใจจะขาดแล้วจริงๆ คิดเพียงว่าถ้าเป็นคนนี้ ถ้าเป็นคนคนนี้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าผมยังจับมือเขาแน่นพอ ไม่ว่าต้องเจออะไร เราจะฝ่าและผ่านมันไปด้วยกัน

εїз

ผมลืมตาขึ้นมาเพื่อพบว่าตอนนี้น้ำตาของผมมันนองหน้าอีกแล้ว ความฝันที่เหมือนจริงมันทำให้ผมรู้สึกเหนื่อยหอบเหมือนตัวเองกลับไปอยู่ในเหตุการณ์วันนั้นอีกครั้ง

ผมมองนาฬิกาข้างหัวเตียง ตัดสินใจลุกจากที่นอนเมื่อเห็นว่าอีกไม่ถึงชั่วโมงก็จะหกโมงเช้าแล้ว ผมเริ่มวันใหม่โดยการหยิบมือถือขึ้นมาเปิดเพลง วางมันไว้บนลำโพงอย่างเคย เดินไปในห้องน้ำเพื่อเติมน้ำในกระบอกฉีด ก่อนที่จะเดินออกไประเบียงที่มีชั้นผักสวนครัวเล็กๆตั้งอยู่

I wish you bluebirds in the spring

To give your heart a song to sing

And then a kiss, but more than this

I wish you love

ผมค่อยๆฉีดรดน้ำให้ผักของผมทีละต้นในตอนที่เพลง 'I wish you love' ดังขึ้น ผมไม่รู้ว่ามีใครเป็นเหมือนผมไหม แต่ผมเป็นคนประเภทที่ชอบฟังเพลงไปทีละเพลง ถ้าผมชอบเพลงไหนแล้วล่ะก็ ช่วงนั้นก็จะฟังมันซ้ำๆ ท่องทุกประโยคในเพลงนั้นจนขึ้นใจโดยไม่ยอมฟังเพลงอื่น และมันก็เป็นเพลงนี้ในช่วงนี้ที่ผมฟังมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฟังมันแทบจะทุกครั้งที่เขาเข้ามาในความคิดของผม

And in July a lemonade

To cool you in some leafy glade

I wish you health, and more than wealth,

I wish you love

ผมเคยคิดว่าความรู้สึกของผมที่มีให้เขามันคือเพลงนี้ในเวอร์ชั่นของ Frank Sinatra ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นโปรดของพ่อและเป็นเวอร์ชั่นแรกที่ผมเคยได้ยิน เนื้อเพลงมันกล่าวถึงความรักของคนคนหนึ่งที่เพียงหวังให้ใครอีกคนที่เขารักมีความสุข เป็นเวอร์ชั่นที่ฟังแล้วให้ความรู้สึกว่า'ถ้าเธอมีความสุขแล้ว ฉันเองก็มีความสุขด้วย'

แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผมก็รู้ว่ามันไม่ใช่ มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ความรู้สึกของผมมันเป็น I wish you love ในเวอร์ชั่นของ Rachael Yamagata เป็นเวอร์ชั่นที่เมื่อฟังแล้วทำให้คิดว่า'เพราะฉันรักเธอ ฉันถึงปล่อยเธอไป แม้ฉันจะไม่อยากทำมันเลย' ต่างหาก มันเป็นความรู้สึกสุขปนเศร้า มันไม่อาจจะยินดีได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่มันก็ไม่ได้ทุกข์จนทำให้ไม่อาจยกยิ้มเวลาเห็นเขามีความสุขได้

My breaking heart and I agree

That you and I could never be

So, with my best, my very best

I set you free

มันเป็นเพราะท่อนนี้ของเพลงนี้ที่ทำให้ผมตัดสินใจทำอย่างนั้น ผมเคยเห็นด้วยกับ Albert Beach ผู้ประพันธ์เพลงนี้อย่างสุดใจ ถึงแม้ว่ามันจะทำให้ใจผมแตกสลาย ทำให้ท้ายที่สุดแล้วเราไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่ถ้ามันจะทำให้เขามีความสุขแล้ว ไม่ว่ายังไงผมก็จะทำมัน ไม่ว่ายังไงผมก็จะยอมปล่อยเขาไปอยู่ดี

แต่ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน ทั้งๆที่คิดว่าทำดีที่สุดแล้ว ผมกลับไม่ได้รู้สึกว่าทั้งตัวเขาและผมมีความสุขขึ้นมาเลยซักนิด กลับกันผมกลับได้แต่มานั่งคิด ว่าจริงๆแล้วนี่มันเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้วจริงๆหรอ และคำถามนั้นก็ถูกตอกย้ำขึ้นอีกครั้งเมื่อผมได้คุยเปิดใจกับพ่อ พ่อพูดถูกทุกคำ เพราะว่ามันเป็นความรักของเรา ดังนั้นมันจึงไม่ควรได้รับการตัดสินจากผมเพียงฝ่ายเดียว 

"เฮ้อ.."

ผมพรูลมหายใจออกยาวเหยียดเมื่อเพลงดำเนินมาถึงท่อนสุดท้ายก่อนที่มันจะเริ่มต้นบรรเลงใหม่อีกครั้ง ตั้งแต่วันนั้นที่คุยกับพ่อผมก็ฝันแต่เรื่องเดิมๆซ้ำๆ ฝันถึงเรื่องของวันนั้นแทบจะทุกคืน

วันนั้น ในวัยสิบสี่ มันเป็นครั้งแรกที่ผมสงสัยว่าพ่อรู้เรื่องของเราเข้าแล้ว วันนั้นผมทั้งกลัว ทั้งสับสน รู้สึกไม่มั่นใจจนอยากจะหนีไปจากสิ่งตรงหน้าให้รู้แล้วรู้รอดกันไปเลย

และวันนั้นมันก็เป็นเขา เป็นเขาที่ยอมทุกอย่าง เป็นเขาที่บอกว่าจะปกป้องเพียงขอให้ผมไม่ถอดใจ เพียงขอแค่ผมไม่ทิ้งกันไปเท่านั้น

แต่มันก็เป็นผมนี่แหละ ที่ผิดสัญญาครั้งแล้วครั้งเล่า ผมนี่แหละที่ทำลายทั้งหมดของความเชื่อใจที่เขาเคยมีให้จนไม่เหลือชิ้นดี

"เค้าจะทำยังไงต่อไปดี บอกเค้าทีสิเป้"

ผมเหนื่อยไปหมด เหนื่อยทั้งกายและใจ ผมพยายามคิดเท่าไหร่ก็ยังไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไป ทั้งๆที่บอกกับพ่อว่าจะลองกลับไปคุยกับเขา แต่ผมก็ยังไม่รู้เลยว่าจะเริ่มต้นมันได้ยังไง จะให้ผมบอกว่าแม่เป้บังคับให้เลิกกัน จะบอกว่าที่ทำเป็นไม่รักมาตลอดที่จริงมันไม่ได้ออกมาจากใจผมเลยซักนิด เขาจะเชื่อที่ผมพูดไหม ยิ่งถ้าผมพูดไป มันจะทำให้เรื่องเลวร้ายกว่าเดิมไปอีกหรือเปล่า

ผมตัดสินใจออกจากความวุ่นวายในหัวเมื่อดูแล้วว่าไม่ว่าจะคิดยังไงก็หาบทสรุปไม่ได้อยู่ดี ผมเดินกลับเข้าห้องอีกครั้งหลังจากที่ฉีดน้ำให้ต้นพลูด่างและต้นเดฟที่ห้อยอยู่ตรงรั้วระเบียงเสร็จ ก่อนจะเดินไปรดน้ำให้ต้นลิ้นมังกรที่ผมเอามาจากบ้าน

ผมมองดูนาฬิกาอีกครั้งเมื่อเห็นว่าใกล้เวลาเรียนแล้วผมจึงตัดสินใจอาบน้ำเพื่อจะได้ออกไปกินข้าวเช้ากับร่มโพธิ์ที่โทรมานัดผมไว้ตั้งแต่เมื่อคืน ปล่อยให้เพลงที่ผมฟังซ้ำๆเล่นซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในห้องเล็กๆของผมอยู่อย่างนั้น

εїз

"ภัทร" ผมเงยหน้าขึ้นมาจากจานข้าวไข่เจียวที่ผมใช้ช้อนจิ้มเล่นไปมาซ้ำๆเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อ เลิกคิ้วเป็นเชิงถามเมื่อสบตาเข้ากับเพื่อนสนิทที่มองมาด้วยสายตากึ่งสงสัยกึ่งงอนอยู่ก่อนแล้ว

"เหม่ออะไรเนี้ย เราพูดไปตั้งเยอะแยะ ได้ฟังเราบ้างหรือเปล่า"

"โทษทีนะ แกว่าอะไรนะเมื่อกี้"ผมยิ้มเจื่อนให้ร่มโพธิ์ที่ทำหน้างุ้มไปแล้ว เมื่อเขย่าตัวอีกฝ่ายเบาๆทำตาปริบๆใส่ในที่สุดเจ้าตัวก็ใจอ่อน ร่มพรูลมหายใจออกยาวๆก่อนจะยอมพูดเข้าเรื่องอีกครั้ง

"เราถามว่าแกเห็นนี่ยัง" ว่าพร้อมเลื่อนกระดาษขนาดเอห้ามาไว้ตรงหน้าผม มันเป็นใบปลิวโฆษณาอะไรซักอย่าง ผมก้มลงอ่านรายละเอียดอย่างตั้งอกตั้งใจ

"งานเทศกาลดนตรี?"

"อือ ของดุริยางค์ เราถามว่าภัทรพอจะหาบัตรได้ไหม"

"หืม..เราน่ะหรอ"

"อือ ก็ภัทรน่ะสิ เป้เพื่อนภัทรอยู่คณะนี้ไม่ใช่หรอ ขอบัตรมาให้หน่อยสิ"

"...เอ่อ..คือ..."

"เห้ย เราไม่ได้จะขอฟรีนะ แต่บัตรมันหมดเร็ว ให้เขาหาให้เราสองใบก่อนได้ไหม แล้วเราจะจ่ายแน่นอน"

ผมลังเลในตอนแรก แต่พอมาคิดๆดูแล้วนี่อาจจะเป็นเหตุผลหรือข้ออ้างที่จะทำให้ผมได้กลับไปคุยกับเป้อีกครั้ง บางทีถ้าเขายังยอมคุยกับผม ผมอาจจะมีโอกาสได้เกริ่นเรื่องของเราขึ้นมาอีกก็เป็นได้

"อะ..อืม สองใบนะ"

"อือสองใบ เรากับแกไง แกต้องไปเป็นเพื่อนเรานะ"

"โอเค ไม่มีปัญหา เดี๋ยวเราถามให้นะ"

"โทรถามตอนนี้เลยไม่ได้หรอ เดี๋ยวบัตรหมดนะ"

"เป้มีเรียนน่ะตอนนี้"

"อ้าวหรอ งั้นส่งข้อความไปไหมล่ะ"

"...เดี๋ยวเราไปหาเขาตอนบ่ายพอดี เดี๋ยวถามให้นะ"

"เย้~ ภัทรน่ารักที่สุดเลย"

"เอาแค่สองใบหรอ แล้วนิวล่ะ"

"เนี้ย~ มีห่วงคู่จิ้นด้วย" ผมกลอกตามองบนเมื่อร่มโพธิ์ชี้หน้าผม ยกยิ้มกรุ่มกริ่มด้วยสายตามีเลศนัย

"ร่ม เราบอกแล้วไงว่าอย่าล้อแบบนี้ คนยิ่งเข้าใจผิดกันเยอะอยู่"

"ก็มันน่าล้อนี่น่า แล้วถึงภัทรจะว่าอย่างนั้น แต่เราว่านิวมันดูมีความสุขกับสถานะมากเลยนะ"

"..."

"แน่ะ! เงียบแบบนี้หรือว่าจะมีอะไรในกอไผ่จริงๆ" ร่มรีบซักไซ้เมื่อผมเถียงไม่ออก ก็ผมไม่รู้จะพูดอะไรจริงๆนี่น่า เพราะบางทีผมเองก็อดที่จะคิดไม่ได้ว่านิวคิดกับผมเกินกว่าเพื่อนหรือเปล่า แต่ก็เพราะเราเป็นเพื่อนสนิทกัน ถ้าเขายังไม่ได้แสดงมันออกมาชัดเจนจะให้ผมตีตัวออกห่างก็คงไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องซักเท่าไหร่

"เงียบเลยนะ จะเอาไหมบัตร"

"โห ขู่แบบนี้เลยหรอ ไม่ล้อแล้วก็ได้ อะโธ่เอ๊ย"

εїз

ผมนั่งรถรางมาลงที่หน้าคณะของเขาหลังจากกินข้าวกลางวันเสร็จ ดูจากตารางเรียนที่เคยไปขอจากพี่หมีไว้ วันนี้เขามีเรียนอีกทีตอนบ่ายสอง ในตอนที่รถรางเคลื่อนตัวออกไปผมมองซ้ายขวาตั้งใจจะข้ามถนนเพื่อไปนั่งรอเขาที่ใต้ตึกคณะ แต่ตอนที่ผมมองตรงไปข้างหน้า เท้าที่ก้าวออกไปแล้วของผมต้องหยุดชะงักลงแทบจะทันที ผมดึงตัวเองกลับมาที่ฟุตบาทอีกครั้ง อย่างรวดเร็วตอนนี้ผมเดินมาหลบที่หลังป้ายรถรางเรียบร้อยแล้ว

ปัง!

เสียงปิดประตูรถดังขึ้นเมื่อคนสองคนเดินลงมาจากรถเรียบร้อย ทั้งเขาและเธอโน้มตัวลงไปยกมือไหว้ลาคนในรถก่อนที่จะเดินคุยกันอย่างสนุกสนานเข้าไปในคณะ แน่นอนว่า'เขา'ที่ว่าคือคนที่ผมตั้งใจจะมาหา มันไม่น่าแปลกหรอกที่มาเห็นเขาตรงนี้เพราะนี่มันหน้าคณะของเขา แต่สิ่งที่ทำให้ผมแปลกใจคือ'เธอ'ที่ผมกำลังเห็นต่างหาก

ถ้าจำไม่ผิดผมคิดว่าเธอชื่อสา เธอเป็นเพื่อนร่วมคณะกับผม ผมไม่รู้มาก่อนเลยว่าเป้รู้จักกับเธอด้วย แล้วดูจากการพูดคุยและการถูกเนื้อต้องตัวกันอย่างเป็นธรรมชาติ ผมว่าเขาทั้งสองคนคงจะสนิทกันระดับหนึ่งเลยทีเดียว

ผมออกมาจากที่ซ่อนเมื่อเขาทั้งสองเดินไปได้ไกลพอสมควร ความมั่นใจทั้งหมดที่เคยมีกลับมาเป็นศูนย์อีกครั้ง ทั้งๆที่ตั้งใจมาเต็มร้อย แต่พอได้มาเห็นเขายิ้มเขาหัวเราะกับใครคนอื่นแบบนี้ ความกลัวที่ซ่อนอยู่ลึกๆก็ก่อตัวขึ้นมาอีกครั้ง

Rrrrrrrr

ผมสะดุ้งเมื่อโทรศัพท์มือถือในมือดังขึ้น เมื่อหงายมันออกดูก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าเป็นใครที่โทรเข้ามา โดยสัญชาตญาณผมเงยหน้าขึ้นอีกครั้งหันไปที่เดิมที่รถคันนั้นยังอยู่ กระจกรถที่เคยปิดสนิทถูกเปิดออกจนสุด คนขับรถที่ผมไม่ทันได้สังเกตกำลังมองมาที่ผม ในมือมีโทรศัพท์แนบอยู่ที่หู เมื่อเจ้าตัวเห็นผมมองสบตาก็ยกโทรศัพท์ขึ้น มืออีกข้างชี้ไปที่โทรศัพท์เป็นสัญญาณบอกให้ผมรับสาย อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผมกดรับมันในที่สุด

"ครับ..เอ่อ..สวัสดีครับคุณแม่"

εїз

"ขอคาปูชิโน่ร้อนแก้วนึงค่ะ ภัทรล่ะครับลูก"

"เอ่อ...ผมขอโกโก้ร้อนแล้วกันครับ"

"แล้วก็มัฟฟิ่นบูลเบอรี่สองที่นะคะ" แม่ของเป้ว่าปิดท้ายพร้อมยื่นเมนูคืนให้กับพนักงาน ผมหลุบตาลงในทันทีที่เธอหันเหความสนใจทั้งหมดมาที่ผม

ผมรู้สึกได้ชัดเจนถึงเหงื่อที่ซึมออกมาตามมือที่กำแน่นของผม มันรู้สึกเกร็งไปหมด มันเป็นความรู้สึกเดียวกับวันนั้น วันที่ผมตัดสินใจเดินเข้าไปคุยกับเธอ และก็เป็นวันเดียวกับที่เธอบอกให้ผมเลิกกับเป้

มันเหมือนผมโดนจับได้คาหนังคาเขาอีกแล้ว ผมรู้สึกว่ามันเหมือนผมโดนจับตามองอยู่ตลอดเวลา มันน่าแปลกแต่เหมือนว่าเธอจะล่วงรู้ในทุกครั้งที่ผมพยายามเข้าใกล้เป้แบบนี้

"ภัทรเป็นยังไงบ้างครับ เรียนหนักไหม ปรับตัวได้หรือยังลูก"

"ก็..หนักอยู่เหมือนกันครับ แต่ผมก็พอจะปรับตัวได้บ้างแล้ว" ผมตอบรับ พยายามทำเสียงให้ดูเป็นธรรมชาติที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

"แล้วคุณแม่กับคุณพ่อสบายดีนะครับ"

"ก็เหมือนเดิมแหละจ๊ะ งานยุ่งเหมือนเดิม" เธอตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอบอุ่นเหมือนเคย ผมเคยรู้สึกชอบมันมากที่สุด ผมชอบมันมากจนหลงเข้าข้างตัวเองไปว่าที่เธอใช้น้ำเสียงแบบนี้กับผมเพราะเธอเองก็คิดว่าผมเป็นลูกคนนึงเหมือนกัน

"ไม่ได้คุยกับภัทรนานแล้วนะ ถ้าจำไม่ผิด ภัทรมาบ้านแม่ครั้งสุดท้ายก็คือวันที่เรานั่งคุยกันแบบนี้นี่นะ"

"เอ่อ..ครับ" ผมไม่รู้ว่าจะตอบอะไร ผมไม่แน่ใจว่าที่เธอโทรศัพท์หาผมและเรียกให้ออกมานั่งกินกาแฟด้วยกันแบบนี้เพราะเธอต้องการอะไร มันอาจจะเป็นเพราะเธอยังเห็นผมมาหาเป้ที่คณะ เธออาจจะคิดว่าผมยังไม่ยอมปล่อยเป้ไปจริงๆหรือเปล่า

"เป้บอกแม่ว่าเลิกกับภัทรแล้ว" ผมเงยหน้าขึ้นหาเธอโดยอัตโนมัติเมื่อได้ยินดังนั้น ตาโตด้วยความตกใจเมื่อเห็นเธอยังมองมาด้วยสายตาแบบเดิม สายตาที่เต็มไปด้วยความเอ็นดู มันเป็นสายตาที่ทำให้ผมสับสนเสมอมา ผมไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าแม่ของเขารู้สึกยังไงกับผมกันแน่ ทั้งๆที่ผมคิดว่าเขาคงไม่ชอบผมเอามากๆ แต่ทำไมในทุกครั้งที่คุยกันผมถึงรู้สึกว่าเขาเองก็เอ็นดูผมอยู่ไม่น้อย

"เอ่อ..ครับ" ผมรับคำสั้นๆพร้อมหลุบตาลงอีกครั้ง ผมไม่รู้จริงๆว่าควรจะตอบอะไรไปมากกว่านี้

"แม่บอกเป้แล้วนะ ว่าแม่เป็นคนบอกให้ภัทรเลิกกับเป้เอง" และผมก็มองสบตากับเธออีกครั้งด้วยตาที่กลมโตขึ้นกว่าเดิม คิ้วผมขมวดเข้าหากันแน่น เพราะตอนนี้ผมจับต้นชนปลายไม่ถูกเลยสักนิด

"ทำไมคุณแม่...เอ่อ..ถึง..."

"เป้เขาบอกว่าจะดรอป" เธอตอบกลับมาในทันทีให้ผมใจหายใจคว่ำกว่าเดิม แต่ยังไม่ทันได้ถามอะไรก็ต้องเงียบลงเพราะเครื่องดื่มและมัฟฟิ่นของเราถูกนำมาเสิร์ฟ เราเงียบอยู่อย่างนั้น จนเมื่อพนักงานหันหลังกลับไปแล้วคุณแม่ของเขาจึงว่าต่อ

"เป้บอกแม่ว่า ถ้าไม่มีภัทร ถึงได้ทำอะไรที่อยากทำ ได้เดินในทางที่อยากเดิน มันก็ไม่มีทางทำให้เจ้าตัวมีความสุขได้"

"..."

"ที่จริง เป้เขาบอกว่า ถ้าไม่มีเรา เขาไม่อยากจะมีความสุขอีกแล้วต่างหาก"

"..."

"แล้วยังบอกว่าจะยอมเรียนหมอตามที่แม่กับพ่ออยากให้เรียน เพราะอย่างน้อยจะได้มีคนมีความสุขสมหวังบ้าง พูดมาซะขนาดนี้ ถ้าแม่ยังใจร้ายไม่ยอมบอกความจริงไปล่ะก็ มันก็คงแปลว่าแม่ไม่ได้ใส่ใจความรู้สึกของเป้จริงๆใช่ไหมล่ะ"

เมื่อได้ยินว่าเป้พูดอะไรกับแม่ของเขาผมก็หน้าชาตัวชาไปหมด ผมรู้ว่ามันน่าอายและมันอาจจะทำให้คนตรงหน้าผมลำบากใจ แต่ตอนนี้ผมควบคุมตัวเองไม่ได้เลยสักนิด ที่ทำได้คือพยายามใช้หลังมือทั้งสองข้างปัดป่ายเช็ดน้ำตาที่มันร่วงหล่นไม่หยุด ได้แต่กร่นด่าในใจซ้ำๆกับความโง่เขลาเบาปัญญาของตัวผมเอง

ทั้งๆที่ตอนนั้นผมเข้าไปคุยกับแม่ของเป้เพราะอยากให้ครอบครัวเขาไม่บังคับ ไม่ตัดสินใจแทนและฟังความคิดเห็นของเขาบ้าง แต่มันกลับเป็นผมเองต่างหากที่คิดแทนเขาไปเสียหมด คิดไปเองว่ามันจะดีที่สุดสำหรับเขา ยอมตกลงที่จะปล่อยมือกันทั้งๆที่ไม่เคยถามเขาเลยสักคำ

"แม่ขอโทษนะครับน้องภัทร" แม่ของเป้ว่าต่อ เธอเอื้อมไปหยิบกระดาษทิชชู่ที่ตั้งอยู่กลางโต๊ะยื่นให้ผมรับมันด้วยมือที่สั่นเทาก่อนจะเอ่ยขอบคุณออกไปอย่างยากเย็นเพราะผมสะอื้นไม่หยุด

"ตอนนั้นแม่เองก็ใช้อารมณ์มากไปหน่อย แม่ยอมรับเลยว่าตอนนั้นแม่ทั้งช๊อคทั้งเสียหน้าที่มันเป็นภัทรที่เป็นคนเดินมาบอกแม่ ทั้งๆที่มันควรจะเป็นเป้"

"..."

"แม่แค่รู้สึกว่าแม่ทำอะไรผิดไป ทำไมเป้ไม่มาปรึกษาแม่ก่อน ไม่กล้ามาพูดตรงๆกับแม่ ทำไมถึงเป็นภัทรที่เป้ยอมเล่าทุกอย่างให้ฟัง แม่น้อยใจว่าทำไมแม่ถึงไม่ใช่คนที่เป้ไว้ใจที่สุด"

"ไม่ใช่ว่าเป้ไม่ไว้ใจคุณแม่นะครับ" ผมรีบส่ายหน้าปฏิเสธพร้อมโพล่งออกไปเมื่อเธอว่าอย่างนั้น

"แต่มันเป็นเพราะเป้รักคุณแม่กับคุณพ่อมากๆเลยต่างหาก เขาเลยไม่อยากทำให้ทั้งคุณแม่และคุณพ่อลำบากใจน่ะครับ"

"..."

"เป้เขาก็รู้ว่าถ้าเขาคิดจะเอาแต่ใจตัวเอง ยังไงท้ายที่สุดแล้วคุณพ่อกับคุณแม่ก็ไม่มีทางปฏิเสธ แต่มันเป็นเพราะเขาเองก็รักทั้งคุณพ่อคุณแม่มากเหมือนกัน เขาถึงอยากจะทำให้ครอบครัวมีความสุขแล้วก็ภูมิใจในตัวเขาก็เท่านั้นเองครับ"

ผมพยายามอธิบายอย่างสุดความสามารถ ไม่อยากจะให้แม่ของเขาเข้าใจเจตนาของเป้ผิด นึกโทษตัวเองที่วันนั้นเข้าไปยุ่งไม่เข้าเรื่อง พอมาได้ฟังแม่ของเป้เล่าแบบนี้ผมถึงได้เข้าใจความรู้สึกของเธอ มาคิดดูแล้วผมก็ทำไม่ถูกจริงๆนั่นแหละ ถึงผมจะสนิทกับเป้มากแค่ไหน แต่ยังไงผมก็เป็นแค่คนนอก ผมควรจะปล่อยให้เป้คุยกับครอบครัวของเขาเองมากกว่า ผมไม่ควรจะเข้าไปก้าวก่ายแบบนั้น

"ผมขอโทษนะครับที่ผมเข้าไปยุ่ง ผมไม่ได้ตั้งใจจะให้คุณแม่รู้สึกไม่ดีเลยนะครับ" ผมเอ่ยออกไปพร้อมยกมือไหว้ขอโทษ ในทันทีเธอใช้สองมือเอื้อมมาประกบสองมือของผมที่พนมกันไว้แน่น

"ไม่เลยจ๊ะไม่เลย แม่ต่างหากที่ต้องขอโทษที่แม่ไปขอให้เราเลิกกับเป้แบบนั้น แล้วยิ่งเอาเรื่องเรียนมาขู่จนทำให้เราไม่กล้าปฏิเสธแม่"

"ไม่เลยครับ ผมเข้าใจคุณแม่นะครับ ใครๆก็ต้องไม่อยากให้ลูก..เอ่อ..คบกับผู้ชายด้วยกันทั้งนั้น ผมรู้ครับว่ามัน..อาจจะน่าอาย"

"ภัทรครับ แม่ขอถามอะไรตรงๆได้ไหม" เมื่อผมพูดจบ เธอขมวดคิ้วแน่นเหมือนไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมเพิ่งพูดไป ก่อนที่ในที่สุดจะถอนหายใจออกมาพรูใหญ่ และท้ายที่สุดก็ยกยิ้มเอ็นดูมาให้ผมก่อนจะเอ่ยออกมาอีกครั้ง

"ภัทรยังรักเป้อยู่ไหมลูก"

ผมนิ่งไปนิดเมื่อได้คำถามเถรตรงแบบนั้น ก่อนที่ในที่สุดจะทำใจกล้าเลือกตอบความจริงที่อยู่ข้างในออกไป

"รักครับ ไม่เคยไม่รักเลยครับ"

"แล้วอยากจะกลับไปคบกับเป้หรือเปล่า"

"อยากสิครับ" และผมก็ตอบมันออกไปอย่างไม่ลังเล

"แล้วภัทรคิดว่ามันน่าอายไหม ที่ภัทรมาคบกับผู้ชายด้วยกันแบบนี้"

"..."

"แล้วสิ่งที่ภัทรกับเป้ทำ ภัทรคิดว่ามันผิดหรือเปล่า"

"..." ผมกัดปากล่างจนรู้สึกเจ็บไปหมด จริงๆแล้วผมอยากจะตอบออกไปทันทีเลยว่าผมกับเป้ไม่ได้ทำอะไรผิด เราสองคนไม่ได้ทำเรื่องน่าอาย แต่ผมก็ตอบออกไปแบบนั้นไม่ได้

เพราะลึกๆแล้วผมเองก็รู้ตัวเองดี ทั้งๆที่ผมรักเป้มากมายขนาดนี้ แต่มันก็เป็นผมอีกนั่นแหละที่ยังไม่อยากจะประกาศออกไปให้ใครรู้ เพราะผมกลัวมาตลอดว่าใครหลายคนจะรับไม่ได้ เพราะผมไม่อยากได้คำวิจารณ์ด้านลบจากใครทั้งนั้น

ผมไม่แน่เหมือนกันว่า ผมที่มีความคิดแบบนี้ เป็นผมที่คิดว่าเรื่องของเราน่าอาย เป็นผมที่คิดว่าเรื่องของเรามันผิดหรือเปล่า

"สำหรับแม่แล้ว แม่เห็นว่าการที่ผู้ชายสองคนมาคบกัน มันก็ไม่ใช่เรื่องปกติที่คนในสังคมส่วนใหญ่เขาทำ ถ้ามองกันตามกายภาพแน่นอนว่าผู้ชายต้องจับคู่กับผู้หญิงเพื่อที่จะสามารถสืบเผ่าพันธุ์ต่อไปได้ แน่นอนว่าในสังคมเอง ทุกครอบครัวก็อยากจะให้มันเป็นแบบนั้น พ่อกับแม่เองก็ไม่ได้ต่างจากคนอื่นนักหรอก"

"..."

"แต่ถ้าภัทรถามแม่ว่า แล้วสิ่งที่เป้กับภัทรเลือกมันผิดไหม แม่ว่าถึงในสายตาแม่มันจะไม่ปกตินักแต่มันก็ไม่ผิด ความรักมันเป็นเรื่องของความรู้สึกที่เกิดขึ้นระหว่างคนสองคน มันไม่มีกฎข้อไหนเลยที่บอกว่ามันจะต้องเกิดขึ้นเฉพาะกับเพศตรงข้ามเท่านั้นนี่น่า และยิ่งถ้าความรักนั้นมันจะนำพามาซึ่งความสุขทั้งหมดของคนที่แม่รัก แม่ก็จะยิ่งคิดว่ามันคือสิ่งที่ถูกต้องที่สุดเลยซะอีก"

"..."

"และถ้าจะถามแม่ว่ามันน่าอายไหมล่ะก็ มันขึ้นอยู่กับเราสองคนต่างหากว่าเราสองคนทำตัวยังไง ถ้าเราสองคนรักกันแล้วพากันเกเร ไม่ยอมเรียน ทำแต่เรื่องไร้สาระไปวันๆนั่นแหละมันถึงน่าอาย แต่ถ้าเรารักกันแล้วส่งเสริมกันไปในทางที่ดี แทนที่แม่จะคิดว่ามันจะน่าอาย แม่กลับจะภูมิใจในตัวเราทั้งสองมากกว่า"

"คุณแม่..." ผมเผลอครางเรียกคนตรงหน้าออกไปเมื่อเธอพูดจบ คำพูดมากมายที่พรั่งพรูออกจากปากเธอทำให้อะไรต่ออะไรที่หนักอึ้งอยู่ในหัวของผมปลิวหายวับไป

ผมเคยภาวนามาตลอด นอกจากพ่อของผมแล้ว ผมเคยอ้อนวอนขอมาตลอดให้ครอบครัวของเป้เข้าใจความรักของเรา ทั้งที่ปลงใจแล้วว่ามันคงไม่มีวันนั้น แต่จู่ๆผมก็ได้รับมันมาอย่างไม่ทันตั้งตัว

"แต่ภัทรก็ต้องยอมรับนะครับ ว่าคนที่คิดต่างกับแม่มีเยอะกว่าคนที่เข้าใจ ถ้าภัทรยังอยากคบกับเป้ ภัทรก็ต้องรู้ว่ามันยาก เราต้องยืนหยัดและก้าวผ่านมันไปให้ได้"

"..."

"แม่รู้ว่ามันไม่ง่ายเลย แต่ถ้าภัทรสัญญาว่าภัทรจะเข้มแข็งให้มากๆ ถ้าภัทรพร้อมจะสู้กับทุกสิ่งทุกอย่าง แม่เองก็สัญญาเหมือนกันนะครับว่าจะอยู่ข้างเราสองคนไปตลอดเหมือนกัน"

"เอ่อ..นี่หมายความว่า คุณแม่อนุญาตให้ผมกับเป้กลับมาคบกันอีกครั้งหรอครับ"

"ก็ถ้าภัทรอยากกลับไปก็ใช่ครับ"

"แน่นอนอยู่แล้วครับ!" ผมเผลอแทรกกลับไปเสียงดังทันทีทันใดจนแม่ของเป้หัวเราะออกมา

"อ๋อ แล้วก็ถ้าเจ้าเป้หายงอนแล้วน่ะนะ"

"เป้..เป้เขาคงโกรธผมมากเลยใช่ไหมครับ" ผมถามออกไปเสียงแผ่ว แน่นอนอยู่แล้วว่าเขาต้องไม่พอใจในตัวผม เพราะไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นหรือสิ่งที่ผมทำไปมันด้วยเหตุผลสวยหรูอะไร แต่สุดท้ายสิ่งที่เป็นความจริงที่สุดก็คือการที่ผมไม่ยอมเปิดใจคุยกับเขาตรงๆอยู่ดี

"เป้บอกว่าภัทรผิดสัญญา" แม่ของเขาว่าขึ้นอีกครั้งให้ผมสะอึก

"ภัทรเคยสัญญากับเป้ใช่ไหม ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็จะไม่ยอมปล่อยมือจากเขา" ผมพยักหน้าลงช้าๆอย่างคนที่ยอมรับผิดโดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ

"แต่แม่ก็บอกเขาไปแล้วว่าที่ภัทรทำไปก็เพราะว่าภัทรต้องรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับแม่" เธอว่าต่อพร้อมกับรอยยิ้มเอ็นดูเหมือนเคย

"ที่จริงเป้เขาก็เข้าใจเราทุกอย่างนะครับ แต่เขาก็อดจะน้อยใจไม่ได้ที่ภัทรไม่ยอมคุยกับเขาตรงๆ"

"..."

"พยายามนิดนึงนะครับ เจ้าหมาน้อยของแม่ง้อไม่ยากหรอกนะ ยิ่งถ้าเป็นภัทรแล้ว แม่เชื่อว่าทำใจแข็งได้ไม่นานหรอก" เธอว่ากลั้วหัวเราะพร้อมกับเอื้อมมือมาลูบแก้มผมไปมา ผมได้แต่ยิ้มรับกลับไปโดยไม่ได้ตอบอะไร แต่ในใจของผมตอนนี้มันมีคำตอบชัดเจนอยู่แล้ว

ไม่ว่ายังไง ผมก็จะเอาเขากลับมาให้ได้

แม้ว่ามันอาจจะยากเย็นแสนเข็นแต่ไหน

แต่ผมจะทำให้มือของเราสองคนกลับมาประสานกันแน่นอีกครั้งให้ได้



*******

#ณภัทรปณวัช

เราขี้บ่นอะ 555555 ขอโทษจริงๆนะคะถ้ามันน่าเบื่อไปนิด แต่ในนิยายเรามันมักจะมีตอนที่ตัวละครพูดถึงแง่มุมของความรักที่มันเป็นปมอะ แล้วมันจะยาว แบบยาวมาก แบบยาวจริงๆๆๆๆ แต่ก็ตัดไม่ได้ทุกที แต่จบแล้วจริงๆปมมีแค่นี้ล่ะ T_T

แล้วคือบทแม่เป้เยอะ ออกมาเยอะมากแต่ไม่มีชื่อนะ 555 

และ!!! ในที่สุดก็ถึงวันของเด็กขี้แย ต่อไปนางจะเป็นราชา จะโดนง้อ จะโดนตามใจ เอาให้เต็มที่ จะได้เลิกงอแงซักที ชั้นรำคาญญ 5555


ทวิตเตอร์: maywrite1

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ psychological

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0

ออฟไลน์ Maywrite

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
#ณภัทรปณวัช

08 เรื่องของมือที่ไม่ยอมปล่อย



ปณวัช

"สรุปเอาไงไอ้เป้" ไอ้สิงชะโงกหน้ามาจากด้านหลัง วางพาดแขนยาวของมันลงบนไหล่ผมเบาๆก่อนจะเอ่ยถามคำถามที่มันเคยถามออกมาแล้วเป็นรอบที่สาม

"..."

"กูหิวข้าวแล้วเนี้ย มึงจะนั่งอยู่ตรงนี้ไปอีกนานแค่ไหน นี่คือไอ้โยมันไปรอที่โรงอาหารตั้งนานแล้วนะ"

"..."

"ถ้ามึงไม่อยากเจอเขาก็บอกเขาไปตรงๆ หรือมึงจะให้กูไปบอกให้ไหม"

"มึงหยุด" ผมตอบกลับไปอย่างรวดเร็วเมื่อมันทำท่าจะลุกเดินออกไปที่ประตู มันชะงักและหันกลับมาในทันที เกาหัวก๊อกแก๊กอย่างรำคาญใจ บ่นพึมพำว่ามึงจะเอายังไงก็เอาเพราะกูเนี้ย หิวจนจะกินมึงได้อยู่แล้ว

"เขายังอยู่หน้าประตู..."

"เออ นั่งอยู่แบบนั้นมาครึ่งชั่วโมงแล้ว กูก็เหมือนกัน" มันพูดประชดใส่ผมในประโยคสุดท้ายแต่ผมไม่ได้สนใจ ได้แต่นั่งกลั้นยิ้มพยายามทำหน้านิ่งอยู่อย่างนั้น

แม่บอกผมแล้วว่าเมื่อวานเจอภัทร และแม่ก็บอกภัทรไปแล้วว่าผมรู้เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น แม่บอกให้ผมรีบคืนดีกับภัทรเร็วๆอย่าเล่นตัวให้มาก ย้ำอยู่นั่นว่าไม่ให้ผมใจร้ายกับภัทรนัก รู้ดีว่าไอ้นิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้นน่ะ ผมได้แม่มาชัดๆ

ในตอนแรกที่ผมรู้เรื่องทั้งหมดผมเองก็ต้องยอมรับว่าดีใจจนลืมความเจ็บปวดทั้งหมดที่เคยได้รับไปเลยทีเดียว เพียงแค่คิดว่าที่ผ่านมาเขาไม่เคยไม่รักผม แค่นั้นมันก็ทำให้ผมพร้อมที่จะลืมทุกอย่างแล้ว

แต่พอเอาเข้าจริงๆ พอเมื่อเช้าได้เห็นข้อความที่เขาส่งมา ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ไอ้ทิฐิ ความรู้สึกน้อยอกน้อยใจ ความขุ่นเคืองมันโผล่มาจากที่ไหนจู่ๆมันก็ทำให้ผมอยากเล่นตัวอีกนิด แล้วในที่สุดผมก็ไม่ยอมตอบอะไรเขากลับไปทั้งนั้น

ฮึ

มันต้องเป็นเขาบ้างสิ

คราวนี้มันต้องเป็นเขาสิ ที่ต้องตามง้อผมบ้าง

"อ่ะ ไม่อยู่แล้วว่ะ" ผมลุกพรวดจากเก้าอี้ในทันทีที่ไอ้สิงที่ชะโงกหน้าออกไปนอกห้องเรียนว่าอย่างนั้น แต่พอมันหัวเราะใส่ผมเสียงดังผมก็รู้ว่ามันเล่นผมเข้าแล้ว

"ไอ้สัด" ผมด่าพร้อมยกนิ้วกลางให้คนที่ไม่เคยจะรู้สึกรู้สาอะไรกับคำด่าของผม มันเดินเข้ามากอดพร้อมกับขยี้หัวผมไปมาจนผมตีมือมันไม่หยุดก่อนจะทรุดนั่งลงที่เดิม

"โอ๋~ ขวัญเอยขวัญมานะปณวัช"

"เหี้ยสิง"

"เขามาง้อหรือไงลูก~"

"..."

"เอางี้ไหม ถ้ามึงไม่อยากเจอ กูโทรบอกให้ไอ้บอลมาไล่ไหม มันคือพร้อมมาก"

"มึงอย่าเสือก" และมันก็ขำเสียงดังลั่นห้องเมื่อผมด่าสวนไปอย่างรวดเร็วอีกรอบ แถมคราวนี้ยังมาทำตาปริบๆหยิกแก้มผมเหมือนผมเป็นตัวอะไรที่น่ารักมากๆเสียอีก

"หมาน้อยเอ้ย อยากดีกับเขาจนตัวสั่นแต่ก็ยังเล่นตัวอยู่เนอะ"

"ไอ้สิงกูขอเลย"

"เออๆ ไม่ล้อแล้วๆ ตกลงมึงจะเอาไง กูหิวแล้วจริงๆ"

"มึงไปก่อนเลย เดี๋ยวกูตามไปทีหลัง" ผมว่าพร้อมเสริมขึ้นเมื่อลองมาคิดอีกครั้งดีๆ "หรือไม่ก็เจอกันคาบบ่ายเลยแล้วกัน"

รอบนี้มันไม่ได้ว่าหรือเอ่ยแซวอะไร ไอ้สิงแค่พยักหน้ารับแล้วเดินไปหยิบกระเป๋าสะพายของตัวเองขึ้นมาพาดไว้ที่ไหล่หนึ่งข้าง

"เอางั้นนะ งั้นกูไปก่อนแล้วกัน"

"เออ เจอกันมึง" ผมตอบมันสั้นๆทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์ที่ผมเปิดหน้าไลน์ของเขาค้างเอาไว้ มันโชว์ว่าเขากำลังพิมพ์ข้อความอยู่ มันเป็นอย่างนี้มาสักพักแล้ว ไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะข้อความที่เขาตั้งใจจะส่งมามันยาวมาก หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพราะเขาแก้มันซ้ำแล้วซ้ำเล่าจึงทำให้ใช้เวลาในการส่งนานขนาดนี้

"ไอ้เป้" ผมเงยหน้าขึ้นอีกครั้งตามเสียงเรียก เลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจที่ยังเห็นไอ้สิงยืนหน้านิ่งมองผมอยู่

"อ้าว กูนึกว่ามึงไปแล้วซะอีก"

"กูก็ว่าจะไปแล้ว" มันว่า "แต่กูอดห่วงมึงไม่ได้ ก็เลยว่าจะถามมึงให้แน่ใจก่อน"

ไอ้สิงที่ทำหน้าจริงจังทำให้ผมนั่งยืดหลังตรงอีกครั้ง ผมนิ่งฟังว่ามันจะพูดอะไรต่อไป

"ดูท่าแล้วเขาคงมาง้อมึงจริงๆ แต่มึงแน่ใจนะว่ามึงอยากกลับไปคืนดีกับเขา" มันว่าอย่างกล้าๆกลัวๆ ถึงผมกับมันจะเริ่มสนิทกันมากขึ้น แต่มันก็ยังเป็นมันที่ไม่ชอบพูดเรื่องจริงจังแบบนี้กับผมเท่าไหร่

แต่การที่วันนี้มันมาทำใจกล้ายืนถามผมอยู่แบบนี้ ก็แสดงให้เห็นแล้วว่ามันคงห่วงผมมากแล้วจริงๆ

"มึงแน่ใจนะ ว่าเขาจะไม่ทำให้มึงเจ็บแบบครั้งที่แล้ว"

ความเงียบเข้ามากางกั้นระหว่างเราชั่วอึดใจ แต่เมื่อผมคลายยิ้มออกมา บรรยากาศหนักๆระหว่างเราก็เหมือนจะจางหายไปในพริบตา

"ขอบใจนะมึงที่เป็นห่วง" ผมว่า "แต่รอบนี้กูรู้ว่ามันจะโอเค กูมั่นใจจริงๆ"

"โอเค ก็ถ้ามึงว่างั้นนะ" มันไม่คิดจะเซ้าซี้ ยกยิ้มพร้อมเอื้อมมือมาตบบ่าผมแรงๆสองสามที ก่อนที่จะหมุนตัวกลับไปทางประตูทางออก

ผมมองตามหลังมันอีกนิดก่อนจะละสายตากลับมาหน้าจอมือถืออีกครั้ง ตอนนี้มันไม่ได้ขึ้นว่าเขากำลังพิมพ์ข้อความอะไรอีกแล้ว และมันก็ไม่ได้มีข้อความเพิ่มมาใหม่มากกว่าที่มันมีมาเมื่อเช้าอีกด้วย

มันเป็นอย่างที่ผมคิดจริงๆด้วย ที่จริงไม่ใช่เพราะเขาเขียนข้อความยาวๆ หรือเขียนผิดเขียนถูกจนต้องแก้ไม่รู้จบ แต่มันเป็นเพราะเขาไม่กล้าส่งมันมาหาผมต่างหาก

"มั่นใจให้มากกว่านี้ไม่ได้หรอภัทร ภัทรคิดว่าเค้าจะใจร้ายกับภัทรได้มากแค่ไหนกันเชียว"

"เป้" ตอนที่ผมกำลังพึมพำกับตัวเองอยู่อย่างนั้นก็ต้องสะดุ้งจนโทรศัพท์แทบจะหลุดออกจากมือเพราะจู่ๆก็ได้ยินเสียงคุ้นเคยเรียกผมมาจากไกลๆ

เมื่อผมมองไปตามเสียงที่ว่าก็ต้องหยุดหายใจเมื่อเห็นว่ามันเป็นเขาจริงๆด้วย เขาที่ชะเง้อแค่ช่วงหน้าออกมาจากหลังกำแพงห้อง พอเราสองคนสบตากันเขาก็ตั้งใจยกยิ้มให้กว้างที่สุดอย่างกลัวว่าผมจะไม่รู้ว่าเขาดีใจแค่ไหนที่ได้เจอผม และแถมยังยกมือเรียวขึ้นโบกไปมาให้ผมอย่างกระตือรือร้นเพื่อเรียกร้องความสนใจ

ผมที่ได้แต่พยายามทำหน้านิ่งเป็นฝ่ายหลุบตาลงในที่สุด เพราะมันเกินจะทนไหวจริงๆเวลาที่เขาใช้ตากลมโตคู่นั้นมองไปรอบด้านเพื่อดูว่ามีใครอยู่ในห้องอีกไหม ท่าทางน่ารักๆของเขาตอนที่ค่อยๆย่างเท้าเดินเข้ามาในห้องมันทำให้ผมใจสั่นไปหมด และผมว่าผมคงดูเสียอาการไปไม่น้อย เมื่อกลิ่นน้ำหอมที่เป็นกลิ่นประจำตัวของเขาลอยมาแตะจมูก

"เป้ หวัดดี.."

"..."

"เค้าเจอสิงเมื่อกี้ สิงบอกว่าให้เค้าเข้ามาได้เลย"

"..."

"คือ.."

"ภัทรมีธุระอะไรกับเราหรอ" และผมก็พูดแทรกคนที่พูดจาตะกุกตะกักกลับไป แอบใจเสียเมื่อสังเกตเห็นว่าลมหายใจของเขาสะดุด ใจผมอ่อนยวบเมื่อตอนนี้เขาเม้มกัดปากแน่นอีกครั้ง สองมือของเขาที่จับกันแน่นมันทำให้ผมรู้ว่าคำพูดของผมมันทำให้เขากังวลมากแค่ไหน

"ภัทรบอกว่ามีเรื่องอยากจะขอให้เราช่วยไม่ใช่หรอ" ผมบอกไปตามข้อความที่เขาเขียนมาหาผมเมื่อเช้าด้วยเสียงที่อ่อนลง แต่ยังจงจำใช้คำว่า 'เรา' แทนตัวซ้ำๆเพื่อบอกให้เขารู้ว่าตอนนี้ผมทิ้งระยะห่างระหว่างเราออกมามากแค่ไหน

"อะ..อืม คือร่ม..เป้จำร่มโพธิ์เพื่อนเค้าได้ไหม" ผมขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นเมื่อได้ยินในสิ่งที่ผมไม่ได้คาดคิด ความโมโหก่อตัวขึ้นเมื่อคิดว่าจุดประสงค์ที่เขามาหาผมในวันนี้มันเป็นอีกเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของเรา

"คือร่มอยากได้บัตรเทศกาลดนตรีของคณะเป้น่ะ" เขาว่าต่อเมื่อผมตอบกลับไปว่าจำเพื่อนเขาได้

"คือเค้าไม่ได้จะมาขอฟรีๆนะ แต่บัตรมันหายากจริงๆ เป้พอจะช่วยหาให้เค้าก่อนซักสามใบได้ไหม เดี๋ยวเค้าจ่ายค่าบัตรให้ทีหลังนะ"

ผมกำหมัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ ตอนที่เขาเริ่มพูดเรื่องไร้สาระออกมาไม่ยอมหยุด ถึงจะคิดได้ว่านี่มันคงเป็นแค่ข้ออ้างของเขาแต่ผมก็เริ่มโกรธจนทนไม่ไหว ทั้งๆที่เรายังไม่คืนดีกันแท้ๆ ทำไมถึงได้ดูใจเย็นพูดถึงบัตรอะไรนั่นอยู่ได้ก็ไม่รู้

"ได้ แล้วเดี๋ยวถ้าเราหาได้แล้วเราบอกแล้วกัน" ผมว่าพร้อมกับรวบชีทและอุปกรณ์การเรียนที่วางอยู่บนโต๊ะเข้ากระเป๋า จงใจกระแทกมันแรงๆให้เขารับรู้ว่าผมกำลังไม่พอใจขึ้นมาแล้วจริงๆ

"งั้นถ้าไม่มีอะไรแล้วเราไปนะ ที่จริงถ้าแค่จะคุยเรื่องนี้ไม่ต้องมาถึงนี่ก็ได้ แค่ส่งข้อความมาก็พอแล้ว" ผมว่าอย่างนั้นก่อนที่จะหมุนตัวเดินออกมาจากตรงนั้นโดยไม่รอให้เขาพูดอะไร อดรู้สึกผิดหวังแบบสุดๆไม่ได้เมื่อเห็นว่าเขายังยืนนิ่ง ไม่มีท่าทีที่จะเดินตามผมออกมา

หมับ!

และในเสี้ยววินาทีสุดท้ายที่ผมกำลังจะเดินออกจากห้อง ผมชะงักเท้าในทันทีที่มือของเขามาดึงชายเสื้อของผมไว้ พยายามทำหน้าให้นิ่งที่สุดก่อนที่จะเอี้ยวตัวกลับไปมองเขา อดตกใจไม่ได้เมื่อตอนนี้ปลายจมูกของเขาแดงก่ำ น้ำตาคลอเบ้าอย่างคนที่พร้อมจะร้องไห้ได้ทันทีทันใดถ้าผมพูดจาใจร้ายกับเขาอีกครั้ง

"เป้..." ผมเลิกคิ้วให้เขาแทนคำตอบ แอบเอาใจช่วยเขาอย่างสุดใจให้เขารวบรวมความกล้าแล้วพูดมันออกมาซักที

"เป้จะไปกินข้าวหรือเปล่า"

"..." ผมไม่ได้ตอบอะไร ได้แต่ยืนนิ่งมองเขาที่ส่ายหัวไปมาเพราะเผลอพูดผิด มองเขาที่พยายามสูดหายใจลึกๆ ก่อนที่ในที่สุดจะรวบรวมสมาธิแล้วถามผมออกมาอีกครั้ง

"เอ่อ..คือเค้าหมายถึง เป้จะไปกินข้าวด้วยกันได้ไหม"

εїз

ณภัทร

วันนี้ผมเพิ่งได้รับรู้ความจริงใหม่เพิ่มมาอีกข้อ คือผมเพิ่งรู้ว่าที่จริงแล้วขายาวๆของเป้ มันทำให้เขาเดินได้รวดเร็วมากแค่ไหน ถ้าไม่มาเห็นด้วยตาวันนี้ผมก็คงไม่เคยรู้เลยว่า ตลอดเวลาที่เราเคยเดินเคียงข้างกัน มันเป็นเขาที่ต้องชะลอจังหวะเพื่อให้ผมเดินตามได้ทัน เพื่อให้ผมไม่เหนื่อยเกินไปเวลาเดินอยู่ข้างๆเขา

แต่พอมาวันนี้ ในตอนที่เขาเร่งจังหวะการเดินเต็มฝีเท้าอยู่ข้างหน้า ผมเพิ่งมารู้ซึ้งว่ามันยากแค่ไหน ที่ต้องมากึ่งเดินกึ่งวิ่งจนเหนื่อยหอบอยู่แบบนี้เพื่อที่จะตามเขาให้ทัน

ตุ๊บ

"ขอโทษครับ" ผมกล่าวขอโทษในทันทีเมื่อผมเผลอชนเข้ากับใครคนหนึ่งเข้าเต็มๆ เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้เป็นอะไรก็กล่าวขอโทษอีกครั้งก่อนที่จะก้มลงเก็บหนังสือเรียนและกระเป๋าของผมที่หล่นลงพื้น พอยืดตัวขึ้นมาได้อีกครั้งก็พบว่าตอนนี้เป้ห่างผมไปไกลแล้ว

ผมได้แต่พยายามเดินให้เร็วขึ้น แต่ไม่ว่าจะพยายามเท่าไหร่ก็ดูเหมือนจะไม่เป็นผลเลยสักนิด ตอนนี้มันเป็นเวลาเที่ยงวันที่คนในโรงอาหารเยอะแยะไปหมด และผมก็หลงอยู่ในกลุ่มคนนั้นอยู่พักใหญ่อย่างหาทางออกไม่เจอ

และในที่สุดเมื่อฝ่าออกมาได้อีกครั้ง ผมก็รีบกวาดสายตาไปตามร้านอาหารที่ตั้งเรียงรายทีละร้านอย่างร้อนรน แต่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เหมือนว่าผมจะไม่เห็นวี่แววของเขาเลย

หมับ

แล้วมันก็เป็นมืออุ่นๆของเขาที่มาจับข้อมือผมไว้จากด้านหลัง ผมยิ้มอย่างดีใจในตอนแรกแต่ก็แทบอยากจะร้องไห้ในวินาทีต่อมาเมื่อหันมาเจอสีหน้าของเขา เพราะตอนนี้ตาคมที่ผมชอบที่สุดกำลังมองมาที่ผมอย่างดูไม่เป็นมิตรเลยซักนิด

"ทำไมไม่เดินตามมาดีๆ"

"เอ่อ..เค้าขอโทษ คือเมื่อกี้เดินชนกับคนจนของตก ลุกขึ้นมาอีกทีเป้ก็หายไปแล้ว แล้วคนมันก็เยอะแยะ.."

"เฮ้อ..ช่างเถอะ..ไปหาที่นั่งกัน" เขาถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายก่อนที่จะตัดบทในทันทีโดยไม่รอให้ผมอธิบายจนจบ

ผมกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่เมื่อคิดว่าคงทำให้เขาไม่พอใจอีกแล้ว ทำได้แต่พยักหน้ารับและเดินตามการจูงของเขาเข้าไปหาที่นั่งด้านในโรงอาหาร

"ขอโทษนะ แต่ขอจับไว้แบบนี้ก่อน เดี๋ยวจะหลงอีก" เขากระซิบข้างหูผมในตอนที่เราเดินฝ่าผู้คนอยู่ในทางเดินแคบๆ

ผมลอบมองเสี้ยวหน้าของเขาที่ยังนิ่งเรียบอีกครั้ง แอบสงสัยไม่ได้เลยว่าที่เขาพูดมาแบบนี้มันเป็นเพราะเขารู้สึกขอโทษจริงๆหรือมันเป็นแค่คำพูดกึ่งประชดที่เขาใช้เพราะผมไม่เคยยอมให้เขาจับมือกันเวลาอยู่ข้างนอกแบบนี้ 

ผมนิ่งคิดไปนิดก่อนที่ในที่สุดจะหลับตาปี๋ กลั้นใจทำในสิ่งที่ผุดขึ้นมาในความคิดอย่างไม่คิดจะไตร่ตรองอะไรให้ดีอีกแล้ว

เอาวะ

เขาหันมามองผมอีกครั้งเมื่อผมสะบัดข้อมือของผมออกจากมืออุ่นของเขา ก่อนที่ตาคมจะโตขึ้นเป็นเท่าตัวเมื่อผมสอดประสานนิ้วทั้งห้าของผมเข้าไปกับนิ้วเรียวยาวทั้งห้าของเขาแนบแน่น

"ขอจับไว้แบบนี้ได้ไหม เค้ากลัวหลง"

"อืม" เขารับคำในลำคอก่อนจะเชิดหน้ามองตรงไม่ยอมสบตากัน ท่าทางของเขาเหมือนคนโกรธอะไรมาสักอย่าง บึงตึงไม่ยอมพูดอะไรเลยซักคำ แต่ถึงท่าทางของเขาจะเป็นอย่างนั้นแต่มันก็ทำให้ผมอดยิ้มไม่ได้

เป้ของผม ทำไมผมจะไม่รู้

ผมคิดพร้อมเหลือบไปมองติ่งหูของเขาที่ขึ้นสีแดงเรื่อ เป้น่ะ ชอบให้ผมพูดอ้อนเขามากที่สุด มันเป็นผมต่างหากที่ไม่เคยกล้าทำมันเลย

"ภัทรรอตรงนี้นะ เมื่อกี้เราสั่งข้าวไว้แล้ว เราไปเอาก่อน" เราปล่อยมือกันเมื่อเจอที่ว่างในที่สุด ผมทำตามที่เขาบอกโดยการนั่งจองที่อยู่อย่างนั้น เขาหายไปสักพักก่อนที่จะกลับมาอีกครั้งพร้อมกับอาหารตามสั่งสองจาน ผมยกยิ้มกว้างออกมาเมื่อเห็นว่าจานนึงเป็นข้าวผัดกระเพราหมูสับ อีกจานคือข้าวไข่เจียว

ก็ทั้งสองจานมันคือเมนูโปรดของผม

"เมื่อเช้ากินอะไรมา" เมื่อผมตอบว่าข้าวไข่เจียวเขาก็เลื่อนจานกระเพราหมูสับมาตรงหน้าผม

"ขอบคุณนะ" ผมเอ่ยออกไปพร้อมรอยยิ้มกว้างกว่าเดิม จงใจที่จะมองเขาอยู่อย่างนั้นแต่เขาก็ไม่ยอมสบตากันเลยซักครั้ง

เราสองคนนั่งกินข้าวกันเงียบๆ ผมสังเกตว่ามันเงียบกว่าเคยเพราะปกติจะเป็นเขาที่เป็นฝ่ายชวนคุย พอเป็นอย่างนี้ผมถึงเพิ่งได้รู้ ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมามันมีแต่เขาที่พยายามคุยนั่นคุยนี่ มันเป็นเขาที่พยายามเพื่อเรามาตลอด

"อร่อยไหม" ผมแอบด่าตัวเองในใจเมื่อหลุดถามคำถามสิ้นคิดออกไป ผมก็พยายามคิดแล้วแต่ผมก็ไม่รู้จริงๆนี่น่าว่าควรจะชวนเขาคุยอะไรตอนนี้

"ก็ดี แล้วกระเพราพอใช้ได้ไหม"

"อือ อร่อยมากเลย เค้าเพิ่งเคยมาที่นี่ครั้งแรกเป้สั่งมาจากร้านไหนหรอ"

ผมต้องสารภาพเลยว่าท่าทางกระตือรือร้นที่ผมทำอยู่มันออกจะเกินจริง ยิ่งไอ้น้ำเสียงตื่นเต้นตอนเขาชี้ไปที่ร้านอาหารตามสั่ง มันดูเฟคซะจนผมยังอายตัวเอง

แต่จะทำยังไงได้ล่ะ ก็ผมอยากให้เขารู้สึกว่าผมสนุกกับบทสนทนาที่เรามีนี่น่า

เมื่อเห็นว่าถึงจะพยายามมากแค่ไหนมันก็ยังดูไม่เป็นธรรมชาติอยู่ดี ผมก็เลยปล่อยให้เสียงรอบตัวที่ดังเซ็งแซ่แทรกเข้ามาระหว่างเราอีกครั้ง เรานั่งเงียบๆอยู่อย่างนั้น จนเมื่อผมเห็นว่าเป้กินข้าวหมดจานและเอากระเป๋ามาพาดบ่า ผมจึงตัดสินใจพูดในสิ่งที่ผมเตรียมไว้ในใจออกไป

"เป้เลิกเรียนห้าโมงใช่ไหม เอ่อ คือเค้าขอตารางเรียนเป้มาจากพี่หมีน่ะ" ผมเติมประโยคสุดท้ายเข้าไปเมื่อเขาทำหน้าสงสัยว่าผมรู้เวลาเลิกเรียนของเขาได้ยังไง

"เค้ามารอได้ไหม ไปกินข้าวด้วยกันนะ"

"..."

"คือเค้ามีเรื่องอยากจะคุยกับเป้ เค้ามารอได้ไหม"

"ถ้าเรื่องที่จะมาคุยกันคือเรื่องแบบวันนี้ แค่ไลน์มาบอกกันก็ได้"

"ไม่ใช่นะ" ผมรีบว่าพร้อมเอื้อมมือไปจับข้อมือของเขา เขามองตามไปที่จุดที่เราสัมผัสกัน ก่อนที่จะมองไปรอบข้างเพื่อบอกให้รู้ว่าตอนนี้เราอยู่ในที่สาธารณะ แต่ตอนนี้ผมไม่สนอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าใครจะมองมามันก็ไม่สำคัญ ตอนนี้ผมสนแค่เขา ผมสนแค่ไม่อยากให้เขาเข้าใจผิดผมอีกต่อไปแล้ว

"เมื่อวานเค้าคุยกับแม่เป้แล้ว" ผมว่าต่อ "ขอโอกาสให้เค้าเป็นคนอธิบายเรื่องทั้งหมดด้วยตัวเองได้ไหม"

ผมพรูลมหายใจออกมายาวเหยียดเมื่อผมพูดมันจบ พยายามปรับจังหวะหายใจให้มันกลับไปปกติที่สุดเพราะผมตื่นเต้นจนตอนนี้เริ่มหายใจไม่ทันแล้ว แต่ไม่ว่าผมจะเป็นยังไงในตอนนี้ผมก็ไม่ยอมละสายตาที่สบกันของเรา เพราะผมอยากให้เขารับรู้เหลือเกินว่าสิ่งที่ผมพูดมันออกมา ผมจริงจังกับมันแค่ไหน

"ลุกเถอะ เดี๋ยวเราไปส่งที่ป้ายรถราง" ผมใจเสียเมื่อเขาไม่ได้ตอบคำถามของผมแต่กลับลุกขึ้นและเดินนำออกไป แต่ผมสัญญากับตัวเองแล้วว่าจะไม่ถอดใจง่ายๆ ผมยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองเพื่อเรียกสติอีกครั้งก่อนจะหยิบรวบข้าวของทั้งหมด ลุกขึ้นเดินเร็วๆตามหลังเขาไป

หมับ!

เมื่อผมประชิดตัวเขาอีกครั้ง ผมก็ทำใจกล้าเอื้อมมือไปจับมือใหญ่ของเขา จับอยู่อย่างนั้นชั่วอึดใจ เมื่อเห็นว่าเขาไม่มีทีท่าว่าจะสะบัดมันออกก็ทำใจกล้ากว่าเดิมด้วยการสอดประสานนิ้วทั้งห้าของเราเข้าด้วยกัน

"คนยังเยอะอยู่เลย ขอเค้าจับมือหน่อยนะ" เป็นอีกครั้งที่เขาไม่ยอมพูดอะไร แต่ผมสัมผัสได้ว่ามันไม่ใช่แค่ผมแต่เขาเองก็เป็นฝ่ายกระชับมือของเราให้แน่นขึ้น เราจับมือกันอยู่อย่างนั้นแม้จะเดินผ่านจุดที่มีคนเยอะไปแล้วก็เถอะ แม้แต่ตอนนี้ที่เดินออกมาจากโรงอาหารแล้วเราก็ยังไม่ยอมปล่อยมันออกจากกันอยู่ดี

"เป้!" เราสองคนที่เดินกันอยู่บนฟุตบาทหันไปมองอีกฟากของถนนเมื่อได้ยินเสียงคนเรียก ผมเห็นผู้ชายสองคนนั่งอยู่ที่โต๊ะไม้ใต้ต้นไม้ใหญ่ไกลๆ ทั้งคู่มองมาที่เราสองคน หนึ่งในนั้นยกมือกวักเรียกเป็นสัญญาณให้เข้าไปหา

"นั่นพี่ดินกับพี่ต้น พี่ดินเป็นลุงรหัสเรา" เป้อธิบายสั้นๆ อย่างไม่รอช้าเป้มองซ้ายมองขวาตั้งใจจะข้ามถนนไปหาทั้งคู่ แต่เจ้าตัวก็ต้องชะงักแล้วหันหลังกลับมาเลิกคิ้วเชิงสงสัยว่าเพราะอะไร ว่าทำไมตอนนี้ผมถึงพยายามดึงมือที่จับออกจากกัน

"งั้นเดี๋ยวเค้ากลับก่อนก็ได้ เป้ไปหารุ่นพี่เป้เถอะ แล้วตอนเย็นเค้ามาหาใหม่นะ"

"..."

"เป้.." ผมเรียกเขาเพราะเขาไม่ตอบอะไรอีกแล้ว ได้แต่ทำหน้าบึ้งจ้องผมอยู่อย่างนั้น ความรู้สึกร้อนชื้นของมือที่จับกันเปลี่ยนเป็นความเจ็บปวดเพราะตอนนี้เขากำมือผมแน่นขึ้นกว่าเดิม

"เป้ เค้าเจ็บ.."

"ถ้าคิดแต่จะหนี ถ้ารู้สึกอาย ถ้าคิดแต่จะปล่อยมือกัน เราสองคนก็คงไม่มีอะไรต้องพูดกันอีกแล้วแหละ" เขาบอกผมอย่างนั้นตอนที่เขาคลายมือผมออก อย่างไม่ต้องคิดผมกระชับมันแน่นอีกครั้ง บีบมันแน่นก่อนที่จะว่าออกไป

"ไม่ใช่อย่างนั้นนะ"

"..."

"เอ่อ..ไปกันเถอะ..พี่เป้..คือพี่เขารอเป้อยู่นะ"

เมื่อผมว่าอย่างนั้นพร้อมพยักเพยิดไปที่คนที่รออยู่เขาก็มองผมอย่างชั่งใจอีกครั้ง เมื่อผมพยักหน้าซ้ำๆ เขาก็พรูลมหายใจออกแรงๆอย่างขัดใจ หันกลับไปที่สองคนที่กำลังมองมาอีกครั้งก่อนจะเดินนำผมลงจากฟุตบาท

"คือ..มันไม่ใช่อย่างนั้นนะ.." ผมกระซิบตอนที่เรากำลังเดินข้ามถนน "คือเค้าไม่ได้อายนะที่เดินจับมือกับเป้ แต่เค้าแค่กลัวว่าคนอื่นจะมองเป้ไม่ดี ไม่อยากทำให้เป้ลำบากใจถ้าโดนถามว่าเป็นอะไรกับเค้า"

"เราก็จะตอบแบบที่ภัทรเคยตอบไง ว่าภัทรเป็นเพื่อนสนิทของเราที่โรงเรียน" ผมกัดเม้มริมฝีปากแน่นฝืนไม่ให้น้ำตามันไหล ก่อนที่จะทำใจแข็งตอบกลับไป

"เค้าจะไม่มีวันตอบแบบนั้นอีกแล้ว" ผมเอื้อมเอามือที่ว่างไปวางทับมือที่จับกันของเรา กระชับมันให้แน่นขึ้นกว่าเดิม

"เค้าขอโทษสำหรับทุกสิ่งที่ผ่านมา เค้าผิดเองผิดทุกอย่าง เค้ารู้ว่าเค้ามันงี่เง่าจนไม่น่าให้อภัย แต่เป้ให้โอกาสเค้าได้แก้ตัวได้ไหม"

"..."

"ถ้าเค้าพยายามเยอะๆ เป้จะยอมกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ไหม"

"..."

"กลับมาเป็นเป้ของเค้าอีกครั้งได้ไหม"

"เงียบได้แล้ว" น้ำตาผมไหลในทันทีที่เขาพูดออกมาเสียงแข็งแบบนั้น พยายามใช้มืดปาดมันออกจากหน้าเมื่อเราเดินมาใกล้กับรุ่นพี่ทั้งสองมากขึ้น 

ผมก็รู้นั่นแหละว่ามันคงไม่ง่ายที่เขาจะเป็นเหมือนเดิม แต่ผมกลับไม่เคยนึกออกเลยว่าเวลาที่เขาไม่รักผมมันจะเจ็บปวดได้มากมายขนาดนี้

"เค้า..เค้าขอโทษ.."

"เดี๋ยวตอนเย็นค่อยคุยกัน"

"หืม..."

"ตอนบ่ายไม่มีเรียนใช่ไหม" ผมพยักหน้ารับ ใจชื้นขึ้นมาที่เขายังจำตารางเรียนของผมได้

"งั้นกลับไปรอเค้าที่ห้อง เค้าเลิกเรียนแล้วเค้าจะไปหาเอง"

********

#ณภัทรปณวัช

แหม๋....อีนุ้งเปปปปปป้ ร้องไห้เหมียนหมามาหลายตอน เขามาง้อก็เก็กแล้วเก็กอีกกกกก แกทนไม่ได้หรอก แกแพ้เขาอ่ะ ตั้งแต่หน้าประตูแล้ววว ชั้นให้ไม่เกินครึ่งตอนหน้า แกน่าจะไม่รอดหรอก โถถถถ

ออฟไลน์ Maywrite

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
#ณภัทรปณวัช

09 เรื่องที่ไม่อยากฟังอีกแล้ว



ณภัทร

'งั้นกลับไปรอเค้าที่ห้อง เค้าเลิกเรียนแล้วเค้าจะไปหาเอง'

เพราะว่าเป้บอกผมอย่างนั้น ตอนนี้ผมที่ตอนแรกตั้งใจจะนั่งรถรางกลับหอจึงเปลี่ยนเป้าหมายใหม่ ผมครุ่นคิดอยู่นิดและในที่สุดก็ตัดสินใจลงจากรถรางเพื่อนั่งวินมอ'ไซค์ไปตลาดหลังมหา'ลัย

หลังจากที่ปรึกษากับร่มเพื่อนผมแล้ว ผมก็ตั้งใจเลือกซื้อผักสดและเครื่องปรุงหลากหลายชนิดที่ผมจดไว้ตามที่มันบอก เดินเลยไปร้านเบอเกอรี่ ซื้อเค้กช๊อคโกแลตก้อนเล็กๆหนึ่งก้อนพร้อมเทียนและแท่งไฟเย็นก่อนจะตรงกลับห้องพักของผมทันที

ผมวางข้าวของที่ซื้อมาลงบนโต๊ะวงกลมเล็กๆแบบพับได้ที่ผมใช้แทนโต๊ะกินข้าว หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเปิดเพลงเหมือนทุกครั้งตามนิสัยเพียงเพราะไม่อยากให้ห้องเล็กๆนี้เงียบจนเกินไป 

ผมมองเวลาในโทรศัพท์ ผมยังมีเวลาอีกสองชั่วโมงกว่าเป้จะเลิกเรียน ผมวางมือถือลงตรงที่ประจำของมัน ก่อนที่จะจัดการเปลี่ยนจากชุดนักศึกษาเป็นเสื้อยืดกางเกงขาสั้นที่เอาไว้ใส่เวลาอยู่ห้อง เดินเข้าไปล้างหน้าล้างตาก่อนที่จะเริ่มจัดการกับสิ่งของที่ผมเพิ่งซื้อมา

พอเขาบอกว่าจะมาที่ห้อง จู่ๆผมก็มีความคิดความคิดนึงผุดขึ้นมา วันนี้ผมตั้งใจจะจัดงานวันเกิดย้อนหลังให้กับเป้ เพราะวันเกิดของเขาที่ผ่านมามันเป็นผมเองที่เป็นคนทำมันพังพินาศจนไม่เหลือชิ้นดี

พอคิดได้แบบนั้นผมก็เลยโทรไปปรึกษาร่มโพธิ์เพื่อนผมที่ทำอาหารเก่งที่หนึ่ง ผมตั้งใจจะลองทำต้มข่าไก่ที่เป็นของโปรดของเขา ถึงตอนแรกผมจะแอบกังวลแต่ร่มโพธิ์บอกว่ามันง่ายมากและเขาจะเป็นคนคอยช่วยผมเองในทุกขั้นตอน

"สะโพกไก่" ผมหยิบกระดาษที่ผมใช้จดของที่จำเป็นออกมาอีกครั้ง ก่อนที่จะเริ่มเลือกมันออกจากถุงเพื่อเอามาเรียงตรงหน้าให้แน่ใจว่าผมไม่ได้ลืมอะไรไป

"เห็ดฟาง หัวกะทิกับหางกะทิ ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด พริกแดง พริกเขียว แล้วก็มะนาว" ผมวางมะนาวหนึ่งลูกลงบนโต๊ะเมื่ออ่านจนจบ เมื่อเห็นว่าต้องใช้เกลือและน้ำปลาด้วยก็เดินไปหยิบมันมาจากชั้นใส่ของ

ห้องของผมเป็นเพียงห้องเปล่าเล็กๆ ไม่ได้เป็นห้องชุดที่แบ่งโซนสำหรับห้องครัวกับส่วนห้องนอน แต่เป็นเพราะปกติผมไม่ได้ทำอาหารกินเองมันจึงไม่ได้สร้างปัญหาให้กับผมเท่าไหร่ นานๆทีที่คิดอยากจะทำอาหารขึ้นมาแบบวันนี้ก็แค่เอาอุปกรณ์ที่มีอยู่ในชั้นที่พ่อเตรียมไว้ให้ออกมาใช้ก็เท่านั้นเอง

ผมหยิบเตาแก๊สไฟฟ้าออกไปวางไว้ที่ระเบียงห้อง เมื่อต่อปลั๊กสามตาเรียบร้อยก็จัดการวางหม้อและอุปกรณ์ที่ต้องใช้ออกมาเรียงจนครบ

พอลองสำรวจดูอีกครั้งและเห็นว่าของครบตามที่ต้องการแล้วทุกอย่าง ผมจึงหยิบมือถือขึ้นมาวิดีโอคอล์หาเพื่อนสนิทผมทันที

[ว่าไงแก ถึงห้องแล้วหรอ] เสียงนุ่มนิ่มของร่มโพธิ์ดังมาจากปลายสาย ผมวางโทรศัพท์ไว้บนขาตั้ง หมุนตัวให้มันทีนึงเพื่อให้มันเห็นว่าผมใส่ชุดอะไรอยู่

"อือ ถึงจนเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ของที่ให้ซื้อมาก็ซื้อมาหมดแล้วเหมือนกัน"

[โอเค ดีมากคุณนักเรียน งั้นเริ่มกันเลยไหมล่ะ ก่อนอื่นแกต้องหั่นของเตรียมให้ครบ เริ่มจากเนื้อไก่แล้วก็เครื่องที่จะเอาไปใส่ก่อน]

ผมทำตามที่มันบอกทุกขั้นตอน ผมเอาสะโพกไก่มาหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ หั่นข่าเป็นแว่นๆ หั่นตะไคร้ พริก เห็ดฟางและเครื่องแกงอื่นๆอีกจนครบแล้วจึงเอาหม้อขึ้นตั้งไฟแรง

[แล้วนี่ตกลงแกจะไม่บอกเราจริงๆหรอว่าจู่ๆทำไมแกถึงนึกคึกลุกขึ้นมาทำกับข้าวแบบนี้] 

"..." ผมไม่ได้ตอบมันที่หรี่ตาชี้หน้าผมอยู่ในโทรศัพท์ ได้แต่อมยิ้มตอนที่เทหัวกระทิใส่ไปในหม้อแล้วพยายามจะเปลี่ยนเรื่องคุย แต่มันก็ยังทำหน้าบึ้งกอดอกแน่นไม่ยอมคุยกับผมสักคำ 

"เดี๋ยวขอผ่านวันนี้ไปก่อนนะ แล้วจะเล่าให้ฟังทุกเรื่องเลย สัญญา"

เมื่อผมพูดไปอย่างนั้นร่มมันจึงยอมลงให้ เราทั้งสองจึงกลับมาตั้งใจกับการทำต้มข่าไก่ต่อ ผมใส่ทุกอย่างลงไปตามลำดับขั้นตอนอย่างไม่ยอมให้ผิดเพี้ยนเลยสักนิด ท้ายที่สุดเมื่อใส่เนื้อไก่ลงไปผมถึงได้พรูลมหายใจยาวๆออกมาด้วยความโล่งอก

"หอมมากเลยร่ม!" ผมบอกมันไปอย่างตื่นเต้นดีใจ ลองเอาช้อนตักชิมก็อดจะกระโดดโลดเต้นไม่ได้เมื่อมันกลมกล่อมกว่าที่ผมคาดหวังไว้เยอะเลย

"ร่ม พรุ่งนี้อยากกินอะไรเราเลี้ยงเอง!"

[ไม่ได้อยากกินอะไร แต่อยากรู้ทุกความลับที่แกปกปิดไว้ เนี้ย จะคลั่งตายอยู่แล้ว! ต้องมีเดทแน่ๆเลยใช่ไหม]

"พรุ่งนี้สัญญาเลยว่าจะเล่าให้หมดจริงๆ ขอบใจแกมากๆเลยจริงๆนะ"ผมบอกมันไปแค่นั้น พูดคุยกันอีกนิดหน่อยก็บอกลาและกดวางสายกันไป

ผมปิดฝาหม้อต้มข่าให้มันต้มต่อไปอย่างนั้น เดินเข้ามาในห้องเพื่อหุงข้าว เอาจานชาม ช้อนส้อมและแก้วน้ำออกมาเพื่อล้างให้สะอาดอีกรอบ 

ผมอดคิดไม่ได้เลยว่าเป้จะแปลกใจแค่ไหนที่ผมทำกับข้าวให้แบบนี้ และมันยังเป็นเมนูโปรดของเขาด้วยอีกต่างหาก

พอคิดถึงเป้ขึ้นมา จู่ๆภาพของเขาก็เข้ามาในหัว มันเป็นภาพของวันนี้ตอนที่เราเจอรุ่นพี่ของเป้ที่คณะ เพียงแค่คิดไปถึงตอนนั้นหน้าผมก็ร้อนไปหมด ได้แต่ยิ้มกว้างเป็นบ้าเป็นหลังอยู่คนเดียว

'หวัดดีครับพี่ดิน พี่ต้น'

'ปณวัช ไหนๆมาดูสิ เดินมากับใคร' มันเป็นผู้ชายหน้าตาดีที่มีผมประบ่าเอ่ยขึ้น เมื่อเราสองคนเดินเข้าไปใกล้ ผมก็ยกมือไหว้ทั้งคู่เมื่อเห็นเป้ทำอย่างนั้น

'นี่พี่ดินลุงรหัสเค้า' เป้ชี้ไปที่คนหน้าตาดีอีกคนที่นั่งเฉยๆไม่ได้พูดอะไร เมื่อผมพยักหน้ารับรู้พี่เขาก็ส่งยิ้มใจดีมาให้

'นี่พี่ต้น และนี่ก็ภัทรครับ'

'อะไรน้องเป้ ทีไอ้ดินยังมีสถานะ แล้วพี่กับน้องภัทรเป็นอะไรสำหรับเราอ่ะ' ผมหลุดหัวเราะตอนที่พี่ที่ชื่อต้นทำเสียงง๊องแง๊งใส่เป้ เหลือบมองเป้ที่ตอนนี้กลอกตามองบนทำหน้างอไปเรียบร้อยแล้ว

'พี่มีอะไรเปล่าครับ เดี๋ยวผมมาได้ไหม ขอไปส่งภัทรขึ้นรถรางก่อน' เป้ว่าไปอีกเรื่องไม่ยอมตอบคำถาม และมันก็เป็นลุงรหัสของเขาที่ตอบกลับมา

'ไม่มีอะไรหรอก พี่แค่อยากเห็นใกล้ๆน่ะว่าเป้เดินจูงมือใครอยู่'

'พี่ดิน ผมขอเลย'

'น่ารักแบบที่ไอ้หมีมันว่าไว้จริงๆด้วย' พี่ที่ชื่อต้นว่าขึ้นอีกครั้ง ผมสัมผัสได้ว่าเป้กำลังไม่พอใจเพราะเขากำมือผมแน่นมาก

'...'

'แฟนน้องมันหรอดิน?'

'กูจะรู้ไหม กูก็เจอพร้อมมึงเนี่ย'

'เอา ว่าไงปณวัช'

'...'

'ตอบดีๆ ตอบไม่ดีพี่จองนะครับ'

'ไม่เล่นพี่'

'...'

ผมยิ้มจนปากแทบจะถึงหูเมื่อคิดถึงตอนที่เป้หัวเสียแล้วก็โพล่งออกไปแบบนั้น

'คนนี้คนสำคัญของผมครับ'

ผมหลุดจากความคิดเมื่อมีเสียงข้อความเข้า เมื่อไปหยิบมาดูก็ต้องยิ้มออกมาอีกครั้งเมื่อมันเป็นเขาที่ส่งข้อความมาหาว่าจะมาในครึ่งชั่วโมง 

ตอนนี้ข้าวสวยของผมสุกแล้ว ผมเดินไปดูแกงข่าในหม้อเมื่อเห็นว่ามันได้ที่แล้วก็ปิดเตาเก็บมันเข้าที่ หาผ้ามาห่อหม้อต้มไว้ให้มันยังคงอุ่นดี

ผมจิ๊ปากเมื่อนึกขึ้นได้ว่าผมยังไม่ได้ซื้อขนมขบเคี้ยวกับเครื่องดื่มขึ้นมาเลยสักอย่าง อย่างร้อนรนผมเหลือบไปดูเวลาอีกครั้ง

"ยังพอมีเวลา" ผมคิดอย่างนั้นก่อนจะรีบร้อนเดินลงไปข้างล่าง หยิบตะกร้าในซุปเปอร์มาเก็ตที่ผมมาเป็นประจำ เลือกซื้อขนมหลากหลายชนิดที่เป้ชอบ ไม่ลืมที่จะซื้อช๊อคโกแลตก้อนหินที่เราเคยกินด้วยกันบ่อยๆใส่เข้ามาด้วย

ผมเดินพะรุงพะรังออกจากร้านเมื่อซื้อของจนหน่ำใจ ก้มลงดูนาฬิกาใหม่อีกรอบ เร่งฝีเท้าขึ้นทันทีเมื่อเห็นว่ามันกำลังจะครบครึ่งชั่วโมงตามที่เขาบอกไว้แล้ว

"อ้าว ภัทร!"

"อ้าว นิว มาได้ไงเนี้ย" ผมเอียงหน้าตามเสียงเรียกของใครคนหนึ่ง เมื่อหันไปดูจึงเห็นว่าเป็นนิวเพื่อนที่คณะของผม

"มาหาเพื่อนแถวนี้ ภัทรล่ะมาทำอะไรเนี้ย"

"นี่หอเราเอง" ผมว่าพร้อมเชิดคางไปทางอพาร์ตเม้นต์ของผมแทนสองมือผมตอนนี้ที่ถือของเต็มไปหมด

"แล้วซื้ออะไรมาเต็มเลย มา เราช่วยถือ" ผมพยายามบอกว่าไม่เป็นไรแต่นิวก็ไม่ฟัง แถมยังรวบถุงพลาสติกสองถุงไปไว้ในมือเดียวก่อนจะผายมือเป็นสัญญาณให้ผมเดินนำไปก่อน

"เนี้ย เมื่อกี้พึ่งพูดถึงภัทรกับเพื่อนอยู่เลย"

"โห เดี๋ยวนี้กล้านินทาเราหรอ ร้ายที่สุด"

"เห้ย เปล่า ก็เพื่อนถามเรื่องรูปที่เอาไปลงในเฟซบุ้คไง รู้เปล่าว่ายอดไลน์ยอดแชร์มันเยอะ ถึงขั้นมีคนเอาไปทำแฟนเพจเลยนะ"

"เห้ย จริงดิ" ผมร้องออกมาด้วยความตกใจ บอกให้นิวรีบเปิดเพจที่ว่าให้ผมดูหน่อย เราวางข้าวของทั้งหมดไว้ที่โต๊ะหินอ่อนหน้าตึก นิวเปิดให้ผมดูเพจที่ว่าที่ตอนนี้มีคนติดตามแล้วกว่าห้าร้อยคน

"เนี้ย แอดมินเขาติดต่อมาขอรูปกับเราด้วย   เขาบอกโพสบ่อยๆจะได้มียอดคนตามเยอะๆ"

"เห้ย เราว่าจะไปกันใหญ่แล้วนะ เราขอล่ะ บอกให้เขาลบเถอะนะ คนเข้าใจผิดกันหมดแล้ว"

"ไม่เอาดิภัทร ขำๆน่ะ มาๆ มาถ่ายรูปคู่กันอีกรูปนะ" นิวเอี้ยวมือหนีผมที่พยายามเอื้อมเอาโทรศัพท์เขา ก่อนที่จะเปิดกล้องหน้า พยายามถ่ายรูปคู่ของเรา

"นิว! เราจะโกรธแล้วจริงๆนะ" ผมพยายามว่าเสียงแข็งให้คนที่กำลังกดชัตเตอร์รัวๆไม่หยุด แต่แทนที่เขาจะฟัง นิวกลับหัวเราะแถมยื่นหน้าเข้ามาใกล้ยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

"มาๆ มาหอมแก้มทีนึงเร็ว รับรองรูปนี้ยอดไลท์ทะลุแน่นอน"

"อย่า..นิว!"

หมับ! พลั่ก!

และก็เป็นตอนนั้นที่ผมพยายามดันหน้าเข้าออก อยู่ๆก็มีแรงๆหนึ่งมากระชากนิวจากข้างหลัง ก่อนที่ผมจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ตอนนี้นิวที่เคยนั่งอยู่ข้างผมก็ล้มลงไปกองอยู่ที่พื้นเรียบร้อยแล้ว

"เป้?..เป้..เป้! เป้หยุด!!" ผมที่ตั้งสติได้ในที่สุดเอ่ยเรียกชื่อคนที่มาใหม่ซ้ำๆ พยายามเข้าไปฉุดแขนเขาให้หยุดตอนที่เขากำลังเดินเข้าไปจะต่อยนิวอีกครั้ง

"นี่มันเรื่องเหี้ยอะไรว่ะเนี้ย" นิวตะโกนถามตอนที่ใช้สองแขนป้องหน้าตัวเองไว้ เป้ไม่ฟังที่ผมห้ามเลยสักนิด ผมรั้งเขาไว้ได้แค่ช่วงแขน ในขณะที่เขายังพยายามใช้เท้าถีบหน้าเพื่อนผมอยู่อย่างนั้น

"เป้ เค้าบอกให้หยุด!" ในที่สุดเขาก็ชะงักเมื่อผมตะโกนออกไปจนสุดเสียง เขาหันควับมามองหน้าผมนิ่งอยู่อย่างนั้น ตอนนี้ดวงตาเขาแดงก่ำ หน้าตาที่ดูเหมือนเกลียดกันไปแล้วแบบนั้นมันทำให้ผมใจฝ่อไปหมด

"ปล่อย..." เสียงของเขาหนักแต่สั่นไหวตอนที่พูดคำคำนั้นออกมา

"เป้...เค้าขอร้อง..ใจเย็นๆก่อนนะ"

"เค้าบอกให้ปล่อย!" ผมบีบแขนเขาแน่นตอนที่เขาตะโกนจนตัวสั่นแบบนั้น แต่มันเป็นเขาที่เอื้อมมือมาแกะมือผมออกก่อนจะสะบัดมันทิ้งแรงๆ

"เป้..เป้..เป้ฟังก่อน"

"ไม่ฟัง!" ผมสะอึกเฮือกตอนที่เขาตะโกนออกมา ก่อนที่ใจผมจะแตกสลายยับเยินเมื่อเขาพูดประโยคถัดมาด้วยน้ำเสียงเฉยชาที่สุดเท่าที่ผมจะจินตนาการได้

"เค้าจะไม่ฟังอะไรที่ภัทรพูดอีกแล้ว"

εїз

ปณวัช

"เป้ เป้ฟังเขาก่อน เป้.." ผมสะบัดมือเขาออกเต็มแรงตอนที่เขาพยายามวิ่งมารั้งผมที่เดินดุ่มๆ ออกมาจากตรงนั้น ผมแอบใจเสียเพราะผมอาจจะทำให้มือเขาเจ็บ แต่ผมก็โมโหจนตอนนี้หยุดเดินหนีเขาไม่ได้จริงๆ

"เป้ เค้าขอนะ ฟังเค้าก่อน.." ภัทรว่าเสียงสั่น เขาที่เดินตามผมอย่างไม่ลดละไม่กล้าแตะตัวผมอีก จนในที่สุดเมื่อผมหยุดเดิน เขาก็วิ่งมาข้างหน้า พยายามเงยหน้าเรียกให้ผมไปสบตากับเขา

"เป้ฟังเค้านะ มันไม่มีอะไรเลย"

"..."

"ไม่มีอะไรจริงๆ นิวเป็นแค่เพื่อนจริงๆ เมื่อกี้แค่เล่นกันเฉยๆ "

"แค่เล่นหรอ? นี่ภัทรพูดแบบนี้ได้ไง นี่เค้าเพิ่งรู้นะว่าเป็นเพื่อนกันเล่นหอมแก้มกันได้ด้วย"

"ไม่ใช่นะ! เมื่อกี้นิวทำเกินไปจริงๆ เค้ากำลังจะผลักออกแล้ว" ภัทรที่พยายามอธิบายทั้งน้ำตาพูดไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ ผมพยายามเบี่ยงหน้าหลบเพราะไม่อยากจะสบตากับเขาที่กำลังร้องไห้หนักอยู่แบบนี้เพราะผมรู้ว่ามันจะทำให้ผมใจอ่อน

"..."

"เป้..." เขาเม้มปากแน่น เรียกชื่อผมซ้ำๆ เพราะผมไม่ยอมขานรับ จนในที่สุดก็เอื้อมสองมือของเขามาจับมือซ้ายของผมไว้

"ขึ้นไปบนห้องก่อนนะ เค้าขอร้อง"

"..."

"นะ.."

"วันนี้เค้ากลับก่อนดีกว่า" เมื่อผมว่าอย่างนั้นมันก็ทำให้เขาตกใจจนทำในสิ่งที่ผมคาดไม่คิด เขาสอดสองมือของเขาเข้ามาแนบตัวผมแน่น ซุกหัวเล็กๆ ของเขาลงบนหน้าอกของผมร้องไห้ไม่หยุด

"ไม่เอานะ...อึก..เค้าขอโทษนะ กลับไปคุยกันที่ห้องได้ไหม"

ตรงป้ายรถรางอาจจะไม่มีคนเท่าไหร่แต่ก็ใช่ว่าไม่มี ผมใจอ่อนยวบที่คิดว่าเขา คนที่แคร์สายตาของคนรอบข้างมากกว่าความรู้สึกของตัวเองด้วยซ้ำคิดแต่จะให้ผมคืนดีโดยไม่สนอะไรอีกแล้ว

ภัทรร้องไห้อยู่ในอกผม รัดมันแน่นจนตอนนี้เสื้อเชิ้ตนักศึกษาที่ผมใส่เปียกเป็นวง และก็เป็นเพราะเขาที่เป็นแบบนั้นมันทำให้ผมที่หัวร้อนจนใกล้ระเบิดสงบลงได้ในที่สุด

"ภัทรปล่อยก่อน..."

"ไม่เอา! ไม่ปล่อย! อึก...เค้าไม่ให้เป้ไปไหนทั้งนั้น" ผมกระตุกยิ้มกับคำพูดน่ารักๆ ของเขา มันน่าเสียดายที่เขาไม่ค่อยใช้มัน ทั้งๆที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่เขาพูดจาแบบนี้ มันก็เป็นผมนี่แหละที่ไม่มีทางไปไหนรอดได้เลย

"ปล่อยก่อน..ปล่อยเค้าก่อนนะ" ผมเอื้อมสองมือมาจับแขนเขาดันให้ห่างออกจากกัน เขาดึงดันจะไม่ยอมปล่อยอยู่อย่างนั้น แต่พอผมบอกว่าด้วยเสียงที่ดูอ่อนลงกว่าเดิมเขาก็ยอมคลายมือออกในที่สุด

"เป้..เป้..อึก..เป้อย่าไป...อย่าไปเลยนะ" เขาจับชายเสื้อผมกำไว้แน่น ผมก้มลงนิดเพื่อให้ระดับหน้าของเราเสมอกัน เอื้อมมือไปวางบนแก้มทั้งสองข้างของเขาก่อนที่จะเกลี่ยน้ำตาที่ไหลไม่หยุดด้วยนิ้วโป้งเบาๆ ในที่สุดใจที่ทนแข็งต่อไปไม่ไหวก็ยื่นข้อเสนอที่ทำให้เขาเอาแต่พยักหน้ารับซ้ำๆไม่ยอมหยุด

"ไปคุยกันบนห้องนะ"

εїз

ปัง! หมับ!

ทันทีที่ประตูห้องปิดลง มันก็เป็นเขาที่สวมกอดผมแน่นจากด้านหลัง ผมวางกระเป๋าและถุงพลาสติกที่ใส่ขนมขบเขี้ยวมากมายที่เขาซื้อไว้ลงกับพื้น ก่อนจะหันหลังกลับไปรับเขาเข้ามาไว้ในอ้อมอกของผม

"เลิกร้องได้แล้ว" พอผมพูดออกไปอย่างนั้นเขาที่กำลังจะหยุดร้องก็ร้องไห้หนักกว่าเก่า ผมอดหัวเราะในลำคอให้กับคนที่พยายามจะอธิบายอยู่นั่นทั้งๆที่แค่จะหายใจยังทำได้ไม่ดีเลยด้วยซ้ำ

"มันไม่มีอะไรจริงๆ"

"เลิกพูดเดี๋ยวนี้ว่ามันไม่มีอะไร เพราะเค้าเห็นไอ้เหี้ยนั่นมันกำลังจะหอมแก้มภัทร"

"..."

"แต่ยังไงเค้าก็จะฟัง เพราะงั้นเลิกร้องไห้สักที" ผมต้องรีบพูดประโยคนี้ต่อ เพราะตอนนี้เขาร้องไห้หนักจนเหมือนจะเป็นลมไปได้แล้วในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง

เรายืนกอดกันอยู่ตรงหน้าประตูอย่างนั้น จนในที่สุดเมื่อเหมือนว่าเขาจะสงบลง ผมจึงเริ่มมีสติพอที่จะสังเกตสิ่งที่อยู่รอบตัวของเรา

"เค้าได้กลิ่นอาหาร ภัทรทำกับข้าวหรอ" เขาพยักหน้ารับ ก่อนจะพูดเสียงอู้อี้อยู่ในอกผมแบบนั้นไม่ยอมผละออกมา

"เค้าทำแกงข่าไก่ให้เป้"

"แกงข่าไก่? ภัทรทำเป็นด้วย?"

"อืม เพิ่งทำครั้งแรก แต่เค้าตั้งใจทำมันจริงๆนะ อยากให้เป้เซอร์ไพร์ส แต่..อึก..มันพังไปหมดเลย"

ผมผละเขาออกมามองหน้ากันดีๆในตอนที่เขาตั้งใจจะร้องไห้อีกแล้ว พยายามเบี่ยงเบนความสนใจของเขาโดยบอกให้เขาไปเตรียมกับข้าวให้ผมหน่อย เพราะตอนนี้ผมหิวจนจะทนไม่ไหวแล้ว

ภัทรทำตามที่ผมบอกเป็นอย่างดี ผมนั่งรอเขาอยู่หน้าโต๊ะกินข้าวเล็กๆ มองดูเขาที่เดินปาดน้ำตาไปหยิบถ้วยชาม ตักข้าวใส่จานไป

ผมอดอมยิ้มให้กับภาพตรงหน้าไม่ได้ เพราะไม่ว่าจะกี่ปีผ่านไป จะเกิดเรื่องราวทั้งดีและร้ายมากแค่ไหน การที่ผมได้อยู่ตรงนี้ การที่ยังได้นั่งมองเขาอยู่แบบนี้ มันก็ยังเป็นสิ่งที่ผมโปรดปรานมากที่สุด

"อร่อยไหม" มันเป็นผมที่ถามเขา เพราะตอนนี้คนที่ควรจะถามผมนั่งกินข้าวคลุกน้ำตาอยู่แบบนั้น ผมเอื้อมมือไปลูบผมเขาเบาๆ เขามองหน้าผมสลับกับจานข้าวที่หมดเกลี้ยงของผมโดยไม่ยอมพูดอะไร จนในที่สุดก็เป็นผมที่เอ่ยออกมา

"อร่อยมากเลย ไว้ทำให้เค้ากินอีกนะ" มันตลกที่ตอนนี้น้ำตาของเขามันเหมือนจะทำงานตามเสียงของผม เพราะไม่ว่าผมจะพูดอะไรออกไปก็เหมือนจะทำให้มันไหลลงมาอยู่อย่างนั้นไม่หยุด 

ผมเอื้อมตัวไปยกเขาเข้ามานั่งตัก หันหน้าเขาเข้าหาตัวให้เขาคร่อมผม บอกเขาให้ค่อยๆกลืนข้าวลงคอช้าๆ เอื้อมไปหยิบทิชชู่มาเช็ดน้ำหูน้ำตาของเขาจนสะอาด

"ไม่ร้องแล้ว เค้าอยากคุยแล้ว"

"..."

"ฮึบก่อนเร็ว" เขาฮึบตามที่ผมบอกจริงๆ ตอนนี้คนเก่งของผมดูเหมือนจะควบคุมน้ำตาเอาไว้ได้บ้างแล้ว ผมจึงบอกว่าผมพร้อมแล้วที่จะฟังทุกอย่าง ไม่ว่าจะเรื่องไหนผมก็อยากให้เขาพูดมันออกมาทั้งหมด

และเขาก็เริ่มเล่ามันออกมาทั้งหมดจริงๆ ตั้งแต่วันนั้นที่เขาเข้าไปคุยกับแม่ผม จนถึงวันที่ค่อยๆคิดแผนการที่จะตีตัวออกห่าง เขาย้ำกับผมหลายต่อหลายครั้งว่าทั้งหมดที่ทำไป ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่ทำไปเพราะไม่รัก ไม่เคยเลยที่จะมีความสุขที่ต้องห่างจากกัน

"แล้วกับนิวก็คือไม่มีอะไรจริงๆ" ผมหน้าตึงขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเขาเริ่มกล่าวถึงคนที่ผมเพิ่งมีเรื่องกับมันมาเมื่อกี้

"แต่ทั้งหมดมันก็เพราะเค้าเอง เพราะนิวไม่รู้ว่าเค้ามีแฟนแล้ว นิวก็เลยคิดว่าแค่เล่นๆก็คงไม่เป็นไรมั้ง"

"..."

"แต่เค้าจะจัดการทุกอย่างเอง เป้ไม่ต้องห่วงนะ เค้าจะไปบอกว่าเค้ามีแฟนแล้ว และให้นิวมันเลิกเล่นแบบนั้นกับเขาสักที"

"..."

"เป้..เป้จะไม่พูดอะไรหน่อยหรอ.." เมื่อผมยังคงเงียบอยู่อย่างนั้น เขาก็ใช้สองมือเขย่าบ่าผมเบาๆหวังให้ผมพูดอะไรซักอย่าง

"แล้วที่ภัทรจะไปบอกนิวว่ามีแฟนแล้ว แฟนภัทรคือใครล่ะ" ผมว่าขึ้นยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย แต่มันคงน้อยมากจนเขามองไม่เห็นเพราะตอนนี้เขาหน้าซีดไปแล้ว

"เค้าจำได้ว่าเราเลิกกันแล้ว"

"เป้..."

"เค้าจำได้ว่าภัทรอยากห่างๆกันกับเค้า"

หมับ!

"ไม่เอา เป้อย่าทำแบบนี้ เค้าขอโทษจริงๆ จะไม่ทำอีกแล้วจริงๆ" ผมรู้เลยว่าผมคิดผิดที่แกล้งเขาไปแบบนั้น เพราะตอนนี้เขากอดผมแน่นจนผมแทบจะหายใจไม่ออก น้ำตาที่มันหยุดไปแล้วเริ่มไหลลงมาอีกรอบอย่างที่ผมไม่รู้เลยว่าจะต้องหยุดมันยังไง

"เฮ้อ..." ผมพรูลมหายใจออกมายาวเหยียด หลุดหัวเราะออกมาเสียงดังเพราะมันยิ่งทำให้คนในอ้อมกอดผมร้องไห้หนักกว่าเดิม

"สัญญามาก่อนว่าจะไม่ทำแบบนี้อีก"

"สัญ...อึก สัญญา"

"สัญญาด้วยว่าจะไม่ผิดสัญญาอีก"

"สัญญา..อึก ไม่ผิด..อึก สัญ..อึก..ญา"

 "ไหน มามองหน้ากันก่อน" ผมวางมือลงบนแก้มนุ่มทั้งสองข้างของเขา ปรับระดับให้มันตรงกัน ให้ตาทั้งสองคู่ของเราประสาน จนผมเห็นเงาสะท้อนของตัวเองได้ชัดเจนผ่านแววตาเรื่อน้ำคู่นั้น

"รักเค้าไหม"

"ทะ..ทำไม..ถาม..อึก..แบบนี้..ระ..รัก..อึก...รักมากที่สุดเลย ..ไม่เคยไม่รักเลย"

"งั้นห้ามทิ้งเค้าอีกนะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ต้องเข้มแข็ง ต้องสู้ไปด้วยกันนะ" เขาเม้มปากแน่น ก่อนจะพยักหน้ารับคำอยู่แบบนั้น และยังทำอยู่อย่างนั้นแม้กระทั่งตอนที่ผมพูดประโยคต่อไป

"งั้นกลับมาใกล้กันเหมือนเดิมเนอะ ไม่ห่างกันแล้วนะ"

"ไม่ห่างแล้ว..อึก..ไม่อยากห่างแล้ว"

"ภัทรกลับมาเป็นแฟนเค้านะ"

และมันก็เป็นคำพูดสุดท้าย ก่อนที่ผมจะพูดอะไรไม่ได้เพราะเขาโน้มตัวมารัดผมแน่น เสียงร้องไห้ของเขาดังข้างหูผมอยู่อย่างนั้น น้ำหูน้ำตาก็เปื้อนเต็มหน้าผมเต็มไปหมด

แต่ตอนนี้ผมจะไม่ห้ามเขาหรอกนะ

เพราะถึงผมจะมองว่ามันไม่ถูกต้อง แต่เพื่อผมแล้วเขาก็อดทนมามากเหมือนกัน เขาพยายามเต็มที่ที่สุดแล้วในวิธีของเขา และมันก็ถึงเวลาแล้วที่เขาควรจะได้เป็นตัวของตัวเองบ้าง

ถ้าเขาอยากร้องผมก็จะปล่อยให้เขาร้อง

ถ้าเขาอยากให้ผมรักแต่เขา ผมก็จะทำแบบนั้น

ถ้าเขาอยากจะอยู่ข้างกัน ผมก็พร้อมเสมอ

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆทั้งนั้น

*********

#ณภัทรปณวัช

อย่างเพิ่งรำคาญเด้อ น้องมันก็จะงอแงกันประมาณนี้ เขาก็รักกันแล้วแหละ เรื่องนี้ถ้าเปรียบเป็นกราฟมันก็จะเริ่มจากศูนย์แล้วพุ่งขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีตกเลยจนจบแหละคุณ

เราก็ถือว่าเราคนอ่านไม่เยอะเนาะ เลยค่อนข้างเขียนอะไรตามใจตัวเอง เราอาจจะมีวิธีคิดไม่ตรงใจใครไปบ้างแต่ตอนจบเราจะมาสรุปให้น้าว่าทำไมตัวละครเราถึงเป็นแบบนี้ อย่าเพิ่งทิ้งน้องงงงง

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Maywrite

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
#ณภัทรปณวัช

10 เรื่องของคนที่รักมากกว่า



ปณวัช

"หยุดร้องได้แล้ว" ผมจำไม่ได้ว่ามันเป็นรอบที่เท่าไหร่ที่ผมพูดคำนี้ ผมแปลกใจเอามากๆว่าภัทรยังเหลือน้ำตาให้ร้องอยู่ได้ยังไงทั้งที่มันผ่านไปเกินชั่วโมงแล้วที่เขานั่งตักผมร้องไห้ไม่หยุดอยู่แบบนี้

"สั่งน้ำมูกก่อนเร็ว" ผมทิ้งแกนทิชชู่ม้วนที่สองลงถุงพลาสติกที่ผมทำเป็นถุงใส่ขยะ เอาทิชชู่แผ่นที่อยู่ในมือโปะจมูกให้ภัทรสั่งมันเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะกวาดทิชชู่ที่ใช้แล้วทั้งหมดลงถุง

ผมอุ้มเจ้าสล็อตตัวน้อยของผมเข้าเอว สองแขนของเขายังคล้องคอผมแน่น สองขาเรียวเกาะรัดเอวผมไม่ยอมปล่อย

เราเดินกระเตงกันไปในห้องน้ำ ผมเปิดน้ำจากก๊อกเพื่อให้เขาล้างหน้าล้างตา แต่จากตำแหน่งที่ภัทรอยู่ในตอนนี้ ในทุกครั้งที่กวักน้ำขึ้นมา ครึ่งหนึ่งของมันก็เปียกเปื้อนเสื้อของผมไปด้วย

"ภัทรลงก่อนไหม"

"ไม่"

"ล้างหน้าก่อน แล้วเค้าจะอุ้มใหม่"

"ไม่"

แล้วผมจะทำอะไรได้นอกจากจะยอมเปียกทั้งเนื้อทั้งตัว ภัทรโหมดนี้ ต่อให้ผมต้องจมอยู่ในน้ำผมก็ยังจะขอดึงดันอุ้มเขาอยู่อย่างนี้ไม่ยอมปล่อย

"แล้วแบบนี้เค้าจะกลับห้องยังไง"

"ไม่ให้กลับ"

"แต่เค้าไม่มีเสื้อผ้าจะเปลี่ยนนะ งั้นเค้าลงไปซื้อข้างล่างก่อน"

"ใครว่าไม่มี"

"หืม.."

"..."

"แต่รอบที่แล้วที่เค้ามาภัทรบอกว่าไม่มี"

"..."

"นี่โกหกกันหรอ"

หมับ!

"ไม่ต้องมาอ้อนเลย โกหกกันอีกแล้ว ต้องโดนลงโทษ!"

ผมว่าอย่างนั้นพร้อมปิดก๊อกน้ำให้สนิท กระเตงเขาไปอีกฝั่งของห้องน้ำ ในตอนที่ผมเอื้อมมือจะไปหยิบสายฝักบัวมันเหมือนภัทรรู้ว่าเขาจะเจออะไร เจ้าตัวสล็อตที่เคยเชื่องช้าเลยรีบไต่ลงจากตัวผมอย่างรวดเร็ว

"ไม่เอานะเป้" ภัทรร้องออกมาตอนที่ผมกักเขาไว้ที่ผนังห้องน้ำด้วยแขนทั้งสองข้าง

"ไม่เอาอะไร" ยิ้มเจ้าเล่ห์กับดวงตาเป็นประกายของผมทำให้เจ้าตัวมุ่ยหน้าด้วยความเขินอาย ภัทรหลุบตาลงต่ำเหมือนทุกๆครั้งเวลาที่เขาทำอะไรไม่ถูก

"แล้วกางเกงน่ะ" ผมว่าพร้อมเอื้อมมือไปลูบขาท่อนบนของเขา

"..."

"ถ้ามันจะสั้นขนาดนี้ เค้าอนุญาตให้ใส่แค่ในห้องเท่านั้นนะ" ไม่ว่าเปล่า ผมสอดมือของผมเข้าไปข้างในกางเกงขาสั้นตัวนั้น เลื่อนมันช้าๆ สูงขึ้นเรื่อยๆอย่างคนที่ไม่ได้ประสงค์ดีสักเท่าไหร่

"..."

"ภัทร! ทำอะไรเนี้ย หยุดเลยนะ! เปียกหมดแล้ว เปียก" เขาหัวเราะดังลั่นเมื่อผมโวยวายออกไปแบบนั้น จะไม่ให้ผมร้องได้ยังไง ก็จู่ๆเจ้าตัวแสบตรงหน้าผมก็หมุนเปิดฝักบัวจนสายน้ำไหลลงมารดหัวของผมจนเปียกไปหมด

"ก็เป้ทะลึ่งนี่น่า"

"กล้าแกล้งเค้าหรอ มานี่เลย!" ผมดึงภัทรเข้าไปอยู่ในสายน้ำด้วยกัน เขาดิ้นไปมาแถมโวยวายเสียงดัง แต่ผมก็รัดเขาแน่นอยู่อย่างนั้นไม่ยอมปล่อย

"อย่าจั๊กจี้สิ เป้! หายใจไม่ออกแล้ว!"

"ก็อยากแกล้งเค้าเองนี่น่า ร้ายนักนะ"

"ไม่แกล้งแล้ว ไม่แกล้งแล้วจริงๆ"

ผมยอมปล่อยให้ภัทรไปปิดน้ำในที่สุดเมื่อเขายกสามนิ้วให้คำสัญญาว่าจะไม่แกล้งผมอีก เพราะผมอดสงสารคนที่ทั้งร้องทั้งหัวเราะจนหายใจไม่ทันไม่ได้ พออีกฝ่ายปิดน้ำสนิทผมก็จับตัวเขาหมุนกลับให้หันมามองหน้ากัน

เมื่อเราสองคนสบตาอีกครั้ง จู่ๆเสียงหัวเราะที่เคยก้องอยู่ในห้องน้ำก็เงียบพลัน รอยยิ้มที่มุมปากหดหาย กลับมีความรู้สึกโหยหาที่โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้เข้ามาแทนที่

มันเหมือนผมเดินทางมาจากที่แสนไกล มันนานมากแล้วจริงๆ นานจนความคิดถึงมันกัดกินหัวใจของผมจนไม่เหลือชิ้นดี

"เปียกขนาดนี้ อาบน้ำเลยดีไหม" ผมว่าออกไปเสียงพร่า เอื้อมสองมือปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของตัวเองออก ขำในลำคอเมื่อเห็นเขากลืนน้ำลายลงคอดังเอือก เบี่ยงหน้าหลบอย่างคนที่ไม่รู้ว่าจะเอาตาไปวางไว้ที่ไหน

"งั้นเป้อาบก่อนก็ได้ เค้าไปเอาผ้าเช็ดตัวมาให้นะ" เมื่อภัทรพยายามจะดันตัวเองออกจากวงแขนของผม มันก็เป็นผมที่จับเขาไว้ ผมเชิดหน้าที่ทั้งร้อนทั้งแดงก่ำขึ้นมาให้สบตากัน ก่อนที่ผมจะก้มลงไปประทับรอยจูบช้าๆ ถอยออกมา ก่อนที่จะทำมันซ้ำอีกหลายครั้ง

"อาบด้วยกันนะ"

"แต่ว่า..."

"นะ"

"เอ่อ..คือ"

"เค้าคิดถึงภัทรจะตายแล้ว"

และมันก็เริ่มต้นจากประโยคนั้น ตอนที่เขาที่ไม่ว่าจะกี่ครั้งก็ยังเขินอายยื่นสองแขนมาคล้องคอผมไว้ และมันก็ยังเป็นเขาที่เขย่งตัวขึ้นสูงเพื่อเริ่มต้นจูบครั้งใหม่ พยายามสุดความสามารถให้ริมฝีปากของเราแนบกันได้สนิทมากขึ้น

แต่ผมนี่แหละที่ใจร้อนเกินใคร ผมรวบตัวภัทรไว้ด้วยสองมือ ยกเขาขึ้นให้สองขาเรียวคล้องรัดช่วงเอวผมไว้แน่น หลังของเขาแนบไปกับผนังห้องน้ำที่ทั้งชื้นทั้งเย็น สองมือผมวุ่นวายอยู่กับการถอดทุกสิ่งทุกอย่างให้ลงไปกองกับพื้น

และในที่สุดเมื่อเราเหลือแค่เนื้อตัวเปลือยเปล่า มันก็เป็นอีกครั้งที่เราสองคนได้ใกล้กันมากกว่าเคย

ผมทั้งขบทั้งเม้มทั้งดูดดึงปากเรียวนุ่มที่ผมแสนคิดถึงครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนจะสูดดมกลิ่นกายหอมของเขาจากทุกซอก ลิ้มรสกายหวานของเขาด้วยลิ้นร้อนจากทุกมุมที่ผมไปถึง

ในบางครั้งที่อดใจไม่ไหว ผมก็เผลอกัดจนภัทรส่งเสียงร้องครางออกมา แต่มันไม่เพียงจะไม่ทำให้คนอย่างผมสำนึกผิด มันกลับปลุกให้ผมยิ่งอยากทำมันซ้ำ อยากจะย้ำในทุกรอยว่าเขาเป็นของผม

"อ่ะ..เป้~" เขาครางชื่อผมออกมาในตอนที่ผมทั้งดูดทั้งเลียตุ่มไตสีหวาน นิ้วที่ไม่เคยอยู่สุขของผมรุกล้ำเข้าไปในช่องทางแคบที่ผมแสนคิดถึง มันทั้งแน่นทั้งตอดรัดไม่หยุด แค่เพียงจินตนาการว่าผมจะได้เข้าไปข้างในนั้นอีกครั้ง มันก็เกือบจะทำให้ผมถึงฝั่งฝันได้เลยทีเดียว

ผมสัมผัสกลางกายของคนที่ผมรักที่สุดอย่างทะนุถนอม ถูไถมันขึ้นลงไปมาในตอนที่ผมพยายามสอดนิ้วที่สองและสามเข้าไปข้างในนั้น จนในที่สุดเมื่อผมรู้ว่าเขาเองก็พร้อมแล้วเหมือนกัน ผมจึงสอดตัวตนของผมที่รอไม่ไหวอีกต่อไปแล้วเข้าไปในที่ที่เป็นของมัน

"เป้~มันลึก" เพราะท่าทางที่เราเลือกใช้มันทำให้ผมสามารถเข้าไปได้ลึกกว่าเคย ตอนนี้ภัทรตัวสั่น น้ำตาที่มันเคยหยุดไหลไปแล้วร่วงลงมาอีกครั้ง แต่ถึงครั้งนี้สาเหตุของการร้องไห้มันจะเป็นเพราะผมเหมือนกัน แต่ผมกลับไม่ได้รู้สึกผิดอะไรเลยสักนิด

"คนดี..ไหวไหมครับ" เมื่อเขาพยักหน้ารับพร้อมเสียงหอบหายใจหนักๆ ผมก็เลยขยับตัวอีกนิด กระชับเราสองคนให้พร้อมกับท่วงท่าที่ผมตั้งใจจะทำ 

เมื่อเราทั้งคู่พร้อม ผมจึงเริ่มต้นขยับเข้าออกอยู่อย่างนั้น ออกแรงเน้นทุกจังหวะให้หนักและลึกที่สุด ย้ำมันซ้ำๆ เร็วและแรงขึ้นตามแรงอารมณ์ที่โหมกระหน่ำ

"เป้~ ..อ่ะ.."

ภัทรส่ายหน้าไปมาอย่างเกินจะกลั้น หลังของเขาถูขึ้นลงกับผนังชื้นตามจังหวะที่ผมเป็นคนกำหนด เล็บคมจิกลงเนื้อที่หลังผมครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อระบายความเสียวซ่าน เขาที่มักเขินอายไม่อาจจะกลั้นเสียงร้องของตัวเองได้อีกต่อไป

และภัทรก็ร้องออกมาดังที่สุดในจังหวะที่น้ำสีขุ่นหลั่งไหลออกมาจากตัวเขา เขาที่ปลายทางทั้งรัดทั้งตอดผมจนเพียงแค่ผมขยับตัวไม่กี่ครั้งก็ทนไม่ไหวปลดปล่อยทุกหยาดหยดเข้าไปในตัวเขา

ความร้อนที่ฉีดพุ่งเข้าไปทำให้ภัทรสะดุ้งเล็กน้อย ผมโอบกอดเขาไว้แบบนั้น กอดกันอยู่อย่างนั้น ในซอกหนึ่งของห้องน้ำเล็กๆแห่งนี้

"เค้า..เค้ารักภัทรนะ" ผมเอนตัวพิงกับผนังห้องน้ำทั้งที่ยังมีเขาอยู่ในอ้อมแขน ภัทรโน้มตัวลงมาแนบบนไหล่ของผม พยักหน้ารับคำในตอนที่เขาทำได้แต่หอบหายใจเสียงดังด้วยความเหนื่อยอ่อน

εїз

ผมรวบสองขาของภัทรขึ้น อุ้มเขาที่มีแค่ผ้าเช็ดตัวพันรอบด้วยท่าเจ้าหญิงออกมาจากห้องน้ำ วางอีกฝ่ายลงบนเตียงนุ่ม ก่อนที่จะผละออกไปเพื่อหยิบเสื้อผ้าของเขาจากในตู้ออกมาใส่ให้เขาทีละชิ้น

มันมีเสื้อผ้าของผมซ่อนอยู่ในมุมนึงของตู้จริงๆอย่างที่ภัทรบอก ผมหยิบมันใส่เร็วๆก่อนที่จะเดินกลับไปหาคนที่นั่งมองทุกการกระทำของผม ในทันทีที่ผมทรุดตัวลงข้างเขา เจ้าตัวก็รีบปีนขึ้นมานั่งบนตักผมอย่างคนรู้งาน

"เค้าเช็ดผมให้" ภัทรว่าอย่างนั้นก่อนจะนั่งคร่อมหันหน้าเข้าหากัน หยิบผ้าขนหนูผืนเล็กขยี้ผมเปียกๆของผมไปมาอย่างเบามือ

"นั่งแบบนี้เดี๋ยวเค้าก็ขึ้นอีกหรอก"

"พอแล้ว ไม่ว่าจะน้ำอะไรก็ไม่เหลือแล้วซักหยด"

"ภัทร!" ผมแหวให้กับคนที่เล่นมุกไม่เข้ากับตัวเลยสักนิด ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิกแก้มใสของเขาให้เจ้าตัวตีมือผมซ้ำๆ

"พอแล้ว ให้เค้าเช็ดให้ภัทรมั้ง" ผมว่าอย่างนั้นพร้อมกับจัดให้เขานั่งลงดีๆระหว่างขาทั้งสองข้างของผม ผมเปิดทีวีและส่งรีโมตให้ภัทรเลือกช่องในตอนที่ผมหยิบผ้าขนหนูของเขาขึ้นมาเช็ดผมให้

ภัทรเปลี่ยนช่องไปเปลี่ยนช่องมาอยู่อย่างนั้นเพราะเลือกมันไม่ได้จริงๆ จนเมื่อมันมาถึงช่องที่มีรายการเกี่ยวกับเกมเขาถึงหยุดเพราะคิดว่าผมคงสนใจ

"นี่ถ้าอยู่ด้วยกันก็ดีเลยเนอะ ไม่มีคนคอยแย่งเค้าดูทีวี กับไอ้บอลนะ เค้าไม่เคยได้ดูช่องที่อยากดูเลย" ผมว่าไปแบบนั้นตอนที่กำลังจดจ่ออยู่กับเนื้อหาของรายการ ภัทรไม่ได้ว่าอะไรได้แต่ยิ้มรับก่อนที่จะลุกเอาผ้าขนหนูของเราไปตากที่ระเบียง

"กินขนมไหม" เจ้าตัวถามเมื่อเขาเดินกลับเข้ามาในห้อง เมื่อผมตอบตกลง ภัทรก็เดินเลยผมไปทางตู้เย็น ก้มๆเงยๆอยู่แถวนั้นนานสองนาน เมื่อเขาตอบปฏิเสธตอนที่ผมเสนอตัวจะเข้าไปช่วย ผมก็เลยละทิ้งความสนใจจากเขา กลับมาสนใจกับรายการตรงหน้าอีกครั้ง

พรึ่บ!

จู่ๆไฟในห้องก็ดับ มีเพียงแสงจากโทรทัศน์เครื่องใหญ่ที่พอจะทำให้ผมเห็นอะไรได้บ้าง ในตอนที่ยังนั่งงงว่าอะไรเป็นอะไร เมื่อผมหันไปหาเขาผมก็เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างได้ในทันที

"Happy Birthday to you..happy birthday to you.." เขาที่อยู่หลังเค้กก้อนเล็กๆก้อนนั้นกำลังทำหน้าตั้งอกตั้งใจร้องเพลงวันเกิดพลางเดินถือเค้กอย่างระมัดระวัง

เสียงเพลงที่เปล่งออกมาจากปากเรียวนุ่มก้องกังวานจนทำให้ผมรู้สึกเหมือนอยู่ในฝัน อาจจะเพราะแสงเทียนที่ทำให้แววตาของภัทรดูเป็นประกายระยิบระยับในตอนที่เขาเงยหน้าขึ้นมาสบตากัน รอยยิ้มที่เขากำลังใช้มันทำให้หัวใจของผมเต้นรัวแรงกว่าเคย

"happy birthday to you..."

ผมหลับตาอธิฐานในตอนที่ภัทรร้องเพลงจบ ก่อนจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้งเพื่อเจอกับคนที่อยู่ในคำขอพรของผม ผมเป่าเทียนทุกเล่มจนดับสนิท มองตามใครอีกคนที่วางเค้กไว้ตรงโต๊ะกลมก่อนที่จะเดินไปเปิดไฟแล้ววิ่งกลับมานั่งคร่อมบนตักแล้วกอดผมไว้แน่น 

"สุขสันต์วันเกิดย้อนหลังนะครับ ขอโทษที่ทำให้วันเกิดปีนี้ของเป้มันแย่" เขาว่าเสียงสั่นให้ผมใจอ่อนยวบ ปกติแค่ภัทรที่เป็นภัทรมันก็ทำให้ผมไปไหนไม่รอดอยู่แล้ว แต่วันนี้ทั้งวันภัทรที่อยู่ในโหมดเด็กขี้อ้อนกำลังจะทำให้ผมหัวใจวาย

"มันจะเป็นวันเกิดที่เค้าไม่มีทางลืมเลย" ผมหัวเราะดังลั่นตอนที่เขาทำหน้างอและทุบผมซ้ำๆ ผมเอื้อมมือไปลูบผมปลอบเขาบอกว่าผมแค่ล้อเล่นจริงๆ 

"ไม่ต้องเอามันแล้วของคงของขวัญ"

"นี่มีของขวัญให้เค้าด้วย"

"ไม่ให้แล้ว!" ภัทรว่าแบบนั้นพร้อมกอดอกแล้วสะบัดหน้าหนี แต่ทั้งๆที่ดูงอนขนาดนั้นเขาก็ยังไม่ยอมลงจากตักผมอยู่ดี

"โอ๋ๆ เค้าขอโทษน้า ขอเค้าดูหน่อยน้า" ผมรวบเอวดึงเขาเข้ามากอด เอาหน้าผากทิ่มไหล่เจ้าตัวซ้ำๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นจุ๊บไปทั่วทุกแห่งหนที่ผมจะสามารถทำได้

"เป้~ อย่า มันจั๊กจี้~" 

"ขอ..(จุ๊บ)..เค้า..(จุ๊บ)..ดู..(จุ๊บ)..ของ..(จุ๊บ)..ขวัญ..(จุ๊บ)..หน่อย..(จุ๊บ)..นะ"

"พอแล้วๆ โอเค ปล่อยก่อนสิ" ผมยิ้มแป้นเมื่อในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหว คลานออกจากตักผมไปเปิดลิ้นชักตรงโต๊ะข้างหัวเตียง หยิบกรอบรูปสีขาวอันเล็กๆออกมายื่นมันมาให้ผม

"เค้าทำเอง ไม่รู้ว่าเป้จะชอบไหม"

ผมรับกรอบรูปกรอบนั้นมาจากมือเขา มองดูด้านในอย่างพินิจพิจารณา มันเป็นงานฝีมืออย่างที่เจ้าตัวบอก ถ้ามันเป็นภัทรที่ลงมือทำเองอย่างที่เขาว่า ผมก็คิดว่าอีกฝ่ายต้องตั้งใจเอามากๆ เพราะมันเนี้ยบและเรียบร้อยมากจริงๆ

"เป้จำผีเสื้อตัวนี้ได้ไหม"

"ทำไมจะจำไม่ได้ ก็เค้าเพิ่งหนีไปร้องไห้กับมันมาตอนวันเกิดเองนี่น่า"

"เป้ไปมาหรอ" เขาตาโต คลานกลับมาบนตักผมอีกครั้ง เขย่าตัวผมไปมาเพราะผมไม่ยอมตอบเขาสักที

"อือ เค้าตั้งใจจะรับภัทรไปด้วยกัน แต่วันนั้นใครก็ไม่รู้มัวแต่หลบอยู่ในห้อง"

และก็เป็นผมที่ทำเขาร้องไห้อีกครั้ง ผมนั่งกอดคนที่ทุบตีผมไม่ยั้ง พร่ำบอกว่าเขาเกลียดผมมากมายขนาดไหนที่ชอบทำตัวดีเกินเหตุ ที่ชอบคิดถึงแต่เขาอยู่ตลอดเวลา

"วันนั้นเค้าคิดจริงๆนะว่าเค้าคือผีเสื้อตัวนั้น" ผมว่าเมื่อภัทรเริ่มสงบลง นั่งกอดผมอยู่อย่างนั้นจนตัวเราสองคนจะติดหนึบเป็นก้อนเดียวกันอยู่แล้ว 

"เค้าเป็นผีเสื้อที่คอยทำให้ดอกไม้สีขาวเสียใจ เป็นผีเสื้อที่ดอกไม้นั้นไม่อยากให้เค้าเข้าใกล้"

"เค้าต่างหากที่เป็นผีเสื้อ!" คนที่กอดรัดตัวผมแน่นเอ่ยออกมาในที่สุด ท่าทางมุ่งมั่นเกินเหตุของเขาทำให้ผมไม่กล้าเถียง ได้แต่ยิ้มฟังสิ่งที่เจ้าตัวตั้งใจจะเล่า

"ส่วนเป้ก็เหมือนดอกไม้สีขาวช่อนั้น มีแมลง มีผีเสื้อมากมายอยากเข้าหา เป็นกลุ่มดอกไม้ที่ให้ทั้งความหอมชื่นใจ ทั้งความสดใสสบายตา เป็นดอกไม้ที่ใครก็อยากได้เป็นเจ้าของ"

"..."

"และเค้าก็เป็นผีเสื้อสีขี้เหร่ ที่ทำได้แต่ชื่นชมมันอยู่ห่างๆ เพราะถ้าเค้าเข้าใกล้ สีขี้เหร่ของเค้าก็จะไปทำให้ดอกไม้แปดเปื้อน"

ในทุกครั้งที่เราไปที่นั่น ผมสังเกตเห็นมาตลอดว่าภัทรชอบมองเจ้าผีเสื้อตัวนั้น ผมรู้สึกเจ็บปวดที่ตลอดมาเราสองคนมักจะตีความทุกเรื่องในแง่ลบที่สุดเพื่อทำให้ตัวเราเองเสียใจ มันเจ็บจนผมสัญญากับตัวเองว่า ผมจะไม่มีวันปล่อยให้มันเป็นอย่างนั้นอีก

"หนึ่งคือเจ้าผีเสื้อตัวนี้มันไม่ได้ขี้เหร่" ผมว่าพร้อมโน้มไปขบจมูกแดงของเขาให้ภัทรครางออกมาเบาๆ

"และสอง สำหรับเค้าแล้วภัทรคือดอกไม้สีขาวช่อนั้น ที่ไม่ว่าจะต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหนเค้าก็จะบินไปอยู่ใกล้ๆให้ได้"

"..."

"แต่ถ้าภัทรอยากจะเป็นผีเสื้อ เค้าก็จะยอมเป็นดอกไม้สีขาวให้ เป็นดอกไม้ที่ไม่ยอมให้แมลงหรือผีเสื้อตัวไหนเข้าใกล้นอกจากผีเสื้อปีกเหลืองคาดดำ จะคอยพ่นพิษออกมาไล่ตัวอื่นๆออกไปให้หมดเลยดีไหม"

"มันพ่นพิษได้ที่ไหนเล่า"

"ได้ดิ ตรงเกสรมันมีที่ให้พ่นพิษออกมาได้ ระเบิดเกสรก็ได้นะ"

"เป้ขี้โม้อ่ะ" เขาหัวเราะหึเมื่อผมยังเล่าต่อด้วยท่าทางโอเว่อร์เกินเหตุ

"เค้าจะพ่นใส่ให้หมดเลย คอยดูนะ ใครมายุ่งกับผีเสื้อของเค้านะตายแน่! แล้วพอภัทรบินมาใกล้ๆนะ เค้าก็จะใช้ลิ้นตวัดแล้วรวบภัทรเข้ามาแบบนี้!"

"นี่มันดอกอะไรเนี้ย!" ภัทรร้องโวยวายพร้อมหัวเราะไม่หยุดตอนที่ผมรวบเอวเขาทำท่าเหมือนดอกไม้กินคนที่ใช้ลิ้นยาวตวัดกินแมลง 

"แล้วเค้าจะกิน กิน กินให้หมดไม่เหลือเลย" ผมดันเขาให้นอนหงายลงฟูก กัดงั่มๆไปทั่วให้เจ้าตัวร้องโวยวายลั่นไม่หยุด

เรานอนเล่น นอนกินเค้กกันอยู่อย่างนั้น ผลัดกันเล่าเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นในช่วงที่เราไม่ได้คุยกัน มีสาระบ้างไม่มีสาระบ้าง แต่มันก็ทำให้ผมพบว่าโลกของเรามันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว มันกว้างขึ้นกว่าเดิม ทั้งเขาและผมต่างก็ได้พบเจอผู้คนมากมาย มีโลกใบใหม่ที่ต่างฝ่ายต่างเข้าไปไม่ถึง

แต่ผมก็รู้แล้วเหมือนกันว่าเราไม่จำเป็นต้องรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ขอเพียงแค่ในตอนสุดท้ายของวัน เรายังได้มานอนคุยกันแบบนี้ ได้อยู่ด้วยกันแบบนี้

ให้เขายังได้เป็นภัทรคนเดิมของผม

และผมยังคงเป็นเป้ของเขา

ถ้าเรายังมีกัน ยังเชื่อมั่นในกันและกันอยู่แบบนี้ ผมว่าต่อให้อะไรๆจะเปลี่ยนแปลงไปมากแต่ไหน เราก็ไม่จำเป็นต้องกังวล หรือต้องกลัวอะไรเลยจริงๆ

εїз

ณภัทร

ผมลืมตาตื่นขึ้นมาในเช้าของวันใหม่ ร่างกายที่เมื่อยล้าไปทุกส่วนเป็นเครื่องย้ำเตือนให้ผมรู้ว่าเรื่องราวเหมือนฝันที่เกิดขึ้นเมื่อวานมันเป็นเรื่องจริงทั้งนั้น

ผมพลิกตัวอย่างยากลำบากเพราะน้ำหนักอันมากมายที่วางพาดลงบนตัวผม แต่ในที่สุดเมื่อผมพลิกกลับไปเผชิญหน้ากับเขา ผมก็ได้แต่บอกตัวเองว่าชีวิตของผมตอนนี้มันดีเหลือเกิน ว่าผมช่างโชคดีเหลือเกินที่ได้ตื่นมาแล้วมีเขาอยู่ตรงนี้

จู่ๆในหัวของผมก็มีเพลงเพลงหนึ่งดังก้อง ผมเอี้ยวตัวไปหยิบโทรศัพท์พร้อมกับหูฟังสีขาวที่วางอยู่ข้างกันมาไว้ในมือ

ผมเสียบหูฟังข้างหนึ่งไว้ที่หูผม ใจเต้นตุ่มๆต่อมๆตอนที่พยายามจะเสียบหูฟังอีกข้างไว้บนหูของคนที่นอนหลับตะแคงข้างไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร

I know you're mad when you can't even look at me in my eyes

And when you say you're sad, I need you better, make it worse when I try

But when you say nothin', it's like you stuck a knife in my side

I know the feeling, it's not easy being stuck with me tonight

ผมหัวเราะตอนเป้มุ่ยหน้าเมื่อจู่ๆก็มีเสียงดังข้างหู เขาที่สะลึมสะลือลืมตาขึ้นมาในที่สุด ยกยิ้มกว้างที่ผมชอบเอามากๆเมื่อเห็นผมยิ้มให้อยู่ก่อนแล้ว

ผมว่าตอนนี้ผมคงมีความสุขมากจริงๆ มันมากพอที่จะทำให้ผมโน้มหน้าไปหาเขา ก่อนที่จะประทับริมฝีปากของผมลงบนริมฝีปากนุ่มนิ่มนั่นเบาๆ

จุ๊บ

"อรุณสวัสดิ์ครับ"

และมันก็เป็นตอนนั้นที่เรามาถึงท่อนเพลงที่ทำให้ผมคิดถึงเขาที่สุด

To make things right, these things take time

เพราะบางครั้งกว่าที่เราจะทำอะไรๆให้มันถูกต้อง บางทีมันต้องอาศัยระยะเวลา

So hold me, hold me 'til the river runs dry

I'm holding, holding onto you for dear life

และมันอาจจะต้องใช้ความเชื่อมั่นทั้งหมดเพื่อที่จับมือกันข้ามผ่านทุกสิ่งทุกอย่างไปให้ได้

'Cause I never know the words to say, but you forgive me anyway

Even though we both know I'm the reason you cry

และมันก็เป็นเขาที่ให้อภัยผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ว่าจะกี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่ผมทำให้เขาร้องไห้

"ร้องไห้อีกแล้ว" เป้เอื้อมมือมาเช็ดน้ำตาที่ไม่รู้ว่าไหลลงมาตอนไหนของผม ก่อนที่จะดึงผมเข้าไปจูบอีกครั้ง

"เค้ารักเป้นะ"

"รักเค้าแล้วร้องทำไม หืม" เขาถามผมกลั้วหัวเราะ ดึงผมเข้าไปจุ๊บหน้าผากอีกครั้งเบาๆ ผมซุกตัวอยู่ในอกกว้างอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้ความรู้สึกนึกคิดมากมายล่องลอยไปตามเสียงเพลงที่เปิดคลอข้างหู

"อ่ะ" ผมยื่นโทรศัพท์มือถือของผมที่เปิดแอปเฟสบุ้คเอาไว้ให้เขา เป้ทำหน้างงจนผมอดอมยิ้มออกมาไม่ได้

"ถ้าเป้อยากตั้งสถานะ ก็ทำให้เค้าด้วยได้ไหม" แทนที่เขาจะรับโทรศัพท์ไปทำในสิ่งที่เจ้าตัวขอผมมาตลอดตั้งแต่มอสอง เป้กลับเหวี่ยงมันลงฟูก ดึงผมที่ยังงงๆเข้าไปจูบหนักๆหลายครั้งหลายครา

"เป้...ทำอะไรเนี้ย"

"ก็หมั่นเขี้ยว ภัทรน่ารักเกิน"

"อะไรเล่า แล้วจะไม่ตั้งแล้วหรือไงสถานะเนี้ย"

"ไม่แล้ว"

"หืม..."

"ก็ภัทรไม่ชอบนี่น่า"

"มันก็ไม่ใช่ว่าเค้าไม่ชอบ..แต่เค้าแค่..."

"เค้าเข้าใจ ภัทรแค่ไม่อยากทำตัวเป็นหัวข้อให้ใครต่อใครเอาไปพูดใช่ไหมล่ะ"

"..."

"เพราะงั้นเค้าถึงบอกว่าไม่เป็นไรไง แค่เรารู้กันสองคนก็พอแล้วเนอะ"

"..."

"ไม่เอา วันนี้ไม่ร้องแล้ว เดี๋ยวน้ำจะหมดตัวเอาจริงๆนะ" เป้ว่าแบบนั้นตอนที่ผมตั้งท่าจะร้องไห้อีกแล้ว ก็จะให้ทำยังไงได้ ทั้งหมดมันเป็นเพราะเขา เพราะเขาทั้งนั้น

"ก็เป้อ่ะ ชอบทำตัวเป็นผู้ใหญ่กว่าตลอดเลย" ผมว่าไปปาดน้ำตาที่มันไหลบ้าไหลบอไม่หยุด

"เหมือนเค้าต้องคอยให้เป้ดูแลตลอด มันเจ็บใจที่ในที่สุดเหมือนเค้าจะยอมเชื่อแล้วจริงๆว่าเป้รักเค้ามากกว่า"

มันเคยเป็นสิ่งที่เราสองคนชอบเถียงกันมาตลอด เป้ชอบบอกผมว่าเขารักผมมากกว่าที่ผมรักเขา ผมเถียงมันเป็นจริงเป็นจริงเสมอ ก็มันจะเป็นไปได้ยังไงในเมื่อผมรักเขาตั้งมากเท่านี้ มันจะเป็นไปได้ยังไงที่ใครคนหนึ่งจะรักใครอีกคนได้มากไปกว่านี้

แต่มันก็เป็นเป้ที่พิสูจน์มันมาตลอด ว่าเขาให้ผมได้มากกว่าที่ผมคิดว่าเขาจะให้ได้ ว่าเขาเข้าใจผมได้มากกว่าที่ผมคิดว่าเขาจะเข้าใจ ว่าเขารักผมมากกว่าที่ผมคิดว่าเขาจะรัก

"งั้นภัทรก็ต้องรักเค้าเยอะๆสิ ห้ามยอมแพ้เค้านะ"

เป้ปลอบผมอย่างนั้นก่อนที่เราจะสวมกอดกันอีกที ผมที่ตอนนี้มีจุดมุ่งหมายใหม่ในชีวิตสวมกอดเขาแน่น คิดหาวิธีการที่จะเอาชนะ คิดหาวิธีที่จะรักเขาให้ได้เยอะๆ

ผมรู้ว่ามันก็คงเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ ถ้าผมพยายามมากๆมันจะมีวันนั้น วันที่ผมจะรักเขาได้มากกว่าที่ตัวเองเคยคิด รักเขาได้มากกว่าที่เขารักผม

มันจะมีวันนั้น



*******

#ณภัทรปณวัช

อีนุ้งเป้ // เฟี้ยงหมอนใส่ // แกมันหื่นอ่ะ จิตใจแกทำด้วยอะไร เป็นnc ที่เขียนแล้วเกลียดความคิดพระเอก 555 สารภาพเลยว่าเขียน nc กี่ทีก็ไม่ถนัดจริงๆ นับถือคนที่เขาเขียนได้เป็นหน้าๆจริงๆนะ ยากจริงไรจริง งืออ อีนุ้งเป้ บ้าๆๆๆ

ออฟไลน์ Maywrite

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
#ณภัทรปณวัช

11 เรื่องของการเปิดตัว



ณภัทร

"ขอบคุณครับ" ผมจ่ายเงินพร้อมยกแก้วน้ำมะพร้าวปั่นสามแก้วจากร้านใต้คณะไปที่โต๊ะไม้ที่มีเพื่อนผมอีกสองคนนั่งรออยู่

"มาแล้ว น้ำมะพร้าวปั่นเย็นๆ เราเลี้ยงเอง~" น้ำเสียงที่ถูกปรับให้ร่าเริงเกินปกติกับรอยยิ้มกว้างๆของผมไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นเลยสักนิด ร่มหน้านิ่วคิ้วขมวดมองหน้าผมไม่ยอมกระพริบตา ส่วนนิว..

"เย็นมากไหม เย็นพอจะเอามาประคบตาเราได้หรือเปล่า"

"โธ่~ นิว อย่าพูดแบบนี้สิ" ผมว่าพร้อมเขย่ามือเขาเบาๆให้เขาร้องโอ๊ย บอกว่าอย่าเขย่าแรงมากเพราะมันจะสะเทือนถึงแผลที่โดนเป้ต่อย

ผมรู้ว่าที่เขาพูดมันออกจะโอเว่อร์เกินจริง แต่เพราะตอนนี้มีชนักติดหลัง ยังไงก็ต้องยอมตามน้ำไปก่อน

"ใครจะไปรู้วะว่าเป็นแฟนกัน ไหนบอกว่าเพื่อนโรงเรียนเก่า แหม๋ เปิดตัวทีเล่นซะเราตาเขียวเลยนะ" ผมหัวเราะแหะๆหันไปสบตาร่ม แต่นอกจากมันจะไม่ขำด้วย มันยังจ้องผมอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ

"ร่ม~ อย่าโกรธเราเลยนะ"

"เงียบไปเลยนะภัทร เมื่อวานอุตส่าห์ช่วยตั้งเยอะ ใครจะรู้ว่าที่จริงก็ไม่ใช่ใครที่ไหน" ร่มโพธิ์เชิดหน้าใส่ผมจนผมใจเสีย แต่พอมันเอื้อมมาหยิบน้ำมะพร้าวปั่นผมก็ใจชื้นขึ้นมา ผมรีบทำตามโดยการเอื้อมมือไปหยิบน้ำมะพร้าวปั่นมาดูดให้ชื่นใจบ้าง

"เราอุตส่าห์จะให้ภัทรช่วยเราจีบเป้สักหน่อย" ผมสำลักน้ำตอนที่ร่มบอกอย่างนั้น จนนิวต้องรีบลุกมาตบหลังเพราะผมไอไม่หยุดน้ำหูน้ำตาไหลเต็มไปหมด

"เฮ้ย!! เราล้อเล่น อย่าเพิ่งมาเป็นอะไรนะ"

"ละ..ล้อเล่นจริงๆใช่ไหม" ผมถามออกไปอย่างกล้าๆกลัวๆ

"อืม ก็แค่จะแกล้งเฉยๆ หมั่นไส้คนมีความรัก" มันว่าอย่างนั้นพร้อมเอื้อมมือมาบีบจมูกผมส่ายไปมา ผมยิ้มแป้นเมื่อเห็นว่าร่มคงจะล้อเล่นจริงๆ และเหมือนว่าผมเองจะได้รับการยกโทษจากเพื่อนทั้งสองคนแล้วจริงๆ 

"วันนี้เป้มีเรียนเช้า เลยไม่ได้มาขอโทษนิวด้วยตัวเอง แต่วันหลังเป้บอกจะพาไปเลี้ยงข้าวเป็นการไถ่โทษนะ"

"..."

"นิว..เลิกโกรธเถอะนะ เป้บอกว่าอยากชวนนิวขึ้นร้องเพลงด้วยกันในงานดนตรีด้วยนะ เราให้เป้ดูคลิปที่นิวร้องเพลงในเฟสบุ๊ค เป้บอกเพราะมากเลย คราวนี้รับรองคนรู้จักนิวทั้งมหา'ลัยแน่ๆ" เมื่อผมว่าอย่างนั้นนิวก็เหมือนจะยอมใจอ่อนขึ้นมานิด หนิบน้ำมะพร้าวปั่นของผมขึ้นมาดูด ผมอมยิ้มพร้อมหันไปมองหน้าร่มที่คว่ำปากอย่างหมั่นไส้ผมเต็มที่

"จ้า ง้อเก่งทั้งผัวทั้งเมียจ้า"

"แล้วนี่ก็ของร่ม เป้หาบัตรมาให้สิบใบ ไม่ต้องจ่ายจ้า"

"จ้า เอาใจชั้นไปเลยจ้า" ร่มว่าพร้อมรวบบัตรไปยัดใส่กระเป๋าสะพายข้างของตัวเองทันทีจนผมอดยิ้มไม่ได้ 

"โอเค ไม่โกรธแล้วก็ได้ แต่ต้องเล่าให้เราฟังละเอียดๆเลยนะ มันเริ่มจากตรงไหน อะไรยังไง" ผมพยักหน้ารับ ก่อนจะใคร่ครวญอีกนิดว่าควรจะเริ่มจากตรงไหน เมื่อรวบรวมสติได้ก็เลยเริ่มต้นเล่าเพราะไม่คิดจะปิดบังอะไรเพื่อนอีกแล้ว

"ก็คือที่จริงเรากับเป้คบกันมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่มอสองอ่ะ" ผมเริ่มเล่าเรื่องราวของเราอีกครั้ง เพื่อนทั้งสองของผมตั้งอกตั้งใจฟังโดยไม่ได้ออกความคิดเห็นอะไร

มันมีบางครั้งที่ผมรู้สึกหวิวๆเหมือนกันเมื่อต้องหวนคิดไปถึงวันที่แสนทรมานในอดีต แต่ผมก็เตือนตัวเองในทันทีว่าผมผ่านมันมาแล้ว ว่าตอนนี้ผมยังมีเป้ของผม และนั่นก็ทำให้ผมกลายเป็นคนที่มีความสุขที่สุด

"นั่นแหละ แล้วเมื่อวานก็คือเค้าบอกจะมาหาที่ห้องเพื่อคุยกัน เราก็เลยอยากแก้ตัวทำอาหารกับเตรียมเค้กให้เขา เพราะเราอยากชดเชยที่เราทำให้วันเกิดของเขาพัง" ผมเล่าต่อถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน

"แล้วคือที่เป้ใจร้อนขนาดนั้น ก็เพราะเขาหึงนิวมาก่อนแล้วเพราะเขาไปเห็นรูปคู่เราตามเพจอ่ะ พอมาเห็นนิวเหมือนจะหอมเราเขาเลยฟิวส์ขาด"

"ก็เราไม่รู้นี่น่าว่าภัทรมีแฟน เราก็แค่เล่นสนุกๆเอง"

"ตอนนี้รู้แล้วก็ลบซะ แล้วไปบอกแอดมินเพจด้วยนะ" ร่มเสริมขึ้นมาในทันที

"ได้เลย เราขอโทษจริงๆนะภัทรที่ทำให้ลำบาก"

"หึย ความผิดเราเองแหละ ก็เราไม่ยอมบอกใครเองนี่น่า เรามัวแต่เก็บเงียบมาตลอด"

"แต่พูดจริงๆคือเป้โครตดีอะ เป็นเราเรานี่งอนตาย คือคบมา 4 ปีแล้วไม่มีใครรู้ แล้วยังมีหน้ามาบอกว่าเป็นเพื่อนเก่าอีก เป็นเราเราคงทนไม่ไหว วีนแตกไปแล้ว"

"..."

"อ่ะ ขอโทษนะ เราไม่ได้ตั้งใจจะว่าภัทรนะ เราก็แค่.."

"ไม่เป็นไรเลย ร่มก็พูดถูกจริงๆนั่นแหละ" ผมรีบตอบกลับไปแบบนั้นเมื่อร่มเริ่มหน้าเสีย

"ต่อไปนี้เราถึงจะพยายามทำเพื่อเขามากขึ้นอย่างวันนี้ เดี๋ยวเป้เขาจะมารับเราตอนเย็น เราจะไปเลี้ยงสายกับเขา เราอยากลองเป็นฝ่ายปรับตัวเข้าหาเขาบ้าง อยากลองรู้จักกับคนที่สำคัญในชีวิตของเป้บ้าง"

"หืม..เป้อยู่สายพี่ดินไม่ใช่หรอ"

"อือ ร่มรู้จักหรอ"

"จะไม่รู้จักได้ไงเล่า! พี่ดินคนหล่อ นิสัยดี ร้องเพลงเก่ง เล่นกีต้าร์เพราะ สเป๊กเลยอ่ะ! เราไปด้วยดิ! นะ นะ อยากรู้จักพี่เขา!"

"ไปด้วยกันสิ แฟนเขาก็หล่อพอกัน ถ้าแกอยากเจอ พี่เขาก็มานะ" ผมว่าให้มันหน้ามุ่ย ด่าว่าผมจะรีบดับฝันมันทำไม

ผมได้แต่หัวเราะทั้งๆที่จริงๆแล้วยังกังวลอยู่เต็มหัวใจว่าผมจะทำยังไงดีเวลาที่ไปเจอพี่ๆเขา ไม่รู้ว่าพวกเขาจะชอบผมไหม ไม่รู้ว่าผมจะทำให้งานกร่อยหรือเปล่า แต่ไม่ว่ายังไงผมก็จะลองดูสักตั้ง ผมจะพยายามให้เต็มที่

เพื่อเป้คนที่ผมรัก ผมจะทำมันให้ดีที่สุด

εїз

ปณวัช

[คือสรุปเป็นเพราะแม่มึงห้าม ไม่ใช่ว่าเขาไม่รักมึงแล้วนะ] ไอ้เดี่ยวที่อยู่ปลายสายสรุปเรื่องที่ผมเล่ามายืดยาวภายในประโยคเดียว ผมที่เล่าไปยิ้มไปพยักหน้ารับคำอย่างภูมิอกภูมิใจ

"ใช่ ที่เขาทำไปทั้งหมดก็เพราะเขารักกูทั้งนั้น ภัทรบอกว่าไม่เคยเลยที่จะไม่รัก แล้วยังบอกอีกว่า.."

[พอๆ ไอ้เหี้ยเป้ คือกูจะอ้วก ตั้งแต่มึงเล่ามา กูได้ยินคำว่าภัทรรักมึงประมาณล้านรอบ]

"ทำไม มึงอิจฉากูล่ะสิไอ้บอล คนไร้คู่แบบมึงจะมาเข้าใจคนที่มีรักแท้แบบกูได้ยังไง" ผมว่าให้ไอ้บอลที่อยู่ในอีกสายบ่นอุบอิบ มันเหมือนอยากจะด่าอะไรผมสักอย่าง แต่ก็อ้ำๆอี้งๆแล้วเงียบไปเองซะอย่างนั้น

[เออๆ สรุปว่าจบแบบแฮปปี้เอนดิ้งก็ดีแล้ว คือเขาก็บอกพ่อเขาแล้วใช่ไหม]

"อือ แต่เหมือนที่จริงพ่อเขาก็รู้มาตลอด กูว่าปิดเทอมนี้จะไปเคลียร์ให้รู้เรื่องทั้งบ้านเขาบ้านกูเลย"

[ดีใจกับมึงด้วยวะปณวัช แล้วก็ดีใจกับมึงด้วยธนพล หมดทุกข์หมดโศกซะที ไม่ต้องมาคอยดูแลเด็กขี้แยแล้ว]

"มึงก็เว่อร์กันเหอะ กูไม่ได้งอแงขนาดนั้นไหม"

[เหรออออออ/เหรอออออ] ผมหัวเราะดังลั่นเมื่อพวกมันพูดออกมาแถมกลอกตามองบนพร้อมกัน พวกเราด่ากันไปด้วยคุยกันไปด้วยสักพัก ก่อนที่จะตกลงกันได้ในที่สุดว่าจะให้ไอ้เดี่ยวนั่งรถมานอนกับพวกผมอาทิตย์หน้า เพราะมันจะได้มาเที่ยวเทศกาลดนตรีของคณะผมด้วย

"เออ งั้นเดี๋ยวกูเข้าเรียนก่อนนะ งั้นเจอกันอาทิตย์หน้านะไอ้เดี่ยว ส่วนไอ้บอล วันนี้กูไม่กลับห้องนะ"

ผมขยิบตา ทำหน้าเซ็กซี่ส่งให้มันแล้วกดตัดสายตอนที่มันทำท่าจะด่าอะไรผมออกมาซักอย่าง อดยิ้มกับตัวเองไม่ได้ที่มีความสุขได้มากมายขนาดนี้ ผมยัดโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกง ก่อนจะรีบเดินเข้าห้องเรียนเพราะนี่ผมก็เลทมาหลายนาทีแล้ว

"ไง ไอ้สิง ไอ้โย อาจารย์ยังไม่มาหรอวะ" ผมทักทายพวกมันสองคนที่นั่งจองที่กันอยู่แล้วพร้อมกับทรุดตัวลงตรงที่นั่งข้างไอ้สิงที่ว่างอยู่

"ยังไม่เข้าเลย อาจารย์ฝากมาบอกว่าจะเลทครึ่งชั่วโมง ให้นั่งอ่านหนังสือกันไปก่อน" ผมพยักหน้ารับ หยิบหนังสือจากในกระเป๋าขึ้นมาพลิกหน้าที่อาจารย์สอนค้างไว้จากคาบที่แล้ว 

ในตอนที่กำลังตั้งใจว่าจะอ่านทวนมันสักรอบ ไอ้สิงก็ใช้ศอกมากระทุ้งแขนผมเบาๆ ก่อนจะยื่นหน้าเข้ามากระซิบ

"ได้ข่าวว่าเมื่อคืนไม่กลับห้อง"

"ไอ้เหี้ยบอล" มันหัวเราะดังลั่นจนเพื่อนหลายคนหันมามอง ผมใช้หนังสือตีหัวมันเบาๆเป็นการเตือนสติ มันจึงลดเสียงตัวเองลงอีกครั้ง หันมาคุยกับผมด้วยท่าทางอยากรู้อยากเห็น

"ตกลงกลับไปคบกันแล้วไง"

"คือพวกกูไม่เคยเลิกกัน แค่ห่างกันเฉยๆ"

"ไอ้หน้าหมา คือถ้ากูไม่ได้เป็นคนเช็ดขี้มูกมึงวันนั้นกูก็จะเชื่ออยู่หรอกนะ" ผมกำหมัดแน่นทำท่าจะต่อยมัน แต่มันก็คือมันที่หัวเราะกลับมาไม่เคยกลัวผมเลยซักนิด

ผมต้องล้มเลิกความตั้งใจที่จะเล่าเรื่องทั้งหมดให้มันฟังเพราะอาจารย์เดินเข้าห้องเรียนมาพอดี มันเลยบอกว่าให้ผมไปกินข้าวเที่ยงกับมันวันนี้ ห้ามหนีไปหาภัทรเพราะมันอยากรู้เรื่องทั้งหมดและมีเรื่องจะคุยกับผมด้วยเหมือนกัน

"มึงมีอะไรจะคุยกับกูวะ ทำไมลับๆล่อๆจัง" ผมว่าตอนที่เราสองคนนั่งอยู่ในโรงอาหารของคณะ ก็ผมเล่าเรื่องทั้งหมดให้มันฟังแล้วแต่มันก็ดูไม่ได้จะสนใจอะไรเท่าไหร่ ไม่สิ ถ้าจะว่ากันจริงๆ ผมว่าสติมันไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไหร่

ผมก็เลยลองถามมัน ว่าตกลงมันน่ะอยากคุยอะไรกับผมกันแน่ แต่มันนี่แหละท่าเยอะ มันมองซ้ายมองขวาเหมือนระแวงอะไรสักอย่างอยู่นั่น ทำท่าจะพูดก็ไม่พูดสักที ผมนี่งงไปหมดแล้ว

"คือ..กูมีเรื่องจะเล่าให้มึงฟังว่ะ" มันเริ่มต้นคำนี้เป็นรอบที่ร้อยได้แล้วมั้ง แต่แทนที่มันจะเริ่มเล่าเพราะผมรอฟังอยู่มันกลับอ้ำๆอึ้งๆอ้าปากแล้วก็หุบ แล้วก็อ้าปากใหม่อีกรอบ

"โอ๊ย! กูไม่อยากรู้แล้วได้ไหม เสียเวลากูมาก คือกูควรได้นั่งจู๋จี้กับแฟนกูไหม"

"เออๆ ไอ้เหี้ยใจเย็น เล่าแล้วๆ" มันดึงแขนผมตอนที่ผมลุกขึ้นยืนค้ำโต๊ะโวยวายอย่างสุดทน ผมทรุดตัวลงตามแรงดึงของมันอีกครั้ง เลิกคิ้วอย่างแปลกใจจริงๆว่าอะไรกันนะ ที่ทำให้คนอย่างมันมานั่งกัดเล็บเม้มปากแน่นอมพะนำอยู่แบบนี้

"กูชอบไอ้บอล"

"ห๊ะ" ผมอ้าปากค้างตอนที่มันบอกผมมาอย่างนั้น ผมสารภาพเลยว่าผมคิดไปหลายเรื่องว่าไอ้สิงมันอยากจะพูดเรื่องอะไร แต่ต้องยอมรับเลยจริงๆว่าเรื่องนี้ไม่ได้ผ่านเข้ามาในหัวเลยสักนิด ผมมองมันที่พยักหน้าซ้ำๆเป็นการบอกว่าผมฟังไม่ผิดหรอก

"กูรู้ตัวตั้งแต่วันที่ไปสวนผึ้งด้วยกัน วันนั้นที่กูกับมันนอนห้องเดียวกัน ตอนที่มันหลับ.."

"ไอ้เชี่ย..มึงลักหลับมันหรอ"

"เห้ย เปล่าๆ ฟังก่อนดิวะ คือวันนั้นมันเมามาก แล้วแม่งกอดคลอเคลียกูอยู่นั่นแหละ กูรำคาญกูก็เลยลุกว่าจะไปด่า แต่พอได้ไปจ้องมันใกล้ๆ..."

"ไอ้สิง ด้วยความเคารพ มึงทำกูขนลุก มึงจะหน้าแดงบิดนิ้วทำไมเนี้ย!"

"ไอ้เป้ ทีมึงร้องไห้เป็นหมากูเคยถากถางมึงไหม" เมื่อมันแหวขึ้นมาแบบนั้นผมก็เลยรีบขอโทษขอโพยมัน มันเลยกลับไปอยู่ในโหมดใยไหมของมันอีกครั้ง

"พอกูได้ไปยืนจ้องมันใกล้ๆ..."

"พอมึงได้ไปยืนจ้องมันใกล้ๆ..."

"เฮ้อ..ไม่รู้อีท่าไหน มารู้ตัวอีกทีคือกูกำลังจูบมันแล้ว"

"เห้ย! แล้วไอ้บอลมันรู้ตัวเปล่า มันหลับอยู่หรือไงวะ"

"ก็เนี้ยแหละที่ทำให้กูจะบ้าตาย ถึงกูจะเมาแต่กูก็จำได้ดี ไอ้บอลมันจูบตอบกูมาด้วย แล้วกูคิดว่ามันจำเรื่องวันนั้นได้"

"แล้วไงต่อ แล้วทำไมมึงไม่ถามมันให้รู้แล้วรู้รอดเลยวะ"

"ก็มันอะดิ มันทำเหมือนมันจำอะไรไม่ได้ซะงั้น กูลองเกริ่นๆดู มันก็บอกว่ามันเมาหลับไม่รู้เรื่อง"

"มันอาจจะจำไม่ได้จริงๆหรือเปล่ามึง"

"ไม่มีทาง มันจะจำไม่ได้ได้ยังไง ก็จูบวันนั้น...คือมัน..มันแบบดีฉิบหาย ดีแบบโครตพ่อโครตแม่ แบบทำกูนอนไม่หลับเลย แบบดีจนกูคิดว่ากูคงจูบกับใครไม่ได้ตลอดชีวิต"

"เออๆๆ พอๆกูเข้าใจแล้วว่ามันดีมาก มึงไม่ต้องบรรยายซะกูเห็นภาพขนาดนั้นก็ได้ แล้วคือมึงมาบอกกูทำไมวะ จะให้กูช่วยอะไร"

"นี่สิเพื่อนแท้! มึงมันดีต่อใจ ไม่มีมึงกูจะอยู่ได้ยังไง"

"พอ ไอ้สิง พอ! นี่มึงเป็นคนแบบนี้หรอวะ มึงจะเข้าเรื่องสักทีได้ไหม"

"โอเคๆ มึงนี่ก็ใจร้อนเหมือนกันเนาะ" มันว่าพลางยิ้มแป้นกลับมาให้ผม ก่อนจะเริ่มว่าต่อ 

"คือกูอะ ก็คิดว่ามึงกับภัทรน่ะนะ เป็นคู่ที่เหมาะสมกันสุดๆเลยไง" ผมเลิกคิ้วมองมันด้วยความสงสัย ว่าจู่ๆหัวข้อสนทนามันกลับมาเป็นเรื่องของผมกับภัทรได้ยังไง

"แล้วคือกูก็รู้แหละ ว่ากว่าพวกมึงสองคนจะผ่านบททดสอบอันยากลำบากมาได้ พวกมึงต้องเจออะไรมาบ้าง ต่อไปนี้กูก็อยากให้พวกมึงสองคนได้ใช้เวลาร่วมกันมากขึ้น ได้อยู่..."

"ไอ้เหี้ยสิง"

"มึงย้ายออกไปอยู่กับภัทรแล้วให้กูเข้าไปอยู่แทนมึงได้ไหม"

"ไอ้ห่า ก็แค่นี้ มึงจะอ้อมโลกทำไมเนี้ย..ห๊ะ!" ผมแทบจะไม่เชื่อหูตัวเอง นี่วันนี้ผมต้องพูดคำว่าห๊ะอีกกี่รอบนะเนี่ย ไอ้ตอนแรกที่ได้ยินว่ามันชอบก็ว่าแปลกใจพอแล้ว แล้วนี่มันจะรุกจริงรุกจังอะไรขนาดนี้

"นี่มึงกะจะรวบหัวรวบหางมันเลยหรือไง" ผมสวนมันกลับไปในทันที ก่อนจะมองมันหัวจรดเท้าแล้วว่าต่อ " แล้วคือใครจะรวบใครกันแน่วะ"

คือไม่ใช่อะไรนะ ก็มันทั้งคู่คือแบบ จะว่ายังไงดีล่ะ มันทั้งคู่คือเหมือนพร้อมรบพร้อมรุกทั้งคู่ ไอ้สิงก็สูงยาวเข่าดี กล้ามแน่นทะลุเสื้อเชิ้ตขนาดนี้ แล้วไอ้บอลก็อีก ถึงจะไม่ได้ตัวใหญ่เท่าไอ้สิง แต่ตั้งแต่รู้จักมันมาตั้งแต่มอสอง ถึงมันจะไม่เคยมีแฟน แต่ผมก็พอรู้ว่ามันก็มีคนคุยเยอะ แล้วคือเพื่อนผมฟาดเรียบทุกรายครับ

"ถ้าเขาอยากรวบกู กูก็ให้รวบอ่ะ"

"ขนาดนั้นเลย?"

"เออ ขนาดนั้น! นะ มึงช่วยกูนะ"

"..."

"ทำไม มึงไม่อยากอยู่กับภัทรหรอวะ"

"ก็อยาก...แต่..." ผมอ้ำอึ้งเพราะผมไม่แน่ใจ

แน่นอนว่าผมต้องอยากอยู่กับเขาอยู่แล้ว เพราะตอนที่จะเข้ามหา'ลัยเคยชวนเขาแล้วเขาปฏิเสธ ผมไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะตอนนั้นเขาพยายามตีตัวออกห่างผม หรือจริงๆแล้วเขาอยากอยู่คนเดียวจริงๆ การที่มีผมไปอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวของเขาตลอดเวลา มันอาจจะทำให้เขาอึดอัดหรือเปล่า

ผมส่ายหัวแรงๆเมื่อจู่ความคิดแย่ๆผุดขึ้นมาอีกแล้ว ผมสัญญากับตัวเองแล้วว่าต่อไปจะเลิกคิดมาก มีอะไรก็ต้องคุยกับภัทรตรงๆ

"โอเค งั้นเดี๋ยวกูขอคุยกับภัทรก่อนแล้วกัน"

εїз

ผมกับภัทรออกมาที่ร้านปิ้งย่างประมาณหกโมงเย็น เรานั่งรถเมล์จากคณะมาลงตรงหลังมอ เดินข้ามสะพานมาอีกหน่อยก็เห็นร้านที่พี่หมีนัดพวกเราไว้

ผมแอบอมยิ้มให้กับคนที่หน้านิ่วคิ้วขมวดมาตั้งแต่เราขึ้นรถ ผมรู้ว่าภัทรกำลังเกร็งอย่างหนัก เพราะนอกจากผมแล้ว วันนี้เขาไม่รู้จักใครเลยนอกจากแค่พี่หมีคนเดียว

ทั้งๆ ที่ที่จริงผมว่า เขาน่ะเป็นคนเข้ากับคนง่าย แต่ภัทรจะชอบรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองทุกครั้งเวลาที่ได้เจอหรือรู้จักกับใครใหม่ ภัทรชอบบอกว่าตัวเองชวนคุยไม่เก่ง กลัวจะทำให้อีกฝ่ายเบื่อ แต่ที่จริงแล้วเวลาที่ภัทรผ่อนคลายและเป็นตัวของตัวเอง ผมว่าภัทรก็เป็นคนที่คุยได้สนุกคนหนึ่งเลยทีเดียว

"เลิกทำหน้าเครียดได้แล้ว เค้าจะร้องไห้แทนแล้วเนี่ย"

"ก็เค้า...เฮ้อ...เค้าไม่รู้แล้ว" เขาว่าแบบนั้นพร้อมกัดปากล่างแน่นเมื่อเห็นพี่ๆโบกมือเรียกพวกผมมาแต่ไกล ผมทนไม่ไหวเอื้อมนิ้วโป้งไปเกลี่ยมันออกเพราะไม่อยากให้เขากัดจนได้เลือดขึ้นมาจริงๆ

"ภัทรไม่ได้อึดอัดใช่ไหมที่เค้าชวนมาแบบนี้ ถ้าภัทรไม่อยากอยู่แล้วภัทรสะกิดบอกเค้าเลยนะ เค้าจะพากลับทันทีเลย เดี๋ยวเค้าหาข้ออ้างเอง"

"เปล่านะ เค้าไม่ได้ไม่อยากมา แต่เค้าแค่กลัวน่ะ"

"ภัทรจะกลัวอะไร พี่ๆใจดีจะตาย" ผมก้มหน้าไปมองคนที่ก้มหน้างุด ก่อนที่จะตั้งใจฟังตอนที่เขาพึมพำออกมา

"ก็..เค้ากลัวพี่ๆไม่ชอบเค้า ก็เค้าเล่นทำน้องรักของพี่ๆร้องไห้ตั้งขนาดนั้น" ผมย่นจมูกใส่คนที่ขี้กังวลเกินเหตุ กระชับมือที่จับกันของเราให้แน่นขึ้นกว่าเดิมอีกครั้ง

"เค้ารักใคร พี่ๆเค้าก็รักด้วยนั่นแหละ เดี๋ยวภัทรก็เห็นเอง อย่ากังวล ทำตัวตามสบายเนอะ"

ผมว่าเสร็จก็จูงเขาเข้าไปหาพี่ๆที่โต๊ะ ยกมือไหว้และแนะนำทุกคนให้รู้จักภัทร วันนี้นอกจากสายรหัสของผมแล้ว ยังมีพี่ๆอีกหลายคนที่เคยเจอกันบ่อยๆเวลามาสังสรรค์ พี่บาสรูมเมทต่างคณะของพี่นนท์ พี่พุทธโธกับพี่ธงชัยเพื่อนพี่หมี พี่ต้นกับพี่แทนเพื่อนพี่ดิน พี่อินแฟนพี่ดิน

อ่อ แล้วก็มีพี่กีที่เป็นเพื่อนกันพี่อินอีกคน ผมเคยเจอพี่กีมาก่อนแล้ว แต่ผมเพิ่งมารู้เมื่อไม่กี่วันนี้เองว่าพี่เขากับพี่ต้นเป็นแฟนกัน

"ว้าว วันนี้น้องภัทรคนน่ารักของพี่ต้นมาด้วย โอ๊ย แค่แซวเล่นเองกี" พี่ต้นร้องโวยวายเมื่อเจอแฟนตัวเองดึงหูทันทีที่เอ่ยแซวภัทร

"ไม่ได้หึง แต่ดูหน้าน้องเป้ก่อน กลัวนายจะโดนต่อย" ผมเพิ่งมารู้ตัวเมื่อพี่กีว่าอย่างนั้น อย่างไม่รู้ตัวผมคงแสดงหน้าตาไม่พอใจเอามากๆ มันก็คงใช่นั่นแหละ เพราะผมก็ไม่พอใจจริงๆ แม้จะรู้ว่าพี่เขาล้อเล่นผมก็ไม่อยากให้ใครแซวภัทรทั้งนั้น

"พี่ต้นพอเลย อย่ามายุ่งกับน้องผมเลยนะ น้องภัทรมานั่งข้างพี่มา" ผมดีใจที่ในที่สุดพี่หมีก็มาถึงและออกโรงช่วย เพราะตอนนี้ภัทรของผมหน้าซีดไปหมดแล้ว พี่หมีจับมือภัทรก่อนจะเดินไปที่นั่งตรงโต๊ะริมสุดที่มีที่เก้าอี้ว่างอยู่ข้างละสองตัว

ฟุบ!

"พี่แทน มานั่งอะไรตรงนี้!" ตอนที่พี่หมีนั่งลงตรงเก้าอี้ตัวนึงแล้วชี้เก้าอี้ตัวข้างๆให้ภัทรไปนั่งด้วย จู่ๆก็มีใครอีกคนที่มาจากไหนก็ไม่รู้แทรกตัวเข้ามานั่งลงก่อนอย่างรวดเร็ว

"ลุกดิพี่ ผมจะให้น้องผมนั่งตรงนี้"

"ทำไม กูจะนั่งตรงนี้ ฝั่งตรงข้ามก็มีที่ว่าง ก็ให้มันนั่งกับแฟนมันไปดิ"

"พี่แทน!"

"หมูพี"

"พี่แทน!!"

"..."

"เอ่อ..ผมไปนั่งข้างเป้ก็ได้ครับ" ผมอดสงสารภัทรที่ทำหน้ากลืนไม่เข้าคลายไม่ออกแล้วเดินมานั่งข้างผมไม่ได้ แต่ก็อดขำให้กับพี่สองคนที่ไม่ว่าจะเจอกันกี่ทีก็ตีกันไม่หยุดไม่ได้เหมือนกัน

ผมให้เขามานั่งระหว่างผมกับพี่อิน ดูจากในทุกคนที่มารวมตัวกันวันนี้ ผมว่าภัทรน่าจะเข้ากับพี่อินได้ง่ายที่สุดแล้ว

"จะกินอะไรก็สั่งเลยนะ วันนี้ป๋านนท์จัดให้" พี่ดินว่าพร้อมส่งเมนูอาหารให้หลายคนในโต๊ะแบ่งกันดู พี่อินหยิบกระดาษกับปากกาให้ภัทรเป็นคนช่วยจดรวบรวมรายการ

ผมยกยิ้มให้พี่เขาตอนที่พี่อินขยิบตาให้ผม นึกรู้ว่าพี่อินเองก็สัมผัสได้ว่าภัทรเกร็งแค่ไหน เจ้าตัวเลยจงใจให้ภัทรเข้ามามีส่วนร่วมให้มากที่สุด

"น้องภัทรพี่อยากกินผัดเปรี้ยวหวาน"

"ครับๆ"

"พี่ขอปลากระพงนึ่งมะนาว"

"ปลากระพงนึ่งมะนาวนะครับ"

"พี่ขอยำปลากระป๋องได้ไหม เอาแซ่บๆเลยนะ"

"มึงจะกินยำปลากระป๋องหรอ มึงกลับไปทำกินเองที่บ้านไป"

"ก็วันนี้มันอยากกิน พี่แทนยุ่งอะไรด้วยเล่า!"

"เอ่อ...ตกลงยำปลากระป๋องนะครับ"

ผมอดอมยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นคนของผมตั้งหน้าตั้งตาฟังเมนูที่ทุกคนตะโกนว่าอยากกินแล้วก้มหน้าจดอย่างตั้งอกตั้งใจ ก่อนที่จู่ๆจะสบตากันเพราะเขาเงยหน้าขึ้นมามองผมอย่างกระทันหัน

"เป้ล่ะ?"

มันแปลก

ที่ได้มาเห็นเขาอยู่ในโลกใบใหม่ใบนี้ของผม แวดล้อมไปด้วยคนที่เขาไม่รู้จักเต็มไปหมด อยู่ในโลกที่ผมสร้างขึ้นในวันที่ไม่มีเขา โลกที่เหมือนว่ามันจะเคยทำให้เราสองคนต้องห่างไกลกันกว่าเดิม

"เป้อยากได้อะไรเพิ่มอีกไหม"

แต่มันก็ดีเหลือเกิน

ที่ได้มีวันนี้ วันที่คนอย่างเขา คนที่กล้าๆกลัวๆกับการเริ่มต้นใหม่ แต่ก็เป็นคนเดียวกับคนที่พยายามเต็มที่เหมือนทุกครั้ง ทำเพื่อผมเหมือนทุกครั้ง

"เค้าเขียนต้มข่าไก่ให้แล้วนะ"

ผมได้แต่ยิ้มให้เขาจนเขาต้องหรี่ตา เอียงคอมองอย่างสงสัยว่าผมเป็นบ้าอะไรถึงได้ยิ้มอยู่นั่น เขาชี้หน้าผมอย่างคาดโทษเพราะผมทำให้เขาเขิน ทำสัญญาณมือบอกให้ผมเลิกยิ้มเพราะมันจะยิ่งทำให้เขาทำตัวไม่ถูก

แต่ผมก็ยังยิ้ม ยิ้มอยู่อย่างนั้น

เพราะผมอดคิดไม่ได้เลยจริงๆ

ว่ามันช่างดี มันช่างดีเหลือเกิน 

ที่วันนี้ผมมีภัทรอยู่ในโลกทุกใบของผมแบบนี้

********

#ณภัทรปณวัช และพี่ๆเพื่อนๆชาวคณะ เหมือนมาขายของ คนเยอะ เหนื่อย 555 แต่ขายพี่ดินก่อน เรี่อง "รักมือสอง" จ้าาา เรื่องอื่นไม่อ่านก็ได้แต่ต้องอ่านเรื่องนี้นะ! พระเอกหล่อมากกก

แต่ สิงกับบอลอะเธอ ~ น่ารักเด้อ อันนี้ไม่ได้เพิ่งมาคิดได้นะ คิดไว้ตั้งแต่เขานอนด้วยกันที่สวนผึ้งแล้ว กรี๊ด แมนๆนอนคุยกันเนอะ แต่เรื่องสองคนนี้ไม่มีเรื่องแยกเด้อ อาจจะตอนพิเศษกรุบๆแค่นั้นจ้า




ออฟไลน์ Maywrite

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
#ณภัทรปณวัช

12 เรื่องที่อยากอยู่ด้วยกันตลอดเวลา



ปณวัช

"ภัทรวิ่ง!"

"เป้ เป้รอเค้าด้วย!! เป้!!!"

"ภัทรวิ่งไปหลบตรงหลังตึกก่อน เดี๋ยวเค้าจัดการตรงนี้เอง"

"เป้ แต่เค้าได้แผลด้วยอะ ฮือ เลือดไหลเต็มเลย"

"งั้นภัทรรออยู่ตรงนี้นะ เดี๋ยวเค้าเดินไปดูก่อนว่ามันมีสมุนไพรตรงไหนไหม"

"โอเค...เป้ เร็วๆนะ"

ตึ่กๆๆ

"อ่า~ เป้! ไม่ทันแล้ว!! มันมาแล้ว!!"

"ภัทรวิ่ง!!"

"อ่า ฮืออออ เค้าตายอีกแล้ว" ภัทรร้องแล้วล้มตัวหงายลงบนฟูกนุ่มพร้อมทิ้งจอยเกมไว้ข้างตัว ผมได้แต่อมยิ้มไม่กล้าขำกับท่าทางน่ารักๆของเขาเพราะกลัวว่าจะโดนเข้าใจผิดอีกว่าผมเยาะเย้ย

"เล่นอีกรอบไหม เพิ่งเลยจุดเซฟมานิดเดียวเอง"

"ไม่เอาแล้ว เค้าเป็นตัวถ่วงเป้ชัดๆ" ภัทรพูดออกมาเสียงอ่อย พลิกตัวนอนคว่ำลงมุดหน้าลงใต้หมอนอย่างคนหมดอาลัยตายอยาก

วันนี้ผมขนเกมจากห้องผมมาเล่นที่ห้องเขา เมื่อก่อนผมก็ชอบทำแบบนี้เวลาที่ผมไปบ้านภัทร ในตอนแรกมันก็เหมือนว่าภัทรไม่คุ้นและไม่ชอบเล่นเกมสักเท่าไหร่ แต่พอได้เล่นบ่อยๆ ผมจึงได้รู้ว่า คนที่ดูนิ่งเงียบคนนี้ ที่จริงก็เป็นคนชอบเอาชนะมากๆคนนึงเหมือนกัน

ผมกดปิดเกมก่อนจะรวบทั้งคอนโทรลและจอยสติ๊กทั้งสองอันเอาไปวางในชั้นวางทีวี ก่อนที่จะกลับมาบนเตียง จงใจนอนทับคนที่ยังอารมณ์ขุ่นเพราะเล่นเกมแล้วตายที่เดิมซ้ำๆจนงอนเกมไปแล้ว

"หืม..เป้..เค้าหนัก"

ผมไม่สนที่เขาบ่น กอดรัดเขาจากด้านหลังอยู่อย่างนั้น ซุกจมูกเข้าไปในซอกคอ หลับตาพริ้ม สูดดมกลิ่นหอมๆประจำตัวของภัทร

"เป้..."

"หืม.."

"เค้าถามอะไรหน่อยได้ไหม"

"อือหึ"

"สา..." ภัทรว่าขึ้นมา เงียบไปนิดเหมือนเขาพยายามรวบรวมความกล้าแล้วจึงว่าต่อ "เป้รู้จักกับสาได้ยังไง"

"สา? อ๋อ..สาคณะภัทรใช่ไหม รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว แม่สาเป็นเพื่อนสนิทแม่เค้า" ผมนิ่งคิดไปนิด ก่อนที่จะนึกออกว่าภัทรหมายถึงใคร ผมไม่ได้รู้จักกับคนชื่อนี้เยอะนักหรอ

"..."

"..."

"สนิทกันหรอ" ผมลืมตาขึ้นมาในที่สุดเมื่อภัทรถามต่อทั้งๆที่ผมคิดว่าหัวข้อสนทนามันน่าจะจบไปแล้ว ชะโงกหัวไปข้างหน้าเพราะอยากรู้ว่าเขาทำหน้ายังไง หรืออยู่ในอารมณ์ไหนในตอนนี้กันแน่ 

เมื่อผมยกตัวขึ้นภัทรก็พลิกมานอนหงาย ทำให้ตอนนี้เราสองคนหันมาสบตากันอีกครั้ง

"วันนั้นเค้าเห็นเป้กับสาที่คณะ"

"วันไหน" ผมเลิกคิ้วอย่างสงสัย เพราะผมจำไม่ได้เลยว่าเจอกับสาสุดท้ายวันไหนเลยด้วยซ้ำ

"เห็นตอนที่ลงมาจากรถแม่เป้"

"อ๋อ..วันนั้นเค้ากับสาไปกินข้าวกับที่บ้านกัน แล้วแม่เค้าก็เลยแวะมาส่ง"

เขาไม่ได้ว่าอะไรเมื่อผมว่าอย่างนั้น ได้แต่พยักหน้ารับก่อนที่จะพลิกหน้าออกไปทางเดิมอีกครั้ง ผมที่ยังงงๆกับท่าทีของเขาเลยเอ่ยถามออกไปอีกครั้ง

"มีอะไรหรือเปล่า ภัทร..."

"..."

"ภัทร.."

"..."

เมื่อภัทรไม่ยอมหันกลับมา ผมเลยตัดสินใจยกตัวข้ามตัวเขาไปอีกฝั่งเพื่อเผชิญหน้ากัน

"บอกเค้ามาเลยว่าคิดมากอะไรอีก กับสาเค้าไม่ได้มีอะไรเลยนะ แค่รู้จักกันเฉยๆ"

"..."

"ภัทร.."

"ถ้ารู้จักกันตั้งนานแล้ว ทำไมเค้าไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเลย"

"ก็.."

"แล้ววันนั้นสาก็จับตัวเป้ด้วย ต้องสนิทกันเบอร์ไหนก็ไม่รู้"

"..."

"ยังจะมายิ้มอีก"

"ก็ภัทรหึง"

"ชะ..ใช่ที่ไหนเล่า ก็แค่ถามเฉยๆ" ว่าแล้วคนที่โดนจับได้ว่าหึงก็ตั้งท่าจะพลิกตัวไปอีกด้านแต่ว่าผมก็จับไหล่เขาไว้ได้ก่อน

"ภัทรกำลังหึง และหึงมากๆเลยด้วย" ผมว่าทั้งยิ้มทั้งหัวเราะ ใจมันพองฟูไปหมดเมื่อในที่สุดมันก็มีวันนี้จริงๆ วันที่คนที่ไม่เคยแสดงความรู้สึกอย่างเขาแสดงอาการหึงผมสักที

"หุบปากไปเลยนะ"

"โห เวลาหึงแล้วโหดแบบนี้นี่เอง เป็นบุญตาจริงๆ"

"ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้หึง! เงียบๆไปเลยได้ไหม เค้าจะนอน" คนหน้าแดงปิดตาหนี เม้มปากกัดฟันแน่นพยายามกลั้นยิ้ม เก็กหน้านิ่งใส่กัน

เขาน่ารักจนผมจะตายเอาให้ได้จริงๆ

"ดีใจจังเลยน้า~ ในที่สุดแฟนเค้าก็หึงเค้าแล้ว~ แบบนี้เค้าค่อยนอนตายตาหลับหน่อย"

"เป็นคนโอเว่อร์แบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี้ย แล้วเค้าก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้หึง อยากจะไปแตะเนื้อต้องตัว ไปสนิทกับใครก็ไปเลย" เขาว่าพร้อมหยิกมือผมที่จับไหล่ของเขาไว้จนผมเผลอปล่อยตัวเขา ภัทรพลิกตัวหนีเขยิบไปนอนอีกฝั่งที่ติดกับกำแพงพร้อมคลุมผ้าห่มหนี

ผมรีบตามไปติดๆ กอดเขาไว้จากด้านหลัง ทิ้งน้ำหนักลงบนซอกคอของภัทรเบาๆ ให้ระดับริมฝีปากของผมอยู่ตรงบริเวณใบหูของเขาก่อนจะกระซิบกระซาบออกไป

"โอเค ไม่หึงก็ไม่หึงเนอะ แต่ขอเค้าแก้ตัวก่อนเนาะ"

"..."

"กับสาก็รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก ก็เลยเหมือนเพื่อนๆกันไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้แตะตัวกันเยอะแยะขนาดนั้นสักหน่อย เค้ายังจำไม่ได้เลยเนี้ย"

"..."

"แล้วที่ไม่ได้เล่าให้ฟังก็เหมือนกัน ก็เพราะมันไม่มีอะไรจะเล่าจริงๆนี่น่า ไม่ได้เก็บเอามาคิดเลยด้วยซ้ำ ถ้าจู่ๆเอาเรื่องสามานั่งเล่าให้ภัทรฟัง เค้าว่ามันน่าแปลกมากกว่าอีกเหอะ"

"..."

"ภัทร..."

"..."

"ภัทร..." ผมเขย่าตัวพร้อมเรียกชื่อเขาซ้ำๆ คนที่บอกไม่ได้งอนยังนอนนิ่งอยู่แบบนั้น มันน่าฟัดน่ากัดให้จมเขี้ยวเลยจริงๆ

"นอนหลับแล้วหรอหืม~"

"..."

"โอเคครับ งั้นวันนี้เค้ากลับแล้วนะ พรุ่งนี้จะมารับไปกินข้าวเช้าด้วยกันเหมือนเดิมนะ ไม่งอนเค้าน้า~ เค้ารักภัทรคนเดียวภัทรก็รู้"

ผมว่าเมื่อเห็นนาฬิกาบอกเวลาสี่ทุ่มแล้ว ผมโน้มไปเปิดผ้าห่มจุ๊บหน้าผากเขาเบาๆ จัดแจงผ้าห่มผืนบางให้เข้าที่ เมื่อรออีกนิดแล้วเหมือนเขาจะไม่ยอมหันมา ก็เลยตั้งใจจะผละไปเก็บกระเป๋าเพื่อกลับห้อง

หมับ!

แต่ยังไม่ทันได้ลุกดีก็มีคนมาดึงแขนผมไว้ ผมหันกลับไปก็เห็นว่าเขากำลังมองมาที่ผม หน้างอนกว่าเดิมเสียอีก

"จะกลับแล้วหรอ"

"อืม ก็จะสี่ทุ่มแล้วนี่หน่า พรุ่งนี้ภัทรมีเรียนเช้าด้วย"

"ไม่ต้องกลับ.."

"หืม?"

"ดึกแล้ว นอนนี่แหละ"

ผมยิ้มเมื่อเขาว่าออกมาแบบนั้น ที่จริงก็อยากจะนอนนี่เหมือนกันนั่นแหละ แต่เพราะว่าเสาร์อาทิตย์นี้มานอนห้องเขาตลอด เสื้อผ้าที่ต้องซักก็มีตั้งเยอะ ไหนจะหนังสือเรียนที่ไม่ได้เอามาอีก

"หรือถ้าไม่อยากก็.."

หมับ!

"โอเค งั้นเดี๋ยวเค้าค่อยกลับไปเอาของที่ห้องตอนเช้าก็ได้" ผมรีบดึงตัวเขาเข้ามา ตอบตกลงอย่างรวดเร็วเพราะกลัวภัทรจะเอ่ยปากไล่ผมอีก

Doesn't it seem strange

That even when your mind says so

Your hair hearts says "no,

Just wait and see how it feels

To fall in love with something real"

เรานอนกอดกันอยู่บนเตียงของเขา ปิดไฟทั่วทั้งห้อง มีเพียงแสงไฟสีส้มอ่อนๆจากโคมไฟข้างหัวเตียง เปิดเพลงโปรดที่ภัทรชอบฟังในช่วงนี้คลอเบาๆซ้ำไปซ้ำมาอย่างที่เขาชอบทำเป็นประจำ

เมื่อก่อนผมเป็นคนที่นอนหลับยาก ถ้าห้องไม่มืดสนิทหรือมีเสียงรบกวนผมจะนอนไม่ค่อยหลับ แต่พอได้มานอนกับภัทรบ่อยๆผมก็เลยเริ่มชิน ถึงจะมีแสงไฟผมก็นอนได้ แล้วเสียงเพลงช้าๆที่ดังข้างหูก็ไม่ได้รบกวน แต่ช่วยทำให้ผมนอนหลับได้สบายขึ้นกว่าเคย

"เป้..."

"หืม.."

"เป้เบื่อเค้าไหม" ผมที่กำลังเพลิดเพลินกับเสียงเพลงเพราะๆจนใกล้เคลิ้มเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย

"คิดอะไรอีกแล้วหืม คิดมากอีกแล้ว" ผมว่าออกไปเบาๆทั้งๆที่ยังหลับตาอยู่เหมือนคนละเมอ ยกมือที่กอดเขาแน่นลูบผมนุ่มของภัทรไปมา

"ก็เค้าติดเป้ อยากอยู่กับเป้ตลอดเวลาเลย" เขาว่าแบบนั้นให้ผมยิ้มกว้าง "ห้องก็ไม่อยากให้กลับ ถ้าเป็นไปได้ถ้านอกจากเวลาเรียนแล้ว ก็ไม่อยากให้ไปไหนทั้งนั้น"

Something divine

In the perfect harmony

With a lovely melody

Crafted with care

And it leads me to hear...

"ทั้งๆที่ห้องเล็กแค่นี้ แต่พอเป้ไม่อยู่ มันก็ดูกว้างเกินไปยังไงไม่รู้"

"..."

"แล้ว.."

"งั้นเค้าขอมาอยู่ได้ไหมล่ะ" ไม่ทันที่เขาจะบ่นตัวเองต่อผมก็พูดขึ้นมาก่อน ผมลืมตาขึ้นมาในที่สุดเมื่อคนที่อยู่ในอ้อมกอดของผมผงกหัวขึ้นมา ก่อนที่เจ้าตัวจะไต่ขึ้นมาบนตัวผมเร็วๆ

"เป้ว่าอะไรนะ" ผมหลุดยิ้มออกมาเมื่อเห็นประกายของตากลมโตที่กำลังจ้องมาที่ผม ใช้หลังนิ้วลูบแก้มเขาเบาๆอย่างนึกเอ็นดูเป็นที่สุด

"เค้าจะขอมาอยู่ด้วย..ได้ไหม"

"เป้หมายถึง เป้อยากมาอยู่ห้องเค้าหรอ แบบรูมเมทกันน่ะนะ"

"แบบแฟน" ผมตอบกลับไปสั้นๆ อดขำคนที่ดูตื่นเต้นเกินเหตุไม่ได้ รู้สึกใจชื้นที่เขาไม่ได้มีท่าทีในทางลบแบบที่ผมเคยกลัว

"ก็..ถ้าเป้ไม่อึดอัด.."

"เค้ากลัวภัทรอึดอัดต่างหากเล่า"

"แล้วเค้าจะอึดอัดได้ยังไงเล่า"

"แล้วภัทรคิดว่าเค้าจะอึดอัดได้ยังไง"

"ก็เค้าติดเป้เกินไป"

"เค้าก็ติดภัทรเหมือนกัน"

"..."

"อยากอยู่ด้วยตลอด อยากเอากาวมาทาแล้วตัวติดกันแบบนี้ไปเลย" ผมว่าพร้อมสาธิตสภาพของเราหลังติดกาวด้วยการรวบสองแขนรัดเขาเบาๆ ภัทรหัวเราะคิกคักจนผมอดหัวเราะตามไม่ได้

เจ้าตัวกอดผมกลับ ซุกหน้าลงบนอกของผม ใช้แก้มนิ่มถูไถไปมา ผมได้แต่รัดเขาไว้ด้วยหัวใจที่แสนจะอิ่มเอม ตั้งแต่กลับมาคบกัน ภัทรก็เป็นตัวของตัวเองมากขึ้น พูดในสิ่งที่ต้องการมากขึ้น อ้อนผมมากขึ้น

ทั้งๆที่ผมไม่เคยคิดเลยว่ามันจะเป็นไปได้ แต่ตอนนี้ความสุขที่ผมเคยมีเวลาอยู่กับเขามันมากกว่าเดิมเป็นร้อยเป็นล้านเท่า เมื่อก่อนมันเคยเป็นความสุขของคนที่ได้รักใครสักคนจนสุดหัวใจ แต่ตอนนี้มันคือความสุขของคนที่ได้รักและได้รับรักจากคนที่รักมากที่สุด

ความสุขที่ผมไม่เคยคิดว่ามันจะมีจริง

εїз

"มึงจะทิ้งกูจริงๆหรอ"

"เห้ย ทิ้งเทิ้งอะไรเล่า มึงก็นะ"

"แล้วแบบนี้ไม่ทิ้งแล้วจะเรียกว่าอะไร..เออ ช่างเหอะ" ไอ้บอลมันว่าก่อนที่จะเดินไปที่โต๊ะเขียนหนังสือที่อยู่ปลายเตียงของมัน นั่งลงพร้อมกับหยิบหูฟังขึ้นมาครอบหูเป็นการบอกว่ามันไม่อยากจะคุยอะไรกับผมอีกแล้ว

"เห้ย ไอ้บอล อย่าทำแบบนี้ดิวะ หันมาคุยกับกูก่อน" ผมเดินไปนั่งที่ปลายเตียงมัน ยื่นมือไปวางบนไหล่เขย่ามันแรงๆหลายครั้งจนมันโมโห

มันสะบัดไหล่ทิ้งแต่ผมก็ยังเพียรเขย่าอยู่อย่างนั้น จนในที่สุดมันก็ทนไม่ได้หันกลับมาคุยกับผม

ผมยิ้มแป้นมองหน้ามันทำตาปริบๆ ผมรู้จักมันดีจะตาย ไอ้บอลน่ะมันเป็นคนโมโหร้ายแต่ก็ใจอ่อนง่ายเกินใคร

"มึงจะอะไรกับกูนักหนา"

"ก็มึงโกรธกูทำไมเล่า"

"..."

"มึงจะพูดอะไรก็พูดมา กูขอล่ะ กว่ากูจะดีกับภัทรได้ มึงก็รู้ว่ากูอยากอยู่กับเขามาตั้งแต่แรก มึงเข้าใจกูหน่อยดิวะ"

"กูรู้เว้ย แต่คือมึงมาบอกกูกะทันหันแบบนี้ แล้วแม่งกลางเทอมด้วย กูจะไปหาเมทใหม่มาจากไหน ค่าห้องก็แพงจะตาย"

"กูหาให้มึงได้ล่ะ"

"หืม..ตอนไหนว่ะ ทำไมเร็วจัง ใครว่ะ"

"ไอ้สิง"

"ไอ้สิง? เพื่อนที่คณะมึงอ่ะนะ" มันถามผมด้วยท่าทางตกอกตกใจเล็กน้อย แต่มันก็เก็บอาการได้ในทันทีอย่างค่อนข้างเนียนทีเดียว นี่ถ้าผมไม่รู้เรื่องของพวกมันจากไอ้สิงมาก่อน ผมคงไม่สงสัยอะไรเลยด้วยซ้ำ

"อือ ไอ้สิง"

"ทำไมอยู่ๆถึงเป็นมัน กลางเทอมแบบนี้มันจะอยากย้ายห้องทำไม แล้วมันรู้ได้ไงว่ามึงจะย้ายออก มึงบอกมันก่อนบอกกูหรอ มึงทำอย่างนี้กับกูได้ไงวะ" ผมอมยิ้มเมื่อไอ้บอลเริ่มรัวคำถาม แถมยังหันหน้าไปทางหน้าจอคอมทำเป็นคลิ๊กนั่นคลิ๊กนี่ไม่หยุดเหมือนแม่งไม่ได้ใส่ใจ

ไอ้อ่อนเอ๊ย ทำไมมึงล่กแบบนี้วะ

"ใจเย็นมึงใจเย็น" ผมว่ากลั้วหัวเราะ ทำให้มันหันขวับมามองทันที หรี่ตาลงอย่างไม่ไว้ใจ

"มึงมีแผนอะไรกัน มันมีอะไรมากกว่าที่มึงบอกกูใช่ไหม"

"ไม่มีๆ ไอ้เหี้ย ขอกูเล่าก่อน"

"..."

"ก็ไอ้สิงมันเปรยๆว่ามันอยากย้ายมาอยู่หอ ตอนนี้มันไปกลับบ้านมันทุกวัน มันบอกมันเหนื่อย" ผมเริ่มเล่าตามที่เตี๊ยมกันไว้กับไอ้สิง

"แล้วพอดีกูก็คิดเรื่องอยากย้ายไปอยู่กับภัทร กูก็เลยลองถามมันดู มันก็โอเค"

"..."

"ทำไมวะ กูก็เห็นว่ามึงคุยกันดี มึงไม่ชอบมันหรอ"

"ก็ไม่ใช่ว่าไม่ชอบ..." ไอ้บอลพึมพำออกมาเบาๆ ตาคมของมันเหม่อมองไปตรงกำแพงห้องเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่

"แต่ถ้ามึงลำบากใจ เดี๋ยวกูคุยกับภัทรเอง กูย้ายเทอมหน้าก็ได้ รอมึงหาเมทใหม่ได้ก่อน"

"..."

"แล้วไอ้สิง เดี๋ยวกูไปบอกมันเองว่ามึงไม่อยาก..."

"ไม่เป็นไร!" ไอ้บอลรีบตัดบทผมขึ้นมาให้ผมชะงักไปก่อนจะได้พูดจนจบประโยค "เดี๋ยวมันจะเข้าใจผิดว่ากูไม่อยากอยู่กับมัน จะผิดใจกันเปล่าๆ"

"เห้ย มึงคิดดีๆ มึงไม่ต้องเกรงใจนะเว้ย รูมเมทแม่งโครตสำคัญเลยอะ ถ้าเข้ากันไม่ได้มึงจะอยู่ไม่ได้นะ" ผมพูดออกไปจากใจ ถึงจะเชียร์ไอ้สิง แต่ถ้าไอ้บอลมันไม่โอเคผมก็ไม่อยากจะฝืนมันหรอกนะ

"เออ..กูไม่ได้ลำบากใจอะไร มันแค่เร็วไปหน่อย กูเลยคิดไม่ทัน แล้วอีกอย่างกูก็ไม่อยากขัดความสุขของพวกมึงด้วย อุตส่าห์ได้ดีกับภัทรแล้ว"

จุ๊บ

"ไอ้เหี้ยเป้! ไอ้ทุเรศมึงทำอะไร ขี้กลากจะขึ้นหัว" ไอ้บอลโวยวายใหญ่ เอามือถูเช็ดหน้าผากซ้ำๆตรงที่ผมจุ๊บมัน แต่แทนที่ผมจะเข็ด ผมกลับอ้าแขนกอดมันแน่นไม่ยอมปล่อย

"ขอบใจมึงมากเลยว่ะไอ้บอล ขอบใจจริงๆ สำหรับทุกอย่างเลย"

มันนิ่งลงทันทีเมื่อผมพูดออกไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง อยู่ๆพอคิดว่าจะไม่ได้อยู่กับมันแล้ว ผมก็อยากบอกความในใจให้มันฟังสักครั้ง

"..."

"ไม่มีมึง กูไม่รู้เลยจริงๆว่าวันนี้กูจะมีสภาพแบบไหน ขอบใจมึงที่ทำให้กูผ่านเรื่องที่แม่งโครตยากได้ง่ายกว่าเดิม"

"เออ แค่เห็นพวกมึงมีความสุขแบบนี้ กูก็ดีใจแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกูอยากให้มึงจำไว้ว่ายังมีพวกกูอยู่ ถ้าภัทรไม่รักมึงแล้วมึงก็กลับ.."

เพี๊ยะ!

"โอ๊ย ไอ้เหี้ยเป้! ตีปากกูหาพ่อง"

"ก็มึงพูดเรื่องไม่เป็นมงคลไอ้ห่า ถอนคำพูดมึงเลยนะ"

"คำไหน ที่กูบอกว่าภัทรไม่รักมึงอะนะ มึงจะให้กูถอนคำพูดที่ว่าภัทรไม่รักมึงหรอ"

"ไอ้ควายยยย ห้ามพูดอีก!!!!" ผมเสียงดังพร้อมทิ้งตัวนอนลงบนเตียงนอน เอาหมอนมันมาปิดหูผมไว้แน่น ไอ้บอลลุกตามมาประชิดตัวผมในทันที เน้นทุกคำว่าภัทรไม่รักให้ผมเจ็บหัวใจเล่นๆไม่ยอมหยุด

"ทำไมวะ แค่กูพูดว่าภัทรไม่รักมึง มันก็ไม่ได้แปลว่าภัทรจะไม่รักมึงสักหน่อย ถึงกูจะคิดว่าภัทรไม่รักมึง ถึงคนทั้งโลกจะคิดว่าภัทรไม่รักมึง แต่ถ้ามึงมั่นใจแล้วทำไมมึงถึงคิดว่าภัทรจะไม่รักมึงวะ"

"ไอ้เชี่ยบอล ไปไหนก็ไปเลยไอ้ควายยยย"



εїз

ณภัทร

ก๊อก ก๊อก

ผมมาถึงหน้าห้องพักของเป้ตอนประมาณหกโมงเย็น สองมือมีวัตถุดิบมากมายที่ผมเพิ่งไปซื้อมาจากตลาดหลังมหา'ลัยเพื่อมาทำสุกี้กินกันที่ห้องเขา

วันนี้ผมตื่นเต้นเป็นพิเศษ เพราะมันจะเป็นครั้งแรกที่ผมจะได้เจอบอลอีกครั้งหลังจากที่เขาไปรับเป้ออกมาจากห้องผมในวันเกิดวันนั้น

ผมยังจำสายตาสุดท้ายที่เขามองผมได้ดี สายตาที่ปะปนไปด้วยความผิดหวังและความโกรธแค้น

มันก็สมควรแล้วแหละ เพราะผมเป็นคนที่ทำให้เพื่อนเขาต้องทรมานมาตลอด แถมยังใช้ความหวังดีของบอลที่มีต่อเพื่อนของเขาในการทำร้ายกันอีก

แอ๊ด..

ผมกลั้นหายใจตอนประตูห้องเปิดออก พยายามปั้นยิ้มที่คิดว่าดูเป็นมิตรที่สุดค้างไว้เมื่อคิดว่าจะต้องเจอคนที่ยังอยากเป็นเพื่อนด้วยที่สุดอีกครั้ง

"..." ผมพรูลมหายใจออกยาวเหยียดเมื่อมันเป็นเป้ที่เป็นคนเปิด ก่อนจะมุ่ยหน้าลงเมื่อโดนเขาหัวเราะเยาะใส่ที่ผมเกร็งซะมากมายขนาดนี้

"เข้ามาก่อนเร็ว ซื้ออะไรมาเยอะแยะไปหมดเลย" เขาว่าพร้อมยื่นมือมาคว้าถุงพลาสติกในมือของผมไปถือไว้เองก่อนจะหันหลังเดินเข้าไปด้านในห้อง ผมถอดรองเท้าออกอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเดินเก้ๆกังๆตามเขาเข้าไป

"อ้าวภัทร มาแล้วหรอ"

"หวะ..หวัดดี" ผมสะดุ้งเมื่อจู่ๆก็ประชันหน้าเข้ากับคนที่ผมแอบกลัวที่สุด เขาเปิดประตูห้องน้ำออกมาพร้อมทักผม ยิ้มให้นิดก่อนจะเดินเลยไปหาเป้ คว้าถุงพลาสติกมาเปิดดูว่าผมซื้ออะไรมาบ้าง

"วู้หู้ หมี่หยก :)" บอลว่าเสียงร่า ผมหลุดยิ้มเมื่อมองท่าทางดีใจของเขา คิดในใจว่ามันช่างคุ้มเหลือเกินที่อุตส่าห์เดินตามหาหมี่หยกทั่วตลาด เพราะผมจำได้ว่าเมื่อก่อน เวลาไปกินสุกี้ด้วยกันทีไร บอลชอบสั่งเบิ้ลหมี่หยกมากินคนเดียวตลอด

ผมที่ใจชื้นขึ้นมาบ้างแล้วเดินไปรวมกลุ่มกับเขาทั้งสองคน เราจัดการแบ่งงานกันเพื่อจะได้เริ่มต้นกินสุกี้กันเร็วๆ ผมกับเป้ช่วยกันล้างและจัดการกับของสดอย่างผัก ลูกชิ้น และเนื้อ ส่วนบอลก็จัดการกับจานเครื่องเคียงอื่นๆที่เหลือ

"อ้าว น้ำจิ้มสุกี้หมดแล้วนี่น่า" บอลว่าขึ้นหลังจากที่เปิดตู้แล้วตู้เล่าแล้วยังไม่เจอน้ำจิ้มสุกี้สักที

"งั้นเดี๋ยวเราลงไปซื้อเอง อยากเอาอะไรเพิ่มไหม"

พอเขาว่าอย่างนั้นเป้เลยบอกให้เขาซื้อน้ำอัดลมกับของกินเล่นมาเพิ่มด้วย

พอเขาออกจากห้องไป เป้ก็เลยผละไปเริ่มจัดโต๊ะ เขาเอาโต๊ะญี่ปุ่นมากางออก หยิบหม้อสุกี้ไฟฟ้าออกมาตั้งไว้ตรงกลาง ก่อนจะเริ่มลำเลียงของสดที่พวกเราช่วยกันล้างและจัดใส่จานเอาไว้ไปวางไว้ที่พื้นข้างโต๊ะ

"เป้..." ผมที่กำลังวุ่นๆกับการเตรียมของสดใส่จานชะงักเมื่อเป้เข้ามาสวมกอดผมจากทางด้านหลัง กระซิบถามข้างหูเบาๆให้ผมย่นคออย่างกระจั๊กกระจี้ก่อนที่จะหันไปเผชิญหน้า

"หายกลัวหรือยัง"

"ก็..ไม่รู้สิ" ผมรู้ทันทีว่าเขาหมายถึงอะไร ก็เป้น่ะช่างสังเกตจะตาย เขารู้ทันผมตลอด เป้คงรู้ว่าผมในตอนนี้ไม่เป็นตัวของตัวเองเลยสักนิด 

"ก็เหมือนบอลจะไม่ได้เกลียดเค้าหรือเปล่านะ"

"จะเกลียดได้ไง.."

"แล้วจะไม่เกลียดได้ไง เค้าทำไปตั้งขนาดนั้น"

"ก็เค้าเล่าให้มันฟังแล้วว่าภัทรทำไปเพราะอะไร เลิกคิดมากได้แล้ว ผมหงอกจะขึ้นแล้วเนี้ย"

ผมย่นจมูกเมื่อเขาเอ่ยแซวผมอีกแล้ว "ใครจะเด็กเหมือนเป้ล่ะ ร้องไห้ขี้มูกโป่ง" 

เป้หัวเราะก่อนที่จะโน้มหน้าลงมาขบปลายจมูกผมเบาๆ เขาเริ่มจูบซับที่เดิมก่อนจะเริ่มเลื่อนลงต่ำ ริมฝีปากของเราทั้งคู่สัมผัสกันซ้ำๆ จนเกิดเสียงจ๊วบจ๊าบดังในอากาศจนอดที่จะเขินไม่ได้

แต่ผมก็ไม่คิดที่จะหยุดเขาหรอกนะ

ตั้งแต่เรากลับมาคบกันอีกครั้ง ผมรู้สึกว่าเราสองคนใกล้ชิดกันมากขึ้นกว่าเดิม มันเหมือนกำแพงที่ถูกสร้างไว้ทั้งหมดโดยทำลายจนสิ้น ระยะห่างที่เหมือนจะมากมายลดลงมาเหลือศูนย์

แน่นอนว่าส่วนหนึ่งซึ่งเป็นส่วนใหญ่มันเป็นเพราะผม ผมที่กล้าพูด กล้าแสดงออกในสิ่งที่ตัวเองคิด ผมที่ลำดับความสำคัญของทุกสิ่งในชีวิตได้ถูกต้องซักที 

ผม ที่กล้าจะรับผิดชอบ และเชิดหน้าสู้เพื่อสิ่งที่หัวใจผมเป็นคนเลือก

ไม่ทันที่อะไรต่ออะไรจะเลยเถิดไปมากกว่านั้น เราทั้งสองก็ต้องผละออกจากกันเมื่อประตูห้องถูกเปิดออกอีกครั้ง

"โอโห จัดโต๊ะกันเสร็จแล้วหรอ" ผมเลิกลั่กหันหลังกลับไปจับมีดหั่นหมูยอที่หั่นไปแล้วให้มันเล็กลงจนจะกลายเป็นหมูยอสับ

ใจนีงนึกหมั่นไส้เป้ที่ทำตัวเป็นปกติได้เนียนขนาดนั้น เขาเดินไปรับขวดน้ำจิ้มมาเปิดเทลงใส่ถ้วย ก่อนจะช่วยบอลยกจานชามไปวางบนโต๊ะ จัดการเทน้ำซุปลงไปในหม้อก่อนจะกดสวิตซ์เพื่อต้มน้ำให้เดือด

"แล้วนี่จะย้ายกันวันไหน"

ผมชะงักมือที่กำลังตักผักหลากหลายชนิดใส่ชามเมื่อจู่ๆบอลก็ถามขึ้น ตอนนี้ทั้งโต๊ะมีผมกับเขาแค่สองคน เป้กำลังคุยโทรศัพท์กับคุณแม่เขาที่ระเบียง

ที่จริงคือเป้จะย้ายมาอยู่กับผมต้นเดือนหน้าแล้ว แต่ผมยังไม่กล้าพูดเรื่องนี้กับบอลสักที รู้สึกผิดเหลือเกินที่ตัวเองเป็นคนกลับไปกลับมา วันหนึ่งอยากตีตัวออกห่างก็ทิ้งเป้ไว้กับเขา พออยากได้กลับก็มาทวงเอาง่ายๆแบบนี้

"เอ่อ..คือ.."

"รอบนี้เราไม่รับคืนแล้วนะ" เขาว่ากลั้วหัวเราะให้ผมหันไปมอง "ถ้าจะทิ้งมันก็เอาลงถังขยะไปเลยนะ เบื่อมาก ขี้โวยวาย ขี้เพ้อมาก ตอนโกรธกันก็ร้องไห้ทั้งวี่ทั้งวัน ตอนรักกันก็เพ้อหาตลอด เราไม่เป็นอันทำอะไรเลย"

ผมหลุดยิ้มเมื่อเขาเริ่มเล่าวีรกรรมเวลาอยู่ในห้องด้วยกันให้ฟัง และหัวเราะออกมาดังๆตอนที่เขาบอกว่าเป้งอแงหนักเวลาที่บอลแกล้งบอกว่าผมไม่รักเขา

"..."

"แล้วคือตอนที่ดีกันใหม่ๆนะ มันน่ะก็พูดอยู่นั่นแหละว่าภัทรบอกว่าไม่เคยที่จะไม่รักมันเลย ภัทรรักมันมาก อยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีมัน โครตเว่อร์อะ"

"โห..เล่าถึงขนาดนั้นเลยหรอ" ผมยกมือขึ้นเกาหลังคอ อดเขินไม่ได้แม้มันจะเป็นสิ่งที่ผมพูดจริงๆก็เถอะ

"เราขอบคุณบอลมากเลยนะ สำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง" ผมว่าขึ้นอีกครั้ง "แล้วก็ขอโทษจริงๆที่ทำให้ต้องลำบากมาตลอด"

เมื่อผมพูดจบบอลก็ได้แต่นิ่งมองมาที่ผม เราสองคนสบตากันสักพัก เขามองมาที่ผมด้วยแววตาที่ทำให้ผมรู้สึกอุ่นๆที่หน้าอกจนทำให้จู่ๆน้ำตาก็ทำท่าจะไหลออกมา

"ไม่เป็นไรเลยภัทร เราบอกภัทรแล้ว ว่าไม่ใช่แค่ไอ้เป้ แต่ภัทรก็คือเพื่อนเราเหมือนกัน"

"..."

"แล้วก็เลิกคิดได้แล้วว่ามันจะมีความสุขมากกว่าถ้าไม่มีภัทร เพราะคนอย่างมันน่ะ เก่งทุกอย่างนั่นแหละ ยกเว้นเรื่องภัทรเรื่องเดียว"

ผมหันไปมองคนที่กำลังยืนคุยโทรศัพท์อยู่ที่ระเบียง เมื่อเราสองคนหันมาสบตากันเขาก็ยิ้มกว้างและโบกมือมาให้ อยู่ๆผมก็จุกแน่นที่หน้าอก รู้สึกว่าตัวเองงี่เง่าเหลือเกินที่เคยทำให้เรื่องมันยุ่งยากได้มากมายขนาดนั้น

"ไม่มีวันหรอก เราไม่มีทางทำแบบนั้นอีกแล้วแหละ"

ทั้งๆที่ที่จริงเรื่องมันก็ง่ายแค่นี้

มันก็แค่เขารักผม

และมันก็แค่ผมรักเขา

"เพราะเราต่างหากที่จะอยู่ไม่ได้"

และเมื่อเราสองคนรักกัน

"ถ้าไม่มีเป้ เราก็ไม่รู้จะว่าอยู่ได้ยังไงจริงๆ"

มันก็ไม่มีอะไรต้องกลัวอีกแล้ว..



***********

#ณภัทรปณวัช

เขาก็รักกันแหละ เข้าช่วงขมวดปมแล้ว น่าจะอีก 2-3 ตอนก็จบแล้วค่ะ ถ้าเป็นเมื่อก่อนชั้นต้องให้บอลแอบชอบเป้แล้วแหละ 555 ดราม่ากันไปอีก

เรื่องของบอลกับสิงก็เปิดเรื่องแล้วน้า เขียนต่อจากเรื่องนี้เลยค่า ชื่อเรื่อง 'หมาเลียปาก #เล่นกับสิงสิงเลียปาก' น้า 




ออฟไลน์ Maywrite

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
#ณภัทรปณวัช

13 เรื่องของเพลงที่อยากให้ฟังซ้ำๆ



[เออ ถ้ามึงดีกันก็ดีแล้วแหละ สรุปคือจะย้ายเข้าไปอยู่ด้วยกันอาทิตย์หน้าแล้วดิ]

"อือ ที่จริงก็เหมือนอยู่ด้วยกันแล้วนะ เป้ก็มานอนห้องกูทุกวัน"

[จ้า..หวานจ้า สักทีเถอะกูเหนื่อยจะลุ้นมึงล่ะ] ผมขำพรืดออกมาตอนที่ไอ้เพื่อนที่อยู่ปลายสายมันว่าอย่างนั้น ก่อนมันจะเริ่มบ่นผมไม่หยุดอีกแล้วเรื่องที่ผมเคยทำให้อะไรต่ออะไรมันยากเกินความจำเป็นทั้งๆที่ที่จริงอะไรมันก็ง่ายแค่นี้

ตลอดเวลาที่เรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้น ก็มีแต่ไอ้ตั้มเพื่อนสนิทคนเดียวในชีวิตของผมนี่แหละ ที่ผมยอมเล่าทุกอย่างให้ฟัง โดยมีข้อแลกเปลี่ยนเพียงอย่างเดียวคือขอให้มันแค่ช่วยรับฟังผม ไม่ห้ามในสิ่งที่ผมตั้งใจจะทำ ไม่ตัดสินในสิ่งที่ผมตัดสินใจไปแล้ว

ผมกับตั้มเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่มอสอง เรารู้จักกันในชมรมดนตรีไทย มันเป็นคนที่อยู่เคียงข้างผมมาตลอด และที่สำคัญมันเป็นคนรอบตัวของผมคนแรกที่มีแฟนเป็นผู้ชาย

ตอนที่ได้เห็นมันกับพี่ทีแฟนมันด้วยกันครั้งแรกผมตกใจจนทำอะไรไม่ถูก แต่พอตั้งสติได้แล้วมันก็เป็นครั้งแรกในชีวิตเหมือนกันที่ทำให้ผมที่กังวลมาตลอดรู้สึกว่าที่จริงการชอบผู้ชาย.. การชอบเป้... มันก็คงไม่ใช่เรื่องผิดอะไรนัก

 [แล้วปิดเทอมจะกลับบ้านป่ะ กูจะลงไปอาทิตย์เดียวเองนะ มึงดูวันให้ตรงกันด้วย]

"โอเค เดี๋ยวไงกูบอกมึงก่อนแล้วกัน งั้นค่อยคุยกันนะ เป้มาแล้ว"

ผมตอบรับมันก่อนจะบอกลาเมื่อเห็นว่าคนที่ผมกำลังนั่งรออยู่เดินตรงเข้ามาหาผมแล้ว เย็นนี้ที่คณะของเป้จะมีงานเทศกาลดนตรีฤดูฝน และเขากับเพื่อนๆจะได้ขึ้นเปิดสองเพลงก่อนที่วงของรุ่นพี่ของเขาจะขึ้นเล่น

งานเทศกาลของคณะนี้จะจัดปีละสามครั้งใช้ชื่อตามฤดู มันเป็นงานที่เป็นที่รู้จักกันในวงกว้างและใครต่อใครต่างตั้งตารอ เพราะในทุกๆปีจะมีศิลปินดังๆที่เป็นศิษย์เก่ามาร่วมด้วยอยู่ ทำให้ทางคณะต้องแบ่งโซนสำหรับคอนเสิร์ตไว้โดยเฉพาะ กำจัดจำนวนคนด้วยการขายบัตรซึ่งหายากยิ่งกว่าอะไร

เพราะแบบนี้การที่เด็กปีหนึ่งอย่างเป้ได้มาเล่นเปิดงานมันจึงทำให้เขาตื่นเต้นเอามากๆ เขาทุ่มเทกับมันจนผมอดเป็นห่วงเขาไม่ได้เหมือนกัน

เพราะถึงจะบอกว่าเขามานอนด้วยทุกวันแต่เราแทบจะไม่ได้คุยกันเลยด้วยซ้ำ เขายุ่งอยู่กับการซ้อมจนดึกดื่น พอตอนเช้าก็ต้องแยกย้ายกันไปเรียนหรือทำการบ้าน ผมจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำว่าเราได้กินข้าวเย็นด้วยกันครั้งสุดท้ายตอนไหน

"ภัทรรอนานไหม"

"ไม่นานเลย เค้าก็เพิ่งมาเหมือนกัน แล้วเมื่อกี้ก็คุยกับตั้มอยู่"

"มันว่าอะไรเค้าอีกล่ะ" เขาถามตอนนั่งลงข้างผม กลอกตามองบนเมื่อรู้ว่าผมคุยกับใคร ผมได้แต่หัวเราะไม่รู้จะว่ายังไง เพราะไม่ว่าจะผ่านมากี่ปีต่อกี่ปีตั้มกับเป้ก็ยังเป็นคู่กัดกันไม่เลิก

มันเริ่มจากตอนก่อนที่เราสองคนจะคบกัน มันมีอยู่ช่วงนึงที่เป้เขายังไม่มั่นใจในความรู้สึกของตัวเองสักเท่าไหร่จนเผลอทำให้ผมเสียใจ ตอนนั้นก็มีแต่ตั้มนี่แหละที่คอยอยู่เป็นเพื่อน คอยปกป้องผมอยู่ตลอด

ผมจำภาพวันที่เราสามคนนั่งอยู่ในโรงอาหารแล้วทั้งคู่เถียงกันไปมาเพื่อจะแย่งผมได้ดี พอคิดถึงทีไรแล้วมันก็อบอุ่นหัวใจไปหมด มันช่างดีเหลือเกินที่ไม่ว่าจะผ่านมาแล้วกี่ปีผมก็ยังมีคนสองคนที่ผมรักมากที่สุดอยู่ข้างๆแบบนี้

"ไม่ได้ว่าอะไร แค่บอกว่าดีแล้วที่กลับมาคืนดีกันเสียที" ผมว่าพร้อมหยิบน้ำขวดจากในถุงผ้ายื่นให้เขา

"ห๊ะ คนอย่างมันเนี้ยนะอยากให้ภัทรมาคืนดีกับเค้า"

"เอ้า แล้วทำไมจะต้องไม่อยากด้วยเล่า เป้ก็.."

"ก็มันไม่ชอบเค้ามาแต่ไหนแต่ไร เค้าก็นึกว่ามันจะดีใจเสียอีก"

"ก็ถ้าเป้ไม่รักเค้า ทำตัวเจ้าชู้แบบเมื่อก่อนมันก็คงไม่เชียร์หรอกนะ"

"เค้าเคยเจ้าชู้ที่ไหนเล่า~ ภัทรปรักกรำเค้าทำไม" เป้ว่าด้วยเสียงอ้อนพร้อมกับเอี้ยวตัวเอาหน้าผากมาถูไถไหล่ผม ผมสะดุ้งตัวไปนิดเพราะตรงที่เรานั่งอยู่มีคนอยู่มากพอสมควร แล้วตอนนี้หลายสายตาก็มองมาที่เราสองคนแล้วด้วย

"เป้.."

"ครับ?" ผมเรียกชื่อเขาตั้งใจจะให้เขาผละออกจากกันก่อน แต่พอเขาเงยหน้ามามองผมด้วยสายตาแบบนั้น ตาคมกระพริบปริบๆเหมือนหมาโดนเจ้าของทิ้งแบบนั้น ผมก็คิดว่าช่างมันเถอะ

ถึงมันจะโจ่งแจ้งไปหน่อย แต่มันก็ดีซะอีกที่คนจะได้รู้ว่าเราสองคนเป็นแฟนกัน จะได้ไม่มีใครเข้ามายุ่งกับเป้ของผมอีก

"เป้จะกลับห้องเป้ใช่ไหมวันนี้ เดี่ยวมาไม่ใช่หรอ" เมื่อผมว่าอย่างนั้นคนของผมก็หน้าหงอยกว่าเดิม เอียงแก้มซบลงที่ไหล่ของผมอีกครั้ง

"เค้าไม่ไปแล้วได้ไหม"

"ได้ที่ไหนล่ะ เป็นคนนัดเพื่อนมาเองเแท้ๆ"

"ใครจะไปรู้ว่าจะซ้อมหนักจนไม่ได้เจอกันเลยเป็นอาทิตย์แบบนี้ เค้าอยากกลับไปอยู่กับภัทรแล้ว คิดถึงภัทรไม่ไหวแล้ว"

ผมย่นจมูกอย่างนึกหมั่นไส้ให้กับคนที่พูดอะไรแบบนี้ออกมาอย่างไม่รู้จักเขินอาย ผมเอื้อมไปหยิบมือของเขามาวางไว้บนตักของผม วางอีกมือที่ว่างทับลงไปก่อนจะลูบไล้หลังมือเขาไปมาเบาๆ

"ทนอีกนิดเดียว เดี๋ยวก็ว่างแล้วเนอะ ไปอยู่กับเพื่อนก่อน เพื่อนอุตส่าห์มาตั้งไกล"

"..."

"ไม่งอแงสิ เลิกหน้างอได้แล้ว" เป้ยู่ปากทำหน้ามุ่ย ผมเลยบอกพร้อมยกมือขึ้นไปดึงมุมปากเขาให้ยกขึ้นจนในที่สุดเจ้าตัวก็หลุดยิ้มออกมาแว๊บนึงแล้วกลับไปทำหน้าบึ้งต่อ

"ยิ้มแล้วๆ ไม่งอแงแล้วเนอะ"

"หึ ก็ภัทรนั่นแหละ ทำเหมือนไม่คิดถึงเค้าเลย ไล่กันอยู่ได้"

"เอ้า เค้าผิดอีก" ผมหลุดหัวเราะเมื่อเขาว่าอย่างนั้น ให้คนที่กำลังจะยิ้มหน้างอลงกว่าเดิม

"หึ ยังจะมาขำได้นะ" เป้กอดอกหันหน้าหนีออกจากผม ถ้าตั้มมาเห็นเป้ตอนนี้มันน่าจะด่าเป้ว่าปัญญาอ่อน โตแล้วยังทำตัวเหมือนเด็กห้าขวบ

แต่เพราะว่ามันไม่ใช่ไอ้ตั้มแต่เป็นผมที่เห็น ผมจึงคิดว่าท่าทางของเขามันดูน่ารักซะจนผมอยากจับเขามาฟัดให้สมใจ

"เป้..." ผมใช้นิ้วชี้สะกิดเขาตรงข้อศอก เป้ไม่ได้ชักแขนหนีแต่ก็ไม่ยอมหันหน้ามาเหมือนกัน

"..."

"เค้าก็ต้องคิดถึงเป้อยู่แล้ว คิดถึงตลอดเวลาเลย" ผมว่าพร้อมกับทิ้งหน้าผากไปบนแผ่นหลังของเขา

"วันนี้ตั้งใจเล่นนะ แล้วกลับมาเอารางวัลที่เค้าเนอะ" เมื่อผมว่าอย่างนั้นเป้ก็หันขวับมาหาผมในทันที ตาที่เป็นประกายของเขามันดูตลกจนผมอดยิ้มกว้างออกมาไม่ได้ 

"ภัทรจะให้อะไรเค้า~"

"เค้าจะยอมตามใจหมดเลย เป้อยากได้อะไรก็จะให้หมดเลยดีไหม" เขาพยักหน้ารับรัวๆ ภาพมันเร็วมากจนเหมือนผมตาฟาดเห็นหูของเขาตั้ง หางเขาก็กระดิกไปมาไม่หยุด

"เค้าอยากจูบภัทร"

"อันนั้นก็ทำประจำอยู่แล้วนี่น่า"

"เค้าหมายถึงตอนนี้"

ผมหรี่ตามองเมื่อเขาว่าอย่างนั้น ถึงผมจะไม่อายที่ใครจะรู้ว่าเราเป็นแฟนกัน แต่ผมก็ไม่คิดว่ามันเหมาะสมที่เราจะมาทำอะไรประเจิดประเจ้อในมหา'ลัยแบบนี้

"แต่เค้าก็รู้ว่ามันไม่เหมาะ เค้าจะอดทน" ผมยิ้มเมื่อเขาเป็นคนว่าต่อเอง

"เค้าก็จะอดทนเหมือนกัน เค้าเองก็อยากจูบเป้เยอะๆเลย อยากนอนกอดกันที่ห้องทั้งวันเลย" 

"ภัทร! ภัทรทำให้มันยากอะ!" ผมหลุดหัวเราะเสียงดังเมื่อเขาแหวออกมา เรานั่งคุยนั่งเล่นกันอยู่สักพัก จนในที่สุดเมื่อสิงโทรมาตาม เป้ก็ต้องกลับไปช่วยเพื่อนๆเตรียมงานต่อ

"ภัทรตั้งใจฟังนะ เพลงที่สองเค้าร้องเอง"

"อือ เค้าจะถ่ายทั้งวิดีโอ ทั้งภาพเก็บไว้เลย สู้ๆนะ"

"..."

เขาทำหน้าลังเลอยู่นิด มองซ้ายมองขวาไปมาก่อนที่ในที่สุดจะหยิบมือผมขึ้นไปจุ๊บที่หลังมือเร็วๆสองครั้งปล่อยมือผมแล้วลุกขึ้นยืนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

"เค้าไปแล้วนะ เดี๋ยวเลิกงานแล้วโทรหานะครับ"

"อะ..อืม" ผมที่ยังอึ้งๆกับสิ่งที่เขาเพิ่งทำได้แต่ตอบรับกลับไปสั้นๆ ยกมือขึ้นโบกลา นั่งมองเขาที่เดินกี่งวิ่งกลับไปทางด้านเวทีที่จะจัดคอนเสิร์ต

ผมหลุดยิ้มพร้อมหัวเราะออกมาเมื่อจู่ๆเขาก็หันมาสบตา ทั้งกระโดดทั้งโบกมือลาแถมส่งจูบให้ผมก่อนจะวิ่งหายเข้าไปด้านใน

ผมส่ายหัวอย่างหนักใจให้กับคนที่ทำให้ใจผมสั่นเป็นว่าเล่น เป้ของผมร้ายขึ้นทุกวันจริงๆ

"ชักจะเนียนเก่งขึ้นทุกวันแล้วนะ"

เพราะยิ่งเขาเป็นแบบนี้ ผมก็ยิ่งรักเขามากขึ้น รักจนไม่รู้จะรักยังไง รักจนเหนื่อยหัวใจไปหมดแล้ว

εїз

"น้องภัทร~ " เสียงของพี่หมีดังมาแต่ไกลเมื่อผมเดินมาถึงหน้าบริเวณจัดคอนเสิร์ตอีกครั้งในช่วงเย็น

หลังจากที่ผมเจอกับเป้ในตอนสายผมก็กลับไปกินข้าวเที่ยงกับร่มที่คณะเพราะผมยังมีเรียนตอนบ่าย ตอนกำลังจะเข้าเรียนพี่หมีก็โทรมาหา บอกให้ผมมาดูคอนเสิร์ตด้วยกัน เพราะพี่เขาจะพาเข้างานก่อนคนอื่นจะได้ยืนดูใกล้ๆกับเวที

"สวัสดีครับพี่หมี นี่ร่มกับนิวเพื่อนภัทรที่คณะครับ" ผมเอ่ยทักทายพร้อมแนะนำเพื่อนของผมอีกสองคนที่มาด้วยกัน

พี่หมีเองก็อยู่กับเพื่อนพี่เขา พี่หมีแนะนำพี่พุทธกับพี่ธงให้พวกเรารู้จัก พูดคุยกันสักพักพวกพี่ทั้งสองคนก็ขอตัวเข้าไปช่วยงานด้านในต่อ

"พี่อยู่ฝ่ายคอสตูม เตรียมชุดให้คนที่จะขึ้นแสดงวันนี้ แต่งานพี่เสร็จแล้วพี่ก็เลยอยู่กับภัทรได้ ป่ะ เข้าข้างในกันเนอะเดี๋ยวคนเยอะ" พี่หมีว่าพร้อมเดินนำพวกผมเข้าไปด้านใน

ที่จริงมันยังไม่ถึงเวลางาน ยังไม่เปิดให้คนที่มีบัตรเข้า แต่เพราะพี่หมีรู้จักกับพี่ที่คุมประตูเราถึงเข้ามาได้ก่อน ทำให้ตอนนี้เราได้มาอยู่แถวหน้าๆ อยู่ในมุมซึ่งเห็นเวทีได้ชัดที่สุด

พวกเรารอกันอยู่สักพัก จนในที่สุดเมื่อถึงเวลาเริ่มรับบัตรคนก็ทยอยกันเข้ามาจนเต็มพื้นที่ ถึงเราสี่คนจะต้องรอนาน แต่เพราะพี่หมีเป็นคนคุยเก่ง เล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้จนเวลาผ่านไปแบบที่เราไม่เบื่อกันเลยสักนิด

"สวัสดีครับทุกคน~"

ในที่สุดพิธีกรของงานก็เดินออกมาเรียกเสียงกรี๊ดจากคนหน้าเวทีดังกระหึ่ม

"พี่ตี๋ดีเจค่ายเอสวัน" เพื่อนสองคนของผมร้องอ๋อเมื่อพี่หมีบอกอย่างนั้น แต่ผมได้แต่นิ่งเงียบเพราะผมยังไม่รู้จักอยู่ดี

พี่ที่ชื่อตี๋เริ่มบรรยายไปเรื่อย เริ่มจากจุดประสงค์หลักของงานในวันนี้ ไปจนถึงลำดับของวงที่จะขึ้นแสดง ร่มโพธิ์กรี๊ดดีใจเป็นระยะเมื่อได้ยินชื่อวงที่รู้จัก แต่ผมน่ะใจเต้นแรงจนไม่เป็นอันทำอะไรไปนานแล้ว เพราะวงแรกที่จะขึ้นแสดงในวันนี้คือวงของเป้

"เอาล่ะครับ งั้นมาเจอกับวงแรกของวันนี้กันเลย เป็นวงของน้องปีหนึ่ง คือผมต้องบอกว่าผมได้ยินตอนซ้อมแล้วผมอึ้งมากฮะ บอกเลยว่าให้ทุกคนจับตาดูน้องๆไว้เลยนะครับ อยากถ่ายรูปรีบถ่าย ดังแล้วหาตัวไม่ได้ง่ายๆแบบนี้นะ" พี่ตี๋พูดติดตลกให้คนทั้งขำทั้งกรี๊ด

"ขอเสียงปรบมือและเสียงกรี๊ดดังๆให้กับวง Spy~" เมื่อสิ้นคำจู่ๆเสียงกรี๊ดก็ดังกึกก้องจนผมตกใจ ผมไม่คิดเลยว่าจะมีใครรู้จักพวกเขาเยอะแยะขนาดนี้

"แหม๋ ชื่อวงเหมือนจะเท่ ใครจะคิดว่าพวกมันพึ่งคิดได้เมื่อวาน S สิง P เป้ Yโย อย่างเห่ยอ่ะ" พี่หมีโน้มหน้ามากระซิบให้ผมหัวเราะทั้งๆที่ตายังมองคนที่เดินมาหน้าเวทีไม่ละสายตา

สิงเดินไปที่คีย์บอร์ดและดูเหมือนเขาจะเป็นคนร้องนำเพลงนี้ โยนั่งลงตรงกลองชุด เป้หยิบกีต้าร์ขึ้นมาสะพาย นอกจากนี้ยังมีรุ่นพี่ที่ผมจำได้ว่าชื่อพี่แทนมาช่วยเล่นเบสให้อีกด้วย

อย่างไม่มีการแนะนำตัวใดๆเสียงอินโทรของเพลง 'Somebody to love' ก็ดังขึ้น ผมขนลุกเพราะตอนนี้เสียงกรี๊ดที่ดังอยู่แล้วยิ่งดังขึ้นกว่าเดิมแล้วจู่ๆก็กลับไปเงียบสนิทเมื่อสิงเริ่มต้นร้อง 

เสียงของสิงสะกดคนในงานได้อยู่หมัด ก่อนที่บรรยากาศทั้งหมดจะเปลี่ยนแปลงไปตามจังหวะของเพลงที่เร็วขึ้น เราทั้งหมดโยกตามเสียงที่กระตุ้นเร้ากันอย่างสนุกสนาน ผมคิดว่าพวกเขาเลือกเพลงได้ถูกต้องจริงๆ พวกเขาทำมันได้ดีเกินกว่าที่จะเป็นแค่วงเปิดเลยด้วยซ้ำ

ในขณะที่ความสนใจของคนส่วนใหญ่จะพุ่งไปที่นักร้อง แต่สายตาของผมก็ยังจับจ้องที่เป้ไม่สามารถละไปไหน สองมือที่ถือโทรศัพท์ยังยกขึ้นบันทึกวิดีโอของเขาเก็บไว้ ถึงมันจะสะท้อนไม่ได้ครึ่งถึงสิ่งที่ผมเห็นหรือรู้สึกตอนนี้ก็เถอะ แต่ผมก็ยังอยากจะเก็บมันไว้เป็นความทรงจำอยู่ดี

เป้ที่อยู่ตรงนั้นช่างดึงดูดเหลือเกิน ถึงเราจะอยู่ด้วยกันมาตลอด ถึงผมจะเห็นเขาเล่นกีต้าร์มาหลายร้อยหลายพันครั้ง แต่การได้เห็นเขาอยู่บนเวทีแบบนั้นมันช่างแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง สีหน้าที่ดูมีความสุขหนักหนาของเขามันมีเสน่ห์ชวนหลงไหลเหลือเกิน

ในชั่วขณะที่ผมละสายตาจากเขาแล้วมองไปรอบด้าน ผมก็พบว่ามันไม่ใช่แค่กับผม แต่มีใครอีกหลายคนที่คงเห็นในสิ่งเดียวกัน ใครหลายคนที่มีแววตาหลงไหล ใครหลายคนที่ยกกล้องมือถือถ่ายรูปเขา ใครหลายคนที่เห็นว่าเขานั่นโดดเด่นกว่าใคร

"..."

ผมรู้ว่ามันบ้า แต่จู่ๆความไม่พอใจก็สุมเข้ามาในอก จู่ๆผมก็รู้สึกไม่มั่นใจ ความรู้สึกที่ว่าไม่อยากให้ใครเห็นเขามันกลับมาอีกแล้ว

และในเมื่อมันกลับมา มันก็เป็นอีกครั้งที่ผมอดคิดไม่ได้ว่าผมได้กลายเป็นผีเสื้อตัวนั้น ตัวที่ควรทำแค่มองเขาอยู่ห่างๆ เพราะดอกไม้ดอกนั้นเหมาะกับอะไรที่สวยงามกว่าผม

ผมหลุดออกจากความคิดเมื่อเสียงกรี๊ดดังขึ้นอีกครั้ง เพลงแรกจบลงแล้ว และตอนนี้มันก็จะถึงเพลงที่เป้เป็นคนร้องแล้ว

"ขอบคุณมากครับ วันนี้พวกเราวงSpy ดีใจและรู้สึกเป็นเกียรติจริงๆครับที่ได้มาเล่นเปิดในงานนี้ พวกเราซ้อมกันมาหนักมาก หวังว่าจะไม่ทำให้ผิดหวังกันนะครับ" สิงพูดเมื่อเสียงกรี๊ดเงียบลงอีกครั้ง

"และที่สำคัญที่สุด วันนี้ขอบคุณพี่แทนคุณที่มาช่วยเล่นเบสให้พวกเรานะครับ ถ้าไม่ได้พี่ก็คงไม่มีSpy ในวันนี้" เสียงปรบมือดังขึ้นพร้อมกับพี่แทนยืนโค้งรับคำชม สิงเดินเข้าไปรับเบสจากพี่เขา ก่อนที่พี่แทนจะโบกมือลาอีกครั้งแล้วเดินลงจากเวทีไป

"หึ ขี้เก๊กที่สุดละคนนี้"

"พี่หมีอะ ว่าพี่แทนอีกแล้วนะครับ"

"น้องภัทร! เราอย่าไปหลงกลเลยนะ เห็นเงียบๆแบบนี้อ้าปากทีหมาออกมาทั้งฝูง" ผมได้แต่หัวเราะกับท่าทางเป็นจริงเป็นจังของพี่หมี ก่อนที่ความสนใจทั้งหมดของเราจะกลับไปบนเวทีอีกครั้งเมื่อสิงว่าต่อ

"เอาล่ะครับ เพลงสุดท้ายของวันนี้ผมขอโยนหน้าที่นักร้องนำให้นายปณวัชต่อเลยแล้วกันนะครับ อ้าวคุณเป้ ตาคุณแล้วครับ"

เมื่อสิงเรียกชื่อเป้คนหน้าเวทีก็กรี๊ดขึ้นมาอีกครั้งแถมเสียงยังดังจนสิงโวยวายว่าเมื่อกี้เขายังไม่ได้เสียงกรี๊ดเยอะเท่านี้เลย

"..."

ผมพยายามบอกตัวเองว่าอย่ามางี่เง่าตอนนี้ ไอ้ความรู้สึกที่อยากจะเดินหนีกลับออกไปเนี้ยมันจะอะไรกันหนักหนา

ถึงคนจะชอบเขาเยอะ มันก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะไปสนใจใคร หรือว่าจะมีใครชอบเขาได้มากอย่างที่ผมชอบสักหน่อย ผมรู้สึกโมโหตัวเองเหลือเกิน ทั้งๆที่สัญญากันแล้ว แต่เจออะไรนิดๆหน่อยๆ ผมยังจะมาไขว้เขว้ได้ง่ายๆแบบนี้

"เพลงต่อไปเป็นเพลงช้าๆนะครับ" ผมเลิกเถียงกับตัวเองเมื่อเป้ว่าต่อด้วยเสียงทุ้มนุ่มที่ผมชอบ

"ก่อนจะเข้าเพลง ผมมีคำถามอยากถามทุกคนหน่อยครับ คุณเคยรู้จักกับคนประเภทนี้ไหมเอ่ย" เขาว่าต่อ

"คนที่ชอบฟังเพลงเดิมซ้ำๆจนกว่าจะเบื่อ ชอบเพลงไหนก็ฟังอยู่เพลงเดียวอยู่อย่างนั้นทั้งวันทั้งคืน"

เสียงตะโกนตอบจากด้านล่างเรียกเสียงหัวเราะให้กับหลายคน ผมที่ตอนแรกกังวลหนักกังวลหนายิ้มกว้างออกมาจนแทบจะถึงหูเพราะรู้ดีว่าเขากำลังหมายถึงผม

"แต่ถ้าคุณไม่ได้รู้จัก แต่คุณเองต่างหากที่เป็นคนแบบนั้น" เขาว่าต่อในตอนที่สองตาของเราหันมาสบกัน

"ผมก็อยากลองให้คุณฟังเพลงนี้ซ้ำๆ อยากให้คุณจำทุกเนื้อร้องให้ขึ้นใจเลยนะครับ เพราะว่ามันมาจากใจของผม"

เสียงกรี๊ดดังสนั่นพร้อมกับเสียงอินโทรเพลงที่ดังขึ้น ร่มโพธิ์กับพี่หมีเขย่าตัวผมคนละข้างเรียกสติที่ลอยหายไปในอากาศของผมให้กลับมาเข้าร่างอีกครั้ง

"เป้มันร้ายยย"

"เราเป็นแกเราไม่ไหวอะภัทร!"

"..."

"I met you in the dark, you lit me up

You made me feel as though I was enough

We danced the night away, we drank too much

I held your hair back when

You were throwing up"

ผมพรูลมหายใจออกมาเหยียดยาว ส่ายหน้าแบบคนปลงตกเมื่อเขายังไม่ยอมละสายตาที่สบกันของเราเสียที 

เขาทำให้ผมรู้สึกผิดครั้งแล้วครั้งเล่า มันก็เหมือนในทุกๆครั้งที่ผมคิดอะไรในแง่ร้ายเกี่ยวกับเรื่องของเรา มันก็เป็นเขานั่นแหละที่คอยย้ำมันซ้ำๆว่าผมคิดผิดอยู่เสมอ

Then you smiled over your shoulder

For a minute, I was stone-cold sober

I pulled you closer to my chest

And you asked me to stay over

I said, I already told ya

I think that you should get some rest

ในขณะที่ตาหลายร้อยคู่กำลังมองไปที่เขา แต่ความจริงก็คือ มันก็มีแค่ผมเท่านั้นที่เขามองมาไม่ละสายตา แค่ผมคนเดียวที่เขาให้ความสำคัญ

แล้วทำไมผมถึงต้องไปแคร์คนอื่น เอาความคิด เอามาตรฐานของใครๆมายึดเพื่อบั่นทอนความรู้สึกที่ดีระหว่างกันของเราด้วย ไม่ว่าใครจะว่าเราสองคนไม่เหมาะสมยังไง

แต่ถ้าสำหรับเป้ผมคือคนที่ใช่

มันก็คือคำตอบสุดท้ายแล้วไม่ใช่หรือ

I knew I loved you then

But you'd never know

'Cause I played it cool when I was scared of letting go

I know I needed you

But I never showed

But I wanna stay with you until we're grey and old

Just say you won't let go

"นี่ไม่คิดจะมองไปทางอื่นเลยหรือไง"

Just say you won't let go

"เลิกมองได้แล้ว ไม่อายเลยหรือไงนะ"

εїз

"วันนี้สนุกมากๆเลยเนอะภัทร" ร่มโพธิ์ว่าในตอนที่เรานั่งกินของกินที่ซื้อมาจากร้านค้าที่มาออกร้านในงานอยู่ใต้ต้นไม้กันสองคน

เราออกจากงานทั้งๆที่คอนเสิร์ตยังไม่ทันจบเพราะนิวมีธุระด่วนต้องรีบกลับบ้าน แล้วผมกับร่มก็เริ่มหิวมากแล้ว เมื่อเห็นเพื่อนของพี่หมีมาเราเลยขอตัวออกมาก่อน

"อือ สนุกดีเนอะ"

"หึหึ ไม่ใช่แค่สนุกแล้วล่ะมั้ง เป้เท่มากเลยเนอะ" ร่มว่าพร้อมกับใช้ข้อศอกสะกิดผม ผมหลุดอมยิ้มเมื่อภาพที่เขาร้องเพลงสบตากับผมมันย้อนกลับมาในหัว

"อือ เท่สุดๆไปเลย"

"โอ้ยยยย อิจฉาอ่ะ อยากมีแบบนี้บ้าง มันคงจะชุ่มช่ำหัวใจมากเลยใช่ไหม แล้วยิ่งเราเห็นตอนที่พี่ดินขึ้นเวทีแล้วมองพี่อินด้วยนะ โครตอิจฉาพี่อินเลยอ่ะ"

"ร่มเนี้ยชมพี่ดินบ่อยเนอะ นี่เราจะคิดว่าร่มแอบชอบจริงๆแล้วนะเนี้ย"

"เห้ย เปล่าๆ กับพี่ดินเราก็แค่ชื่นชมพี่เขาเฉยๆ ไม่ได้คิดจะเข้าไปจีบหรืออะไรนะ แล้วคือแฟนเขาน่ารักจะตาย"

"แน่ะ แสดงว่ากับคนอื่นก็มีงี้หรอ"

"เห้ย ไม่มีเลยเหอะ เรานี่เหี่ยวแห้งมาก ไม่เคยมีแฟนสักคนเลย"

"เราก็เหมือนกัน เป้ก็แฟนคนแรกของเรานะ"

"โธ่ภัทร พวกแกคบกันมาตั้งแต่มอสอง ถ้าก่อนหน้าเป้แกมีแฟน เราก็จะว่าแกแก่แดดแล้วนะ"

ผมกับมันทั้งคุยทั้งหัวเราะให้กับบทสนทนาระหว่างเรา นอกจากตั้มแล้ว ร่มเป็นเพื่อนที่ผมอยู่ด้วยแล้วเป็นตัวของตัวเองมากที่สุดอีกคน เป็นคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจเหมือนผมพูดได้ทุกสิ่งทุกอย่าง และผมก็ดีใจที่มันเองก็ดูมีความสุขเวลาอยู่กับผมด้วยเหมือนกัน

เรานั่งกินของกินที่เราซื้อกันมาเต็มโต๊ะไปเรื่อยๆอย่างไม่รีบร้อน ฟังเสียงเพลงที่ดังมาจากคอนเสิร์ตจากที่ไกลๆแล้วนั่งวิจารณ์นักร้องที่ขึ้นร้องแต่ละคนไปด้วยกัน

ร่มรู้จักคนในมหา'ลัยเยอะซึ่งต่างจากผมสิ้นเชิง แต่ถึงผมจะไม่ค่อยรู้จักเท่าไหร่ แต่เวลาได้ยินข่าวกอสซิปที่มันเล่าก็สนุกดีเหมือนกัน

"เราถามจริงๆเหอะ แล้วทำไมร่มถึงไม่ยอมเปิดใจให้ใครเลยล่ะ มีคนเข้ามาจีบร่มตั้งเยอะ อย่างเมื่อกี้พี่ธงมองร่มตาเป็นมันเลยเหอะ"

"ภัทรเว่อร์แล้ว อย่างเราใครเขาจะมามอง"

"โห นี่คือไม่รู้ตัวหรือจะแกล้งให้เราชม ร่มกับพี่ร่มไทรดังจะตาย เคยเห็นนิวบอกว่าเขาเอารูปคู่ของสองร่มไปลงเพจมหา'ลัยด้วย"

"ก็พี่เรามันดัง ไม่ใช่เราสักหน่อย"

"ก็หน้าตาเหมือนกันเปี๊ยบเลยเหอะ"

"มันก็ใช่ หน้าตาเหมือนกัน แต่ก็มีคนจีบแต่พี่ร่มตลอด เราน่ะ ก็เป็นได้แค่น้องของร่มไทรคนดังนั่นแหละ" มันว่าพร้อมยกชาไข่มุกขึ้นมาดูด ถึงมันจะทำเหมือนไม่มีอะไร แต่หน้าตาที่ดูเศร้าลงก็ทำให้ผมรู้สึกผิดที่เปิดหัวข้อขึ้นมา

"แต่เราว่าร่มน่ารักกว่า" มันหรี่ตามองผมอย่างไม่ไว้ใจเมื่อผมเอ่ยชมมันทำหน้าจริงจัง

"จะมาแกล้งชมทำไมเนี้ย"

"ไม่ได้แกล้งเลย ร่มน่ารักกว่าตั้งเยอะ"

"ดีมาก ภัทรเป็นเพื่อนเราก็ต้องชมเราถูกม่ะ" ผมพยักหน้ารับรัวๆ ยิ้มแป้นเมื่อมันยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง

"ถ้าไม่มีเป้นะ เราจีบร่มไปนานแล้ว" ผมแหย่มันไปแบบนั้นหวังให้มันอารมณ์ดีขึ้นกว่าเดิม

"อ้าวภัทร เราอัดเสียงไว้เลยนะ เดี๋ยวเถอะ เป้ร้องแน่" ผมรีบเอามือไปแย่งโทรศัพท์เมื่อมันยกมือถือขึ้นมา แต่มันกลับล๊อคคอผมไว้ กดปุ่มบันทึกวีดีโอทันที

"อ้าว~ ไหนใครบอกว่าไม่มีเป้แล้วจะจีบเราน้า"

"ร่ม~ เราล้อเล่น"

"ไม่ต้องเลย วันนี้เราจะไปนอนห้องภัทรด้วยน้า~ ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นแล้ว"

"ร่มพอเลย!!!" ผมโวยวายตอนที่มันเปลี่ยนกล้องมาเป็นโหมดเซลฟี่ เอาแก้มแนบแก้มกับผมจนชิดสนิท

"เราจะหอมแก้มภัทรแล้วน้า~"

จุ๊บ!

ว่าแล้วมันก็หอมแก้มผมหัวเราะคิกคัก ก่อนที่มันจะกดปิดวีดีโอ พิมพ์อะไรนิดหน่อยแล้วยื่นโทรศัพท์ให้ผมดูสิ่งที่มันเพิ่งโพสลงในเฟสบุ๊ค

"ร่ม!!!"


******

#ณภัทรปณวัช

5555 น้องร่มน่ารักกก มาขายของ เรื่องขอน้องคือ 2 in 1 เป็นฉันได้ไหม นะคะ แต่อีกนานเลยกว่าจะจบ ดราม่ามาก ไม่มีแรงเขียนเลยค่ะ

ตอนนี้เขียนแล้วลบไปเยอะมากเลยค่ะ อ่านไม่ค่อยจะลื่นเลยยังไงไม่รู้ หวังว่าจะไม่แปร่งๆเท่าไหร่นะคะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Maywrite

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
#ณภัทรปณวัช

14 เรื่องของวันธรรมดา



"เอ่อ...เดี่ยวกลับไปแล้วหรอ"

ผมยิ้มหน้าเจื่อนให้คนที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามาในห้อง ตอนนี้เขามีสีหน้าบึ้งตึงมากจนผมเผลอกลืนน้ำลายเอือกใหญ่ลงคอตอนที่เราสบตากัน

ตอนนี้เป็นเวลาสี่โมงเย็น ร่มโพธิ์ที่เป็นตัวการสร้างเรื่องก็หนีกลับบ้านไปตั้งแต่กินข้าวเช้าปนเที่ยงด้วยกันเสร็จ ผมไม่ต้องรอนานคนที่ตอนแรกบอกจะนอนกับบอลสองคืนก็โผล่มาเร็วกว่ากำหนดตามที่ผมคิดไว้เปี๊ยบเลย

"เป้..."

ไม่พูดพร่ำทำเพลงเป้เดินเข้ามาประชิดตัวแล้วรวบตัวผมขึ้นพาดไหล่ พาเดินดุ่มๆไปที่เตียงแล้วทุ่มผมลง ก่อนที่เจ้าตัวจะผละออกไปถอดเสื้อของตัวเองออกอย่างรวดเร็ว

"เป้! จะทำอะไรน่ะ"

"จะปล้ำภัทร!"

"เดี๋ยวๆๆ ไม่เอานะ ใจเย็นก่อนเนอะ"

"ไม่ยงไม่เย็นมันแล้ว ภัทรต้องโดนลงโทษ!"

"ยะ..หยุด!" ผมตะโกนออกไปเสียงเข้มให้เขาที่กำลังถอดกระดุมกางเกงชะงัก

เราทั้งสองเล่นเกมจ้องตากันไปมา เขาที่ขมวดคิ้วแน่น สีหน้าจริงจังกว่าเคยดูจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ แต่วันนี้ ผมเองก็ไม่คิดอยากจะยอมแพ้ง่ายๆเหมือนกัน

"คะ..เค้าจะไม่ทำตอนเราโกรธกัน ไม่เด็ดขาด"

"..."

"เค้าเองก็อยากรักกับเป้จะแย่ แต่ต้องไม่ใช่แบบนี้"

เมื่อผมว่าแบบนั้นเค้าก็ยิ่งนิ่งชะงักเป็นรูปปั้น ก่อนที่ในที่สุดจะหลับตาแน่นแล้วถอนหายใจออกมายาวเหยียด ทิ้งตัวนั่งลงข้างผม

"เป้..." ผมลองเรียกชื่อเขาดูอย่างกล้าๆกลัวๆ เป้ลืมตาหันมามองกันในที่สุด เขาขยับตัวอ้าแขนเป็นสัญญาณให้ผมคลานขึ้นไปนั่งบนตักเขา

"ไม่หงุดหงิดสิ ดูไม่รู้หรือไงว่าร่มแกล้ง"

"แล้วทำไมภัทรไม่ห้าม"

"ก็เค้าไม่ทันตั้งตัว เป้ก็เห็นแล้วนี่" ผมพูดท้ายประโยคเสียงอ่อยเพราะเขามองผมตาขวาง เจ้าตัวคงกำลังคิดถึงภาพที่เห็นในวีดีโออีกแน่ๆ

"แล้วนั่นก็ร่มนะ ไม่ใช่คนอื่นสักหน่อย"

"ร่มก็ไม่ได้ ใครหน้าไหนก็ไม่ได้"

"แล้วทีเป้ล่ะ" ผมว่าขึ้นมาบ้างเมื่อจู่ๆก็นึกขึ้นได้ถึงบางเรื่องที่ยังติดค้างในใจ

ก่อนหน้านี้เพราะกังวลว่าจะคิดมากจนทำให้ทะเลาะกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องเลยอุตส่าห์เก็บไว้ในใจ แต่ถ้าจะมาเป็นแบบนี้ ผมเองก็จะพูดมันออกไปบ้างเหมือนกัน

"เค้าทำไม" เป้ทำหน้างงพร้อมเอ่ยถามเสียงใส หึ สงสัยจะมั่นใจในความบริสุทธิ์ของตัวเองมากเลยสินะ

"ทีเป้ยังหอมคนอื่นได้เลย"

"เห้ย ภัทรปักปรำเค้าทำไมเนี่ย"

"ปรักปรำทีไหน บอลเป็นคนบอกเค้าเองว่าเป้จุ๊บหน้าผากบอล" ตอนแรกเป้ทำท่าจะอ้าปากเถียงแต่ก็ค้างไว้อย่างนั้น ผมคิดว่าเขาคงรู้ตัวนั่นแหละ ว่าถ้าเขาบอกว่าเขาแค่ล้อเล่นแล้วผมจะตอบกลับไปว่ายังไง

"เพราะฉะนั้นก็เลิกงอแงเลย" ผมใช้ข้อนิ้วคีบปลายจมูกเขาแน่นแล้วส่ายไปมา เป้ร้องโอ๊ยพร้อมหยีตาอ้าปากแสดงความเจ็บปวดแบบเว่อร์ๆจนผมอดหัวเราะไม่ได้

"แต่ไม่เอาแบบนี้อีกแล้วได้ไหม เค้านอนไม่หลับเลย" เมื่อผมยอมปล่อยมือเขาก็พูดขึ้นอีกครั้งด้วยเสียงออดอ้อน

ฟอด

"ข้างนี้ใช่ไหมที่โดนหอม เค้าจะลบรอยให้หมด" เขาว่าขึ้นพร้อมกดหอมแก้มซ้ายของผมซ้ำๆ ก่อนจะลุกลามไปส่วนอื่นๆจนผมมึนจูบไปหมด

"พอแล้ว~ ไม่เหลืออะไรให้ลบแล้ว" ผมพูดไปหัวเราะไปเพราะรู้สึกจั๊กจี้ไปหมด 

ในตอนที่กำลังจะขาดหายใจเพราะมัวแต่หัวเราะจนไม่ได้พัก จู่ๆเป้ก็ผละริมฝีปากหยักของเขาออกอย่างห่างอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยจนผมหยุดขำ

เป้ทิ้งระยะห่างเพียงเล็กน้อยให้เราสามารถโฟกัสหน้าของอีกฝ่ายได้ชัดเจน ผมสัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนๆของเขาที่มากระทบใบหน้าของผมจนรู้สึกตื่นเต้นไปหมด

"ภัทรเชื่อไหม.." เขาว่าขึ้นด้วยเสียงทุ้มนุ่มที่ผมเคยเก็บเอามาคิดหลายครั้งแล้วว่ามันเป็นเสียงที่น่าฟังที่สุด

"เมื่อคืนเค้านอนไม่หลับจริงๆนะ" ผมยกมุมปากขึ้นหนึ่งข้าง ขมวดคิ้วแน่นพร้อมถอนหายใจพรูใหญ่ ผมไม่คิดว่าเขาจะคิดจริงจังกับเรื่องของผมกับร่มขนาดนี้

"ก็บอกแล้วไง ว่าเค้ากับร่ม.."

"ไม่ใช่..ไม่ใช่เรื่องนั้น" เขาขัดขึ้นมาก่อน เอื้อมมือหนาของเขามาสัมผัสลงที่แก้มของผม ลูบไล้มันเบาๆจนผมทั้งมึนงงทั้งตื่นเต้นไปหมด

"แต่เมื่อคืนเค้านอนไม่หลับจริงๆ เพราะเค้าคิดถึงภัทร"

"..."

"เค้าว่าเค้าติดภัทรไปแล้ว พอไม่มีภัทรให้กอด ไม่ได้สูดกลิ่นตัวหอมๆของภัทร เค้าก็นอนหลับไม่ลงเลย"

ผมย่นจมูกใส่คนที่เก่งแต่จะทำให้ผมไปไม่เป็น และเพราะเขารู้ว่าผมจะทำแบบนั้น เขาก็ไม่พลาดโอกาสโน้มริมฝีปากลงมาขบปลายจมูกของผมเบาๆก่อนจะจูบซับย้ำๆ ไล่ไปเรื่อยๆจนริมฝีปากของสองเราแนบกันสนิทแบบที่เขาชอบทำ

และผมก็คิดว่ามันต้องถึงตาผมบ้าง ในเมื่อผมตั้งใจแล้วว่าผมจะรักเขาให้ได้มากกว่า มันก็ถึงเวลาที่ผมต้องรีบทำคะแนน ผมจะไม่ปล่อยให้เขาทำผมใจสั่นฝ่ายเดียวหรอกนะ

ในตอนที่เขาผละออกเพื่อให้เราได้หายใจ ผมก็ใช้สองมือเกาะบ่าที่เปลือยเปล่าของเขาไว้ ยืดตัวขึ้นก่อนที่จะถือโอกาสประทับริมฝีปากของผมลงไปแน่นๆอีกครั้ง ตั้งใจแน่วแน่แล้วว่า อยากจะทำอะไรๆให้มันเลยเถิดไปมากกว่านี้

อยากรักเค้าให้มากๆกว่านี้

"ภัทร..."

"เค้าก็คิดถึงเป้มากๆเลย" ผมเอ่ยความในใจของผมออกไป

ยกยิ้มให้จนเขาทั้งยิ้มทั้งหัวเราะออกมา ผมคิดว่ามันคงจะเป็นเพราะหน้าตาผมในตอนนี้มันดูจะเจ้าเล่ห์เอามากๆ เพราะแผนในหัวของผมตอนนี้ มันก็เจ้าเล่ห์ไม่แพ้กันเลยสักนิด

"เป้ไม่รอดแน่ มาเป็นของเค้าซะดีๆเลยนะ"

εїз

ผมตื่นมาอีกครั้งในช่วงสายของวันใหม่ ผมชอบเพราะมันเป็นวันอาทิตย์ที่ไม่ต้องรีบร้อนอะไร เราตั้งใจไว้แล้วว่าจะใช้วันนี้ทั้งวันหมกตัวอยู่ในห้องด้วยกันสองคน

เมื่อคืนกว่าจะได้นอน เราก็ทั้งเล่นเกม ทั้งดูหนัง ทั้งทำให้เขาเป็นของผมจนดึกดื่น จนตอนนี้เป้ของผมก็ยังนอนหลับไหลไม่รู้เรื่องรู้ราว

เขาเหนื่อยกับการซ้อมดนตรีมาตลอดทั้งเดือน ยิ่งช่วงสัปดาห์สุดท้ายเขาแทบไม่ได้นอน ข้าวปลาก็กินไม่เป็นเวลา นี่ยังดีนะที่ไม่ได้ล้มป่วยลงซะก่อน ไม่อย่างนั้นเขาคงจะโดนผมบ่นจนหูชาไปแล้ว

ผมชอบมองเวลาเขาหลับ ปากที่อ้าออกเล็กๆของเขามันน่าแกล้งยิ่งกว่าอะไร ผมอยากจะโน้มหน้าเข้าไปงับริมฝีปากอวบอิ่มที่ช่างพูดช่างหยอดให้บวมเจ่อ แต่เพราะรู้ว่าพักหลังเป้ไม่ค่อยได้พักผ่อนผมจึงยอมตัดใจ ค่อยๆ ลุกออกจากเตียงช้าๆ เพราะไม่อยากจะทำให้เขาตื่น

เป็นเพราะเป้ไม่ได้บอกว่าจะกลับมาเมื่อวาน ผมเลยไม่ได้เตรียมซื้ออะไรไว้ก่อน ผมลองเดินไปเปิดตู้เย็น ภาวนาในใจขอให้มีอะไรที่จะพอทำกินได้บ้างอยู่ในนั้น และยังถือว่าคนที่ไม่ค่อยได้ทำอาหารอย่างผมยังมีโชคอยู่ พราะในตู้เย็นยังมีไข่ไก่ตั้งเด่นอยู่สองฟอง

ผมยกหม้อหุงข้าวออกมาจากตู้ จัดการตวงและล้างข้าวสารก่อนจะใส่มันลงไปในหม้อ เมื่อผมหันไปมองแล้วยังเห็นว่าเขายังหลับอยู่ ผมจึงตั้งใจว่าจะรอทอดไข่ตอนที่เขาตื่นแล้ว

ผมเดินเข้าไปในห้องน้ำอีกครั้ง เติมน้ำใส่ที่ฉีดน้ำแล้วตรงไปหาผักสวนครัวที่ระเบียงของผม ฝอยน้ำจากหัวฉีดกระจายฟุ้งในอากาศ ผมยิ้มเมื่อเห็นกระเพราที่ผมปลูกมีใบหนาแน่นเต็มไปหมด

"เที่ยงนี้เจอกันนะกะเพราน้อย" ผมว่าก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นไปมองพริกขี้หนูในกระถางที่เปลี่ยนเป็นสีแดงสดเรียบร้อยแล้ว

"นายก็ไม่รอดเหมือนกัน"

ผมหัวเราะคิกคักกับตัวเอง อดตลกไม่ได้ที่ผมกำลังอารมณ์ดีมากเกินไปจนมายืนคุยกับผักสวนครัวเล่นแบบนี้ ก็จู่ๆในหัวมันคิดภาพตอนที่เป้ย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกัน เจ้าพวกกะเพรามันคงจะต้องบ่นโวยวายกันยกใหญ่ เพราะมันคงจะโตไม่ทันกินเอาแน่ๆ

"เดี๋ยวค่อยซื้อเพื่อนมาเพิ่มให้เยอะๆเลยเนอะ"

ผมปลอบใจมันก่อนจะหันไปฉีดน้ำในกระถางอื่นๆที่อยู่บริเวณระเบียงจนครบ กลับเข้ามาจัดการต้นไม้ทุกต้นด้านใน เก็บอุปกรณ์เข้าที่แล้วจึงเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าที่อยู่ตรงมุมห้องของผม

ผมเปิดประตูตู้แล้วยืนพิจารณา เพราะว่าผมกับเป้จะต้องแบ่งตู้กันใช้ วันนี้ผมจึงตั้งใจว่าจะโละเสื้อผ้าของผมออกมาทั้งหมดแล้วจัดมันใหม่เพื่อแบ่งที่ให้เขา

ผมเริ่มจากการเลือกเสื้อผ้าที่ไม่คิดว่าจะใส่อีกแล้วออกมาพับกองเตรียมไว้เพื่อใส่ถุงไปบริจาค เสื้อเชิ้ตและชุดนักศึกษาทุกตัวอยู่บนไม้แขวน ผมตั้งใจจะวางกางเกงไว้ที่ชั้นล่างสุด เสื้ดยืดที่ชั้นสอง ทิ้งช่องว่างอีกสองช่องด้านบนไว้ใส่เสื้อผ้าของเป้ ส่วนชุดนอนของทั้งผมและเขา ผมคิดว่าจะพับใส่ตะกร้าและวางไว้ใต้ราวแขวนเสื้อผ้า

เมื่อวางแผนทั้งหมดในหัวเรียบร้อยแล้วผมก็เริ่มลงมือทำ ผมพับปรับเปลี่ยนตำแหน่งจนพอใจก็เดินไปหยิบกระเป๋าสะพายของเขามาจากโต๊ะหนังสือ เปิดมันออกตั้งใจจะจัดเสื้อผ้าที่เขาเอามาเข้าตู้

"..."

"ภัทร.." ในตอนที่กำลังเพ่งการ์ดเล็กๆที่อยู่บนถุงของขวัญทรงสี่เหลี่ยมก็มีเสียงเรียกชื่อให้ต้องหันไปมอง

"ทำอะไรอยู่ แอบรื้อกระเป๋าเค้าหรอ" เจ้าของกระเป๋านอนมองผมยิ้มแป้นตาแป๋ว ของกลางยังคาอยู่ในมือจนผมไม่อาจจะทำอะไรได้นอกจากพูดความจริงออกไป

"ก็แค่จะมาเอาเสื้อผ้าไปใส่ตู้ให้ แต่เหมือนจะไปเจออะไรที่ไม่ควรเจอล่ะมั้ง"

"หืม.."เขาเลิกคิ้วขึ้น ลุกขึ้นนั่งบนเตียงก่อนจะอ้าแขนกว้างเป็นสัญญาณให้ผมเดินไปนั่งตัก ผมที่ตอนนี้หน้าบึ้งไปแล้วก้าวเท้าไปหาเขาอย่างไม่เต็มใจนัก มือยังกำถุงกระดาษตัวการแน่นไม่ปล่อย

'เป็นกำลังใจให้นะคะ - แก้ว'

"ใครคือแก้ว?" ผมว่าพร้อมยื่นมันไปตรงหน้าเขา เป้ทำหน้างงพร้อมอ่านโน๊ตที่ผมเพิ่งอ่านไปเมื่อกี้ก่อนจะร้องอ๋อยาวๆให้ผมนึกอยากยกมือขึ้นไปบีบปากเขาให้พูดไม่ได้อีกเลย

"เพื่อนของไอ้โย เขาให้มาตอนจบคอนเสิร์ต" เป้ว่าพร้อมหยิบเอาถุงไปเปิดดู ผมที่ทำเป็นไม่สนใจแอบชำเลืองมองตามเพราะก็อยากรู้เหมือนกันว่าเขาได้อะไรเป็นของขวัญ

"โห สุดยอดไปเลย" เขาร้องออกมาพร้อมสีหน้าดีอกดีใจที่มากจนทำให้ใจผมกระตุก แต่ถึงจะแอบเจ็บใจยังไงก็ต้องยอมรับว่าของขวัญที่เขาได้มามันก็ดีจริงๆนั่นแหละ

มันเป็นกรอบรูปสีดำที่มีภาพวาดสีน้ำอยู่ในนั้น มันเป็นภาพวาดเสมือนจริงของเป้ในตอนที่กำลังก้มหน้าเล่นกีต้าร์อย่างตั้งอกตั้งใจอยู่บนคอนเสิร์ต 

ผมเคยเห็นรูปถ่ายที่น่าจะเป็นต้นแบบของรูปนี้ในเฟซบุ๊กของเขามาก่อน ต้องยอมรับว่าคนวาดทำมันมาได้ดีและเนี้ยบมากจริงๆ

ผมคิดว่าผมคงจะไม่รู้สึกงี่เง่าขนาดนี้หรอกมั้ง ถ้าลายเซ็นต์ตรงมุมขวาล่างของรูปไม่ได้แสดงว่าที่จริงแล้ว คนที่วาดภาพนี้ขึ้นมากับคนให้ เป็นคนคนเดียวกัน

"เค้าไม่ได้รู้จัก ไม่สนิท ไม่มีอะไรเลยนะ"

"..." ตอนนี้ผมทำหน้าไม่ถูก ความรู้สึกหลากหลายมันท่วมท้นจนพูดไม่ออก มันเป็นความรู้สึกขุ่นเคือง หึงหวง แต่มากที่สุดก็คงเป็นความรู้สึกผิด 

เพราะในขณะที่อีกคนที่ไม่ได้รู้จักกันอย่างใกล้ชิดทุ่มเททำอะไรให้เขาด้วยตัวเองขนาดนั้น แต่ผมกลับไม่มีอะไรให้เขาเลยสักอย่าง 

ไม่ แม้แต่จะคิดเตรียมอะไรไว้เลยสักอย่าง

ผมตัดสินใจลุกขึ้นจากตักเขาแล้วเดินตรงไปเอาเสื้อผ้าของเป้ออกจากกระเป๋า นั่งขัดสมาธิหน้าตู้เสื้อผ้า พยายามก้มหน้าก้มตาพับนั่นจัดนี่ เพราะกลัวเหลือเกินว่าถ้าเผลอว่างเมื่อไหร่ น้ำตาที่ตั้งท่าจะไหลผมจะไม่สามารถกลั้นมันได้อีกแล้ว

หมับ!

"ร้องทำไม"

"ร้องอะไรเล่า" แต่ในทันทีที่เขากอดผมจากด้านหลังแล้วถามแบบนั้น มันก็เหมือนกับเขามาเปิดสวิตซ์ ผมเริ่มร้องห่มร้องไห้เสียงดังในอกกว้างเหมือนเด็กน้อยโดนแย่งขนม เป้ทั้งปลอบทั้งหัวเราะปะปนกันมั่วไปหมด

"ก็เค้าแย่"

"ใครบอก คิดมากอีกแล้ว"

"ก็ของขวัญที่เป้ได้มันดี ดูเขาตั้งใจมากด้วย เค้า..เค้าไม่มี..ฮึก..ไม่ได้เตรียมอะไรไว้เลย" แล้วผมก็ปล่อยโฮอีกครั้ง

หน้าตาผมคงดูตลกมากเพราะเป้หัวเราะเสียงดังไม่หยุด จนเมื่อเขาเหมือนจะขำจนเกินไป ผมก็ทำหน้าตึงแสดงให้เห็นว่าผมโกรธจริงๆแล้วเขาถึงยอมหยุดหัวเราะในที่สุดแล้วกลับมาตั้งใจปลอบผมอีกครั้ง

"ภัทรไม่ได้เตรียมอะไรที่ไหน" คนตรงหน้าผมว่าขึ้น จูบซับน้ำตาข้างแก้มจนหมดเกลี้ยง ก่อนจะเลื่อนริมฝีปากนิ่มนั้นไปเรื่อยๆ คลอเคลียอยู่ข้างหูของผม

"ก็ไหนบอกว่าจะให้รางวัลเค้าไง อะไรก็ได้ที่เค้าอยากได้" ผมย่นคอลงอย่างไม่รู้ตัวในตอนที่เขากระซิบเสียงพร่า จู่ๆก็หน้าร้อนขึ้นมาเพราะริมฝีปากของเป้เริ่มเลื่อนลงต่ำเรื่อยๆ จากข้างแก้มไปถึงลำคอ เขากัดมันเบาๆจนผมเผลอครางออกมา

"ละ..แล้ว..แล้วเป้อยากได้อะไร"

"เค้าอยากได้หลายอย่างเลย" เป้ว่าให้เราหัวเราะหึตอนที่ปลายจมูกเขากำลังหยอกล้อคลอเคลียอยู่ที่ช่วงบ่าของผม ผมสะดุ้งเมื่อสองมือหนาสอดเข้ามาใต้เสื้อ ลูบไล้ไปมาจนเสียท้องน้อยไปหมด

"แต่ตอนนี้ขอแค่คนนี้ก่อน" เขาว่าพร้อมกับเลื่อนมือสูงขึ้นเรื่อยๆจนตอนนี้ผมเริ่มไม่เป็นตัวของตัวเองอีกต่อไปแล้ว

"ขอเค้ารักกับภัทรก่อนได้ไหม"

εїз

หลังจากใครบางคนได้รับรางวัลจนสมใจ เราสองคนก็ลุกขึ้นไปอาบน้ำด้วยกัน ก่อนที่ผมจะออกมาทำข้าวไข่เจียวเป็นมื้อเช้าให้กับเราสองคน

"แล้วสรุปเรื่องรางวัล เป้อยากได้อะไร" ผมเอ่ยถามคนที่ทำหน้าฟินเหมือนกินอาหารหรูหราทั้งๆที่นั่งกินไข่เจียวตรงหน้าผมอีกครั้ง เพราะผมยังติดใจกับเรื่องเมื่อกี้จริงๆ ผมอยากจะทำอะไรหรือให้อะไรกับเขาสักอย่างเป็นการไถ่โทษ

"เมื่อกี้ภัทรก็ให้ไปแล้ว หรือว่าภัทรจะให้อีกรอบ?" ผมขมวดคิ้วแน่นทำหน้าเคืองใส่เขาจนคนที่ทำหน้าทะเล้นอยู่จริงจังขึ้นมาในที่สุด

"ที่จริงก็... เค้าก็มีอย่างนึงที่อยากได้"

"อะไรล่ะ บอกมาเลย ขอเค้าซื้อให้นะ"

"ไม่ใช่ๆ ไม่ใช่ของ เค้าอยากให้ภัทรช่วยอะไรเค้าหน่อยได้ไหม"

"หืม เรื่องอะไรล่ะ เป้บอกเค้ามาเลยนะ ถ้าเป็นเรื่องที่เค้าทำได้ เค้าจะช่วยเต็มที่เลย"

เขายิ้มเมื่อผมบอกไปด้วยท่าทางกระตือรือร้น เอื้อมมือมาขยี้ผมที่ยังไม่แห้งดีของผมไปมา

"ภัทรทำได้" เขาว่า ไล้นิ้วโป้งไปมาข้างแก้มผม

"ภัทรกลับบ้านเค้าด้วยกันนะ"

"..."

"กลับไปคุยกับพ่อแม่เค้า กับพ่อภัทรด้วยกันนะ"

"เอ่อ..." จู่ๆผมก็อ้ำอึ้ง ไม่ใช่ว่าผมไม่อยาก แต่ตอนนี้สมองมันขาวโพลนจนไม่รู้ว่าจะตอบเขาไปว่าอะไร

"ภัทรกลัวหรอ" เป้ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ รวบสองมือของผมด้วยสองมือของเขาเข้าด้วยกัน

ผมมองหน้าเป้พร้อมกับค้นคิดถึงสิ่งที่ตัวเองกำลังรู้สึก และเมื่อคิดว่ามันเป็นสิ่งเดียวกันกับสิ่งที่เขาถาม ผมจึงพยักหน้าตอบรับอย่างไม่คิดผิดบัง

"เค้าก็กลัว" ผมแปลกใจเมื่อจู่ๆคนตรงหน้าพูดออกมาแบบนั้น

"แต่เค้าคิดว่าถ้ามีภัทรเค้าต้องผ่านมันไปได้แน่ๆ ภัทรเองก็ต้องเชื่อใจเค้านะ"

"..."

"แล้วเราจะได้ไม่ต้องเก็บอะไรมากังวลกันอีกแล้วเนอะ" 

มือที่กำอยู่กระชับแน่นกว่าเดิม มันส่งผ่านความร้อนจากปลายนิ้วไล่ตรงมาที่หัวใจ

มันน่าแปลก

อย่างไม่รู้ตัวความอบอุ่นที่แผ่ซ่านกลางอกทำให้ผมสงบลงอย่างไม่น่าเชื่อ จากที่เคยกลัวจนอยากจะหนีไปให้ไกล ตอนนี้ผมกลับคิดว่าผมเองก็พร้อมแล้วเหมือนกัน

"อืม ไปด้วยกันนะ ไปบ้านเป้ด้วยกันนะ"

εїз

มันเป็นวันอาทิตย์ธรรมดาๆวันหนึ่ง

ที่มีบางอย่างเปลี่ยนไป แต่บางอย่างก็ยังเหมือนเดิม

"ภัทรสังเกตหรือเปล่า วันนี้ภัทรไม่ได้เปิดเพลงฟังเลยนะ"

"อ่า จริงด้วย" ผมเงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือนิยายในมือที่ผมอ่านฆ่าเวลาเพื่อรอเป้ทำงานเหมือนทุกครั้ง ปกติเวลาอยู่ห้องผมจะชอบเปิดเพลงตลอด เพราะผมไม่ชอบปล่อยให้ห้องของผมเงียบจนเกินไป

แต่วันนี้นอกจากจะไม่ได้รู้สึกเคว้งคว้างอะไรแล้ว ผมยังเพิ่งจะรู้ตัวด้วยซ้ำผมว่าผมลืมเปิด

"เมื่อคืนตอนนอนก็ไม่ได้เปิดไฟข้างหัวเตียงด้วย" เขาว่าต่อให้ผมโคลงหัว

"เค้าจำไม่ได้เลย"

"จริงอะ ปกติภัทรคือนอนไม่หลับเลยนะ"

"..."

"มีเค้ามันก็ดีแบบนี้แหละเนอะ กล่อมแป๊บเดียวหลับสบ๊าย"

"มันใช่ไหมเล่า"



มันเป็นวันอาทิตย์ธรรมดาๆ วันหนึ่ง

ที่เรายอมให้เวลามันเดินไปเรื่อยๆ อยู่กับสิ่งรอบตัวโดยไม่รีบร้อนอะไร

"มื้อเที่ยงวันนี้กินกะเพราเนอะ" ผมว่าพร้อมเดินนำเขาไปที่ระเบียง บอกให้เขาช่วยเด็ดใบกะเพราให้หน่อยในตอนที่ผมกำลังเด็ดพริกขี้หนู

"เป้~ เด็ดเบาๆ กะเพราจะร้องแล้วดึงแรงขนาดนั้น"

"ร้องไปเลย จะเด็ดให้หัวเกรียนเลยเหอะ"

"เป้อ่ะ อย่าแกล้งดิ เค้าอุตส่าห์ดูแลของเค้ามาอย่างดี"

"กล้าปกป้องชายอื่นต่อหน้าเค้าหรอ! ภัทรเลือกมาเลย กะเพรากับเค้า ภัทรจะเลือกใคร"

"กะเพรา"

"ภัทร! "



และมันก็เป็นวันอาทิตย์ธรรมดาๆวันหนึ่ง

ที่ผมออกจะคิดว่ามันค่อนข้างจะไร้สาระกว่าทุกวันด้วยซ้ำ

"ภัทร" ผมเงยหน้ามาจากกองผ้าที่กำลังนั่งพับเพื่อสบตากับคนที่เรียกผม

"ลองใส่เสื้อตัวนี้ซิ"

"หืม..นี่มันของเป้ไม่ใช่หรอ"

"อืม ลองใส่สิ" ผมมองหน้าเขาอย่างงงๆ โดนคะยั้นคะยออยู่อย่างนั้น จนในที่สุดก็ยอมถอดเสื้อยืดที่สวมอยู่ออก รับเสื้อในมือเขามาสวมแทนในทันที

"มันไม่ใหญ่ไปหรอสำหรับเค้า"

"ลุกก่อน"

"ห๊ะ?"

"เหอะน่า ลุกก่อนนะ" เมื่อโดนเขาออดอ้อน ผมที่ยังไม่เข้าใจก็ยอมลุกขึ้นโดยไม่ได้ถามอะไรอีก

ผมไม่รู้ว่าเขาจะอยากให้ผมลองเสื้อตัวนี้ทำไมหนักหนา มันใหญ่มากเลยนะสำหรับผม

เนี้ย พอยืนขึ้นมันก็ยาวจนคลุมกางเกงขาสั้นผมไปแล้ว ตอนนี้ยังกับผมไม่ได้ใส่อะไรยังไงยังงั้น

"นี่ล่ะใช่เลย!" เขาดีดนิ้วพร้อมชี้มาทางผม ผมตาโตมองเขาด้วยความงวยงง เกาหัวก๊อกแก๊กเพราะยังไม่เข้าใจอะไรเลยสักอย่าง

"ใช่อะไรอ่ะ.."

"นี่ล่ะที่เขาเรียกว่าเสื้อผัว!"

"ห๊ะ?"

"เสื้อผัวชัดๆ ไล่ตกๆ ขาอ่อนขาวๆ วับๆแวมๆ โครตยั่ว"

พรึ่บ!

"เป้ทะลึ่ง! นิสัยแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี้ย!" ผมว่าพร้อมกับหยิบเสื้อใกล้มือเขวี้ยงใส่เขา ก่อนที่จะถอดเสื้อผัวที่ว่าออก แต่ตอนที่กำลังจะหยิบเสื้อตัวเองมาใส่เขาก็คว้ามันไปไว้ได้ก่อน

"งั้นเค้าใส่เสื้อเมียเค้าเอง"

"เป้จะบ้าหรอ เดี๋ยวมันขาด" ผมว่าพยายามคว้ามือไปจับเสื้อแต่เขาก็ยกมันหลบไปมา ทำหน้าท้าทายผมเมื่อชูมือไปจนสุดแขน จนแม้ผมจะพยายามกระโดดยังไงก็เอามันมาไม่ได้



ผมชอบ

ที่วันนี้มันเป็นวันอาทิตย์ธรรมดาๆ วันหนึ่ง 

ชอบที่เขาชวนผมนอนเอื่อยดูคลิปตลกๆในมือถือและนั่งขำไปด้วยกันทั้งวี่ทั้งวันอย่างกับคนไม่มีอะไรจะทำ

ชอบที่เราไม่รู้สึกเหงาทั้งๆที่ไม่ได้พูดจา ชอบที่หัวใจมันแสนจะสงบเพียงแค่ได้รู้ว่าเขายังอยู่ตรงนี้

ชอบที่ในบางครั้งเราก็เถียงกันเรื่องเล็กๆน้อยๆ ไมว่าจะเป็นเรื่องที่ผมว่าเขาเพราะเขาไม่ยอมคว่ำไข่ด้านแหลมลงที่เก็บ หรือตอนที่ผมโดนเป้บ่นที่ตัดเล็บของเขาสั้นเกินไป

ผมชอบ

ผมชอบวันธรรมดาที่เราได้อยู่ด้วยกันแบบนี้

ได้หัวเราะ ได้ร้องไห้ ได้ทำตัวบ้าบอ ได้ทะเลาะและได้คืนดีกัน

ผมชอบ

ชอบมันมากที่สุด

จนอยากให้วันอาทิตย์ธรรมดาๆแบบนี้ กลายเป็นทุกวันที่แสนธรรมดาของเราตลอดไป

****

#ณภัทรปณวัช

ตอนที่เขียนเป้เดินเข้าห้องมาคือแบบ เอ่อ เป้..แกควรไปล้างมือก่อน 5555

ตอนหน้าจบแล้วน้า~ ใครยังไม่ได้เม้นรีบเม้นเร็ว เดี๋ยวไม่เจอกันแล้วววว

ปล. นุ้งภัทรชอบพูดว่าจะทำให้เป้เป็นของน้อง ถึงน้องจะพูดอย่างนั้นก็อย่าเข้าใจผิดว่าน้องรุกนะ ถึงเวลาจริงเป้มันก็คุมเกมตลอดอะ 555 

ออฟไลน์ Maywrite

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
#ณภัทรปณวัช

15 เรื่องที่ดีที่สุดแล้ว



เรามาถึงพิษณุโลกในตอนเย็นของวันเสาร์หลังจากที่สอบปลายภาคเสร็จ เราลงจากรถทัวร์แล้วต่อรถสองแถวสายแปดเพื่อตรงไปบ้านของเป้ วันนี้ผมจะนอนที่บ้านเขา ผมโทรบอกพ่อไว้แล้วว่าจะกลับไปหาพร้อมกับกินข้าวเช้าด้วยกันวันพรุ่งนี้

"พร้อมไหม เข้าบ้านกันเนอะ"

เป้ถามผมพร้อมยื่นมือออกมา ผมลังเลนิดหน่อยเพราะตอนนี้เรามาอยู่หน้าบ้านเขาแล้ว ถ้าคุณพ่อคุณแม่ของเป้มาเห็นผมคิดว่ามันคงจะดูไม่ดีสักเท่าไหร่

"ไม่ว่ายังไงก็อย่าปล่อยมือเค้า เข้าใจไหม" เป้คว้ามือผมไปจับเอาไว้เองเมื่อผมยังคงลังเลไม่เลิก ท่าทางที่ดูมั่นอกมั่นใจของเขามันทำให้ผมใจชื้นขึ้นมานิดหน่อย ผมจึงเม้มปากแน่นแล้วพยักหน้ารับคำให้เขาเดินจูงมือผมเข้าไปในบ้าน

เมื่อเราเดินเข้ามาในตัวบ้านผมก็เห็นคุณพ่อของเป้นั่งดูทีวีอยู่ที่โซฟา หน้าตาที่เรียบเฉยของคุณพ่อมันทำให้ผมตัวสั่นไปหมด

กับคุณพ่อของเป้แล้วผมมักจะเป็นแบบนี้เสมอ ทั้งๆที่มีเค้าโครงหลายส่วนที่คล้ายกันกับเป้ แต่เพราะปกติเจ้าตัวเป็นคนพูดน้อยและไม่ค่อยยิ้ม ตั้งแต่เด็กๆแล้ว ผมเลยกลัวคุณพ่อของเขามาตลอด

"พ่อ"

เป้เรียกให้อีกคนหันมา ก่อนที่เราทั้งสองจะยกมือไหว้ให้คุณพ่อรับไหว้และผายมือชวนเราให้ไปนั่งที่โซฟายาวข้างตัว

ความอึดอัดมันเริ่มต้นขึ้นตอนที่เป้รวบมือที่ผละออกจากกันของเราเข้ามาอีกครั้ง ผมเห็นว่าคุณพ่อของเขามองตามมือคู่นั้นไม่ยอมละไปไหน ก่อนที่จะจบด้วยการเลื่อนสายตามามองที่หน้าผม แล้วตะโกนเรียกใครอีกคนที่อยู่ในครัว

"อ้าวมากันแล้วหรอ"

ผมใช้โอกาสนั้นรีบดึงมือตัวเองเพื่อยกมือไหว้คุณแม่ของเขาทันทีที่เธอเดินเข้ามา ตัดสินใจซุกสองมือไว้ระหว่างขาทั้งสองข้างของตัวเอง ไม่ปล่อยโอกาสให้เป้เอาไปจับได้อีก

เป้ยิ้มมองมาที่ผมโดยไม่ได้ดูโกรธเคืองอะไร

ผมหวังว่าเป้จะเข้าใจ ผมไม่ได้อาย ไม่ได้คิดจะหนี แต่ผมแค่คิดว่ามันไม่เหมาะเท่าไหร่ที่เราจะมานั่งจับมือกันต่อหน้าผู้ใหญ่แบบนี้

"ภัทร"

"คะ..ครับ"

"ไปล้างไม้ล้างมือแล้วมาช่วยแม่ในครัวหน่อยสิครับ แม่กำลังจะตั้งโต๊ะ"

"คะ..ครับ"

"ผมไปด้ว.."

"ปณวัชไม่ต้อง" พอเป้กำลังขยับตั้งใจที่จะลุกตามผม ก็โดนคุณแม่ของเขาห้ามไว้ก่อน

"แม่ไม่ทำอะไรภัทรหรอกน่า จะหวงอะไรกันนักกันหนา"

ผมหน้าร้อนไปหมด เพราะนอกจากคำพูดของคุณแม่เป้แล้ว ผมยังได้ยินเสียงหัวเราะของคุณพ่อเขาหลุดออกมาด้วย ผมนิ่งมองเท้าตัวเองอย่างไม่รู้จะทำตัวยังไง จนเมื่อคุณแม่ของเขาบอกให้ผมไปล้างมืออีกครั้ง ผมจึงรีบผละออกจากที่ตรงนั้นอย่างรวดเร็ว

"มาสิภัทร"

เมื่อเดินเข้าไปในครัว คุณแม่ก็หันมามองก่อนเอ่ยทักผม พอเข้าไปดูใกล้ๆผมจึงเห็นว่าตอนนี้เธอกำลังหั่นผักหลากหลายชนิดเพื่อทำสลัด

เมื่อก่อนตอนที่ผมมาบ้านเป้บ่อยๆ ผมก็มักจะเข้ามาช่วยคุณแม่ของเขาแบบนี้ มันเคยเป็นสิ่งที่ผมชอบมากที่สุดเพราะผมรู้สึกว่าคุณแม่ของเป้ใจดีและออกจะเอ็นดูผม

แต่ว่าวันนี้มันไม่เหมือนกันเลยสักนิด

การที่ต้องมาอยู่ด้วยกันสองต่อสองกับคุณแม่เป้อีกครั้งมันทำให้ผมเกร็งมาก ผมกลัวอยู่ตลอดเวลาว่าผมจะเดินหรือหายใจดังเกินไปไหม ความตื่นเต้นมันมีมากจนผมแทบจะเป็นลมอยู่มะลอมมะล่อ

"คือ..ให้ผมช่วยอะไรดีครับ"

"ภัทรช่วยตักต้มข่าไก่ใส่ถ้วยแล้วยกกับข้าวที่เหลือไปตั้งที่โต๊ะทีนะครับ" ผมพยักหน้ารับแล้วเริ่มทำตามที่คุณแม่เขาบอก

เปิดตู้เอาถ้วยเซรามิกสีขาวออกมาเพื่อใส่ต้มข่าไก่ แอบยิ้มเมื่อคิดว่าคุณแม่คงจะตั้งใจทำมันเป็นพิเศษเพราะเป้จะมาวันนี้ ผมยกกับข้าวไปวางบนโต๊ะจนครบ จัดจาน แก้วน้ำและเทน้ำจากเหยือกใส่แก้วเสร็จก็เดินกลับเข้าไปในครัวอีกครั้ง

"เสร็จแล้วครับ คุณแม่มีอะไรให้ผมช่วยอีกไหมครับ"

"ก่อนอื่นแม่อยากให้ภัทรช่วยมองหน้าแม่ก่อน"

ในทันทีที่เธอว่าอย่างนั้นผมก็มองหน้าเธอโดยอัตโนมัติ ก่อนจะหลุบตาลงในทันทีเพราะพบว่าเธอมองผมอยู่ก่อนแล้ว 

หน้าผมชาไปหมด ไม่สามารถเดาได้เลยว่าเธอพูดมันออกมาด้วยอารมณ์แบบไหน ตอนนี้ผมพยายามสุดความสามารถที่จะไม่ให้น้ำตาผมไหล ใจได้แต่ภาวนาอยากให้เป้เดินเข้ามาในห้องนี้ซักที

"คะ..ครับ"

"แม่น่ากลัวมากเลยหรอ หรือว่าแม่ทำให้ภัทรอึดอัดมากเลยใช่ไหม"

"ปะ..เปล่า เปล่านะครับ" ผมรีบส่ายหัวพร้อมยกมือขึ้นส่ายไปมาเป็นการปฎิเสธ

"แล้วภัทรทำไมต้องทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อยู่ตลอดเวลาด้วยล่ะครับ"

"คือ..คือ เอ่อ.."

"แม่จำได้ว่าเมื่อก่อนภัทรชอบมาช่วยแม่ทำกับข้าว แม่ก็เลยเรียกเรามา ไม่ได้คิดจะทำให้เราลำบากใจเลยนะ"

"ผมไม่ได้ลำบากใจเลยนะครับ" ผมรีบตอนกลับไปทันทีไม่อยากทำให้คุณแม่เข้าใจผิด

"แม่ก็รู้ว่าแม่เคยใจร้ายกับภัทร ภัทรคงไม่ชอบแม่ไปแล้ว แต่แม่ก็พยายาม.."

"คุณแม่อย่าพูดแบบนั้นสิครับ" ผมรีบเดินเข้าไปหาคนที่เริ่มตัดพ้อตัวเอง ตอนนี้ผมรู้สึกผิดมากจริงๆที่ทำให้เธอคิดแบบนี้ 

ลังเลอยู่นิดแต่ก็ตัดสินใจวางมือลงบนไหล่บางของคนตรงหน้า ไม่ว่ายังไงผมก็ไม่อยากให้คุณแม่เข้าใจผิด

"ผมไม่ได้ไม่ชอบคุณแม่เลยนะครับ ผมต่างหาก ผมกลัวคุณแม่จะไม่ชอบผม" ผมพึมพำออกไปแล้วเบือนหน้ามองไปด้านอื่นเพราะน้ำตาผมจะไหลอีกแล้ว

"น้องภัทรครับ เราฟังแม่นะครับ"

"..."

"ก็แม่บอกเราแล้วไงครับ ขอเพียงเรามั่นใจ ถ้าเราคิดว่าเราอยากจะเลือกทางที่มันยากทางนี้จริงๆ แม่ก็จะอยู่ข้างเราเอง แม่พูดจริงๆนะ"

"..."

"แม่เห็นเรามาตั้งแต่เด็ก แม่รู้ว่าภัทรเป็นเด็กดี ถ้าตัดเรื่องที่เราคบกับเป้ออกไป สำหรับแม่แล้ว ภัทรก็เป็นเหมือนลูกอีกคนนึงของแม่นะครับ"

"คุณแม่..." ผมไม่ทันจะได้พูดอะไร ผู้หญิงตัวเล็กตรงหน้าผมก็ดึงผมเข้าไปกอด ผมซุกอยู่ในอกของคนที่ตัวเท่ากันกับผม มันยังอบอุ่นเหมือนตอนนั้นไม่เปลี่ยน

"เพราะงั้นน้องภัทรกลับมาเป็นน้องภัทรคนเดิมของแม่ได้แล้วเนอะ แม่ดีใจจะตายที่เรากลับมาหาแม่อีก เจ้าเป้ไม่เคยมาช่วยงานแม่ในครัวแบบนี้เลย"

"นินทาอะไรเป้อะแม่"

เราสองคนหันไปมองที่ประตูเมื่อมีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา ผมเห็นเป้ยืนใช้ไหล่พิงประตู ยกยิ้มอย่างคนที่กำลังอารมณ์ดีถึงขีดสุด

"เป้..."

"พ่อภัทรโทรมา เค้าเลยเอาโทรศัพท์มาให้"

ผมหันไปหาแม่ของเป้ เมื่อเธอพยักหน้ารับก็ผละตัวออกมาหยิบโทรศัพท์จากเป้แล้วเดินออกไปห้องข้างๆ อดหัวเราะกับตัวเองไม่ได้เมื่อได้ยินเสียงเป้กับแม่เถียงกันไม่หยุดลอยมาข้างหู

"ไม่ต้องมาอ้อนภัทรของผมเลยนะ"

"ภัทรของผมอะไร ภัทรลูกบ้านนี้ บ้านชั้นมีลูกคนเดียวชื่อณภัทร"

"แม่!"

"ออกไปจากบ้านชั้นเลยนะปณวัช"

εїз

"เห็นแม่บอกว่าเป้ย้ายเข้าไปอยู่กับภัทรแล้วหรอ" ในตอนที่ผมกำลังตั้งอกตั้งใจ พยายามเคี้ยวข้าวให้เบาที่สุดก็ต้องสะดุ้งเมื่อจู่ๆพ่อของเขาก็หันมาคุยกับผม

ผมรีบเคี้ยวและกลืนเร็วๆ ยกน้ำขึ้นมาดื่มก่อนจะรีบตอบกลับไป

"คะ..ครับ ก็ตั้งแต่ช่วงกลางเทอมแล้วครับ"

"แล้วพ่อก็ได้ยินว่าภัทรไม่ยอมรับเงินค่าห้องหรอ จะให้เป้ไปอยู่ด้วยฟรีๆแบบนี้ตลอดได้ยังไง"

"เอ่อ..ไม่เป็นไรครับ ยังไงผมก็อยู่ห้องนั้นคนเดียวมาตั้งนานแล้ว เป้เขาก็เป็นคนออกค่าไฟกับค่าอินเตอร์เน็ตแล้วด้วย ผมว่า.."

"ไม่ได้"

ผมสะดุ้งอีกครั้งเมื่อพ่อของเขาแทรกขึ้นมาเสียงเข้ม ก้มหน้ามองจานข้าวตัวเองอย่างตื่นกลัว พยายามเม้มปากแน่นไว้อีกครั้งไม่ให้น้ำตามันไหลออกมา

"พ่อ"

"หยุดเลยนะเป้" พ่อของเขาว่าเมื่อเป้เหมือนจะพยายามพูดออกมา "เรานั่นแหละทำไมถึงยอม ไปเอาเปรียบเขาแบบนั้น แล้วยังมีหน้ามาบอกแม่ว่าดูแลแฟนได้อีก"

ผมเงยหน้าขึ้นไปอย่างรวดเร็ว เมื่อได้ยินคำว่า 'แฟน' ออกจากปากของคุณพ่อเขา ตอนแรกผมคิดว่าผมหูฟาด แต่เมื่อได้เห็นรอยยิ้มที่มุมปากของเจ้าตัวผมจึงรู้ว่าผมฟังไม่ผิด

เมื่อเป้เหมือนจะยอมเงียบลงอีกครั้ง คุณพ่อก็หันมาหาผม

"ภัทร พ่อไม่อนุญาต ยังไงมันก็เงินคุณพ่อของภัทร ต่อไปนี้อยู่ด้วยกันก็ต้องหารครึ่งให้เรียบร้อย ขาดเหลืออะไรก็บอกแม่ แม่เขาขึ้นไปกรุงเทพฯบ่อย ช่วยจัดการได้ทุกอย่าง"

"ครับ ขะ..ขอบคุณครับคุณพ่อ..คุณแม่.." ผมรีบยกมือไหว้ผู้ใหญ่ตรงหน้าทั้งสองทันที ถึงจะยังตกใจหน่อยๆ แต่ก็ต้องยอมรับเลยว่าตอนนี้ผมรู้สึกดีมากจริงๆ การที่ทั้งคู่มาพูดกับผมแบบนี้ก็เท่ากับว่าท่านทั้งสองยอมรับผมแล้วหรือเปล่านะ

"พ่อฝากเป้ด้วยแล้วกัน ลำบากภัทรหน่อยนะ"

"โหพ่อ สรุปนี้ไม่มีใครรักเป้แล้วแหละ หัวเน่าแล้วเนี้ย"

"ก็ที่พ่อพูดมันไม่จริงตรงไหน เรามันไม่รู้จักโต ทำอะไรก็ไม่รู้จักกาละเทศะ อยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่แท้ๆ แม่เห็นเราเอาแต่จะจูงมือภัทรอยู่ได้ ภัทรเขาอึดอัดหมดแล้ว" แม่ของเป้เสริมขึ้นมาให้เป้ฮึดฮัดกว่าเดิม เธอได้แต่หัวเราะและส่ายหน้าคล้ายหน่ายใจ ก่อนที่จะหันมาคุยกับผม

"แล้วภัทรจะนอนบ้านแม่กี่วัน พรุ่งนี้ไปตลาดกันไหมลูก แม่จะทำเมนูโปรดของภัทรให้"

"คือพรุ่งนี้ผมต้องกลับแล้วครับ บอกพ่อไว้แล้วว่าจะกลับไปกินข้าวเช้าด้วยกัน เอ่อ..คือผม..ผมขออนุญาตชวนเป้ไปด้วยนะครับ"

"ทำไมกลับเร็วจังเลยครับ แม่ยังไม่หายคิดถึงเลย เอางี้ไหม ชวนคุณพ่อมาทานข้าวเช้าด้วยกันแทนดีไหมครับ"

"คุณ..ผมว่าพอก่อน คุณก็ทำให้ภัทรอึดอัดไม่แพ้ลูกเลยนะ" คุณพ่อเป้ปรามพร้อมกลั้วหัวเราะ

"ปะ..เปล่านะครับ แต่คือพ่อผมกว่าจะเลิกงานก็ดึกแล้ว ไม่รู้พรุ่งนี้จะตื่นเช้าได้แค่ไหน อาจจะไม่ค่อยสะดวก แต่ยังไงผมก็ต้องอยู่กันอีกหลายอาทิตย์ วันหลังผมขออนุญาตมารบกวนอีกนะครับ"

"โธ่~ พ่อดูสิ น้องภัทรน่ารักขนาดนี้ จนชั้นอยากตัดเป้มันออกจากกองมรดก แล้วยกทรัพย์สินทุกอย่างให้น้องภัทรให้หมดเลย"

"แม่!"

"โอเค เดี๋ยวผมโทรเรียกทนายให้"

"พ่อ!"

เราทั้งสามคนบนโต๊ะหัวเราะเมื่อเป้โวยวายไปแต่ก็ยังกินต้มข่าไก่ไม่เลิก ผมได้แต่นั่งยิ้มนั่งขำมองคุณพ่อคุณแม่ของเขาแกล้งแหย่เป้จนเป้ไปไม่เป็น

ความรู้สึกอึดอัดที่เคยเกิดขึ้นในตอนแรกกำลังค่อยๆจางหาย มันเหมือนว่าในที่สุดผมก็ได้หลอมรวมกลายเป็นส่วนหนึ่งกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไปแล้ว

มันเหมือนว่าในที่สุด

ในบ้านหลังนี้...

ผมก็หาที่ของตัวเองเจอแล้ว

εїз

ผมเงยหน้าขึ้นจากอัลบั้มรูปบนตักเมื่อได้ยินเสียงประตูห้องนอนเปิด ผมเห็นเป้ยิ้มมองมา เขาปิดประตูตามหลังเบาๆแล้วเดินลงมานั่งข้างผม

"ทำสวนเสร็จแล้วหรอ" ผมแหย่ให้คนที่โดนพ่อผมใช้ไปรดน้ำต้นไม้หลังกินข้าวเช้ากันเสร็จ เป้กลอกตามองบน ก่อนที่จะเขยิบมานั่งซ้อนหลัง วางคางลงบนไหล่แล้วกระซิบข้างหูผม

"ไม่ต้องมาแซวเลย แค่นี้ไม่ทำให้เค้าท้อหรอกนะ จะมาเป็นลูกเขยเขา เรื่องแค่นี้สบายมาก"

"งั้นเค้าจะบอกให้พ่อใช้เป้ล้างรถ"

"เอาเลยคุณณภัทร ผมเป็นทาสรักคุณนี่ จะเฆี่ยนจะตีก็ตามสบาย"

ผมหลุดหัวเราะให้กับท่าทางและคำพูดคำจาแสนทะเล้นของเขา เป้ชะเง้อหน้ามาถามว่าผมกำลังดูอะไรอยู่ ผมจึงยื่นอัลบั้มรูปสมัยมัธยมที่มันมีรูปเขาอยู่ในนั้นด้วยให้เขาดู

"นี่ตอนที่เราไปแสดงงานจังหวัดด้วยกันครั้งแรกใช่ไหม"

"อืม ตอนนั้นเค้าจำได้ว่าตื่นเต้นจนนอนไม่หลับเลย กลัวแต่สายจะขาด" ผมเล่าไปยิ้มไปเมื่อความทรงจำในวันนั้นกลับคืนมา

มันน่าแปลกนะ ทั้งๆที่สำหรับผมแล้ว ในวันนั้นเรื่องที่ผมกำลังเล่ามันเคยเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย แต่พอวันนี้เมื่อได้มองย้อนกลับไป ผมกลับคิดว่า ไม่ว่าวันนั้นผมจะลนจนตีสายขิมขาดไปกี่เส้น สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดมันก็ยังคงจะเป็นความทรงจำดีๆของผมอยู่ดี

มันก็เหมือนหลายๆเรื่องในชีวิตที่ทำให้ผมเสียใจนั่นแหละ ทั้งเรื่องที่พ่อกับแม่เลิกกัน เรื่องที่ผมต้องย้ายโรงเรียนบ่อยๆจนไม่ค่อยมีเพื่อน หรือแม้แต่เรื่องที่เคยตัดสินใจเลิกกับเป้วันนั้น

ผมว่ามันดีแล้วแหละ

มันดีแล้วที่พ่อกับแม่ได้มีความสุขกับชีวิตของตัวเองแทนที่จะทนอยู่ด้วยกันเพื่อผม

มันดีแล้วที่ผมได้ย้ายโรงเรียนบ่อยๆ จนทำให้ผมมาเจอกับเป้ในที่สุด

มันดีแล้วที่เราสองคนเคยเลิกกัน เพราะไม่อย่างนั้นผมก็จะยังคงเป็นณภัทรคนเดิมที่กลัวไปหมดทุกเรื่อง

ไม่ว่าอะไรก็แล้วแต่ที่เกิดขึ้น ผมคิดว่ามันดีแล้วแหละ

เพราะมันทำให้ผมเป็นผมในวันนี้

"แล้วนี่ก็ตอนไปเข้าค่ายชมรมครั้งแรก" ผมบอกหลังจากที่พลิกหน้าต่อไป ชี้ไปที่ภาพหมู่ที่อยู่ด้านบนสุด มันเป็นภาพตอนเราไปเข้าค่ายกับชมรมดนตรีไทยที่โรงเรียนด้วยกันครั้งแรก

"หืม...ภัทรเอามาดูใหม่สิ" พอกำลังจะพลิกหน้าต่อไปแต่จู่ๆเป้ก็ชะโงกหน้าพรวดเข้ามา หยิบอัลบั้มไปจากมือผม แล้วยื่นหน้าไปใกล้ๆจนปลายจมูกแทบจะชนกับกระดาษอยู่แล้ว

"มองอะไรอะเป้"

"ทำไมในรูปนี้ภัทรอยู่ใกล้กับพี่นิวขนาดนี้อะ เนี้ย! ดูดิแทบจะสิงกันอยู่แล้ว"

"พอเลย จะมาหึงอะไรกันตอนนี้เนี้ย ห้าปีแล้วนะ แล้วพี่นิวก็มีแฟนจนเปลี่ยนไปไม่รู้กี่คนแล้วเหอะ"

"แล้วภัทรรู้ได้ไง! นี่คุณคุยกับเขาหรอ มันจะมากเกินไปแล้วนะ"

"มันใช่เรื่องไหมเนี้ย! เป้!" ผมร้องโวยวายเมื่อเขาจับผมกดลงกับพื้นแล้วเริ่มจั๊กจี้เป็นการแก้แค้น ผมทั้งดิ้นทั้งหัวเราะจนน้ำตาไหลเขาก็ยังไม่ยอมปล่อย

"วันนี้ภัทรไม่รอดแน่!"

"เป้! พอแล้ว!"

"ไม่พอๆๆ"

"หยุด..หยุดเลยนะ เค้าหายใจไม่ทันแล้ว" พอผมว่าอย่างนั้นเขาจึงยอมหยุดมือ ฉุดผมขึ้นจากพื้นแล้วให้มานั่งคร่อมตักเขาไว้

"ก็แค่ตามในเฟสบุ้คแค่นั้นเอง เห็นผ่านๆ ไม่ได้คุยกันเลย"

"แน่นะ"

"แน่สิ จะเอาโทรศัพท์ไปดูก็ได้"

"ไม่เอาหรอก เดี๋ยวภัทรเอาของเค้าไปดูแล้วจะซวย โอ๊ย! โอ๋ๆๆๆ ล้อเล่นนนนนนนน" ผมตีอกเขาก่อนจะพยายามผละออกมาจากตักแต่ก็โดนจับไว้

"เดี๋ยวนี้ทำไมกลายเป็นคนกะล่อนแบบนี้ไปแล้วเนี้ย"

"กะล่อนที่ไหนเล่า ปรักปรำอีกแล้ว"

"เนี้ย ก็ไอ้ท่าทางขี้อ้อนกับคำพูดคำจาแบบนี้ ไม่รู้ไปเอามาจากไหนนักหนา"

"ก็เห็นไอ้สิงมันพูดกับสาวๆมัน น่ารักดีก็เลยเอามาใช้บ้าง"

"ก็ไหนเป้บอกว่าสิงชอบบอล! โห นี่คือบางวันหายไปกับสิงนี่ไปทำอะไรกันมาเนี้ย!"

"โอ๊ย เค้าไม่เกี่ยวเลยนะ ฮือ ทำไมกลายเป็นแบบนี้เนี้ย เมื่อกี้เค้างอนภัทรอยู่นะ" เป้ทำเสียงเหมือนร้องไห้ รัดตัวผมแน่น บอกรักผมซ้ำๆจนในที่สุดผมก็ยอมใจอ่อนกอดตอบเขากลับไป

เขาลูบหลังผมไปมา จนตอนนี้ผมสงบลงแล้วซุกลงไปในอกเขาอีกครั้ง สมองย้อนคิดถึงเรื่องที่ผ่านมาของเราก็พลันทำให้น้ำตาล้นเอ่อรอบขอบตา

"..."

"..."

"เป้.."

"หืม.."

"วันนั้น..เค้าเคยคิดจริงๆนะ ว่าเค้าจะอยู่ได้โดยไม่มีเป้" ผมว่าออกไปทั้งๆที่ยังเอียงแก้มซบอยู่ในอกเขา

"เค้าคิดว่าถ้ามันดีที่สุดสำหรับเป้แล้ว ถึงจะไม่ได้อยู่ข้างกันเค้าก็จะไม่เป็นไร" ผมหยัดตัวขึ้นมานั่งตรง สบตาเรื่อน้ำกับตาคมของเขา

"วันนี้เค้าก็ยังคิดอย่างนั้นนะ ถ้าการที่ไม่มีเค้าอยู่แล้วเป้จะมีความสุขมากกว่า เค้าก็จะปล่อยเป้ไป แม้ว่าเค้าจะคิดไม่ออกจริงๆว่าจะอยู่ได้ยังไงก็เถอะ"

"เค้าเองก็เหมือนกัน" เป้ว่าพร้อมยกมือลูบหัวผม "วันนั้นตอนที่เลิกกัน เค้าก็คิดแค่ว่าไม่อยากให้ภัทรลำบากใจอีกแล้ว ถ้าภัทรจะมีความสุขมากกว่าเค้าก็จะยอมออกมาเอง"

"เค้าไม่มีทางมีความสุขมากกว่าถ้าไม่มีเป้"

"เค้าก็ไม่มีทางมีความสุขมากกว่าถ้าไม่มีภัทร"

เรายิ้มให้กันหลังจากที่เขาเลียนแบบคำพูดของผม

"งั้นภัทรก็ต้องจับเค้าไว้แน่นๆแบบนี้" เป้ว่าพร้อมจับสองมือผมไปโอบรอบตัวเขา

"แล้วก็ต้องกอดกันแน่นๆแบบนี้" ก่อนที่เขาจะโอบผมกลับ กระชับร่างของเราให้แนบแน่นติดกัน

"แล้วก็ต้องรักเค้าเยอะๆแบบนี้" เขาเอียงแก้มป่องเข้ามาหา ผมงงอยู่นิดก่อนที่จะกดปลายจมูกลงไปซ้ำๆ

"แค่นี้เค้าก็ไปไหนไม่รอดแล้ว จะคอยตามรังควานภัทรไปตลอดชีวิตเลย"

ผมอดจะย่นจมูกให้กับคนที่ทำให้ผมตกหลุมรักซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่ได้ เขามันน่ารักเกินไปจริงๆ น่ารักจนผมไม่รู้จะเลิกรักเขาได้ยังไง

ไม่มีวันนั้นหรอก

เป้ของผม

ผมรักเขามากกว่าใคร

ผมดีใจเหลือเกินที่วันนี้ผมยังมีเขา

"เค้ารักเป้นะ รักมาก รักมากๆจริงๆ"

"เค้าก็รักภัทรมากที่สุดเลยครับ งั้นเราก็มาอยู่รักกันแบบนี้ไปตลอดเลยเนอะ"

"อืม..อยู่ด้วยกันไปตลอดเลยนะ"



****************



#ณภัทรปณวัช

จบแล้วค่ะ ฮือออออ จุดพลุฉลอง (>_<)/

พอมาเขียนเรื่องของสองคนนี้ก็ได้ความรู้สึกเหมือนกลับไปเขียนเรื่องแรกอีกครั้ง (ไม่มีคนอ่านเหมือนกัน ฮา) ที่มากขึ้นก็คงเป็นความรู้สึกที่มีต่อตัวละครสองตัวนี้นะคะ รู้สึกว่าตอนนี้ทุกอย่างมันลงตัว ไม่ว่าต่อไปเป้กับภัทรจะเจออะไร ก็เหมือนเขาทั้งสองพร้อมจะจับมือกันไปตลอดได้แล้วจริงๆ ได้มาเห็นลูกๆมีความสุขแบบนี้แม่ก็ยิ้มส่งได้อย่างสบายใจแล้วค่ะ 


ขอบคุณทุกๆคนเลยน้าที่อ่านมาถึงตรงนี้ หวังว่าจะไม่ทำให้รู้สึกว่าเสียเวลาไปเปล่าๆ ถ้าเป้กับภัทรทำให้คุณยิ้มได้บ้าง (หรือร้องตามได้บ้าง // ร้องไห้ก็หายเครียดได้นะ) ในช่วงเวลาที่ยากลำบากแบบนี้ก็ถือว่าเราประสบความสำเร็จแล้วค่ะ

ท้ายสุดขอฝาก #เล่นกับสิงสิงเลียปาก เรื่องของสิงกับบอลด้วยนะคะ น่าจะเป็นเรื่องสั้นๆที่ฟิลกู้ดไม่แพ้เรื่องนี้ 555

แล้วเจอกันใหม่นะคะ

เรามีทวิตนะ :) @maywrite_

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
#1
หรือภัทรเปลี่ยนไป..ไม่ใช่ใจเดิม

กอดเป้..ให้กำลังใจ

ออฟไลน์ psychological

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
# 2
ภัทรกำลังคิดจะทำอะไร

 :กอด1: เป้ ทุกตอน

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
#3
เลิกรักกันจริงหรอ

กอดเป้

ป้อล่อ....ฝนตก+ง่วงแล้ว พรุ่งนี้จะมาอ่านต่อ
+1 ให้คนแต่งฮับ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด