คู่เคี้ยง (แฟนตาซี) by #อ้ายเก้ง-บทที่ 6 (25-11-2563)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: คู่เคี้ยง (แฟนตาซี) by #อ้ายเก้ง-บทที่ 6 (25-11-2563)  (อ่าน 1937 ครั้ง)

ออฟไลน์ Popspugnik000

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 12
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-10
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************



...และยังคงเชื่อว่าเรารักกัน ยังคงรักมั่นไม่เสื่อมสลายไปตามกาลเวลา ไม่เคยจากไปไหน อาจห่างกันแค่เพียงกาย แต่หัวใจยังเป็นหนึ่งเดียว ผูกสัมพันธ์เป็นคู่ผัวตัวเมีย เป็นคู่เคี้ยงเพียงกันตลอดไป

.

.

.

ใบหน้าสีขาวที่ต้องแสงจันทร์สีเงินจนเป็นประกาย รวงผมดำที่ปลิวไสวเมื่อต้องกับสายลมอ่อน ๆ แม้คราแรกที่เห็น จรินทร์จะเข้าใจว่าบุคคลผู้นี้คงเป็นหญิงสาวแสนสวย ที่หลีกลี้หนีผู้คนมาเพื่อขับกล่อมบทบรรเลงเพลงขลุ่ยตามลำพังในยามวิกาล แต่พอได้เห็นถึงแผ่นอกอันเปลือยเปล่าและแบนราบของเจ้าของร่างนี้แล้ว บุคคลผู้นี้ก็คงจะเป็นผู้ชายอย่างนั้นสินะ

...ผู้ชายอะไรหนอ ทำไมหน้าตาถึงได้หวานถึงเพียงนี้นะ?

ดั่งภุมรินที่หลงใหลในกลิ่นหอมของดอกไม้ แค่ต่างกันตรงที่ภุมรินตัวนี้ กลับหลงใหลในบทเพลงที่ดอกไม้ป่าได้บรรเลงออกมาแทน ขับกล่อมเป็นทำนองอันแสนสดใส ล่องลอยผกผินบินไป เป็นความรู้สึกไม่ต่างอะไรกับขนนกที่ล่องลอยไปกับบทเพลงนี้เลย


.

.

.

***ตำเตือน! นิยายเรื่องนี้ถูกเขียนขึ้นมาเพื่อความบันเทิง ชื่อตัวละครและสถานที่ในเรื่องล้วนแล้วแต่เป็นเพียงจินตนาการของนักเขียนทั้งสิ้น หากผิดพลาดประการใดต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย***
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-11-2020 21:28:33 โดย Popspugnik000 »

ออฟไลน์ Popspugnik000

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 12
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-10
...และยังคงเชื่อว่าเรารักกัน ยังคงรักมั่นไม่เสื่อมสลายไปตามกาลเวลา ไม่เคยจากไปไหน อาจห่างกันแค่เพียงกาย แต่หัวใจยังเป็นหนึ่งเดียว ผูกสัมพันธ์เป็นคู่ผัวตัวเมีย เป็นคู่เคี้ยงเพียงกันตลอดไป


บทนำ


ผืนน้ำราบเรียบที่เงียบสงบนิ่งของ ‘แม่น้ำพัลวัน’ ได้ไหลเอื่อยอย่างเชื่องช้า สะท้อนเงาของดวงจันทร์เพ็ญที่ลอยระเด่นอยู่บนฟากฟ้าในยามราตรี ช่างสวยสดงดงามยิ่งกว่าคืนใดที่เคยพบเห็น แม้แต่กล้องในโทรศัพท์มือถือราคาแพงที่สุด ก็ไม่อาจถ่ายภาพเพื่อเก็บความงามนี้ไว้ได้

แต่ถึงแม้จะสงบเสงี่ยมเปี่ยมไปด้วยความสุขกายสบายใจสักเพียงใด แต่ความสุขเหล่านั้นได้พังทลายลงไป เมื่อได้เกิดเสียงอึกทึกครึกโครมของคนหมู่มากเข้ามาแทน

“ขอขอบคุณแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน ที่มาร่วมงานเลี้ยงฉลองแต่งงานของลูกสาวผมในครั้งนี้นะครับ”

เสียงประกาศจากไมโครโฟน พร้อมกับเสียงปรบมือของผู้คนเกือบ 50 ชีวิตที่มาร่วมงานเลี้ยงฉลองแต่งงานของลูกสาวคนเดียวของนักการเมืองดัง ผู้ที่สามารถเนรมิตรชายป่าส่วนหนึ่งให้กลายเป็นหมู่บ้านพักตากอากาศสุดโอ่อ่า ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำอันแสนกว้างขวางของแม่น้ำพัลวัล ก็ทำให้ใครคนหนึ่งได้แต่ทอดถอนใจออกมา

“แกมัวเหม่ออะไรของแกอยู่ฮะไอ้รินทร์ ทำไมไม่ไปทำความรู้จักกับหนูชิดจันทร์เธอหน่อยล่ะ”

ด้วยเสียงของผู้เป็นพ่อที่ดังขึ้นก็ทำให้ ‘ริน’ หรือ ‘จรินทร์ (จะ-ริน)’ หนุ่มน้อยวัยรุ่นอายุ 17 ปี บุตรชายคนสุดท้องของตระกูล ‘นวสกุล’ ต้องกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงอันแสนวุ่นวาย กลับมาเผชิญหน้ากับความเบื่อหน่ายท่ามกลางผู้คนมากมายที่อยู่รายล้อมรอบตัว

“ผมยังไม่ 18 เลย ทำไมจะต้องบังคับให้ผมไปทำความรู้จักกับคนนั้นคนนี้ด้วยล่ะ?”

เด็กหนุ่มกล่าวเสียงเรียบ เป็นเพราะเขาไม่ได้เต็มใจที่จะมางานเลี้ยงนี้นัก งานเลี้ยงฉลองแต่งงานของลูกสาวนักการเมืองดัง ที่เหล่าครอบครัวคนดังทั้งนักการเมืองและนักธุรกิจ ต่างก็มาร่วมงานกันอย่างคับคั่ง แต่ถ้าจะพูดให้ถูก นี่ต้องเรียกว่างานดูตัวว่าที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวคนต่อไปเสียมากกว่า เพราะทันทีที่เริ่มงาน เขาก็ถูกผู้เป็นพ่อบังคับให้ไปทำความรู้จักกับลูกสาวคนนั้นคนนี้แล้ว

“แกไม่มีสิทธิ์จะบ่นอะไรทั้งนั้นแหละ สั่งให้ทำอะไรก็ทำซะ อย่ามาเรื่องมากกับฉันได้มั้ย”

คนเป็นพ่อหน้านิ่วคิ้วขมวด คงเพราะไม่บ่อยนักที่เหล่าตระกูลดังจะมารวมตัวกันเยอะขนาดนี้น่ะ และนี่ก็เป็นโอกาสอันดีที่เขาจะหาบุตรสาวตระกูลอื่นมาหมั้นหมายกับลูกชายคนเล็กของตน เผื่อว่าวันใดวันหนึ่งครอบครัวของเขาจะได้ฐานอำนาจที่มั่นคง และได้เกี่ยวดองกับครอบครัวใดครอบครัวหนึ่งในอนาคต ซึ่งเขาก็ได้เล็ง ‘ชิดจันทร์’ บุตรีของครอบครัว ‘พันธะกร’ ครอบครัวนักธุรกิจดังให้กับลูกชายคนเล็กของตน แม้ตอนนี้จรินทร์จะยังไม่ได้แตกเนื้อหนุ่มเต็มที่ก็ตาม

“ครับ” เมื่อไม่อาจขัดคำสั่งของคนเป็นพ่อได้ หนุ่มน้อยจึงได้ตอบกลับสั้น ๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วถือแก้วน้ำส้มเดินจากไป

“นั่นแกจะไปไหน?”

“ก็ไปทำความรู้จักกับชิดจันทร์ตามที่คุณพ่อบอกไง” เด็กหนุ่มแค่นยิ้มเล็กน้อยก่อนจะยกแก้วน้ำส้มในมือขึ้นมา “แด่ครอบครัวนวสกุล” ว่าแล้ว หนุ่มน้อยก็กระดกน้ำส้มลงคอรวดเดียวแล้วเดินจากไป โดยที่อารมณ์และความรู้สึกก็เริ่มขุ่นมัวขึ้นมาแล้ว

แน่นอนว่าเขาก็ไม่ได้ไปทำความรู้จักกับชิดจันทร์แต่อย่างใด จรินทร์ได้เดินหนีมารับลมยังริมฝั่งแม่น้ำที่อยู่ไม่ห่างจากสถานที่จัดงานนัก เขาทอดสายตามองดวงจันทร์กระจ่างงามตา แล้วก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ไม่รู้ว่าทำไมการ เกิดเป็นลูกชายในครอบครัวมหาเศรษฐีมันถึงได้น่าเบื่อนัก ทั้งหวิวโหวงและเปลี่ยวเหงา แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาจะต้องมาถูกคนเป็นพ่อบังคับด้วย

ดวงจันทร์กระจ่างที่ส่องสว่างงามตาในคืนนี้แล้ว ก็ทำให้เขานึกถึงเรื่องเล่าที่แม่ของเขามักจะเล่าให้ฟังเป็นประจำ แม่ของเขามักเล่าให้ฟังว่าในคืนที่เขาเกิดมา พระจันทร์ก็ส่องแสงสีนวลผ่องสวยงามคงไม่ต่างอะไรกับคืนนี้เลย แต่ก็แปลกที่พอเห็นพระจันทร์ในคืนนี้แล้ว มันกลับทำให้เขารู้สึกเหงาและอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวเหลือเกิน

หากพระจันทร์ในคืนนี้เหมือนกับคืนนั้น ถ้าอย่างนั้นเขาก็คงเกิดมาในคืนที่เปล่าเปลี่ยวมากเลยสินะ หัวใจของเขามันถึงได้รู้สึกเดียวดาย เหมือนบางส่วนได้เว้าแหว่งหายไป

“!?”

แต่แล้วโสตประสาทของจรินทร์ก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง ที่ดังขึ้นเคล้าคลอกับเสียงของจิ้งหรีดเรไร แม้ตอนแรกเขาจะเข้าใจว่านี่คือเสียงเพลงที่ดังมาจากในงาน แต่พอเงี่ยหูฟังดี ๆ แล้ว เสียงปริศนาที่ตนได้ยินก็คือเสียงขลุ่ยนั่นเอง

“ใครที่ไหนมาเป่าขลุ่ยในเวลานี้นะ” คงเพราะความสงสัยและคล้ายกับอะไรบางอย่างได้รบกวนจิตใจ หนุ่มน้อยจรินทร์จึงตัดสินใจเดินตามเสียงนั้นไปทันที

แม้เสียงขลุ่ยจะดังก้อง แต่ก็แปลกที่เขากลับไม่พบกับที่มาของเสียงนั้นเสียที ยิ่งตามหาเหมือนยิ่งห่างไปไกล ยิ่งออกแรงเดินตามเสียงนั้นไป จรินทร์ก็ไม่พบกับสิ่งใดนอกจากหมู่มวลแมกไม้ใหญ่ และความมืดที่อยู่รายล้อมรอบกายเท่านั้น

เนื่องจากว่าสถานที่จัดงานอยู่ติดกับป่าเขาลำเนาไพร และเมื่อเดินตามหาที่มาของเสียงขลุ่ยปริศนานั้นสักเพียงใด แต่จรินทร์ก็ไม่พบอะไรเลย หนุ่มน้อยจึงตัดสินใจเดินกลับ เพราะถ้าหากเดินลึกเข้าไปกว่านี้ล่ะก็ เขาอาจจะเดินหลงป่าก็เป็นแน่

“!?”

ทว่า เสียงเพลงขลุ่ยกลับดังขึ้นอย่างชัดเจนอีกครั้ง สองจิตสองใจเสียจริงว่าจะเดินทางต่อ หรือว่าพอแค่นี้แล้วเดินกลับไปสถานที่จัดงานดี แต่ก็เพราะความสงสัยนี้แหละที่ทำให้จรินทร์เลือกที่จะเดินทางต่อ โดยที่เสียงเพลงยังคงลอยละล่อง และเคล้าคลอด้วยเสียงหรีดหริ่งเรไร และมีแสงของหิ่งห้อยเป็นประกายรับกับบรรยากาศในตอนนี้ แล้วก็ไม่รู้ว่ามันประจวบกันหรืออย่างไรที่จรินทร์ได้พบกับเจ้าของเพลงขลุ่ยในยามวิกาลนี้เข้าพอดี

แม้จะเห็นหน้าไม่ชัด แต่ด้วยแสงจันทร์ที่สาดส่องในคืนวันเพ็ญ มันก็พอทำให้เขาเห็นรูปร่างลักษณะของบุคคลปริศนาผู้นี้ได้พอสมควร

ใบหน้าสีขาวที่ต้องแสงจันทร์สีเงินจนเป็นประกาย รวงผมดำที่ปลิวไสวเมื่อต้องกับสายลมอ่อน ๆ แม้คราแรกที่เห็น จรินทร์จะเข้าใจว่าบุคคลผู้นี้คงเป็นหญิงสาวแสนสวย ที่หลีกลี้หนีผู้คนมาเพื่อขับกล่อมบทบรรเลงเพลงขลุ่ยตามลำพังในยามวิกาล แต่พอได้เห็นถึงแผ่นอกอันเปลือยเปล่าและแบนราบของเจ้าของร่างนี้แล้ว บุคคลผู้นี้ก็คงจะเป็นผู้ชายอย่างนั้นสินะ

...ผู้ชายอะไรหนอ ทำไมหน้าตาถึงได้หวานถึงเพียงนี้นะ?

ดั่งภุมรินที่หลงใหลในกลิ่นหอมของดอกไม้ แค่ต่างกันตรงที่ภุมรินตัวนี้ กลับหลงใหลในบทเพลงที่ดอกไม้ป่าได้บรรเลงออกมาแทน ขับกล่อมเป็นทำนองอันแสนสดใส ล่องลอยผกผินบินไป เป็นความรู้สึกไม่ต่างอะไรกับขนนกที่ล่องลอยไปกับบทเพลงนี้เลย

แต่ในอีกห้วงอารมณ์ความรู้สึกนั้น จรินทร์ก็สัมผัสได้ว่าเพลงขลุ่ยที่ขับกล่อมออกมา ช่างเหมือนกับว่าชายผู้นั้นกำลังบรรยายทุกความรู้สึกโดยมีขลุ่ยเป็นสื่อกลาง

เป็นทั้งความรู้สึกอ้างว้างและเปล่าเปลี่ยว เป็นทั้งความโหยหาใครสักคนที่ตนตามหามานาน เป็นความรู้สึกที่ไม่ต่างอะไรกับความรู้สึกที่เขาเป็นอยู่เลย คล้ายกับว่าความรู้สึกของเขาได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับผู้ชายคนนั้น ทำไมเขาถึงได้เกิดความรู้สึกนี้ขึ้นมานะ

แกรก!

แต่ดูเหมือนหนุ่มน้อยจรินทร์คงจะเพลิดเพลินกับเสียงเพลงมากเกินไปหน่อย ทำให้เขาไม่ทันระวังจนเผลอไปเหยียบกิ่งไม้ส่งเสียงดังรบกวนเข้า นั่นจึงทำให้เขาต้องรีบหลบซ่อนตัวอย่างไว เพราะเกรงว่าชายผู้นั้นอาจจะได้ยินเสียงของเขาแล้วก็เป็นแน่

“ฟู่ว์!” จนเมื่อมั่นใจตนยังไม่ถูกจับได้ ชายคนนั้นยังคงนั่งเหม่อมองไปไกล จรินทร์ก็ได้ลอบถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ก่อนจะแอบมองบุรุษผู้นั้นอีกครา แต่ทว่า...

“เหวอ!” บุรุษปริศนากลับมายืนถมึงทึงอยู่ตรงหน้า ทำให้จุจรินทร์ถึงกับผงะจนล้มก้นจ้ำเบ้าไปกับพื้น

“ตัวเจ้าเป็นผู้ใด เหตุไฉนถึงได้กระทำลับ ๆ ล่อ ๆ แอบมองเราอยู่นานสองนานแล้ว” น้ำเสียงอันคมเข้มและก้องกังวานไกล แต่แปลกที่มันกลับทำให้จรินทร์รู้สึกหลงใหลแม้จะได้ยินคำพูดเพียงไม่กี่ประโยค “จงเร่งแจ้งแถลงไข มิเช่นนั้นแล้วไซร้ ตัวเจ้าจักได้ตกเป็นอาหารค่ำของเราแน่”

ตกเป็นอาหารค่ำอย่างนั้นหรือ? ทำไมพอได้ยินที่คนตรงหน้าพูดถึงได้รู้สึกแปลกชอบกล

“เอ่อ...คือผมต้องขอโทษที่เข้ามารบกวนคุณนะครับ” จรินทร์ยิ้มแห้งและเกาหัวแกรก ๆ แก้เขินไปตามนิสัย แต่เมื่อสองตาได้เห็นร่างของชายคนนี้อย่างชัดเจนแล้ว

“ตัวเจ้า...มิใช่ชาวกุมภีล์นิมิตกระนั้นหรือ?” ชายผู้นั้นมีท่าทีแปลกใจ แต่แล้วก็เอื้อมมือมาจับใบหน้าของเขาพลิกไปพลิกมาแทน ทว่า “นี่ตัวเจ้าเป็นมนุษย์หรอกหรือ” พอคนตรงหน้าพูดเช่นนั้นก็แสดงความตกใจออกมา ก่อนที่จะผละจากเขาแล้วตรงไปที่ริมฝั่งแม่น้ำอย่างไว

“เดี๋ยวก่อนสิครับคุณ!” แต่แล้วจรินทร์ก็ต้องหลุดออกจากภวังค์อีกครา เมื่อชายคนนั้นทำท่าจะเดินหนีเขาไปแล้ว นั่นจึงทำให้เขารีบเดินเข้าไปดักหน้าของชายคนนั้นเอาไว้ทันที

พอได้เห็นร่างของบุรุษผู้นี้อย่างชัดแจ้ง มันก็ทำให้เขาตกอยู่ในภวังค์เล็กน้อย คราแรกก็คิดว่าผู้ชายคนนี้จะมีรูปร่างผอมเพรียวเรียวบาง รับกับใบหน้าแสนหวานและรวงผมสีดำอันยาวสลวย แต่กลับกลายเป็นว่าชายคนนี้มีรูปร่างล่ำสัน กอปรกับผิวสีขาวนวลเนียนที่สะท้อนแสงจันทร์จนเป็นประกายนี้ ก็ชวนให้หัวใจมันสั่นไหวมากเลย

แต่ในเรื่องของเครื่องแต่งกาย ก็นับได้ว่าผู้ชายคนนี้ช่างแต่งกายได้น่าแปลกตาเสียเหลือเกิน ด้วยของตกแต่งที่ดูเหมือนหลุดออกมาจากหนังจักร ๆ วงศ์ ๆ ไล่ตั้งแต่สังวาลที่คล้องพาดผ่านหน้าอก ไหนจะทองกร (กำไลแผง) ที่ห้อยอยู่เต็มแขนทั้งสองข้าง แถมชายผู้นี้ยังนุ่งโจงกระเบนสีเขี้ยวเข้มคลายกับคนในสมัยก่อนอีกด้วย ราวกับว่าคนตรงหน้าได้หลุดออกมาจากวรรณคดีไทยสักเรื่องก็ไม่ปาน

“ตัวเจ้าต้องการอันใด?” คนตรงหน้าเอ่ยถาม เรียวคิ้วสีดำเข้มนี้ก็ดูขมวดเป็นปม สงสัยคงจะไม่พอใจที่เขามายืนขวางทางเป็นแน่

“คือผมไม่ได้ต้องการอะไรหรอก ผมแค่ชอบเพลงขลุ่ยที่คุณกำลังเป่าเท่านั้นเอง” จรินทร์ตอบตามที่ตนคิด ใช่! แม้ตอนแรกเขาจะเดินตามเสียงขลุ่ยนี้มาเพราะความสงสัย แต่พอได้ยินเพลงขลุ่ยที่ชายคนนี้ขับกล่อมออกมาแล้ว มันก็ทำให้หนุ่มน้อยชอบทเพลงนี้ขึ้นมาเสียแล้ว

“ตัวเจ้าชอบเพลงขลุ่ยเรากระนั้นหรือ?” ใบหน้าคมได้รูปยังคงหน้านิ่วคิ้วขมวดเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือมองขลุ่ยเพียงออในมือแล้วเอียงคอมองจรินทร์เล็กน้อย

“ครับ ผมชอบจริง ๆ นะ คุณเป่าขลุ่ยได้เพราะมากเลยล่ะ” บทเรียนแรกของการผูกมิตรคือรอยยิ้มต้องแสดงออกมาจากใจจริง แม้เขาจะไม่ได้ชอบเข้าสังคมเท่าใดแต่จรินทร์ก็ได้ถูกอบรมเรื่องนี้มาโดยเฉพาะ

“กระนั้นหรือ?” อะไร ๆ ก็ลงท้ายด้วยคำว่า ‘หรือ’ การพูดการจาของชายคนนี้ช่างดูแปลกอย่างไรชอบกล แม้จะหน้านิ่วคิ้วขมวด แต่ก็คงความเงียบขรึมไม่ค่อยแสดงความรู้สึกใด แต่พอฟังดูแล้วก็รู้สึกขัดหูอย่างไรไม่รู้

“ใช่ครับผม” แต่จรินทร์ก็ตอบกลับอย่างเป็นมิตรเช่นเดิม

เรียวคิ้วสีดำยังคงขมวดเข้าหากัน ดวงตาสีเหลืองบุษราคัมที่ส่องแวววาวจนทำให้เขานึกกลัว ก็ยังคงจ้องมองเขาอยู่นาน กระทั่งสองคิ้วที่โก่งงามเป็นคันศรก็ได้คลายปมลง พร้อมกับน้ำเสียงอันนุ่มนวลก็ได้ตอบกลับมาว่า

“เช่นนั้น...ก็นั่งลงก่อนสิ” ว่าแล้วชายผู้นั้นก็เชื้อเชิญให้จรินทร์ไปนั่งลงใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่อยู่ใกล้ ก่อนจะล้มตัวลงนั่งข้างเคียงกัน

“เอ่อ...คุณเป็นใครอย่างนั้นเหรอครับ? ทำไมถึงมานั่งเป่าขลุ่ยในที่มืด ๆ คนเดียวล่ะ?” และเมื่อนั่งลงกับพื้นแล้วหนุ่มน้อยจรินทร์ก็ได้เปิดบทสนทนาขึ้นมาทันที

“เราเป็นผู้ใดไม่สำคัญ ตัวเจ้านั้นต่างหากที่เป็นผู้ใด เหตุไฉนถึงได้เข้ามาเดินในป่าลึกตามลำพังเช่นนี้” เรียกแทนตัวเองว่าเรา เรียกแทนตัวเขาว่า ‘ตัวเจ้า’ คำพูดคำจาของชายคนนี้ฟังดูพิลึกจริง ๆ นั่นแหละ ว่าแต่...ตัวเจ้านี้คล้ายกับ ‘ออเจ้า’ หรือเปล่านะ?

“พอดีผมได้ยินเสียงขลุ่ยที่คุณเป่าก็เลยเดินตามมาดูน่ะครับ”

“กระนั้นหรือ...หึ! ไม่คิดมาก่อนว่าเราอยู่ห่างไกลถึงเพียงนี้แล้ว แต่ก็มีมนุษย์หูดีมาได้ยินเสียงเพลงของเราได้ ตัวเจ้าช่างหูดีเสียจริงเลยนะ” เป็นคำพูดที่ตอบกลับมาด้วยสุ้มเสียงปกติ แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมจรินทร์ถึงได้รู้สึกว่าตนกำลังถูกหลอกด่านัก

“เอ่อ...” เกิดอาการอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ อย่างบอกไม่ถูก

“แต่ก็เอาเถิด เราขอบคุณที่ตัวเจ้าชื่นชอบในบทเพลงของเรานะ” แม้จะมองเห็นแววตาไม่ชัดนัก แต่จรินทร์กลับสัมผัสได้ว่าดวงตาของชายคนนี้ช่างลึกล้ำราวกับมหาสมุทรอันไร้ก้นบึ้งเลย ทั้งลึกลับและเย็นชา จนคาดเดาไม่ออกว่าสีหน้าที่แสดงออกมาได้ไปในทิศทางเดียวกับจิตใจด้วยหรือไม่

“ว่าแต่ คุณมีชื่อว่าอะไรเหรอครับ? ผมมีชื่อว่าจรินทร์นะครับ ยินดีที่ได้รู้จัก”

“เรามีชื่อว่า ‘พันวัง’ เช่นกัน เรายินดีที่ได้รู้จักตัวเจ้า” พันวังอย่างนั้นหรือ? ช่างเป็นชื่อที่ดูแปลกเสียจริง แต่ถ้าดูจากการแต่งกายและสำเนียงภาษาที่เหมือนหลุดออกมาจากวรรณคดีไทยแล้ว คิดว่าชื่อพันวังก็คงจะเหมาะสมกับเจ้าตัวแล้วล่ะมั้ง

“ชื่อคุณดูแปลกจังเลยนะครับ” จรินทร์ยิ้ม

“ก็อาจใช่ หึหึหึ!” ส่วนพันวังเองก็ยิ้มรับ

“เอ่อคือ...มันจะเป็นการรบกวนเกินไปมั้ยครับ ถ้าผมขอให้คุณพันวังเป่าขลุ่ยให้ผมฟังอีกครั้ง”

แม้จะเป็นคำขอร้องธรรมดา ๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมตอนนี้จรินทร์ถึงได้รู้สึกเกรงใจที่จะขอร้องอีกฝ่ายไปเช่นนั้น อาจเป็นเพราะเขาเองก็ยังไม่ได้สนิทชิดเชื้ออะไรกับพันวังมากนัก แต่ในเมื่อปากมันได้ขอร้องออกไปแล้วก็คงต้องรอรับกับคำตอบที่ตอบกลับมาแล้วนั่นแหละ

“ตัวเจ้าต้องการให้เราเป่าเพลงใดเล่า?”

“ไม่รู้สิครับ ผมไม่ค่อยรู้เรื่องเพลงขลุ่ยเท่าไหร่” ชีวิตนี้ไม่ค่อยได้สัมผัสกับอะไรที่เป็นไทย ๆ จึงไม่แปลกอะไรถ้าเด็กสมัยใหม่อย่างเขาจะไม่รู้จัก แต่พอมาคิดดูแล้ว เขาก็คงจะพอนึกออกอยู่แค่เพลงเดียว “คุณเป่าขลุ่ยเป็นเพลงเมื่อครู่นี้ได้หรือเปล่าครับ?”

พอได้ยินที่หนุ่มน้อยจรินทร์เอ่ยออกมา มันก็ทำให้พันวังชะงักเล็กน้อย “เพลงเมื่อครู่นี้หรือ?”

“ครับ”

“ตัวเจ้ารู้หรือว่าเพลงที่เราเป่าเมื่อครู่นี้เป็นเพลงอันใด?”

“ผมไม่รู้หรอกครับ แต่ผมรู้ว่าเพลงนั้นมันเพราะมากเลยครับ” นั่นแหละคือเหตุผล หากแต่ในความเป็นจริงอีกข้อ จรินทร์รู้สึกว่าเพลงนี้มันสะกิดหัวใจอย่างไรชอบกล บางทีถ้าได้ยินเพลงนี้อีกครา เขาอาจจะได้คำตอบนี้ก็เป็นได้ “แล้วเพลงนี้ชื่อว่าอะไรเหรอครับ?”

เงียบอยู่พักหนึ่งแล้วตอบว่า “เพลงนี้มีชื่อว่าเพลง ‘จินตา’ เป็นเพลงที่เรา...ที่บุรุษผู้หนึ่งเคยแต่งให้คนรักของตน” แต่พันวังกลับเงียบอีกครั้ง ราวกับว่ามีอะไรบางอย่างที่มันทำให้ตนอธิบายออกมาได้ยาก “ถ้าตัวเจ้าต้องการสดับตรับฟัง เราก็พร้อมจะขับขานบทเพลงให้เจ้าตามต้องการ”

ว่าแล้วเขาก็แค่นยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มที่ทำให้หัวใจของจรินทร์เต้นไม่เป็นจังหวะอย่างไรชอบกล ทำไมเขาถึงได้เกิดความรู้สึกนี้ขึ้นมานะ ทำไมถึงต้องหวั่นไหวกับผู้ชายด้วยกันอย่างพันวังคนนี้ด้วย ราวกับว่าหัวใจเองมันก็ได้ร่ำร้องหาผู้ชายคนนี้ ไม่แพ้กับเสียงดนตรีที่ตนอยากฟังเลย

“ขอบคุณนะครับ”

จรินทร์จึงได้เบนหน้าหนีไปอีกทาง เพื่อปรับอารมณ์และความรู้สึกของตนให้เป็นปกติที่สุด ส่วนพันวังก็ได้หยิบขลุ่ยเพียงออในมือของตนขึ้นมา สูดอากาศเข้าปอดของตนเล็กน้อย แล้วขับกล่อมเป็นเพลงขลุ่ยอันแสนไพเราะตามที่จรินทร์ได้ร้องขอ

เป็นเสียงเพลงเย็นเยือกในราตรี เป็นบทกวีที่บรรยายด้วยทำนอง แม้จะได้สดับตรับฟังสักกี่ครั้ง มันก็ช่างใสเย็นจนทำให้หัวใจที่ขุ่นมัว ส่องสว่างดั่งแสงจันทร์ที่ต้องลงกลางใจ

หนึ่งผู้ขับกล่อมเสียงดนตรี หนึ่งผู้มีความสุขจากเสียงเพลงที่ดังอยู่เคียงข้าง แม้จรินทร์จะเพิ่งรู้จักพันวังในเวลาไม่นาน แต่ก็แปลกที่ผู้ชายคนนี้กลับทำให้เขาผ่อนคลายสบายใจ ราวกับว่าภาระอันหนักอึ้งมันได้อันตรธานหายไปก็ไม่ปาน

พันวังเองก็เช่นกัน แม้ตอนแรกจะตกใจเมื่อเห็นว่ามีมนุษย์เข้ามาใกล้ชิดตน แต่พอได้พูดคุยและสนทนากัน ได้อยู่ใกล้กันไม่ถึงคืบ แต่มันก็ทำให้เขารู้สึกพิลึกและเกิดความรู้สึกอันแปลกประหลาดขึ้นมาภายในหัวใจ ราวกับว่าจรินทร์คนนี้กำลังทำให้หัวใจของเขาต้องสั่นไหวเลย


จนเวลาผ่านไปไม่นานนัก จากการนั่งรับฟังเสียงดนตรีจากผู้ที่อยู่เคียงข้าง บัดนี้มันก็ได้กลายเป็นการที่จรินทร์ได้นอนหนุนตักของพันวังไปเสียแล้ว แม้คราแรกเขาจะปฏิเสธเสียงแข็งแล้วนะ แต่สุดท้ายเขาก็ต้องพ่ายให้กับการบังคับขู่เข็ญแต่เต็มใจให้ผู้ชายคนนี้แทน

“คุณพันวังครับ ผมบอกอะไรบางอย่างกับคุณได้มั้ย?”

“ตัวเจ้าต้องการบอกสิ่งใดกับเราหรือ?”

“การได้ฟังคุณเป่าขลุ่ย มันทำให้ผมมีความสุขมากเลยครับ” ยิ้มแล้วเบนสายตาไปทางอื่นอย่างเอียงอาย

“กระนั้นหรือ? หึ ๆ ” หัวเราะเบา ๆ แล้วลอบมองหน้าผู้ที่นอนหนุนตักของตน “เราเองก็มีความสุขเช่นเดียวกัน เป็นความสุขที่เราไม่ได้พบพานมานาน”

แม้อีกฝ่ายจะอยู่กันคนละภพ แม้อีกคนจะเป็นมนุษย์ธรรมดา แต่ก็แปลกที่พันวังกลับเกิดความสุขเกษมเปรมปรีดิ์อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ราวกับความเหงาความโหยหาได้ถูกเติมเต็ม แม้จะเป็นชั่วระยะเวลาแสนสั้น แต่เหมือนเขากับจรินทร์จะเคยสนิทสนมกลมเกลียวกันมาก่อนก็ไม่ปาน

...เหมือนเราสองเคยพบกัน

แต่แล้วสายตาของคนทั้งคู่ก็ได้เผลอจ้องประสานกัน เกิดเป็นความรู้สึกอันแปลกประหลาด คล้ายกับมีเส้นใยบาง ๆ ได้ส่งสายมาเชื่อมโยงกันและกันเอาไว้ ดั่งอีกครึ่งของจิตวิญญาณได้ถูกเติมเต็ม พอรู้ตัวอีกที พันวังก็ได้โน้มใบหน้าเข้ามา พร้อมกับกลีบปากที่ได้เข้าประกบจูบลงบนริมฝีปากของจรินทร์ และเรียวลิ้นหนาก็ได้ชำแรกเข้าสู่โพรงปากของอีกฝ่าย เกี่ยวรัดและดูดกลืนกันและกันไปแล้ว

เป็นจูบแรกในชีวิต เป็นรสสัมผัสอันแสนหอมหวานที่เขาไม่เคยลิ้มลองจากที่ใดมาก่อน แม้จะเกิดความรู้สึกพิลึก กึกกือ แต่จรินทร์ก็น้อมรับรสสัมผัสของอีกฝ่ายอย่างเต็มใจ และเผลอไผลไปกับความหวาน ที่แผ่ซ่านมาจากเรียวลิ้นของของพันวังแล้ว

เนิ่นนานที่ริมฝีปากของทั้งสองแบบชิดกัน ดูดดึงกันและกันดั่งภุมรีดูดน้ำหวานจากดอกไม้ เป็นมธุรสที่ไม่มีสิ่งใดเปรียบ เป็นรสชาติที่แม้แต่ขนมหวานเลิศรสไม่อาจเทียบเคียง จนความหวานก็ได้ไหลเยิ้มรอบปากของจรินทร์แล้ว

“อา แฮก...แฮก!”

พันวังได้ผละใบหน้าออก ตอนนี้ทั้งคู่ต่างหอบหายใจแรงอย่างเหนื่อยอ่อน แต่ชายหนุ่มผมยาวก็หาได้ให้หนุ่มน้อยพักนานกว่านี้ไม่ เขาได้ขยับกายเข้ามา ลุกลี้ลุกลนปลดกระดุมเสื้ออีกฝ่ายอย่างไว ก่อนจะกอบกุมมือทั้งสองข้างของจรินทร์เอาไว้ แล้วซุกไซ้ไล้โลมไปบนซอกคอของเด็กหนุ่ม

“อ้า!” จรินทร์ร้องลั่น เมื่อปลายจมูกของพันวังได้ไล้โลมไปบนซอกคอของตน ร่างกายสั่นระริก ขนทุกเส้นลักชัน จนแม้แต่ส่วนที่อ่อนนุ่มกลางลำตัวก็ได้ลุกชูชันดันเป้ากางเกงของตนแล้ว

“อือ...อืม!”

“อือ~! ค...คุณพันวังครับ”

แม้อีกฝ่ายจะส่งเสียงกระเส่าเคล้าคลอดังออกมา แต่ตอนนี้พันวังเริ่มหน้ามืดจนไม่อาจได้ยินเสียงใดได้แล้ว ด้วยความหวานที่ฉาบฉางอยู่บนผิวกาย มันก็ทำให้เขาต้องการโลมเลียฉกชิมความหวานนี้ให้มากที่สุด และด้วยกลิ่นหอมอันแปลกประหลาดที่ลอยฟุ้งมานี่เอง มันก็ได้ปลุกสัญชาตญาณบางอย่างของพันวังขึ้นมาแล้ว

“อ้า!”

พันวังก็ได้ฝังคมเขี้ยวของตนลงบนลำคอของจรินทร์ เพียงแค่ขบกัดเบา ๆ ก็ทำเอาหนุ่มน้อยถึงกับดิ้นพล่านไปมา เป็นความเจ็บปวดที่สุดเท่าที่ชีวิตนี้เคยสัมผัส แต่แปลกที่เขาเกิดความรู้สึกเสียววาบไปทั่วทั้งร่างกาย คล้ายกับถูกกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน จึงกลายเป็นความทรมานและความเสียวกระสันใคร่ เกิดเป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบายได้ถูก

กระทั่งความทรมานก็ได้สิ้นสุดลงเมื่อพันวังได้คลายคมเขี้ยวของตนออก แต่ฉับพลันทันใดนั้นเอง ก็ปรากฏตราสัญลักษณ์ขึ้นบนคอของเขา ดวงตราลัญจกรคล้ายกับ 2 มือที่เกาะเกี่ยวกัน ผูกดวงวิญญาณและโชคชะตา ผูกพันธะเป็น ‘คู่เคี้ยงเพียงกัน’ ตลอดไป

ส่วนจรินทร์นั้นก็ได้แต่หอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน คงเพราะเพิ่งผ่านพิธีกรรมครั้งสำคัญมาจึงทำให้เขารู้สึกอ่อนเพลียมากเลย สองตาก็เริ่มหนักอึ้ง สติสัมปชัญญะเองก็ใกล้จะดับวูบลงเต็มทีแล้ว และเมื่อไม่อาจคงสติไว้ได้ จรินทร์ก็ค่อย ๆ หลับตาลงแล้วปล่อยให้จิตสำนึกของตนดำดิ่งสู่ห้วงนิทราไป พร้อมกับภาพสุดท้ายที่พันวังได้เข้ามาจุมพิตลงบนหน้าผากของเขาอย่างแผ่วเบา


ผ่านไปสักพัก...

“ริน...ไอ้จรินทร์!”

“อืม...”

“ไอ้จรินทร์!”

ไม่รู้ว่าจรินทร์เผลอหลับไปนานแค่ไหน แต่พอรู้ตัวอีกที สองหูของเขาก็ได้ยินใครคนหนึ่งกำลังเรียกชื่อของเขาแล้ว

“ไอ้จรินทร์ แกมานอนอะไรตรงนี้เนี่ย?”

“อือ! พี่จิรา...เหรอ?” และเมื่อสองตาได้ลืมตาตื่นขึ้นมา หนุ่มน้อยก็พบว่าผู้ที่กำลังปลุกเขานั้นก็คือ ‘จิรายุ’ พี่ชายคนโตของเขานั่นเอง

“มีอะไรเหรอ? แล้วมาเรียกผมทำไม?” จรินทร์เอ่ยถามพลางหาวออกมาวอดใหญ่

“แกหายไปไหนมาฮะ รู้มั้ยว่าฉันกับคุณพ่อพาตามหาแกให้ทั่วเลย” จิรายุพูด แล้วยืนกอดอกมองผู้เป็นน้องชายต่างแม่ของตนเล็กน้อย

“ผมไม่ได้หายไปไหน ผมก็แค่ออกมารับลมเท่านั้นเอง”

หนุ่มน้อยจรินทร์ตอบกลับ แต่แล้วเขาก็ต้องแปลกใจ เมื่อพบว่าตนได้มานั่งหลับอยู่ที่ริมระเบียงซึ่งอยู่ภายในสถานที่จัดงาน หาได้เป็นป่าดงรกชัฏในคราที่เขานอนหนุนตักพันวังเมื่อครู่นี้เลย แต่เอ๊ะ! แล้วพันวังหายไปไหนเล่า เขาจำได้ว่าเขาเผลอหลับไปเดี๋ยวเดียวเองนี่นา แล้วตอนนี้ผู้ชายคนนั้นหายไปไหนแล้วนะ?

“แล้ว...แล้วคุณพันวังไปไหน? พี่เห็นคุณพันวังมั้ย?”

“ใครวะ? ฉันไม่เห็นใครเลยนะนอกจากแกน่ะ” จิรายุตอบกลับ แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไรก็ในเมื่อเขานอนหนุนตักของพันวังอยู่เลยนี่นา

“มัน...มันจะเป็นไปได้ยังไง ก็เมื่อกี้นี้ผม...” แต่แล้วจรินทร์ก็พบว่าในมือของเขาได้กำขลุ่ยเพียงออเลาหนึ่งเอาไว้ ขลุ่ยเพียงออที่ว่าน่าจะเป็นเลาเดียวกันกับขลุ่ยของพันวัง ทำไมขลุ่ยเลานี้ถึงได้มาอยู่ในมือแทนที่จะเป็นพันวังที่อยู่ข้างกายของเขาแทนล่ะ?

“แกนี่มันถ้าจะเลอะเทอะใหญ่แล้วนะ” แม้ผู้เป็นพี่ชายต่างมารดาจะแสดงกิริยาไม่ค่อยพอใจ แต่จรินทร์ก็ไม่ได้คิดใส่ใจนอกจากยืนนึกคิดถึงเหตุการณ์ที่เขาประสบพบเจอมาเมื่อครู่

สิ่งเขาเจอมามันคือภาพฝันกระนั้นหรือ หากเป็นเพียงแค่ความฝัน เหตุไฉนจึงได้มีขลุ่ยเพียงอออยู่ในมือของเขา และถ้าหากมันเป็นเพียงแค่จินตนาการ เหตุใดเขาจึงได้รู้สึกปวดแปลบแสบสันบนซอกคอของเขาเล่า เพียงแค่ลองสัมผัสบนซอกคอด้านที่ถูกพันวังประทับตรามา เขาก็รู้สึกแสบขัดผิวปนความสยิวนี้แล้ว

“กลับเข้าไปในงานซะ แล้วอย่าออกมาเพ่นพ่านอีก แกรู้มั้ยว่าแกกำลังจะทำให้ฉันพลาดสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของฉันน่ะ”

“อืม!” สุดท้ายด้วยความรำคาญใจ จรินทร์ก็จำต้องทำตามที่จิรายุผู้เป็นพี่ชายออกคำสั่ง โดยที่สมองก็ยังคงเก็บความฉงนสนเท่ห์เอาไว้ แล้วนึกคิดว่าที่ตนได้พบเห็นมานั้นคือเรื่องจริง หรือเป็นเพียงภาพฝันที่เขาจินตนาการขึ้นมา

ทว่าทุกการกระทำของเขานั้น ก็ได้อยู่ในสายตาของผู้ที่เขากำลังใช้ความคิดเพื่อหาคำตอบนั้นแล้ว นัยน์ตาคม 2 ดวงที่โผล่พ้นขึ้นมาเหนือน้ำ เฝ้ามองดูจรินทร์ที่เดินจากไป สายตาของทายาทพญากุมภีล์ผู้ยิ่งใหญ่ สายตาของพันวัง พญาจระเข้ยักษ์สีนิลดำแห่งวังกุมภิล

...หากโชคชะตานำพา

ขอให้เราสองกลับมาพบพากันอีกครั้ง...

...กลับมาครองคู่กัน

เป็นคู่เคี้ยงเพียงกันตลอดไป...



นิยายเรื่องนี้ไม่มีการเม้น "ต่อ" นะครับ


อยากให้คอมเมนต์ทุกครั้งที่ลงนิยายให้อ่านจังครับ คงฮีลใจได้น่าดู
2-3 วันอาจจะลงครั้งละ  1 บทนะครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-08-2020 18:51:02 โดย Popspugnik000 »

ออฟไลน์ Popspugnik000

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 12
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-10
บทที่ 1


เพียะ!

“แกทำแบบนี้ได้ยังไงไอ้จรินทร์! แกกล้าทำกับฉันแบบนี้ได้ยังไงฮะไอ้สารเลว!”

เสียงตบหน้าที่ดังฉาดใหญ่พร้อมกับคำสบถด่ามากมาย เท่าที่คนเป็นพ่อจะสรรหามาด่าลูกชายคนเล็กของตนได้ นั่นก็ทำให้ ‘จรินทร์’ ในวัย 24 ปีได้แต่เงียบนิ่งไม่คิดแม้แต่จะพูดหรือเถียงคำใด ต่อหน้าผู้เป็นพ่อของตนเลยแม้แต่คำเดียว

ใช่...เขาพังงานหมั้นของตน งานหมั้นระหว่างเขากับ ‘ชิดจันทร์ พันธกร’ ลูกสาวคนเล็กของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงชื่อดัง ที่กำลังจะเข้าพิธีหมั้นหมายในเช้านี้ แต่แทนที่นวสกุลกับพันธกรจะได้เกี่ยวดองเป็นทองแผ่นเดียวกัน แทนที่ทั้ง 2 บ้านจะได้ผลประโยชน์ร่วมกันในอนาคตข้างหน้า มันกลับกลายเป็นว่าความตั้งใจของทั้งสองบ้านต้องพังทลายลงไป เพราะฝีมือลูกชายเพียงคนเดียวของบ้านนวสกุลนั่นเอง

การที่จรินทร์ได้ประกาศต่อหน้าสื่อมวลชนทุกฝ่าย ที่ได้รับเชิญมางานหมั้นของเขาว่านายจรินทร์ นวสกุลไม่สามารถหมั้นหมายกับชิดจันทร์ พันธกรได้ นั่นก็เพราะว่าเขาเป็น ‘เกย์’ เป็นผู้ชายที่ไม่สามารถรักและมีความรู้สึกกับผู้หญิง แล้วหลังจากนั้นแสงแฟลชจากกล้องถ่ายรูปมากมาย และไมโครโฟนจากนักข่าวหลายสำนักที่จ่อรุมสัมภาษณ์เขา

“แกทำฉันขายหน้ามากเกินไปแล้ว ก็ได้...ถ้าในเมื่อแกกล้าทำแบบนี้ล่ะก็ แกก็ไสหัวออกไปจากบ้านฉันเลย จากนี้ฉันไม่มีลูกอย่างแก!”

สุดท้ายมันก็จบลงด้วยการที่เขาถูกไล่ออกจากบ้าน ถูกไล่ออกจากการเป็นคนในครอบครัวนวสกุล มันก็รู้สึกจุกอกดีอยู่หรอก แต่สำหรับจรินทร์ที่ไม่เคยลงรอยกับผู้เป็นพ่อของตนมานาน ไม่ได้มีความสัมพันธ์ใด ๆ นอกจากสายเลือดที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย ชายที่เห็นแก่ผลประโยชน์ของตน ชายที่เห็นลูกชายตัวเองเป็นได้แค่เพียงเครื่องมือ ถามว่าเสียใจไหมที่โดนผู้ชายคนนี้ไล่ออกจากบ้านไปน่ะ จรินทร์ก็สามารถตอบได้อย่างชัดเจนเลยว่า ‘ไม่!’

และอีก 1 เดือนหลังจากนั้น ด้วยเหตุผลนั้นเองที่ทำให้จรินทร์ตัดสินใจ เริ่มต้นเส้นทางเดินของตนใหม่ ถ้าในเมื่อตอนนี้เขาไม่ได้ใช้นามสกุลนวสกุลแล้ว เขาก็ขอทำอะไรตามใจตัวเองหน่อยละกัน

จรินทร์จึงดั้งด้นเดินทางไปไกล ถึงจังหวัดที่คาบเกี่ยวระหว่างภาคกลางตอนบนและภาคเหนือตอนล่าง จังหวัดที่ถูกขนานนามว่าเป็นเมืองจระเข้ เพื่อที่จะไปเป็นครูสอนภาษา เพื่อไปทำในสิ่งที่ตนอยากจะทำมานาน และเพื่อที่จะได้พบกับใครคนนั้นด้วย

นึก ๆ ไปแล้วก็รู้สึกใจหวิว ๆ เหมือนกัน จากลูกชายคนเดียวของตระกูลไฮโซเมื่อเดือนก่อน ตอนนี้กลับต้องมาเป็นครูสอนภาษาในโรงเรียนอันห่างไกลความเจริญ ห่างไกลจากบ้านเกิดเมืองนอน แต่จะทำอย่างไรได้ก็ในเมื่อเขาเลือกทางเดินเช่นนี้เอง เรื่องที่จะทำให้เรื่องทุกอย่างมันเป็นแบบนี้

แต่ก็นึกแปลกใจในการกระทำของตัวเองไม่น้อย ทำไมเขาถึงไม่ใช้วิธีการอื่นนะ ทำไมต้องพังงานแต่งของตนด้วยการประกาศว่าตัวเองเป็นเกย์ด้วย ไอ้เรื่องที่เชาไม่อยากแต่งงานกับคนที่ตนไม่ได้รัก มันก็เป็นเหตุผลส่วนหนึ่งอยู่หรอก แต่ไอ้การที่บอกคนอื่นว่าตัวเองเป็นเกย์นี่สิ มันก็หาเหตุผลไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมต้องพูดออกไปเช่นนั้นด้วย

คงเป็นเพราะมันคงจะมีอะไรบางอย่างที่ค้าง ๆ คา ๆ อยู่ในความรู้สึก บางอย่างที่ตัวเขาเองก็ตอบไม่ได้ว่าคืออะไร บางอย่างที่ยังคงติดค้างอยู่ในใจนับจากวันที่เขาได้เจอกับคนๆ นั้น ผู้ชายคนแรกที่เขาได้นอนหนุนตัก ผู้ชายที่เป็นผู้มอบจูบแรกให้กับเขา

“ตกลงแล้วคุณมีตัวตนจริง ๆ หรือเปล่านะ หรือว่าคุณเป็นเพียงแค่ความฝันของผมกัน”

จรินทร์ได้กล่าวกับตนเองอย่างแผ่วเบา เขานึกย้อนกลับไปในวันที่เขาพบกับพันวังเป็นครั้งแรก แม้จะเป็นแค่เพียงช่วงเวลาอันแสนสั้น แต่มันก็ทำให้เขามีความสุขทุกครั้งที่ได้นึกถึงมัน ชายผู้ที่ทำให้เขาพบกับความสุขกายสบายใจอย่างแท้จริง

“หวังว่าพวกเราคงจะได้เจอกันอีกครั้งนะครับ แค่อีกสักครั้งก็ยังดี”

ว่าแล้วเขาก็มองขลุ่ยเพียงออที่อยู่ในมือของตนอย่างมีความหวัง ขลุ่ยที่เขาเก็บมันไว้เพื่อเตือนความจำว่าครั้งหนึ่งเคยพบกับเขาคนนั้น คนที่ยังคงติดอยู่ในความทรงจำและความรู้สึกนึกคิดตลอด 7 ปีที่ผ่านมา ขลุ่ยเพียงออของ...พันวัง


ในเช้าของอีกวัน กว่าจะเดินทางมาถึงจุดหมายปลายทางได้ จรินทร์ก็ใช้เวลานานหลายชั่วโมง นี่คงเป็นครั้งแรกในชีวิต ที่คุณชายอย่างเขาต้องเดินทางข้ามจังหวัดด้วยรถกระบะส่วนตัวน่ะ รถกระบะคู่ใจอันเป็นสมบัติเพียงไม่กี่ชิ้นที่ติดตัวเขามาในตอนนี้

และเมื่อมาถึงจุดหมายปลายทาง จรินทร์ก็รีบไปรายงานตัวยังโรงเรียนที่เขาต้องไปทำการเรียนการสอนอย่างไว แต่พอไปถึงที่หมายแล้วเขาก็ต้องตกใจ เพราะโรงเรียนที่ว่านั้นมันก็เล็กกว่าที่เขาคิดมากเลย

แค่ 3 อาคารเรียนกับ 1 บ้านพักครูที่เห็นอยู่ตรงหน้า ขนาดสนามฟุตบอลที่มีความกว้างไม่กี่สิบเมตร แต่ก็ยังดูเล็กถ้าเทียบกับสนามหญ้าหน้าบ้านของเขา แต่ว่านั่นก็ยังไม่ทำให้เขาต้องทอดถอนใจ ได้เท่ากับบ้านพักครูที่เขาพูดถึงไปเมื่อครู่นี้แล้ว อะไรมันจะดูเล็ก กันดาร และห่างไกลความเจริญได้ถึงเพียงนี้เนี่ย

“เอ่อ ยังไงคืนครูก็ทนร้อนหน่อยนะครับ พอดีภารโรงของเราเพิ่งโดนจระเข้กัดตายไปเมื่อ 3 วันก่อน ก็เลยไม่มีใครทำไฟให้ ไว้เดี๋ยวผมจะลองไปขอความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่บ้านทีหลังนะครับ”

เสียงของ ‘ครูสุนทร’ ครูใหญ่วัยกลางคนผู้ซึ่งเป็นครูใหญ่ประจำโรงเรียน ‘บ้านขอนลอย’ ก็ไม่รู้ว่าจรินทร์ควรสนใจเรื่องไหนก่อนดี เรื่องที่คืนนี้เขาจะต้องนอนร้อน ๆ เพราะว่าบ้านพักหลังนี้ยังไม่ได้ต่อไฟฟ้าเข้ามา หรือว่าควรจะสนใจเรื่องที่ภารโรงประจำโรงเรียนโดนจระเข้กัดตายดีล่ะ นี่เขามาอยู่ไกลถึงสุดเขตประเทศไทยเลยหรือเปล่านะ ทำไมถึงได้ต้องมาพบเจอกับเรื่องนี้กันน่ะ


ภายในบ้านพักครูหลังเล็ก ๆ กะทัดรัด บ้านพักที่มีสภาพไม่ได้ใหม่อะไรนัก แต่ก็พอจะใช้เป็นที่อาศัยหลับนอนได้ สภาพด้านในก็ค่อนข้างเก่าแลดูรกรุงรังอย่างไรชอบกล ยังดีที่ครูสุนทรได้เข้ามาช่วยเขาทำความสะอาดบ้านหลังนี้ด้วย ถ้าขืนเขาทำคนเดียวล่ะก็ มีหวังคืนนี้ก็คงต้องนอนมันทั้งที่สกปรกเช่นนี้ก็เป็นแน่

“ขอบคุณครูใหญ่มากเลยนะครับที่มาช่วยผมน่ะ”

“ไม่เป็นไรหรอกครับครู ไหน ๆ ก็จะมาเป็นครูโรงเรียนเดียวกันแล้ว มันก็ต้องช่วยเหลือกันเป็นธรรมดา”

“ครับผม”

“ส่วนเรื่องไฟนี่ไว้ถ้ายังไงเดี๋ยวผมจะลองหาคนมาเดินไฟให้นะครับ ยังไงคืนนี้ก็ทน ๆ เอาซะหน่อยนะครับครู”

“ครับผม หึหึหึ!”

ว่าแล้วจรินทร์ก็ได้แต่หัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนจะเดินขึ้นบ้านไป ตอนนี้เขารู้สึกร้อนและเหนียวตัวอย่างไรชอบกล เห็นครูสุนทรบอกว่านอกจากไฟยังไม่เข้าแล้ว น้ำประปาก็ยังไม่เข้าเหมือนกันนี่นา สงสัยคงต้องเดินไปอาบน้ำที่ห้องน้ำของโรงเรียนแล้วละมั้ง


เวลาผ่านไปสักพัก หลังจากที่เก็บข้าวเก็บของของตน และอาบน้ำชำระล้างร่างกายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จรินทร์ก็ได้กลับมาพักในบ้านพักของตนต่อ วันนี้เขาเดินทางมานานทั้งเหนื่อยทั้งอ่อนเพลีย จนตอนนี้ร่างกายแทบจะไม่ไหวอยู่แล้ว และถึงแม้ตอนนี้มันจะเป็นเวลา 5 โมงกว่า ๆ แต่มันก็คงจะถึงเวลาที่เขาต้องพักผ่อนเสียที

“ครูครับ! ครูจรินทร์ครับ!”

“ครับครู” แต่แล้วเสียงของครูสุนทรก็ดังขึ้น นั่นจึงทำให้จรินทร์ที่กำลังเคลิ้มหลับ จำต้องดีดตัวขึ้นมาแล้วขานรับอีกฝ่ายอย่างไว “ครูใหญ่มีอะไรหรือเปล่าครับ?”

“พอดีผมเห็นครูยังไม่ได้ทานอะไรตั้งแต่ตอนกลางวัน ผมก็เลยเอาข้าวกับต้มแซ่บไก่มาให้ นี่ฝีมือเมียผมเอง รับรองว่าอร่อยถูกปากครูแน่นอน”

“เอ่อ...ขอบคุณครูใหญ่มากเลยนะครับ”

“ครับผม เอ้อ! ที่นี่ยุงชุมมากเลย ยังไงครูก็เอามุ้งไปกางนอนก่อนละกัน”

“ขอบคุณครูใหญ่อีกครั้งนะครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ วันนี้ผมเหนื่อยมากเลย”

“ครับครู”

ว่าแล้วจรินทร์ก็ได้ขอตัวกลับเข้าไปในบ้านพักเพื่อนอนพักผ่อนต่อ รู้สึกขอบคุณครูสุนทรจริง ๆ เลยนะที่มีน้ำใจเอาอาหารและมุ้งมาให้เขาน่ะ ใจก็อยากจะอยู่คุยต่อ แต่ตอนนี้เขาไม่ไหวแล้ว เปลือกตาทั้งสองข้างของเขามันใกล้จะปิดเต็มทีแล้ว ยังไงก็ขอตัวไปพักผ่อนก่อนแล้วกัน

“ครูจรินทร์ครับ!” แต่ในขณะที่จรินทร์กำลังจะเดินขึ้นบ้าน ครูสุนทรก็ได้เรียกเขาอีกครั้ง

“ครับ...อะไรหรือเปล่าครับ?”

“คือว่า...บ้านพักของผมอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ถ้าขาดตกบกพร่องหรือมีปัญหาอะไร ครูไปเรียกผมได้ทุกเมื่อเลยนะครับ”

“ครับผม”

แม้น้ำเสียงของครูสุนทรจะดูกังวล คล้ายกับกำลังหวาดกลัวอะไรบางอย่าง แต่จรินทร์ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนอกจากจะเดินขึ้นบ้านไปแทน ปล่อยให้ครูใหญ่แห่งโรงเรียนบ้านขอนลอยยืนสั่นอยู่ตรงนั้น สองมือก็ยกประนมขึ้นไหว้เหนือศีรษะ ในใจก็ได้แต่ภาวนา ขอให้ครูคนใหม่นี้ปลอดภัยและขอให้ผ่านพ้นคืนนี้ไปได้ด้วยดี

...แม่นวลเอ๋ย คืนนี้ยังไงก็อย่ามาหลอกคุณครูคนใหม่เลยนะแม่นวล


กลางดึกคืนนั้น ด้วยความเหน็ดเหนื่อยที่สะสมมาทั้งวันก็ได้ทำให้จรินทร์หลับไป หลับลึกสุดใจคล้ายกับว่าจิตใจได้ดำดิ่งสู้ห้วงนิทราไม่อาจจะแหวกว่ายขึ้นมาได้ หลับโดยที่ไม่ได้รู้ตัวเลยว่า ได้มีบางอย่างคืบคลานเข้ามาหาเขาแล้ว

“อือ...ฮึก ๆ ฮือ...”

เสียงร้องไห้ครวญครางอันสุดแสนโหยหวนทรมาน พร้อมเงาร่างของใครคนหนึ่งที่ปรากฏตัวขึ้น ร่างหงิกงอไม่เป็นทรงของหญิงสาวที่ยืนอยู่มุมห้อง ใบหน้าบูดเบี้ยวผิดรูป ดวงตาทั้งสองข้างก็ปูดโปนไม่น่าโสภา รอบคอก็มีเชือกป่านขนาดใหญ่มัดเอาไว้จนเกิดเป็นรอยช้ำ บ่งบอกได้ว่าเจ้าหล่อนนั้นตายอย่างไร ตายด้วยสาเหตอะไร

เป็นดวงวิญญาณผู้ทรมาน เป็นดวงวิญญาณที่เต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น ดวงวิญญาณของ ‘แม่นวลพรรณ’ อดีตครูสาวผู้ช้ำรักที่จบชีวิตภายในบ้านพักหลังนี้นั่นเอง

“อือ...ฮึก ๆ ฮือ...” แสนเกลียดชังเป็นหนักหนา ไยถึงหลอกให้น้องรัก ไยจึงหลอกให้น้องรอ ความชิงชังที่โดนคนอันเป็นที่รักได้ลวงหลอก ทำให้แม่นวลพรรณกลายเป็นวิญญาณอาฆาต หลอกหลอนทำร้ายทุกคนที่เข้ามาพักในบ้านพักครูหลังนี้

ดวงวิญญาณแม่นวลพรรณ ได้เดินโงนเงนเข้าไปหาจรินทร์อย่างเชื่องช้า หมายมั่นว่าจะหลอกหลอนและหักคอผู้ที่รุกล้ำที่สิงสถิตย์ของตน ยิ่งเป็นผู้ชายหล่อนยิ่งชิงชัง ยิ่งเป็นผู้ชายเมืองกรุงเหมือนกันหล่อนยิ่งอยากฆ่าให้ตาย สองมือของหล่อนได้เอื้อมทะลุเข้ามาในมุ้งอย่างเชื่องช้า หมายมั่นว่าจะบีบคอของจรินทร์ให้ได้ แต่ฉับพลันทันใดนั้นเอง สิ่งที่ดวงวิญญาณพยาบาทไม่คาดคิดมาก่อนก็ได้เกิดขึ้น!

“กรี๊ดดดด!” ทันใดนั้น! ดวงวิญญาณผีอาฆาตก็ได้หวีดร้องออกมาสุดเสียง ร่างของแม่นวชพรรณได้ลอยกระเด็นไปไกล คล้ายว่ามีอะไรบางอย่างฟาดใส่ร่างของหล่อนก็ไม่ปาน

วิ้ง ๆ วาบ!

พลัน แสงสีเหลืองทองเป็นละอองคล้ายกับฝูงหิ่งห้อยก็ได้ปรากฏขึ้น บินวนและล่องลอย สว่างสดใสประดุดวงแก้วรำไพพรรณจรัสแสง ประกายแสงดวงน้อยได้ลอยกระจุกรวมกันช้า ๆ ก่อตัวรวมกันจนเกิดเป็นรูปร่างของอะไรบางอย่างขึ้นมา

“กรอดดด…”

ร่างของพญากุมภีล์สีทองอร่ามที่ส่องแสงเจิดจรัส ร่างของพญาจระเข้ขนาดใหญ่ ได้นอนขดม้วนกายรายล้อมรอบ ๆ มุ้งของจรินทร์ ดวงตาสีแดงชาดที่จ้องมองวิญญาณทรมาน ขู่คำรามเสียงดังลั่นเป็นสัญญาณเตือนอีกฝ่ายไว้เป็นนัย ว่าอย่าอาจหาญมาทำอะไรนายเหนือหัวของมัน

“ฮึก ๆ ฮือ...” แม้จะเป็นวิญญาณอาฆาตที่ผูกพยาบาทมานานแรมปี แต่นางผีร้ายก็ไม่มีฤทธานุภาพมากพอจะต่อกรกับพญาจระเข้ตนนี้ได้ หล่อนจึงเป็นฝ่ายยอมแพ้แล้วเลือนหายไปกับความมืด

ส่วนจรินทร์นั้น เขาเองก็ไม่ได้รับรู้ถึงเหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้เลย ชายหนุ่มยังคงหลับสนิทอยู่ในห้วงนิทรา ราวกับว่ารอบตัวเขานั้นไม่เคยมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นมาก่อน

และเมื่อเห็นว่าร่างที่นอนอยู่ในวงขดของตนปลอดภัยแล้ว พญากุมภีล์ผู้งามสง่าก็ได้สูญสลายหายไป กลายเป็นฝูงหิ่งห้อยดวงน้อย ได้ลอยกลับเข้าไปในขลุ่ยเพียงออที่วางอยู่ข้างกายของจรินทร์

พิทักษ์รักษา และปกป้องคุ้มกายา นั่นแหละหนาคือหน้าที่ของมัน เป็นคำสั่งที่ผู้เป็นนายคนเก่าของมันได้ตั้งจิตอธิษฐานเอาไว้ เป็นคำภาวนาขอให้มันปกป้องคุ้มครองบุคคลผู้นี้แทนนายเดิมของมัน เป็น ‘ขลุ่ยเพียงออเสียงสวรรค์’  ขลุ่ยวิเศษอันเป็นสมบัติของราชวงศ์ ขลุ่ยต้องมนต์ที่พันวังได้มอบให้กับคนที่สำคัญที่สุด



.

.

.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-08-2020 18:57:17 โดย Popspugnik000 »

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
ชอบแนวนี้ ลึกลับๆหน่อย ดูมีอะไรให้ลุ้นดี :katai2-1:

ออฟไลน์ Popspugnik000

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 12
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-10
บทที่ 2


เช้าวันรุ่งขึ้น บรรยากาศที่สุดแสนจะสดใสท่ามกลางเสียงวิหคนกน้อยในพื้นที่ชนบท ไร้ซึ่งความวุ่นวาย ไร้ซึ่งเสียงรถราส่งเสียงดังน่ารำคาญ บรรยากาศอันสุขสงบที่หาไม่ได้จากในเมืองกรุง...

สำหรับจรินทร์นั้น แม้จะต่างที่ต่างถิ่น แต่ก็คงเพราะด้วยความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง และการที่ต้องทำความสะอาดบ้านพักครูขนานใหญ่ มันก็ทำให้เมื่อคืนนี้เขาแทบหลับเป็นตายเลยล่ะ เช้าวันนี้จึงทำให้เขารู้สึกสดชื่นมากเลย สดชื่นสดใสพร้อมรับกับอะไรก็ตามที่จะเข้ามาในวันนี้แล้ว

“ครูจรินทร์ครับ!”

“ครับ”

แต่ในขณะที่กำลังยืนบิดขี้เกียจยืดเส้นยืดสายอยู่บนระเบียงหน้าบ้านอยู่นั้น จรินทร์ก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นว่าครูสุนทรได้มาเรียกเขาแต่เช้าเลย นี่เพิ่งหกโมงกว่าเองแต่ครูสุนทรกลับมาเรียกเขาแล้ว แถมครูสุนทรเองก็มีท่าทีที่ดูจะเป็นกังวลและตื่นตระหนกนิด ๆ อีกด้วย คงไม่ได้มีปัญหาอะไรร้ายแรงหรอกนะ

“ครูใหญ่มีอะไรหรือเปล่าครับ? มาเรียกผมแต่เช้าเลย”

“เอ่อ... เป็นยังไงบ้างครับครู เมื่อคืนนี้นอนหลับได้มั้ย?”

“ก็พอนอนได้อยู่นะครับครูใหญ่”

“นอนได้เหรอครับ หมายถึงนอนหลับสนิทไม่ฝันไม่เห็นอะไรนะครับ?”

“ครับ เมื่อคืนนี้ผมนอนหลับสนิทไม่ฝันเห็นอะไรเลยครับ แถมยังรู้สึกเย็นสบายไม่ได้ร้อนอย่างที่คิดเลย” พอได้ยินเช่นนั้น มันก็ทำให้จรินทร์ชักแปลกใจขึ้นมาจริง ๆ แล้วสิ “แล้วครูใหญ่มีอะไรหรือเปล่าครับ? ทำไมอยู่ ๆ ถึงได้ถามผมแบบนั้นล่ะ?”

“อ๋อ! เอ่อ...เปล่าหรอกครับ ไม่มีอะไรหรอก คือผมเห็นว่าครูมาจากเมืองกรุงก็กลัวครูจะนอนไม่ได้เฉย ๆ น่ะครับ แหะ ๆ ” ส่วนครูสุนทรเองก็ได้แต่หัวเราะแห้งๆ ออกมา “ถ้าอย่างนั้นผมไม่รบกวนครูแล้วล่ะ ไว้ถ้าครูทำธุระเสร็จเมื่อไหร่ค่อยมาเจอผมที่ห้องพักครูนะครับ สัก 7 โมงกว่าก็ได้”

“ครับผม” และเมื่อนัดแนะเวลากันเสร็จสรรพ จรินทร์ก็ได้ขอตัวเข้าไปในบ้านพัก ปล่อยให้ครูสุนทรได้แต่ยืนงงและแปลกใจอยู่ตรงนั้น

“ครูคนนี้แปลกเสียจริงเลยนะ ถ้าเป็นคนอื่นคนวิ่งป่าราบตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เป็นไปได้ยังไงกันที่ไม่โดนแม่นวลหลอกเอาน่ะ” ใช่ ถ้าเป็นคนอื่นนะ ป่านนี้คงได้วิ่งแหกปากมาขอความช่วยเหลือเขาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว แต่แปลกที่ครูหนุ่มคนนี้กลับมีท่าทีเฉยเมย ราวกับว่าเมื่อคืนนี้ไม่ได้ประสบพบเจออะไรมาเสียอย่างนั้น

ใจจริงครูสุนทรก็ไม่ได้อยากให้ใครมาอยู่ที่บ้านพักครูหลังนี้นักหรอก แต่จะทำอย่างไรได้ ก็ที่นี่มันเป็นบ้านพักหลังเดียวที่เหลืออยู่นี่นา ครูคนอื่นในโรงเรียนต่างก็ไปพักที่บ้านของตนไม่ก็หาห้องเช่าอยู่กันหมด ครั้นจะให้ไปนอนที่บ้านพักของเขาเองก็ไม่ได้ด้วย อยู่กับเมียและลูกอีกสองคน ขืนให้ใครมาพักอีกคน มีหวังคงได้อยู่เบียดเสียดกันตายก็เป็นแน่

แต่ก็ต้องยอมรับเลยนะ ว่าท่าทีของครูใหม่ก็ช่างทำให้ครูสุนทรรู้สึกประหลาดใจเสียจริง ท่าทีที่ไม่ได้มีความหวาดกลัวหรือความหวั่นวิตกใด ทั้งที่เมื่อคืนเพิ่งจะนอนในบ้านผีสิงมา แถมยังบอกว่าเมื่อคืนอากาศเย็นสบายในขณะที่บ้านของเขานั้นร้อนอบอ้าว จนแม้แต่พัดลมเบอร์ 3 ก็เอาไม่อยู่ สงสัยคุณครูคนนี้คงจะมีของดีติดตัวมาด้วยล่ะมั้ง


เวลาผ่านไปสักพัก อีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ใกล้เวลาเขาแถวเคารพธงชาติ จรินทร์ได้เข้ามาพบกับครูใหญ่ตามที่ได้นัดกันเอาไว้ก่อนหน้า ที่นี่เขาได้พบกับคุณครูทั้งชายและหญิงอีกอีกหลายท่าน เป็นผู้หญิง 5 คนและผู้ชาย 3 คน ถ้านับรวมทั้งเขาและครูสุนทรด้วยแล้ว โรงเรียนแห่งนี้ก็คงจะมีคุณครูรวมกันถึง 10 คนเลยอย่างนั้นสินะ

ครู 10 คนต่อนักเรียนจำนวนเกือบ 150 คน สอนกันตั้งแต่ระดับอนุบาลไปจนถึงชั้น ม.3 แม้จุลินทร์จะทำหน้าที่เป็นครูสอนภาษาอังกฤษ แต่ก็ต้องสอนตั้งแต่ระดับชั้นประถมจนไปถึงชั้นมัธยมต้น ฟังดูแล้วก็คงจะเป็นอะไรที่เหนื่อยน่าดู

“มีครูคนใหม่มาจากกรุงเทพอีกแล้วเหรอครับ?”

แม้มีคุณครูหลายคนยินดีที่มีครูหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรง มาประจำอยู่โรงเรียนชนบทที่อยู่ห่างไกลจากความเจริญ แต่ก็มีคุณครูส่วนหนึ่งที่ไม่ค่อยยินดีกับการมาของเขาเท่าใดนัก หนึ่งในนั้นก็คงจะเป็น ‘ครูธนนท์’ ครูพละรูปหล่อที่ประเมินจากสายตาแล้ว ก็น่าจะมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับจรินทร์ได้ แต่ดวงตาคู่ดุที่จ้องมองเขานั้นมันก็ไม่ได้ดูเป็นมิตรเลย ออกจะไม่พอใจที่มีคุณครูหน้าใหม่มาจากเมืองกรุงอย่างเขาด้วยซ้ำ

“ที่นี่กันดารนะ มันไม่สบายเหมือนบ้านคุณหรอก ผมว่าคนอย่างคุณคงอยู่ได้ไม่เกินเดือนหรอก” น้ำเสียงขึงขังช่างไม่นุ่มนวลอ่อนหวานเหมือนหน้าตาเสียจริง จรินทร์ก็ไม่รู้หรอกว่าทำไมครูธนนท์ถึงได้ดูมิอคติกับเขานัก อคติต่อคนที่มาจากเมืองกรุงอย่างเขา แต่บอกตามตรงว่า เขาเองก็ชักจะไม่ชอบหน้าของคุณครูพละคนนี้แล้วเหมือนกัน

“ไม่เอาน่าครูธนนท์ อย่าพูดอย่างนั้นสิ ครูว่าดีแล้วนะที่เราได้ครูสอนภาษาอังกฤษคนใหม่อย่างครูจรินทร์น่ะ” ครูสุนทรพูด “เอาเป็นว่าพวกเราจบการประชุมกันแต่เพียงเท่านี้จะดีกว่า นี่ก็ใกล้ได้เวลาที่เด็กนักเรียนจะต้องเข้าแถวแล้ว ผมว่าพวกเราพากันลงไปดูเด็ก ๆ กันเถอะนะครับ”

และเพื่อเป็นการตัดบท คุณครูใหญ่ประจำโรงเรียนก็ได้รีบปิดการประชุมลง ก่อนจะให้คุณครูท่านอื่นรวมถึงจรินทร์แยกย้ายไปทำหน้าที่ด้วย

“อึก!” แต่ในขณะที่จุลินทร์กำลังจะเดินออกจากห้องพักครูนั้น ครูธนนท์ก็ได้เข้ามายืนขวางทางเขาไว้แล้วผลักอกของเขาเบา ๆ แทน

“ผมให้เวลาคุณหนึ่งอาทิตย์ ตัดสินใจให้ดี ยังไงคนเมืองกรุงอย่างคุณก็ไม่เหมาะกับที่นี่หรอก รู้เอาไว้ซะด้วย” คล้ายกับคำขู่ผสมกับคำปรามาสที่ครูธนนท์ทิ้งเอาไว้ แต่มีหรือที่คนหัวกบฏอย่างจรินทร์จะยอมฟังน่ะ เขาเองก็ไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้อะไรง่าย ๆ เสียด้วยสิ

“ผมไม่ยอมแพ้หรอก”


หลายวันผ่านไป นับจากการมาเป็นครูสอนภาษาอังกฤษที่โรงเรียนบ้านขอนลอย ยอมรับว่าช่วงแรก ๆ จรินทร์เองก็ปรับตัวได้ยากอยู่พอสมควร คงเพราะการที่เคยเป็นลูกคุณหนู และเคยใช้ชีวิตอย่างสุขสบายมาก่อน มันจึงทำให้เขาแทบจะทำอะไรไม่เป็นเลยสักอย่าง ไล่ตั้งแต่การที่จะต้องซักผ้าเพียงคนเดียวด้วยมือ ไปจนถึงการจุดเตาถ่านเพื่อทำอาหารกินเอง จำได้ว่าตอนนั้น กว่าจะจุดไฟติดได้ก็เสียเวลาไปเกือบ 1 ชั่วโมงเลยล่ะ

...ซื้อกินง่ายกว่ามั้ง

แต่ยังดีที่เขาเป็นคนที่เข้ากับคนอื่นได้ง่าย รู้ว่าใครเป็นอย่างไรและควรใช้วิธีใดเข้าหา มันจึงทำให้จรินทร์เริ่มสนิทสนมจนเป็นที่รักของคุณครูหลายคน รวมไปถึงคุณครูสุนทรเองก็ด้วย ถึงจะมีเพียงครูธนนท์คนเดียวที่ไม่เปิดใจ แต่คุณครูหลายท่านก็คอยช่วยเหลือและให้แนะนำเขาหลายอย่าง จนเขาสามารถผ่านมันมาได้แม้จะลำบากไปบ้างก็ตามที

และเนื่องจากว่าวันนี้เองก็เป็นวันหยุด จุลินทร์จึงได้ขออนุญาตครูสุนทรออกมาทำธุระส่วนตัวของตน ธุระอันเป็นเจตจำนงค์ที่แท้จริงที่จรินทร์ยอมมาไกลถึงที่นี่ เพื่อมาตามหา ‘พันวัง’ ชายปริศนาที่ติดค้างในหัวใจของเขา


ณ ท้ายหมู่บ้านขอนลอย อาณาเขตสุดท้ายที่อยู่ติดกับผืนป่า เนื่องจากถนนเส้นนี้ค่อนข้างแคบจนรถไม่สามารถเข้าไปได้ จรินทร์จึงได้จอดรถทิ้งไว้ แล้วเดินเท้าเข้าไปยังบ้านพักตากอากาศหลังหนึ่ง ซึ่งอยู่ท้ายสุดของหมู่บ้าน บ้านพักตากอากาศหลังเดิม บ้านพักที่เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาพบกับพันวังในคืนนั้น...

“นี่พ่อหนุ่มกำลังทำอะไรอยู่น่ะ”

ในขณะที่กำลังเดินลัดเลาะไปยังริมฝั่งแม่น้ำที่อยู่หลังบ้านพัก อยู่ ๆ จรินทร์ก็ต้องสะดุ้งตกใจ เมื่อเห็นคุณตาคนหนึ่งที่สวมเสื้อยืดแขนยาวสีดำและกางเกงลายทหาร สองมือก็ถือข้องกับไซดักปลา แต่ที่น่าตกใจกว่าก็คือมีดดาบความเกือบศอก ที่เหน็บอยู่ข้างเอวของคุณตาคนนี้นั่นเอง

“คือ...คือว่าผม”

“ไม่ต้องกลัวข้าไปหรอกพ่อหนุ่มเอ๊ย ข้าไม่ทำอะไรเอ็งหรอก” แต่ดูเหมือนคุณตาคนนั้นจะสังเกตท่าทางของจรินทร์ออก เขาจึงได้วางข้องและไซดักปลากแล้วพูดต่อไปอีกว่า “ว่าแต่เอ็งเป็นใครมาจากไหนล่ะหืม? ไม่คุ้นหน้าคุ้นตาเลย”

“อ๋อ! เอ่อ...ผมเป็นครูครับ มาจากโรงเรียนบ้านขอนลอยน่ะ” และเมื่อเห็นว่าท่าทีของคุณตาคนนั้นไม่ได้มีพิษมีภัยอะไร จุลินทร์จึงได้ตอบคำถามของคุณตาคนนั้นไปตามตรง

“เหรอ...ครูโรงเรียนบ้านขอนลอยเหรอ? แล้วมาทำอะไรที่ละหืม?” คุณตาคนนั้นถามต่อ

“พอดีผมมาเอ่อ...มาถ่ายรูปน่ะครับ”

โชคยังดีที่เขาเองก็ได้พกกล้องถ่ายรูปมาด้วย เขาจึงหยิบตัวกล้องให้คุณตาคนนั้นดู เพื่อแสดงให้เห็นว่าเขามาถ่ายรูปตามที่พูดไว้จริง แม้เหตุผลที่เขามาที่นี่จะไม่ได้มาเพื่อถ่ายรูป แต่การที่เขาพกกล้องมาด้วยก็เพื่อที่จะนำมันมาใช้เป็นข้ออ้าง เผื่อว่าเวลาที่มีเจ้าหน้าอุทยานที่เข้ามาเจอเขาก็จะได้มีข้ออ้างนั่นเอง

“ถ่ายรูปเหรอ?”

“ครับ”

“ที่นี่ไม่มีอะไรให้เอ็งถ่ายหรอก เอ็งมาผิดที่แล้วล่ะ” พูดจบ คุณตาคนนั้นก็หัวเราะออกมาเบา ๆ “ข้าว่าเอ็งกลับไปเถอะ ที่นี่ไม่ใช่ที่ของเอ็งหรอก” เป็นอีกคนแล้วที่พูดกับเขาแบบนี้ ถึงจะคนละความหมายและความตั้งใจ แต่เขาเองก็ไม่ชอบใจเอาเสียเลย จรินทร์จึงหุบยิ้มอย่างหมดอารมณ์ จนคุณตาคนนั้นก็ได้พูดขึ้นมาว่า...

“ไม่ต้องทำหน้านิ่วคิ้วขมวดใส่ข้าก็ได้ ข้าก็แค่เตือนเอ็งด้วยความหวังดีเฉย ๆ” คุณตาพูดก่อนจะถอนหายใจออกมาเบา ๆ “ช่วงนี้จระเข้มันดุ มีคนเข้ามาหาปลาแถวนี้แล้วถูกกัดตายไปหลายคนแล้วนะ เห็นว่าหนึ่งในนั้นก็เป็นภารโรงโรงเรียนเอ็งด้วย นี่เอ็งไม่รู้เหรอ?”

“ภารโรงโรงเรียนผมโดนจระเข้กัดตายอย่างนั้นเหรอครับ?” พอได้ยินเรื่องนี้ขึ้นมา มันก็ทำให้จุลินทร์หูผึ่งเลยน่ะสิ

“เออ! เห็นว่ามาหาปลาที่นี่แล้วโดนไอ้เข้มันคาบไปกินน่ะ สภาพนี่ดูแทบไม่ได้เลยล่ะ” พอนึกย้อนไปในวันที่เขาเห็นสภาพศพของภารโรงคนนั้นทีไร คุณตาคนนั้นก็รู้สึกขนพองสยองเกล้าขึ้นมาทุกที แต่ว่า...

“อ้าว! ถ้าว่ามันน่ากลัวขนาดนั้น แล้วคุณตามาหาปลาที่นี่ทำไมล่ะครับ?” ใช่...ถ้าว่ามันดูน่ากลัวขนาดนั้น แล้วคุณตาคนนี้มาหาปลาที่นี่ทำไม อย่าปฏิเสธนะเพราะดูจากข้องและไซที่พกมา กอปรกับสภาพของข้องที่เพิ่งจะแห้งมาหมาด ๆ นี่ คุณตาคนนี้คงต้องมาหาปลาแถวนี้แน่นอน

“บ๊ะ! เอ็งนี่มันรู้ดีจังเลยนะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” พูดจบก็หัวเราะร่วนออกมาเลย “เออ! ยอมรับก็ได้ว่าข้ามาหาปลาที่นี่น่ะ แต่ข้าไม่กลัวจระเข้หรอก”

“ทำไมล่ะครับ?”

“ก็ข้าน่ะแก่แล้ว หนังเหี่ยวเคี้ยวยากอย่างนี้ ไอ้เข้มันคงไม่คาบข้าไปกินให้เสียเวลาเคี้ยวเล่นหรอก ฮ่าฮ่าฮ่า” คราวนี้ก็เป็นทั้งคู่ที่หัวเราะออกมา

“ฮะฮ่าฮ่า! ครับ ๆ ผมเชื่อแล้วครับ”

“เหอะ ๆ เอาเป็นว่าถ้าเอ็งอยากมาถ่ายรูปแถวนี้ก็ระวังตัวหน่อยละกัน อย่าอยู่ใกล้น้ำเกินไปล่ะ เดี๋ยวโดนไอ้เข้มันคาบไปอีกคน”

“ครับผม”

“ถ้าอย่างนั้นข้าไปละ โชคดีนะพ่อหนุ่ม”

“ครับผม โชคดีเช่นกันนะครับคุณตา” ว่าแล้วคุณตาคนนั้นก็เดินจากไป ปล่อยให้จุรินทร์ยืนยิ้มอยู่ตรงนั้น คนที่นี่ก็ดูจะอัธยาศัยดีกันทุกคนเลยนะ ขำขันสนุกสนานเฮฮา มันทำให้เขาชักจะชอบที่นี่ขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว

หลังจากนั้นจุลินทร์ก็ได้ลงไปที่ริมแม่น้ำต่อ เขาเดินลัดเลาะริมแม่น้ำไปเพื่อให้ถึงจุดหมายปลายทาง แต่ก็ต้องยอมรับนะว่าสภาพแวดล้อมในช่วงกลางวัน มันช่างแตกต่างจากช่วงกลางคืนที่เขาเคยสัมผัสในวันนั้นมากเลย รู้สึกว่าวันนั้นพุ่มไม้มันไม่ขึ้นรกขนาดนี้นะ ดูเหมือนว่าเวลา 7 ปีที่ผ่านมา อะไร ๆ มันก็เปลี่ยนแปลงไปเยอะเหมือนกัน

“ใช่ต้นนี้หรือเปล่านะ?”

จนเขาก็ได้เดินมาถึงต้นไม้ต้นหนึ่งที่ยืนต้นอยู่ริมฝั่งของแม่น้ำ ต้นไม้ที่คาดว่าน่าจะเป็นต้นหว้าขนาดใหญ่ ได้แผ่กิ่งก้านสาขาจนเกิดเป็นร่มเงาปกคลุมไปทั่วบริเวณ จรินทร์เองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ว่าต้นไม้ต้นนี้จะเป็นต้นเดียวกับที่เขาเจอพันวังในคืนนั้นหรือเปล่า แต่พอใช้ความรู้สึกของตนที่มีต่ออีกคนแล้ว ความทรงจำอันแสนเลือนรางก็ได้ปรากฏชัดขึ้นมาแล้ว

ภาพของเด็กหนุ่มสองคนที่นั่งพูดคุยกันอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ คนหนึ่งเป่าขลุ่ยเคล้าคลอไปกับเสียงจิ้งหรีดเรไร อีกคนหนึ่งนั้นก็ได้หนุนนอนบนตักของอีกฝ่าย เกิดเป็นความสุขใจ กลายเป็นภาพความทรงจำที่พอนึกถึงมันขึ้นมาทีไรก็ทำให้จุลินทร์อดที่จะยิ้มไม่ได้ทุกที นั่นจึงทำให้เขามั่นใจแล้วว่า ต้นหว้าต้นใหญ่นี้แหละที่เป็นสถานที่ในความทรงจำของเขา

“คิดถึงจังเลยนะ”

จุลินทร์พูดออกมาอย่างแผ่วเบา ก่อนจะนอนเอนกายไปกับต้นหว้าใหญ่ที่อยู่ด้านหลัง นานมากทีเดียวที่เขาไม่ได้มาที่นี่ แต่อุตส่าห์ดั้นด้นมาไกลจนได้เจอสถานที่แห่งความทรงจำแล้ว เขาเองก็อยากเจอกับพันวังอีกครั้งเหมือนกัน แต่เขาก็ไม่รู้หรอกว่าพันวังเป็นใคร และมีตัวตนจริง ๆ หรือไม่? แล้วก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม เขาถึงได้รู้สึกคิดถึงและโหยหาอีกฝ่ายนัก เขา...รู้สึกคิดถึงพันวังจริง ๆ

“ไม่รู้ว่าคุณจะคิดถึงผมบ้างหรือเปล่า แต่ผมอยากให้คุณรู้ไว้นะครับว่าผมน่ะ...คิดถึงคุณมากเลย” พูดจบก็หัวเราะออกมาเพราะสิ่งที่เขาพูดออกไปเมื่อครู่นี้มันบ้าสิ้นดี

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า! นี่ผมคงจะบ้าไปแล้วมั้งเนี่ย คุณจะมาคิดถึงผู้ชายอย่างผมทำไม ผู้ชายอย่างคุณต้องคิดถึงสาวๆ สิถึงจะถูก”

แต่แล้วจุลินทร์ก็ต้องหุบยิ้มลงเมื่อตนได้พูดอะไรออกไปเช่นนั้น รู้สึกเหมือนกับว่าความรู้สึกของตนมันจะตีวนจนมั่วไปหมด ทำไมเขาถึงได้เป็นเช่นนี้นะ เวลาปกติก็รู้สึกว่าตัวเองยังเป็นผู้ชายแท้มาดแมนอยู่หรอก แต่พอนึกถึงพันวังทีไร ความรู้สึกของเขาก็เริ่มอ่อนไหว คล้ายกับว่าตนเองกำลังจะกลายเป็นผู้หญิงเข้าไปทุกที นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับความรู้สึกของเขานะ

...แต่ถ้าได้จูบกับผู้ชายด้วยกันขนาดนั้นแล้ว เขาเองจะยังเป็นชายแท้อยู่หรือเปล่านะ?

“เฮ้อ!” จรินทร์จึงได้ถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะเอนอิงกายไปกับโคนต้นหว้า แล้วหยิบเอาขลุ่ยเพียงออของตนขึ้นมา

แต่จรินทร์ก็ได้เกิดความรู้สึกอันแปลกประหลาดขึ้นมา เมื่อสองตาได้จ้องมองขลุ่ยในมือของตน ราวกับมันกำลังร่ำร้องขอให้เขาเป่ามัน ร่ำร้องให้เป่าเป็นเพลงที่เขาได้พบกับพันวังในคืนนั้น และด้วยความรู้สึกนี้เอง จุลินทร์ก็ได้ประทับนิ้วมือลงบนรูบังคับเสียงทั้ง 8 อย่างเชื่องช้า แล้วเป่ามันออกมาเป็นเพลง ๆ นั้น เพลงที่ทำให้เขาพบกับพันวังเป็นครั้งแรก

...เพลงจินตา

ก็ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลกลใด จึงทำให้จุลินทร์สามารถเป่าขลุ่ยเป็นเพลงออกมา เป็นท่วงทำนองอันลึกซึ้งและแสนหวาน เป็นทำนองอันไพเราะและก้องกังวาน ทั้งที่ในชีวิตนี้เขาเองก็ไม่เคยแตะต้องดนตรีใดมาก่อน แต่แปลกที่เขาสามารถเป่าบรรเลงเพลงไพเราะออกมาได้เป็นธรรมชาติ ราวกับว่าเขาได้ฝึกฝนมานาน ราวกับว่ามันเป็นท่วงทำนองที่ดังก้องอยู่ในหัวใจ เป็นทำนองเพลงเดิมเหมือนที่พันวังเคยเป่าให้เขาฟังไม่มีผิด

จุลินทร์ยังคงนั่งหลับตาพริ้มแล้วเป่าขลุ่ยของตนอยู่อย่างนั้น เป่าด้วยห้วงอารมณ์แห่งความคิดถึงคะนึงหา เป่าด้วยหัวใจที่ฝันใฝ่และถวิลหาใครคนนั้น โดยที่ไม่รู้เลยว่าตนได้ตกเป็นเป้าสายตาของอะไรบางอย่าง ที่โผล่จากผิวน้ำแค่เพียงดวงตา และตัวมันก็กำลังจ้องมองเขาอยู่

...ดวงตาของ ‘จระเข้’


.

.

.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-08-2020 19:02:46 โดย Popspugnik000 »

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
ได้มาเจอกันสักที

ออฟไลน์ Popspugnik000

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 12
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-10
บทที่ 3


เสียงขลุ่ยที่ดังขึ้นอยู่บนริมฝั่ง แม้จะฟังดูคลุมเครือเมื่ออยู่ภายใต้ผืนน้ำขนาดใหญ่ แต่ความถี่ที่สั่นสะเทือนจนทำให้เกิดเป็นท่วงทำนองอันแสนคุ้นเคย นั่นจึงทำให้ ‘เจ้าหมื่นคุ้ง’ เจ้าจระเข้สีเขียวตัวน้อยที่แอบหนีมาเที่ยวเล่นใต้คุ้งน้ำสายนี้ตามลำพัง ก็จำต้องหยุดพักแล้วโผล่ศีรษะขึ้นมา เพื่อมองหาว่าใครกันที่กำลังขับกล่อมบทเพลงนี้อยู่

เสียงเพลงที่ดังก้องเข้าสู่โสตประสาททั้งสองข้างก็ช่างคุ้นหูเสียจริง แม้จะคนละท่วงทำนอง แต่เสียงขลุ่ยอันทุ้มนุ่มและก้องกังวานดุจนกการเวก (กา-ระ-เวก) ร้องขับขานสะท้านไพรนี่ ทำไมมันถึงได้เหมือนกับเสียงขลุ่ยที่เจ้าพี่เคยเป่าให้เขาฟังนัก

...ขลุ่ยเพียงออเสียงสวรรค์

แต่มันก็คงนานทีเดียวที่ไม่ได้มีผู้ใดเป่าขลุ่ยให้เขาฟัง ตั้งแต่ที่เจ้าพี่ของเขาได้ทำขลุ่ยเพียงออหายไปเมื่อหลายปีก่อน เขาก็ไม่เคยได้ยินเสียงขลุ่ยอันไพเราะนี้อีกเลย กระทั่งเขาก็เจอกับมนุษย์ผู้นี้ ผู้ที่เป่าเพลงขลุ่ยได้เพราะพริ้งกินใจ แม้ทำนองที่ขับกล่อมจะคลอเคลียด้วยความคิดถึงคะนึงหาใครสักคน แต่ยอมรับเลยว่า มนุษย์ผู้นี้นั้นช่างมีฝีไม้ลายมือพอ ๆ กับเจ้าพี่ของเขาเลย

จนเวลาได้ผ่านเลยไป ชายหนุ่มมนุษย์ผู้นั้นก็ได้เดินจากไปแล้ว เหลือเพียงตัวเจ้าจระเข้น้อยที่ยังคงลอยตัวอยู่ภายใต้กระแสธาราอันเงียบสงบ นึกเสียดายที่ไม่อาจทำความรู้จักกับชายผู้นั้นได้ แต่ถ้าปรากฏกายให้มนุษย์เห็นล่ะก็ มีหวังเขาคงได้โดนเจ้าพี่ลงโทษเอาเป็นแน่

แต่เวลานี้เห็นทีเจ้ากุมภีล์เองก็ต้องกลับเช่นเดียวกัน เจ้าหมื่นคุ้งตัวน้อยจึงดำลงไปในกระแสธารา ก่อนจะโบกสะบัดหางของตนไปมาแล้วแหวกว่ายฝ่ากระแสน้ำไป สู่มหานครที่ตนได้จากมา มหานครที่ซ่อนตัวอยู่ในจุดที่ลึกที่สุดของแม่น้ำพัลวัน ‘กุมภีล์นครา’ มหานครแห่ง ‘ชาวกุมภีล์นิมิต’


มาจะกล่าวบทไป... ถึงเหล่ากุมภีล์นิมิต ครึ่งมนุษย์ครึ่งจระเข้ ชาวบาดาลผู้มีอารยธรรมเก่าแก่นับพันปี ชาวอมนุษย์ผู้ยิ่งใหญ่ผู้มีอิทธิฤทธิ์แปลกพิสดาร จะเป็นรองก็แค่พญานาคผู้อมนุษย์ครึ่งเทพเท่านั้น

กุมภีล์นคราซ่อนตัวอยู่ในส่วนลึกที่สุดของ ‘แม่น้ำพัลวัน’ แม่น้ำสายย่อยหลายสายลดเลี้ยวเกรียวพันจนเกิดเป็นแม่น้ำสายใหญ่ ไม่มีผู้ใดสามารถเข้าถึงกุมภีล์นคราได้นอกจากชาวกุมภีล์นิมิต อาจเพราะกุมภีล์นคราสามารถเข้าออกได้เพียงทางเดียว นั่นคือถ้ำใต้บาดาลที่อยู่ในจุดลึกที่สุดของแม่น้ำพัลวัน จึงมีเพียงชาวกุมภีล์นิมิตรที่เป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งจระเข้ที่สามารถเข้าออกได้

หากจะกล่าวถึงชาวกุมภีล์นิมิต แม้จะเป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งจระเข้เหมือนกัน แต่ชาวกุมภีล์นิมิตรเองก็มีเผ่าพันธ์แยกย่อยไปอีกหลายสาย ไล่ตั้งแต่เหล่า ‘นักกา’ ครึ่งมนุษย์ครึ่งตะโขง (จระเข้ปากแหลม) เหล่าอิสตรีชนชั้นนักรบผู้ป่าเถื่อนจากทางเหนือ ไปจนถึงชาว ‘นักระ’ ชาวกุมภีล์นิมิต (เผ่าจระเข้น้ำเค็ม) ผู้ทรงภูมิจากแดนใต้ และตัวของชาวกุมภีล์นิมิตที่อาศัยอยู่ในป่าแห่งนี้ ต่างก็เรียกตัวเองว่า ‘ชาวกุมภิล’ ทายาทเชื้อสายตรงจาก ‘ท้าวรำไพ’ พระบิดาแห่งเหล่ากุมภีล์

แม้จะซ่อนตัวอยู่ในความมืดมิดและไร้ซึ่งอากาศเอาไว้หายใจ แต่ถ้ำทองที่ส่องอำไพ กอปรกับเวทย์มนตร์ดลบันดาลของท้าวรำไพกษัตริย์ศรี องค์ปฐมกษัตริย์แห่งชาวกุมภิล จึงได้เนรมิตฟองอากาศขนาดยักษ์ขึ้นมาครอบครองคลุมกุมภีล์นครา เพื่อให้ชาวกุมภีล์นิมิตได้มีอากาศเอาไว้หายใจ และมีแสงสว่างจากถ้ำทองเพื่อใช้งานในยามค่ำคืน

ณ ใจกลางมหานครก็ได้มีโดมแก้วขนาดใหญ่ กินพื้นที่ 2 ใน 4 ส่วนของตัวเมืองกุมภีล์นครา โดมแก้วแห่งนี้ได้ครอบคลุมเขตวังหลวง เขตที่ชาวกุมภิลต่างเรียกว่า ‘วังกุมภิล’ พระราชวังอันเป็นที่พำนักของเหล่าเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงทุกพระองค์

หลังจากที่แหวกว่ายมานาน ตอนนี้หมื่นคุ้งได้แอบอยู่หลังฟองอากาศฟองหนึ่งใกล้กับพระตำหนักของตน แม้วังกุมภิลจะเต็มไปด้วยเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง แต่ก็หาได้มีผู้ใดดูหมิ่นดูแคลนผู้ที่มีวรรณะต่ำกว่าตนไม่ คงเพราะชาวกุมภิลทุกหมู่เหล่าได้ยึดถือการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ อันมีพระมหากษัตริย์เป็นผู้ปกครอง

แม้มีระบบชนชั้นวรรณะไม่ต่างอะไรกับพวกมนุษย์ แต่ถ้าหากเทียบกันแล้ว ชาวกุมภิลก็เคารพในความเท่าเทียมของกันและกัน มากกว่ามนุษย์ที่กล่าวว่าตนเป็นผู้เจริญแล้วเสียอีก กุมภีล์นคราจึงเป็นดั่งสรวงสวรรค์สำหรับผู้ที่ไขว่คว้าหาสิทธิเสรีภาพ และความเท่าเทียมกันในสังคมอย่างแท้จริง

หมื่นคุ้งได้อาศัยความมืดที่รายล้อมเพื่อลอบเร้นแฝงกาย แหวกว่ายเข้าไปใกล้กับพระตำหนักของตน มองซ้ายแลขวาเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีผู้ใดพบเห็น เจ้ากุมภีล์ตัวน้อยจึงได้แหวกฟองอากาศเข้ามา ก่อนจะจำแลงร่างของตนให้กลายเป็นมนุษย์ ร่างของหนุ่มน้อยรูปร่างอ้อนแอ้นและบอบบางเกินกว่าที่จะเป็นบุรุษเพศได้

ดวงหน้าหวานใส เป็นประกายระยิบระยับคล้ายกับดวงดาราในค่ำคืน สุกสกาวผุดผ่อง ขาวนวลละเอียดอ่อน และเนียนนุ่มละมุนละไม สองตาสีดำขลับอันเป็นประกาย ริมฝีปากสีชมพูก็ดูอวบอิ่ม สองแก้มก้อนก็ป่องนูนนิด ๆ น่าดูชม แม้รวงผมจะพลิ้วไสวถึงกลางหลัง กอปรกับปรางค์นวลอ้อนแอ้นบอบบางไม่สมชายชาตรี หากมองเพียงผิวเผิน อาจคิดว่าเจ้าชายน้อยพระองค์นี้เป็นนางฟ้านางสวรรค์จำแลงลงมาเป็นแน่

“กลับมาแล้วหรือหมื่นคุ้ง?” แต่ในขณะที่กำลังแง้มเปิดประตูห้องบรรทมของตนนั้น เจ้าหมื่นคุ้งก็ต้องสะดุ้งเฮือก! เมื่อเสียงของใครคนหนึ่งที่เขาหวั่นเกรงก็ดังขึ้น

“จ...เจ้าพี่!”

ดวงหน้าสีขาวนวลที่อมชมพูระเรื่อ แม้นจะหวานปานอิสตรีนิด ๆ แต่ก็ยังคงคมเข้มสมเป็นดั่งชายชาตินักรบ ทั้งสง่างามและน่าเกรงขาม สองคิ้วที่โค้งมนดั่งคันศรก็ขมวดเข้าหากันหน่อย ๆ นัยน์ตาสีบุษราคัมอันเปล่งประกาย สะท้อนแสงเรืองรองส่องระยับ จนผู้ที่พบเห็นไม่อาจหาญกล้าสบตา นั่นจึงทำให้เจ้ากุมภีล์ตัวจ้อยได้แต่เลิกลั่ก เพราะว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้าของตนนี้ก็คือ ‘เจ้าพันวัง’ ผู้ซึ่งมีศักดิ์เป็นพระเชษฐาของเขานั่นเอง

“คือ...เจ้าพี่มารอน้องนานแล้วรึ?” เจ้ากุมภีล์ตัวจ้อยยิ้มกลบเกลื่อน แต่ดูจากสายตาของพระเชษฐาแล้ว ตัวเขาก็ไม่กล้าแม้แต่จะสบพระเนตรของอีกฝ่ายเลย

“ตัวเจ้าไปที่ใดมา?” เพียงคำถามประโยคสั้น ๆ แต่มันกลับทำให้หมื่นคุ้งรู้สึกว่า ตัวเองลีบเล็กเสียยิ่งกว่าถูกบีบทับด้วยก้อนศิลาหลายก้อนเสียอีก

“คือ...คือน้องไปนั่งอ่านตำราที่หออักษรมาน่ะขอรับ” ตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้สีหน้าของหมื่นคุ้งจะซีดเซียว จนทำให้รอยยิ้มของตนกลายเป็นรอยยิ้มแห้งไปแล้ว

“ไปหออักษรมากระนั้นหรือ...เช่นนั้นตัวเจ้าไปเพลาใดเล่า? ไยพี่ที่นั่งอ่านตำราในหออักษรอยู่นาน หาได้เห็นตัวเจ้าเลยไม่?” ยิ่งถามก็ยิ่งทำให้หมื่นคุ้งหน้าซีดยิ่งกว่าเดิม “ฦๅว่าตัวเจ้าแอบหนีออกไปเที่ยวเล่นมาอีกแล้วใช่ไหม?”

“หาเป็นเช่นนั้นไม่ น้องมิได้แอบหนีไปเที่ยวเล่นที่ใดเลยนะ” หมื่นคุ้งรีบตอบปฏิเสธ

“อย่าโกหกพี่นะหมื่นคุ้ง ตัวเจ้าก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าไม่มีทางที่จะโกหกพี่ได้น่ะ” แต่พันวังก็สวนกลับจนหมื่นคุ้งก็ได้งุดหน้าด้วยความสลดใจ “ตอบพี่มาเสียดี ๆ ตัวเจ้าได้แอบหนีไปเที่ยวเล่นมาใช่หรือไม่?”

“ถ้าเจ้าพี่รู้อยู่แล้ว ไยเจ้าพี่ต้องถามน้องอีกเล่า?”

“เพราะพี่ต้องการให้ตัวเจ้าสารภาพด้วยปากของตัวเจ้าเอง ตัวเจ้าจะได้หัดสำนึกเสียบ้างว่าสิ่งที่ตนทำนั้นมันเป็นสิ่งที่ผิด”

...ถึงกับเงียบ

“ไยเจ้าถึงได้ชอบฝ่าฝืนกฎนักนะหมื่นคุ้ง เจ้ามิได้กลัวอันตรายที่อยู่ภายนอกกุมภีล์นคราเลยหรือ?” พันวังเริ่มเสียงแข็ง คงเพราะหมื่นคุ้งชอบดื้อ มึน และทำตัวแหกกฎอยู่ร่ำไปจึงทำให้เขาต้องหัวเสียอยู่บ่อยครั้ง “เอาล่ะน้องพี่ ในเมื่อตัวเจ้ากระทำความผิด ตัวเจ้าจักต้องถูกทำโทษ”

“ขอรับ...”

“ตามพี่ไปที่หออักษร วันนี้พี่จักให้เจ้าคัดอักษรมือ 100 จบเป็นการลงโทษ”

“เจ้าพี่...ได้โปรดลงโทษน้องด้วยวิธีอื่นเถิด อย่าให้น้องต้องคัดอักษรเลย น้องมิชอบ” พอได้ยินดังนั้น เจ้าหมื่นคุ้งก็งอแงเป็นการใหญ่ เขาละไม่ชอบการคัดลายมือเลย มันช่างน่าเบื่อเสียจริง

“เช่นนั้นก็เลือกเอาว่าระหว่างคัดอักษร 100 จบ หรือจักให้พี่กักบริเวณตัวเจ้าเป็นเวลา 7 วัน 7 คืน ตัวเจ้าต้องการให้พี่ลงโทษด้วยโทษทัณฑ์สถานใด?”

ดูเหมือนคำขู่ของพันวังจะเป็นผล หมื่นคุ้งเริ่มหน้าตูมจนดูคล้ายกับปลาทองไม่มีผิด ใบหน้าแสนหวานนี่ช่างรับกับกิริยาที่เจ้าตัวแสดงออกมาเสียจริง ราวกับว่าเจ้าหนุ่มน้อยผู้นี้มีความเป็นอิสตรี มากกว่าที่จะมีความเป็นบุรุษเพศเสียอีก

“อย่าคิดว่ากระทำเยี่ยงนี้แล้วจะทำให้พี่ใจอ่อนนะหมื่นคุ้ง” แต่นั่นก็ไม่อาจทำให้พระโอรสหนุ่มผู้มีหัวใจดั่งหินผา จะยอมหทัยอ่อนปล่อยพระอนุชาของตนไปไม่

“ขอรับ!” สุดท้ายหมื่นคุ้งก็ได้แต่เดินกระฟัดกระเฟียดตามพระเชษฐาของตนไป แม้ในใจจะไม่ค่อยพอใจก็ตาม


ภายในหออักษรของกุมภีล์นครา สถานที่อันแหล่งรวมมวลความรู้และประวัติศาตร์ต่าง ๆ รวมไปถึงวิชาการหลายแขนงทั้งที่เป็นของชาวกุมภีล์นิมิต หรือจะเป็นองค์ความรู้ของมนุษย์ก็ตาม

พันวังพระโอรสหนุ่มทรงโปรดนั่งอ่านตำรา ไม่ก็มานั่งทรงอักษรในยามที่ตนมิได้ช่วยเหลือกิจการงานใดของ ‘ท้าวพันวัน’ ผู้เป็นบิดา กษัตริย์องค์ปัจจุบันแห่งเหล่ากุมภีล์นิมิต ผู้ที่มีเชื้อสายเดียวกับ ‘พญาชาละวัน’ ผู้เกรียงไกร เครือญาติห่าง ๆ ที่สืบเชื้อสายเดียวจากท้าวรำไพด้วยนั่นเอง

“เจ้าพี่...”

“...”

“น้องขออนุญาตพักสักประเดี๋ยวได้หรือไม่ขอรับ? น้องรู้สึกปวดเมื่อยพระกรเหลือเกิน” ในขณะที่กำลังนั่งคัดอักษรมือบนใบลาน โดยที่มีพันวังพระเชษฐานั่งเฝ้าอยู่ข้างกายนั้น คงด้วยความเบื่อหน่ายจึงทำให้หมื่นคุ้งได้พูดขึ้น

“ไม่ ตัวเจ้าเพิ่งคัดอักษรได้เพียง 10 จบเท่านั้น เหตุไฉนจึงรีบปวดพระกรแล้วนักเล่า?” แต่พันวังกลับตอบเสียงเรียบ

“ก็น้องรู้สึกปวดพระกรจริง ๆ นะขอรับ ให้น้องได้พักสักประเดี๋ยวเถิดนะ นะ ๆ เจ้าพี่” แสดงแววตากลมโตเป็นการออดอ้อน หวังจะให้พระเชษฐาของตนนั้นใจอ่อน

“ไม่! อย่าคิดว่าวิธีนี้จักทำให้พี่ใจอ่อนได้นะหมื่นคุ้ง” แต่แน่นอนว่าวิธีนั้นก็หาได้ผลกับพันวังไม่ “จงอย่าอิดออดแล้วคัดอักษรของตัวเจ้าไป มิเช่นนั้นพี่จักให้ตัวเจ้าคัดเพิ่มอีก 50 จบแน่”

“เจ้าพี่ช่างใจร้ายกับน้องนัก น้องโกรธเจ้าพี่แล้ว” เมื่อไม่สามารถทำให้พระเชษฐาของตนให้ใจอ่อนลงได้ หมื่นคุ้งก็จำต้องคัดลายมือของตนต่อไป โดยที่สองแก้มนั้นตูมเต่งเป็นปลาทองพองลมก็ไม่ปาน แต่ชั่วอึดใจหนึ่งเสียงเจื้อยแจ้วของหมื่นคุ้งก็ได้ดังขึ้นอีกครั้ง

“เจ้าพี่ขอรับ” พันวังได้หันกลับมาตามเสียงเรียก พร้อมกับมองดูว่าหมื่นคุ้งได้คัดลายมือไปถึงไหน ก่อนจะสลับหันไปมองหน้าพระอนุชาของตนแล้วพูดว่า

“มีอันใด?”

“คือวันนี้น้องมีเรื่องน่าสนใจจักเล่าให้เจ้าพี่ฟังเสียหน่อยน่ะขอรับ” เจ้ากุมภีล์ตัวจ้อยมองหน้าพระเชษฐาด้วยแววตาอันเป็นประกาย คล้ายกับว่าต้องการให้พันวังฟังเรื่องเล่าของเขา

“เรื่องอันใด?” นั่งกอดอกแล้วมองหน้าพระอนุชา

“คือว่าวันนี้น้องได้ไปพบมนุษย์คนหนึ่งที่น่าสนใจด้วยแหละขอรับ” หมื่นคุ้งพูด แต่แล้วเขาก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นว่าพระเชษฐาเริ่มแสดงความตกใจออกมา มันจึงทำเขาต้องรีบพูดต่อไปอีกว่า “แต่น้องไม่ได้เข้าไปยุ่มย่ามอะไรกับมนุษย์ผู้นั้นเลยนะขอรับ”

“นี่ตัวเจ้าบอกว่าพบมนุษย์มากระนั้นรึ?”

“ช...ใช่ขอรับ แต่น้องมิได้เข้าไปวุ่นวายกับเขาเลยนะ น้องขอพูดด้วยความสัตย์จริง ให้สัตย์สาบานต่อพระเจ้าตารำไพเลยย่อมได้” หมื่นคุ้งยกมือขึ้นไหว้เหนือหัว เพื่อให้คำสัตย์ว่าเขาไม่ได้เข้าไปยุ่มย่ามอะไรกับมนุษย์ผู้นั้นจริง ๆ

“ก็ได้...พี่จะยอมเชื่อที่ตัวเจ้าพูดก็ได้” แต่พันวังก็หน้านิ่วคิ้วขมวด พระโอรสหนุ่มหรี่ตามองหมื่นคุ้งเล็กน้อยแล้วพูดว่า “จงเล่ามาให้หมดว่าวันนี้ตัวเจ้าไปเจออะไรมาบ้าง”

หลังจากนั้นหมื่นคุ้งก็ได้เล่าเรื่องทุกอย่างให้พันวังฟัง ตั้งแต่ที่เขาได้แหวกว่ายเที่ยวเล่นไปตามแม่น้ำพัลวันตามประสาเด็ก แต่เรื่องที่เขาอยากเล่าที่สุดก็คือการได้พบเจอกับมนุษย์ชายหนุ่มคนนั้น มนุษย์ที่สามารถเปล่าเพลงขลุ่ยเพียงออได้เพราะพริ้งพอ ๆ กับพันวังเลย

“มนุษย์ผู้นั้นเป่าเพลงขลุ่ยได้ไพเราะมากเลยนะขอรับ เผลอ ๆ อาจจะมีฝีมือทัดเทียมกับเจ้าพี่ได้เลย” หมื่นคุ้งพูด

“กระนั้นเลยหรือ?” แต่พันวังกลับคิดว่าเรื่องที่ผู้เป็นอนุชาของได้พบเจอมา ช่างเป็นเรื่องที่ไร้สาระเสียจริง โธ่! เด็กเอ๋ยเด็กน้อย เพียงแค่เรื่องเล็กน้อยทั่วไปก็ตื่นเต้นเสียแล้ว ช่างอ่อนเดียงสายิ่งนัก

“ใช่แล้วขอรับ แต่ว่าเสียงขลุ่ยของชายผู้นั้น มันช่างเหมือนกับเสียงขลุ่ยเพียงออของเจ้าพี่เลยนะขอรับ” พลันพันวังก็ต้องชะงักเมื่ออยู่ ๆ หมื่นคุ้งก็ได้พูดถึงขลุ่ยเพียงออของเขา

“จะเหมือนได้อย่างไร ตัวเจ้าก็รู้มิใช่หรือว่าขลุ่ยเพียงออของพี่เป็นขลุ่ยวิเศษ เป็นขลุ่ยเพียงออเสียงสวรรค์ที่แม้แต่ขลุ่ยธรรมดาก็ไม่อาจไพเราะได้เท่า”

ใช่...ขลุ่ยเพียงออใดจะมีเสียงไพเราะได้เสมอเหมือนกับขลุ่ยเพียงออเสียงสวรรค์ ขลุ่ยเพียงออที่เป็นสมบัติตกทอดมาจากท้าวรำไพผู้ที่เป็นพระเจ้าตา ขลุ่ยที่เป่าเป็นเพลงได้ไพเราะจนแม้แต่สกุณา (นก) ที่โบยบินอยู่ฟากฟ้ายังต้องร่วงหล่น หาได้มีขลุ่ยใดไพเราะได้เท่ากับขลุ่ยเพียงออเสียงสวรรค์ไม่

“พระกรรณของตัวเจ้าคงจักเพี้ยนไปแล้วกระมัง”

“น้องมิได้หูเพี้ยนนะเจ้าพี่ น้องจำเสียงขลุ่ยเพียงออของเจ้าพี่ได้ แล้วตอนนี้มนุษย์ผู้นั้นก็มีขลุ่ยเพียงออที่มีเสียงเหมือนขลุ่ยของเจ้าพี่มิมีผิด” หมื่นคุ้งพูด แต่แล้วเขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “หรือว่ามนุษย์ผู้นั้นจะเก็บขลุ่ยเพียงออของเจ้าพี่ได้?”

“อย่าเพ้อเจ้อนะหมื่นคุ้ง มนุษย์ไม่มีทางเก็บขลุ่ยของพี่ได้ หรือต่อให้เก็บได้ก็ไม่มีผู้ใดสามารถเป่ามันเป็นเพลงไพเราะได้นอกเสียแต่ว่า...”

...คนผู้นั้นจะต้องเป็นผู้ที่ถูกเจ้าของมอบให้ด้วยหัวใจ มอบให้ด้วยความสิเนหา ผู้ที่รับไปจึงจะสามารถเป่ามันเป็นบทเพลงอันแสนไพเราะได้ นั่นจึงทำให้พันวังได้แต่เงียบไป เพราะมีเพียงเขากับพระเจ้าตาเท่านั้นที่รู้ถึงความลับของขลุ่ยเพียงออเลานี้

“นอกเสียแต่ว่าอะไรหรือเจ้าพี่?” เมื่อความเงียบได้ก่อตัวมานานหมื่นคุ้งก็ได้เอ่ยถามขึ้น

“นอกเสียแต่ว่าขลุ่ยที่ตัวเจ้าเห็นมันจะเป็นของปลอมที่มนุษย์ทำขึ้น” พันวังตอบกลับก่อนจะปรับอารมณ์และความรู้สึกให้เป็นปกติ “หมดเวลาพักแล้ว ตัวเจ้าจงกลับไปคัดอักษรต่อเสียเถิด อย่าให้พี่ต้องลงโทษตัวเจ้าไปมากกว่านี้เลย”

“...ขอรับ” แม้จะงุนงงต่อท่าทีของพระเชษฐา แต่หมื่นคุ้งก็ยอมทำตามที่เจ้าพี่ของตนสั่งแล้วกลับไปก้มหน้าก้มตาคัดลายมือต่อ ส่วนพันวังนั้นก็ได้แต่นั่งเงียบมองผู้เป็นพระอนุชานั่งคัดลายมือไป โดยที่ภายในจิตใจก็ได้นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา

หมื่นคุ้งได้พบกับมนุษย์ที่ถือครองขลุ่ยเพียงออเสียงสวรรค์กระนั้นหรือ? ขลุ่ยเพียงออที่พระอนุชาคิดว่ามันเป็นขลุ่ยเลาเดียวกับขลุ่ยเพียงออเสียงสวรรค์ของเขา ถ้าเช่นนั้น...มันจะเป็นไปได้หรือไม่ที่หมื่นคุ้งได้พบกับคนๆ นั้นแล้ว


หลายวันผ่านไป ไม่รู้ว่าเป็นอะไร หลังจากที่เขาได้รู้ว่าหมื่นคุ้งได้พบกับคนๆ นั้นแล้ว จิตใจของพันวังพระโอรสหนุ่มก็เกิดร้อนรุ่มขึ้นมา คล้ายกับว่าจิตใจและร่างกายกำลังโหยหา ใครคนนั้นที่เขาได้ผูกพันธะเอาไว้

ช่างร้อนรุ่มไปทั้งหัวใจและร่างกายก็กระสันใคร่อยาก จนเมื่อไม่อาจฝืนทนได้ไหวและด้วยความรู้สึกที่กวนจิตกวนใจ พันวังจึงตัดสินใจแหวกว่ายออกจากกุมภีล์นครา สู่โลกเบื้องบนที่ตนไม่ได้ออกมานาน เพื่ออกตามหาคู่เคี้ยงเพียงกันของเขา

ร่างของพญาจระเข้สีนิลดำตัวเขื่องใหญ่ ลูกผสมระหว่างตะโขงและจระเข้น้ำจืด สง่างามตามรูปลักษณ์ของชาวกุมภิล และน่าเกรงขามหวาดประหวั่นไม่ต่างอะไรกับรูปลักษณ์ตะโขงของชาวนักกา

จระเข้ที่มีขนาดความยาวเกือบ 4 วา (8 เมตร) ได้แหวกว่ายอยู่ภายใต้ผืนน้ำขนาดใหญ่ แม้จะมีกฎห้ามชาวกุมภีล์นิมิตออกจากเขตแดนกุมภีล์นครา แต่กฎที่ว่านั่นคือข้อบังคับที่ห้ามผู้ที่ยังไม่รู้นิติภาวะ ต่างจากพันวังที่บรรลุนิติภาวะแล้วเท่านั้น ที่สามารถออกไปไหนมาไหนได้ตลอดเวลา

แต่แล้วโสตประสาทของพระยาจระเข้สีดำก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างเข้า เสียงขลุ่ยที่ดังก้องกังวานไกล เป็นคลื่นเสียงอันแสนคุ้นเคย

พันวังได้แหวกว่ายตามเสียงขลุ่ยอันแผ่วเบาที่ลอยทวนกระแสน้ำไม่นาน ในที่สุดเขาก็มาถึงใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่ขึ้นอยู่ริมน้ำ และที่นั่นเองเขาก็ได้พบกับใครคนนั้น คนที่เขาตามหามานาน และในที่สุดเขาก็ได้พบพากับใครคนนั้นเสียที

เสียงขลุ่ยอันเป็นเอกลักษณ์ที่มีเพียงขลุ่ยเพียงออเสียงสวรรค์ของเขาเท่านั้น ที่สามารถขับกล่อมได้ไพเราะถึงเพียงนี้ แต่ว่านั่นก็ไม่อาจทำให้หัวใจของเขาเบิกบานอย่างดีใจ เท่ากับที่ได้เห็นใบหน้าของผู้ที่ขับกล่อมเพลงขลุ่ยนี้แล้ว แม้วันเวลาจะทำให้ผู้นี้เปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่หัวใจของเขาก็จดจำชายผู้นี้ได้ดี ผู้ที่เขาได้ผูกสัมพันธ์ เป็นคู่เคี้ยงเพียงกันตลอดไป

...จรินทร์


.

.

.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-08-2020 19:10:10 โดย Popspugnik000 »

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
งอนกันแล้ววว

ออฟไลน์ Popspugnik000

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 12
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-10
บทที่ 4


ล่องลอยเอ๋ย...ไยหัวใจถึงได้ลอยละล่องด้วยความเกษมเปรมปรีดิ์ ราวกับว่าหัวใจมันเต็มไปด้วยความสุข ราวกับหัวใจกำลังลิงโลดดีอกดีใจที่ในที่สุดเขาก็พบกับจรินทร์เสียที

พันวังไม่รอช้า เขารีบว่ายเข้าไปใกล้เพื่อหมายจะเข้าไปทักทายจรินทร์อย่างไว แต่ด้วยร่างกายขนาดใหญ่โตของพญากุมภีล์สีนิลดำ มันจึงทำให้การแหวกว่ายของพันวัง ได้ทำผิวน้ำแหวกออกเป็นระลอกคลื่นขนาดใหญ่ ทำเอาจรินทร์ถึงกับตกใจ เพราะคิดว่ากำลังมีอะไรบางอย่างพุ่งเข้ามาจากใต้น้ำ

“!?”

ครูหนุ่มผงะ ส่วนพันวังที่เห็นเช่นนั้นจึงได้แต่ลอยตัวนิ่ง ๆ เพราะเกรงว่าอีกฝ่ายอาจจะตกใจกลัว เมื่อเห็นเขาในรูปลักษณ์เช่นนี้ เขามิน่าลืมตัวจนเผลอว่ายน้ำเข้าไปหาจุลินทร์เลย โผล่หน้าออกไปด้วยกายเช่นนี้ล่ะก็ มีหวังจรินทร์คงได้ตกใจกลัวเป็นแน่

ยังดีที่สายน้ำในตอนนี้ขุ่นข้นพอจะช่วยอำพรางกายสีนิลดำของเขา แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายก็ไม่ได้ลดละความสงสัยลงแต่อย่างใด จรินทร์ยังคงยืนสังเกตความผิดปกติอยู่ตรงนั้น พันวังจึงได้ดำลงไปใต้น้ำอย่างเชื่องช้า ก่อนจะคาบเอาขอนไม้ใหญ่ที่หัวปักโคลนขึ้นมา แล้วปล่อยให้มันลอยละล่องขึ้นสู่ผิวน้ำไป

บุ๋งๆ!

“เอ๋! ขอนไม้เองเหรอ?” ครูหนุ่มกล่าวกับตัวเองเบา ๆ แต่เขาก็ยังไม่วางใจ เขาจึงได้หยิบเอาก้อนหินขนาดเหมาะมือขึ้นมา แล้วขว้างมันไปยังจุดที่ขอนไม้นั้นลอยน้ำอยู่ โดยที่ตัวเขาเองก็ไม่ได้รู้เลยว่า เขาได้เผลอขว้างก้อนหินไปโดนหัวของพันวังเข้าอย่างจัง

โป๊ก!

จ๋อม!


แม้จะเป็นผิวหนังที่หนาและหยาบกระด้างตามประสาจระเข้ แต่ถ้าโดนก้อนหินขนาดเท่าหนึ่งกำปั้นมือเข้าไป มันก็ทำให้พันวังรู้สึกเคืองเหมือนกัน พญากุมภีล์จึงได้แต่นึกทอดถอนใจ เจอกันคราแรกในรอบหลายปี จรินทร์ก็ปาก้อนหินใส่หัวของเขาแล้ว นี่ถ้าไม่เห็นว่าเป็นผู้ที่ไม่ได้เจอกันมานาน ป่านนี้อีกฝ่ายคงได้กลายเป็นของกินเล่นของเขาเป็นแน่

...สงสัยคงต้องแกล้งคนผู้นี้เสียหน่อยแล้วกระมัง

ตูม!

ซ่า!


ว่าแล้ว พญาจระเข้พันวังก็ทะยานขึ้นสู่ผิวน้ำ และพุ่งเข้าหาจรินทร์โดยที่อีกฝ่ายไม่ทันได้ตั้งตัว

“เฮ้ย!” นั่นจึงทำให้ครูหนุ่มเมืองกรุงร้องเสียงหลง แต่ไม่ทันที่เขาจะได้ทำอะไร ร่างกายของเขาก็ได้หกคะเมนตีลังกา ด้วยแรงกระแทกจากปากขนาดใหญ่ของพญาจระเข้พันวังแล้ว

“โอ๊ย!”

จุลินทร์สบถออกมาสั้น ๆ ก่อนจะกะเสือกกะสนนำพาร่างของตนหนีไปจากบริเวณนี้ให้เร็วที่สุด เขานึกแล้วว่ามันจะต้องมีอะไรบางอย่างซ่อนตัวอยู่ใต้น้ำน่ะ แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นจระเข้ตัวใหญ่ยักษ์ขนาดนี้ สงสัยมันคงจะโกรธที่เขาขว้างก้อนหินไปโดนมันแน่เลย เขานี่ไม่น่าหาเรื่องใส่ตัวหาเหาใส่หัวตัวเองเลย

ส่วนพันวังที่เห็นอีกฝ่ายกำลังคลานหนีเอาชีวิตรอดเช่นนั้น เขาก็ได้นึกกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ คิดไว้แล้วว่าจรินทร์จะต้องกลัวเขาน่ะ แต่ก็ไม่คิดว่าจะกลัวจนหัวหดถึงเพียงนี้ พันวังจึงแกล้งคาบขาของอีกฝ่ายเอาไว้ ก่อนจะลากจรินทร์ให้ลงน้ำไปกับตน

ตูม!

ร่างของครูหนุ่มเมืองกรุงได้ถลาลงผืนน้ำเสียงดังตูม แม้เจ้าจระเข้ตัวนั้นจะปล่อยขาของเขาไปแล้ว แต่ด้วยการที่ตนว่ายน้ำไม่เป็น นั่นจึงทำให้จรินทร์ได้แต่พยายามตีน้ำเป็นลูกหมาตกน้ำอยู่อย่างนั้น เขาพยายามตะเกียกตะกายทะลึ่งตัวขึ้นสู่ผิวน้ำให้ได้ ตอนนี้ครูหนุ่มเริ่มสำลักน้ำจนหายใจไม่ออกแล้ว สติที่มีก็เริ่มเลือนรางลงไปจนใกล้จะสลบลงไปแล้วทุกที

ฉับพลันนั้นเอง สายตาอันพร่ามัวของจรินทร์ก็ได้เห็นพญาจระเข้สีนิลดำขนาดใหญ่ ได้แหวกว่ายเข้ามาหาตัวเขา นี่อย่าบอกนะว่าเขากำลังจะกลายเป็นอาหารของมันน่ะ นี่เขากำลังจะตายแล้วใช่ไหม นี่เป็นวาระสุดท้ายของเขาแล้วใช่ไหม ช่างน่าเสียดายที่ก่อนตายก็ไม่ได้มีโอกาสแม้แต่จะพบชายคนนั้นเลย ช่างน่าเสียดายจริง ๆ

แต่แล้วร่างของพญาจระเข้ที่กำลังพุ่งเข้ามาก็ได้เปลี่ยนไป กลายเป็นร่างของใครคนหนึ่งที่แหวกว่ายเข้ามา ร่างของผู้ชายผิวขาวผู้มีเส้นผมสีดำยาวสลวย ร่างของผู้ชายคนนั้นที่แม้สายตาของเขาจะเลือนรางเพียงใด แต่ก็ช่างคุ้นเคยเหลือเกิน ช่างคลับคล้ายคลับคลากับคน ๆ นั้น คนที่เข้าไม่ได้พบพานมานานแสนนาน คนที่เขาเฝ้าตามหามานานแรมปี...

...คุณพันวัง

แม้จะดีใจที่ในที่สุดก็ได้พบกับคนที่ตนตามหา แต่ดูเหมือนว่าเขาใกล้จะหมดลมหายใจลงเต็มทีแล้ว ทว่าจรินทร์ก็ต้องแปลกใจ เมื่อพันวังได้จับแก้มทั้งสองข้างของเขาเอาไว้ ก่อนที่ผู้ชายคนนั้นจะประกบจูบลงบนริมฝีปากของเขา แล้วถ่ายอากาศเข้าปอดอย่างบางเบา เกิดเป็นรสชาติและความรู้สึกอันแปลกประหลาด ไม่ต่างอะไรกับคืนที่เขาได้จูบแรกจากพันวังเลย

เป็นรสจูบอันดูดดื่ม เป็นจุมพิตที่หอมหวาน และด้วยสัญชาตญาณและความคิดถึงคะนึงหา ลิ้นของของจรินทร์ได้กระหวัดคล้องเอาลิ้นของอีกฝ่ายเข้ามา ก่อนจะเกลี่ยวนและดูดกลืนความหวานนั้นอย่างหิวกระหาย แม้จะเข้าใกล้ความตาย แต่เขาก็โหยหาและต้องการความหวานจากโพรงปากของชายคนนี้เสียเหลือเกิน จรินทร์จึงได้โอบกอดร่างของอีกฝ่ายเอาไว้ ราวกับไม่อยากให้ผู้ชายคนนี้จากเขาไปไหนอีกแล้ว

...อยู่กับผมตลอดไปนะครับ คุณพันวัง


.

.

.

เฮือก!

พลันร่างของคุณครูหนุ่มสุดหล่อก็ต้องสะดุ้งตื่นขึ้น จรินทร์หอบหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน ก่อนจะหันไปมองซ้ายขวาของตนอย่างตื่นตระหนก เมื่อครู่นี้มันคืออะไร ก็เขาถูกจระเข้คาบลงน้ำไปไม่ใช่หรือ? แล้วทำไมเขาถึงกลับมานอนอยู่บนริมฝั่งแม่น้ำได้ล่ะ

“แฮก...แฮก!” จรินทร์จึงก้มลงมองดูฝ่ามือทั้งสองข้าง ก่อนจะสำรวจร่างกายของตนอีกครั้ง เสื้อผ้าไม่มีรอยเปียก ไม่มีบาดแผลใดอยู่บนร่างกาย แสดงว่าเมื่อครู่นี้มันคือความฝันอย่างนั้นหรือ? ทำไมมันถึงได้ดูเหมือนจริงนักนะ

เหมือนว่าทุกๆ อย่างนั้นมันคือเรื่องจริง จระเข้ยักษ์ได้ลากเขาลงน้ำไปและตัวเขาเองก็เกือบจมน้ำตาย แต่พันวังก็โผล่เข้ามาแล้วถ่ายเทอากาศผ่านทางริมฝีปาก พอนึกถึงสิ่งที่เคยเกิดขึ้นทีไรมันก็ทำให้เขารู้สึกเขินอายอย่างไรไม่รู้สิ

แค่จูบเบาๆ เท่านั้นทำเอาเขาสั่นไปถึงหัวใจ ตอนที่พบว่าตนได้จูบกับพันวัง มันก็ทำให้ดวงใจล่องลอยไปไกลสุดปลายขอบฟ้า เป็นรอยจูบยังคงติดอยู่ที่ริมฝีปาก เป็นรสจูบอันแสนหวานที่ไม่รู้ว่าตนนั้นคิดไปเองหรือไม่ แต่ความหวานนั้นก็ยังคงกระจายตัวอยู่ในโพรงปาก สงสัยความรู้สึกของเขาคงจะเปลี่ยนไป เมื่อได้อยู่ใกล้กับพันวังจริง ๆ อย่างนั้นสินะ

...อา! นี่เขาเพิ่งจูบกับพันวังอีกแล้วหรือเนี่ย ช่างน่าอายเสียจริง

สุดท้ายเมื่อไม่รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริงนั้นคืออะไร เขาได้จูบกับคนที่ตนตามหามานานนั้นหรือไม่ หรือว่ามันเป็นเพียงความเพ้อฝันที่สมองมันได้จินตนาการขึ้นมา จรินทร์ก็ได้แต่เก็บความฉงนสงสัยนั้นเอาไว้ ก่อนจะเก็บขลุ่ยของตนแล้วเดินจากไปทันที

“...”

ส่วนพันวังก็ได้แต่แอบมองจรินทร์อยู่ตรงนั้น รู้สึกผิดมิน้อยที่แกล้งจนอีกฝ่ายเกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่ว่านะ...จูบเมื่อครู่นี้ก็ทำให้เขารู้สึกแปลกประหลาดเสียเหลือเกิน เพียงแค่ได้สัมผัสกลีบปากคู่นั้น เพียงได้ลิ้มชิมรสปากจากอีกฝ่าย ก็คล้ายกับถูกอัสนีบาตฟาดเข้าไปถึงตรงกลางหัวใจ ฟูฟ่องและล่องลอย สั่นสะท้านสะเทือนไปถึงจิตใจ

“หึ ๆ นี่ตัวข้าทำอะไรลงไปนะ อา! ตัวข้าช่างหักห้ามใจตนเองมิได้เสียจริง หึ ๆ”

พญากุมภีล์จึงได้แต่หัวเราะออกมาเบา ๆ และส่ายหัวเล็กน้อย นี่ถ้าท้าวพันวันผู้เป็นบิดาล่วงรู้ว่าเขาได้จูบกับมนุษย์อีกครั้งแล้ว แถมผู้นั้นก็เป็นบุรุษเพศเฉกเช่นเดียวกับเขาด้วย พระบิดาจะทรงแสดงสีพระพักตร์ออกมาเป็นอย่างไรนะ อา! นี่เขาคงทำอะไรไม่ได้ไตร่ตรองอีกแล้วล่ะสิ


เวลาก็ได้ผ่านเลยไปถึง 2 เดือน แม้จะไม่ง่ายแต่จรินทร์ก็ผ่านมันมาได้ แต่คืนวันที่ผ่านไปก็ช่างยากลำบากเสียจริง ถึงจะสนุกกับการได้ทำในสิ่งที่เป็นความฝันของตน ได้ทำในสิ่งที่เป็นตัวของตัวของตัวเอง แต่การเป็นครูก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

แม้นักเรียนที่นี่จะน่ารัก แต่หลักสูตรที่เยิ่นเย้อ และงานเอกสารที่ดึงเวลาของครูใหม่ อันเป็นไปตามนโยบายของสำนักงานเขต มันก็แทบทำให้เขาไม่เหลือพลังงานใด จะไปทำการเรียนการสอนให้กับนักเรียนของตนได้เลย ไหนจะห้องนอนอันแสนคับแคบที่มีเพียงฟูกแข็ง ๆ ให้เขาต้องนอนเอนกาย ต้องทนนอนปวดหลังมาตลอด 2 เดือน แล้วไหนจะพัดลมเก่า ๆ ส่งเสียงหึ่ง ๆ ที่ไม่ได้ทำให้รู้สึกเย็นขึ้นเลย แม้จะเตรียมใจตั้งแต่แรก แต่ก็ยอมรับว่าเขาเริ่มจะไม่ไหวแล้ว

เกิดเป็นความเครียดสะสม เกิดเป็นความอ้างว้างและความเหงาเปล่าเปลี่ยวที่เกาะกินหัวใจ นอกเหนือจากความคิดถึงบ้านเกิดเมืองนอน คิดถึงชีวิตที่เรียบหรูสุขสบายของตน แม้เมื่อก่อนตอนที่ยังอยู่ในครอบครัวนวสกุลจะรู้สึกโดดเดี่ยวไปบ้าง แต่อย่างน้อยเขาก็มีป้าแม่บ้านประจำครอบครัว ที่พอจะเป็นที่ยืดเหนี่ยวจิตใจให้เขาได้ แต่พอมาอยู่ที่นี่เพียงลำพังความเหงามันก็ได้กลืนกินจิตใจไปทีละนิดแล้ว

“...”

ตอนนี้จรินทร์ได้แต่นั่งชันเข่าอยู่ภายใต้ต้นหว้าใหญ่ต้นเดิม ที่เขามักจะมานั่งเป่าขลุ่ยในช่วงวันหยุด เป็นระยะเกือบ 2 เดือนกว่าแล้วที่เขามานั่งเป่าขลุ่ยเพื่อรอพันวังในสถานที่แห่งนี้ เป่าด้วยทำนองเพลงเดิม ๆ เป่าด้วยความรู้สึกเดิม ๆ แต่ว่าตอนนี้มันเริ่มจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป...

การที่ได้พบกับพันวังอีกครั้งในวันนั้น แม้จะไม่รู้ว่าวิ่งที่ตนเห็นจะเป็นเพียงภาพฝันหรือว่าความจริง แต่มันก็ทำให้จรินทร์คาดหวังว่าจะได้เจอพันวังอีกสักครั้ง ขอแค่ครั้งเดียว แค่ครั้งเดียวพอให้หัวใจได้ถูกเยียวยา แต่ไม่ว่าจะเพียรพยายามตามหาอีกฝ่ายสักเพียงใด ไม่ว่าจะเป่าขลุ่ยด้วยเพลงจินตาแค่ไหน แต่เขาก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายช่างอยู่ห่างไกลออกไปเสียทุกที

“ตกลงแล้ว คุณมีตัวตนจริง ๆ หรือเปล่านะ?”

เขาพูดแล้วมองขลุ่ยเพียงออในมือของตน ดวงตาเริ่มฉายแววความผิดหวัง เป็นความเศร้าที่เคล้ากับความขื่นขม เพราะเป็นคนที่ขาดความรักและความเข้าใจ มันจึงทำให้จรินทร์ต้องการใครสักคน หวังให้ใครคนนั้นเป็นที่พึ่งทางใจ หวังให้ใครสักคนเข้าใจในตัวของเขา แต่ตอนนี้ก็เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าสิ่งที่เขาคิดมันเป็นความเชื่อที่ผิด

เพราะคาดหวังจึงผิดหวัง เพราะโหยหาและต้องการ จนเริ่มแยกแยะไม่ออกว่าคน ๆ นั้นไม่ได้มีตัวตนบนโลกแห่งความจริงนี้เลย เป็นเพียงแค่ภาพฝัน เป็นเพียงแค่จินตนาการ เป็นเพียงแค่ภาพลวงตาที่ดวงใจโหยหาได้สร้างขึ้นมา

และด้วยความรู้สึกที่เริ่มดำดิ่ง เป็นความรู้สึกด้านลบที่เกาะกินใจมานาน จรินทร์จึงได้หยิบเอาขลุ่ยเพียงออเลานั้นขึ้นมาเป่าอีกครั้ง เป่าขลุ่ยเพียงออแสนไพเราะเป็นเพลงครั้งสุดท้าย

ล่องลอยเอ๋ย คงเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่หัวใจจะล่องลอยในความฝัน เป็นครั้งสุดท้ายที่ต้องยอมรับว่าคนที่เขาตามหาไม่ได้มีตัวตนจริง เป็นความผิดหวังที่มันไม่ได้สุขสมตามที่ตนปรารถนา เป็นทำนองเพลงขลุ่ยครวญที่ผู้เป่าขับขานได้เป่ามันออกมา เต็มไปด้วยความเศร้าโศกา จนทุกสรรพสิ่งที่อยู่รอบกายต่างก็ต้องเงียบเสียงลง ราวกับว่ากำลังสงสารและเห็นใจเจ้าของเพลงครวญผู้นี้เลย

“ฮึก! ขอบคุณที่ทิ้งมันไว้เป็นของแทนใจให้ผมนะครับ แต่ว่าหลังจากนี้มันคงจะไม่จำเป็นกับผมแล้ว ผมขอคืนมันให้คุณนะครับ”

ว่าแล้วจรินทร์ก็ได้ขว้างเอาสิ่งที่สำคัญที่สุดของตนทิ้งไป ขว้างเอาขลุ่ยเพียงออเลานั้นลงน้ำไป โดยไม่คิดที่จะหลงเหลือความหวังใดเอาไว้อีก ความฝันก็คงเป็นเพียงแค่ความฝัน หากว่าชายคนนั้นเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา มันก็คงจะเป็นได้แค่ภาพลวงตาอยู่วันยังค่ำ สุดท้ายก็คงจะมีเพียงขลุ่ยเพียงออเลานั้น ที่ตอนนี้ได้แต่ลอยเท้งเต้งเคว้งคว้างอยู่บนผิวน้ำแทน

“กรอดดด” และทันทีที่จรินทร์ได้เดินจากไป ผู้รับชมเพียงหนึ่งเดียวก็ได้ปรากฏกายขึ้นมา

“ทั้งที่เป่าขลุ่ยได้ไพเราะถึงเพียงนั้น เหตุไฉนไยต้องทิ้งขลุ่ยไปด้วยนะ”

หมื่นคุ้งในร่างกุมภีล์สีเขียวมรกตก็ได้แต่นึกคิดด้วยความสงสัย ปากก็คาบเอาขลุ่ยเพียงออกเลานั้นเอาไว้ด้วยความฉงน อุตส่าห์ได้โอกาสหนีออกมาเที่ยวเล่นทั้งที เหตุไฉนชายผู้นี้กลับเป่าขลุ่ยให้เขาฟังแค่เพลงเดียวนะ แถมยังเป็นท่วงทำนองที่ฟังแล้วก็รู้สึกสลดและหดหู่อีกด้วย เจ้าหมื่นคุ้งช่างไม่เข้าใจความรู้สึกของชายผู้นี้เลย

ไม่ได้การ! เขาไม่ยอมให้ผู้ชายคนนี้เลิกเป่าขลุ่ยให้เขาฟังเด็ดขาด เจ้าพี่ก็ทำขลุ่ยหายจนเขาอดฟังเสียงขลุ่ยเพราะพริ้งมาคราหนึ่งแล้ว เสียงเพลงขลุ่ยจับจิตถึงเพียงนี้ หากไม่ได้ฟังอีกก็คงต้องอกแตกตายเป็นแน่

“ข้าจักไม่ยอมให้ตัวท่านทิ้งขลุ่ยเลานี้ไปแน่” ว่าแล้วเจ้าหมื่นคุ้งตัวน้อยก็ได้รีบว่ายน้ำสะกดรอยตามชายผู้นั้นไปทันที


.

.

.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-08-2020 19:32:42 โดย Popspugnik000 »

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
 งานนี้มีเด็กถูกตีแน่ๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Popspugnik000

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 12
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-10
บทที่ 5


‘ญาณสัมผัส’ คือมนตราที่ติดตัวเหล่ากุมภีล์นิมิตมาตั้งแต่กำเนิด เป็นมนตราที่สามารถสัมผัสถึงจิตใจความรู้สึกนึกคิดของผู้อื่นได้ และยังสามารถแกะรอยผู้ใดก็ตามจากสิ่งของที่บุคคลผู้นั้นเคยสัมผัส เกิดเป็นภาพนนิมิตที่แม้เห็นเพียงเลือนราง แต่ก็สามารถตามหาบุคคลผู้นั้นได้เจอ และด้วยญาณสัมผัสนี้เองที่ทำให้หมื่นคุ้งตามจรินทร์มาถึงที่นี่ ตามมาถึงหมู่บ้านขอนลอยแห่งนี้

แต่เหตุไฉนลำคลองแห่งนี้ถึงได้ขุ่นมัวและสกปรกนักนะ ทั้งขุ่นมัวและเหม็นคาว มีแต่เศษขยะและตะกอนสีดำไม่น่าแหวกว่ายเลยสักนิด ไยมนุษย์พวกนี้ถึงไม่รักษาความสะอาดของแม่น้ำลำคลองบ้างนะ จนเมื่อสุดที่จะทานทนไหวเจ้าหมื่นคุ้งตัว เจ้าจระเข้ตัวจ้อยจึงได้รีบตรงไปที่ชายฝั่งแล้วรีบขึ้นจากน้ำทันที

เมื่อขึ้นฝั่งได้ หมื่นคุ้งก็คายขลุ่ยเพียงออในปากของตน แล้วสูดอากาศเข้าปอดของตนเฮือกใหญ่ เกิดมาก็เพิ่งจะเคยแหวกว่ายในสายน้ำที่สกปรกโสโครกถึงเพียงนี้ นี่ถ้าไม่ติดว่าจะต้องเอาขลุ่ยมาคืนจรินทร์นะ ให้สิ้นชีพชีวาวายเขาก็ไม่มีทางยอมมาแหวกว่ายในลำคลองสายนี้แน่นอน

ฉับพลันทันใดนั้น! ญาณสัมผัสของเขาก็สัมผัสได้ถึงมนุษย์ 2 คนที่กำลังเดินผ่านทางมา เจ้าหมื่นคุ้งจึงรีบคลานหนีไปยังดงต้นอ้อที่อยู่ใกล้ เพื่อลอบเร้นอำพรางกายจระเข้ของตน หากมีผู้ใดมาพบเห็นเขาในร่างนี้ มีหวังคงได้เป็นเรื่องที่ใหญ่โตแน่ เจ้าจระเข้สีเขียวตัวจ้อยจึงได้รีบเดินฝ่าดงต้นอ้อนี้ออกไป เพื่อตรงไปยังจุดหมายที่เขากำลังตามหาในทันที


ณ โรงเรียนบ้านขอนลอย โรงเรียนเล็ก ๆ ประจำหมู่บ้าน ที่ชาวบ้านส่วนใหญ่ได้ส่งบุตรหลานเข้ามาเรียน แม้วันนี้จะเป็นวันหยุดและเป็นเวลา 4 โมงเย็นกว่าแล้ว แต่ก็ยังคงมีเด็กหลายคน ได้เข้ามาเล่นฟุตบอลที่สนามหญ้าภายในโรงเรียน ภาพของเด็ก ๆ ที่กำลังวิ่งไล่เตะฟุตบอลกันอย่างสนุกสนาน มันก็ทำให้หมื่นคุ้งรู้สึกสนใจไม่น้อยเลย

ร่างของเด็กมนุษย์วัยแตกเนื้อหนุ่ม ผู้มีใบหน้าหวานสวยและแต่งกายด้วยชุดไทยโบราณ ได้แต่แอบมองเด็ก ๆ กลุ่มนั้นเล่นการละเล่นอันแปลกหูแปลกตาอย่างสงสัย ไอ้ลูกกลม ๆ ที่เจ้าพวกเด็กมนุษย์พวกนี้กำลังวิ่งไล่เตะนี่คืออะไร ไยถึงต้องวิ่งไล่และแย่งชิงกันไปมาด้วย ทำไมดูจากสีหน้าของเด็กพวกนั้นแล้ว ทำไมมันถึงได้ดูสนุกสนานถึงเพียงนี้นะ เขาชักอยากจะเข้าไปเล่นกับเด็กมนุษย์พวกนี้ดูแล้วสิ

แต่หมื่นคุ้งก็ส่ายหน้าไปมาแรง ๆ เพื่อหักห้ามใจของตน ไม่ได้ ๆ เขาจะโผล่ไปให้มนุษย์เห็นไม่ได้ แค่ฝืนกฎหนีออกมาเที่ยวเล่นนอกกุมภีล์นคราก็มีความผิดมากพออยู่แล้ว ถ้าขืนเขาโผล่ไปเล่นกับเด็กมนุษย์พวกนั้นล่ะก็ มีหวังเจ้าพี่คงได้กักบริเวณเขาเป็นแน่
ว่าแล้วเจ้าหมื่นคุ้งจึงได้เดินลัดเลาะไปด้านหลังตัวอาคารเรียนอย่างไว แต่ก็ไม่วายจะชะโงกหันกลับมามองกลุ่มเด็กเหล่านั้นเล็กน้อย นัยน์ตาก็ทอดอาลัยมองกลุ่มเด็กพวกนั้นอย่างเสียดาย อยากเล่นด้วยแต่ก็ต้องตัดใจ เพื่อตรงไปยังบ้านพักของจรินทร์ทันที


ทว่าเขากลับต้องคิดหนัก เขาควรจะทำอย่างไรดีนะ อุตส่าห์ยอมแหกกฎร้ายแรงเพื่อเอาขลุ่ยมาคืนจรินทร์แล้ว แต่เจ้าตัวกลับไม่อยู่บ้านเสียอย่างนั้น พอใช้ญาณสัมผัสดู หมื่นคุ้งก็พบว่าจรินทร์ได้ออกไปทำธุระกับครูใหญ่ที่ต่างหมู่บ้าน ใจก็อยากจะออกตามหานะ แต่ลำคลองสายนี้ก็ไม่ได้ไหลผ่านหมู่บ้านนั้นเสียด้วย ครั้นจะเดินเท้าไปก็เสี่ยงต่อการถูกมนุษย์พบเจออีก แล้วเขาควรจะทำเช่นใดดี?

...สงสัยคงต้องทิ้งขลุ่ยไว้หน้าบ้านของจรินทร์แล้วกระมัง

ไวเท่าความคิด หมื่นคุ้งก็ได้มองซ้ายแลขวาเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีผู้ใดมาพบเห็น เจ้ากุมภีล์ตัวจ้อยจึงได้รีบพุงออกจากดงบอนอย่างไว แล้วตรงไปที่หน้าบ้านของจรินทร์เพื่อทำตามสิ่งที่ตนเองคิดทันที

“อืม...”

แต่เด็กน้อยก็ยังคงเป็นเด็กน้อยอยู่วันยันค่ำ แม้จะอยู่หน้าบ้านพักของจรินทร์แล้ว แต่หมื่นคุ้งก็ยังคงลังเลใจว่าจะวางขลุ่ยเพียงออเอาไว้ตรงไหนดี จะวางไว้ที่หน้าประตูดีไหมนะ? แต่มันก็ดูจะสกปรกเกินไป หรือจะปีนขึ้นไปแล้ววางไว้บนระเบียงดีล่ะ? แต่มันก็ดูไม่ดีเท่าใดที่ปีนขึ้นบ้านของผู้อื่นไม่ได้รับอนุญาตน่ะ นี่เขาจะทำอย่างไรดีนะ?

“นี่เธอกำลังทำอะไรอยู่น่ะ?” ทันใดนั้น! เสียงของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้น พอหันไปดูเจ้าหมื่นคุ้งตัวน้อยก็ต้องสะดุ้งโหยง เพราะผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าในตอนนี้ก็คือมนุษย์นั่นเอง

“ม...มนุษย์!” พลันเมื่อเห็นมนุษย์ยืนอยู่ตรงหน้า หมื่นคุ้งก็รีบวิ่งหนีไปไปด้วยความตกใจทันที

“เฮ้ย! เธอจะวิ่งหนีไปไหนน่ะ เฮ้ย! เดี๋ยวก่อน!” ชายคนนั้นวิ่งตามพร้อมกับตัวเขาที่วิ่งหนี ไม่ได้! จะให้มนุษย์มาพบเห็นเขาไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเขาคงได้ต้องโทษทัณฑ์เป็นแน่ ทว่า...

“อ๊ะ!” แต่เขากลับถูกชายคนนั้นคว้าต้นแขนเอาไว้แล้ว “ปล่อย! ปล่อยข้านะ ปล่อยตัวข้านะ!”

“นี่เธออย่าดิ้นสิ ครูไม่ได้จะทำอะไรเธอซะหน่อยนะ”

“ม...ไม่! จะให้มนุษย์เห็นไม่ได้เด็ดขาด ปล่อยข้า ปล่อยข้าบัดเดี๋ยวนี้!” ผู้ที่อยู่ในกำมือก็ไม่ได้ยอมหยุดดิ้นแต่อย่างใด ครูธนนท์ ครูพละรูปหล่อแห่งโรงเรียนบ้านขอนลอย จึงจับต้นแขนของเด็กคนนี้เอาไว้แล้วพูดว่า

“เธอ ใจเย็น ๆ นะ” ครูธนนท์พูดด้วยน้ำเสียงอันนุ่มนวลที่สุด ถึงดวงตาของเขาจะดุจนรับกับสองคิ้วที่ดูขมวดเข้าหากันตลอดเวลา แต่ก็ใช่ว่าเขาจะพูดจาดี ๆ กับเด็กนักเรียนไม่เป็น “เธอไม่ต้องตกใจ ครูไม่ทำอะไรเธอหรอก”

“...” แม้จะพูดเช่นนั้น แต่คนตรงหน้าก็หาได้แหงนขึ้นมามองเขาไม่

“เวลาที่ครูกำลังพูดด้วยช่วยมองหน้าครูหน่อยได้มั้ย?”

“...” ก็ยังคงเงียบอยู่เช่นเดิม

“นี่! ครูบอกให้มองครูไง เธอไม่ได้ยินเหรอ?”

“...”

“นี่เธอ!” คงเพราะเริ่มไม่พอใจจึงทำให้ครูธนนท์เสียงแข็งขึ้น นั่นจึงทำให้คนตรงหน้าแหงนมองเขาด้วยความตกใจ พร้อมกับที่เขาได้เห็นหน้าของเด็กคนนี้อย่างชัดเจน

“...”

ครูธนนท์ได้แต่มองคนตรงหน้าอย่างตื่นตะลึง เกิดมาก็เพิ่งเคยเจอใครที่มีใบหน้าหวานสวยถึงเพียงนี้ ทั้งขาวทั้งอมชมพูเป็นประกาย ริมฝีปากรูปกระจับที่ดูอวบอิ่มนิด ๆ ดวงตาก็กลมโตชวนให้หลงใหล รวงผมก็สีดำขลับวาววับและพลิ้วไสวไปจนถึงกลางหลัง เป็นนางยักษ์หรือว่านางฟ้า ที่ร่วงลงมาจากฟ้าแสนไกล นั่นจึงทำให้ครูพละได้สติกลับคืนมาก่อนจะทำน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุดแล้วพูดว่า

“เธอชื่ออะไร? เป็นใครมาจากไหน? แล้วมาทำอะไรที่หน้าบ้านครูจรินทร์?”

ครูธนนท์ยิงคำถามไปหลายชุด แต่นอกเหนือจากใบหน้าที่ทำให้เขาหวั่นไหวแล้ว ครูพละหนุ่มเองก็เพิ่งสังเกตได้ว่าเด็กคนนี้ช่างแต่งตัวประหลาดนัก แม้ท่อนบนจะเปลือยเปล่าจนเห็นถึงแผ่นอกบางและยอดอกสีชมพูอ่อน (?) แต่ท่อนล่างกลับนุ่งโจงกระเบนสีเขียวเข้ม และสวมเครื่องประดับตกแต่งกาย ทั้งทองกรและสังวาลสีทองที่ดูมีราคาอีกด้วย เห็นแล้วก็พาลให้นึกถึงชุดที่ ‘กุมารทอง’ ชอบใส่เสียจริง เจ้าเด็กคนนี้ช่างพิลึกชะมัด

“ข้ามิได้พิลึกเสียหน่อย แล้วก็อย่าเอาตัวข้าไปเปรียบกับกุมารทองตามที่ตัวเจ้าคิดด้วย ข้ามิได้ตกต่ำถึงเพียงนั้น” เจ้าเด็กคนนี้รู้ความคิดเขา? รู้ได้อย่างไรว่าเขากำลังคิดว่าเด็กคนนี้เหมือนกุมารทอง เรื่องบังเอิญหรือเปล่านะ

“ก็พูดได้นี่นา แล้วเมื่อกี้ทำไมไม่พูดกับครูล่ะ?” แต่เมื่อเห็นคนตรงหน้าพูดได้ ครูพละหนุ่มก็ได้ถามกลับไปทันที

“ก็ข้าไม่อยากพูด ไยข้าจะต้องพูดกับตัวเจ้าด้วยเล่า” ข้ากับตัวเจ้าอย่างนั้นหรือ...หึ! นอกจากจะแต่งตัวประหลาดแล้ว เจ้าเด็กคนนี้ยังพูดจาประหลาดอีก ช่างพิลึกกว่าที่เขาคิดอีกนะ

“อ๋อ...เหรอ?”

“ใช่! และข้าก็มิได้แต่งกายประหลาดนะ ตัวพวกเจ้าต่างหากที่แต่งกายประหลาดน่ะ” บอกตามตรงว่าตอนนี้เขาชักจะขนลุกแล้วสิ เจ้าเด็กคนนี้พูดเหมือนจะรู้ความคิดของเขาอีกแล้ว เอ๊ะ! แต่งตัวด้วยชุดผ้าไทยและพูดจาด้วยน้ำเสียงไทยโบราณเช่นนี้ ถ้าไม่เป็นคนบ้า...อย่าบอกนะว่าเด็กคนนี้จะเป็น ‘ผี’ น่ะ

ครูธนนท์ก็เลยจิ้ม ๆ บีบ ๆ บนผิวกายอันเนียนนุ่มของอีกฝ่ายเบา ๆ เขาอยากดูให้แน่ใจ ว่าเด็กคนนี้มิใช่ผีสางนางไม้อย่างที่เขาคิด

แต่แหม! คนอะไรนอกจากจะตัวขาวแล้ว ผิวพรรณยังเนียนละเอียดนุ่มนวลเหมือนกดลงบนวุ้นเลย เวลาที่บีบเนื้อหนังของเด็กคนนี้ทีไร ก็ดูเหมือนจะได้กลิ่นหอมของดอกไม้ลอยคลุ้งออกมาทุกที ทำเอาหัวใจชายหนุ่มของเขาถึงกับเต้นไม่เป็นจังหวะเลย

“ตัวเจ้ากำลังทำอันใด?” หมื่นคุ้งที่เห็นครูธนนท์เอาแต่บีบ ๆ จิ้ม ๆ ต้นแขนของตนอยู่อย่างนั้นก็ได้เอ่ยถามขึ้น

“ก็แค่เช็คดูว่าเธอเป็นผีหรือเป็นคน” ครูพละหนุ่มหล่อตอบกลับ โดยที่ยังคงบีบต้นแขนของหมื่นคุ้งอยู่ บอกตามตรงว่าผิวเนื้ออันเนียนนุ่มนี่ ก็ทำให้เขาอยากจะบีบ ๆ คลำ ๆ มันไปนาน ๆ เลยล่ะ

“ตัวเจ้าถ้าจะเสียสติไปแล้วกระมัง ข้ามีเนื้อหนังถึงเพียงนี้ ข้าจักเป็นผีสางตามที่เจ้าคิดได้อย่างไร?” พูดจบก็หน้าบูดบึ้ง เขาล่ะไม่ชอบท่าทีของเจ้ามนุษย์ผู้นี้เสียเลย “แล้วตัวเจ้าก็เลิกบีบแขนข้าด้วยมือสาก ๆ เสียที เดี๋ยวผิวกายของข้าก็ได้สกปรกกันพอดี”

ว่าแล้วเจ้าหมื่นคุ้งตัวน้อยก็ได้ปัดมือของครูธนนท์ออก พร้อมกับปัด ๆ ถู ๆ ผิวกายของตน คนอะไรทำไมมือสาก จับผิวกายของเขาแต่ละทีนึกว่าโดนจับด้วยกระดาษทรายก็ไม่ปาน ทำเอาครูพละสุดหล่อถึงกับต้องเม้มปากมองบน มองคนตรงหน้าอย่างหมดอารมณ์

“เป็นเด็กเป็นเล็กแต่ปากคอเราะรายจริง ๆ เลยนะ” คงเพราะด้วยความขุ่นเคืองอันระคนไปด้วยความรำคาญใจ ครูธนนท์ก็ได้จับข้อมือของหมื่นคุ้งแล้วลากอีกฝ่ายให้ตามไปที่ห้องพักครูทันที

“นี่ตัวเจ้าจะพาข้าไปที่ใด?”

“พาเธอไปห้องพักครูไง”

“ไม่! ตัวเจ้าจะพาข้าไปทำไม ข้าไม่ไปไหนกับตัวเจ้าทั้งนั้น ข้าจักอยู่ที่นี่”

“นี่เธออย่าดื้อกับครูได้มั้ยเนี่ย ครูก็แค่จะพาไปนั่งสงบสติอารมณ์แค่นั้นเอง”

“ไม่!” ทันใดนั้นเจ้าเด็กดื้อหมื่นคุ้งก็สลัดมือของครูธนนท์หลุดแล้วรีบวิ่งหนีไปหลบที่ดงบอนทันที

“เฮ้ย!” แต่ครูพละหนุ่มรูปหล่อก็ไม่ได้รอช้ารีบตามเจ้าเด็กดื้อไปอย่างไวจนคว้าตัวอีกฝ่ายได้ทัน

“ปล่อยข้านะ”

“เลิกวิ่งหนีซะทีเถอะน่าครูไม่ทำอะไรเธอหรอก”

“ไม่!” ทั้งสองยังคงยื้อยุดฉุดกระชากกันอยู่อย่างนั้น แต่ทว่าทันใดนั้นเองอุบัติเหตุที่ทั้งสองไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น

“เหวอ!”

หมื่นคุ้งได้เผลอลื่นล้มจนแทบจะหงายหลังไปกับพื้น แต่ในขณะที่เขาเกือบจะล้มหน้าคะมำอยู่นั้น มือของหมื่นคุ้งก็ได้คว้าต้นแขนของครูธนนท์เอาไว้ได้ทัน แต่ทว่ามันกลับกลายเป็นว่า เขาได้ดึงร่างของครูพละหนุ่มเข้ามาหาตัวเขาแทน และนั่นเองที่ทำให้ทั้งสองคนต่างพากันล้มทับตัวกันไปทั้งคู่

“โอ๊ย...”

ตอนนี้ร่างกายของหมื่นคุ้งกับครูธนนท์ต่างก็แนบชิดสนิทกัน จนทำให้คุณครูพละรูปหล่อรับรู้ได้ถึงความอุ่นร้อนจากร่างของอีกฝ่าย แถมการที่ใบหน้าของพวกเขาทั้งสองต่างห่างกันเพียงไม่ถึงคืบนั้น มันก็ทำให้เขาได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากเรือนกายของหมื่นคุ้งแล้ว

“ล...ลุกออกไปจากกายข้าบัดเดี๋ยวนี้เลยนะ เจ้ามนุษย์จอมฉวยโอกาส” แต่น้ำเสียงที่ร้องโวยวายดังลั่นของหมื่นคุ้งก็ทำให้ครูธนนท์ได้สติ เขารีบลุกออกจากร่างของเจ้าเด็กคนนั้นอย่างไว พร้อมกับที่หมื่นคุ้งก็ได้รีบถอยหนีแล้วกอดกายของตนอย่างความตกใจ

“เจ้าคนลามกจกเปรต ข้าเป็นบุรุษนะ ไยตัวเจ้าถึงได้บังอาจมาลวนลามข้ากัน” พอคืนสติได้ก็รีบต่อว่าต่อขานอีกฝ่ายไปทันที

“ครูไม่ได้ตั้งใจนะ ถ้าเธอไม่เอาแต่วิ่งหนีอุบัติเหตุแบบนี้ก็คงไม่เกิดขึ้นหรอก” แต่ครูธนนท์เองก็สวนกลับทันควัน

“มิต้องมาพูดอันใดเลยนะเจ้ามนุษย์ชีกอ อี๋! ตัวข้าคงจะต้องสกปรกไปแล้วเป็นแน่ น่ารังเกียจที่สุด” เด็กอะไรหน้าตาก็ดีแต่ปากคอเราะรายยิ่งนัก สงสัยคงต้องเฆี่ยนด้วยหวายเป็นการสั่งสอนเสียหน่อยแล้วกระมัง

“เธอนี่มันชักจะมากเกินไปแล้วนะ”

ใบหน้าหล่อเหลาเริ่มบูดเบี้ยว เด็กอะไรแม้หน้าตาจะน่ารัก แต่กิริยามารยาทกลับไม่น่ารักสมดั่งหน้าตาเลย นั่นจึงทำให้ครูธนนท์ได้หยิบเอาไม้เรียวประจำกายของตนขึ้นมา ไม้เรียวที่เขาเอาไว้ใช้กำราบเด็กซนมานักต่อนักแล้ว และคราวนี้ก็คงถึงเวลาที่จะต้องสั่งสอนเจ้าเด็กดื้อคนนี้แล้ว

“นี่ตัวเจ้า! ต...ตัวเจ้าถือไม้เรียวขึ้นมาทำไม?” เจ้าตัวน้อยเริ่มหน้าเสีย เขารู้ดีว่าสิ่งที่อยู่ในมือของครูธนนท์คืออะไรแล้วเขาก็รับรู้ถึงพลานุภาพของมันได้เป็นอย่างดี

“รู้จักด้วย? ดีเลย ครูจะได้เอามาตีเด็กดื้ออย่างเธอ”

ฟึ่บ!

“โอ๊ย! ข้าเจ็บนะ”

ฟึ่บ!

“โอ๊ย!”

และแล้วมหกรรมคุณครูไล่ฟาดเด็กดื้อก็ได้เริ่มต้นขึ้น ครูธนนท์ได้ถือไม้เรียวไล่ฟาดโดยที่เจ้าเด็กดื้อหมื่นคุ้งก็ได้แต่วิ่งหนี เป็นเด็กเป็นเล็กริอ่านมาต่อปากต่อคำกับผู้ใหญ่ ไม่มีสัมมาคารวะเช่นนี้มันต้องเฆี่ยนเสียให้เข็ด

ฟึ่บ!

“โอ๊ย! ข้าเจ็บนะ เลิกตีข้าเสียที”

ฟึ่บ!

“ผู้ใดก็ได้ช่วยข้าที โอ๊ย! เจ้ามนุษย์ใจร้ายผู้นี้กำลังทำร้ายข้า โอ๊ย!”

พลั่ก!

“โอ๊ย!” แต่ดูเหมือนหมื่นคุ้งจะหลับหูหลับตาวิ่งเกินไปหน่อย จนทำให้เขาวิ่งไปชนใครคนหนึ่งเข้า

“เธอ...เธอเป็นอะไรหรือเปล่า?” เสียงทุ้มนุ่มได้เอ่ยถาม ส่วนหมื่นคุ้งก็ได้ครวญครางด้วยความเจ็บปวดเล็กน้อยก่อนจะแหงนหน้าขึ้นไปดูก็พบว่าผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าก็คือจรินทร์นั่นเอง

“หยุดนะเจ้าเด็กบ้า!” พอเมื่อเห็นครูธนนท์ที่ไล่ตามมา หมื่นคุ้งก็ได้ลุกขึ้นไปหลบหลังของจรินทร์ทันที

“ช่วยข้าด้วย เจ้ามนุษย์ใจร้ายผู้นี้กำลังไล่ตีข้า” พูดพร้อมกับส่งสายตาเว้าวอนเพื่อขอความช่วยเหลือ เป็นวิธีการที่หมื่นคุ้งชอบทำประจำซึ่งมันก็ใช้ได้ผลทุกครั้งไป

“เอ่อ...มีอะไรหรือเปล่าครับครูธนนท์ ทำไมถึงได้ไล่ตีเด็กคนนี้ด้วยล่ะ?” จรินทร์เอ่ยถาม

“ก็ไอ้เด็กบ้านี่สิ ทำตัวไม่มีมารยาทไม่รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่ ผมก็เลยต้องตีสั่งสอนเด็กมันหน่อยไง” ครูธนนท์ตอบ

“ใจเย็น ๆ ก่อนสิครับครูธนนท์ ตีเด็กแบบนี้เดี๋ยวเด็กก็กลัวเอาหรอก” คราวนี้เป็นครูสุนทรครูใหญ่ประจำโรงเรียนบ้านขอนลอยได้พูดขึ้น

“ผมเห็นด้วยกับครูสุนทรนะครับ ขืนตีเด็กไปเดี๋ยวเด็กก็กลัวเปล่า ๆ” จรินทร์พูดเสริมแต่เขากลับถูกครูธนนท์ตวัดสายตามองด้วยความไม่พอใจแทน เขาจึงแกล้งทำเป็นไม่ใส่ใจ ก่อนจะหันไปหาหมื่นคุ้งแล้วพูดว่า “แล้วเธอเป็นอะไรหรือเปล่า เจ็บตรงไหนมั้ย?”

“ข้าเจ็บนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงอันใด” เจ้าหมื่นคุ้งตอบกลับ

“เหรอ? ว่าแต่เธอเป็นใครมาจากไหน ครูไม่เคยเห็นหน้าเธอเลยนะ”

แม้จะสอนมาเพียงระยะเวลาสั้น ๆ แต่เด็กนักเรียนทุกคนก็ล้วนแล้วแต่เคยผ่านสายตามา จนเขาแทบจะจำหน้าตาและชื่อได้จนเกือบหมด ก็คงจะมีเพียงเด็กคนนี้กระมังที่เขาไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อน แถมชุดไทยโบราณที่เด็กคนนี้สวมใส่ มันก็คลับคล้ายคลับคลา เหมือนเขาเคยเห็นใครคนหนึ่งแต่งกายด้วยชุดคล้าย ๆ กันมาแล้ว

“คือ...คือว่าตัวท่านมิจำเป็นต้องรู้หรอกว่าข้าเป็นผู้ใดหรือมาจากไหน” เขาพูดก่อนจะชูอะไรบางอย่างขึ้นมา “แต่ที่ข้ามาที่นี่เพื่อเอาของมาคืนท่านเพียงเท่านั้น”

“นี่มัน” ครูหนุ่มได้เอ่ยออกมาเบา ๆ อย่างตกใจ เพราะสิ่งที่อยู่ในมือของเด็กคนนี้ก็คือขลุ่ยเพียงออที่เขาทิ้งไปแล้วนั่นเอง “เธอเอามันมาได้ยังไง?”

“ตัวท่านมิต้องรู้ไปหรอก ตัวท่านแค่รับมันคืนไปแล้วจงอย่าทิ้งมันอีกก็พอ” และแล้วสองมือน้อย ๆ ของหมื่นคุ้งก็ถือวิสาสะดึงมือของจรินทร์ขึ้นมา ก่อนจะส่งขลุ่ยเพียงออในมือไปให้ แล้วกอบกุมมือทั้งสองของอีกฝ่ายเอาไว้ “ข้าคิดว่ามันคือของสำคัญที่สุดของตัวท่าน ได้โปรดอย่าทิ้งมันไปอีกนะขอรับ อย่าทิ้งทุกอย่างไปอีกนะขอรับ”

ยิ่งเด็กคนนี้พูดมันก็ยิ่งเต็มไปด้วยความสงสัย เด็กคนนี้รู้ได้อย่างไรว่าขลุ่ยเลานี้เคยเป็นของสำคัญของเขา รู้ได้อย่างไรว่าเขาเป็นคนที่ทิ้งขลุ่ยเพียงออเลานี้ไป และทำไมถึงได้ย้ำเตือนให้เขาอย่าทิ้งขลุ่ยเลานี้ด้วย เด็กปริศนาคนนี้เป็นใครกันนะ

“หมื่นคุ้ง!”

ทันใดนั้น! เสียงของใครคนหนึ่งก็ดัง เป็นเสียงที่คุ้นหู เป็นเสียงที่คุ้นเคย เป็นเสียงใครคนหนึ่งที่เขาตามหามานานแสนนานและเฝ้ารอคอยมาเกือบ 7 ปี จรินทร์จึงได้หันไปตามเสียงนั้น พลันสองตาของเขาก็ต้องเบิกโพลงด้วยความตกใจเพราะผู้ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าของเขาก็คือ…

“คุณพันวัง”


.

.

.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-08-2020 19:43:01 โดย Popspugnik000 »

ออฟไลน์ Popspugnik000

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 12
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-10
บทที่ 6


“คุณ...พันวัง”

จรินทร์เอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา ก่อนจะเดินไปหาอีกฝ่ายอย่างเชื่องช้า แม้อยู่กันคนละภพ แม้ห่างกันคนละฟากฟ้าผืนแผ่นดิน แม้จากกันตราบชั่วชีวิน แค่เพียงน้ำเสียงที่ได้ยิน เพียงใบหน้าที่เห็นแม้เพียงวูบเดียว จรินทร์ก็จดจำบุคคลผู้นี้ได้ จดจำบุคคลผู้นี้ได้แม้วันเวลาจะผ่านไปนานแล้วก็ตาม

ใบหน้า ๆ นี้ ใบหน้าของผู้ชายคนนี้ แม้บุคคลที่อยู่ตรงหน้านี้แม้จะอยู่ในชุดเสื้อแขนยาวสีเทาอ่อน และสวมกางเกงยีนส์สีฟ้าจาง ๆ ไม่เหมือนวันนั้น แต่เขาก็มั่นใจ จรินทร์มั่นใจว่าผู้ชายคนนี้คือพันวัง คนที่เขาเฝ้าตามหามานานนับปีคนนั้นแน่นอน

“...”

ผู้ที่ถูกเอ่ยนามถึงกับชะงัก สองตากลมโตนิด ๆ สองคิ้วเลิกขึ้นสูงหน่อย ๆ อากัปกิริยาที่ชายผู้นี้แสดงออกมาราวกับว่าเจ้าตัวก็ตกใจไม่น้อยเช่นกัน แต่ฉับพลันนั้นเอง จากแววตาที่จ้องมองด้วยความฉงนสงสัยก็ได้เปลี่ยนไป กลายเป็นความว่างเปล่าที่แสดงออกมาแทน

เหตุไฉนอีกฝ่ายจึงได้มองเขาด้วยสายตาเช่นนี้ล่ะ เป็นความเฉยชา เป็นความว่างเปล่า เป็นสิ่งที่จรินทร์ไม่คิดว่าจะได้รับจากพันวังเลย ไยผู้ที่ตนตามหามานานแสนนานจึงได้แสดงสีหน้าออกมาเช่นนี้ล่ะ?

“ผมต้องขอโทษ ที่น้องชายของผม มารบกวนพวกคุณ นะครับ” คงเพราะพูดกันคนละสำเนียงภาษา จึงทำให้พันวังไม่สันทัดในการพูดคุยด้วยสำเนียงของมนุษย์มากนัก การเรียงร้อยถ้อยคำและวรรคประโยค จึงไม่ได้แตกต่างอะไรกับหุ่นพยนต์ (หุ่นยนต์) เลยสักนิด

“เด็กคนนี้เป็นน้องชายของคุณเหรอครับ?”

ครูธนนท์เอ่ยถามและมองผู้มาใหม่อย่างสงสัย อยู่ ๆ ก็ปรากฏกายขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหน ไม่รู้ว่าเป็นใคร แถมยังบอกว่าเจ้าเด็กดื้อผมคนนี้เป็นน้องชายตัวเองอีก คนน้องก็แปลก คนพี่ก็พิลึก แม้การแต่งกายจะแตกต่างกัน แต่ความประหลาดนั้นช่างดูคล้ายกันเสียจริง

“อย่าเสียมารยาทนะเจ้ามนุษย์ผู้โง่เขลา ผู้ใดใช้ให้ตัวเจ้าว่าเรากับเจ้าพี่ว่าประหลาดกัน”

แต่หมื่นคุ้งที่ล่วงรู้ถึงความคิดของครูธนนท์ก็ได้เอ่ยขึ้น แววตาแสดงความไม่พอใจออกมาชัดเจน ทำเอาครูพละหนุ่มสุดหล่อและครูใหญ่แห่งโรงเรียนบ้านขอนลอย ต่างก็มองเจ้าเด็กน้อยผู้นี้ด้วยความประหลาดใจเป็นที่สุด

“เงียบนะหมื่นคุ้ง!” แต่เจ้าเด็กน้อยกลับถูกพันวังขึ้นเสียงใส่จนต้องสลด คนผมยาวเยื้องย่างกรายเข้ามาอย่างเชื่องช้า ก่อนจะเอื้อมมือมาบีบไหล่ผู้เป็นน้องชายของตนอย่างแรง จนหมื่นคุ้งได้แต่ทำหน้าเหยเกออกมา

“อึก!”

“ผมต้องขอโทษ ที่น้องชายของผม ทำตัวไม่มีสัมมาคารวะ นะครับ” เจ้าพันวังกล่าวแล้วค้อมหัวเล็กน้อย

“ไม่เป็นไรหรอกครับ พวกผมไม่ถือสาอะไรอยู่แล้ว” คราวนี้เป็นครูสุนทรที่ตอบกลับ ถึงจะงุนงงและสงสัยไปบ้างว่าทั้งพันวังและหมื่นคุ้งเป็นใคร แต่เขาก็ตอบกลับไปอย่างเป็นมิตรไมตรีที่สุด “ว่าแต่พวกคุณเป็นใครเหรอครับ? แล้วมาทำอะไรที่นี่? มาติดต่อธุระกับทางโรงเรียนหรือเปล่าครับ?”

“ไม่ครับ น้องชายผม เขาแค่หนี ออกมาเที่ยวเล่น โดยไม่ได้รับอนุญาต ผมก็แค่ ออกมาตามหา เขาเท่านั้น” และพันวังก็ตอบด้วยการเรียงประโยคคำพูดอันแปลกประหลาดเช่นเดิม “ถ้าไม่ว่าอะไร ผมขอตัว พาน้องชาย ของผมกลับก่อน นะครับ ลาก่อน สวัสดีครับ”

และเพื่อไม่เป็นการสุงสิงใกล้ชิดกับมนุษย์มากเกินไป พันวังก็ได้รีบตัดบทก่อนจะลากหมื่นคุ้งให้เดินมากับตน วันนี้ผู้เป็นพระอนุชาได้ก่อเรื่องใหญ่อีกแล้ว และยังเป็นโทษอันหนักหนาสาหัสเสียด้วย กลับถึงกุมภีล์นคราเมื่อใดหมื่นคุ้งได้โดนดีแน่

“เดี๋ยวก่อนครับ...”

แต่ทันใดนั้น จรินทร์ที่ยืนเงียบอยู่นานก็ได้ร้องตะโกนขึ้น เขารีบวิ่งไปยืนดักหน้าของพันวังเอาไว้ สองตาสีน้ำตาลอ่อนก็มองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้หมางเมินและเย็นชาต่อเขานัก ทำเหมือนกับว่าไม่เคยรู้จัก ทำเหมือนไม่เคยพบกัน ทำเสมือนกับว่าเขาเป็นเพียงแค่คนแปลกหน้าในสายตาของอีกฝ่ายเท่านั้น

“คุณ...คุณช่วยตอบคำถามผมหน่อยได้มั้ย?”

“จะถามอะไร กับผมอย่างนั้นเหรอครับ?”

“คุณคือคุณพันวังใช่มั้ยครับ?”

เป็นคำถามที่เอ่ยออกมาพร้อมกับดวงตาอันเปี่ยมไปด้วยความหวัง หวังว่าว่าคนตรงหน้าจะเป็นคนที่เขาตามหา แม้จะเย็นชา แม้จะว่างเปล่า แต่ขอให้คน ๆ นี้คือพันวัง ขอให้เป็นพันวังคนนั้น คนที่มอบจูบแรกให้กับเขา แม้จะไม่มีตัวตนในสายตา แต่แค่นั้นมันก็ดีพอสำหรับเขาแล้ว

“ขอโทษครับ คุณทักผิดคนแล้ว”

พลันโลกทั้งใบก็เงียบสงัดในบัดดล ราวกับห้วงเวลาได้หยุดหมุน ราวกับท้องฟ้านภากาศได้แปรเปลี่ยนไป กลายเป็นเมฆหมอกทะมึนที่กำลังบดบังดวงอาทิตย์แทน เหตุไฉนทำไมคนตรงหน้าถึงได้ตอบเขาเช่นนี้ เหตุไฉนจึงได้ปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย หรือว่าชายผู้นี้ได้ลืมสิ้นทุกสิ่งอย่างแล้ว

“งั้นเหรอครับ?” แต่ถึงแม้ในใจจะมีคำพูดออกมาเป็นหมื่นล้านคำ แม้อยากจะดึงดันและคาดคั้นขอให้ผู้ชายคนนี้ยอมรับ แต่อีกใจหนึ่งนั้นจรินทร์กลับรู้สึกผิดหวังและเสียใจ เพราะไม่คิดว่าตนจะได้ยินคำพูดนี้จากปากของผู้ชายคนนี้

เฉกเช่นทุกครั้งที่เขามักทำโดยตลอด จรินทร์เก็บซ่อนทุกอย่างเอาไว้ภายใต้รอยยิ้ม เป็นรอยยิ้มมุมปากที่แสดงความสมเพชตัวเองออกมา และสะใจจริง ๆ ที่ตนต้องพบกับความผิดหวังเช่นนี้น่ะ

“ผมตามหาคุณมานาน แต่...ถ้าคุณเลือกที่จะพูดแบบนี้ล่ะก็ คุณก็เอาขลุ่ยของคุณคืนไปเถอะครับ มันคงไม่จำเป็นกับผมอีกแล้วล่ะ”

เขาเองก็ไม่รู้หรอกว่าอีกฝ่ายจะใช่พันวังจริงหรือไม่ และไม่รู้ว่าคนตรงหน้านี้มีเหตุผลอะไร ทำไมถึงยอมรับว่าเป็นพันวังคนที่เขาตามหา แต่ในเมื่อพันวังพูดเช่นนี้แล้ว เขาเองก็คงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องเก็บขลุ่ยเลานี้เอาไว้แล้ว ไม่อยากมีของสิ่งใดที่ต้องทำให้รู้สึก ไม่อยากเก็บของสิ่งนั้นเอาไว้ให้หัวใจต้องคิดถึงผู้ชายคนนี้อีก

“เก็บมันไว้เถอะครับ มันไม่ใช่ของผม มันเป็นของคุณ และคนที่ให้คุณ เขาก็คงอยากให้คุณเก็บไว้”

แม้เป็นคำพูดเส้นตรง แต่ใครจะรู้ล่ะว่าพันวังเองก็เจ็บใจไม่แพ้กัน ชายผมยาวได้แต่ลอบถอนหายใจออกมาอย่างบางเบา ก่อนจะกอบกุมมือข้างที่ถือขลุ่ยเพียงออเลานั้นเอาไว้แล้วเลือกที่จะเดินจากไป เหลือทิ้งไว้แค่เพียงจรินทร์ที่ยืนอยู่ตรงนั้น

“เอ่อครูจรินทร์ครับ คือว่า...”

“ฮึก!”

เสียงสะอื้นไห้ที่ดังออกมาพร้อมกับนัยน์ตาอันแดงก่ำของจรินทร์ ก็ทำให้ครูสุนทรได้แต่กลืนคำถามของตนลงคอไป พูดไม่ค่อยออกบอกไม่ค่อยถูก เพราะตั้งแต่ที่เห็นคุณครูคนนี้มา และไม่ว่าจะเจอสถานการณ์อันยากลำบากสักเพียงใด ครูสุนทรก็ไม่เคยเห็นจรินทร์ร้องไห้ออกมาเลยแม้แต่ครั้งเดียว

และนั่นก็ทำให้ครูธนนท์ที่ยืนอยู่ตรงนั้นเช่นกันเกิดความรู้สึกประหลาดขึ้นมาในหัวใจ เกิดเป็นความสงสารและเห็นใจ เมื่อเห็นน้ำตาของผู้ชายที่ไม่เคยยอมแพ้ให้กับเรื่องใด ผู้ชายที่พร้อมจะชนกับปัญหาที่ถาโถมเข้ามา แต่ทว่าตอนนี้ จรินทร์กลับหลั่งน้ำตาร้องไห้ออกมาแล้ว และไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด ครูธนนท์กลับรู้สึกสงสารครูสอนภาษาอังกฤษคนนี้อย่างจับใจเลย

“ครูจรินทร์ครับ ครู...ครูเป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”

“...”

“ครูจรินทร์ครับ”

“ฮึก...ผมขอตัวก่อนนะครับ”

และเมื่อไม่อาจทนต่อความรู้สึกเสียใจได้อีก จรินทร์ก็รีบเดินจากไปพร้อมกับหัวใจที่เจิงนองไปด้วยหยดน้ำตา โดยที่ครูสุนทรก็ได้แต่ยืนมองอยู่ตรงนั้น มองครูผู้น้อยในสังกัดของตนด้วยความเป็นห่วง โดยที่ครูธนนท์เองก็รู้สึกไม่ต่างกัน


ความเงียบงันยังคงเป็นสิ่งเดียวที่เกิดขึ้น ไม่มีคำพูดใด ไม่มีคำบ่นก่นด่าใดออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเชษฐา แม้จะแหวกว่ายนำหน้าโดยมีพันวังพระเชษฐาเป็นผู้คุม แต่เจ้าหมื่นคุ้งตัวน้อยกลับรู้สึกแปลกประหลาดใจในท่าทีเจ้าพี่ของเขาเสียจริง เพราะเหตุใดเจ้าพี่ถึงมิยอมตำหนิติเตียนอันใดเขาเลย

จนเมื่อถึงวังกุมภิล พันวังก็ได้ออกคำสั่งให้ทหารยามประจำตำหนักของหมื่นคุ้ง กักบริเวณพระอนุชาให้อยู่ในอาณาเขตของพระตำหนักเป็นเวลา 7 วัน 7 คืน ห้ามมิให้หมื่นคุ้งออกไปเพ่นพานโดยเด็ดขาด และหลังจากถ่ายทอดกระแสรับสั่งแล้ว พญากุมภิลจึงได้กลับพระตำหนักของตนโดยมีเพียงใบหน้าอันเรียบเฉยเท่านั้น ไร้ซึ่งอารมณ์และความรู้สึกใด ไร้ซึ่งจิตใจที่จะทำการอันใดได้ต่อ

“...”

เพียงแค่เห็นแววตาอันแสดงความผิดหวังและความเสียใจของชายผู้นั้น เหตุใดหัวใจจึงร้าวรานราวกับถูกตีแตกด้วยค้อนขนาดใหญ่นักนะ เป็นความรู้สึกผิด เสียใจ และรู้สึกปวดใจอย่างไรก็ไม่รู้ แม้จะได้พบหน้ากัน แม้ได้อยู่ห่างกันแค่เพียงเอื้อมมือ แต่กลับต้องทำตัวห่างไกลเสมือนว่าไม่เคยรู้จักกันมาก่อน

หากจะต้องโทษ ก็คงต้องโทษพญาชาละวันนั่นแหละที่เคยก่อเรื่องเอาไว้ ถ้าไม่เพราะคาบนางตะเภาแก้วมาจนเป็นเหตุให้สิ้นชีพิตกษัยด้วยคมหอกของไกรทอง พระเจ้าตาท้าวรำไพก็คงไม่ออกกฎ ห้ามมิให้ชาวกุมภิลพบปะกับมนุษย์เช่นนี้หรอก

...เขาล่ะเกลียดกฎข้อนี้เสียจริง

แม้นเป็นท้าวเธอผู้เป็นองค์รัชทายาทของกษัตริย์ผู้ครองนครองค์ปัจจุบัน แต่พันวังก็มิอาจฝืนกฎนั้นได้ จำต้องกล้ำกลืนฝืนทนกับความอึดอัดใจ แม้นหัวใจจะร่ำร้องหาอีกฝ่ายสักเพียงใด แม้นจะคิดถึงคะนึงหาชายผู้นั้นสักแค่ไหน แต่สุดท้ายพญากุมภีล์ก็จำต้องก้มหน้าก้มตาทำตามกฎที่ตนมิอาจฝ่าฝืนได้

“เฮ้อ!” พันวังจึงได้แต่นั่งทอดถอนใจ ทอดหายใจอย่างหมดอาลัยตายอยาก นี่เขาควรจะทำอย่างไรต่อไปดีนะ เป็นความรู้สึกที่ไม่อาจปล่อยวางได้เลย


ภายในบ้านพักครูหลังเล็กกะทัดรัด บ้านแสนซอมซ่อที่ไม่ได้เรียบหรูดูแพงแต่อย่างใด บ้านพักที่ใช้เป็นที่ซุกหัวนอนมานานตั้งแต่วันที่ทำหน้าที่เป็นครูสอนภาษาอังกฤษในโรงเรียนแห่งนี้

สองตาได้ทอดมองเพดานห้องอย่างไร้จุดหมาย จิตใจก็ได้แต่คิดทบทวนเรื่องราวทุกอย่าง นึกทบทวนถึงเหตุผลอันแท้จริงที่ผลักดันให้ตนมาไกลถึงที่นี่ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ทำไมถึงต้องเอาตัวเองมาลำบากตรากตรำเป็นครูบ้านนอกในโรงเรียนแห่งนี้ ไม่ใช่เพราะอุดมการณ์ ไม่ใช่เพราะการเลือกเส้นทางใหม่ของตน แต่เป็นเพราะพันวังต่างหาก นั่นแหละคือแรงผลักดันเดียวทำให้เขาถ่อมาไกลถึงโรงเรียนทุรกันดารแห่งนี้ แต่ความต้องการนั้นมันก็ได้มลายหายสิ้นไปเสียแล้ว

“ฮึก!”

“ครูจรินทร์ครับ! ครูจรินทร์อยู่มั้ยครับ?”

“!?”

แต่แล้วเสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายที่ดังขึ้น ก็ทำให้จรินทร์จำต้องรีบเช็ดน้ำตาของตนอย่างไว ชายหนุ่มพยายามทำตัวเองให้เป็นปกติที่สุด ก่อนจะเดินลงมาจากชั้นสองแล้วเปิดประตูออกไป เขาก็พบกับครูสุนทรกำลังยืนรออยู่หน้าบ้าน

“มีอะไรหรือเปล่าครับครูใหญ่?” จรินทร์ถาม

“ครูจรินทร์เป็นอะไรหรือเปล่าครับ? ผมเห็นครูไม่ค่อยสู้ดีตั้งแต่ตอนเย็นแล้วนะ”

“อ๋อ! ผมเป็นอะไรหรอกครับ ผมก็แค่เพลียนิดหน่อยเอง” เขาพูดพร้อมกับรอยยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่จรินทร์ฝืนเพื่อไม่ให้ครูสุนทรรู้ว่าเขาแอบร้องไห้มา แต่นัยน์ตาสีแดงก่ำก็ทำให้ครูใหญ่จับท่าทีของเขาได้แล้ว

“ครับ...เอ้อ! ครูทานข้าวเย็นหรือยังครับ? ถ้ายังไม่ได้ทานอะไร คืนนี้มาทานข้าวเย็นที่บ้านของผมได้นะครับ”

“ขอบคุณครูใหญ่นะครับ แต่ว่าผมยังไม่หิวเลยครับ” ด้วยอารมณ์และความรู้สึกเช่นนี้คงทำให้เขากินอะไรไม่ลงอยู่แล้ว

“หึ ๆ ผมนึกแล้วว่าครูจรินทร์จะต้องตอบแบบนี้แน่” ว่าแล้วครูสุนทรยื่นปิ่นโตที่ตนหิ้วมาให้กับจรินทร์

“นี่คืออะไรเหรอครับ?”

“ต้มไก่ใส่ใบมะขามฝีมือเมียผมเอง ครูจรินทร์รับมันไปสิครับ” ครูสุนทรพูด ส่วนจรินทร์ก็รับเอาปิ่นโตนั้นมาอย่างงุนงง

“ครูใหญ่เอามาให้ผมทำไมเหรอครับ?”

“ความเป็นห่วงเล็ก ๆ น้อย ๆ ในฐานะผู้ใหญ่คนหนึ่งน่ะครับ” พลันรอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าที่เหี่ยวย่นนิด ๆ ของครูใหญ่ผู้สูงวัย

“เราเป็นครูโรงเรียนเดียวกันนะครับครู มีปัญหาอะไรครูก็ปรึกษาผมได้นะ ไม่ต้องคิดว่าผมเป็นครูใหญ่แล้วจะให้คำปรึกษาอะไรไม่ได้ ไม่ต้องเกรงใจอะไรผมหรอก”

พูดจบครูใหญ่วัยกลางคนก็ตบไหล่ของจรินทร์เบา ๆ เป็นนัยว่าเขานั้นพร้อมรับฟังปัญหาทุกอย่าง หากจรินทร์ต้องการระบายให้เขาฟัง หากตัดคำว่าครูใหญ่ออกไป เขาก็เป็นผู้หลักผู้ใหญ่คนหนึ่งที่เป็นห่วงทุกคนในโรงเรียน เขานั้นทั้งรักทั้งเอ็นดูคุณครูและเด็กนักเรียนในโรงเรียนทุกคน จึงไม่แปลกอะไรถ้าเขาจะเป็นห่วงเป็นใยที่เห็นจรินทร์เสียใจเช่นนั้น

“ครู...” คงเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่จรินทร์สัมผัสได้ถึงความห่วงใยของคนอื่น แม้จะสนิทกันในระดับหนึ่ง แต่ที่ผ่านมาจรินทร์ก็ไม่เคยเปิดใจรับผู้ใดเข้ามาเลย

แม้จะทำงานร่วมกันมานาน แต่จรินทร์ไม่เคยคิดใช้ใจแลกใจกับใคร ใช้แค่เพียงการเสแสร้งแกล้งทำ แสร้งทำเป็นว่าเข้ากับคนอื่นได้ง่าย แสร้งทำเป็นยิ้มแย้มแจ่มใส แสร้งทำเป็นเหมือนให้ใจ ทั้ง ๆ ที่ตนก็เก็บเอาความหยิ่งทะนงเอาไว้กับตน แต่มาบัดนี้เขาก็พบแล้วว่าครูสุนทรก็เป็นอีกคนที่หวังดีกับเขาจริง ๆ เป็นห่วงเขาอย่างแท้จริง

“ขอบคุณครูใหญ่มาก ๆ เลยนะครับ ฮึก!” แต่ถึงอย่างนั้นจรินทร์ก็ยังคงกลั้นน้ำตาและความเสียใจเอาไว้อยู่ดี

“ไม่ต้องขอบคุณอะไรผมหรอก ผมบอกแล้วว่าพวกเราเป็นครูโรงเรียนเดียวกัน มีปัญหาอะไรก็ต้องช่วยเหลือกันอยู่แล้ว”

“ครับ ยังไงผมก็ต้องขอบคุณครูใหญ่อยู่ดีแหละครับ” ส่วนจรินทร์ก็ได้คลี่ยิ้มออกมาอย่างบางเบา เป็นรอยยิ้มอันเปี่ยมไปด้วยคำขอบคุณที่เขาไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำอย่างแน่นอน

“ครับผม ถ้าครูจรินทร์ยังไม่สบายใจอะไรตรงไหนก็ปรึกษากับผมได้นะครับ ผมยินดีรับฟังทุกเรื่อง”

“ครับครูใหญ่”

“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ นี่ก็มืดแล้วผมยังไม่ได้เอาข้าวให้ไก่เลย ป่านนี้คงหิวแย่แล้วมั้ง”

“หึ ๆ ครับครูใหญ่ ยังไงก็ฝากบอกเมียครูใหญ่ด้วยนะครับว่าเบา ๆ น้ำปลาหน่อยนะครับ เดี๋ยวไตจะถามหาเอาเสียก่อน”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า! เดี๋ยวผมจะบอกให้นะครับ”

และเมื่อสบายใจขึ้น จรินทร์ก็พูดหยอกล้อกับครูสุนทรเล็กน้อย โดยที่ครูใหญ่โรงเรียนบ้านขอนลอยได้เดินจากไป ส่วนจรินทร์เองก็ได้เดินกลับเข้ามาในบ้านของตนด้วยเช่นกัน ถึงยังไม่ได้ปรึกษาเรื่องอะไร แต่การรับรู้ได้ถึงความจริงใจที่อีกฝ่ายมอบให้มา เท่านั้นก็ทำให้เขาสบายใจขึ้นมาแล้ว

ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

ทว่า ในขณะที่กำลังเดินขึ้นบันได อยู่ ๆ เสียงเคาะประตูหน้าบ้านก็ดังขึ้น จรินทร์จึงหันกลับไปมองด้วยความสงสัย ผู้ใดนะมาเคาะประตูบ้านในเวลาแบบนี้น่ะ เอ๊ะ! หรือว่าจะเป็นครูสุนทรกัน? แต่ถ้าเป็นครูสุนทรจริง อีกฝ่ายก็น่าจะตะโกนเรียกแทนการเคาะประตูสิ หรือว่าครูใหญ่มีธุระอะไรเร่งด่วนหรือเปล่านะ

แอ้ด...

“มีอะไรครับครูสุ...” จรินทร์จึงเปิดประตูออกก่อนจะถามอีกฝ่ายด้วยความสงสัย หากแต่ว่าเมื่อบานประตูได้เปิดออกพร้อมกับนัยน์ตาคู่น้อยที่ได้เห็นผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้า จรินทร์ก็ได้แสดงความตกตะลึงออกมาเมื่อพบว่าบุคคลผู้นี้ก็คือ...

“คุณพันวัง”


.

.

.

นิยายเรื่องนี้ไม่มีการเม้น “ต่อ” นะครับ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด