--- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 41 บาดเจ็บ --- หน้าที่ 9 [28/12/63]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 41 บาดเจ็บ --- หน้าที่ 9 [28/12/63]  (อ่าน 28818 ครั้ง)

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 710
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
อยากให้ถึงวันที่คุณกลางกลับมาไทยไวๆ จังเลย
อยากเห็นหน้าว่าเฮียเล้งจะทำยังไง
จะทิ้งดินไปขอคืนดีกับคุณกลางมั้ย
หรือจะยังคงอยู่กับดินเหมือนเดิม
แล้วให้คุณกลางเป็นอดีตไปเลย  :m15:

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
จ้า โอ๊ยยยกเลิกพันธะสัญญากันไปเลย ดินถ้าเขาปล่อยไปก็อย่าใจอ่อน อ้อนวอนอยู่ต่อนะ จากไปเลย ให้รู้กันไปว่าถ้าไปตามแสดงว่ารัก ไม่ตามก็คือไม่รัก จบไปเลย หึหึ! โอ้วเอากลางกลับมาก็ดีนะ ตุลจะเป็นผู้ดูแลรักษาใจให้เอง 555 รู้สึกว่า ตุลกลาง อะเธอ ตุลดูแคร์ความรู้สึกกลางมาก แล้วอีกอย่างตุลตามดูกลางคอยรายงานคุณใหญ่มาตลอด ย่อมต้องรู้ความเป็นไป รู้ความคิดของกลางได้ละเอียดอ่อน น่าจะเข้าใจกลางได้กว่าใครเลยนะ ส่วนคุณใหญ่ แหมเอาใจพีทใหญ่เลย รับแม่มาดูน้องหนู งานราชงานหลวงงานส่วนตัว คุณใหญ่ไหวค่ะ 555 ขอบคุณนะคะที่มาต่อ รอตอนต่อไปเลย จะเป็นยังไงกันบ้าง  :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Dee^daY

  • ไม่เคย ทำให้ใครเดือดร้อน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +330/-6
จะได้เจอกันแล้ว ..

ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25
สามสิบสอง
When in Hong Kong



               สนามบินนานาชาติเช็กแล็บก็อกคลาคล่ำด้วยผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ ทั้งคนที่มีฮ่องกงเป็นจุดหมายปลายทางและเดินทางมาเพื่อรอต่อเครื่อง หลังจากผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองมาแล้ว อริญชย์ก็เดินปะปนออกมากับผู้โดยสารคนอื่น ๆ ขนาบข้างด้วยบอดี้การ์ดร่างใหญ่สองคนทั้งซ้ายและขวา วันนี้เขาแต่งกายด้วยชุดลำลอง แม้จะดูแล้วแปลกตากว่าทุกวัน แต่ก็ยังสัมผัสได้ถึงความน่าเกรงขามที่แผ่ออกมา

               ดวงหน้าเฉยชาของอริญชย์เรียบสนิทราวกับถูกรีดจนตึงด้วยเตารีด ยิ่งมีบอดี้การ์ดสองคนยืนประกบอยู่ด้านข้าง ก็ยิ่งทำเอาคนที่พบเห็นลอบมองอย่างเกรง ๆ หลังจากเดินออกมาถึงบริเวณด้านนอกแล้ว อริญชย์ก็ยืนรอบอดี้การ์ดไปจัดการเรื่องรถให้ พอรถคันที่นัดไว้มาถึงจุดนัดพบ บอดี้การ์ดคนหนึ่งก็เดินมาเชิญผู้เป็นนายขึ้นรถ

               โตโยต้า อัลพาร์ดสีดำ ติดฟิล์มหนาทึบจอดรออยู่บริเวณจุดนัดพบ อริญชย์ก้าวขึ้นนั่งที่นั่งแถวสาม ส่วนบอดี้การ์ดคนหนึ่งนั่งตอนสอง อีกคนนั่งตอนหน้าคู่กับคนขับชาวฮ่องกง หลังจากเรียบร้อยแล้ว รถก็เคลื่อนตัวออกจากสนามบินเช็กแล็บก็อก

               อริญชย์หยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดเปิดเครื่อง หลังจากรอเครือข่ายค้นหาสัญญาณอยู่ชั่วอึดใจหนึ่ง เสียงข้อความเข้าก็ดังขึ้น เขาก้มลงอ่านข้อความที่ปรากฏบนหน้าจอ ริมฝีปากคลี่ออกเป็นรอยยิ้มช้า ๆ พร้อมกับความอ่อนโยนที่พาดผ่านในดวงตา


               ...เดินทางปลอดภัยนะครับ...


               แค่ประโยคธรรมดาเพียงประโยคเดียว อริญชย์ก็นึกอยากจะกดโทรศัพท์โทรหาเจ้าของข้อความทันที แต่ก็หยุดปลายนิ้วไว้ได้ทัน ตอนที่บอดี้การ์ดเอี้ยวตัวกลับมาถามเขา

                “คุณใหญ่จะตรงเข้าโรงแรมเลยหรือเปล่าครับ”

                “ตรงเข้าโรงแรมเลย”

               อริญชย์เก็บโทรศัพท์มือถือลงกระเป๋ากางเกงตามเดิม ตั้งใจว่าเดี๋ยวค่อยโทรศัพท์หาพิชญ์ตอนดึก ๆ แทน เขาเอนหลังพิงกับพนักเบาะอย่างผ่อนคลาย ขณะทอดสายตามองทิวทัศน์ข้างนอก

               ถึงแม้ฮ่องกงจะเป็นเมืองที่ระบบขนส่งมวลชนดีเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก แต่ยามเย็นของที่นี่ก็ยังคงมีรถราขวักไขว่ ยิ่งพอข้ามเข้าฝั่งเกาลูนแล้ว การจราจรก็ยิ่งหนาแน่นมากขึ้น ตึกรามบ้านช่องมากมายขึ้นเรียงกันแออัดยัดเยียด สองข้างทางเต็มไปด้วยป้ายโฆษณาและป้ายร้านค้า นักท่องเที่ยวเดินกันอยู่ริมถนนหนาตา จะว่าเป็นเสน่ห์ของฮ่องกงก็คงใช่ แต่ดูเหมือนอริญชย์จะไม่ได้นึกนิยมชมชอบทัศนียภาพแบบนี้ สุดท้ายเขาเลยเลือกที่จะหันหน้ากลับเข้ามาในรถแทน

               โรงแรมที่ตุลย์เป็นคนจัดการจองให้เขาอยู่ย่านจิมซาจุ่ย หลังจากฝ่าการจราจรอันคับคั่งเข้ามาถึงย่านใจกลางเมืองแล้ว รถแวนสีดำก็เลี้ยวเข้าโรงแรมอินเตอร์คอนฯ ที่ตั้งตระหง่านอยู่ริมอ่าววิคตอเรีย จากจุดนี้ เพียงทอดสายตามองไปยังฝั่งตรงข้ามก็จะเห็นเกาะฮ่องกง หนึ่งในศูนย์กลางเศรษฐกิจอันดับต้น ๆ ของโลก

                “วันนี้ฉันไม่ใช้รถแล้ว เดี๋ยวนายบอกให้คนขับไปพักผ่อนได้เลย” อริญชย์สั่งการบอดี้การ์ดที่นั่งอยู่ข้างคนขับก่อนจะก้าวลงจากรถ

               หลังจากเช็กอินเสร็จเรียบร้อย อริญชย์ก็ตรงขึ้นห้องพักที่ตุลย์เป็นคนจัดการจองให้เขา ห้องพักของเขาหันหน้าหาอ่าววิคตอเรีย ยามที่เขาก้าวเท้าเข้าไปในห้องก็ทันเห็นทัศนียภาพยามเย็นที่แสงสีส้มอมทองกำลังแต่งแต้มผืนน้ำพอดี ดูท่าทางแล้วคนสนิทของเขาคงอยากให้เขามาพักผ่อนมากกว่าทำงานแน่ ๆ อริญชย์ส่ายหัว อย่างนึกขบขัน

               
                ...ถ้าได้พาพิชญ์มาด้วยคงดีไม่น้อย


               นักธุรกิจหนุ่มคิดพลางทิ้งตัวลงบนเตียง ขี้เกียจเกินกว่าจะจัดการเก็บกระเป๋าเดินทางของตัวเอง เบลล์บอยยกกระเป๋าเข้ามาวางไว้ตรงไหน เขาก็ปล่อยให้มันอยู่ตรงนั้นต่อไป

               นับตั้งแต่พิชญ์วุ่นอยู่กับงานประมูลโครงการบางกอก บูเลอวาร์ด ถึงแม้จะทำให้ความสัมพันธ์ทางใจใกล้ชิดกันมากขึ้น แต่ความสัมพันธ์ทางกายกลับห่างเหิน ถึงที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ทางกายที่เกิดขึ้นจะเป็นเขาบังคับเอาจากพิชญ์โดยที่เจ้าตัวไม่ได้เต็มใจแม้แต่น้อย แต่อริญชย์เองก็เฝ้ารอ รอวันที่พิชญ์เต็มใจที่จะมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้กับเขา เขาก็ไม่รู้ว่าเขาหวังมากไปไหม

               ยามคิดถึงคนที่อยู่ประเทศไทย ดวงตามีความอ่อนโยนปรากฏอยู่ลาง ๆ ก่อนที่เขาจะค่อย ๆ ผล็อยหลับลง



.



               ขณะเดียวกัน รถยนต์ซีดานสัญชาติยุโรปเพิ่งแล่นออกจากสนามบินเช็กแล็บก็อก มุ่งหน้าสู่ย่านที่พักอาศัยบนเกาะฮ่องกง พอเห็นคนข้างกายนั่งสงบเสงี่ยม ราชันย์ก็อดนึกถึงครั้งแรกที่เขาพาปฐพีมาที่นี่ด้วยกันไม่ได้ ยามนั้นปฐพียังเป็นเพียงนักศึกษาที่ไม่ประสีประสา นอกจากจะไม่เคยไปไหนไกล แล้วยังไม่เคยไปต่างประเทศมาก่อน เขาให้ปฐพีออกจากมหาวิทยาลัยที่เรียนอยู่ แล้วย้ายมาเรียนต่อที่นี่เพื่ออยู่ด้วยกันกับเขา

               ครั้งนั้นที่มาด้วยกัน ปฐพีตื่นเต้นตั้งแต่ตอนขึ้นเครื่องบิน ทุกอย่างดูแปลกตาไปเสียหมด จนเขาออกจะนึกรำคาญกับความเซ่อซ่าของเจ้าตัวไม่น้อย แม้กระทั่งยามเข้าเมือง พอเห็นป้ายภาษาจีนที่ไม่คุ้นตา ดวงตาเรียวก็ยิ่งวาววับด้วยความตื่นเต้น แล้วยิ่งท่าทางที่อยากเอ่ยปากถามนั่นถามนี่เขา แต่ก็เกรงใจจนต้องนั่งเงียบ ๆ ได้แต่เบิกตาโตไปตลอดทาง

               ทั้งที่ตอนนั้นเขานึกรำคาญความไม่ประสีประสาของปฐพีไม่น้อย จนไม่มั่นใจว่าตัวเองคิดถูกหรือเปล่าที่พาปฐพีมาด้วย แต่ตอนนี้พอย้อนคิดกลับไป เขากลับคิดว่าท่าทางเซ่อ ๆ ซ่า ๆ ของปฐพีดันน่ารักเสียได้

                “เราไม่เข้าโรงแรมกันก่อนเหรอเฮีย” ปฐพีเอ่ยถามเมื่อเห็นว่ารถกำลังแล่นไปตามทางที่คุ้นเคย

                “ฉันกลัวว่าถ้าไม่เอาข้าวเหนียวทุเรียนไปให้น้าเหมยวันนี้ คืนนี้คงได้นอนดมกลิ่นทุเรียนทั้งคืนแน่ ๆ”

               พอได้ยินราชันย์ว่าอย่างนั้น ปฐพีก็รู้สึกผิดขึ้นมาทันที

                “คราวหลังผมจะระวังให้มากกว่านี้”

                “ล้อเล่นน่า ฉันก็แค่คิดถึงกับข้าวฝีมือน้าเหมยขึ้นมา”

               รถที่ราชันย์และปฐพีนั่งอยู่เริ่มแล่นลงทางใต้ของเกาะฮ่องกง มุ่งหน้าอ่าวรีพัลส์ เบย์ พอเห็นทะเลอยู่ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ปฐพีเลยเลิกสนใจราชันย์แล้วหันออกไปมองนอกหน้าต่างรถ ช่วงแรกที่เขามาถึงฮ่องกง เขามักจะชอบนั่งมองทะเลจากหน้าต่างห้องทุกวัน เพราะมันให้ความรู้สึกเหมือนตอนยังอยู่บ้านที่ประจวบคีรีขันธ์ ช่วยบรรเทาอาการคิดถึงบ้านให้เขาได้ไม่น้อย

               รถเริ่มชะลอความเร็วเรื่อย ๆ อาคารสูงเบื้องหน้าคือห้องชุดที่ราชันย์กับปฐพีใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมาเกือบห้าปี คนขับรถจอดส่งเขากับราชันย์ตรงทางเข้าตึก ก่อนจะช่วยขนของลงมาจากท้ายรถ ราชันย์ล้วงหยิบคีย์การ์ดออกมาจากกระเป๋ากางเกงก่อนจะเดินนำเข้าตัวอาคาร ห้องชุดของเขาอยู่บนชั้นสามสิบสามของอาคารแห่งนี้ กินพื้นที่กว้างขวาง มีทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันและระบบรักษาความปลอดภัยดีเยี่ยม สมกับราคาแพงหูฉี่เขาต้องจ่าย

               พอลิฟต์จอดที่ชั้นสามสิบสาม ราชันย์ก็เดินลากกระเป๋าเดินทางออกมาจากลิฟต์ก่อนจะตามด้วยปฐพี เขากดรหัสผ่านเข้าห้องบริเวณแผงควบคุมแล้วเปิดประตูเข้าห้อง ปฐพีลากกระเป๋าเดินทางตามเข้ามาติด ๆ เพียงแค่ย่างเท้าเข้าห้องมา กลิ่นอาหารหอม ๆ ก็โชยออกมาให้น้ำลายสอ พร้อมกับที่หญิงวัยกลางคนเดินออกมาจากห้องครัวแล้วเอ่ยทักทายคนที่เพิ่งมาถึง

                “อ้าว มาถึงกันแล้วเหรอคะ”

               น้าเหมยเป็นหญิงวัยกลางคน มีเชื้อสายฮ่องกงและเป็นคนสนิทมารดาของราชันย์มาก่อน ตอนที่ราชันย์กับปฐพีอยู่ที่นี่ น้าเหมยก็เป็นแม่บ้านคอยดูห้องหับ ความสะอาดต่าง ๆ และทำอาหารให้ผู้ชายสองคน

               พอราชันย์พาปฐพีย้ายกลับไปอยู่ที่ประเทศไทย เขาเคยถามน้าเหมยว่าจะย้ายกลับไปด้วยกันไหม แต่น้าเหมยปฏิเสธ เนื่องจากค่อนข้างคุ้นเคยกับวิถีชีวิตที่ฮ่องกงมากกว่า เขาเลยให้น้าเหมยช่วยดูแลห้องชุดที่นี่ให้

               เห็นราชันย์และปฐพีเพิ่งเดินทางมาถึงเหนื่อย ๆ น้าเหมยก็กระวีกระวาดยกชามะลิเย็น ๆ มาเสิร์ฟ ราชันย์ยกน้ำชาเย็น ๆ ขึ้นดื่มดับกระหาย ขณะที่ปฐพียังคงสาละวนกับการรื้อกระเป๋าเพื่อหาของฝากตั้งแต่มาถึง

                “แล้วมาคราวนี้จะอยู่กันกี่วันคะ คุณเล้ง” น้าเหมยเอ่ยถามนายน้อยของเธอ

                “เดี๋ยววันอาทิตย์ก็กลับแล้ว แต่มาคราวนี้ผมกับดินไม่ได้นอนบ้านนะน้าเหมย รอบนี้จะไปนอนโรงแรม”

                “น้ากำลังกังวลอยู่เลย ว่าคุณเล้งเพิ่งโทรศัพท์มาบอกเมื่อเช้า น้าเลยทำความสะอาดห้องให้ไม่ทัน แต่มื้อเย็นวันนี้น้าเตรียมไว้ให้แล้วนะ”

                “ขอบคุณครับ”

               พอราชันย์คุยกับน้าเหมยเสร็จ ปฐพีก็รื้อหาของฝากเจอพอดี เขาหยิบเอาผ้าพันคอสีชมพูตุ่น ๆ ออกมาส่งให้น้าเหมยก่อน

                “ให้น้าเหรอคะคุณดิน สวยจังเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ”

                “มีอีกอย่างด้วยนะครับ อันนี้น้าเหมยต้องชอบแน่ ๆ”

               ราชันย์ส่ายหน้าเบา ๆ ตอนที่เห็นปฐพีหยิบแพ็คข้าวเหนียวทุเรียนขึ้นมาวางบนโต๊ะอาหาร น้าเหมยรีบเดินมาดูด้วยความสนใจ ปฐพีแกะแพ็คออกช้า ๆ ยิ่งใกล้ถึงชั้นสุดท้าย กลิ่นทุเรียนก็ยิ่งลอยออกมา ราชันย์ถึงกับทำหน้าเบ้ ผิดกับน้าเหมยที่ตื่นตาตื่นใจกับของฝากชิ้นนี้

                “ตายจริง! หิ้วข้าวเหนียวทุเรียนมาฝากน้าด้วย น่ารักที่สุดเลยคุณดิน”

                “ผมสั่งมาจากร้านอร่อยเลยนะครับ เห็นน้าเหมยบ่นอยากกินมาหลายทีแล้ว”

                “ขอบคุณมากนะคะ ของโปรดน้าเลย เดี๋ยวน้ารีบเอาไปเก็บเข้าตู้เย็นก่อนดีกว่า  คุณเล้งกับคุณดินพักผ่อนกันตามสบายเลยนะคะ อีกเดี๋ยวน้าเตรียมมื้อเย็นขึ้นโต๊ะให้”

               พอน้าเหมยเดินเข้าห้องครัวแล้ว ราชันย์ก็หยิบรีโมทมากดเปิดโทรทัศน์ก่อนจะเดินมาทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา เห็นปฐพียืนหันรีหันขวางอยู่ เขาก็ตบที่นั่งข้าง ๆ เรียกให้ปฐพีเดินมานั่ง ซึ่งอีกฝ่ายก็เดินมาแต่โดยดี

                “ห้องนี้ยังเหมือนเดิมเลยนะครับเฮีย” ปฐพีเอ่ยพลางกวาดสายตาดูรอบห้อง

               บรรยากาศยังเหมือนวันเก่า ๆ วันที่เขานั่งทำการบ้านอยู่ตรงโต๊ะหนังสือ ส่วนราชันย์นั่งดูโทรทัศน์เงียบ ๆ ตรงโซฟา ก่อนบรรยากาศดี ๆ จะถูกราชันย์ตัดบทด้วยคำพูดเรียบ ๆ

                “ห้องเดิมก็ต้องเหมือนเดิมสิ” เห็นปฐพีทำหน้ามุ่ย ราชันย์ก็ยังคงเมินเฉย “ถ้ามีอะไรที่จะเอากลับด้วย วันนี้ก็เอากลับเลยนะ

                “ครับเฮีย”

                “แล้วถ้าอยากจะซื้อของอะไรกลับประเทศไทย พรุ่งนี้กับมะรืนนี้ก็ไปเดินดูเอา ฉันมีเวลาให้เที่ยวเล่นสองวัน อยากได้อะไรก็เอาบัตรเครดิตฉันรูดไป แล้วก็นี่...” ราชันย์หยิบเอาซองธนบัตรจากกระเป๋ามายื่นให้ปฐพี “ฉันแลกเงินสดมาเผื่อนาย พกติดตัวเอาไว้ด้วย”

                “ขอบคุณครับ เฮีย”

                “อยากได้อะไรก็ซื้อไปเลยนะ เพราะไม่รู้ว่าจะได้กลับมาที่นี่อีกทีเมื่อไหร่ ไม่ต้องช่วยฉันประหยัดมาก เงินฉันมีเหลือเกินเหลือใช้”

               ถ้าเป็นคนอื่นมาได้ยินประโยคข้างต้นของราชันย์ คงคิดว่าเจ้าตัวกำลังอวดร่ำอวยรวย แต่ปฐพีชินเสียแล้ว เพราะราชันย์ก็แค่พูดความจริง ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมา ราชันย์ไม่เคยตระหนี่เรื่องเงินกับเขาแม้แต่น้อย มีเพียงอย่างเดียวที่ราชันย์ให้เขาไม่ได้ สิ่งนั้นก็คือหัวใจของราชันย์ที่เขาไม่มีวันได้ครอบครอง

               ปฐพีนั่งมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของราชันย์นิ่ง ๆ อยากนั่งมองอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ เพราไม่รู้ว่าเขาจะมีโอกาสได้อยู่ข้างราชันย์อย่างนี้อีกนานไหม

               น้าเหมยที่ตระเตรียมอาหารเย็นเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทยอยยกอาหารมาวางบนโต๊ะกินข้าว ก่อนจะเอ่ยปากเรียกนายน้อยของเธอและปฐพี

                “คุณเล้ง คุณดิน อาหารเย็นพร้อมแล้วนะคะ น้าสั่งเป็ดย่างกับหมูแดงอบน้ำผึ้งร้านโปรดของคุณเล้งมาด้วย แล้วก็มีผัดถั่วแขกหมูสับกับปลานึ่งซีอิ๊ว”

                “ขอบคุณครับ”

               ปฐพีลุกขึ้นเดินเข้าครัวไปตักข้าวให้ตัวเองกับราชันย์ ราชันย์กินข้าวไม่เยอะ ชอบนั่งกินกับข้าวไปเรื่อย ๆ มากกว่า ส่วนของตัวเองเขาตักข้าวสวยมาเสียพูนจาน เพราะตั้งแต่ลงจากเครื่องบินมาก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง แถมเขายังกินอาหารบนเครื่องได้ไม่ค่อยเยอะด้วย

               ปฐพีถือจานข้าวเดินออกมาที่ห้องนั่งเล่นก็ไม่เห็นราชันย์นั่งอยู่แล้ว น้าเหมยเห็นท่าทีหันซ้ายหันขวาของเขาก็อมยิ้ม ก่อนจะบุ้ยปากไปทางระเบียงห้อง

                “คุณเล้งเธอออกไปคุยโทรศัพท์อยู่ตรงระเบียงค่ะ บอกให้คุณดินกินข้าวก่อนได้เลย ไม่ต้องรอ”

                “ไม่น่าจะนานมั้งครับน้าเหมย ผมรอกินพร้อมเฮียดีกว่า”

               เขารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้กินข้าวพร้อมราชันย์มาหลายมื้อแล้ว วันนี้อุตส่าห์ได้อยู่ด้วยกัน รอกินข้าวพร้อมกันดีกว่า



.


ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25

               หลังจากนอนหลับเอาแรงจนเต็มอิ่ม กว่าอริญชย์จะตื่นมาอีกทีก็ตอนฟ้ามืดพอดี เขายกหูโทรศัพท์ตรงหัวเตียงขึ้นมาก่อนจะโทรศัพท์สั่งอาหารจากห้องอาหารของโรงแรมให้ขึ้นมาส่งบนห้อง เลือกอาหารจานเดียวง่าย ๆ มาหนึ่งอย่างกับของกินเล่นหนึ่งอย่าง เสร็จแล้วก็เข้าไปอาบน้ำอาบท่า จะได้ตื่นเต็มตาเสียที

               พออาบน้ำแต่งตัวเสร็จ อาหารที่เขาสั่งไว้ก็มาส่งพอดี ชายหนุ่มเดินออกไปเปิดประตูให้พนักงานยกอาหารเข้ามาวางตรงโต๊ะเล็ก ก่อนจะยื่นทิปให้ไป

               กินข้าวเสร็จเรียบร้อย เหลือบดูนาฬิกาที่วางอยู่ตรงหัวเตียง คิดคำนวณเวลาอยู่ในใจ ตอนนี้น่าจะสองทุ่มเศษ ๆ พ่อลูกสองคนที่เมืองไทยน่าจะกินข้าวกันเสร็จเรียบร้อยแล้วเหมือนกัน เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา ก่อนจะกดโทรออกหาหมายเลขแรกที่บันทึกเอาไว้ เสียงรอสายดังแค่สองที ปลายสายก็รับสายเขาพร้อมกับความวุ่นวายเล็ก ๆ ที่อีกฝั่ง

                “ครับ คุณใหญ่” รับสายเขาเสร็จ ก็ตามมาด้วยเสียงบ่นอุบ “แป๊บนึงลูก ให้พ่อพีทคุยกับลุงใหญ่ก่อน”

               อริญชย์ถึงกับหัวเราะออกมา เมื่อพอจะเดาสาเหตุชุลมุนที่ปลายสายได้

                “น้องหนูอยากคุยกับลุงใหญ่บ้างนี่คะ พ่อพีท”

               ฟังเสียงเจื้อยแจ้วของเจ้าตัวป่วนแล้ว อริญชย์ก็ต้องกลั้นหัวเราะในลำคอ ก่อนจะเอ่ยบอกปลายสายเสียงกลั้วหัวเราะ

                “มา ให้ฉันคุยกับน้องหนูแป๊บหนึ่งก่อน แล้วค่อยคุยกับนาย อย่าเพิ่งน้อยใจล่ะ”

               ถ้าอริญชย์มองทะลุผ่านไปถึงปลายสายได้ เขาคงเห็นพิชญ์หน้าร้อนวาบ โทรศัพท์ในมือร้อนผ่าวราวกับจะลวกมือเขา จนต้องรีบส่งให้น้องหนูรับไปคุยกับลุงใหญ่

                “สวัสดีค่า ลุงใหญ่”

                “ว่าไงคะ คนเก่ง แกล้งอะไรพ่อพีทหรือเปล่าลูก”

               พอได้คุยกับลุงใหญ่สมใจ น้องหนูก็หัวเราะคิกคักมาตามสาย

                “โธ่ น้องหนูไม่ได้แกล้งพ่อพีทซักหน่อย น้องหนูแค่อยากรู้ว่า ลุงใหญ่จะกลับมาทันดูน้องหนูเป็นเจ้าหญิงไหม”

                “ทันสิคะคนเก่ง แต่งตัวสวย ๆ รอเลย เดี๋ยวลุงใหญ่จะซื้อของเล่นไปฝากด้วย”

                “ว้าว จริงหรอคะ น้องหนูรักลุงใหญ่ที่สุดเลย”

               อริชญย์คุยกับน้องหนูอยู่นาน ถามเจ้าตัวน้อยของเขาว่าวันนี้ทำอะไรบ้าง เจ้าตัวก็เล่าให้ฟังเสียงเจื้อยแจ้ว ตั้งแต่ตอนอยู่โรงเรียนจนกลับมาถึงบ้าน จนกระทั่งนวลมาเรียกน้องหนูไปดื่มนมอุ่น โทรศัพท์ถึงได้ถูกส่งกลับไปอยู่ในมือพิชญ์อีกครั้ง

                “ว่าไงครับ คุณใหญ่”

               พิชญ์เอ่ยถามคนที่โทรข้ามประเทศมาหาเขา พอคำนวณค่าโทรศัพท์ที่อริญชย์ต้องเสียแล้วก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ ว่าสงสัยจะต้องจ่ายเป็นหลักพันบาท

                “กินข้าวหรือยัง”

               เอ่ยถามออกไปแล้ว อริญชย์ก็เกือบจะหัวเราะตัวเอง เขาโทรศัพท์ทางไกลข้ามประเทศไปเพราะอยากได้ยินเสียงพิชญ์ แต่พอได้คุยกันเข้าจริง ๆ ก็ดันถามอะไรไม่เข้าท่าออกไป

                “กินแล้วครับ คุณใหญ่ล่ะครับ”

                “ฉันก็กินแล้วเหมือนกัน...” ความรู้สึกเหมือนกำลังจีบกันใหม่ ๆ เอาแต่ไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบนี่มันคืออะไร “แล้ววันนี้นายทำอะไรบ้าง”

                “ตอนเช้าก็นั่งเคลียร์งานที่บริษัท เสร็จแล้วก็ออกไปรับน้องหนูพร้อมคุณตุลย์ พอกลับมาถึงบ้านก็นั่งกินข้าวกับแม่พลอย จับน้องหนูทำการบ้าน เล่นกับน้องหนู แล้วคุณใหญ่ก็โทรศัพท์มาพอดี”

               อริญชย์ยิ้มมุมปาก ทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง ขณะฟังพิชญ์พูดไปเรื่อย ๆ

                “ฉันก็กินข้าวแล้วเหมือนกัน พรุ่งนี้ฉันมีคุยงานทั้งวัน ยังไม่รู้เลยว่าจะว่างโทรศัพท์หานายกี่โมง แต่ถ้านายมีอะไรด่วนก็โทรมาหาฉันหรือฝากข้อความทิ้งไว้ได้เลยนะ”

                “ผมไม่น่ามีอะไรด่วนหรอกครับ”

                “วันเสาร์ฉันมีงานเลี้ยงตอนเย็น แต่ช่วงกลางวันว่าจะไปเดินดูของขวัญให้น้องหนู นายมีอะไรที่อยากได้ด้วยหรือเปล่า ฉันจะได้ซื้อกลับไปให้ทีเดียวเลย”

               พิชญ์เงียบไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะตอบกลับมาอย่างเกรงใจ

                “ของผมไม่มีอะไรที่อยากได้เป็นพิเศษครับ ส่วนของน้องหนู คุณใหญ่ไม่ต้องซื้ออะไรกลับมาเยอะแยะนะครับ แค่นี้ของเล่นก็เยอะจนเล่นไม่ทันแล้วครับ อ้อ...ฝากซื้อขนมกลับมาฝากคนอื่น ๆ ในบ้านหน่อยครับ เดี๋ยวผมเอาเงินให้”

                “เดี๋ยวฉันซื้อกลับไปให้ ใช้เงินฉันนี่แหล่ะ เก็บเงินนายไว้เถอะ”

                “ครับ ๆ แล้วแต่คุณใหญ่เลยครับ”

               อริญชย์ยิ้มบาง ๆ เมื่อฟังน้ำเสียงของพิชญ์ ที่เจ้าตัวทำเสียงเหมือนคร้านที่จะเถียงกับเขา เขาชอบฟังเวลาพิชญ์พูด ไม่ว่าจะเป็นการเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้เขาฟัง บ่นเขา ตัดพ้อเขา ทุกอย่างที่เป็นพิชญ์ ทุกสิ่งที่พิชญ์ทำ เขาล้วนแต่ชอบทั้งนั้น

                “แม่พลอยเป็นยังไงบ้าง สบายดีไหม”

                “สบายดีครับ ตอนนี้นอนพักผ่อนอยู่ในห้องรับแขกข้างล่าง โดนน้องหนูชวนเล่นด้วยจนหมดแรง” พิชญ์เล่าอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะเว้นวรรคนิดหนึ่ง “ขอบคุณอีกครั้งนะครับ ที่ไปรับแม่พลอยมา”

                “เล็กน้อยน่า แม่พลอยก็เหมือนแม่ของฉันอีกคน”

               ฟังถ้อยคำของอริญชย์แล้วพิชญ์ก็รู้สึกหน้าร้อนผ่าว ไม่ค่อยชินกับคำพูดคำจาแบบนี้ของอริญชย์เท่าไหร่นัก เลยเสเปลี่ยนเรื่องถามอริญชย์

                “แล้วนี่คุณใหญ่โทรมามีอะไรหรือเปล่าครับ”

                “ทำไม นายมีอะไรจะไปทำหรือไง”

               พิชญ์ส่ายหน้าเบา ๆ เมื่อรู้สึกว่าน้ำเสียงของอริญชย์เหมือนจะมีความน้อยอกน้อยใจแฝงอยู่

                “ไม่มีอะไรครับ ผมแค่จะไปอาบน้ำ เล่นกับน้องหนูจนเหนียวตัวแล้วยังไม่ได้อาบน้ำเลย”

                “ก็ไปอาบสิ ฉันก็ยังไม่ได้ว่าอะไรซักหน่อย”

               คนที่อยู่ฮ่องกงคงไม่รู้ เหตุผลที่วันนี้พิชญ์อาบน้ำดึกกว่าทุกวัน เพราะเขากลัวว่าโทรศัพท์จะดังตอนที่เขาอาบน้ำ เขาถึงได้ถือโทรศัพท์ติดตัวไว้ตลอดตั้งแต่เช้า เผื่อว่ามีสายจากต่างประเทศเข้ามา เขาจะได้รับสายได้ทัน

                “งั้นผมวางแล้วนะ...”

                “วางสิ...”

               สายถูกปลายทางตัดไปแล้ว แต่อริญชย์ยังคงก้มมองหน้าจอโทรศัพท์ที่สว่างวาบ สุดท้ายแล้วคำที่อยากพูดออกไปก็ยังไม่ได้พูด

                “คิดถึงนายนะ พีท...”

               ได้แต่พูดกับตัวเอง กี่ร้อยกี่พันครั้งแล้วที่เขาไม่มีความกล้า เขาหัวเราะเยาะให้กับความขี้ขลาดของตัวเอง

               เขาคิดถึงพิชญ์...คิดถึงมาก... แค่ห่างกันหนึ่งวันก็รู้สึกไม่ชินเสียแล้ว

               อริญชย์หลับตาลงช้า ๆ จินตนาการถึงภาพพิชญ์ในหลากหลายอิริยาบถ ทั้งตอนดีใจ ตอนเสียใจ ตอนโมโห ตอนโกรธ ตอนมีความสุข ยิ่งคิดก็ยิ่งคิดถึง

               สามวันหลังจากนี้ในฮ่องกงสำหรับเขา...ช่างดูยาวนานเสียเหลือเกิน


 
TO BE CONTINUE




ขอบคุณทุกคนที่คอยติดตามคุณใหญ่กับพีทด้วยค่า ^^
ตอนนี้เขียนค้างไว้ตั้งแต่สี่ปีที่แล้ว นานมาก...กว่าคุณใหญ่จะถึงฮ่องกง
คุณใหญ่อ่อนโยนขึ้นทุกวันเลยนะคะ >///<



ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 710
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
คุณใหญ่ แค่คำว่าคิดถึงมันไม่ได้ยากเย็นอะไรเลยที่จะพูดไปน้าาาาาา
พรุ่งนี้โทรใหม่แล้วพูดให้มันดังๆ ชัดๆ ไปเลย!!
เอาใจช่วยทางนี้นะ  :mew1:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Dee^daY

  • ไม่เคย ทำให้ใครเดือดร้อน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +330/-6
ลมสงบ ย่อมมาพร้อมกับ พายุใหญ่

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
ไม่บอกตอนนี้ ก็กลับไปบอกตอนถึงดีกว่าเนาะ ได้ยินจากปากตรงหน้าพีทคงได้เขินตาย  :-[ คราวนี้ละคุณใหญ่จะเล่นท่าไหนได้หมด พีทยอมแล้ว  :impress2: 555 ราชันย์ก็อ่อนลงให้ดินมากเลยนะ ประนีประนอมขึ้น วุ้ยยย  :o8: รอตอนต่อไปเลยยย  :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25

สามสิบสาม
เผชิญหน้า





               เช้าวันศุกร์ อริญชย์มีนัดสำคัญวันนี้ เขาเลยตื่นตั้งแต่เช้า หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็ลงมารับประทานอาหารที่ห้องอาหารเช้าของโรงแรม เลือกรองท้องด้วยขนมปังสองสามชิ้นกับกาแฟดำแก้วหนึ่ง พอถึงเวลานัดหมายกับคนขับรถก็เดินออกมาเจอบอดี้การ์ดสองคนตรงล็อบบี ก่อนจะขึ้นรถคันเดียวกับเมื่อวานเพื่อออกเดินทาง

               ช่วงเช้านี้เขามีนัดเจรจาธุรกิจกับซัพพลายเออร์ชาวฮ่องกง บริษัทของคู่ค้าตั้งอยู่ย่านธุรกิจบนเกาะฮ่องกง พอเห็นอริญชย์มาถึงบริษัท เจ้าของบริษัทก็ลงมาต้อนรับขับสู้ด้วยตัวเองเป็นอย่างดี ครึ่งวันเช้าจบลงด้วยการเซ็นสัญญาและคุยกันถึงแผนงานหลังจากนี้ ก่อนที่เจ้าของบริษัทเอ่ยปากขอเลี้ยงมื้อกลางวันอริญชย์ที่ภัตตาคารแห่งหนึ่ง

               มื้อกลางวันวันนี้ของอริญชย์จึงจบลงที่ภัตตาคารอาหารจีนชื่อดัง เจ้ามือสั่งอาหารทะเลมาเลี้ยงเขาหลายอย่าง หลังจากกินข้าวเสร็จแล้วก็แยกย้ายกัน อริญชย์เดินกลับขึ้นมานั่งบนรถโตโยต้า อัลพาร์ดคันเดิม คนขับกำลังรอฟังจุดหมายต่อไปจากเขา อริญชย์หยิบโทรศัพท์ออกมากดหมายเลขแล้วรอสาย พอปลายสายรับ เขาก็เอ่ยออกมาเสียงเรียบ ๆ

                “ฉันคุยธุระเสร็จแล้ว”

               ปลายสายตอบกลับมาเพียงแค่ว่า...

                “เดี๋ยวฉันส่งที่อยู่ไปให้”

               หลังจากกดวางสายไม่ถึงห้านาที โทรศัพท์มือถือของเขาก็ร้องเตือนว่ามีข้อความเข้า อีกฝ่ายพิมพ์ที่อยู่ส่งมาทางข้อความ อริญชย์หยิบโทรศัพท์มือถือเขาให้บอดี้การ์ดส่งให้กับคนขับรถเพื่อดูที่อยู่ คนขับรถเพ่งมองที่อยู่บนหน้าจอ ขมวดคิ้วนิดหน่อยก่อนจะพยักหน้ารับ พอเห็นว่าอีกฝ่ายรู้ทาง อริญชย์ก็รับโทรศัพท์กลับคืนมา

               คนขับรถค่อย ๆ พาโตโยต้า อัลพาร์ด สีดำลัดเลาะมาสู่ย่านเดอะ พีค บริเวณที่มีมูลค่าที่ดินสูงที่สุดบนเกาะฮ่องกง หลังจากคดเคี้ยวอยู่บนถนนราวสิบนาที คนขับรถก็พาอริญชย์มาถึงหน้าแมนชั่นโอ่อ่าสไตล์อังกฤษ ขนาดสี่ชั้น อริญชย์หยิบโทรศัพท์มากดโทรหาหมายเลขเดิมซ้ำ

                “ฉันมาถึงแล้ว”

               เอ่ยจบแล้วก็วางสาย หลังจากนั้นเพียงแค่ห้านาที รถซีดานก็แล่นมาจากด้านหลังเขา ก่อนจะแซงขึ้นไปจอดอยู่ตรงหน้าประตูทางเข้าแมนชั่น พนักงานรักษาความปลอดภัยรีบเดินออกมาทันที หลังจากสนทนากับรถซีดานคันข้างหน้าอยู่สองนาที ประตูทางเข้าแมนชั่นก็เปิดออกด้วยกลไกอัตโนมัติ คนขับรถของอริญชย์ค่อย ๆ ขับตามหลังอีกฝ่ายเข้าไป

               เนื่องจากตัวแมนชั่นตั้งอยู่บนเขา อากาศข้างบนจึงค่อนข้างดี บริเวณสวนด้านนอกของแมนชั่นมีไม้ดอกนานาพันธุ์คอยแต่งแต้มสร้างสีสัน รถซีดานคันข้างหน้าจอดตรงหน้าแมนชั่น ก่อนราชันย์จะก้าวลงมาจากที่นั่งตอนหลัง พอเห็นอีกฝ่ายลงจากรถแล้ว อริญชย์เองก็ก้าวลงจากรถตาม

               สายตาสองคู่มองสบประสานกัน ก่อนราชันย์จะเป็นฝ่ายก้าวมาหาอริญชย์แล้วยกกำปั้นต่อยหัวไหล่เขาเบา ๆ

                “มาจบเรื่องบ้า ๆ พวกนั้นกันเสียทีเถอะ”

                “หึ!” อริญชย์แค่นเสียง “เพิ่งจะคิดได้หรือไง”

               ราชันย์มองอดีตเพื่อนรักนิ่ง ก่อนจะหมุนตัวแล้วเดินนำเข้าตัวแมนชั่น แค่เห็นราชันย์ปรากฏตัว พ่อบ้านประจำตระกูลก็รีบค้อมหัวลงทำความเคารพก่อนเอ่ยทักทาย

                “เชิญครับนายน้อย เชิญครับคุณใหญ่”

               ตอนราชันย์หนีจากประเทศไทยมาอยู่ฮ่องกง คนอื่นต่างพากันร่ำลือว่าเขาทิ้งมรดกนับพันล้านและทรัพย์สินมากมายมาลำบากลำบนอยู่เกาะฮ่องกง ยามข่าวลือพรรค์นั้นลอยมาเข้าหูอริญชย์ เขาก็เพียงแค่นยิ้มอย่างเหยาะหยัน คนอย่างราชันย์น่ะหรือจะมาลำบากอยู่ฮ่องกง การย้ายมาอยู่ที่นี่ของหมอนั่นคือการติดปีกเสียมากกว่าด้วยซ้ำ

               พ่อบ้านเฉินเดินนำราชันย์และอริญชย์มายังห้องหนังสือบริเวณชั้นหนึ่ง หลังจากเชื้อเชิญทั้งสองฝ่ายลงนั่งแล้ว เขาก็เอ่ยสอบถามว่าแต่ละคนต้องการชาหรือกาแฟไหม ก่อนจะออกไปตระเตรียมให้ อริญชย์กับราชันย์ยังคงนั่งมองหน้ากันนิ่ง ๆ จนกระทั่งพ่อบ้านเฉินเดินกลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมเด็กรับใช้ หลังจากวางเครื่องดื่มและของว่างลงบนโต๊ะให้แล้ว พ่อบ้านเฉินก็ล่าถอยออกจากห้องหนังสือ เหลืออริญชย์กับราชันย์นั่งเผชิญหน้ากันอยู่สองคน

                “มึง...” อริญชย์เอ่ยเรียกสรรพนามของอดีตเพื่อนรัก “ตัดสินใจแล้วใช่ไหม...”

               ราชันย์พยักหน้ารับแทนคำตอบ เขาตบมือเข้ากับกระเป๋าเสื้อเพื่อหาซองบุหรี่ ก่อนจะมุ่นหัวคิ้วอย่างหงุดหงิดเมื่อนึกออกว่าเมื่อเช้าก่อนออกจากโรงแรม เขาหยิบมาใส่กระเป๋า แล้วปฐพีเป็นคนหยิบออก

                “หลังจากนี้อีกสักสองสามวันน่าจะลงมือ ถ้ายังก็อาจจะต้องพึ่งแผนสอง แต่ต้องรอแม่คุยกับอารองอาสี่ก่อน”

               ราชันย์หมายถึงคุณนายหลิน มารดาบังเกิดเกล้าของเขา ซึ่งหลังจากหย่าขาดจากเจ้าสัวลิขิต บิดาของราชันย์ตอนราชันย์ยังเด็ก เธอก็ย้ายกลับมาอยู่ฮ่องกงเป็นการถาวร ราชันย์เห็นความรักจอมปลอมมาตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่ เขาเลยทำตัวสำมะเลเทเมาตั้งแต่วัยรุ่น ไม่คิดขวนขวายหาความรักให้ปวดหัว

               คุณนายหลินคือทายาทตระกูลหลิน ตระกูลเก่าแก่อันดับต้น ๆ ของเกาะฮ่องกง หลังจากแต่งงานกับเจ้าสัวลิขิตจนคลอดราชันย์ออกมา เธอก็ยังเดินทางไป ๆ มา ๆ ระหว่างกรุงเทพฯกับฮ่องกง เพราะการเดินทางไป ๆ มา ๆ ของเธอนี่เอง เจ้าสัวลิขิตเลยมีความสัมพันธ์กับคนสนิทของเธอ...รตี ซึ่งต่อมาก็คลอดรัญญาออกมา คนข้างนอกร่ำลือกันว่ารตีถูกคุณนายหลินวางยาจนเสียชีวิต แต่ความจริงนั้นมีเพียงคนสามคนที่รู้...เจ้าสัวลิขิต คุณนายหลิน และราชันย์

                “ตีกันจนบริษัทแทบพังมาเกือบห้าปี พอมานั่งคุยกันแบบนี้ก็แปลก ๆ เหมือนกันนะ”

               ราชันย์เปรยพลางแค่นหัวเราะออกมา ขณะมองหน้าอดีตเพื่อนรัก ซึ่งเอาเข้าจริง ปัจจุบันก็ยังคงเป็นเพื่อนรักของเขาอยู่ มิตรภาพเกือบยี่สิบปี ถ้าจะให้มันสะบั้นลงภายในหนึ่งวันคงไม่ง่ายขนาดนั้น อย่างน้อยถ้าผลประโยชน์ลงตัว โลกนี้ก็ไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร

                “ก็จริง ขนาดก่อนมาตุลย์ยังห่วงเลยว่ากูกับมึงจะคุยดี ๆ กันได้จริงหรือ”

                “มึงก็รู้ดีนี่ใหญ่...ว่ามึงไม่ได้โกรธกูมากเท่าเมื่อห้าปีที่แล้ว” ราชันย์เอ่ยพลางยิ้มร้าย ๆ นึกอยากเปลี่ยนชาร้อนที่กำลังยกขึ้นจิบเป็นว้อดก้าแรง ๆ ซักแก้ว

                “อย่าลืม ว่าเรายังเหลือสัญญาอีกสองข้อตามที่ตกลงกัน”

                “กูรู้น่า...” ราชันย์พึมพำพลางเบือนหน้าออกนอกหน้าต่าง ทอดสายออกไปไกล

               สัญญาสามข้อที่เคยตกลงกันหลังเกิดเรื่องอธิษฐ์ ตอนนี้ราชันย์ทำสำเร็จแล้วหนึ่งข้อ เหลืออีกสองข้อเท่านั้น เพื่อจะได้จบเรื่องที่เขาทะเลาะบาดหมางกันยาวนานถึงห้าปีลงเสียที

               อริญชย์เอนหลังพิงพนัก ยกถ้วยชาร้อนตรงหน้าขึ้นมาจิบ เขาสองคนสร้างเรื่องทะเลาะกันมาหลายปี แต่ก็โจมตีอีกฝ่ายและตอบโต้กันแบบจริง ๆ จัง ๆ แต่เขาสองคนต่างรู้ ว่าการวิวาทกันที่ผ่านมานั้น มีมือที่สามคอยอาศัยจังหวะผสมโรงอยู่หลายหน เขาก็แค่รอเวลาที่จะลากคอมือที่สามออกมา อริญชย์คิดคำนวณอยู่ในใจก่อนจะเอ่ยถามถึงสิ่งที่เขาสงสัย

                “ทำไมคราวนี้คุณนายหลินถึงยอมช่วยคุยกับทางนั้น”

                “ก็แค่ผลประโยชน์ลงตัว...”

               ราชันย์ตอบพลางยิ้มหยันด้วยความสมเพชตัวเอง บางทีก็นึกอิจฉาอริญชย์ที่มีชีวิตอิสระเสรี ต่างจากเขาที่ดูเหมือนมี แต่ก็เหมือนไม่มี

                “อย่าบอกนะว่ามึงตกลงแล้ว”

               ราชันย์ผงกหัวรับแทนคำตอบ ก็แค่เขาตกลงเรื่องผลประโยชน์กับมารดาบังเกิดเกล้าลงตัว แม่เขาถึงยอมสอดมือเขามายุ่งเรื่องตัดแขนตัดขาคนคนฝั่งกมลวิลาศน์ ครอบครัวกงสีที่ความสัมพันธ์ฉากหน้าดูสวยหรู แท้จริงกลับเป็นถ้ำเสือที่จ้องจะห้ำหั่นกันเอง

               หลังจากเจ้าสัวลิขิตเสียชีวิต ทรัพย์สมบัติก็ถูกบรรดาญาติพี่น้องหมายตา เจ้าสัวลิขิตเป็นพี่ชายคนโต มีน้องชายอีกสามคน คนรองวางตัวเป็นกลาง มักจะดูเหตุการณ์ต่างๆ อยู่ห่างๆ ขณะที่คนที่สามสนับสนุนรัญญาอย่างชัดเจน ราวกับต้องการจะงัดข้อกับคนอื่นๆ ส่วนคนที่สี่ก็เลือกที่จะสนับสนุนราชันย์

                “ใช่ กูตกลงแล้ว”

                “แล้วเด็กคนนั้น...” อริญชย์หมายถึงปฐพีที่เขาเคยเห็นอยู่ครั้งสองครั้ง

                “หมดประโยชน์แล้วก็ต้องปล่อยไป” ราชันย์เอ่ยอย่างไม่ยินดียินร้าย น้ำเสียงติดจะเฉยเมยเสียด้วยซ้ำ

                “อย่าทำอะไรที่ตัวเองจะต้องเสียใจทีหลัง”

                “มึงกำลังแนะนำจากประสบการณ์ตรงใช่ไหม” ราชันย์ถามกลั้วเสียงหัวเราะ แต่รอยยิ้มกลับไปไม่ถึงดวงตา

               บางทีเขาก็นึกอิจฉาอริญชย์ อริญชย์คนที่สามารถทำได้ทุกอย่างตามที่ตัวเองปรารถนา ส่วนเขาเองกลับต้องเดินหมากทีละก้าวด้วยความระมัดระวัง ค่อย ๆ ขุดรากถอนโคนเนื้อร้ายทีละนิด เวลากว่าห้าปีที่เขาค่อย ๆ วางกับดักล่อจับแมลง บัดนี้สมควรแก่เวลาที่จะขุดรากถอนโคนแล้ว เพียงแต่ค่าใช้จ่ายที่เขาต้องจ่ายมันช่างสาหัสสากรรจ์เหลือเกิน

                “มันอาจจะมีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้”

                “มึงก็รู้ว่ากมลวิลาศน์ต้องมีคนสืบทอด”

               อริญชย์ฟังเหตุผลของราชันย์แล้วก็นิ่ง เรื่องสืบทอดทายาทเป็นเรื่องสำคัญของตระกูลใหญ่ เขายังโชคดีที่มีน้องหนูมารอรับมรดกของเขาแล้ว มิหนำซ้ำ ทั้งพ่อและแม่ของเขาก็เสียชีวิตกันหมด เลยไม่มีใครมาก้าวก่ายกับชีวิตคู่ของเขาอีก ถ้าจะต้องห่วงก็คงมีแค่แม่พลอย ที่เขาอาจจะต้องหาวิธีเจรจาประนีประนอมกันอีกที ให้บัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น

               อริญชย์นั่งคลึงถ้วยชาในมือไปมา ขณะครุ่นคิดเรื่องของเขากับพิชญ์ เมื่อวานตอนออกจากบ้าน เขาสั่งให้ตุลย์แวะไปหาช่างทำอัญมณีประจำตระกูลก่อนตรงมาสนามบิน มารดาของเขามีเครื่องประดับหลายชุด แต่ชิ้นที่ตกทอดกันมารุ่นสู่รุ่นก็มีเพียงแหวนประจำตระกูล เขาบอกขนาดนิ้วของพิชญ์กับช่างไป ก่อนจะให้ช่างขึ้นตัวเรือนใหม่ให้พอดีกับขนาดนิ้วของพิชญ์

               แหวนวงนี้...คือแหวนวงที่เขาจะให้พิชญ์สวมแทนแหวนแต่งงานวงเดิม

               อริญชย์คิดพลางเผยรอยยิ้มออกมา ทำเอาราชันย์ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามถึงกับต้องขยี้ตา นึกว่าตัวเองตาฝาด นานทีปีหนเขาจะเห็นรอยยิ้มปรากฏบนหน้าของอริญชย์ พอเห็นแล้วก็ชวนให้รู้สึกขนลุกหน่อย ๆ จนต้องเอ่ยปากออกไป

                “อย่าทำหน้าตาอย่างนั้นได้ไหม เห็นแล้วขนลุก”

               ก๊อก ๆ ๆ

               เสียงเคาะประตูเรียกชายหนุ่มสองคนให้หันกลับไปมอง พ่อบ้านเฉินเปิดประตูเข้ามา ค้อมหัวลงเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยเชิญ

                “คุณนายหลินเชิญพบครับ นายน้อย คุณใหญ่”

               สองหนุ่มขยับตัวเล็กน้อย หันมองสบตากันแวบหนึ่งก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้พร้อมกัน แล้วเดินออกจากห้องภายใต้การนำทางของพ่อบ้านเฉิน มุ่งหน้าสู่ชั้นบนสุดของแมนชั่น

               แมนชั่นขนาดสี่ชั้นของตระกูลหลินมีลิฟต์อยู่มุมด้านใน แต่พ่อบ้านประจำตระกูลกลับเลือกพานายน้อยและแขกเดินขึ้นบันไดวนที่ทอดยาวจากชั้นหนึ่งสู่ชั้นสี่ พ่อบ้านเฉินดูเหมือนจะเคยชินกับการเดินขึ้นบันไดวน เลยไม่มีอาการหอบให้เห็นแม้แต่น้อย พอชำเลืองมองคนที่เดินตามหลังมา เห็นทั้งอริญชย์และราชันย์เดินตามมาด้วยท่าทางสบาย ๆ ก็ลอบยิ้มอย่างพึงพอใจ

               พอขึ้นมาถึงชั้นสี่ ประตูไม้บานใหญ่ก็ปรากฏแก่สายตา พ่อบ้านเฉินสั่นกระดิ่งหน้าประตูเบา ๆ หลังจากนั้นจึงเปิดประตูออกแล้วผายมือเชิญอริญชย์และราชันย์ข้างในห้อง ส่วนตัวเขายืนรออยู่ข้างนอกเพื่อปิดประตูตามหลังให้

               เพียงแค่ก้าวแรกที่ย่างเท้าเข้ามาในห้อง อริญชย์ก็มองเห็นเงาร่างระหงซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าต่าง กำลังยืนหันหลังให้พวกเขา แดดจัดยามบ่ายส่องเข้ามาผ่านกระจกบานใหญ่ จนเห็นเป็นเงาลาง ๆ ราชันย์มองนิ่ง ๆ ก่อนจะเรียกขานอีกฝ่ายออกมาคำหนึ่ง

                “แม่...”

               ขณะที่อริญชย์เอ่ยทักทายเจ้าของบ้านตามมารยาท

                “สวัสดีครับ คุณน้า...”

               เจ้าของบ้านค่อย ๆ ผละจากหน้าต่างและหันกลับมาหาอริญชย์และราชันย์ แม้จะอายุเกือบหกสิบปีแล้ว แต่คุณนายหลินยังดูแลตัวเองดีอยู่เสมอ ดวงหน้าสวยสดงดงามมีริ้วรอยเพียงจาง ๆ ดูห่างจากอายุจริงเกินสิบปี ริมฝีปากสีแดงสดเหยียดออกเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยกับแขกผู้มาเยือน

                “นั่งลงสิ...”



.




CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25



               พิชญ์ก้มลงดูนาฬิกาข้อมือ ตอนนี้เวลาห้าโมงกว่าแล้ว วันนี้ทั้งวันโทรศัพท์เขาดังอยู่สองสามครั้ง ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องงานแทบทั้งสิ้น อริญชย์ไม่ได้โทรศัพท์มาหาเขาตั้งแต่เช้า อย่างที่เจ้าตัวออกตัวไว้ตั้งแต่เมื่อวาน ทั้งที่รู้แบบนี้ แต่พิชญ์ก็ยังอดเหลียวมองโทรศัพท์บ่อย ๆ ไม่ได้ ลงท้ายก็เลือกเป็นฝ่ายส่งข้อความไปบอกเอง ตัดทิฐิออกเสียบ้าง ชีวิตจะได้มีความสุข

               พิชญ์พิมพ์ ๆ ลบ ๆ อยู่สองสามรอบ สุดท้ายก็ส่งออกไปง่าย ๆ แค่บอกกล่าวให้อีกฝ่ายรับทราบ


                ...ผมกำลังจะพาพนักงานไปกินเลี้ยงกันนะครับ....


               พอส่งข้อความหาอริญชย์แล้ว เขาก็กดโทรศัพท์หาแม่พลอย ซึ่งตอนนี้มาพักอยู่ที่คฤหาสน์เกียรติกาญจนา รอจบงานโรงเรียนของน้องหนูวันอาทิตย์ แล้วแม่พลอยค่อยเดินทางกลับต่างจังหวัดวันจันทร์

                “ว่าไงลูก...” พอรับสายปุ๊บ แม่พลอยก็รีบถามไถ่ลูกชายคนเดียวทันที

                “แม่ วันนี้พีทกลับดึกหน่อยนะ พอดีมีกินเลี้ยงกับทีม”

                “ได้สิ เดี๋ยวแม่ดูน้องหนูให้เอง ไม่ต้องห่วงนะ”

                “ครับผม แม่จะเอาอะไรก็บอกป้าน้อยเลยนะ”

               พิชญ์เอ่ยอีกสองสามประโยคก่อนจะกดวางสายไป พอวางสายจากแม่พลอยแล้วเขาก็เก็บของบนโต๊ะให้เรียบร้อย เตรียมตัวออกจากบริษัท ตั้งแต่ตุลย์ถูกอริญชย์ทิ้งให้อยู่ที่นี่ ฝ่ายนั้นก็เกาะติดเขาแจ วันนี้พิชญ์เลยไม่แปลกใจนักที่เดินออกมาจากห้องทำงานแล้วจะเห็นตุลย์ยืนรออยู่

                “ไปกันเลยไหมครับ คุณพีท” ตุลย์เอ่ยถามพิชญ์ ก่อนจะเดินเข้ามาช่วยถือกระเป๋าเอกสาร

                “ไปเลยครับ คุณตุลย์รู้จักร้านใช่ไหมครับ ร้านที่เราชอบเลี้ยงพนักงานกันบ่อย ๆ ตรงถนนพระรามสี่น่ะครับ” พิชญ์เอ่ยถามก่อนจะบอกชื่อร้านออกไป

                “รู้จักสิครับ ผมบอกคนขับรถให้แล้ว”

               พอลงจากลิฟต์มา พิชญ์ก็เดินตามตุลย์ไปขึ้นรถที่จอดอยู่ตรงลานจอดหน้าตึก พิชญ์ก้มลงมองโทรศัพท์มือถือตัวเองแวบหนึ่ง เห็นหน้าจอยังคงว่างเปล่าก็เผลอถอนหายใจออกมาก่อนจะยัดลงกระเป๋ากางเกง

               การจราจรตอนเย็นค่อนข้างติดขัด ขนาดเลือกร้านอาหารใกล้กับบริษัทแล้ว กว่าจะฝ่ารถติดมาถึงร้านได้ก็ยังใช้เวลาร่วมครึ่งชั่วโมง โชคดีที่พิชญ์เป็นเจ้าภาพมื้อนี้ เขาเลยไม่ต้องกลัวว่าใครจะค่อนขอดเรื่องเขามาสาย

               ตอนจองโต๊ะ พิชญ์ให้คนที่โทรศัพท์มาจองโต๊ะกับทางร้านเลือกปิดโหนึ่งซน จะได้ไม่รบกวนแขกคนอื่น พอเห็นกลุ่มก๊วนพนักงานกำลังยืนล้อมวงกันร้องเพลงสนุกสนาน ตุลย์ก็หันมาหาพิชญ์ ทำท่าจะเอ่ยขอตัวเพื่อไปนั่งรออีกมุมหนึ่ง พิชญ์กลับคว้าแขนตุลย์แน่น เอ่ยเสียงแข็ง อย่างไม่ยอมให้ตุลย์ได้มีโอกาสปฏิเสธ

                “จะไปไหนคุณตุลย์ มาด้วยกันก็ต้องไปด้วยกันสิ ไม่กลัวผมคลาดสายตาเหรอ”

               ตุลย์ส่ายหัวด้วยความระอา เขาปลดแขนพิชญ์ที่ยึดแขนตัวเองออก ก่อนจะแตะบ่าพิชญ์เบา ๆ ด้วยความสุภาพ เป็นเชิงให้พิชญ์เดินนำเข้าไป พิชญ์เห็นตุลย์ตามเขามาก็ยิ้มออกมา

               ยิ่งเดินเข้าใกล้โต๊ะ เสียงสนทนาสลับกับเสียงหัวเราะก็ยิ่งดังอึกทึกครึกโครม ก่อนจะค่อย ๆ เบาเสียงลงเมื่อทั้งกลุ่มหันมาเห็นพิชญ์และตุลย์ พนักงานคนหนึ่งลุกขึ้นยืนปรบมือต้อนรับพิชญ์ คนอื่นที่เหลือเลยทยอยลุกขึ้นยืนปรบมือตาม

                “มาแล้ว เจ้ามือของพวกเรา เฮ้ย! หลบให้ท่านรองนั่งหน่อยสิ”

               พิชญ์มองความชุลมุนตรงหน้าด้วยแววตาเป็นประกาย ก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงดังให้เข้ากับบรรยากาศ

                “อยากกินอะไรสั่งกันเต็มที่เลยนะทุกคน มื้อนี้ท่านประธานเป็นคนเลี้ยง เราก็ต้องถล่มให้กระเป๋าฉีกไปเลย”

               คนในโต๊ะพากันหัวเราะให้กับคำกล่าวพาดพิงอริญชย์ของพิชญ์ ตุลย์นั่งลงขวามือของพิชญ์ อาหารถูกเวียนส่งมาเรื่อย ๆ พิชญ์เลือกตักอาหารที่ตัวเองชอบใส่จานของตัวเอง ก่อนเบียร์จะถูกส่งมาตรงหน้า ตุลย์เลิกคิ้วมองพิชญ์เป็นเชิงถามว่าจะดื่มไหม เจ้าตัวตบบ่าตุลย์ปุ ๆ ก่อนจะเอ่ยอย่างอารมณ์ดี

                “ดื่มฉลองด้วยกัน นาน ๆ ที”

               ตุลย์กลอกตาสองทีก่อนจะส่งแก้วเบียร์ในมือให้พิชญ์ แล้วรับอีกแก้วมาให้ตัวเอง โชคดีว่าเขาเอาคนขับรถมาด้วย ถ้าขืนเขาเป็นคนขับรถเสียเอง วันนี้มีหวังทั้งเขาและพิชญ์คงได้นอนอยู่ที่นี่หรือไม่ก็ต้องนั่งแท็กซี่กลับ เดือดร้อนให้อริญชย์โทรศัพท์ข้ามประเทศมาด่าอีก ตุลย์คิดขำ ๆ ขณะยกเบียร์ขึ้นจิบช้า ๆ

               พอแอลกอฮอล์เข้าปาก ทั้งกลุ่มก็ยิ่งครื้นเครง มีคนลุกออกไปร้องเพลงและมีคนลุกออกไปเต้น พิชญ์ถูกคะยั้นคะยอให้ลุกออกไปร้องเพลงอยู่หลายรอบ ตอนแรกเจ้าตัวก็ปฏิเสธท่าเดียว แต่พอแอลกอฮอล์เข้าปากเป็นแก้วที่สาม พิชญ์ก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากขอไมค์เอง เรียกเสียงฮือฮาจากบรรดาพนักงาน ตุลย์ยิ้มมุมปากขณะล้วงหยิบเอาโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมา แล้วกดถ่ายคลิปวิดีโอตอนพิชญ์ร้องเพลง

               สงสัยปีนี้...อริญชย์ต้องตบโบนัสให้เขามากหน่อยเสียล่ะมั้ง จะมีใครเหมาะสมกับตำแหน่งลูกน้องดีเด่นยิ่งไปกว่าเขาอีก ตุลย์คิดพลางหัวเราะในลำคอเบา ๆ



.



               เมื่อเช้า ตอนราชันย์ออกจากโรงแรม ปฐพียังนั่งละเลียดอาหารเช้าอยู่บริเวณห้องอาหารชั้นหนึ่ง กว่าเขาจะออกจากโรงแรมก็ตอนสาย เขานั่งรถเมล์มาเดินเล่นย่านเซ็นทรัล เลือกหาของฝากสำหรับน้องชายคนเดียว คราวก่อนเขาซื้อพวกขนมกลับไปให้ชลธี ดูเหมือนเจ้าน้องชายตัวแสบของเขาจะชอบไม่น้อย มาคราวนี้ปฐพีเลยเลือกซื้อขนมกลับไปให้อีก แถมยังหยิบมาเผื่อปกรณ์ด้วย

               แวบหนึ่ง ปฐพีแอบคิดถึงพิชญ์ขึ้นมา แล้วก็เลยหยิบขนมมาเผื่อพิชญ์ด้วย ส่วนจะให้ตอนไหน เดี๋ยวเขาค่อยหาโอกาสอีกทีแล้วกัน อย่างน้อยขนมพวกนี้ก็เก็บได้นาน

               ปฐพีเดินเล่นสลับกับแวะร้านอาหารและร้านขนมอยู่ครึ่งค่อนวัน แล้วถึงค่อยกลับโรงแรม เพราะเดินมาทั้งวันจนเหนื่อย พอกลับมาถึงโรงแรมเขาเลยรีบอาบน้ำให้สดชื่นก่อนจะปีนขึ้นเตียงมานอนดูโทรทัศน์ วันนี้ปฐพีแวะกินขนมข้างนอกมาหลายร้าน ตอนนี้เขาเลยไม่นึกอยากอาหาร แม้ว่าจะยังไม่ได้กินมื้อเย็น

               ปฐพีนอนดูโทรทัศน์เพลิน ๆ อยู่บนเตียง มีลมเย็นสบายจากเครื่องปรับอากาศเป่าใส่ตัว พอรวมเข้ากับความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินเล่นตลอดทั้งวัน เขาเลยผล็อยหลับอย่างง่ายดาย

               เขาหลับไปนาน ฝันถึงเรื่องสมัยก่อน ฝันถึงเรื่องของราชันย์ ก่อนจะสะดุ้งตื่นขึ้นมา เมื่อรู้สึกถึงสัมผัสที่กำลังลากไล้ไปตามต้นขาเปลือยเปล่าของเขา

               ปฐพีอ้าปากเตรียมจะส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจ แต่เสียงร้องกลับถูกกลืนหายเมื่อริมฝีปากร้อนจัดทาบทับลงมา รสแอลกอฮอล์ขมปร่าถูกส่งผ่านจากริมฝีปากของคนที่กำลังรุกรานมายังเขา ปฐพีเพ่งมองเจ้าของริมฝีปากผ่านความมืด เสี้ยวหน้าที่คุ้นเคยปรากฏอยู่ลาง ๆ หัวใจที่เต้นกระหน่ำของเขาค่อย ๆ สงบลง

               เป็นราชันย์... แต่ที่น่าแปลกคือราชันย์กำลังจูบเขา เขาอยู่กับราชันย์มาราวห้าปี อีกฝ่ายจูบเขาแทบนับครั้งได้ แต่ยามนี้ริมฝีปากร้อนผ่าวที่เขาเฝ้าโหยหากำลังบดคลึงอยู่บนริมฝีปากเขา ทั้งคลึงเคล้าพะเน้าพะนอ จนปฐพีถึงกับเคลิบเคลิ้ม เผลอไผล เอื้อมมือออกไปเกาะเกี่ยวอีกฝ่าย รั้งให้เข้ามาใกล้ยิ่งขึ้น

               กางเกงนอนของเขาดูเหมือนจะถูกถอดออกไปตั้งแต่ก่อนที่เขาจะรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา เขานอนหน้าแดงซ่านอยู่ในความมืด ยามที่ฝ่ามือร้อนผ่าวลูบไล้ไปตามร่างกายเขา ปฐพีแหงนเงยหน้าตัวเองเพื่อให้ราชันย์จูบเขาได้ถนัดมากยิ่งขึ้น

                “เฮีย...” เขาครางชื่อราชันย์ออกมา ยามที่ฝ่ายนั้นถอนริมฝีปากออกไป

               ดวงตาสองคู่สบประสานกันอยู่ในความมืด อะไรบางอย่างบอกเขาว่าวันนี้ราชันย์ไม่เหมือนทุกที แต่ขณะที่เขายังคิดไม่ออกว่าไม่เหมือนยังไง เสื้อนอน ซึ่งเป็นสิ่งบดบังร่างกายชิ้นสุดท้ายบนร่างเขาก็ถูกราชันย์ถอดออก ก่อนจะโยนไปไว้ข้างเตียง

               พอต้องเปลือยเปล่าต่อหน้าราชันย์ เขาก็รู้สึกเหมือนจะหนาวขึ้นมาดื้อ ๆ จนเผลอยกแขนขึ้นโอบกอดตัวเองเอาไว้ แต่อีกฝ่ายกลับดึงมือเขาออก ราวกับต้องการจะดูให้เต็มตา คราวนี้ริมฝีปากร้อนจัดแนบลงมาตามลำตัวเขา ดูดเม้มร่างกาย สร้างร่องรอยเอาไว้มากมาย

               ปฐพีเหมือนจะนึกออกแล้วว่าวันนี้ราชันย์ต่างจากทุกวันยังไง นอกจากครั้งแรกที่มีอะไรกัน ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองที่ราชันย์ปฏิบัติต่อเขาอย่างอ่อนโยน ค่อย ๆ เล้าโลมจนเขาเกิดอารมณ์ ริมฝีปากที่กำลังขบเม้มและดูดดึงยอดอกเขา ทำเอาเขาเสียวซ่านมากเสียจนคิดอะไรไม่ออก หัวสมองพลันขาวโพลน ความคิดจดจ่ออยู่แต่การกระทำของราชันย์

               ลิ้นร้อนผ่าวลากไล้ลงมาตามลำตัวเขา ขบเม้มสร้างร่องรอยมากมาย จนเขาแทบบิดเร่าด้วยความต้องการ ร่างกายท่อนล่างของเขาตอนนี้ทั้งอึดอัดและต้องการ อยากได้รับการเติมเต็ม จนเขาเผลอเบียดตัวเองเข้าหาราชันย์อย่างน่าไม่อาย ได้ยินเสียงอีกฝ่ายหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยปลอบประโลมเขา

                “ใจเย็น ๆ อย่ารีบร้อน”

               แม้กระทั่งยามที่ราชันย์ผละออกไปเผื่อถอดเสื้อผ้าตัวเองออก ปฐพีก็ยังเผลอยื่นมือไขว่คว้า ราวกับกลัวว่าจะถูกแกล้งเหมือนครั้งที่ผ่าน ๆ มา ราชันย์ชอบให้เขาอ้อนวอน แสดงความต้องการออกมา แล้วถึงค่อยเติมเต็มความปรารถนาให้เขา

                “เฮีย...” เขาเรียกชื่อราชันย์ออกมาอีกครั้งอย่างทนไม่ไหว

               ราชันย์โน้มตัวลงมาคร่อมตัวเขาเอาไว้ ก่อนจะจับเขาพลิกหน้านอนคว่ำลงกับเตียง ริมฝีปากร้อนผ่าวไล่จูบไปตามแผ่นหลังของเขา หนักบ้างเบาบ้าง เขาเอื้อมหยิบเจลหล่อลื่นตรงหัวเตียงมาบีบใส่มือ ก่อนจะค่อย ๆ กดปลายนิ้วลงกับช่องทางด้านหลังของปฐพี คนถูกกระทำเกร็งตัวขึ้นมาเล็กน้อย เพราะตอนนี้ปฐพีกำลังนอนคว่ำอยู่ เขาเลยไม่เห็นแววตาของราชันย์ที่ทอดมองเขา แววตาที่แสดงความรู้สึกมากมายออกมา

               ราชันย์สอดนิ้วเข้าไปทีละนิ้ว จากหนึ่งกลายเป็นสอง ให้ปฐพีค่อย ๆ ปรับตัวกับความคับแน่น เขามีเวลาทั้งคืนที่จะค่อย ๆ ปรนเปรอปฐพีให้มีความสุข ก่อนที่ทุกอย่างจะกลายเป็นเพียงความฝันหนึ่งตื่น ความรู้สึกอึดอัดในใจทำให้ราชันย์ถอนนิ้วออกมา ก่อนจะค่อย ๆ แทนที่ด้วยความใหญ่โตของเขา เขาสอดใส่เขาไปทีเดียวจนสุดทาง แล้วปล่อยให้ปฐพีค่อย ๆ คุ้นเคยกับมัน

               ร่างกายเขากับปฐพีคุ้นเคยกันดีราวกับเป็นเจ้าของกันและกัน แค่เพียงเขาอยู่นิ่ง ๆ ให้อีกฝ่ายค่อย ๆ ปรับตัวให้คุ้นเคยกับความคับแน่น ช่องทางของปฐพีก็บีบรัดเขาช้า ๆ จนเขาเกือบจะเป็นฝ่ายทนไม่ได้ขึ้นมาเสียเอง

                “เฮีย ขยับเถอะ ได้โปรด...”

               เสียงกึ่งอ้อนกึ่งวอนขอเร่งเร้าให้ราชันย์ค่อย ๆ ขยับร่างกายเข้าออก กระแทกใส่คนที่อยู่ใต้ร่าง เขายึดสะโพกปฐพีไว้ ขณะขยับเคลื่อนไหวเป็นจังหวะเร็วบ้างช้าบ้าง เสียงเนื้อกระทบกันดังท่ามกลางความเงียบ ปฐพีกำผ้าห่มแน่น ขณะหลุดเสียงครางออกมาเป็นระยะทุกครั้งที่ราชันย์กระแทกเข้ามา เตียงนอนขยับโยกไหวไปตามแรงกระแทกกระทั้น บ้างเบา บ้างหนัก

               ปฐพีเกือบจะทนไม่ไหวแล้ว ทุกครั้งที่ราชันย์ดันตัวเองเข้ามา เขาก็เสียวซ่านจนขาสองข้างสั่นระริก ไม่รู้ว่าตัวเองจะฝืนได้อีกนานแค่ไหน แล้วก่อนที่เขาจะทันคิดหาคำตอบได้ทัน เขาก็ปลดปล่อยความต้องการของตัวเองออกมาจนหมด ทั้งที่ราชันย์ยังไม่ได้แตะต้องแกนกายของเขาแม้แต่น้อย ตอนถึงฝั่งฝัน เขาร้องเรียกชื่อราชันย์ออกมาพร้อมกับเอ่ยบอกความรู้สึกลึก ๆ ในใจ

                “เฮีย ผมรักเฮีย...

               ถ้อยคำของปฐพีทำเอาเขาเกร็งไปทั้งตัวก่อนจะปลดปล่อยออกมาติด ๆ กัน ความอุ่นร้อนเติมเต็มจนเอ่อล้นอยู่ในร่างกายของปฐพี ขณะเขาค่อย ๆ ดึงปฐพีเข้ามาหาตัว ฝ่ามือใหญ่ลูบหัวอีกฝ่ายเบา ๆ

               ไม่รู้ว่าหลังจากนี้ เขาจะยังได้กอดเด็กที่เขาบังเอิญเก็บมาได้คนนี้อีกไหม

               ถึงเวลา...ปล่อยให้ปฐพีไปมีชีวิตของตัวเองเสียที




TO BE CONTINUE



ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์ ทุกคนที่คอยติดตามนะคะ
ปมเริ่มเฉลยออกมาทีละนิดแล้วค่ะ
ตอนนี้โดนเฮียเล้งกับดินขโมยซีนเต็ม ๆ เลย สองคนนี้กลิ่นมาม่าแรงมาก


ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 710
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
 สงสารดินมากๆ เลย รักเฮียเล้งมาก แต่เป็นไปไม่ได้เลยที่จะครองรักกัน เหตุผลของเฮียเล้งก็เป็นเรื่องค่อนข้างใหญ่อยู่นะ คนโตของวงศ์ตระกูลจำเป็นต้องแต่งงานมีทายาทสืบต่อกันไป เฮ้อ!! สงสารดิน สงสารจริงๆ นะ หวังว่าทั้งสองคนจะเจอทางออกที่ดีกว่านี้  :ling3:

ตอนนี้คุณใหญ่กับเฮียเล้งได้เผยให้เรารู้แล้วว่าปัญหาใหญ่เป้งจริงๆ คือ คนในตระกูลกมลวิลาศน์ โดยเฉพาะยัยตะหลิว(รึเปล่า)​ พอมาเห็นว่าอดีตเพื่อนรักคุยกันได้แบบนี้แล้วค่อยรู้สึกหายอึดอัดหน่อย  :mew3:

ปล.อย่าลืมโทรหาพีทนะคุณใหญ่ เพราะพีทจ้องดูแต่โทรศัพท์จนจะเป็นบ้าอยู่แล้ว และอย่าลืมรางวัลให้ตุลย์ด้วยละที่ถ่ายคลิปตอนพีทร้องเพลงไว้ให้ดูด้วย ของหายาก 55555

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
ก่อนไป ก็ดียังได้เอ่ยบอกว่า รัก ถ้าเขาปล่อยไปแล้วจะได้ไม่รู้สึกค้างคา ทำดีที่สุดแล้ว และถ้ารักกันจริงวันใดวันหนึ่งเขาก็ต้องตามหา คนที่ปล่อยคือคนที่ร้อนรนกว่าคนไป เพราะคนไปทำใจมาตลอด รู้อยู่ว่าวันนี้ต้องมาถึง ถึงใจหายแต่ก็ไม่เสียใจนะดินนะ //รีบๆเคลียร์งานเลยคุณใหญ่ มีคนคิดถึงมาก1อัตรา เหล่ตามองโทรศัพท์ทั้งวัน 55555 ถ้าคุณใหญ่ได้เห็นคนยิ้มหน้าบานปานจานดาวเทียมอ่ะ 555 แต่ก็คงได้เห็นคนร้องเพลงแล้วสินะ ตุลย์ก็ปั่นดีจริง ควรได้โบนัสใหญ่นะเออ 555 //อ่อออ แผนซ้อนแผน???  กับดักขุดรากถอนโคนคนในตระกูลที่คิดทรยศ? สัญญาอะไรกันไว้อีก2 ต้องตามต่อไป ขอบคุณค่ะที่มาต่อ  :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Dee^daY

  • ไม่เคย ทำให้ใครเดือดร้อน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +330/-6
ความรัก ทำได้ทุกสิ่ง

ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25
สามสิบสี่
ลักพาตัว





               อริญชย์กลับมาถึงโรงแรมเกือบห้าทุ่ม หลังจากแยกกับราชันย์ที่บาร์ตอนสี่ทุ่มกว่า เขากับราชันย์นั่งดื่มและพูดคุยกันมาตั้งแต่หัวค่ำ ตอนนี้เลยรู้สึกกรึ่ม ๆ นิดหน่อย พอกลับมาถึงห้องพัก เขาเลยรีบอาบน้ำเพื่อให้ตัวเองสร่างเมา พอนึกถึงบทสทนาที่นั่งคุยกับราชันย์ที่บาร์แล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าช้า ๆ

               พวกเขาคุยกันถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านมาตลอดหลายปีนี้ เรื่องของเขา เรื่องของราชันย์ เรื่องของไอลดา หรือแม้กระทั่งเรื่องของอธิษฐ์ ตอนนั่งคุยกัน มีช่วงหนึ่งที่ราชันย์ถามเขาออกมาตรง ๆ ว่า

                ‘ตอนเกิดเรื่องขึ้นกับกลาง มึงคงเกลียดกูมาก...ใช่ไหมใหญ่’

               เขาสาดเหล้าลงคอ ขณะจ้องหน้าราชันย์แล้วเอ่ยตอบด้วยความสัตย์จริง

‘เกลียดจนอยากจะฆ่ามึง อยากจะฆ่าทุกคนที่เกี่ยวข้องเลยล่ะ’

               มึงก็เกือบจะฆ่ากูอยู่หลายทีแล้วไม่ใช่หรือไง’

               แม้จะถูกกล่าวหาซึ่ง ๆ หน้า แต่อริญชย์ก็ยังยืดอกรับ ตอนเกิดเรื่องกับอธิษฐ์ เขาโมโหจนแทบจะพังทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของกมลวิลาศน์ ธุรกิจบางส่วนถูกเขาใช้อำนาจแทรกแซงจนเกือบจะล้มทั้งยืน ทั้งตัวราชันย์เองก็ถูกเขาจัดการจนสะบักสะบอม ถึงขนาดว่าอารองของราชันย์ต้องมาพบเขาด้วยตัวเองเป็นการส่วนตัว สิ่งที่อริญชย์บอกกับอารองของราชันย์มีเพียงแค่

                ‘ถ้าอารองไม่ยอมให้ผมเอาตัวคนผิดมาลงโทษ อย่างน้อยก็ต้องให้คนผิดมาขอโทษผมกับกลาง’

               ผลพลอยได้จากการคุยกันวันนั้นคือการวางแผนลากเอาหนอนบ่อนไส้จากฝั่งเขาและตัวต้นเหตุจากทางฝั่งกมลวิลาศน์ออกมา โดยต้องการขุดรากถอนโคนทั้งหมด ภายใต้สัญญาสามข้อที่เขากับราชันย์ตกลงกันโดยเอามิตรภาพอันยาวนานเป็นเดิมพัน

               อริญชย์ปัดเรื่องระหว่างเขากับราชันย์ออกจากหัว หันกลับมาครุ่นคิดถึงพิชญ์ ตอนนี้พิชญ์น่าจะกำลังเลี้ยงฉลองกับบรรดาพนักงานอยู่ เขาเห็นข้อความที่พิชญ์ส่งมาบอกเขาแล้ว แม้จะเป็นข้อความธรรมดา อริญชย์ก็ยังดีใจ อย่างน้อยพิชญ์ก็ยังนึกถึงเขา ตอนแรกอริญชย์จะหยิบโทรศัพท์มากดโทรหาพิชญ์อยู่แล้ว แต่พอคิดว่าเจ้าตัวน่าจะกำลังสนุกอยู่ เขาเลยวางโทรศัพท์ลงตามเดิม ซักพักเสียงข้อความเข้าก็ดัง เขาหยิบขึ้นมาดูว่าใช่พิชญ์หรือเปล่า ปรากฏว่าเป็นตุลย์ที่ส่งคลิปวิดีโอมา

               อริญชย์ขมวดคิ้ว เมื่อคิดว่าตอนนี้ตุลย์น่าจะอยู่กับพิชญ์ ระหว่างที่กำลังสงสัยเขาก็หยิบโทรศัพท์มากดดูว่าตุลย์ส่งคลิปวิดีโออะไรมา พอกดเล่นคลิป เสียงร้องเพลงที่น่าจะเรียกว่าเสียงแหกปากมากกว่าก็ดังลั่นออกมาจากในคลิป อริญชย์หรี่เสียงโทรศัพท์ลง ก่อนจะหัวเราะออกมาเมื่อเห็นชัดว่าเป็นพิชญ์ที่กำลังยืนถือไมค์ร้องเพลงอยู่ที่ร้านอาหาร ท่ามกลางเสียเชียร์จากพนักงานรอบข้าง

               อริญชย์ไม่รู้ว่าปกติพิชญ์เป็นคนร้องเพลงเพราะหรือเปล่า แต่ดูจากคลิปที่ตุลย์ส่งมาให้ สิ่งที่พิชญ์กำลังทำอยู่น่าจะเรียกตะเบ็งเสียงร้องมากกว่า เขาหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะกดเซฟคลิปวิดีโอลงโทรศัพท์ของตัวเองแล้ววางตรงโต๊ะหัวเตียง เตรียมตัวจะนอน แต่เพิ่งจะสอดตัวลงผ้าห่มแล้วเอื้อมมือปิดไฟ โทรศัพท์มือถือของเขาก็ส่งเสียงดังแทรกความเงียบขึ้นมา อริญชย์มุ่นหัวคิ้วหน่อย ๆ ใครกันที่โทรหาเขายามดึก ๆ ดื่น ๆ ถ้าไม่มีเรื่องด่วนได้โดนดีแน่

               พอเห็นชื่อคนโทรเข้าบนหน้าจอโทรศัพท์ อริญชย์ก็ต้องแปลกใจยิ่งกว่าเดิม ไม่บ่อยนักที่พิชญ์จะเป็นฝ่ายโทรหาเขา แล้วยิ่งเป็นเวลาดึก ๆ ดื่น ๆ อย่างนี้อีก หรือว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพิชญ์ อารามร้อนใจ เขาเลยรีบกดรับสาย

                “ฮัลโหล...”

               พอรับสายแล้ว อริญชย์ก็ต้องนิ่งขึงเมื่อเสียงปลายสายดังมาขาด ๆ หาย ๆ ดูเหมือนว่าเจ้าของโทรศัพท์จะไม่ได้พูดกับเขา นอกจากเสียงพิชญ์ที่ดังอู้ ๆ อี้ ๆ แล้ว ยังมีเสียงตุลย์ดังลอดเข้ามาในโทรศัพท์

                “ยืนดี ๆ ครับ คุณพีท”

               ฟังคำของตุลย์แล้วอริญชย์ก็ขมวดคิ้วฉับ พอจะเดาเหตุการณ์ปลายสายออกลาง ๆ เขาเรียกชื่อคนสนิทที่น่าจะอยู่ข้างตัวพิชญ์

                “ตุลย์...ตุลย์...”

               ไม่มีเสียงตอบรับจากปลายทาง มีเพียงเสียงลากเท้ากับพื้น เสียงเปิดประตู อริญชย์จินตนาการภาพตามว่าตอนนี้พิชญ์น่าจะอยู่ไหน ก็พอจะเดาออกว่าน่าจะเป็นที่บ้าน แล้วตอนนี้พิชญ์ก็น่าจะอยู่หน้าห้องของตัวเอง พอดีกับที่เขาได้ยินเสียงตุลย์คุยกับพิชญ์

                “ผมไปก่อนนะครับ คุณพีท ถ้าคออ่อน วันหลังก็อย่าดื่มเยอะอย่างนี้สิ”

               อริญชย์เข้าใจสถานการณ์ขึ้นมาทันที เสียงเปิดปิดประตูห้องดังก้องมาจากปลายสาย เขาคิดว่าที่พิชญ์โทรศัพท์มาหาเขา น่าจะเผลอกดโดนมากกว่าตั้งใจ เขากำลังลังเลว่าจะวางสายดีหรือจะยังถือสายฟังว่าพิชญ์ทำอะไรต่อดี เสียงอ้อแอ้จากปลายสายก็ดังเข้ามาในหูโทรศัพท์

                “อื้อ...วันนี้คุณใหญ่...ไม่เห็นโทรมาเลย รอทั้งวัน...”

               คำบ่นจากปลายสายทำเอาอริญชย์ถึงกับหลุดยิ้มออกมา หัวใจมีแต่ความอิ่มเอม ทั้งที่รู้ว่าพิชญ์พูดกับตัวเองและกล้าพูดออกมาเพราะไม่ได้อยู่หน้าต่อเขา แต่อริญชย์ก็อดดีใจไม่ได้ ดีใจที่ได้รู้ว่าพิชญ์เองก็คิดถึงเขาไม่ต่างกัน

               อริญชย์อดทนนั่งรอฟังเงียบ ๆ รอว่าพิชญ์จะพูดอะไรต่อ แต่ปลายสายก็เงียบไปนานจนเขาเกือบจะถอดใจ ก่อนที่เสียงพิชญ์จะกลับมาดังอยู่ใกล้ ๆ เหมือนเดิม

                “เอ๊ะ โทรหาคุณใหญ่ตั้งแต่เมื่อไหร่...”

               เสียงอ้อแอ้ของพิชญ์บ่นอยู่เบา ๆ ดูท่าเจ้าตัวจะเมาไม่น้อย จนอริญชย์นึกคาดโทษอยู่ในใจ เขาลองเรียกชื่อเจ้าตัวเสียงเบา

                “พีท...”

                “อื้อ นี่พีทเอง”

               คำตอบรับของพิชญ์ทำเอาอริญชย์ตื่นเต้น รู้สึกว่าก้อนเนื้อในอกกำลังเต้นแรง เขาไม่เคยมีโอกาสได้ยินพิชญ์แทนตัวเองแบบนี้ ด้วยน้ำเสียงอ้อแอ้กึ่งจะออดอ้อนแบบนี้เลย

                “รู้ไหมว่าคุยกับใครอยู่”

                “คุณหญ่าย...” เจ้าตัวเรียกชื่อเขาเสียงยานคาง จนอริญชย์นึกขันก่อนจะทำทีเป็นดุคนเมา

                “ทำไมถึงดื่มจนเมาขนาดนี้ หืมม์”

               ปลายสายฟังคำดุของเขาแล้วแทนที่จะนึกกลัวอย่างทุกที กลับส่งเสียงหัวเราะมาตามสาย ให้คนฟังรู้สึกคันหัวใจยิก ๆ ถ้าอยู่ใกล้ ๆ คงได้จับเข้ามาจูบให้หายใจไม่ทันไปแล้ว

                “ว่ายังไง ทำไมถึงดื่มจนเมา”

                “คราย...ครายมาว พีทม่ายมาว...”

               อริญชย์ส่ายหัวอย่างระอา นึกอยากจะฟาดเจ้าของเสียงอ้อแอ้ซักทีสองทีให้หายเมา แต่คำพูดที่เอ่ยออกไปกลับนุ่มนวลจนตัวเขาเองยังนึกแปลกใจ

                “หึ! แล้วคนไม่เมาอาบน้ำหรือยัง”

                “ม่าย ม่ายอาบ รอคุยกับ...คุณหญ่าย”

                “แล้วทำไมต้องรอคุยกับคุณใหญ่ด้วยล่ะ”

               อริญชย์ปะเลาะถามราวกับพิชญ์เป็นเด็กน้อย ขณะที่ปลายนิ้วก็กดบันทึกเสียงสายสนทนาด้วยความว่องไว เผื่อคนเมาจะเผลอหลุดอะไรออกมาให้เขาได้ชื่นใจ ให้สาสมกับที่ต้องห่างกันหลายวัน แต่คราวนี้พิชญ์เงียบอยู่นาน จนเขาต้องกระซิบเรียกเสียงต่ำ

                “พีท...พีท...”

                “อื้อ...พีทง่วง...”

                “แล้วไม่คุยกับคุณใหญ่แล้วหรือ”

                “ม่าย...จะนอน...”

               แล้วสายก็ถูกตัดทิ้งไป ทิ้งให้อริญชย์ได้แต่ถือโทรศัพท์ค้าง ทั้งฉิวทั้งขัน แต่ก็ทำอะไรกับเจ้าตัวแสบของเขาไม่ได้ ได้แต่ฝากคำพูดให้ลอยกลับไปหาอีกคน ที่ป่านนี้คงจะนอนหลับคอพับคออ่อนไปแล้ว

                “หลับฝันดีนะ พีท...”



.



               อริญชย์มาถึงฮ่องกงวันที่สามแล้ว วันนี้เขามีงานเลี้ยงตอนเย็นที่โรงแรมริทซ์-คาร์ลตัน ตอนเช้าหลังจากตื่นนอนและจัดการกับตัวเองเรียบร้อยแล้ว เขาก็กลับขึ้นห้องมาจัดการเช็กอีเมลและเคลียร์งานบางส่วนที่รอเขาอนุมัติทางอีเมล จนกระทั่งสาย ๆ อริญชย์ถึงหยิบโทรศัพท์มากดโทรหาพิชญ์ ประเทศไทยน่าจะประมาณเก้าโมงกว่า ซึ่งเขาคิดว่าพิชญ์น่าจะตื่นแล้ว แต่ดูเหมือนเขาจะประเมินพิชญ์สูงไป

               อริญชย์รอสายอยู่นานกว่าจะมีคนรับ แถมพอรับสายแล้วยังกรอกเสียงงัวเงียปนหงุดหงิดกลับมา

                “ครับ...”

                “ยังไม่ตื่นอีกหรือไง”

               เหมือนอริญชย์จะได้ยินเสียงขยับตัวมาจากทางปลายสาย ซักพักก็มีเสียงเสียดสีกันของผ้าห่ม

                “โทรมาแต่เช้าเชียว คุณใหญ่” พิชญ์บ่นอุบมาตามสายเมื่อถูกโทรปลุก

                “ฉันยังไม่ได้คาดโทษนายเลยนะ ที่เมื่อคืนเมาแอ๋กลับมา”

                “รู้ได้ยังไง” แล้วปลายสายก็จิ้มดูโทรศัพท์ตัวเอง ก่อนจะโวยวายออกมาอีกรอบ “นี่ผมโทรหาคุณดึก ๆ ดื่น ๆ เลยหรอ สงสัยจะเมามากจริง ๆ”

                “ใช่ แล้วยังพูดมากอีกด้วย”

                “หมายความว่ายังไง”

               อริญชย์ยิ้มกริ่มอย่างเจ้าเล่ห์ ขณะนั่งจ้องเงาตัวเองที่สะท้อนออกมาจากกระจกเงา

                “ฉันก็ตกใจที่นายโทรมา แล้วก็บอกว่าคิดถึงคุณใหญ่ เมื่อไหร่จะกลับ พีทรัก...”
               ตู๊ด ๆ ๆ ปลายสายกดตัดสายเขาทิ้งไปแล้วอย่างไม่ไยดี แต่อริญชย์ไม่ยักโกรธ เขาเพียงแค่หัวเราะหึ ๆ ก่อนจะกดส่งข้อความไปหาพิชญ์ ที่ป่านนี้คงนอนเอาหน้ามุดผ้าห่มไปแล้ว

                ...จะไปไหนอย่าลืมเอาตุลย์หรือกริชไปด้วย ดูแลตัวเองดี ๆ...

               หลังจากส่งข้อความไปไม่นาน พิชญ์ก็ตอบกลับมาด้วยความรวดเร็ว

                ...ครับ...

               อริญชย์ส่ายหัวให้กับข้อความสั้น ๆ ของพิชญ์ เขาเคลียร์งานจนเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ออกจากโรงแรม บอดี้การ์ดสองคนรีบมาเดินประกบ อริญชย์ให้คนขับรถขับไปส่งที่ห้างสรรพสินค้าใหญ่แห่งหนึ่งของฮ่องกง ตั้งใจจะซื้อของเล่นกลับไปฝากน้องหนู

               หลังจากเลือกดูแผนกเสื้อผ้ากับแผนกของเล่นเด็กอยู่เกือบสองชั่วโมงเต็ม อริญชย์ก็เดินออกมาพร้อมถุงกระดาษเต็มสองมือ หลังจากนั้นก็เดินเข้าแผนกสตรีต่อ อริญชย์เลือกซื้อผ้าพันคอแคชเมียร์อย่างดีผืนหนึ่งฝากแม่พลอย พอจ่ายเงินเสร็จแล้วก็เดินเข้าร้านแบรนด์เครื่องหนังจากอิตาลียี่ห้อหนึ่ง เขากวาดสายตาดูอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเลือกกระเป๋าเงินกับเข็มขัดไปให้พิชญ์ ซึ่งเดี๋ยวพอเจ้าตัวรู้ราคาเข้า มีหวังต้องบ่นเขาหูชาแน่ ๆ

               พอซื้อของฝากทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว อริญชย์ก็ให้ทางห้างสรรพสินค้าเป็นธุระจัดส่งข้าวของทั้งหมดไปที่โรงแรมให้เขา ส่วนตัวเขาเองเลือกนั่งพักที่ร้านกาแฟบริเวณชั้นหนึ่งของห้างสรรพสินค้า ที่หันหน้าออกถนนสายหลัก

               อริญชย์เพิ่งจะจิบกาแฟแค่สองอึก เขาก็เห็นเงาร่างคุ้นเคยเดินอยู่ด้านนอก เป็นราชันย์กับปฐพี เขานั่งมองดูทั้งคู่นิ่ง ๆ ผ่านกระจกใสของร้าน อริญชย์มองเลยผ่านปฐพีไป ลอบจับสังเกตอารมณ์บนใบหน้าของราชันย์ยามอยู่กับปฐพี แม้จะยังเป็นราชันย์คนเดิมที่เขารู้จัก แต่อากัปกิริยาที่เอียงคอลงเพื่อฟังคนข้าง ๆ พูด รวมถึงท่าทางนิ่ง ๆ เหล่านั้น เขาก็อดคิดไม่ได้ว่าราชันย์เองก็มีความรู้สึกดี ๆ ให้กับปฐพีอยู่ไม่มากก็น้อย

               แม้อริญชย์จะเคยเห็นท่าทางเหล่านี้ของราชันย์ยามอยู่กับอธิษฐ์ แต่มันกลับให้ความรู้สึกไม่เหมือนกัน อย่างน้อยสายตาของราชันย์ยามมองปฐพีก็ต่างจากอธิษฐ์ เขาพลันรู้สึกว่าราชันย์อาจจะต้องพบเจอกับเรื่องยุ่งยาก ถ้าหากเจ้าตัวตัดสินใจที่จะปล่อยปฐพีไปจริง ๆ

               อริญชย์มองจนราชันย์กับปฐพีเดินหายเข้าไปในร้านค้าแห่งหนึ่งแล้วถึงถอนสายตากลับมา ตัวเขาเองก็ต้องเตรียมตัวเดินไปซื้อขนมที่พิชญ์ฝากให้ซื้อกลับไปให้คนอื่น ๆ เสร็จแล้วจะได้กลับโรงแรมเพื่ออาบน้ำแต่งตัวสำหรับงานเลี้ยงเย็นนี้

               เรื่องของเขาเอง...เขายังแก้ไม่ได้เลย

               เรื่องของราชันย์...ฝ่ายนั้นก็คงต้องหาทางแก้เอง



.



ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25


               เนื่องจากเมื่อวานที่เลี้ยงฉลองกับพนักงาน พิชญ์ดื่มหนักมากจนเขาเองยังงงว่ากลับมาถึงห้องได้ยังไง วันนี้หลังจากอริญชย์โทรมาปลุกตอนเช้าแล้ว พิชญ์ก็หลับต่อ ตื่นมาอีกทีก็เกือบเที่ยงพร้อมอาการปวดหัวตุบ ๆ เขานอนแผ่นิ่ง ๆ อยู่บนเตียง อาการเมาค้างเล่นงานเขาเสียหมดสภาพ

               เมื่อเช้าคุ้น ๆ ว่าเหมือนอริญชย์จะโทรมาหาเขารอบหนึ่ง แต่พิชญ์กำลังง่วง ๆ งง ๆ เขาเลยไม่มั่นใจว่าอริญชย์โทรมาหาเขาจริง ๆ หรือเขาเมามากจนเก็บไปฝัน พิชญ์ควานหาโทรศัพท์มือถือตัวเองมากดดูก่อนจะพบว่าอริญชย์โทรมาหาเขาจริง ๆ ขณะกำลังจับต้นชนปลายอยู่ เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้นเบา ๆ แม่พลอยเปิดประตูห้องนอนพิชญ์เข้ามาพร้อมถาดข้าวต้มในมือ

               พอเห็นว่าเป็นแม่พลอย พิชญ์ก็รีบเด้งตัวลุกขึ้นมานั่ง ก่อนจะต้องร้องอูยเมื่ออาการปวดหัวแล่นวาบจนเกือบหน้ามืด

                “ใจเย็น ๆ พีท” แม่พลอยเอ็ดลูกชายคนเดียวก่อนจะวางถาดข้าวต้มลงบนโต๊ะตัวเล็ก แล้วเดินมาหาลูกชายพลางบ่น “เมาเสียจนหมดสภาพเลยนะเรา น่าเกลียดจริง”

                “นาน ๆ ทีเองแม่ เห็นเขาสนุกกันก็เลยดื่มเพลินไปหน่อย”

                “ดูสิ แล้วก็ตื่นเอาเกือบเที่ยง แถมยังปวดหัวอีก” ถึงจะเอ็ดเสียงดุ แต่แม่พลอยก็ยกมือขึ้นอังหน้าผากลูกชายดู พอเห็นว่าไม่มีไข้ มีแค่อาการมึนหัวก็ค่อยเบาใจหน่อย

                “น่า อย่าบ่นเลยแม่ แล้วทำไมแม่ถึงยกขึ้นมาเองล่ะ ให้เด็กยกขึ้นมาให้ก็ได้นี่”

                “แค่ยกข้าวขึ้นมาให้ลูกตัวเอง ทำไมแม่ต้องใช้คนอื่นด้วยฮึ เดี๋ยวนี้เป็นคนใหญ่คนโต แล้วขี้เกียจเหรอเราน่ะ” แม่พลอยว่าพลางตีมือลูกชายเบา ๆ ไม่แรงนัก

                “โธ่ เปล่าเสียหน่อย พีทก็ยังเป็นลูกแม่คนเดิมนะ” พิชญ์แกล้งร้องโอดโอยไม่จริงจังนัก

                “ดูท่าทาง วันนี้ลูกแม่คงได้นอนทั้งวันแน่ ๆ เดี๋ยวแม่จะออกไปข้างนอกไปซื้อของมาทำขนมให้น้องหนู พีทอยากกินอะไรไหม แม่จะได้ซื้อของมาทำให้พีทด้วยเลย”

                “อยากกินบัวลอยไข่หวาน แม่ทำให้พีทกินหน่อย”

                “ดีเลย เดี๋ยวแม่จะได้ให้น้องหนูมาช่วยกันนั่งปั้นบัวลอย”

                “สนุกน้องหนูเขาล่ะ แล้วนี่แม่จะไปเลยเหรอ”

                “ใช่สิ แม่ว่าจะรีบไปรีบกลับ แม่พาน้องหนูไปกับแม่ด้วยนะ”

                “ตามสบายเลยครับ เอานวลไปด้วยนะแม่ แล้วให้กริชขับรถไปให้” พิชญ์จำข้อความที่อริญชย์กำชับไว้ได้ เลยไม่วายกำชับผู้เป็นแม่อีกทอดหนึ่ง

                “เราก็นอนพักเยอะ ๆ ล่ะ เดี๋ยวตอนเย็นแม่หมดแรง พีทจะได้มาเล่นกับลูกต่อ แม่ไปละ”

               พิชญ์หัวเราะขำคำพูดของแม่พลอย พอแม่พลอยเดินออกจากห้องไปแล้ว เขาก็ยกชามข้าวต้มขึ้นมากิน แค่ตักเข้าปากคำแรกก็รู้ทันทีว่าเป็นฝีมือแม่พลอย ไม่ใช่ฝีมือป้าน้อย สงสัยแม่เขาจะแย่งงานป้าน้อยทำแน่ ๆ พิชญ์คิดพลางตักเข้าปากอีกคำ รสมือแม่ ถึงไม่ได้กินนานก็ยังจำได้ และคิดถึงอยู่เสมอ

               พิชญ์ตักข้าวต้มเข้าปากคำแล้วคำเล่าจนหมด แล้วก็เดินเข้าห้องน้ำจัดการตัวเองให้สดชื่น ใช้เวลาไม่นาน พิชญ์ก็จัดการกับตัวเองเรียบร้อย เขาคิดว่าวันนี้ตัวเองคงไม่ได้ออกไปไหน เลยเลือกชุดลำลองง่าย ๆ

               ตอนเดินลงมาข้างล่าง บ้านดูเงียบเชียบ ป้าน้อยกำลังสาละวนเตรียมของว่างอยู่ในครัว ส่วนเด็กรับใช้คนอื่น ๆ ต่างคนต่างทำงานของตัวเองไป พิชญ์มองหาแล้วไม่เจอตุลย์ แต่เห็นว่าเป็นวันหยุด เขาเลยคร้านที่จะถามหาอีกฝ่าย อีกอย่างเมื่อคืนตุลย์ก็กลับมาพร้อมกับเขา วันนี้อาจจะตื่นสายเหมือนกันก็ได้ คิดได้แบบนั้นพิชญ์เลยนั่งแล้วหยิบหนังสือพิมพ์ของวันนี้มาอ่านตามความเคยชิน

               พิชญ์นั่งอ่านคอลัมน์วิเคราะห์เศรษฐกิจไปได้ครึ่งทาง เสียงโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ข้างตัวก็ดังแทรกความเงียบเข้ามา เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อชำเลืองตามองแล้วเห็นว่ากริชเป็นคนโทรเข้ามา คงจะถามว่าเขาอยากได้อะไรจากข้างนอกหรือเปล่าล่ะมั้ง พิชญ์คิดก่อนจะรับสาย

                “ว่าไงกริช”

                “คุณพีท คุณแม่คุณพีทกับคุณหนูหายไปครับ”

               พอกริชพูดจบ พิชญ์ก็เกือบทำโทรศัพท์ในมือร่วง เขาทำอะไรไม่ถูกจนเผลอกำโทรศัพท์แน่น ขณะเอ่ยถามกริชกลับไปด้วยเสียงที่เกือบจะเป็นเสียงตะคอก

                “หายไปได้ยังไง”

                “คุณท่านพาคุณหนูไปเข้าห้องน้ำครับ ผมกับนวลเห็นว่านานแล้วยังไม่ออกมาเสียที นวลเลยเข้าไปตามในห้องน้ำ แต่ก็ไม่เจอใครแล้ว ผมกับนวลลองหากันรอบ ๆ แถวนี้แล้วก็หาไม่เจอครับ”

               พิชญ์พยายามควบคุมอารมณ์โกรธเกรี้ยวเอาไว้ เวลานี้เขาต้องมีสติ แต่มันช่างดูยากลำบากเหลือเกิน เมื่อได้รู้ว่าแม่แท้ ๆ และลูกสาวคนเดียวหายตัวไป

                “ให้รปภ.ของทางห้างช่วยหา แล้วก็ให้ประชาสัมพันธ์ประกาศหาอีกทางด้วย เดี๋ยวฉันจะโทรศัพท์หาแม่พลอยดู” เอ่ยสั่งการเสร็จพิชญ์ก็ตัดสายทันที ไม่รอช้าแม้เพียงวินาทีเดียว

               พิชญ์กดหมายเลขแม่พลอยที่เขาจำได้ขึ้นใจก่อนจะโทรออก เสียงรอสายดังอยู่นานก็ไม่มีใครรับ พิชญ์เพียรพยายามโทรอีกครั้ง คราวนี้ปลายสายตัดสายทิ้ง แต่เขายังไม่หมดความพยายาม เขาโทรไปอีกรอบ แล้วคราวนี้พิชญ์ก็เกือบจะเป็นฝ่ายเขวี้ยงโทรศัพท์ในมือทิ้งเสียเอง ปลายสายปิดเครื่องหนีไปแล้ว ดวงตาของพิชญ์ลุกโชนด้วยความโกรธ เขาพยายามบังคับตัวเองไม่ให้จินตนาการถึงเรื่องร้าย ๆ เวลานี้เขาต้องมีสติ

               พิชญ์ลองโทรเข้าเบอร์แม่พลอยอีกรอบ อย่างที่คิดเอาไว้ โทรศัพท์ถูกปิดเครื่องไปแล้ว พิชญ์ยืนหน้าตาน่ากลัวอยู่กลางห้องรับแขก สมองประมวลผลด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะเปลี่ยนเป็นโทรหาตุลย์แทน พออีกฝ่ายรับสาย เขาก็เอ่ยสั้น ๆ แต่บังคับอยู่ในที โดยไม่ยอมให้อีกฝ่ายเอ่ยปากปฏิเสธ

                “คุณตุลย์ ผมมีเรื่องด่วนให้ช่วย มาหาผมที่ห้องรับแขกที”

               ไม่ถึงห้านาที ตุลย์ก็มาปรากฏตัวตรงหน้าพิชญ์ ตอนที่ตุลย์เดินเข้ามา เขาเห็นพิชญ์กำลังเดินงุ่นง่านไปมาไม่หยุด ท่าทางพิชญ์ดูกระสับกระส่ายจนไม่สมกับเป็นพิชญ์ ทำเอาเขาอดสงสัยไม่ได้ว่ามีเรื่องร้ายแรงอะไรเกิดขึ้น

                “คุณพีท...”

               พอได้ยินเสียงเรียกของตุลย์ พิชญ์ก็สะดุ้ง ก่อนเขาจะก้าวพรวดเข้ามาหาตุลย์ พิชญ์จับแขนตุลย์ไว้แน่นเหมือนเป็นหลักยึด ขณะพยายามเรียบเรียงถ้อยคำแล้วเอ่ยออกมา

                “คุณตุลย์ ช่วยผมหน่อย แม่...” พิชญ์เอ่ยถึงแม่ออกมาแล้วก็รู้สึกจุกในอก เขากลั้นก้อนสะอื้นลงไปก่อนจะเอ่ยต่อให้จบ “แม่กับน้องหนูหายไป ช่วยตามหาให้ที”

               ตุลย์ขมวดคิ้วฉับ ลางสังหรณ์ร้าย ๆ ของเขากำลังทำงาน บ่งบอกว่าเรื่องนี้ไม่ชอบมาพากล แต่เขาก็ยังเอ่ยถามพิชญ์ออกไป

                “คุณพีทเล่าเรื่องทั้งหมดให้ผมฟังหน่อย ผมจะได้รู้ว่าปัญหามันอยู่ตรงไหน”

               พิชญ์เล่าว่าแม่พลอยพาน้องหนูออกไปซื้อของมาทำขนมด้วยกัน เขากำชับแล้วให้พากริชกับนวลไปด้วย กริชจะได้คอยขับรถให้ ส่วนนวลจะได้ช่วยดูแลน้องหนู แต่เมื่อซักครู่กริชโทรมาหาเขาว่าทั้งแม่พลอยและน้องหนูหายไปทั้งคู่ พอวางสายจากกริช เขาก็ลองโทรหาแม่พลอย ก่อนจะพบว่าปลายสายปิดเครื่องหนีไปแล้ว

               ฟังที่พิชญ์เล่าจนจบ หน้าตุลย์ก็เคร่งเครียดขึ้นมาทันที เขาไม่คิดว่าฝ่ายนั้นจะอาศัยจังหวะที่อริญชย์ไม่อยู่ลงมือ และที่สำคัญ...เลือกลงมือกับเด็กและคนแก่แบบไม่สนใจไยดีอะไรทั้งนั้น ช่างน่ารังเกียจจริง ๆ

                “ผมเอาคนออกไปช่วยตามหาแม่พลอยกับคุณหนูได้ แต่คุณพีทต้องโทรบอกคุณใหญ่ก่อน”

               พิชญ์ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ตอนนี้เขาทั้งอยากโทรหาอริญชย์และไม่อยากโทรหาในเวลาเดียวกัน เขาอยากเอาปัญหาที่เจอไปให้อริญชย์ช่วยแก้ เพราะอริญชย์มักจะมีทางออกและวิธีที่ดีให้กับเขาเสมอ แต่ขณะเดียวกันพิชญ์ก็รู้สึกว่าเขาควรจะแก้ไขปัญหานี้ด้วยตัวเอง ตอนนี้อริญชย์อยู่ที่ฮ่องกง อย่างน้อยเขาควรให้อริญชย์เจรจาธุรกิจให้เรียบร้อยเสียก่อนแล้วถึงค่อยเอาปัญหาไปให้

                “ผมต้องโทรหาคุณใหญ่ด้วยเหรอ รอคุณใหญ่กลับมาแล้วผมค่อยบอกคุณใหญ่ได้ไหม”

               ตุลย์ส่ายหน้าปฏิเสธเมื่อเห็นอาการดื้อดึงของพิชญ์ ก่อนที่เขาจะเอ่ยอธิบายออกมา

                “คุณใหญ่ฝังเครื่องติดตามตัวคุณหนูไว้ที่จี้ที่คุณหนูใส่ มีแค่คุณใหญ่คนเดียวที่รู้ว่าตอนนี้คุณหนูอยู่ที่ไหน คุณพีทต้องให้คุณใหญ่เช็กจากโทรศัพท์มือถือครับ แล้วผมจะได้พาคนออกไปตามหา”

               เป็นอีกครั้งที่พิชญ์ต้องยอมรับในความรอบคอบของอริญชย์ ถ้าหากว่าเป็นเขา เขาคงคิดไม่ถึงแน่ ๆ เร็วกว่าที่ใจคิด มือเขาก็กดโทรออกหาอริญชย์ทันที



.



               งานเลี้ยงที่อริญชย์มาร่วมงานด้วยตอนกลางคืน จัดขึ้นที่ห้องบอลรูม โรงแรมริทซ์-คาร์ลตัน เขามาถึงก่อนราชันย์เล็กน้อย ฝ่ายหลังมาพร้อมกับคุณนายหลิน ทันทีที่คุณนายหลินเยื้องย่างเข้างานมาพร้อมลูกชายคนเดียว ทุกสายตาในงานก็พร้อมใจกันหันมาจับจ้อง

               ยามเดินผ่านอริญชย์ที่ยืนอยู่ด้านขวามือ คุณนายหลินก็คลี่ยิ้มออกมาน้อย ๆ พลอยทำให้อริญชย์นึกถึงบทสนทนาที่แมนชั่นเมื่อวาน เพราะคุ้นเคยกันในระดับหนึ่ง คุณนายหลินถึงได้เอ่ยออกมากับเขาตรง ๆ ต่อหน้าราชันย์ที่นั่งอยู่ด้วยกันในห้องส่วนตัวของคุณนายหลิน

                ‘ถ้าไม่ติดว่าน้องสาวเธอแต่งงานแล้ว ฉันก็อยากจะสู่ขอมาให้ลูกชายฉัน น่าเสียดาย...’

               แม้อริญชย์เองจะเคยคิดอยากให้ราชันย์เอ็นดูอธิษฐ์ แต่ถ้าหากเป็นไอลดา เขานึกภาพไม่ออกจริง ๆ ว่าชีวิตคู่ของไอลดากับราชันย์จะเป็นยังไง แน่นอนว่าแม้แต่ตัวราชันย์เอง ตอนได้ยินคุณนายหลินเอ่ยออกมาแบบนั้นยังอดทำหน้าประหลาดไม่ได้

               อริญชย์หันมาจดจ่อกับงานตรงหน้า รัศมีและบารมีของคุณนายหลินที่อยู่เบื้องหน้า ทำเอาเขาคิดว่าโชคดีแล้วที่ไอลดาเลือกแต่งงานกับคนธรรมดาอย่างพิชญ์ คนที่เลือกแต่งงานกับราชันย์แล้วเข้ามาเป็นสะใภ้คุณนายหลินก็คือเข้ามาอยู่ภายใต้อำนาจคุณนายหลินดี ๆ นี่เอง ซึ่งไอลดาคงไม่เหมาะนัก ไอลดาถูกเขาเลี้ยงมาอย่างอิสระ ปล่อยให้ทำอะไรตามใจตัวเองมาตลอด เธอไม่เหมาะกับครอบครัวใหญ่ที่เต็มไปด้วยกฎเกณฑ์แม้แต่น้อย

               หลังจากพาผู้เป็นแม่เดินไปส่งตรงที่นั่งวีไอพีแล้ว ราชันย์ก็เดินกลับมาหาอริญชย์ ในมือต่างคนต่างถือแก้วไวน์เอาไว้ แล้วจิบทีละนิด อริญชย์เห็นบรรยากาศตรงหน้าก็อดเอ่ยถามราชันย์ไม่ได้

                “มึงไม่คิดจะย้ายมาอยู่ที่นี่เป็นการถาวรหรือไง”

                “ไม่ล่ะ ขี้เกียจพูดภาษาจีน”

               ฟังเหตุผลของเพื่อนแล้วอริญชย์ก็ถึงกับส่ายหัวออกมา เขายืนสังเกตบรรยากาศรอบงานอยู่กับราชันย์ พอเห็นว่าตอนนี้บรรดาแขกคนสำคัญยังมาไม่ถึงกัน เลยถือโอกาสเดินออกไปเข้าห้องน้ำ

               ตอนอยู่ในงาน อริญชย์รู้สึกเหมือนโทรศัพท์เขาน่าจะสั่น แต่เนื่องจากไม่มีจังหวะ เขาเลยยังไม่ได้รับสาย รอจนกระทั่งเข้าห้องน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว อริญชย์ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู พอเห็นว่าเป็นพิชญ์โทรมาถึงห้าครั้ง เขาก็อดสงสัยปนสังหรณ์ใจไม่ดีไม่ได้ อริญชย์รีบโทรกลับหาพิชญ์ เสียงรอสายดังเพียงครั้งเดียว พิชญ์ก็กดรับสายทันที ราวกับว่ากำลังรอให้เขาโทรกลับมาอยู่ตลอด

                “คุณใหญ่...” เสียงของพิชญ์สั่นเครือจนคนฟังอย่างเขาถึงกับตกใจไปด้วย รีบร้อนถามออกไปด้วยความเป็นห่วง

                “เป็นอะไรพีท เกิดอะไรขึ้น”

                 “แม่กับน้องหนูหายไป ผมโทรหาแล้ว โทรศัพท์ถูกปิดเครื่อง คุณใหญ่ช่วยดูให้หน่อยได้ไหมว่าตอนนี้แม่กับน้องหนูอยู่ที่ไหน”

                อริญชย์นิ่งไปตั้งแต่ประโยคแรก แต่ประสบการณ์สอนให้เขาเป็นคนมีสติ เขากดเปิดแอปพลิเคชั่นจากโทรศัพท์มือถือ รอสัญญาณอยู่ซักครู่ก็เห็นตำแหน่งที่ตั้งของน้องหนู อริญชย์ไม่รอช้า เขารีบกดส่งข้อมูลจากแอปพลิเคชั่นให้ตุลย์ทันที

                 “ใจเย็น ๆ นะพีท ฉันส่งให้ตุลย์แล้ว ตุลย์รู้ว่าจะต้องจัดการยังไงต่อ เดี๋ยวฉันจะรีบกลับไป”

                ดูเหมือนพิชญ์จะไม่มีอารมณ์มาฟังเขาแล้ว เจ้าตัวกดตัดสายไปทันที คาดว่าคงจะไปไล่เอากับตุลย์ต่อ พอวางสายจากพิชญ์แล้วอริญชย์ก็เพ่งมองหน้าจอโทรศัพท์ตัวเอง จากพิกัดที่โชว์ในแอปพลิเคชั่น ตอนนี้น้องหนูไม่ได้อยู่ในกรุงเทพฯแล้ว สายตาของอริญชย์เปลี่ยนเป็นดุดันทันที เขากดดูไฟล์ทบินกลับกรุงเทพฯ คืนนี้ ตอนนี้ยังเหลือไฟล์ทอยู่ เพียงแต่เขาต้องรีบออกจากงาน อริญชย์สอดโทรศัพท์มือถือลงกระเป๋ากางเกง ขณะสาวเท้าเร็ว ๆ กลับเข้าไปในงาน ตรงไปหาราชันย์ที่ยืนอยู่

                 “เล้ง เดี๋ยวกูจะกลับแล้วนะ”

                 “มึงจะรีบไปไหน เดี๋ยวแม่กำลังจะแนะนำให้มึงรู้จักกับตระกูลถัง โอกาสอย่างนี้ไม่ได้มีบ่อย ๆ นะ”

                 “น้องหนูถูกลักพาตัวไป กูจะบินกลับไทยคืนนี้”

                คราวนี้ราชันย์ถึงกับเป็นฝ่ายชะงักไป ก่อนจะเอ่ยถามออกมาเสียงเคร่งเครียดไม่แพ้กัน

                 “อย่าบอกนะว่าเป็นฝีมือของ...”

                 “กูไม่รู้ แต่ที่รู้คือกูต้องกลับไปจัดการปัญหาทั้งหมด ที่เหลือฝากมึงด้วยนะ กูจะรีบไปสนามบินแล้ว”

                 “ได้ ๆ ถ้าอยากให้ช่วยอะไร มึงบอกกูนะ แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้กูรีบตามกลับไป”

                อริญชย์พยักหน้าส่ง ๆ ก่อนจะรีบสาวเท้าออกจากงาน ระหว่างทางก็กดโทรศัพท์หาบอดี้การ์ดให้เรียกคนขับรถมา เขาต้องรีบกลับไปโรงแรมเพื่อเก็บของ หลังจากนั้นก็ตรงไปสนามบินเพื่อซื้อตั๋วเครื่องบินแล้วเดินทางกลับคืนนี้

                เขายังไม่อยากตัดสินว่าคนที่อยู่เบื้องหลังการลักพาตัวน้องหนูครั้งนี้จะเป็นรัญญา ถึงแม้ว่าความเป็นไปได้จะมีมากถึงแปดสิบเปอร์เซ็นต์ หากคราวนี้รัญญาเป็นคนก่อเรื่องอีก เขาคงปล่อยเธอไว้ไม่ได้จริง ๆ คราวที่เกิดเรื่องกับอธิษฐ์ เป็นเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นน้องสาวคนเดียวของราชันย์ เขาถึงได้ต้องการแค่คำขอโทษกับลงโทษเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่หากคราวนี้น้องหนูเป็นอะไรขึ้นมา ต่อให้ต้องล้มหมากทุกกระดานที่วางแผนกับราชันย์มา เขาก็จะไม่มีทางยอมปล่อยรัญญาไปแน่ ๆ

                คล้อยหลังจากที่อริญชย์เดินออกจากงานไป ราชันย์ที่ยืนนิ่งมองตามหลังเพื่อนค่อย ๆ ถอนสายตากลับมา เขาล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง กดหมายเลขของคนสนิทที่ถูกบันทึกอยู่อันดับต้น ๆ รอจนกระทั่งฝ่ายนั้นเอ่ยรับสาย เขาก็กรอกเสียงลงไป

                 “ฉันเองนะ ปกรณ์...”

                 “ครับเฮีย ผมจัดการทุกอย่างตามที่คุยกันเรียบร้อยแล้วนะครับ”

                 “ดี! ปล่อยข่าวตามที่ฉันสั่งแล้วใช่ไหม...” เขาเว้นช่วงอึดใจหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อ “จับตาดูทางนั้นดี ๆ ไอ้ใหญ่กำลังจะกลับไป”





TO BE CONTINUE



พอคุณใหญ่ไม่อยู่ปุ๊บ เกิดเรื่องปั๊บเลย
เรื่องนี้มีเขียนเก็บสต็อกไว้บางส่วน แต่ไม่เยอะมาก
พอเริ่มถึงตอนที่ขึ้นเลข 4 ก็แอบปริ่มนิด ๆ
ไม่คิดว่าจะกลับมาเขียนจนจบ หลังจากหยุดเขียนไปเกือบ 4 ปี
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์ และทุกคนที่คอยติดตามมาก ๆ เลยค่ะ


ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Dee^daY

  • ไม่เคย ทำให้ใครเดือดร้อน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +330/-6
เรื่องเริ่มจะวุ่นวายแล้ว

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
โอ๊ยยยยยยยยอะไร๊ไม่เคลียร์ จับตาดูทางไหนกันแน่ ฝั่งนั้นหรือฝั่งตัวเอง แต่ไม่ว่าจะฝั่งไหนมาเล่นกับน้องหนูและแม่พลอยแบบนี้ คงคิดมาดีแล้วสินะว่าจะเจอจุดจบแบบไหน หึหึ! *แสยะยิ้ม*  o18 //คนนอกน่ะมองออกว่าสายตาที่ราชันย์มองกลางกับดินมันต่างกัน แต่ไม่รู้เจ้าตัวจะรู้ไหมนั่นนะสิ  :mew2: // :-[ เขินมากอ่ะ ฉากพีทเมาแล้วรั่วคุยโทรศัพท์กับคุณใหญ่ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เลยนะบางคน  :o8: 5555 //จะเป็นยังไงต่อไป ลุ้นๆจะช่วยยังไง ใครมันจับตัวไป ขอบคุณนะคะที่มาต่อ สนุกมากกกก ชอบ  :pig4: :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 710
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
ขอให้น้องหนูและคุณย่าปลอดภัยนะคะ  :katai1:

ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25
สามสิบห้า
ทะเลาะ





               หลังจากอริญชย์ส่งพิกัดของน้องหนูเข้าโทรศัพท์มือถือของตุลย์ ตุลย์ก็สั่งลูกน้องให้เตรียมตัวออกเดินทางตามพิกัดที่อริญชย์ส่งมาทันที ขณะที่ตัวเขาเองเตรียมอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จำเป็นและประสานงานกับทีมต่าง ๆ หลังจากจัดการทุกอย่างจนเรียบร้อยแล้ว ตุลย์ก็หันมามองพิชญ์ที่เดินตามติดเขาตลอดเวลาเหมือนเงาตามตัว ตั้งแต่วางสายจากอริญชย์จนกระทั่งตอนนี้

                “ผมเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวจะออกเดินทางเลย คุณพีทรออยู่ที่นี่นะ ผมจะคอยส่งข่าวมาเป็นระยะ”

                “ไม่ครับ ผมจะไปด้วย” พิชญ์ปฏิเสธเสียงแข็งทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด

                “คุณพีท...” ตุลย์เรียกชื่อพิชญ์เสียงนิ่ง ๆ เป็นเชิงปราม

               แม้จะรู้ว่าพิชญ์เป็นห่วงแม่พลอยและน้องหนู ตุลย์ก็ไม่อยากพาพิชญ์ไปเสี่ยงกับเขา แต่ดูเหมือนพิชญ์จะไม่ยอมรับความหวังดีของตุลย์แม้แต่น้อย

                “ให้ผมไปด้วยเถอะคุณตุลย์ ผมอยากเห็นกับตาตัวเองว่าแม่กับน้องหนูปลอดภัย”

                “แต่ว่า...”

                “ถ้ากลัวว่าจะมีปัญหากับคุณใหญ่ เดี๋ยวผมรับผิดชอบเอง”

               สุดท้ายแล้วตุลย์ก็ต้องพยักหน้ารับด้วยความจำใจ เขาเดาว่าหลังจากอริญชย์รู้เรื่องที่เกิดขึ้นทางนี้แล้ว เจ้านายเขาน่าจะจองตั๋วเครื่องบินแล้วรีบเดินทางกลับมาเลย ตุลย์ส่งข้อความหาอริญชย์ว่าพิชญ์อยู่กับเขา เอาเข้าจริงเขาก็ไม่อยากเอาพิชญ์ไปด้วยเลย แค่ปล่อยแม่พลอยกับน้องหนูโดนลักพาตัว เขาก็มีความผิดติดตัวแล้ว เกิดพิชญ์เป็นอะไรขึ้นมาอีกคน อย่าว่าแต่ตำแหน่งลูกน้องดีเด่นเลย มีหวังทั้งเงินเดือนทั้งโบนัสปีนี้เขาคงไม่เหลือ เผลอ ๆ จะถูกอริญชย์เล่นงานเสียอีก

               หลังจากทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ตุลย์ก็ออกเดินทางพร้อมพิชญ์ ตุลย์ขับรถด้วยตัวเอง มีพิชญ์นั่งอยู่ข้าง ๆ ข้างหลังมีรถขับตามมาอีกสามคัน แต่ละคันคือลูกน้องที่ตุลย์พามาด้วย รวมกันแล้วก็มีคนตามมาอีกราวสิบคน

               ระหว่างขับรถ ตุลย์ก็ลอบมองพิชญ์ที่นั่งอยู่ด้านข้างเขาเป็นระยะ แม้พิชญ์จะแสร้งทำท่าทางเข้มแข็ง แต่เขาก็สังเกตเห็นความกังวลของพิชญ์ยามเจ้าตัวนั่งกำมือสองข้างแน่น ตุลย์ขับตามจีพีเอสบนหน้าจอโทรศัพท์ด้วยความเร็วที่มากกว่าปกติ พิชญ์หันหน้ามองสองข้างทางแล้วก็นึกกังวล ตอนนี้เขากับตุลย์กำลังจะออกนอกตัวกรุงเทพฯแล้ว จุดที่แม่พลอยและน้องหนูถูกจับตัวเอาไว้ดูไกลกว่าที่เขาคิด

                “คุณตุลย์ แม่พลอยกับน้องหนูจะยังปลอดภัยดีอยู่ใช่ไหม” พิชญ์ถามคำถามที่เขากลัวที่สุดออกไป

                “ถ้าถามผม ผมเชื่อว่าคุณท่านกับคุณหนูยังปลอดภัยดีอยู่ครับ คนที่ลักพาตัวคุณท่านกับคุณหนูน่าจะมีจุดประสงค์อย่างอื่นมากกว่า”

               ตอนแรก พิชญ์ก็คิดว่าการจับตัวแม่พลอยกับน้องหนูไปคงเป็นการลักพาตัวเรียกค่าไถ่ แต่ถ้าอยากจะเรียกค่าไถ่จริง ๆ ฝ่ายนั้นน่าจะรีบติดต่อเขามาแล้วยื่นข้อเสนอเพื่อแลกกับตัวประกัน แต่สิ่งที่พวกนั้นทำคือการเงียบ มิหนำซ้ำยังตัดการติดต่อ ยิ่งพลอยทำให้พิชญ์กระวนกระวายมากกว่าเดิม

                “ผมก็หวังว่าจะเป็นอย่างที่คุณตุลย์บอก”

               พิชญ์นั่งนิ่ง จมดิ่งอยู่กับความคิดของตัวเอง แต่ละนาทีที่ผ่านไปช่างเนิ่นนานราวชั่วกัปชั่วกัลป์ พิชญ์จิกเล็บลงกลางฝ่ามือของตัวเอง เขาพยายามคิดหาต้นสายปลายเหตุของการลักพาตัวครั้งนี้ แต่พิชญ์ก็นึกหาเหตุผลที่คนร้ายพุ่งเป้ามายังเด็กและคนแก่ไม่ออก เว้นเสียแต่ว่า...

               แม่พลอยกับน้องหนูเป็นแค่เหยื่อล่อ

               พิชญ์ถึงกับตัวชาวาบกับความคิดที่เพิ่งแล่นเข้ามาในหัว ตอนนี้เขาได้แต่ภาวนาให้คนร้ายที่จับตัวแม่พลอยกับน้องหนูไปเป็นแค่โจรเรียกค่าไถ่กระจอก ๆ เพราะหากเรื่องนี้มีเบื้องลึกเบื้องหลังจริง เขาก็เริ่มไม่มั่นใจว่าตัวเองจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ไหม พอหันไปเห็นตุลย์ที่อยู่ข้าง ๆ พิชญ์ก็ผ่อนลมหายใจออกมาช้า ๆ อย่างน้อยไม่มีอริญชย์ แต่มีตุลย์ก็ยังดี เวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ เขาคิดถึงอริญชย์ขึ้นมาจริง ๆ

               ถ้าเป็นอริญชย์ อริญชย์คงมีวิธีรับมือกับปัญหาเหล่านี้ได้ดีกว่าเขา

                “ใกล้ถึงแล้วครับ”

               เสียงตุลย์ดึงพิชญ์ให้ออกจากภวังค์ความคิด เขากวาดสายตามองรอบ ๆ แล้วก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ สองข้างทางเป็นทุ่งหญ้าสูงเตี้ยสลับกัน ดูแล้วห่างออกจากตัวชุมชนมาพอสมควร ยิ่งเย็นย่ำ สองข้างทางก็ยิ่งดูเปลี่ยว พิชญ์เผลอกำมือแน่นกว่าเดิมด้วยความกังวล จนกระทั่งรู้สึกเจ็บถึงได้คลายมือออก

               ตุลย์กดโทรศัพท์โทรออกจากบลูทูธบนรถยนต์ เขาสั่งการลูกน้องที่ตามมาให้ทิ้งช่วงห่างจากเขาเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต มีแค่คันแรกที่ขับตามมาอยู่ห่าง ๆ ส่วนอีกสองคันจอดซุ่มอยู่ห่างออกไปเกือบสิบกิโลเมตร

               หลังจากขับรถต่อมาอีกเกือบห้านาที พิชญ์ก็เพิ่งเห็นบ้านคน มีบ้านหลังหนึ่งสร้างอยู่ติดถนน อีกสองหลังสร้างอยู่กลางทุ่งมีถนนเส้นเล็ก ๆ สำหรับมอเตอร์ไซค์ตัดเข้าไป ตุลย์เปิดไฟฉุกเฉินก่อนจะค่อย ๆ ชะลอความเร็วรถ เขาเอ่ยถามพิชญ์โดยไม่ได้หันกลับมามอง

                “คุณพีท ยิงปืนเป็นใช่ไหม”

               ฟังคำถามของตุลย์แล้วพิชญ์ก็ไม่ได้แปลกใจนัก เขาเอ่ยตอบออกไปตามความจริง

                “พอได้ครับ คุณใหญ่เคยสอน แต่ไม่ค่อยคล่อง”

               ตุลย์จอดรถลงหน้าบ้านหลังที่จีพีเอสนำทางเขามา ก่อนจะเพ่งมองผ่านความมืด มีบ้านอยู่ทั้งหมดสามหลัง เขาไม่มั่นใจว่าแม่พลอยกับน้องหนูอยู่หลังไหน หรือเลวร้ายที่สุดคืออาจจะถูกจับแยกกัน ตุลย์ดับเครื่องยนต์รถแล้วดึงกุญแจส่งให้พิชญ์ เขายัดปืนพกกระบอกเล็กลงกระเป๋ากางเกงพร้อมกับอุปกรณ์อย่างอื่นอีกสองสามอย่าง

                “เดี๋ยวผมจะเข้าไปก่อน คุณพีทรออยู่บนรถนะครับ ถ้าเห็นท่าไม่ดีให้กดปุ่มสีแดงนี้แล้วขับรถหนีไปก่อนเลย” ตุลย์ยัดเครื่องมืออันเล็ก ๆ ที่มีปุ่มสองปุ่มใส่มือพิชญ์ก่อนจะเอ่ยออกมาหน้าตาจริงจัง

                “แล้วคุณตุลย์จะเข้าไปคนเดียวเหรอครับ”

                “ไม่ต้องห่วงครับ พอผมเข้าไปได้แล้ว ลูกน้องผมอีกสามคนจะตามเข้าไปทันที”

               ตุลย์พยักเพยิดไปยังรถอีกคันที่จอดอยู่ห่างออกไปแบบไม่ให้ผิดสังเกต ก่อนจะเอี้ยวตัวหยิบปืนพกกระบอกเล็กจากลิ้นชักหน้ารถมายัดใส่มือพิชญ์ แล้วกำชับเสียงจริงจัง

                “เอาไว้ป้องกันตัว เผื่อฉุกเฉินนะคุณพีท”

               น้ำหนักของปืนกระบอกเล็กกดทับลงบนมือพิชญ์ แต่เขาไม่สนใจ ยื่นมือไปยึดแขนเสื้อตุลย์เอาไว้ ก่อนจะเอ่ยออกไปด้วยเสียงจริงจังไม่ต่างกัน

                “ผมฝากด้วยนะคุณตุลย์ ถือว่าผมขอร้องก็ได้ ช่วยแม่กับน้องหนูให้ได้นะ”

                “ถึงคุณพีทไม่ขอร้อง ผมก็ต้องช่วยคุณท่านกับน้องหนูออกมาให้ได้อยู่แล้วครับ เชื่อใจผมนะ...”

               พิชญ์พยักหน้ารับ อย่างน้อยตอนนี้พิชญ์ก็เชื่อใจตุลย์มากกว่าตัวเขาเอง พิชญ์มองตุลย์เปิดประตูลงจากรถไป ก่อนอีกฝ่ายจะเดินดุ่มตรงไปเคาะประตูบ้านหลังแรก หลังจากเคาะอยู่นานก็มีคนเปิดประตู คนที่เปิดประตูออกมาคือชายฉกรรจ์หน้าตาดุดัน อีกฝ่ายกวาดสายตามองตุลย์ขึ้น ๆ ลง ๆ อย่างพินิจพิจารณา ก่อนจะทำท่าทางปฏิเสธ ไม่ยอมให้เข้าไปข้างใน พิชญ์ถึงกับใจหายวาบ เขาเผลอกระชับด้ามปืนในมือแน่น ขณะจดจ้องเหตุการณ์ตรงหน้า

               ตุลย์ทำท่าเหมือนจะยอมแพ้แล้วเดินล่าถอยออกมา แต่จังหวะที่ฝ่ายนั้นเตรียมปิดประตูใส่หน้า ตุลย์กลับเอื้อมมือไปจับคอเสื้ออีกฝ่ายเอาไว้ กระชากเข้ามาหาตัวเขาก่อนจับทุ่มลงกับพื้น พอตุลย์จัดการกับผู้ชายตรงหน้าจนลงไปกองอยู่ที่พื้น ลูกน้องสามคนก็โผล่มายืนข้างหลังเขาราวกับหายตัวได้ พิชญ์ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ขณะนั่งมองตุลย์พร้อมลูกน้องอีกสามคนเดินเข้าไปในบ้าน

               พิชญ์ยังคงนั่งนิ่ง มือกระชับปืนกระบอกเล็กในมือแน่น รอคอยสัญญาณจากตุลย์ เวลาแต่ละนาทีผ่านไปนานเหลือเกินในความรู้สึกของเขา เขาอยากจะเอาแต่ใจตัวเอง วิ่งลงไปดูให้รู้แล้วรู้รอด แต่เขาต้องอดทน เพื่อความปลอดภัยของแม่พลอยและน้องหนู ระหว่างที่นั่งรออย่างใจจดใจจ่อนั้น พิชญ์ก็สังเกตเห็นว่ารถอีกคันที่ตุลย์พามาด้วยขับเข้ามาจอดใกล้ ๆ เขาหันไปมองด้วยความสงสัย แม้จะพอเดาออกว่าคงเป็นตุลย์ที่เรียกมา

               ลูกน้องร่างสูงใหญ่สามคนที่เพิ่งมาถึงก้าวลงจากรถ หันมาค้อมหัวให้พิชญ์เล็กน้อยก่อนจะเดินดุ่มเข้าไปในบ้านหลังที่ตุลย์หายเข้าไปก่อนหน้านี้ พิชญ์ยังคงจดจ้องสถานการณ์ตรงหน้านิ่ง กลัวจะพลาดแม้เพียงความเคลื่อนไหวเดียว

               หลังจากผ่านไปอึดใจใหญ่ ๆ ตุลย์ก็เดินออกมาพร้อมลูกน้องสามคนที่เข้าไปพร้อมกันทีแรก พิชญ์จ้องมองตุลย์นิ่ง ตาไม่กระพริบ เหมือนเจ้าตัวจะรู้ว่าพิชญ์กำลังมองอยู่ ตุลย์ยกมุมปากน้อย ๆ ก่อนจะขยับปากเป็นถ้อยคำที่พิชญ์อ่านออกมาได้ว่า

                “ลงมาได้เลยครับ ผมจัดการเรียบร้อยแล้ว”

               พิชญ์ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ผลุนผลันเปิดประตูลงจากรถ โดยไม่ลืมคว้าปืนพกกระบอกเล็กที่ตุลย์ยัดใส่มือเขาไว้ติดมาด้วย เขากึ่งเดินกึ่งวิ่งตรงไปหาตุลย์ แล้วรีบเอ่ยถามด้วยความร้อนใจ

                “แม่พลอยกับน้องหนูล่ะครับ”

                “ไม่ได้อยู่ในบ้านหลังนั้นครับ พวกมันบอกว่าอยู่บ้านหลังข้างในสุด”

                “แล้วบ้านหลังที่คุณตุลย์เข้าไปเมื่อกี้...”

                 “ผมจัดการเรียบร้อยหมดแล้วครับ ไม่มีอะไรน่าดูหรอก เรารีบไปหาคุณท่านกับคุณหนูกันดีกว่าครับ”

                มีถนนเส้นเล็ก ๆ ตัดเข้าไปยังตัวบ้านสองหลังข้างใน พิชญ์กะจากสายตาก็คิดว่าน่าจะประมาณเจ็ดถึงแปดร้อยเมตรได้ พอเห็นตุลย์เริ่มออกเดิน เขาก็รีบก้าวเท้าตามตุลย์ไปไม่รอช้า พิชญ์ก้าวเท้ายาว ๆ จนเกือบจะกลายเป็นวิ่งแล้วแซงตุลย์ไปข้างหน้าด้วยความร้อนใจ คนสนิทของอริญชย์เห็นดังนั้นเลยต้องรีบเอ่ยปรามพิชญ์

                 “คุณพีท อย่าเพิ่งเข้าไป ให้พวกผมเข้าไปตรวจดูความเรียบร้อยข้างในก่อน”

                ตุลย์คว้าแขนพิชญ์ที่แทบจะพุ่งเข้าไปในตัวบ้านเอาไว้ แล้วหันไปพยักเพยิดให้ลูกน้องที่ตามหลังมาเป็นฝ่ายเดินเข้าไปข้างในก่อน ลูกน้องสามคนหายไปไม่นานก็ส่งเสียงออกมาบอกว่าข้างในเรียบร้อยแล้ว ตุลย์หันมาพยักหน้าให้พิชญ์ก่อนจะเดินเข้าไปพร้อมกัน

                พอเข้ามา พิชญ์ก็เห็นผู้ชายสองคนนอนหมดสติอยู่บนพื้น เขามองผ่านเลยไป ก่อนจะเดินข้ามร่างของอีกฝ่าย แล้วก็เห็นแม่พลอยกับน้องหนูนั่งหมดสติอยู่ที่มุมห้อง สองมือถูกเชือกมัดเอาไว้ ตุลย์ขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจนักกับภาพที่เห็น ก่อนจะเดินนำหน้าพิชญ์เข้าไป เขาหยิบเอามีดเล่มเล็กที่พกมาด้วยขึ้นมาตัดเชือกที่มัดแม่พลอยกับน้องหนูเอาไว้ พิชญ์โผเข้าไปประคองน้องหนูแนบอก

                 “น้องหนู...น้องหนูครับ...” พิชญ์เรียกลูกสาวตัวน้อยเสียงเบา

                 “น่าจะโดนรมยาสลบครับ คงไม่รู้สึกตัวง่าย ๆ” ตุลย์เอ่ยสีหน้าเคร่งเครียด

                พิชญ์ยอมแพ้แล้วประคองน้องหนูส่งให้ตุลย์ ก่อนจะหันไปดูแม่พลอยที่นั่งหมดสติอยู่ข้าง ๆ แม้จะอยู่ท่ามกลางความมืดสลัวราง แต่พิชญ์ก็ยังมองเห็นว่าใบหน้าของแม่พลอยมีรอยฟกช้ำอยู่สามสี่จุด แล้วยังมีรอยฝ่ามือแดงเป็นปื้นบนใบหน้า พิชญ์เห็นแล้วก็ต้องขบกรามแน่นด้วยความโกรธ ขณะเขย่าตัวเรียกแม่พลอย

                 “แม่...แม่...”

                พิชญ์เขย่าอยู่สามสี่ที แม่พลอยถึงค่อยรู้สึกตัวขึ้นมา พอรู้สึกตัวขึ้นมา อาการเจ็บปวดจากรอยฟกช้ำก็แล่นวาบจนเผลอร้องออกมา

                 “โอ๊ย...”

                ได้ยินเสียงแม่พลอยร้อง พิชญ์ก็รีบร้อนเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง หัวใจเจ็บราวกับถูกมือที่มองไม่เห็นบีบจนเจ็บแปลบ

                 “แม่ เจ็บตรงไหนแม่”

                พอลืมตามาแล้วเห็นเต็มตาว่าเป็นลูกชาย แม่พลอยก็น้ำตารื้นขึ้นมาก่อนจะดึงลูกชายเข้ามากอดแน่น

                 “พีท พีทมาแล้วหรือลูก”

                 “พีทอยู่นี่แล้วแม่ ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไรแล้ว เดี๋ยวเรากลับบ้านกันนะแม่”

                 “แล้วน้องหนูล่ะ น้องหนูปลอดภัยดีไหม” พอรู้สึกตัวขึ้นมา แม่พลอยก็รีบถามถึงหลานสาวตัวน้อยด้วยร้อนใจ

                 “น้องหนูปลอดภัยดีครับ” ตุลย์ที่อุ้มน้องหนูเอาไว้เป็นคนเอ่ยตอบ

                พอแม่พลอยเงยหน้าขึ้นมาเห็นน้องหนูที่อยู่ในอ้อมแขนตุลย์ก็ผ่อนลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก พิชญ์ค่อย ๆ ขยับเข้าประคองแม่พลอยให้ลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล

                 “เดินไหวไหมแม่”

                แม่พลอยพยักหน้าแทนคำตอบ แต่พอขยับเท้าจะก้าวเดิน แข้งขาพลันอ่อนจนเกือบจะล้มพับลงไป โชคดีว่าพิชญ์คว้าเอาไว้ได้ทัน ตุลย์เห็นแล้วเลยหันไปเรียกลูกน้องคนที่ตัวสูงใหญ่ให้เข้ามาช่วยอุ้มแม่พลอย ก่อนจะหันกลับมาเอ่ยกับพิชญ์

                 “เดี๋ยวเราไปที่รถกันเลยดีกว่าครับ จะได้รีบพาแม่พลอยกับคุณหนูไปเช็กร่างกายที่โรงพยาบาลด้วย”

                พิชญ์ได้ยินแล้วก็ไม่รอช้า รีบเดินตามตุลย์ไปที่รถ พิชญ์เปิดประตูด้านหลังให้ตุลย์อุ้มน้องหนูวางลงบนเบาะ ส่วนลูกน้องคนที่อุ้มแม่พลอยมาก็ค่อย ๆ ประคองแม่พลอยขึ้นรถ ก่อนจะแยกย้ายกันไปที่รถของตัวเอง

                หลังจากขึ้นมาบนรถแล้ว แม่พลอยก็ดึงน้องหนูเข้ามาโอบไว้ใกล้ตัว ก่อนจะหลับตาลงช้า ๆ ความเครียดและเหนื่อยล้าสะสมตลอดทั้งวัน ทำให้ผล็อยหลับไปในที่สุด พิชญ์ที่ตั้งใจจะเอ่ยถามเรื่องที่เกิดขึ้นจากแม่พลอยเลยต้องเก็บกลืนคำถามทั้งหมดลงคอไป

                ขากลับกรุงเทพฯ ตุลย์ยังคงขับรถด้วยความเร็วพอ ๆ กับขามา เขาตรงดิ่งไปยังโรงพยาบาลก่อนเป็นอันดับแรก

                พอถึงโรงพยาบาล แม่พลอยและน้องหนูก็ถูกส่งไปเช็กอาการเบื้องต้น หลังจากตุลย์เดินมาเป็นเพื่อนพิชญ์ จนแม่พลอยกับน้องหนูถูกแยกเข้าห้องตรวจไปแล้ว พิชญ์ก็เห็นตุลย์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาหน้าตาเคร่งเครียดแล้วเดินเลี่ยงไปทางหนึ่ง เหลือแค่เขานั่งรออยู่หน้าห้องตรวจตามลำพัง

                พิชญ์นั่งรออยู่พักใหญ่ พยาบาลก็เดินออกมาเรียกพิชญ์ให้เข้าไปในห้องตรวจ พิชญ์ยกมือไหว้คุณหมอทีหนึ่งก่อนจะนั่งลงตรงข้าม เอ่ยถามทันทีด้วยความร้อนใจ

                 “อาการของคุณแม่กับลูกสาวผมเป็นยังไงบ้างครับ คุณหมอ”

                 “คุณแม่มีบาดแผลภายนอกและอ่อนเพลียจากการอดอาหาร ยังไงเดี๋ยวคืนนี้ผมให้นอนพักฟื้นที่โรงพยาบาลแล้วพรุ่งนี้เอ็กซเรย์ดูว่ามีอาการช้ำในหรือเปล่า ถ้าไม่มีอะไรก็กลับบ้านได้ครับ”

                 “ครับ เอาตามที่คุณหมอเห็นสมควรเลยครับ”

                 “ส่วนเด็ก เบื้องต้นแกหมดสติเพราะเห็นว่าถูกยาสลบมา ยังไงผมอยากให้นอนโรงพยาบาลให้หมอเด็กเข้ามาดูอาการพรุ่งนี้อีกที กลัวว่ายาที่ได้รับจะมีผลข้างเคียงกับร่างกายของเด็กน่ะครับ ลองตรวจดูอาการหน่อยดีกว่า ทางคุณพ่อไม่ติดอะไรใช่ไหมครับ”

                 “ไม่ติดครับ”

                 “ครับ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวตามพยาบาลไปจัดการเรื่องห้องพักได้เลยครับ”

                 “ครับ ขอบคุณมากครับคุณหมอ”

                พิชญ์ยกมือไหว้ขอบคุณก่อนจะเดินตามพยาบาลออกไปเพื่อจัดการเรื่องห้องพักของแม่พลอยและน้องหนู ตอนเขาเดินออกมาจากห้องตรวจ ตุลย์ก็ยังไม่กลับมา แต่พิชญ์ก็คร้านที่จะสนใจ เวลานี้เขาจดจ่ออยู่แค่เรื่องของแม่พลอยกับน้องหนูเท่านั้น





.



ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25




                หลังจากจัดการเรื่องห้องพักต่าง ๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว พิชญ์ก็ตรงมาเฝ้าแม่พลอยก่อน เพราะคุณหมอเจ้าของไข้บอกว่ากว่าน้องหนูจะรู้สึกตัวอีกทีคงเป็นพรุ่งนี้เช้าเลย ส่วนแม่พลอย ทางพยาบาลจัดเตรียมอาหารและยาเอาไว้ให้ปล่อยแม่พลอยให้อยู่กับพิชญ์ตามลำพัง พิชญ์ยืนเกาะอยู่ข้างเตียงดูแม่พลอยจัดการกับข้าวต้ม พลางเอ่ยถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง

                 “เป็นยังไงมั่งแม่ รู้สึกดีขึ้นไหม”

                แม่พลอยละสายตาจากข้าวต้มขึ้นมามองหน้าลูกชายคนเดียว ยอมรับว่าทีแรกที่ถูกจับตัวไปเธอก็มีความกลัวและความตกใจ เธออายุปูนนี้เพิ่งจะเคยประสบเหตุการณ์แบบนี้เป็นครั้งแรก ทั้งคิดจินตนาการไปต่าง ๆ นานา ทั้งภาวนาให้สามีที่เสียชีวิตไปแล้วช่วยคุ้มครองเธอกับหลานสาว ยามนี้พอเห็นหน้าลูกชายแล้วก็เหมือนความกังวลเหล่านั้นจะหมดไป จิตใจที่เครียดเกร็งมาตลอดทั้งวันก็ผ่อนคลายมากขึ้น

                 “ดีขึ้นแล้ว แม่ไม่ได้เป็นอะไรมาก ให้กลับไปนอนที่บ้านยังได้เลย”

                 “อยู่ดูอาการที่นี่เถอะแม่ อย่าดื้อเลย พีทมีแม่คนเดียวนะ ถ้าแม่เป็นอะไรขึ้นมา พีทจะทำยังไง”

                ฟังคำเอ็ดปนตัดพ้อของลูกชายแล้วแม่พลอยก็ต้องยอมแพ้ เธอเองก็ยังอยากอยู่กับพิชญ์และน้องหนูไปนาน ๆ

                พอแม่พลอยกินข้าวต้มตรงหน้าจนหมด ยาที่พยาบาลจัดเอาไว้ก็ถูกยื่นมาตรงหน้าทันทีพร้อมกับน้ำดื่ม แม่พลอยรับมาส่งเข้าปากอย่างว่าง่าย พอเรียบร้อยแล้วพิชญ์ก็ยกทุกอย่างไปเก็บให้เรียบร้อย ก่อนจะลากเก้าอี้มานั่งข้างแม่พลอย

                 “หมอบอกว่ากินยาแล้วจะง่วงนอน ถ้าแม่ง่วงแล้วอย่าฝืนนะ แม่ต้องนอนพักผ่อนเยอะ ๆ”

                 “ไม่ฝืนหรอก แม่เหนื่อยขนาดนี้จะฝืนยังไงไหว”

                 “อย่าเพิ่งนอนตอนนี้นะแม่ รอให้ข้าวต้มย่อยก่อน ไม่งั้นเดี๋ยวอาหารไม่ย่อยพอดี”

                แม่พลอยเอียงหน้ามองพิชญ์ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ แล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ เดี๋ยวบอกให้เธอนอน เดี๋ยวบอกอย่าเพิ่งนอน เอายังไงกัน เจ้าลูกชายคนนี้ ริมฝีปากพลันคลี่ยิ้มออกมายามทอดสายตามองลูกชายคนเดียว ทั้งอบอุ่นและอ่อนโยน

                พิชญ์จับมือแม่พลอยเขย่าไปมาเบา ๆ บอกให้แม่รู้ว่าเขาอยู่ตรงนี้ อยู่ข้าง ๆ แม่ไม่ไปไหน พิชญ์ยกมือขึ้นไล้เบา ๆ ไปตามรอยฟกช้ำบนใบหน้าแม่พลอย ก่อนจะเอ่ยถามเสียงแผ่ว ปิดบังความเจ็บปวดของเขา

                 “เจ็บมากไหมแม่”

                 “ไม่มากเท่าไหร่ เดี๋ยวก็หายแล้ว”

                 “ถ้าเจ็บไม่มากแล้ว งั้นเล่าให้พีทฟังหน่อยสิ ว่าเรื่องมันเป็นมายังไงกันแน่”

                แม่พลอยค่อย ๆ นึกย้อนถึงเหตุการณ์ตั้งแต่ตอนกลางวันที่เธอพาน้องหนูออกไปซูเปอร์มาร์เก็ตด้วยกัน ก่อนจะเล่าให้พิชญ์ฟัง

                 “หลังจากซื้อของกันเสร็จแล้ว น้องหนูเกิดอยากเข้าห้องน้ำขึ้นมา แม่เลยให้นวลกับกริชเขาช่วยกันเอาของไปเก็บที่รถ ส่วนแม่พาน้องหนูมาเข้าห้องน้ำ พอน้องหนูเข้าห้องน้ำเสร็จ กำลังล้างมือและเช็ดมืออยู่ จู่ ๆ ก็มีคนเอาผ้าโปะยาสลบน้องหนู แม่เข้าไปขวางเลยถูกทำร้ายเข้า แล้วหลังจากนั้นก็ถูกพาขึ้นรถมาพร้อมกับน้องหนู จนถูกจับมาอยู่ที่บ้านหลังที่พีทมาเจอ”

                แม่พลอยพยายามเล่าให้กระชับและสั้นที่สุด ราวกับไม่อยากจะนึกถึงเหตุการณ์ร้าย ๆ ที่เกิดขึ้นในวันนี้พิชญ์กำมือแน่น แม้ว่าเรื่องคราวนี้จะเป็นอุบัติเหตุที่ไม่มีใครคาดคิด แต่เขาก็โกรธตัวเอง โกรธที่ไม่ได้ดูแลทั้งแม่พลอยและน้องหนูให้ดีจนต้องมาเจอกับเรื่องร้าย ๆ แบบนี้

                ถึงแม่พลอยจะเล่าออกมาแค่ว่าถูกทำร้าย แต่จากรอยฟกช้ำบนใบหน้า พิชญ์ก็พอจินตนาการได้ว่าคงไม่ได้ถูกทำร้ายแค่ทีเดียว เขานึกโกรธที่พวกนั้นกล้าลงมือกับคนแก่อย่างแม่พลอย

                 “ไม่เป็นไรนะแม่ พวกที่จับแม่ไป คุณตุลย์เขาจัดการเรียกตำรวจหมดแล้ว คืนนี้แม่พักผ่อนให้สบายใจนะ อย่าไปคิดถึงมันอีก”

                 “ว่าแต่ทำไมเราถึงหาแม่กับน้องหนูเจอไวนักล่ะ”

                 “ความดีความชอบคุณใหญ่ล่ะ เขาติดเครื่องติดตามตัวไว้ที่น้องหนู เลยรู้ว่าน้องหนูอยู่ไหน”

                แม่พลอยเอ่ยชมเชยให้กับความรอบคอบของคุณใหญ่ ก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้ แม่พลอยมองพิชญ์ ทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรซักอย่าง เธอกำลังลังเลว่าควรจะเอ่ยถามลูกชายออกไปดีหรือไม่ แต่ที่ผ่านมาระหว่างเธอกับพิชญ์ก็ไม่เคยมีความลับต่อกัน ดังนั้นเธอเลยเลือกที่จะถามพิชญ์ออกไปตามตรง

                 “พีท ตอบแม่มาตามตรงนะ เสี่ยเล้งคือใคร...”

                พิชญ์ที่กำลังจะห่มผ้าห่มให้แม่พลอยถึงกับชะงัก เมื่อได้ยินชื่อของราชันย์หลุดออกมาจากริมฝีปากของผู้เป็นแม่ แม่พลอยไม่มีทางที่จะรู้จักคนอย่างราชันย์ ถ้าอย่างนั้น สาเหตุที่แม่พลอยเอ่ยถามถึงราชันย์ก็คงมีแค่สาเหตุเดียว...

                 “แม่ไปได้ยินชื่อนี้มาจากไหน”

                 “คนที่จับตัวแม่ไป เขาคุยกันว่าน้องหนูเป็นลูกของเสี่ยเล้ง ไม่จริงใช่ไหมพีท บอกแม่มาสิ...”

                พิชญ์กำขอบเตียงแน่น เมื่อเขาพอจะเดาต้นสายปลายเหตุที่อยู่เบื้องหลังการลักพาตัวแม่พลอยกับน้องหนูออกแล้ว เขาจ้องสบตาแม่พลอยนิ่งก่อนจะเอ่ยออกไปชัดถ้อยชัดคำ

                 “เชื่อพีทนะแม่ แม่ก็รู้ว่าพีทไม่เคยโกหกแม่ น้องหนูเป็นลูกของพีทกับคุณเล็ก”

                 “จ้ะ แม่เชื่อ”

                แค่คำสั้น ๆ คำเดียวของผู้เป็นแม่ก็ทำเอาก้อนสะอื้นแล่นขึ้นมาจนจุก พิชญ์รู้ว่าแม่พลอยเป็นเพียงคนเดียวที่เชื่อเขาโดยไม่มีข้อกังขาใด ๆ พอมองเห็นรอยฟกช้ำบนใบหน้าผู้เป็นแม่ พิชญ์ก็ยิ่งโกรธที่แม่ต้องมาเจ็บตัวอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่เพราะคนบางคน เขาบอกลาแม่พลอยก่อนจะเดินไปยังห้องพักของน้องหนู ซึ่งอยู่คนละชั้นกัน เนื่องจากทางโรงพยาบาลแยกแผนกเด็กและผู้ป่วยทั่วไปไว้คนละชั้น

                พอพิชญ์เปิดประตูห้องพักของน้องหนูเข้าไป เขาก็เห็นเงาร่างสูงใหญ่นั่งอยู่ในความมืด อริญชย์หันมาทันทีที่ได้ยินเสียงประตู พอเห็นว่าเป็นพิชญ์ เขาก็เรียกชื่อเจ้าตัวออกมา

                 “พีท...”

                อริญชย์เพิ่งเดินทางกลับมาจากฮ่องกงและตรงจากสนามบินมาโรงพยาบาลทันที เลยมีท่าทางอิดโรยเล็กน้อย แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังยกยิ้มมุมปากให้พิชญ์ แม้ว่าอีกฝ่ายจะเมินเฉย พิชญ์เดินอ้อมไปดูลูกสาวตัวน้อย เห็นน้องหนูนอนหลับสนิทก็ค่อยโล่งอก เขาแตะแก้มน้องหนูแผ่ว ๆ ระมัดระวังไม่ให้เจ้าตัวเล็กของเขาตื่น หลังจากยืนดูน้องหนูอยู่พักใหญ่ พิชญ์ก็หันกลับมาหาคุณใหญ่ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา แต่เด็ดขาดอยู่ในที

                 “คุณใหญ่ ผมขอคุยอะไรด้วยหน่อยได้ไหม”

                 “ได้สิ แล้วแม่พลอยอาการเป็นยังไงบ้างล่ะ”

                อริญชย์นึกเป็นห่วงแม่พลอยไม่น้อยไปกว่าพิชญ์ เท่าที่เขาฟังตุลย์เล่าทางโทรศัพท์คร่าว ๆ ดูเหมือนน้องหนูจะไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่แม่พลอยมีบาดแผลฟกช้ำพอสมควร ซึ่งอริญชย์ก็สั่งการไปแล้วว่าให้จัดการพวกที่จับได้ให้หนักก่อนส่งถึงมือตำรวจ

                 “ตอนนี้มีแต่แผลฟกช้ำภายนอก ต้องรอเอกซเรย์พรุ่งนี้ดูอีกทีครับ”

                 “นี่แม่พลอยหลับไปแล้วใช่ไหม เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันค่อยแวะไปเยี่ยมแล้วกัน”

                อริญชย์ดึงพิชญ์ให้ลงมานั่งข้างเขา แต่พิชญ์ขืนตัวเอาไว้ ก่อนจะเอ่ยเสียงนิ่ง ๆ ย้ำประโยคเดิมก่อนหน้านี้ของตัวเอง

                 “ผมขอคุยอะไรด้วยหน่อยได้ไหม”

                 “นั่งลงคุยกันดี ๆ สิ”

                พิชญ์ตั้งใจจะเอ่ยปากบอกให้ไปคุยข้างนอก แต่สุดท้ายเขาก็เปลี่ยนใจ เรื่องบางเรื่องก็เหมาะจะคุยในห้องหับมิดชิดมากกว่า พิชญ์สูดลมหายใจเข้าปอดก่อนจะเอ่ยเข้าเรื่อง

                 “วันนี้ตอนที่ผมรู้ว่าแม่พลอยกับน้องหนูถูกจับตัวไป คุณใหญ่รู้ไหมว่าผมรู้สึกยังไง” พิชญ์เอ่ยถามอริญชย์ แต่เหมือนเขาเองจะไม่ได้ต้องการคำตอบมากนัก “ผมรู้สึกกดดัน รู้สึกกลัว รู้สึกเหมือนจะเป็นบ้าไปให้ได้”

                อริญชย์อยากจะดึงพิชญ์เข้ามากอด แต่เขารู้ว่าเจ้าตัวคงไม่ยอม เขาเลยทำแค่เพียงจับมือพิชญ์ไว้แน่น ๆ ขณะนั่งฟังพิชญ์เล่าเรื่องที่เกิดขึ้น

                 “มันผ่านไปแล้วพิชญ์ แม่พลอยกับน้องหนูปลอดภัยแล้ว”

                 “ใช่คุณใหญ่ มันผ่านไปแล้ว แต่คุณใหญ่รู้ไหม ว่าการลักพาตัวแม่กับน้องหนูที่ผมคิดว่ามันเป็นอุบัติเหตุ จริง ๆ แล้วมันเป็นความจงใจของใครบางคน” พิชญ์เอ่ยเสียงเย็นชา จ้องตาอริญชย์เขม็ง

                 “หมายความว่ายังไง”

                เพียงแค่คิดถึงบาดแผลและรอยฟกช้ำตามใบหน้าของแม่พลอย ความโกรธของพิชญ์ก็แล่นขึ้นมาจนเกือบควบคุมเอาไว้ไม่อยู่ เสียงที่เอ่ยออกมาเลยแทบจะเป็นการกระชากเสียง

                 “เมื่อกี้ตอนผมคุยกับแม่ แม่บอกว่าคนที่จับแม่กับน้องหนูไป บอกว่าน้องหนูเป็นลูกเสี่ยเล้ง เรื่องนี้มันหมายความว่ายังไงกันคุณใหญ่”

                ฟังถ้อยคำของพิชญ์แล้วอริญชย์ก็ต้องขมวดคิ้วฉับ ตัวเขาเองก็เคยคลางแคลงเรื่องความสัมพันธ์ของพิชญ์กับไอลดา ความสัมพันธ์ที่ไม่ได้ตั้งใจเพียงแค่ครั้งเดียวไม่น่าถึงกลับทำให้ไอลดาตั้งครรภ์ได้ เขาเคยแม้กระทั่งให้พิชญ์ตรวจดีเอ็นเอเพื่อพิสูจน์ ซึ่งพิชญ์ก็ยอมด้วยความเต็มใจ แต่ผลดีเอ็นเอก็ออกมาว่าพิชญ์และน้องหนูมีสายเลือดเดียวกันจริง ๆ

                ถ้าหากน้องหนูไม่ได้มีสายเลือดเดียวกับพิชญ์ อริญชย์คงไม่ยอมให้มีงานแต่งงานระหว่างพิชญ์กับไอลดาเกิดขึ้นตั้งแต่แรก

                 “นายก็รู้ว่าน้องหนูเป็นลูกนาย”

                 “คุณใหญ่ก็รู้ว่าผมไม่ได้หมายถึงเรื่องนี้ แต่ผมกำลังจะถามว่า คนที่จับตัวแม่กับน้องหนูไปคือเสี่ยเล้งใช่ไหม เรื่องนี้มันไม่ใช่อุบัติเหตุอย่างที่ผมเข้าใจ ทำไมถึงต้องเอาเรื่องบาดหมางของคุณสองคนมาเดือดร้อนแม่กับลูกผมด้วย ถ้าแม่กับน้องหนูเป็นอะไรไป ผมจะไม่ให้อภัยคุณตลอดชีวิตเลย”

                พิชญ์เกือบจะระเบิดอารมณ์ออกมาด้วยความโกรธ ดีว่าเขานึกได้ว่าน้องหนูกำลังนอนหลับอยู่ เขาเลยพยายามกดเสียงให้ต่ำลง

                อริญชย์ทำท่าเหมือนอยากจะเอ่ยอธิบาย แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะนิ่งเงียบ เขารู้ดีว่าราชันย์ไม่ใช่คนที่อยู่เบื้องหลังการลักพาตัวแม่พลอยกับน้องหนู แต่ตอนนี้เขากับราชันย์มีข้อตกลงร่วมกันที่ทำให้เขาไม่สามารถเอ่ยอธิบายความจริงออกไปได้

                 “พีท...”

                อริญชย์เอ่ยเรียกชื่อคนข้างตัว พลางยื่นมือออกไปหมายจะดึงพิชญ์เข้ามาใกล้ แต่อีกฝ่ายกลับเบี่ยงตัวหลบเขา

                 “ผมมีแม่และลูกสาวแค่อย่างละคนนะคุณใหญ่ ถ้ามีใครเป็นอะไรขึ้นมา คุณมีปัญญาชดใช้ให้ผมเหรอ”

                 “พีท...”

                 “วันนี้คุณกลับไปก่อนได้ไหม ผมอยากอยู่คนเดียว”

                 “ฟังฉันก่อนได้ไหม...”

                 “ผมขอร้องนะคุณใหญ่ วันนี้ผมอยากอยู่คนเดียวจริง ๆ ผมยังไม่อยากเห็นหน้าคุณ”

                อริญชย์ดึงมือตัวเองกลับมาอย่างถอดใจ เขาเดินมาดูน้องหนูอีกรอบ พอเห็นน้องหนูยังหลับอยู่ก็วางใจ หันไปหาพ่อน้องหนู พิชญ์ยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม อริญชย์เดินมาแตะบ่าพิชญ์เบา ๆ

                 “ฉันเองก็เป็นห่วงแม่พลอยและน้องหนูไม่ต่างจากนายหรอกนะพีท ตอนนี้นายอยากอยู่คนเดียวก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าอยากให้ฉันอยู่ด้วยเมื่อไหร่ก็บอกมา...” เขาเงียบไปอึดใจหนึ่ง “นายก็รู้...ว่าฉันรอนายได้เสมอ”

                พิชญ์ปล่อยให้คำพูดของอริญชย์ผ่านเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา เขาไม่สนใจไยดีแม้กระทั่งตอนที่อริญชย์เปิดประตูเดินออกไป จนกระทั่งมั่นใจว่าอีกฝ่ายจากไปแล้วจริง ๆ พิชญ์ถึงได้ซบหน้าลงกับฝ่ามือ

                เขาอยากโกรธ อยากเกลียดอริญชย์ให้มากกว่านี้ แต่หัวใจกลับไม่ยอมเชื่อฟัง

                ทั้งที่เขาควรจะเกรี้ยวกราดใส่อริญชย์ให้มากกว่านี้ แต่เขาก็ทำได้ดีที่สุดแค่นี้ ได้แค่ไล่อีกฝ่ายไปให้พ้นหน้า แล้วปล่อยตัวเองให้จมอยู่กับความกดดันอันล้นปรี่





TO BE CONTINUE



ช่วงนี้งานยุ่งมากๆ เลยค่ะ เลยอาจจะมาๆ หายๆ บ้าง
อาทิตย์ที่แล้วเลยไม่ได้มาลงด้วย ยังไงจะพยายามหาเวลามาลงนะคะ ^^

น้องหนูกับแม่พลอยปลอดภัยแล้ว
แต่คุณใหญ่กับพีททะเลาะกันซะงั้น



ออฟไลน์ bigbeeboom

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
คุณใหญ่เป็นพระเอกที่ตอนนี้นาสงสารสุดดดด ไม่เคย happy จริงจังเลย เข้าใจพีชได้ ก็คนในครอบครัวอ่ะเนอะ
รอได้จ้า คนเขียนมีเวลาแล้วว่ากันเนอะ

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 710
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
ทำไมต้องมาลงที่คุณใหญ่ด้วยคุณใหญ่อุตส่าห์บินกลับมาอย่างไว ความรักความห่วงที่คุณใหญ่มีให้น้องหนูก็ไม่น้อยกว่าพีทหรอกนะ  :ling3:

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
ก็เข้าใจพีทนะ แม่และลูกเจออันตราย ความกลัวกังวลมันมีมาก อยากจะมีใครสักคนที่รู้สึกว่าปลอดภัยอยู่ข้างกาย แต่ ณ ตอนนั้นมันไม่มีใครเลย อารมณ์เลยออกจะเคว้ง ลงกับใครไม่ได้ พาลพาลคุณใหญ่ก็ซวยไปไง แต่...... อย่างที่ผ่านมา พีทนี่บ่อยครั้งละนะ ไม่เคยคิดถึงใจคุณใหญ่เลย ไม่แคร์ ไม่ระวังคำพูดว่าจะทำร้ายใจกันมากยังไง เป็นท้อแทน ทั้งๆที่มันควรจะนึกถึงใจกันได้แล้ว ในความสัมพันธ์กับแบบนี้ มันค่อนข้างจะชัดแต่แค่ไม่อยากยอมรับมันเท่านั้นซึ่งก็มีเพียงพีทฝ่ายเดียวที่รั้น อีกคนก็ยอมรับใจแล้ว อยากให้คุณใหญ่เว้นวรรคเพื่อพักก่อนก็ดีนะ นิ่งๆเมินๆ ไม่วอแวเหมือนเดิม งอนนานๆ เมื่อนั้นเขาจะรู้เองละว่าทำอะไรลงไป ถ้าง้อหายเร็ว มันก็คงจะเป็นแบบนี้อีก ไม่ระวังเท่าที่ควร แต่ถ้างอนนาน เขาก็จะระวังมากขึ้นในคำพูด แคร์กันกว่านี้ อันนี้แบบคุณใหญ่ตามตลอดไง ก็เลยนะ เจ็บซ้ำๆวนไป //ดีแล้วที่ปลอดภัยกันทุกคน ขอบคุณนะคะที่มาต่อ รอเสมอ งานเยอะก็ดูแลตัวเองด้วยนะคะ :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Dee^daY

  • ไม่เคย ทำให้ใครเดือดร้อน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +330/-6
น่าจะฟังคำอธิบายกันหน่อย

ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25
สามสิบหก
งานโรงเรียน





          ถึงแม้เมื่อวานจะถูกพิชญ์ผลักไสไล่ส่ง วันนี้อริญชย์ก็ยังคงมาถึงโรงพยาบาลแต่เช้าตรู่ พอมาถึงโรงพยาบาล อริญชย์ก็แวะดูอาการแม่พลอยก่อน ตอนเขาเปิดประตูห้องพักแม่พลอยเข้ามา ทันเห็นพยาบาลกำลังจะพาแม่พลอยไปเอกซเรย์ร่างกายพอดี อริญชย์เลยถือวิสาสะขอตามไปด้วย

           “มาแต่เช้าเชียว คุณใหญ่” แม่พลอยเอ่ยทักอริญชย์ท่าทางแจ่มใส

          หลังจากเมื่อคืนได้นอนหลับเต็มอิ่มด้วยฤทธิ์ยาของคุณหมอ เช้าวันนี้แม่พลอยก็ดูสดใสขึ้นกว่าเมื่อวาน ร่องรอยฟกช้ำยังปรากฏให้เห็นอยู่ลาง ๆ บนใบหน้า แต่ถือว่าดูดีขึ้นมากแล้ว พอเห็นบาดแผลของแม่พลอยชัดเจน อริญชย์เลยไม่แปลกใจที่พิชญ์จะโกรธเขาขนาดนั้น ถ้าหากเป็นเขา เขาก็คงโกรธเหมือนกัน เขาส่งยิ้มกลับไปให้แม่พลอยก่อนจะเอ่ยตอบ

           “ว่าจะมาอยู่เป็นเพื่อนพีทน่ะครับ เห็นอยู่เฝ้าน้องหนูอยู่คนเดียว แล้วเมื่อวานผมก็มาเสียดึก เลยไม่ได้แวะมาเยี่ยมแม่ วันนี้เลยรีบแวะมาเยี่ยมแม่ก่อนด้วย”

          แม้จะมีอำนาจอยู่เหนือคนนับร้อยนับพัน แต่ใช่ว่าอริญชย์จะเอาอกเอาใจผู้หลักผู้ใหญ่ไม่เป็น เพียงแต่เขาเลือกเท่านั้นว่าควรปฏิบัติต่อใครอย่างไร เมื่ออีกฝ่ายคือแม่พลอย สิ่งที่เขาทำคือปฏิบัติเสมือนว่าแม่พลอยเป็นแม่ของเขาอีกคน

           “เห็นวันก่อน พิชญ์บอกแม่ว่าคุณใหญ่จะกลับจากฮ่องกงวันนี้ แล้วนี่กลับมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วหรือ” ถึงอายุอานามจะเกือบหกสิบแล้ว แต่แม่พลอยก็ยังความจำดีเป็นเลิศ ลูกชายเธอเล่าอะไรให้ฟังบ้าง เธอจดจำได้ดีไม่มีตกหล่น

           “เมื่อวานพอพีทโทรบอกผมว่าเกิดเรื่อง ผมก็ห่วงทางนี้ เลยรีบจองตั๋วเครื่องบินกลับมาน่ะครับ”

           “ตายจริง เดือดร้อนคุณใหญ่จนเสียงานเสียการไหมเนี่ย”

           “ไม่หรอกครับ ยังไงทางนี้ก็สำคัญกว่างานอยู่แล้ว”

          แม่พลอยฟังอริญชย์แล้วก็อดยิ้มออกมาอย่างวางใจไม่ได้ เธอเองก็พอรู้และสังเกตเห็น ว่าอริญชย์ให้ความสำคัญกับพิชญ์ไม่น้อย อีกทั้งยังเผื่อแพ่มาถึงผู้เป็นแม่อย่างเธอด้วย

          ทั้งคู่สนทนากันจนกระทั่งพยาบาลเข็นแม่พลอยมาถึงหน้าห้องเอกซเรย์ บทสนทนาถึงได้หยุดลง อริญชย์นั่งรอแม่พลอยอยู่หน้าห้องเอกซเรย์ ไม่ได้รีบไปดูน้องหนูอย่างที่แม่พลอยเข้าใจ หลังจากแม่พลอยเอกซเรย์ร่างกายเสร็จแล้วถูกเข็นออกมาก็เจออริญชย์นั่งรออยู่ คราวนี้เขาเป็นฝ่ายอาสาพาแม่พลอยกลับห้องพักด้วยตัวเอง พลอยทำให้แม่พลอยนึกชมชอบพี่ชายของไอลดามากขึ้นอีก

          อริญชย์เข็นแม่พลอยกลับมาห้องพักด้วยตัวเองโดยไม่ปริปากบ่นแม้แต่น้อย ระหว่างทางยังชวนแม่พลอยคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ ส่วนมากจะเป็นเรื่องของพิชญ์ที่เขาพยายามตะล่อมถาม ซึ่งแม่พลอยก็เล่าให้ฟังโดยไม่เอะใจ

          พอมาถึงห้องพักแล้วเปิดประตูห้องเข้าไป ทั้งอริญชย์และแม่พลอยก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นพิชญ์พาน้องหนูมานั่งรออยู่ก่อนแล้ว พิชญ์กำลังกระวนกระวาย หลังจากเข้ามาแล้วเห็นเพียงห้องว่าง ๆ แม้จะสอบถามพยาบาลจนได้ความว่าแม่พลอยไปเอกซเรย์ แต่เขาก็ยังอดกังวลไม่ได้ พอเห็นอริญชย์พาแม่พลอยกลับมาด้วยตัวเอง เขาถึงค่อยคลายคิ้วที่ขมวดเอาไว้เป็นปม

          อริญชย์ประคองแม่พลอยลงจากรถเข็นด้วยท่าทางชำนิชำนาญ ก่อนจะพาแม่พลอยมานั่งบนเตียงที่ปรับไว้ให้ได้ระดับแล้ว แล้วก็หันมาย่อตัวลงอุ้มน้องหนูที่โผเข้ามาหาเขา เขามองสำรวจน้องหนูด้วยสายตา พอเห็นว่าน้องหนูดูปกติดี ถึงได้วางใจแล้ววางเจ้าตัวเล็กลงนั่งบนเตียง ข้าง ๆ แม่พลอย

           “คุณย่าขา...” เจ้าตัวเล็กร้องเรียกแม่พลอยก่อนจะมุดเข้าซุกคุณย่า มือเล็กไล้ไปมาตามรอยฟกช้ำบนใบหน้าแม่พลอยก่อนจะเอ่ยถามเสียงเบา “พ่อพีทบอกคุณย่าหกล้ม เจ็บมากไหมคะ”

           “นิดหน่อยลูก”

          อริญชย์เห็นท่าทางน้องหนูดูร่าเริงเป็นปกติ ไม่น่าเป็นห่วงอย่างที่กังวล แต่เขาก็ยังไม่วางใจ อดไม่ได้ ต้องยื่นหน้าไปกระซิบถามพิชญ์เสียงเบา

           “น้องหนูเป็นยังไงบ้าง มีอะไรน่าเป็นห่วงไหม”

          พิชญ์หันมามองอริญชย์ที่ถือวิสาสะนั่งลงข้าง ๆ เขาแวบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบเสียงเรียบ ๆ ไม่บ่งบอกอารมณ์ใด ๆ

           “เมื่อเช้าหมอเด็กมาดูอาการแล้วบอกว่าปกติดี มีแค่ได้รับยาสลบเกินขนาด ร่างกายของเด็กยังไม่มีภูมิต้านทานเลยทำให้หลับยาว แต่ก็เป็นโชคดีของน้องหนู แกเลยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ไม่ยังงั้นคงต้องพาไปพบจิตแพทย์เด็กกันอีก”

          อริญชย์ฟังแล้วก็พยักหน้ารับ สิ่งที่เขากังวลที่สุดก็คือการที่เหตุการณ์เมื่อวานอาจจะกลายเป็นปมหรือบาดแผลในใจน้องหนู พอได้รู้ว่าน้องหนูไม่รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เขาก็วางใจ เห็นพิชญ์ดูนิ่ง ๆ เฉย ๆ เขาเลยพยายามชวนคุย ไม่ให้บรรยากาศดูน่าอึดอัด

           “แล้ววันนี้ยังให้น้องหนูไปแสดงงานโรงเรียนอยู่ไหม”

           “ก็คงต้องให้ไปล่ะครับ ไม่งั้นเดี๋ยวต้องมาคอยตอบคำถามน้องหนูแน่ ๆ ว่าทำไมถึงไม่ได้ไปงานโรงเรียน”

           “ถ้าผลเอกซเรย์ของแม่พลอยออกแล้วไม่มีอะไร เดี๋ยวเราก็กลับบ้านกันเลยแล้วกัน”

          พิชญ์หันหน้ามามองอริญชย์ พอเห็นสายตาของอีกฝ่ายที่ทอดมองมาที่เขา คำพูดร้าย ๆ ที่เตรียมจะเอื้อนเอ่ยออกมาเลยถูกเก็บกลืนลงคอไป เปลี่ยนเป็นพยักหน้ารับแทน

           “แล้วเรื่องงานของคุณใหญ่ที่ฮ่องกงเรียบร้อยดีไหม”

           “เรียบร้อยดี ไม่มีปัญหา...” อริญชย์เว้นช่วงนิดหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อ “อดทนหน่อยนะ ปัญหาใกล้จะจบแล้ว”

          พิชญ์กำลังจะเอ่ยปากถามถึงปัญหาที่อริญชย์พูดถึง แต่น้องหนูร้องเรียกหาลุงใหญ่เสียก่อน เขาเลยต้องเก็บคำถามทั้งหมดลงคอ พิชญ์มองอริญชย์อุ้มน้องหนูขึ้นมาจากเตียง คุยกระหนุงกระหนิงกันประสาลุงหลาน เจ้าตัวเล็กของเขาถามถึงของฝากเจื้อยแจ้ว พลอยทำให้คนมองได้แต่อมยิ้มด้วยความเอ็นดู อริญชย์หยอกเย้ากับน้องหนู พลางหันไปคุยกับแม่พลอยอย่างเป็นธรรมชาติ

          บางที...การเดินไปบนเส้นทางเดียวกันกับอริญชย์อาจจะไม่ได้แย่อย่างที่พิชญ์คิด

          เพียงแต่ตัวเขาเองอาจจะต้องคิดหาวิธีจัดการกับความสัมพันธ์เราสามคน ระหว่างเขา อริญชย์ และไอลดา ไม่ให้ทำร้ายใครคนใดคนหนึ่ง...แม้กระทั่งตัวเขาเอง

          สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องเลือกเผชิญหน้ากับความเป็นจริง ดีกว่าที่จะปล่อยให้ความสัมพันธ์มันคาราคาซังอยู่อย่างนี้ต่อไป



.



          หลังจากรอผลเอกซเรย์ออกและพบคุณหมอเจ้าของไข้อีกรอบหนึ่งเพื่อเช็กอาการของแม่พลอย พอตกบ่ายอริญชย์ก็พาพิชญ์ แม่พลอย และน้องหนูกลับบ้าน พิชญ์ขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าอริญชย์เป็นคนขับรถมาด้วยตัวเอง แต่เห็นแม่พลอยอยู่ด้วย เขาเลยคร้านจะเอ่ยปากถาม เหมือนอริญชย์เองจะเดาจากสายตาของพิชญ์ออก เขาเลยเป็นฝ่ายเอ่ยอธิบายออกมาเอง

           “ฉันออกจากบ้านมาตั้งแต่เช้า เลยขี้เกียจปลุกคนอื่นมาขับรถให้”

           “คุณนอนไม่หลับหรือไง ไปแค่ฮ่องกง ไม่น่าเจ็ทแลคนะ” เพราะอารมณ์กรุ่น ๆ ตั้งแต่เมื่อวาน เลยพลอยทำให้พิชญ์กล้าต่อปากต่อคำกับอริญชย์

           “ห่วงคนที่โรงพยาบาล เลยต้องรีบมาแต่เช้า”

          พิชญ์เม้มริมฝีปากแน่น เลิกต่อความยาวสาวความยืดกับอริญชย์ คิดเองเออเองว่าอริญชย์คงหมายถึงน้องหนู

          พอกลับถึงบ้าน ป้าน้อยก็เตรียมอาหารกลางวันชุดใหญ่ไว้รอทุกคนแล้ว หลังจากจัดการกับมื้อกลางวันกันเรียบร้อย แม่พลอยก็ขอตัวไปนอนพักผ่อนเอาแรง พิชญ์ได้ยินอริญชย์โทรเรียกตุลย์กับกริชมาเจอที่ห้องหนังสือ ก่อนเขาจะพาน้องหนูออกไปเดินเล่นที่สวนด้านนอก

           “เบา ๆ ลูก อย่าวิ่ง” พิชญ์เอ็ดเจ้าตัวเล็กที่วิ่งปร๋ออยู่ข้างหน้า

           “น้องหนูไม่หกล้มหรอก พ่อพีท” เจ้าตัวเล็กโตแล้ว เริ่มหัดเถียงคนเป็นพ่อ

           “พ่อพีทไม่ได้กลัวหนูหกล้ม พ่อพีทกลัวหนูอ้วกต่างหาก เพิ่งกินข้าวมาอิ่ม ๆ”

          น้องหนูหันมายิ้มกว้างให้พิชญ์ก่อนจะยอมผ่อนฝีเท้าให้ช้าลงเมื่อเห็นสายตาดุ ๆ ของผู้เป็นพ่อ แต่พอเห็นผีเสื้อเกาะอยู่บนกอดอกไม้ เจ้าตัวก็รีบวิ่งถลาเข้าไป เล่นเอาพิชญ์ถึงกับกุมขมับ ได้แต่ยืนดูเจ้าตัวแสบวิ่งไล่ผีเสื้อไปมา หลังจากวิ่งวนอยู่สี่ห้ารอบ น้องหนูก็เดินหน้าแดงกลับมาหาพิชญ์ที่ยืนรออย่างใจเย็น คนเป็นพ่อย่อตัวลง ก่อนจะล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับเหงื่อบนใบหน้าเล็ก

          ถึงจะห้าขวบแล้ว แต่ใบหน้าของน้องหนูก็ยังเล็กแค่ฝ่ามือเขา พิชญ์ซับเหงื่อเบา ๆ ด้วยความรักก่อนจะถามเจ้าตัวที่ยืนยิ้มแป้น

           “เหนื่อยไหม เข้าบ้านกันไหมลูก”

           “น้องหนูหิวน้ำ” เจ้าตัวเล็กเริ่มโยเย

           “งั้นเราเข้าบ้านไปให้พี่นวลเอาน้ำให้ดื่ม แล้วเดี๋ยวน้องหนูไปอาบน้ำแต่งตัวให้หายร้อนดีไหมลูก”

          คนที่วิ่งเล่นจนเหนื่อยพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย ปล่อยให้พิชญ์จูงมือเข้าบ้านไม่มีอิดออด พอเข้าบ้านมา นวลก็เตรียมน้ำเย็นรอไว้แล้วอย่างรู้ใจ รอให้น้องหนูนั่งพักจนหายเหนื่อย พิชญ์ก็ให้นวลพาน้องหนูไปอาบน้ำแต่งตัว

           “ไปอาบน้ำกับพี่นวลนะ แล้วเดี๋ยวเราค่อยมาเจอกัน”

          แยกจากน้องหนูแล้ว พิชญ์ก็เดินขึ้นไปที่ห้องของตัวเอง เมื่อคืนเขาได้นอนไม่กี่ชั่วโมง เพราะมีเรื่องให้คิดจนนอนไม่หลับ เวลานี้เลยตั้งใจว่าจะขึ้นไปนอนพักเอาแรงเสียหน่อย ไม่งั้นมีหวังตอนเย็นเขาต้องนั่งสัปหงกที่โรงเรียนน้องหนูแน่ ๆ

          พอขึ้นมาถึงข้างบน พิชญ์ก็ได้ยินเสียงอริญชย์ดังลั่นออกมาจากห้องหนังสือ เขาชะงักเท้าที่กำลังจะเดินเข้าห้องตัวเอง นึกรู้ทันทีว่าอริญชย์กำลังเล่นงานกริชกับตุลย์ที่ปล่อยให้เกิดเรื่องขึ้นกับแม่พลอยและน้องหนู พิชญ์ยืนชั่งใจว่าจะทำเป็นไม่สนใจแล้วเดินกลับเข้าห้องตัวเองดีไหม แต่ตุลย์กับกริชก็พยายามช่วยเหลืออย่างเต็มที่ อย่างน้อยแม่พลอยกับน้องหนูก็ปลอดภัยกลับมา เขาถอนหายใจให้กับความใจอ่อนของตัวเอง แล้วเดินไปหยุดหน้าห้องหนังสือ ก่อนจะยกมือขึ้นเคาะประตูเบา ๆ

           “ใคร...” เสียงที่เต็มไปด้วยโทสะของอริญชย์ตวาดดังมาจากข้างใน

          ถ้าเป็นเมื่อก่อนพิชญ์คงกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อ แต่ตอนนี้เขากลับใจกล้าขึ้นมาอย่างน่าประหลาด อาจจะเป็นเพราะรู้ว่าอริญชย์ไม่ได้มองเขาเป็นแค่ของเล่น พิชญ์เลยรู้สึกเหมือนคนที่ถือไพ่อยู่ในกำมือ

           “ผมเอง”

           “มีอะไร...”

          พิชญ์ส่ายหน้าเมื่อได้ยินเสียงอริญชย์ตะโกนถามอีกครั้ง ดูท่าว่าจะไม่ยอมให้เขาเข้าไปจริง ๆ พิชญ์เองก็ไม่ได้อยากเสียมารยาทเท่าไหร่นัก เขาเลยเอ่ยบอกเจ้าของห้องเสียหน่อย ก่อนที่จะเปิดประตูเข้าไป

           “ขอผมเข้าไปข้างในหน่อยครับ”

          พอเปิดประตูเข้าไป พิชญ์ก็ต้องขมวดคิ้วกับภาพที่เห็น อริญชย์ยืนอยู่หลังโต๊ะทำงาน ส่วนตุลย์กับกริชยืนอยู่มุมหนึ่ง ห่างออกมาประมาณหนึ่งช่วงแขน บนพื้นมีที่ทับกระดาษแตกกระจายอยู่ พิชญ์กวาดสายตามองรอบห้องอย่างพิจารณา ก่อนจะเอ่ยถามเสียงเรียบ ๆ

           “เกิดอะไรขึ้นครับ”

           “ไม่มีอะไร” คนถูกถามเอ่ยปฏิเสธทันควัน

           “คุณใหญ่...”

          ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่พิชญ์กล้าทำเสียงแข็งใส่อริญชย์แบบนี้ แต่หน้าแปลกที่อริญชย์เองกลับไม่ยักโกรธ มิหนำซ้ำยังพอใจมากเสียด้วย แต่พอเหลือบไปเห็นลูกน้องสองคนยืนอยู่ ความพอใจก็ลดฮวบลง รีบถลึงตาดุ ๆ ใส่ก่อนจะโบกไม้โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ไปให้พ้นหูพ้นตา

           “พวกนายสองคน จะไปไหนก็ไป ออกไปได้แล้ว”

          ทั้งตุลย์และกริชก็รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง รีบต่างคนต่างสะกิดกัน แล้วเดินออกจากห้องทันที ตุลย์เกือบจะหวังดีล็อคประตูห้องให้อริญชย์แล้ว แต่กลัวถูกด่าเลยยั้งมือไว้ก่อน เขาลืมไปว่าห้องหนังสือของอริญชย์ ถ้าเจ้าตัวไม่เอ่ยปากอนุญาต ใครหน้าไหนก็ไม่กล้าเข้า เพิ่งจะมีพิชญ์เป็นคนแรก ที่ไม่รอให้เจ้าของห้องอนุญาตก็เดินดุ่ม ๆ เข้าไปเลย

          คล้อยหลังตุลย์กับกริชแล้ว ในห้องก็เหลือแค่อริญชย์กับพิชญ์ อริญชย์เดินอ้อมโต๊ะมาหาพิชญ์ที่ยืนอยู่กลางห้อง เขาเอาปลายเท้าเขี่ยเศษที่ทับกระดาษไปทางหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจนัก ก่อนจะถามถึงหลานสาวที่เมื่อกี้ยังเห็นวิ่งเล่นอยู่ด้วยกันที่สวน

           “น้องหนูล่ะ”

           “ให้นวลจับอาบน้ำแต่งตัวแล้วครับ” ตอบแล้วก็นึกได้ว่าเจ้าตัวกำลังเฉไฉเปลี่ยนเรื่อง พิชญ์เลยรีบดึงกลับมาเรื่องเดิมที่คุยค้างไว้ “เมื่อกี้ก่อนผมเข้ามา เกิดอะไรขึ้น”

           “ไม่มีอะไร คุยงานกันเฉย ๆ”

           “คุยกันจนถึงกับเขวี้ยงที่ทับกระดาษเลยหรือครับ”

          ถูกพิชญ์ยอกย้อนกลับมาแล้วอริญชย์ก็ถึงกับนิ่งไป ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างยอมแพ้

           “เดี๋ยวนี้พีทของฉันฉลาดขึ้นทุกวัน”

          สรรพนามที่อริญชย์เรียกเขาก็ชวนจั๊กจี้ขึ้นทุกวัน...พิชญ์ได้แต่คิดในใจ

           “คุณใหญ่ว่าตุลย์กับกริชเรื่องเมื่อวานนี้ใช่ไหม เรื่องนี้คุณใหญ่เองก็มีส่วนผิดนะ ผมยังไม่หายโกรธคุณใหญ่เลย ถ้าแม่พลอยหรือน้องหนูเป็นอะไรขึ้นมาจริง ๆ ผมจะไม่ให้อภัยคุณไปตลอดชีวิตแน่”

          ถึงแม้ก่อนหน้านี้เวลาอริญชย์จะชอบพูดจาร้าย ๆ กับเขา พิชญ์ก็ยังอดทนเพราะเป็นตัวเขา แต่หากคนที่เดือดร้อนคือแม่พลอยและน้องหนูเมื่อไหร่ พิชญ์ก็พร้อมเอาเรื่องกับอริญชย์เหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากต้นสายปลายเหตุของความเดือดร้อนนั้นเกิดจากปัญหาบ้า ๆ ระหว่างอริญชย์กับราชันย์

           “ต้องทำยังไง...พีทถึงจะหายโกรธฉัน”

          คนถูกเอ่ยถามกลับมาตรง ๆ หน้าร้อนวูบ แต่รีบคุมสติตัวเองแล้วเอ่ยตอบกลับไป

           “อย่าให้เกิดเหตุการณ์แบบเมื่อวานขึ้นอีกได้ไหมครับ ผมขอร้อง...”

           “ฉันสัญญา...จะไม่ยอมให้มีอะไรเกิดขึ้นกับนาย น้องหนู แล้วก็แม่พลอยเด็ดขาด”

          ถ้อยคำที่เอื้อนเอ่ยสัญญานั้นจริงจังจนพิชญ์ต้องเป็นฝ่ายเฉไฉหลบตาหนี เขากลัว...กลัวความชัดเจนจากแววตาของอริญชย์ ตอนนี้เขายังเป็นคนมีพันธะอยู่ แม้จะยอมรับว่ารู้สึกดีกับอริญชย์ขึ้นมาไม่น้อย แต่เขาก็ยังไม่ควรปล่อยใจให้ถลำลึกลงไป ตราบใดที่เขายังสวมแหวนแต่งงานที่นิ้วนางข้างซ้ายอยู่

          อริญชย์เห็นพิชญ์เสหลบตาจากเขาก็อยากจะถอนหายใจออกมา ระหว่างเขากับพิชญ์ตอนนี้ ยังเหมือนมีอะไรมาขวางกั้นอยู่ ทั้งที่เขายอมเดินหน้ามาไกลขนาดนี้แล้ว แต่พิชญ์เองกลับไม่กล้าที่จะเดินมาหาเขาเสียที

          ถ้าถามว่าท้อไหม อริญชย์ตอบเลยว่ามีบ้าง แต่ถ้าถามว่าจะถอยไหม เขาก็ตอบได้เลยเหมือนกันว่าไม่

          ถ้าเขาคิดจะถอย เขาคงไม่เลือกเดินบนทางนี้ตั้งแต่แรก เพราะตั้งใจไว้แล้วว่าชีวิตเขาหลังจากนี้จะต้องมีพิชญ์อยู่ด้วยกัน ในเมื่อพิชญ์ไม่ยอมเดินมาหาเขาด้วยตัวเองเสียที ก็อย่าหาว่าเขาใจร้ายแล้วกัน ถ้าเขาจะเป็นฝ่ายเดินไปลากพิชญ์ให้เดินไปด้วยกัน

           “ที่เมื่อเช้าคุณใหญ่บอกผมว่าปัญหาใกล้จะจบแล้ว หมายความว่ายังไงหรือครับ”

           “เดี๋ยวรอให้เรื่องทุกอย่างเข้าที่เข้าทางก่อนนะ แล้วฉันจะเล่าให้นายฟังทั้งหมด”

          เห็นอีกคนยังไม่พร้อมที่จะอธิบาย พิชญ์ก็ไม่อยากซักไซร้ พอเห็นว่าไม่มีอะไรแล้วก็หมุนตัวเตรียมจะเดินออกจากห้อง แต่กลับถูกอีกคนรั้งข้อมือเอาไว้ พอเขาหันกลับมามอง เจ้าตัวก็เอ่ยว่า

           “อย่าเพิ่งไป ฉันซื้อของมาฝากนายด้วย เดี๋ยวหยิบให้”

          พอเอ่ยถึงของฝาก พิชญ์ถึงเพิ่งสังเกตเห็นว่ามุมห้องมีถุงกระดาษวางกองอยู่เกือบสิบใบ เจ้าของห้องเดินไปค้นของในกองถุงกระดาษ ก่อนจะเอ่ยพึมพำ แต่จงใจให้คนฟังได้ยิน

           “ฉันซื้อของมาฝากแม่พลอยด้วยนะ ฝากนายเอาไปให้ที”

           “คุณใหญ่เป็นคนซื้อมาก็เอาไปให้เองสิ”

           “งั้นก็ได้... นี่ไง เจอของนายแล้ว”

          อริญชย์เดินกลับมาหาพิชญ์พร้อมกล่องกระดาษสองกล่อง พอเห็นยี่ห้อแบรนด์เครื่องหนังอิตาลีที่ปรากฏอยู่บนกล่อง พิชญ์ก็ขมวดคิ้วทันที แม้เขาเองจะไม่ใช่คนที่ชื่นชอบแบรนด์เนมเท่าไหร่นัก เพราะเห็นว่าราคาค่อนข้างสูงเกินฐานะเขา แต่การใช้ชีวิตอยู่กับอริญชย์และไอลดาก็พลอยทำให้เขารู้จักของแบรนด์เนมพวกนี้ รวมทั้งมูลค่าของมัน

           “รับไปสิ” อริญชย์เร่ง เมื่อเห็นว่าพิชญ์ยังยืนนิ่ง

           “ผมบอกให้ซื้อแค่ขนมกลับมาไง ซื้อของฟุ่มเฟือยกลับมาอีกแล้ว”

           “ฉันไม่ได้ซื้ออะไรให้นายบ่อย ๆ เสียหน่อย รับไปเถอะ”

          พิชญ์รับมาก่อนจะเปิดออกดู กล่องเล็กเป็นกระเป๋าเงิน แบบที่เขาเห็นแวบแรกก็นึกชอบสีและดีไซน์แล้ว ต้องชมว่าอริญชย์รสนิยมดีจริง ๆ ส่วนอีกกล่องเป็นเข็มขัดยี่ห้อเดียวกันที่พิชญ์น่าจะได้ใช้บ่อย ๆ เวลาทำงาน ถ้าถามว่าชอบของฝากที่อริญชย์ซื้อกลับมาให้ไหม ตอบโดยสัตย์จริง พิชญ์ก็ตอบเลยว่าเขาชอบ

           “ขอบคุณนะครับ...”

          เวลาใครทำดีกับพิชญ์ พิชญ์ก็ทำดีตอบด้วย แม้แต่อริญชย์ ถ้าหากทำดีกับเขา เขาก็จะทำดีคืนกลับไปเหมือนกัน แต่ดูเหมือนคนได้รับคำขอบคุณจะไม่พอใจแค่นั้น อริญชย์ยื่นหน้ามาใกล้ เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง

           “ช่วงที่ฉันไม่อยู่สามวัน...” เขาเว้นช่วงนิดหนึ่งให้พิชญ์รอคอย “...คิดถึงฉันบ้างไหม”
         
          คำถามโต้ง ๆ ของอริญชย์เล่นเอาคนถูกถามหน้าร้อนวูบขึ้นมาอีกระลอก เขากระดากเกินกว่าจะหาคำตอบให้ตัวเองและคนถาม พิชญ์ก้าวเท้าถอยหลังช้า ๆ เผลอแป๊บเดียวก็เผ่นหนีไปถึงประตูห้อง ก่อนจะไปยังอุตส่าห์หันมาบอกอริญชย์

           “ผมไปดูน้องหนูหน่อยดีกว่าว่าเป็นยังไงมั่ง เดี๋ยวเจอกันข้างล่างเลยนะครับ คุณใหญ่”

          อริญชย์มองตามแผ่นหลังคนที่หนีหายไปแล้วก็ได้แต่ส่ายหัว ดูท่าทางแล้วเขาคงไม่ได้คำตอบที่ตัวเองพอใจง่าย ๆ แน่ แต่เอาเถอะ เขายังมีเวลาอีกทั้งชีวิตที่จะเฝ้าถามและรอคำตอบของพิชญ์ หวังว่าคงมีซักวันที่เขาจะได้ยินคำตอบที่เขาวาดหวังจากปากของพิชญ์



.



ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25


          พอเริ่มตกเย็น หลังจากทุกคนจัดการกับตัวเองกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ลงมารออยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาบริเวณห้องรับแขก ตุลย์กับกริชรออยู่เป็นคนแรก ๆ กริชเตรียมรถตู้คันใหญ่สำหรับทั้งครอบครัวมาจอดรออยู่หน้าบ้านแล้ว

          พิชญ์จูงน้องหนูเดินลงบันไดมา ลงมาถึงก็เห็นอริญชย์กำลังนั่งคุยกับแม่พลอยอยู่ บนคอของแม่พลอยมีผ้าพันคอแคชเมียร์พันอยู่หลวม ๆ แค่มองผ่าน ๆ พิชญ์ก็เดาออกทันทีว่าผ้าพันคอราคาแพงผืนนั้นคงเป็นของฝากจากอริญชย์

          พอทุกคนพร้อมแล้วก็ออกเดินจากบ้านทันที เจ้าหญิงแสนสวยดูตื่นเต้นกว่าทุกวัน นั่งหันซ้ายหันขวาอยู่บริเวณที่นั่งแถวสอง ส่งเสียงเจื้อยแจ้วตลอดทาง พลอยทำให้คนอื่นบนรถยิ้มขำแล้วก็อารมณ์ดีตามไปด้วย

           “เอาชุดกับอุปกรณ์ของน้องหนูมาครบใช่ไหมนวล” พิชญ์หันไปเอ่ยถามนวลที่นั่งอยู่แถวหลังสุด

           “เรียบร้อยค่ะ คุณพีท”

           “พี่นวลไม่ลืมมงกุฎน้องหนูใช่ไหม” เจ้าตัวเล็กเอี้ยวตัวกลับไปถามบ้าง

           “ไม่ลืมค่ะ คนสวยของพี่นวล”

          น้องหนูยิ้มรับคำชมก่อนจะหันกลับมานั่งข้างพิชญ์ดี ๆ พอพิชญ์ลูบหัวน้องหนูเบา ๆ เจ้าตัวเล็กก็หันมามุดหน้าซุกกับอกพิชญ์ก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงอู้อี้

           “พ่อพีทขา น้องหนูอยากให้แม่เล็กมาดูน้องหนูด้วยจังเลยค่ะ”

          พิชญ์ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนอริญชย์จะเป็นฝ่ายเอ่ยตอบน้องหนูเสียอ่อนโยน

           “ไม่ต้องห่วงลูก เดี๋ยวลุงใหญ่ให้อากริชถ่ายรูปแล้วส่งไปให้แม่เล็กดู”

           “เย้ ขอบคุณค่ะ ลุงใหญ่”

          จากบ้านมาถึงโรงเรียนของน้องหนู ใช้เวลาเพียงแค่สิบห้านาทีเพราะวันอาทิตย์รถราค่อนข้างโล่ง กริชจอดส่งทุกคนลงหน้าโรงเรียน ส่วนตัวเขาขับรถไปจอดบริเวณลานจอดรถ พิชญ์เห็นว่าได้เวลาพาน้องหนูไปส่งให้คุณครูแล้ว เลยหันไปบอกอริญชย์

           “เดี๋ยวผมกับนวลพาน้องหนูไปหาคุณครู คุณใหญ่พาแม่ไปหาที่นั่งทีนะครับ ถ้าเสร็จแล้วเดี๋ยวผมโทรหา”

          อริญชย์พยักหน้ารับก่อนจะพาแม่พลอยเดินไปหอประชุม พิชญ์จูงมือน้องหนูเดินไปห้องเรียน มีนวลเดินตามหลังมา คุณครูกำลังยืนรอรับเด็ก ๆ อยู่แล้ว พอเห็นน้องหนูเดินมาก็ยิ้มรับ พิชญ์รับกระเป๋าเสื้อผ้าและอุปกรณ์ของน้องหนูจากนวลมาส่งให้คุณครู

           “ฝากด้วยนะครับคุณครู วันนี้มาดูลูกสาวกันทั้งบ้านเลย”

           “คุณพ่อไม่ต้องห่วงทางนี้นะคะ ไปรอที่หอประชุมได้เลยค่ะ เดี๋ยวแต่งตัวกันเรียบร้อยแล้วก็เตรียมขึ้นเวทีแล้วค่ะ”

          พิชญ์ยิ้มรับก่อนจะย่อตัวลงหอมแก้มลูกสาวตัวน้อย

           “เดี๋ยวพ่อพีทให้พี่นวลอยู่เป็นเพื่อนน้องหนูนะ สู้ ๆ นะครับคนเก่ง พ่อพีทเชียร์อยู่”

          หลังจากส่งน้องหนูให้คุณครูแล้ว พิชญ์ก็ยืนดูจนเห็นน้องหนูเดินไปรวมกลุ่มกับเพื่อน ๆ เขาหันมากำชับนวลให้คอยดูแลน้องหนูให้ดี ถ้ามีอะไรให้รีบโทรหาเขา ก่อนจะเดินไปที่หอประชุม

          เดินมาถึงทางเข้าหอประชุม พิชญ์เห็นอริญชย์ยืนอยู่ตามลำพังก็เดินเข้าไปหา พอเห็นพิชญ์มาแล้ว อริญชย์ก็ส่งกาแฟที่ถืออยู่ในมือให้พิชญ์แก้วหนึ่ง พิชญ์รับไปก่อนจะถามถึงคนอื่น

           “คนอื่นล่ะครับ”

           “ฉันเดินไปซื้อกาแฟมาเมื่อกี้ เลยให้ตุลย์กับกริชพาแม่เข้าไปก่อน” อริญชย์เอ่ยพลางแตะศอกพิชญ์เบา ๆ ให้เดินเข้าไปในหอประชุม

          เดินเข้ามาในหอประชุม พิชญ์ก็เห็นแม่พลอยนั่งอยู่แถวเกือบหน้าสุด มีตุลย์กับกริชนั่งอยู่ทางขวามือ เว้นที่นั่งสองที่ไว้ทางซ้าย พิชญ์นั่งลงข้างแม่พลอย อริญชย์ที่เดินหลังมาเลยนั่งข้างพิชญ์ ติดกับทางเดิน

           “แถวนี้มีร้านขายกาแฟด้วยหรือพีท เมื่อกี้แม่ไม่ยักเห็น” แม่พลอยหันมาเอ่ยถามลูกชาย เมื่อเห็นแก้วกาแฟในมือพิชญ์

           “เอาไหมแม่ พีทยังไม่ได้กินเลย”

           “ไม่เอาหรอก ขืนกินตอนนี้ มีหวังคืนนี้แม่ตาค้างพอดี”

          พิชญ์ยกกาแฟดื่ม นึกสงสัยอยู่หน่อย ๆ ที่อริญชย์เลือกกาแฟมาตรงกับความชอบของเขาพอดี เขาหยิบสูจิบัตรงานโรงเรียนที่ทำแจกขึ้นมาดู แผ่นพับเล็ก ๆ มีรายละเอียดบอกเกี่ยวกับที่มาที่ไปของงานโรงเรียน และรายการการแสดงของแต่ละชั้นเรียน

          อริญชย์ถือวิสาสะยื่นแขนข้างหนึ่งมาพาดพนักพิงของพิชญ์ด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติ ก่อนจะโน้มตัวมาดูสูจิบัตรในมือพิชญ์ คนถูกเบียดชิดถึงกับนั่งนิ่ง ก่อนจะเรียกชื่ออริญชย์เสียงดุ

           “คุณใหญ่”

          เจ้าของชื่อไม่นำพาต่อเสียงเรียก กวาดสายตาดูสูจิบัตรก่อนจะเอ่ยถาม

           “การแสดงของน้องหนูคืออันที่สามใช่ไหม”

          ลมหายใจร้อนผ่าวของอริญชย์เป่ารดอยู่ข้างแก้มพิชญ์ จนเขาเผลอเกร็งตัวขึ้นมา จะขยับหนีก็กลัวแม่พลอยจะสงสัย เขาเลยได้แต่พยักหน้าส่ง ๆ ไป ก่อนจะกระซิบเสียงลอดไรฟัน

           “คุณใหญ่ เขยิบออกไปห่าง ๆ หน่อยได้ไหม ผมอึดอัด”

          อริญชย์ยังนึกอยากแกล้งพิชญ์ต่ออีกหน่อย แต่พอเห็นใบหูของเจ้าตัวขึ้นสีก่ำ เขาเลยตัดใจผละออกมา พิชญ์ตวัดตามองอย่างนึกหมั่นไส้ก่อนจะยื่นมือไปหนีบเนื้อที่เอวจนคนถูกหยิกร้องโอ๊ยเสียงดัง เดือดร้อนให้แม่พลอยต้องหันมาดู

           “เป็นอะไรไป คุณใหญ่”

           “สงสัยจะถูกมดกัดเข้าน่ะครับ”

           “เอายาหม่องไหม แม่มี” แม่พลอยถามแล้วก็ไม่รอให้เจ้าตัวปฏิเสธ รีบก้มหาของในกระเป๋า ก่อนจะหยิบยาหม่องมายัดใส่มือพิชญ์ “ทายาให้พี่เขาหน่อยสิพีท”

          โยนหินทับเท้าตัวเองเป็นยังไง พิชญ์ก็เพิ่งเข้าใจวันนี้ หยิกอริญชย์เอง แล้วยังต้องมาทายาให้อริญชย์เองอีก คนถูกกระทำก็ช่างว่าง่าย ทำทีเป็นเลิกชายเสื้อตัวเองขึ้น พลางเอานิ้วชี้จุดให้เสร็จสรรพ พิชญ์เห็นแล้วก็อยากจะหยิกอีกเสียทีสองที เขาเอายาหม่องแม่พลอยป้ายไปตรงรอยหยิกสองทีก่อนจะดึงเสื้อปิด แล้วก็คร้านจะสนใจอริญชย์อีก

          หลังจากผู้อำนวยการโรงเรียนขึ้นมาก้าวต้อนรับผู้ปกครองและเอ่ยเปิดงาน การแสดงชุดแรกก็เริ่มต้นขึ้น เด็ก ๆ แต่งตัวด้วยชุดแฟนซีออกมาเต้นประกอบเพลง ผู้ปกครองนั่งดูพลางปรบมือเป็นระยะเมื่อจบการแสดง

          พอถึงการแสดงของชั้นเรียนน้องหนู แสงไฟค่อย ๆ หรี่ลงจนสลัว เจ้าหญิงตัวน้อยเดินออกมาจากหลังม่านช้า ๆ พิชญ์รีบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปน้องหนูเอาไว้ ก่อนจะหันไปกำชับกริชให้ถ่ายวิดีโอ การแสดงดำเนินไปเรื่อย ๆ จนเจ้าหญิงเจอกับเจ้าชาย ฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ นานา ดูแล้วคนเป็นลุงก็สงสัยจนอดถามไม่ได้

           “ทำไมน้องหนูถึงไม่มีบทพูดเลยล่ะ”

           “มีตอนท้าย ๆ ครับ น้องหนูเล่นเป็นเจ้าหญิงขี้อาย”

           “ใครเป็นคนเลือกให้เจ้าตัวแสบเล่นบทนี้เนี่ย เวลาอยู่บ้านเห็นพูดทั้งวันไม่รู้จักเหนื่อย”

          ฟังแล้วพิชญ์ก็หัวเราะขำ จริงอย่างที่อริญชย์ว่า ตอนน้องหนูเล่าว่าเจ้าตัวรับบทเป็นเจ้าหญิงขี้อาย เขาถึงกับต้องถามน้องหนูซ้ำอยู่สองรอบ เจ้าตัวเล็กของเขาเกาแก้มเขิน ๆ ก่อนจะอ้อมแอ้มตอบว่า

           ‘น้องหนูมีบทพูดสามประโยค’

          เห็นน้องหนูขยับซ้ายขยับขวา พลางส่งเสียงเจื้อยแจ้วอยู่บนเวที หัวอกคนเป็นพ่ออย่างพิชญ์ก็อดคิดไม่ได้ว่า...น้องหนูเริ่มโตแล้วจริง ๆ ทั้งแก้มยุ้ย ๆ แล้วยังตัวป้อม ๆ นั่นอีก สงสัยปิดเทอมหนนี้ เขาจะต้องสั่งลดขนมหวานลงเสียหน่อยแล้ว

          พอการแสดงละครเวทีปิดม่านลง เสียงปรบมือก็ดังกระหึ่ม ล้วนแล้วแต่มาจากบริเวณรอบ ๆ ตัวพิชญ์ทั้งนั้น พิชญ์เอียงตัวไปหาแม่พลอยก่อนจะกระซิบบอก

           “แม่ เดี๋ยวพีทไปดูลูกก่อนะ”

          แม่พลอยพยักหน้ารับ ยังคงจดจ่อกับการแสดงของเด็ก ๆ บนเวทีที่มีอย่างต่อเนื่อง พิชญ์ขยับตัวลุกจากเก้าอี้เงียบ ๆ ก้มตัวลงเล็กน้อยเพื่อไม่ให้บังผู้ปกครองแถวหลัง อริญชย์เองก็ลุกแล้วเดินตามหลังพิชญ์มาติด ๆ

           “พาน้องหนูมาแล้วจะกลับเลยไหม” อริญชย์เอ่ยถามหลังเดินออกมาจากหอประชุม

           “เดี๋ยวถามน้องหนูดีกว่าครับ ว่าจะอยู่ดูการแสดงต่อไหม”

          ลมตอนเย็นพัดมาเอื่อย ๆ โรงเรียนอนุบาลเล็ก ๆ ของน้องหนูมีสิ่งแวดล้อมอุดมสมบูรณ์ พอมาเดินอยู่ด้วยกันกับพิชญ์แบบนี้ ก็พลอยทำให้รู้สึกถึงความเป็นครอบครัวเดียวกันมากกว่าเดิม อริญชย์มองมือพิชญ์ที่อยู่ข้าง ๆ นึกอยากคว้ามาจับจูงไว้แล้วเดินไปด้วยกัน แต่กาลเทศะก็บอกเขาว่าไม่ควรทำ ได้แต่ต่างคนต่างเดิน

          พิชญ์พาอริญชย์เดินมาจนถึงห้องเรียนของน้องหนู เด็ก ๆ กำลังวุ่นวายอยู่กับการเปลี่ยนชุดการแสดงออก พอน้องหนูเห็นคุณพ่อกับคุณลุงก็รีบวิ่งตื๋อมาหา ทิ้งคุณครูและเพื่อน ๆ ไว้ข้างหลัง

           “พ่อพีทรู้ไหม เมื่อกี้น้องหนูตื่นเต้นมากเลยค่ะ”

           “แล้วตอนนี้หายตื่นเต้นยังคะ น้องหนูเก่งมากลูก”

          เจ้าตัวเล็กของบ้านยังอยู่ในชุดเจ้าหญิงสีชมพูอ่อน มงกุฎอันเล็กบนหัวเอียงกะเทเร่ตอนที่เจ้าตัววิ่งมา พิชญ์ช่วยจับให้ดี ๆ ก่อนจะหอมแก้มน้องหนูฟอดใหญ่

           “กลับบ้านกันเลยไหมคะ หรือจะอยู่ดูเพื่อน ๆ ก่อน”

          น้องหนูเอียงคอทำท่าคิดหนัก ระหว่างนั้นก็อ้าปากหาวหวอด เจ้าตัวเงยหน้ามายิ้มเขิน ๆ ให้พิชญ์ก่อนจะตอบเสียงเบา

           “กลับเลยก็ได้ค่ะ หนูง่วงแล้ว”

           “งั้นกลับชุดนี้เลยเนอะ เดี๋ยวเราค่อยไปเปลี่ยนชุดที่บ้านกัน พ่อพีทจะได้ถ่ายรูปกับเจ้าหญิงเก็บเอาไว้ด้วย”

           “ถ่ายกับลุงใหญ่ คุณย่า อาตุลย์ อากริช พี่นวลด้วยนะคะ”

           “ได้เลยครับ”

          พอเห็นสองพ่อลูกตกลงกันได้แล้ว อริญชย์เลยบอกให้พิชญ์พาน้องหนูไปลาคุณครู ส่วนเขาจะโทรหากริชให้เตรียมรถมารอ

          พิชญ์พยักหน้ารับก่อนจะอ้าปากหาวออกมาอีกคน ตอนกลางวันเขาตั้งใจจะงีบเอาแรง แต่หลังออกมาจากห้องหนังสือของอริญชย์ก็ไม่ได้งีบ ตอนนี้เลยเริ่มจะง่วงขึ้นมาอีกคนแล้วเหมือนกัน เขามองอริญชย์ก่อนจะยิ้มเขิน ๆ ออกมา แทนคำพูด ฝ่ามือใหญ่ยื่นมาลูบหัวพิชญ์เบา ๆ

           “ลุงใหญ่ลูบหัวพ่อพีทเหมือนเวลาพ่อพีทลูบหัวน้องหนูเลย” เจ้าตัวเล็กเอ่ยพลางยิ้มตาหยี มองหน้าผู้เป็นลุงที ผู้เป็นพ่อที คนเป็นลุงส่งรอยยิ้มอบอุ่นกลับมาให้ ขณะที่คนพ่อได้แต่ทำหน้ากระอักกระอ่วน

           “เดี๋ยวพอกลับถึงบ้าน ก็อาบน้ำแล้วรีบเข้านอนทั้งพ่อทั้งลูกเลยนะ ตาปรือจนจะปิดกันอยู่แล้ว”

          ฟังคำของอริญชย์แล้ว สองพ่อลูกก็หันมาสบตากัน ก่อนจะผงกออกมาโดยพร้อมเพรียงกัน เล่นเอาคนที่อายุมากสุดถึงกับต้องส่ายหน้าน้อย ๆ



TO BE CONTINUE





รีบมาลงตอนต่อให้ อาทิตย์หน้าอาจจะไม่ได้มาลงนะคะ
ขอหนีไปชาร์จแบตหน่อค่า ^^
แล้วจะรีบพาคุณใหญ่กับพีทกลับมานะคะ


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด