✤ April is fool #เมษาโง่ [18+] ✤|| ตอนที่ 07 || Update:: 15/03/20
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ✤ April is fool #เมษาโง่ [18+] ✤|| ตอนที่ 07 || Update:: 15/03/20  (อ่าน 4207 ครั้ง)

ออฟไลน์ Emerald

  • ความลับไม่มีในโลก แต่ในโลกใบนี้ก็ยังมีความลับ ♥
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +143/-1
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ


3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป


12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail


16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม






✤ ✤ ✤ ✤ ✤ ✤ ✤ ✤ ✤





" ไม่พูด  ไม่ได้แปลว่าเจ็บน้อย  ไม่แสดงออก  ไม่ใช่ว่าไม่รู้สึก "






    คำเตือน

    Rate 18+ มีฉากของความรุนแรง การใช้กำลัง และเซ็กซ์ที่ไม่ได้เกิดจากความเต็มใจ  โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน







Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-03-2020 23:28:26 โดย Emerald »

ออฟไลน์ Emerald

  • ความลับไม่มีในโลก แต่ในโลกใบนี้ก็ยังมีความลับ ♥
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +143/-1
00
-  Fools  -



ตึก...ตึก...

เสียงฝีเท้าย่ำเป็นจังหวะสม่ำเสมอทอดดังไปตามฟุตพาธย่านใจกลางเมืองซึ่งมีผู้คนเดินกันพลุกพล่านจนแทบแยกไม่ออกว่าเป็นของใคร
   
ระหว่างทางที่เดินนั้น  มีหลายคนต่างอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ที่ถูกติดเรียงกันเป็นแนวยาวกินพื้นที่เกือบทั้งช่วงถนน  ทั้งที่เป็นช่วงเวลากลางคืน  แต่ป้ายโฆษณาที่ทำจากแวนิลนี้ก็ยังคงเด่นสะดุดตาเสียยิ่งกว่าป้ายโฆษณาแบบดิจิตัล 

คงเพราะผู้ออกแบบได้คิดมาอย่างถี่ถ้วนแล้วว่าหากทำป้ายที่ถูกคุมสีให้อยู่ในเอิร์ธโทนจะถูกความมืดกลืนกินเข้าไปเมื่อไร้ความช่วยเหลือจากแสงตะวัน  จึงได้มีการติดตั้งไฟนีออนอีกหลายจุดเพื่อช่วยเพิ่มความสว่างตลอดจนสุดอาณาเขต  ทำเอาเหล่าร้านรวงที่อยู่ละแวกใกล้เคียงซึ่งเลยเวลาเปิดทำการแล้วดูจืดชืดหงอยเหงาลงในพริบตา 

ป้ายโฆษณาที่ผู้คนต่างให้ความสนใจนี้คือโฆษณาซิงเกิลที่ 7 “Even if” ของวงดนตรีที่กำลังโด่งดัง ณ ขณะนี้  ด้วยแนวเพลงที่หลากหลายและเทคนิคการเล่นดนตรีแบบที่ใครฟังต่างก็ต้องยกนิ้วให้อย่างไม่น่าเชื่อว่าสมาชิกในวงจะมีอายุมากสุดแค่เพียงยี่สิบสามปีเท่านั้น  ทำให้เหล่าสาวกและแฟนเพลงหลายคนสมัครเป็นแฟนคลับเพื่อติดตามผลงานกันอย่างเหนียวแน่น  กลายเป็นวงที่ประสบความสำเร็จและมีแฟนคลับเยอะที่สุดในตอนนี้ 

ชายหนุ่มในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนแสนธรรมดาเองก็เป็นหนึ่งในหลายพันคนที่หยุดมอง  แต่คนที่เขาให้ความสนใจมากที่สุดคือหนึ่งในสมาชิกที่สะพายกระเป๋าใส่กีต้าร์  อยู่ในอิริยาบถที่กำลังก้มมองบางอย่างโดยที่มือข้างหนึ่งเสยผมสีควันบุหรี่ยาวปะบ่า  เผยให้เห็นนัยน์ตาคมดุจเหยี่ยว  จมูกโด่งเป็นสันได้รูป  ริมฝีปากกระจับเหมือนตุ๊กตาที่เผยอเล็กน้อยเหมือนไม่ตั้งใจ  และช่วงลำคอเรียวยาวที่ปรากฏรอยเส้นเอ็นขาวกระจ่างดุจหิมะ  ส่วนอีกข้างที่เหลือก็ล้วงกระเป๋ากางเกง  ท่าโพสธรรมดาที่เห็นได้เกลื่อนตามนิตยสารถ่ายแบบแต่กลับไม่ธรรมดาเลยสักนิดเมื่อเจ้าของความสมบูรณ์นี้เป็นคนทำ  แค่นั้นสามารถก็ทำให้สาวๆหลายคนหัวใจระทวยพร้อมพลีกายก้มลงสยบแทบเท้าของอีกฝ่ายได้

มือขาวหยิบเอาโทรศัพท์มือถือออกมากดถ่ายภาพป้ายโฆษณาเพื่อบันทึกลงเครื่องตามความเคยชิน  ทว่าสำหรับชายหนุ่มแล้วนั่นกลับเป็นความเคยชินที่น่ากลัวมากนัก 

ทันทีที่รู้สึกตัวเขาไม่รอช้าที่จะกดค้างที่รูปแล้วเลือก ลบรูปภาพ  แต่ชั่วเสี้ยววินาทีที่หน้าต่างข้อความยืนยันปรากฏขึ้น  นิ้วที่เคยคลิกสั่งการคล่องแคล่วกลับสั่นเทาอย่างควบคุมไม่อยู่ 

เพียงไม่นานหยาดน้ำตาจำนวนมากที่เคยคิดว่าแห้งเหือดไปแล้วกลับพรั่งพรูราวกับทำนบแตก  แหวนสีเงินเรียบเกลี้ยงที่คล้องไว้กับสร้อยแล้วสวมอยู่ใต้อกเสื้อพลันร้อนลวกเหมือนหินเหล็กไฟจนต้องใช้มือกุมเพื่อลดอุณหภูมิลงก่อนที่มันจะทะลุหน้าอกเขาเป็นรูแหว่งวิ่น

สำหรับบางคนเรื่องที่ยากที่สุดก็คือการลืม

กระทั่งไหล่ได้รับแรงกระแทกจากคนที่สัญจรไปมา  เขาถึงค่อยรู้สึกตัวว่าตนกำลังยืนเกะกะขวางทางของผู้อื่นอยู่ 

ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่  บอกกับตัวเองเหมือนทุกครั้งว่าไม่เป็นไรแล้วออกเดินปะปนไปกับฝูงชนด้วยรอยยิ้มน้อยๆซึ่งไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังเย้ยหยันตัวเองหรือโชคชะตา  ระหว่างที่คิดแบบนั้นสมองก็นึกถึงโคลงบทหนึ่งของเชกสเปียร์ที่เคยเรียนเมื่อสมัยมัธยมขึ้นมา



Let me not to the marriage of true minds
Admit impediments. Love is not love
Which alters when it alteration finds,
Or bends with the remover to remove:
O, no! it is an ever-fixed mark,
That looks on tempests and is never shaken;
It is the star to every wandering bark,
Whose worth’s unknown, although his height be taken.
Love’s not Time’s fool, though rosy lips and cheeks
Within his bending sickle’s compass come;
Love alters not with his brief hours and weeks,
But bears it out even to the edge of doom.
If this be error and upon me proved,
I never writ, nor no man ever loved.


(Sonnet 116 ; William Shakespeare)

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-01-2020 19:52:29 โดย Emerald »

ออฟไลน์ Emerald

  • ความลับไม่มีในโลก แต่ในโลกใบนี้ก็ยังมีความลับ ♥
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +143/-1
01
-  Wrong Direction  -



เลขที่ 10

เลขที่ 12

เลขที่ 13

...อีกแล้ว

ร่างที่กำลังนั่งเรียงเลขที่ของปึกใบงานวิชาสังคมศึกษาเพื่อเตรียมนำส่งให้กับอาจารย์บ่นในใจเมื่อพบว่ามีตัวเลขแหว่งไปหนึ่งหมายเลข

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจ้าของหมายเลขดังกล่าวขาดส่งงาน  หากเป็นครั้งที่เท่าไรไม่รู้เพราะเยอะเกินกว่าจะนับ  ‘เมษา’  ที่ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าห้องจากผลโหวตมากกว่าครึ่งและมีหน้าที่รวบรวมใบงานและการบ้านของทุกคนในห้องจึงต้องไปคอยตามทวงอยู่ร่ำไป  ยังดีที่ตอนนี้เป็นคาบอิสระจึงพอมีเวลาเหลือให้เมษาได้หายใจหายคอแล้วไปตามหาเจ้าตัวก่อนที่จะถึงเวลาเส้นตายในการนำส่ง 

เขารวบปึกกระดาษในมือขึ้นมาถือไว้แนบอก  ก่อนตัดสินใจเดินตรงไปยังลานม้าหินอ่อนข้างสระบัวอันเป็นสถานที่สิงสถิตประจำของอีกฝ่ายโดยไม่ลังเลเลยสักนิด  การกระทำเหล่านี้ล้วนบ่งบอกถึงความคุ้นชินว่าเหตุการณ์แบบนี้มักจะเกิดขึ้นเป็นประจำจนไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไร

ใช้เวลาเพียงไม่ถึงสิบนาที  เมษาก็สามารถมองเห็นตัวเป้าหมายที่กำลังนั่งหันหลังเล่นกีต้าร์อย่างไม่สนใจคนรอบข้างเฉกเช่นทุกที  แต่ละย่างก้าวที่ย่นระยะห่างจนเหลือน้อยลง  เมษาจะได้ยินท่วงทำนองรื่นหูดังชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ 

เสียงดนตรีที่ไม่ช้ำไม่เร็วจนเกินไปนักช่างเหมาะกับบรรยากาศช่วงบ่ายชวนให้รู้สึกผ่อนคลายและเคลิบเคลิ้มอย่างง่ายดาย  เมษาเองแม้จะไม่ชอบใจเจ้าของเสียงที่มักทำให้เขาต้องลำบากถ่อมาตามงานด้วยตัวเองทุกครั้ง  ทว่าขณะเดียวกันก็อดยอมรับไม่ได้ว่าอีกฝ่ายมีพรสวรรค์ด้านนี้จริงๆ  ถึงเขาจะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญขนาดที่สามารถวิจารณ์หรือออกปากชมได้เป็นฉากๆ  แต่เขาก็รู้สึกได้ว่าเสียงกีต้าร์นี้ไม่เหมือนใคร  สัมผัสได้ถึงเสน่ห์บางอย่างที่ดึงดูดให้หลงใหล

แต่เมื่อนึกถึงหน้าที่  เมษาก็จำต้องเดินเข้าไปขัดจังหวะอารมณ์สุนทรีย์ของอีกฝ่าย  สะกิดไหล่ซึ่งหนากว่าเขาอย่างเห็นได้ชัดพร้อมเอ่ยเรียก “รัชชาตะ”

นิ้วมือซึ่งกำลังเกี่ยวสายกีต้าร์อย่างคล่องแคล่วจนถึงเมื่อครู่หยุดชะงักลง  ก่อนที่เจ้าของชื่อ ‘รัชชาตะ’ จะเอี้ยวตัวหันไปมองตามเสียง  เมื่อพบว่าผู้มาเยือนคือคุณหัวหน้าห้องคนเดิม  ใบหน้าสะอาดสะอ้านก็เผยรอยยิ้มยียวนอันเป็นเอกลักษณ์แล้วถามเหมือนรู้วัตถุประสงค์ของอีกฝ่าย

“ว่าไง  ยังเหลือวิชาไหนอีกเหรอ”

“วิชาสังคม  นายยังไม่ได้ส่ง” 

“ของอาจารย์วันทนาน่ะเหรอ” รัชชาตะทำท่านึก “ส่งไปแล้วไง”

“นั่นมันของเก่า  อันนี้อาจารย์เพิ่งสั่งเมื่อวันจันทร์” ไม่ว่าเปล่า  เมษาหยิบเอาใบงานซึ่งอยู่บนสุดที่เป็นของเพื่อนคนหนึ่งในห้องโชว์ให้ดูเป็นหลักฐาน

รัชชาตะรับมาดู “เห?  สั่งตอนไหนเนี่ย  ไม่เห็นรู้เรื่องเลย”

“วันนั้นนายโดด” เมษาช่วยเตือนความจำด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“อ้อ...”

“พวกเพื่อนไม่ได้บอกเหรอ”

“อาจจะบอกมั้ง  จำไม่ได้แล้ว” พูดพลางหัวเราะคร้านจะใส่ใจ “นายรอหน่อยได้เปล่า  ฉันยังไม่ได้ทำเลย”

คิ้วเรียวถึงกับกระตุกหลังจากที่ได้ฟังคำพูดเอาแต่ใจของอีกฝ่าย  เขาต้องเสียสละอยู่เย็นเพื่อรอนำงานของคนที่จำไม่ได้แม้แต่ชื่อของตัวเองไปส่งพร้อมกันเกือบทุกวัน  ท่าทางเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางนั่นไม่ชวนให้รู้สึกอยากช่วยเหลือเลยสักนิด 

“จะให้รอถึงกี่โมง”

“ยังไม่แน่ใจ  นี่ก็บ่ายสามโมงครึ่งแล้วด้วย” ร่างสูงก้มมองนาฬิกาแล้วบอกเสียงเนิบ

อย่างน้อยก็ช่วยแสร้งทำเป็นโอดครวญหรือร้อนรนสักหน่อยจะได้ไหม  นี่มันงานของตัวเองแท้ๆ  ทำไมถึงยังทำใจเย็นอยู่ได้

“สี่โมง  เรารอได้แค่นั้น”

“เร็วเกินไปหรือเปล่า  ฉันทำไม่ทันหรอก  ขอเป็นห้าโมง”

“ห้องพักครูปิดตอนห้าโมง  จะไม่ให้เวลาเราเดินเลยเหรอ”

“ถ้าอย่างนั้นสี่โมงครึ่ง”

“ได้  สี่โมงครึ่งเท่านั้นนะ”

“โอเค”

เมษาได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างหงุดหงิด  แต่ก็ไม่ได้ออกปากตำหนิหรือต่อว่าไปสักครึ่งคำ   เพียงแค่กลืนความไม่พอใจทั้งหมดลงคอแล้วแอบค่อนขอดพฤติกรรมของอีกฝ่ายในใจเงียบๆเท่านั้น   

กีต้าร์ซึ่งเดิมทีวางอยู่บนตักทั้งสองข้างถูกนำเก็บใส่กระเป๋าแล้วย้ายไปวางไว้บนโต๊ะลายหินอ่อนด้วยความระมัดระวัง  ทำเอาคนมองอดคิดไม่ได้ว่าพอเป็นเรื่องของกีต้าร์แล้วกลับแสดงท่าทีเอาใจใส่อย่างเห็นได้ชัด  ไม่ต้องส่องดูก็รู้ว่าสมองของคนคนนี้มากกว่าสามในสี่คงมีแต่เรื่องของดนตรีอัดแน่นอยู่ในนั้น 

“เฝ้ากีต้าร์ให้แป๊บ  ขอไปเอากระเป๋าก่อน”

เจ้าตัวผู้ถูกนินทาโดยไม่รู้เรื่องรู้ราวใดๆลุกขึ้นเดินตรงไปยังทิศทางที่เมษาเพิ่งจะมาโดยไม่เสียเวลาพูดพร่ำอีก

“ได้  เร็วๆแล้วกัน” เมษาตอบรับแล้วเดินอ้อมไปนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม 

รอจนกระทั่งร่างสูงวิ่งกลับมาพร้อมกระเป๋าถือแบนฟีบ  เมษาก็ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่อีกครั้งด้วยความเหนื่อยหน่าย  ยิ่งเห็นเจ้าของกระเป๋าที่สาละวนกับการค้นหาอุปกรณ์เครื่องเขียนหยิบแค่ปากกาน้ำเงินด้ามเดียวขึ้นมา  เขาก็ถึงกับต้องกุมขมับด้วยความปวดเศียรเวียนเกล้า

“ไม่มีสีเหรอ” เมษาถาม

งานชิ้นนี้เป็นงานให้วาดรูปแต่ละยุคสมัยในประวัติศาสตร์และระบายสี  พร้อมให้เขียนอธิบายภาพโดยสังเขป  เรียกได้ว่ากว่าเจ็ดสิบเปอร์เซนต์เป็นงานที่ต้องใช้ศิลปะ  ทว่าหมอนี่กลับมีแค่ปากกาน้ำเงินด้ามเดียวแล้วต้องทำทั้งหมดที่กล่าวมานั่นให้ได้  หากไม่ใช่ว่ามีฝีมือทางด้านจิตรกรรมเข้าขั้นเซียนก็คงยากที่จะไม่โดนคุณครูตีงานกลับ

“ไม่มี  ฉันไม่เคยพก”

“ดินสอ  หรือพวกปากกาแดงล่ะ?”

รัชชาตะส่ายศีรษะ “แค่ปากกาน้ำเงินก็ได้มั้ง”

เขาว่ากันว่าหากถอนหายใจบ่อยๆ  อายุจะสั้นลงตามจำนวนนั้นไปอีกสิบปี  ถ้าประโยคที่ว่านั้นเกิดเป็นความจริงขึ้นมา  น่ากลัวว่าเมษาคงตายแล้วเกิดใหม่ได้ไม่รู้กี่รอบ  โดยเฉพาะเมื่ออยู่กับคนตรงหน้าที่ขยันทำให้เขาต้องรู้สึกอ่อนอกอ่อนใจ

ใช้เวลาพักใหญ่กว่าที่เมษาจะบอกตัวเองให้อดทนได้สำเร็จ  แต่ก็ต้องแลกกับคิ้วที่ขมวดกันเป็นปมมุ่นซึ่งแสดงออกถึงความยุ่งยากใจจนแม้แต่ตัวต้นเรื่องยังสังเกตเห็น 

“เอาของเราไปใช้ก่อนแล้วกัน” เสียงซึ่งนุ่มและใสกว่าบอก “แต่ว่าอยู่บนห้อง  ต้องขึ้นไปเอา”

“ไม่เป็นไร  เดี๋ยวขึ้นไปทำบนห้องเลยก็ได้”

“อืม” 

เมษาลุกขึ้นแล้วออกเดินนำคนตัวใหญ่ที่รีบปรี่ไปหยิบกระเป๋ากีต้าร์คู่ใจมาสะพายไหล่ก่อนสาวเท้าไล่ตามมาติดๆ

ความจริงเมษากับรัชชาตะเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนเดียวกันมาตั้งแต่ม.4  แต่ที่เพิ่งต่างคนต่างรับรู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของอีกฝ่ายก็คือชั้นม.5 ที่เมษาเป็นหัวหน้าห้องจากผลการลงคะแนนในปีนี้ 

เนื่องจากหน้าที่ที่ต้องคอยติดตามงานและดูแลความเรียบร้อยโดยรวมของสมาชิกทุกคนในห้อง  รัชชาตะที่ถูกจัดหมวดอยู่ในกลุ่มตัวปัญหาจึงได้รับความเอาใจใส่จากเมษาเป็นพิเศษด้วยคำขอร้องแกมบังคับจากบรรดาคุณครูที่เอือมระอากับพฤติกรรมที่ชอบขาดส่งงานและโดดร่ม  หากแต่ไม่อยากออกหน้าเป็นผู้รับผิดชอบให้ยุ่งวุ่นวาย  ภาระทั้งหมดนั้นจึงหล่นใส่เมษาที่สวมหัวโขนเป็นหัวหน้าห้องคนปัจจุบันเข้าพอดี

แม้รัชชาตะจะมีภาพลักษณ์ติดลบในสายตาของเหล่าครูบาอาจารย์  ทว่ากลับเป็นที่นิยมอย่างเหลือเชื่อในหมู่นักเรียนหญิงและนักเรียนชายบางส่วน  อาจด้วยรูปร่างหน้าตาที่โดดเด่นเหมือนพระเจ้าทำขวดน้ำยาของความหล่อเหลาหกหมดขวด  กอปรกับลุคของผู้ชายมาดเซอที่ไม่สนใจอะไรนอกจากดนตรี  คงเป็นการผสมผสานที่ลงตัวเหมาะเจาะจนทำให้มีแฟนคลับตามกรี๊ดชนิดออกนอกหน้า

จะมีก็แค่เจ้าตัวกระมังที่ดูไม่ใส่ใจกับความป็อปปูล่าของตัวเองแล้วทำตัวเอื่อยเฉื่อย  ไร้ซึ่งความกระตือรือร้นที่จะปรับปรุงด้านแย่ๆที่เป็นปัญหาเพื่อสร้างภาพให้ดูน่าชื่นชม  ถึงจะเสแสร้ง  แต่เมษาก็แอบหวังอยากให้อีกฝ่ายคิดเรียกคะแนนนิยมเพิ่มจากเหล่าบรรดาสาวกด้วยการทำเรื่องเหล่านั้นบ้าง  เพื่อที่เขาจะได้เหนื่อยน้อยลงสักหน่อย  ทว่าเท่าที่เห็นรัชชาตะก็ยังคงเป็นเจ้าบ้าที่เอาแต่นั่งเกากีต้าร์ทั้งวันได้อย่างเสมอต้นเสมอปลายจนไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

เมื่อมาถึงห้องซึ่งติดป้ายชั้นมอห้าทับสาม  เมษาก็เดินไปเปิดกระเป๋าเป้ที่มีตราประจำโรงเรียนแล้วหยิบอุปกรณ์ทั้งหมดออกมาส่งให้คนตัวเขื่องที่ยืนรออยู่ด้านหลัง 

รัชชาตะยื่นมือไปรับไว้  ก่อนวางสัมภาระทั้งหมดลงบนโต๊ะตัวที่อยู่ใกล้ๆแล้วเลื่อนเก้าอี้ออก  ถือวิสาสะนั่งลงโดยไม่คิดจะขออนุญาตเจ้าของซึ่งไม่รู้ว่าตอนนี้หายไปไหน  แต่ดูจากที่ไม่มีกระเป๋าอยู่ในที่ที่ควรมีอยู่  คาดว่าคงไปเตร็ดเตร่แถวประตูหลักรอเวลาเลิกเรียน

“ขอดูของเพื่อนคนอื่นหน่อยสิ  พอดีไม่รู้จะเริ่มอย่างไร”

เมษาหยิบกระดาษใบเดิมที่เคยให้ดูก่อนหน้านี้ส่งให้

“นี่ของเลองเหรอ  ลายมืออ่านไม่ออกเลย”

“.....”

“ขอดูของนายด้วยได้ไหม  เอาไว้เป็นแนวทาง”

เมษาเลิกคิ้วมองเจ้าของส่วนสูงเฉียดหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตรทั้งที่เพิ่งจะอยู่มัธยมปลายด้วยความรู้สึกกังขาเล็กน้อย  หากแต่ไม่ได้พูดอะไรออกไปกวนน้ำให้ขุ่น  เพียงแค่คลี่กองกระดาษหา ‘เลขที่ 12’ แล้วดึงออกมายื่นให้อีกฝ่าย

“ลายมือเรียบร้อยดีนะ  ดูง่ายกว่าของเลองเยอะ” รัชชาตะเอ่ยชม

ถึงลายมือเมษาจะไม่ได้สวยขนาดสามารถส่งเข้าประกวดคัดลายสือไทย  ทว่าตัวอักษรก็มีหัวมีหางชัดเจนเป็นเอกลักษณ์  และขนาดของตัวหนังสือก็เท่ากันทุกตัวจนดูผิวเผินแล้วใกล้เคียงกับฟอนต์ในคอมพิวเตอร์

รัชชาตะกวาดตาอ่านใบงานของเมษาด้วยความรวดเร็ว  ก่อนจรดปลายดินสอวาดรูปยึกยือออกมาตามจินตนาการที่อยู่ในหัว  เพราไม่มีหนังสือเรียนสำหรับเป็นไกด์  สิ่งที่รัชชาตะทำจึงแค่อาศัยใบงานของเมษาแล้วขีดเขียนตามให้เรื่องราวสื่อออกมาในทิศทางเดียวกัน  เรียกได้ว่าชั้นเชิงในการทำงานโดยใช้งานของคนอื่นอ้างอิงหรือภาษาทางการคือลอกงานของรัชชาตะก้าวหน้ากว่าใครเพื่อน  ดังนั้นเมษาผู้เป็นเจ้าของงานจึงไม่ได้ตำหนิอะไร  เพราะอย่างน้อยเจ้าตัวก็ยังฉลาดพอที่จะลอกด้วยวิธีที่ไม่ทำให้ถูกจับได้

เห็นว่าอีกฝ่ายง่วนอยู่กับการเร่งปั่นงานให้เสร็จทันเวลา  เมษาจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาใส่หูฟังแล้วเปิดเพลงในเครื่องฟังเรื่อยเปื่อยระหว่างรอ 

กระทั่งรัชชาตะสะกิดเรียกแล้วส่งใบงานทั้งสามแผ่นให้กับมือเรียบร้อยก่อนกลับ  เมษาถึงค่อยลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินตรงไปยังห้องพักครูเพื่อส่งงาน 

หลังหน้าที่สำเร็จลุล่วงแล้วก็กลับมานั่งเก้าอี้ตัวเดิม   เปิดเพลงในเครื่องที่มีอยู่แค่ไม่กี่สิบเพลงฟังซ้ำอีกครั้ง  ปล่อยให้เวลาไหลผ่านไปโดยไม่คิดจะทำอะไรนอกจากทอดสายตามองวิวทิวทัศน์จากทางหน้าต่าง  จนเมื่อสีของท้องฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นดำสนิท  เจ้าตัวจึงลุกขึ้นหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพายหลังแล้วเดินออกจากห้องไปเงียบๆเหมือนกับนักเรียนคนอื่น 




∞ ∞ ∞ ∞ ∞ ∞ ∞




กว่าจะฝ่าการจราจรที่ติดขัดเดินทางกลับถึงบ้าน  เวลาก็ล่วงเลยไปแล้วเกือบสองทุ่ม  ทว่าเมษากลับไม่มีท่าทีหงุดหงิดใจที่ต้องสูญเสียเวลาหลายชั่วโมงไปกับการอยู่บนท้องถนน  ทั้งยังคิดด้วยซ้ำว่าตนเองถึงบ้านเร็วเกินไป  หากเป็นเวลานี้คนคนนั้นเองก็น่าจะเพิ่งถึงเหมือนกัน  คราวหน้าคงต้องพยายามออกให้ช้ากว่านี้ 

ก่อนเปิดประตูเพื่อเข้าบ้าน  เมษาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดหน้าจอดู  พบว่าเครื่องที่ถูกตั้งค่าสั่นไว้มีจำนวนสายที่ไม่ได้รับมากถึงเจ็ดสาย  ทั้งหมดนั่นเป็นแม่ห้าสาย  และเบอร์ที่ไม่ได้ถูกบันทึกชื่ออีกสองสาย  ทว่าถึงจะไม่ได้บันทึกชื่อไว้  เมษาก็รู้ดีว่าเจ้าของเบอร์คือใคร  เขาจดจำมันได้แม่นเสียยิ่งกว่าท่องสูตรคูณหรือตารางธาตุ  เบอร์ที่เขาเห็นเมื่อไรก็จะกดปิดเสียงไปทันทีและไม่เคยเต็มใจที่จะต้องรับสาย

ดวงหน้าซึ่งค่อนไปทางมารดาปรากฏรอยยิ้มหยัน  เขากดประวัติการโทรบนหน้าจอทั้งหมดทิ้งแล้วเอื้อมมือไปเปิดประตูออก 

ทันทีที่ปิดประตูลงแล้วถอดรองเท้าก้าวเข้าไปในบ้าน  ร่างระหงส์ของอัยยรินทร์ที่ทำกับข้าวไว้คอยท่าจนเต็มโต๊ะก็รีบปรี่เข้ามารับลูกชายถึงโถงด้านหน้าด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม  ช่วยปลดกระเป๋าสะพายหลังออกแล้วนำไปวางไว้บนโซฟา  จูงมือซึ่งขาวไม่แตกต่างกันเท่าไรเข้าไปยังห้องอาหารที่มีชายวัยกลางคนท่าทางใจดีนั่งรออยู่ก่อน

“กลับช้าจังเลยลูก  รถติดมากเหรอ” เสียงใสถามไถ่ด้วยน้ำเสียงเจือความห่วงใย  ทว่าผู้ถูกถามกลับไม่แม้แต่จะสบตา  เพียงแค่ตอบอ้อมๆไม่ให้ดูเหมือนจงใจหลีกเลี่ยงจนเกินไป

“ก็เหมือนทุกวันแหละครับ”

“งานที่โรงเรียนยังเยอะอยู่ไหม”

“นิดหน่อยครับ”

“แม่เห็นว่าเมษกลับมาช้า  ก็เลยกินข้าวกันก่อน”

“.....”

“แล้วเมษ…”

“พอได้แล้วน่าคุณ  ลูกกลับมาเหนื่อยๆแทนที่จะรีบหาข้าวให้กิน  เดี๋ยวค่อยถามก็ได้” ศศินเอ็ด   

คนถูกตำหนิถึงกับหน้าม้านจนทำให้รอยยิ้มนิ่งค้างไปแวบหนึ่ง  แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากพยักหน้ารับคำอย่างเห็นด้วย

“นั่นสินะคะ  ฉันนี่แย่จริง” 

อัยยรินทร์เดินไปหยิบภาชนะจากตู้ออกมาตักข้าวสวยร้อนๆใส่จานเพิ่มอีกหนึ่งที่  ใบหน้าสะสวยยังคงปรากฏรอยยิ้มประดับให้เห็นอยู่เป็นเนืองนิตย์  ระหว่างที่กำลังถือจานมาวางเสียงเจื้อยแจ้วก็กล่าวชวนคุยไปเรื่อย “นั่งสิลูก  วันนี้แม่ทำแกงส้มชะอมทอดกับผัดเต้าหู้ที่เมษชอบด้วยนะ”

“ขอบคุณครับ” เมษาเอ่ยเรียบๆก่อนเดินไปเลื่อนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับศศินแล้วหย่อนตัวทำท่าจะนั่งลง  แต่ก็ยังไม่ทันที่ร่างกายแม้สักส่วนจะได้สัมผัสเบาะ  เสียงทุ้มก็กลับเอ่ยเรียกขึ้นมาเสียก่อน

“เมษ  มานั่งข้างพ่อสิ”

“…..”

“วันก่อนที่พ่อบอกจะให้เมษช่วยดูโทรศัพท์ให้  ตอนนี้พ่อเลือกไว้สองสามรุ่น  กินข้าวเสร็จเมษช่วยดูให้พ่อหน่อยนะ” 

ร่างเพรียวชะงักค้างในท่าที่ก้ำกึ่งระหว่างนั่งกับยืน  ดวงตาโศกหลุบมองพื้นพร้อมกับคิ้วที่ผูกกันเป็นปมแน่น  มองดูก็รู้ว่าสีหน้าเหล่านั้นแสดงออกถึงการต่อต้านและไม่ต้องการทำตามคำพูดของอีกฝ่าย  ทว่าผู้เป็นมารดากลับไม่เคยสังเกตเห็น  หล่อนยังคงยิ้มแล้วถามเมษาด้วยเสียงอ่อนโยน   

“เป็นอะไรเหรอเมษ”

“.....”

เมษาไม่ตอบ  แต่ยังคงนิ่งค้างอยู่ในอากัปกิริยาเดิมไม่ยอมขยับ

เพราะมัวแต่ดื้อเพ่งไม่ยอมทำตาม  ศศินที่เฝ้ามองอย่างอดทนจึงได้ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่  โครงหน้าซึ่งแม้จะมีริ้วรอยปรากฏให้เห็นตามวัยที่ล่วงเลยปะปราย  หากก็ยังคงภูมิฐานและจัดอยู่ในเกณฑ์ดูดีกว่าคนทั่วไปเผยให้เห็นสีหน้าหนักใจและเป็นทุกข์  ก่อนที่เจ้าตัวจะเอ่ยตัดรอนด้วยน้ำเสียงเปี่ยมล้นด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ 

“ถ้าเมษไม่เต็มใจก็ไม่เป็นไร” ว่าแล้วก็ทำท่าทอดถอนใจก่อนกล่าวต่อคล้ายกับว่าเพียงแค่กำลังรำพันกับตนเอง “หกปีคงน้อยเกินไปจริงๆ”

อัยยรินทร์ได้ยินประโยคเมื่อครู่แล้วถึงแก่ใจหายวาบ  เม็ดเหงื่อผุดซึมเต็มหน้าผากเนียนทั้งที่เครื่องปรับอากาศภายในห้องก็ทำงานอย่างขยันขันแข็งเป็นปกติ  ที่น่าแปลกไปกว่านั้นคือพวงแก้มซึ่งยังคงเหลือรอยฟกช้ำอยู่จางๆกลับเกิดรู้สึกปวดร้อนขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุเสียได้ 

“อย่าพูดแบบนั้นสิคะ  แกก็แค่แสดงออกไม่เก่งเท่านั้นเองแหละค่ะ” หล่อนรีบพูดแก้ต่างด้วยรอยยิ้มหวานหยดย้อยอย่างเคย  และเพื่อเป็นการยืนยันคำพูดดังกล่าวว่าไม่ใช่แค่ต้องการเอ่ยปลอบ  จึงได้หันไปบอกเมษาโดยไม่รอช้า “เมษ  อย่าทำให้พ่อเขาเสียใจสิลูก  เรื่องแค่นี้ช่วยพ่อเขาหน่อย”

“.....”

“เมษ”

“...ครับ”

สุดท้ายแล้วผลของการขัดขืนเล็กๆน้อยๆนี้ก็จบลงด้วยความพ่ายแพ้ยับเยินของเมษาเหมือนเช่นทุกที 

รู้ทั้งรู้ว่าทำไปก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น  รังแต่จะทำให้อีกฝ่ายอารมณ์ขุ่นเคืองมากกว่าเดิมเสียเปล่าๆ  แต่เพราะตระหนักดีถึงความอ่อนแอและขี้ขลาดของตัวเอง  การกระทำพวกนี้จึงมีผลต่อความรู้สึกของเขาเป็นอย่างมาก  ที่ชัดเจนสุดเลยคือมันช่วยปลอบใจเขาให้รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้น่าสมเพชจนเกินไปนัก  ไม่อย่างนั้นคงทนมีชีวิตต่อไปทั้งๆอย่างนี้ไม่ได้ 

เมษายอมผละจากเก้าอี้ตัวเดิมแล้วเดินไปนั่งลงข้างกายศศินซึ่งกำลังจ้องมองทุกอิริยาบถของเขาไม่วางตา  คนอายุมากกว่าเผยยิ้มด้วยความพึงพอใจ  จากนั้นจึงอาศัยมุมอับของสายตาอัยยรินทร์แอบเลื่อนมือไปสัมผัสต้นขาเนียนใต้กางเกงสีน้ำเงินเข้ม

ต่อให้ถูกกระทำหยาบโลนเพียงใด  เมษาก็ไม่อาจปริปากปฏิเสธอีกฝ่ายนอกจากพยายามกระถดกายเบี่ยงหนี  แต่ก็ไม่เป็นผลเท่าไรนักเมื่อมือนั้นเอาแต่รุกไล่ตามมา  เขาจึงได้แต่ข่มใจบอกตัวเองให้อดทนเอาไว้แล้วก้มหน้าก้มตาจัดการข้าวในจานตัวเองให้หมดลงเร็วๆอย่างสุดความสามารถ  หวังเพียงอยากให้ตัวเองหลุดพ้นจากสถานการณ์น่าขยะแขยงนี้ก่อนที่มารดาจะสังเกตถึงความผิดปกติของพวกเขาทั้งคู่     

มือนั้นราวกับอ่านความคิดของร่างที่กำลังสั่นระริกได้ทะลุปรุโปร่ง  จึงเกิดย่ามใจถึงขนาดกล้าลูบไล้บริเวณที่อยู่ลึกเข้าไปมากยิ่งขึ้น

ครืด!

ฉับพลันขาเก้าอี้ขูดกับพื้นกระเบื้องเกิดเป็นเสียงดังก้อง  เมษาตัดสินใจผุดลุกขึ้นยืนอย่างกะทันหัน  ก่อนตรงไปหยิบกระเป๋าสะพายจากบนโซฟาวิ่งขึ้นไปบนชั้นสองแล้วเข้าห้องนอนของตัวเองโดยไม่พูดไม่จา

เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นต่อหน้าอัยยรินทร์ที่ได้แต่มองด้วยความตื่นตกใจกับท่าทีแข็งกร้าวของเมษา  เมื่อคิดว่าหากทำให้ศศินโกรธแล้วตัวเองกับลูกอาจจะต้องเจอกับอะไร  สมองก็สั่งการให้หล่อนรีบเข้าไปพูดแก้ต่างเป็นพัลวัน  แม้ท่าทีที่ดูหวาดกลัวจนเข้าข่ายวิตกจริตนั้นจะน่าหงุดหงิดในสายตาของศศิน  แต่เพราะตอนนี้เขายังอารมณ์ดีจึงไม่ได้กล่าวอะไร  เพียงยิ้มแล้วบอกปัดว่าไม่เป็นไรอย่างใจกว้าง

เห็นดังนั้นแล้วหล่อนถึงค่อยถอนหายใจอย่างโล่งอก  เริ่มลงมือเก็บกวาดอาหารที่เหลือพร้อมล้างจานเก็บใส่ตู้  เสร็จแล้วก็ปรนนิบัติพัดวีทำหน้าที่ของภรรยาที่ดี





∞ ∞ ∞ ∞ ∞ ∞ ∞




ภายในรังไหมขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นจากผวยผ้านวม  มีร่างของเด็กหนุ่มนอนกอดเข่าคู้ตัวหลบอยู่ข้างในนั้นราวกับว่าเป็นที่พักพิงเพียงหนึ่งเดียวที่ช่วยปกป้องเขาให้รู้สึกปลอดภัยจากภยันตรายทั้งปวงบนโลก  ทว่าตัวเด็กหนุ่มคนนั้นเองก็รู้แก่ใจดีว่าสิ่งที่ห่อหุ้มเขาอยู่เป็นแค่ผ้าผืนหนึ่งที่ไม่ได้มีประโยชน์อะไรมากไปกว่าคลายความหนาว  หาใช่เกราะป้องกันดังเขาที่จินตนาการ

เกือบยี่สิบนาทีแล้วที่เมษาอยู่ในท่าเดิมไม่ยอมขยับ  ชุดนักเรียนยังคงสวมบนร่างกายครบทุกชิ้น  เนื่องจากเจ้าตัวไม่มีกะจิตกะใจที่จะผลัดเปลี่ยนออก  ต่อให้รู้สึกไม่สบายตัวแค่ไหนจากคราบเหงื่อไคลที่สะสมมาทั้งวัน  แต่เพราะห้องน้ำอยู่ชั้นล่าง  เขาจึงเลือกที่จะอดทนเอาดีกว่าต้องลงไปพบหน้าผู้ชายคนนั้นอีก

อัยยรินทร์แต่งงานใหม่ตอนที่เมษาอายุสิบเอ็ดปี 

บิดาผู้มีสายเลือดเดียวกันด่วนจากเขาไปไปเมื่อหลายปีก่อนทั้งที่ยังหนุ่ม  เมษาในตอนนั้นเด็กเกินกว่าจะเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร  กระนั้นภาพที่ร่างกายแข็งทื่อของพ่อแขวนห้อยอยู่บนเพดานบ้าน  เก้าอี้ที่ล้มระเนระนาดกระเด็นไปอีกทาง  เสียงฝนที่ตกกระทบกับหลังคาดังเปาะแปะ  รวมทั้งกลิ่นแอมโนเมียเข้มข้นจนฉุนจมูกกลับยังคงฝังแน่นอยู่ในความทรงจำมิลืมเลือนอย่างน่าแปลก  แม้กระทั่งตอนนี้เพียงแค่หลับตา  เขาก็สามารถเห็นมันได้ชัดเจนประหนึ่งว่าย้อนกลับไปอยู่ในช่วงเวลานั้นอีกครั้ง 

หลังจากพ่อเสียชีวิตไม่กี่เดือน  เขากับแม่ก็ต้องย้ายออกจากบ้านหลังใหญ่ที่เคยอยู่แล้วไปเช่าห้องเล็กๆอาศัยด้วยกันสองคน  แม่ที่เคยมีเวลาอยู่เล่นกับเขาทุกวันเริ่มออกจากบ้านแต่เช้าตรู่และกลับมากลางดึก กับข้าวร้อนๆเปลี่ยนเป็นเย็นชืดเนื่องจากทำทิ้งไว้เป็นเวลานาน  นิทานก่อนนอน  คำบอกฝันดี  ทุกอย่างมลายหายไปหมดสิ้น  เวลาส่วนใหญ่ที่อยู่บ้านมักจะมีแค่เมษาเพียงคนเดียว  ซึ่งนั่นทำให้เขาได้รู้จักกับความเหงาจริงๆเป็นครั้งแรก 

เมื่อโตขึ้นจนพอรู้ความเล็กน้อย  เขาเคยลองถามแม่เกี่ยวกับเหตุการณ์วันนั้น  ทว่าก็ได้รับเพียงคำพูดคลุมเครือตอบกลับมา ‘พ่อของลูกนะโง่  ถึงได้เลือกที่จะหนีปัญหาด้วยวิธีแบบนั้น’  แทนที่จะช่วยไขข้อข้องใจให้กระจ่าง  กลับยิ่งทำให้มีคำถามผุดขึ้นในใจตามมาอีกมากมาย

ปัญหาที่ว่าคืออะไร?

ทำไมพ่อต้องหนี?

พ่อของเขาโง่จริงเหรอ?

ข้อสงสัยไม่เคยได้รับคำตอบเป็นรูปธรรม  อัยยรินทร์ในตอนนั้นมักจะเอาแต่ยิ้มอยู่เสมอ  ปากก็พร่ำว่าไม่เป็นไรราวกับเทปที่ถูกกรอให้เล่นซ้ำ  เมษาคาดเดาเอาเองว่ามารดาคงทำไปเพื่อปลอบเขาซึ่งตอนนั้นมักจะงอแงหรือบ่นเรื่องความลำบากเล็กๆน้อยๆในชีวิตประจำวันที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหันเพราะยังไร้เดียงสา   และที่สำคัญอาจทำไปเพื่อความสบายใจของตัวเอง

แต่ใช่ว่าเมื่อบอกว่าไม่เป็นไรแล้วเรื่องเลวร้ายทุกอย่างจะจบลงด้วยดีดังที่พูด

แม้อัยยรินทร์จะพยายามทำงานหาเงินอย่างหนักจนร่างกายทรุดโทรม  ฐานะทางบ้านก็ไม่ได้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่จึงทำให้เมษาเอะใจ  สถานการณ์ที่มีแต่จะย่ำแย่ลงเรื่อยๆทำให้เมษาได้คำตอบทีละข้อโดยไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากถาม  จดหมายทวงหนี้จำนวนหลายฉบับ  กระทั่งเปลี่ยนเป็นการข่มขู่จนเข้าขั้นคุกคามความปลอดภัยของชีวิตจากการติดตามหนี้ล้วนบอกเล่าทุกอย่างด้วยตัวมันเอง  สองไหล่บอบบางไม่อาจแบกรับปัญหาทุกอย่างคนเดียวอีกต่อไป   และในช่วงเวลาที่สิ้นหวังจนเหมือนตกนรกหมกไหม้อยู่ทุกวัน  ศศินก็ก้าวเข้ามาในชีวิตของพวกเขาสองแม่ลูก 

ศศินเป็นผู้จัดการของบริษัทที่อัยยรินทร์ทำงานอยู่    ความอ่อนโยนและพึ่งพาได้ทำให้แม่ของเขาตกหลุมรักอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว  ทั้งคู่คบหาดูใจกันอยู่ครึ่งปี  กระทั่งคืนวันหนึ่งก็ตัดสินใจพามาแนะนำให้เขารู้จักที่บ้านแล้วเล่าเรื่องราวทุกอย่างที่ติดค้างในใจเขามาตลอดให้ฟังอย่างไม่ปิดบัง  ซึ่งบทสรุปก็ไม่ได้ผิดแผกไปจากที่เดาไว้เท่าไรนัก 

พ่อของเขาฆ่าตัวตายเพื่อหนีหนี้   

เดิมทีพ่อเป็นคนหนุ่มมีอนาคตไกล  ถ้าถามว่าไกลขนาดไหนก็ถึงขนาดที่สามารถเก็บเงินสร้างกิจการขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเองในวัยยี่กว่าปีเท่านั้น  นับว่าไม่ธรรมดาในหมู่คนธรรมดา 

แต่ส่วนที่แย่ที่สุดของพ่อคือใจดีและหลงเชื่อคำคนง่ายเกินไป  เพียงแค่อีกฝ่ายเอ่ยปากขอร้องให้ช่วยเพราะกำลังลำบาก  ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนสนิทหรือญาติมิตรจากที่ใดก็ล้วนยอมหยิบยื่นความช่วยเหลือให้เขาไปง่ายๆ  สุดท้ายแล้วรู้ตัวอีกทีก็ต้องมาแบกรับภาระหนี้สินทั้งในและนอกระบบกว่าหลายสิบล้านทั้งที่ตัวเองไม่ได้เป็นคนก่อแล้วจบชีวิตไปทั้งแบบนั้น  ซึ่งเมษาเองก็เห็นด้วยว่าช่างเป็นจุดจบที่สมกับคำปรามาสของแม่เสียจริง   

ถ้าหากพ่อจะเห็นแก่ตัวสักหน่อย  รู้จักปฏิเสธคนอื่นไปบ้าง  หรือตอนที่ตัดสินใจทิ้งครอบครัวไว้ข้างหลังเกิดคิดได้แล้วเปลี่ยนใจมากอดเขาแทน  บางทีหลายสิ่งหลายอย่างที่พวกเขาต้องประสบมาตลอดเกือบสิบปีนี้อาจเปลี่ยนแปลงไป  แม่ของเขาจะไม่เคยได้พบกับผู้ชายชื่อศศิน  จะไม่เคยได้พบรักและแต่งงานใหม่  จะไม่เคยมีคนคนนี้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว  แล้วเขาก็จะ... 

แต่ก็นั่นแหละ 

ชีวิตไม่มีคำว่า ‘ถ้าหาก’

มือเล็กกระชับผ้าห่มแน่นขึ้นพลางบอกตนเองให้เลิกคิด  เพราะต่อให้คิดจนสมองระเบิดอย่างไรก็ไม่อาจแก้ไขความจริงอันโหดร้ายที่เขาต้องเผชิญอยู่ดี  เมษาข่มตาทั้งสองข้างให้ปิดลง  ปล่อยให้กระแสความคิดไหลไปดุจสายน้ำ  เพียงไม่นานจากนั้นก็ผล็อยหลับด้วยความอ่อนเพลีย





Talk

สวัสดีค่ะทุกคน  ขออนุญาตแนะนำตัวเลยแล้วกันเนอะ  คนเขียนชื่อเมย์ค่ะ  ปกติเป็นมนุษย์เงินเดือนที่ทำงานเช้ากลับบ้านหัวค่ำ  แต่มีใจอยากจะลองกลับมาเขียนนิยายอีกสักครั้งจึงเกิดเป็นผลงานเรื่อง #เมษาโง่ ที่ทุกท่านกำลังอ่านกันอยู่  ยังไงก็ขอฝากเนื้อฝากตัวและช่วยเป็นกำลังใจให้เมย์ด้วยนะคะ 

ถ้าทุกคนอ่านจบกันไปแล้วก็น่าจะทราบเนอะว่าโทนเรื่องเป็นประมาณไหน  ความจริงเมย์ค่อนข้างชอบนิยายเทาๆ   ด้วยทัศนคติส่วนตัวที่คิดว่าชีวิตมนุษย์เหมือนเหรียญสองด้าน  เราไม่สามารถที่จะเลือกตัดด้านใดด้านหนึ่งทิ้งได้  เมย์เลยตัดสินใจที่จะแน่วแน่เขียนนิยายดราม่าอึมครึมต่อไปแม้จะไม่ค่อยมีคนอ่านก็ตาม (ฮา)

หวังว่าทุกคนจะมีความสุขกับการอ่าน  และชื่นชอบนิยายเรื่องนี้กัน  เมย์ขอฝากรัชชาตะกับเมษาไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะคะ  ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้าค่ะ
 :mew1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-01-2020 19:46:20 โดย Emerald »

ออฟไลน์ Emerald

  • ความลับไม่มีในโลก แต่ในโลกใบนี้ก็ยังมีความลับ ♥
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +143/-1
02
-  Heavy  -



“ฮือออออ...ฮือ...ฮึก...พ่อ...พ่อจ๋า”
   
ร่างเล็กๆของหนูน้อยวัยสี่ขวบส่งเสียงร้องลั่น  เอาแต่เรียกหา ‘พ่อจ๋า’ ด้วยใบหน้าที่ชุ่มทั้งน้ำตาและน้ำมูกที่ไหลปะปนกันจนแยกไม่ออก 

พ่อจ๋าของหนูน้อยได้ยินเสียงประกาศิต  เขารีบเดินตรงเข้าไปหาเจ้าของเสียงด้วยรอยยิ้มกึ่งกังวลกึ่งเอ็นดู  ย่อตัวลงสวมกอดร่างที่มีแต่คราบดินสกปรกติดตามเสื้อผ้าไว้ในอ้อมแขนอบอุ่นพลางใช้มือตบหลังเบาๆแล้วปลอบเด็กน้อยด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้ม

“โอ๋ๆ  ไม่ร้องนะลูก  พ่อจ๋ามาแล้ว”

“ฮือ...ฮึก...ฮึก”

เสียงร้องไห้แผ่วลงจนเหลือเพียงเสียงสะอื้นเมื่อจิตใจรับรู้ได้ว่าตนเองกำลังอยู่ในสถานที่ปลอดภัย  เจ้าตัวรีบร้องบอกพ่อพร้อมกับชี้รอยแผลบนหัวเข่าซึ่งมีเลือดซึมอยู่เล็กน้อย

“ฮึก...พ่อ...เมษเจ็บ”

ระหว่างที่กำลังช่วยพ่อจัดสวนด้วยการพรวนดินอย่างขยันขันแข็ง ดวงตาใสแจ๋วดุจลูกแก้วก็บังเอิญเหลือบไปเห็นผีเสื้อกำลังเกาะอยู่บนดอกไม้เข้า  พอลองเอื้อมมือไปจับ  ก็พบว่าเจ้าผีเสื้อบินหนีไปเกาะดอกไม้ที่อยู่ไกลออกไปแทบจะทันที  เมษาไม่ยอมแพ้แล้วลุกขึ้นไปลองคว้าอีกครั้ง  ทว่าผลลัพธ์ที่ได้ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม 

พอไม่สามารถจับผีเสื้อตัวนั้นมาได้ดั่งใจ  เด็กชายเมษาก็วางช้อนตักดินลงแล้วเริ่มวิ่งไล่จับผีเสื้ออย่างเป็นเอาตาย  แต่เพราะมัวเงยหน้าจดจ่อกับผีเสื้อที่สยายปีกบินอย่างอิสระอยู่ด้านบนจึงไม่ทันได้ระวังพื้น  รู้ตัวอีกทีก็ล้มหน้าคะมำแล้วได้แผลแห่งเกียรติยศมาเสียหนึ่งแผล   

“ความเจ็บจงหายไป  เพี้ยง” พ่อร่ายมนตร์วิเศษอย่างที่ทำให้เป็นประจำ

“ฮือ  เมษยังเจ็บอยู่เลย”
   
“ยังเจ็บอยู่อีกเหรอ  ถ้าอย่างนั้นพ่อจะร่ายซ้ำอีกครั้งนะ  เพี้ยง”

“เจ็บ  เมษเจ็บ ฮึก...ฮืออออ” เมษาตัวน้อยบอกด้วยน้ำเสียงไม่พอใจแล้วเริ่มแผดเสียงอีกครั้ง 
   
“เพี้ยง  หายเจ็บหรือยังครับ”

“พ่อขี้โม้”    

หน้ากลมๆนิ่วมองคนที่ได้แต่ยิ้มแหยอย่างคาดโทษ

“ยังสินะ  เพี้ยง”

อัยยรินทร์ได้ยินเสียงเอะอะดังจากสวนหลังบ้านจำต้องละมือจากการเตรียมมื้อเที่ยงไว้ต้อนรับสองพ่อลูก  พอลองเดินมาดูก็เห็นลูกชายกำลังยืนร้องไห้งอแงเพราะหกล้ม  โดยที่สามีของหล่อนได้แต่กอดร่างเล็กๆนั่นเอาไว้เลิ่กลั่กอย่างทำอะไรไม่ถูก 

“เดี๋ยวเถอะ  เป็นแผลก็รีบพาลูกเข้าบ้านมาทายาสิคะ  เพี้ยงอย่างเดียวจะไปหายได้อย่างไร” เสียงใสบอกแกมตำหนิ  ทว่าน้ำเสียงกลับไม่ได้ฟังดูน่ากลัวเลยสักนิด

ดวงหน้าน่ารักหันไปมองตามเสียงเรียกของมารดา  เห็นอัยยรินทร์ถือกล่องปฐมพยาบาลประจำบ้านแล้วก็รู้ได้ว่านั่นต่างหากคือสิ่งที่จะช่วยให้เขาหายเจ็บได้จริงๆ  มือเล็กเกาะชายแขนเสื้อของพ่อจ๋าแน่นก่อนออกแรงกระตุกหลายครั้งเพื่อส่งสัญญาณเร่งเร้า

“พ่อ  พ่อ  ไปหาแม่”

“.....”
   
“พ่อ...”
   
ไร้เสียงตอบรับจากบิดาที่มักจะตอบกลับมาอย่างเคยๆ 

คนตัวเล็กสัมผัสได้ถึงความผิดปกติจึงได้ทั้งพยายามเขย่าและดึงทึ้งแขนเสื้ออีกฝ่ายซ้ำอย่างไม่ยอมแพ้  จนเมื่อรู้สึกได้ว่าร่างกายของคนที่ตระกองกอดเขาเอาไว้ด้วยแขนสองข้างจู่ๆก็แข็งทื่อราวกับท่อนไม้ที่ใหญ่และหนักอึ้ง  เมื่อทำอย่างไรก็ไม่ได้ผลจึงได้เงยหน้ามองพ่อจ๋าของตัวเองทั้งน้ำตาที่คลอเต็มนัยน์ตาสีวอลนัท     

“พ่อจ๋า?”

ภาพแรกที่ปรากฏแก่สายตาคือแอ่งน้ำหย่อมหนึ่งซึ่งเจิ่งนองเต็มพื้นห้องที่ปูจากกระเบื้อง  ร่างเล็กได้แต่ยืนงุนงงกับสภาพแวดล้อมรอบตัวที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน  จนเมื่อไล่มองสูงขึ้นไปก็เห็นปลายเท้าที่ลอยอยู่กลางอากาศอย่างผิดธรรมชาติ 

มาถึงตอนนี้  เมษาก็รู้ตัวแล้วว่าไม่เขาควรดูต่อ 

ทว่าหนูน้อยเมษายังคงเงยหน้าใช้สายตาไต่ระดับมองตามความสูงขึ้นไปเรื่อยๆ  จนกระทั่งเห็นร่างสูงที่ยังกอดเขาจนถึงเมื่อสักครู่ถูกแขวนอยู่บนเพดาน



∞ ∞ ∞ ∞ ∞ ∞ ∞



เมษาสะดุ้งตื่นจากฝันที่บอกไม่ถูกว่าดีหรือร้ายในสภาพเหงื่อไหลโซมกาย  เสียงหอบหายใจหนักหน่วงดังก้องภายในห้องที่มีแค่เสียงเครื่องปรับอากาศทำงานดังหวี่ๆให้ระคายหู

นานแล้วที่เขามักจะฝันถึงช่วงวัยเด็กสมัยที่ยังอยู่บ้านสวน  วันคืนที่ครอบครัวพร้อมหน้าเป็นเหมือนความทรงจำระยิบระยับอันห่างไกล  ทั้งรอยยิ้มใจดี  น้ำเสียงนุ่มทุ้มที่เอ่ยหยอกเย้า  คำพูดหลอกล่อเพื่อปลอบเขาอย่างใจเย็นเมื่อเล่นซนจนได้แผล  ไออุ่นจากร่างกายที่ใกล้ชิด  อ้อมอกที่ให้เขาคลอเคลียออดอ้อน  ทุกเรื่องราวผ่านมานานเพียงพอที่จะเปลี่ยนจากเด็กชายคนหนึ่งสู่ชายหนุ่มคนหนึ่ง  กระนั้นความหอมหวานของอดีตที่ไม่อาจหวนกลับก็ชวนให้รำลึกถึงอยู่ร่ำไป

“ฝันร้ายเหรอ”

เสียงของบุคคลที่ไม่ควรอยู่ในห้องนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามวิกาลดังขึ้น

เจ้าของซึ่งไม่รู้ว่าเข้าห้องของเขาตั้งแต่เมื่อไรค่อยๆก้าวออกจากความมืดที่ใช้หลบซ่อนตัว  ก่อนเดินตรงเข้าไปหาร่างที่ตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูก  เพียงพยายามชันตัวลุกขึ้นนั่งแล้วใช้นัยน์ตาคู่สวยจดจ้องคนเบื้องหน้าอย่างระแวดระวัง  มองดูแล้วคล้ายกับแมวจรที่กำลังแยกเขี้ยวพองขนใส่มนุษย์แปลกหน้า

“คุณเข้ามาทำไม” เมษาไม่ตอบแต่ถามกลับ

“ถ้าไม่มีเหตุผลอะไร  ฉันจะมาหาเธอไม่ได้เลยหรือ”

“ไม่มีพ่อเลี้ยงคนไหนแอบย่องเข้าห้องลูกเลี้ยงกลางดึกแบบคุณ”

ทั้งที่เป็นถ้อยคำตำหนิอย่างไม่ไว้หน้า  ทว่าคนฟังนอกจากจะไม่โกรธ  กลับยังฉีกยิ้มจนหางตาปรากฏเป็นริ้ว 

“ก็ถูกของเธอ”

“.....”

“แต่สำหรับฉันเธอไม่ได้เป็นแค่ลูกเลี้ยง” ท้ายประโยคจงใจเน้นเสียง 

สารเลว

แม้จะโกรธจนแทบอยากกระชากคอเสื้ออีกฝ่ายขึ้นมาชกให้ใบหน้าที่มักระบายยิ้มอย่างเหนือกว่าบิดเบี้ยวจนสาแก่ใจ  หากเมษาก็ทำได้แค่ข่มความต้องการนั้นเอาไว้ในอก 

ระหว่างที่ชวนคุยเรื่อยเปื่อย  ชายสูงวัยกว่าหาโอกาสที่จะค่อยๆย่นระยะห่างเพื่อเข้าถึงตัวคนบนเตียงอยู่ตลอด  ทว่าจนแล้วจนรอดเมษาก็ไม่ยอมลดการ์ดป้องกันตัวลงเลยแม้สักน้อย  กระทั่งศศินเป็นฝ่ายอดทนไม่ไหวเอง  จึงได้ฝืนประชิดเข้าใกล้อีกฝ่ายจนเป็นที่สำเร็จ 

เขาถือวิสาสะคว้าร่างซึ่งแม้จะเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อเพราะฝันเมื่อสักครู่  แต่กลับยังคงส่งกลิ่นหอมอ่อนๆแบบที่เขาชอบออกมายั่วยวนตลอดเวลาเข้ามาไว้ในอ้อมกอด 

“!!!”

ปฏิกิริยาโต้ตอบที่เป็นไปโดยอัตโนมัติทำให้เมษาใช้มือผลักร่างสูงใหญ่กว่าตนออกให้พ้นตัวแทบจะทันทีที่ถูกสัมผัส  ทว่าด้วยพละกำลังที่แตกต่างกันไม่มากนักทำให้ศศินเพียงเสียหลักเซไปเล็กน้อย  ไม่ได้ถึงกับกระเด็นไปไกลหรือไถลตกเตียงหัวฟาดพื้นตายไปเสียดั่งที่คาดหวัง  น้ำเสียงร้อนรนระคนหวาดกลัวตวาดไล่แขกผู้ไม่ได้รับเชิญ

“ออกไปซะ!  อย่ามายุ่งกับผม”

“ไหนว่าเราตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอ  ทำไมเธอยังดื้ออยู่อีก”

“คุณต่างหากที่ไม่รักษาสัญญาก่อน  คุณทำร้ายแม่”

คงไม่มีอะไรเป็นหลักฐานยืนยันได้ดีกว่ารอยแดงบนใบหน้าของอัยยรินทร์ที่จนป่านนี้แล้วก็ยังคงบวมไม่หายสักที

“มันเป็นอุบัติเหตุ  ฉันไม่ได้ตั้งใจ”

“โกหก  ผมไม่อยากฟังคำโกหกของคุณ”

“.....” 

“ออกไปจากห้องผม  ออกไป!”

“ชู่  อย่าเสียงดังสิ  เดี๋ยวแม่ของเธอก็ตื่นหรอก”

“คุณรู้จักกลัวด้วยเหรอ”

เจ้าของเสียงสั่นเครือพยายามสงบสติอารมณ์แล้วเค้นแต่ละคำพูดที่เหลือออกมาอย่างยากลำบาก “ทั้งที่แม่นอนอยู่ห้องตรงข้าม”

“.....”

“แต่คุณกลับกล้ามาที่นี่”

“.....”

“ทะ...ทำเรื่องเลวร้ายพวกนั้น”

แต่ละถ้อยคำที่พรั่งพรูล้วนกลั่นจากความทรงจำอันน่าอดสูตลอดหลายปีที่ต้องเผชิญกับความขมขื่นโดยไม่อาจปริปากเล่าให้ใครฟัง 

ทุกครั้งที่ต้องทนแบกรับความลับที่น่าอับอายซึ่งเปรียบเสมือนตราบาป  ยังผลให้เมษารู้สึกเหมือนจิตใจใกล้แตกสลายเต็มทน  ทั้งที่เขาถูกเอาความปลอดภัยของแม่มาข่มขู่  ถูกใช้กำลังบังคับขืนใจโดยไม่เคยยินยอมแม้สักครั้ง  แต่กลับต้องเป็นหนึ่งในผู้สมรู้ร่วมคิดเพื่อปิดบังการกระทำลับหลังอันน่าละอายเหล่านั้นด้วยตัวเอง  ได้แต่จมอยู่กับเสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือที่ไม่เคยส่งถึงใครแม้สักคนเดียว   

“ใจเย็นๆก่อนนะเมษ  เธอก็รู้ว่าฉันรักเธอ”

“ไม่  ผมไม่ใจเย็น”

“เมษ”

“ความรักของคุณมันวิปริต”

“ถึงอย่างนั้นฉันก็รักเธอ”

“แต่ผมไม่อยากได้ความรักของคุณ  ผมไม่ต้องการมัน!”

รอยยิ้มบนหน้าของศศินชะงักค้างไปทันทีเมื่อสิ้นเสียงของประโยคสุดท้ายที่เมษาตะคอกใส่

ความเงียบแผ่เข้ามาปกคลุมบรรยากาศในชั่วอึดใจทำเอาขนแขนของเมษาถึงกับลุกเกรียว  สัญชาตญาณร้องเตือนบอกให้เขาหนี  แต่สมองก็ถามต่อทันทีว่ายังจะมีที่แห่งไหนให้เขาหนีไปได้อีก  ในเมื่อบ้านควรเป็นสถานที่ที่ปลอดภัย  และห้องของเขาควรเป็นพื้นที่ส่วนตัวที่ใครก็ไม่มีสิทธิรุกล้ำเข้ามา  หากศศินทำให้ทุกอย่างกลับตาลปัตรจนไม่เหลือดี 

บ้านเป็นสถานที่ที่เขาไม่อยากกลับ 

ห้องนี้เปรียบเสมือนนรกขุมที่ลึกที่สุดสำหรับเขา 

“ฉันเคยเตือนแล้วใช่ไหมว่าเธอจะด่าว่าฉันอย่างไรก็ได้”

“.....”

“แต่จะไม่ยอมให้เธอทิ้งขว้างความรักของฉันเด็ดขาด” 

ศศินสาวเท้ายาวๆเพียงไม่กี่ก้าวก็สามารถโอบรัดคนที่ถูกทำให้ขวัญหนีดีฝ่อไว้ได้ทั้งตัว  จมูกโด่งซุกไซ้ตามซอกคอขาวเพื่อสูดเอากลิ่นเฉพาะที่เมื่อสักครู่ยังไม่ทันได้ดอมดมเข้าปอดอย่างพึงใจ  มือกร้านลูบไล้ไปตามผิวกายเรียบเนียนราวกับตั้งใจจะสอดส่องให้ทั่วทุกอณู 

“ไม่”

“เด็กดื้อต้องถูกทำโทษ”

“ปล่อยผม!  อย่า!!”

สองแขนเรียวยาวเปะป้ายไปทั่วเหมือนคนที่กำลังตะเกียกตะกายเอาชีวิตรอดจากการจมน้ำและใกล้ขาดอากาศหายใจเต็มที  แม้จะรู้ดีว่าเปล่าประโยชน์  แต่เมษาก็ยังกระเสือกกระสนหนีจากอ้อมกอดของอีกฝ่ายด้วยแรงทั้งหมดที่มี  ดิ้นรนเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีซึ่งเหลือเพียงน้อยนิดเท่าที่จะสามารถ  การยอมจำนนแน่นอนว่าเป็นทางเลือกที่ง่ายกว่า  หากเมษารู้ดียิ่งกว่าว่าเมื่อถึงเวลานั้นแล้ว  เขาคงไม่เหลืออะไรนอกจากร่างกายกลวงๆที่ยังมีชีวิต

จนเมื่ออีกฝ่ายเงื้อมัดแล้วชกเข้าที่ท้องของเขาเต็มรัก  ก่อนใช้มืออีกข้างบีบลำคอซ้ำด้วยแววตาเหี้ยมเกรียมผิดเป็นคนละคน

ความเจ็บที่แล่นจู่โจมอย่างเฉียบพลันทำให้เมษาจำต้องนอนนิ่งโดยไม่อาจขัดขืน  สีหน้าจะเหยเกเพราะความทรมาน  หากมือที่กุมรอบคอเขาไว้ก็ไม่มีท่าทีว่าจะผ่อนแรงลง  ยังคงบีบเค้นอย่างไร้ความปรานี  กระทั่งบริเวณที่เจ็บเริ่มเปลี่ยนเป็นชา  ลมหายใจขาดห้วง  ภาพตรงหน้าพร่าลงจนเห็นเพียงความมืดอันว่างเปล่า  ศศินจึงได้ปล่อยมือเอาในวินาทีสุดท้ายที่วิญญาณของเขาใกล้หลุดลอย     

“แค่ก...แค่ก”

ทันทีที่ได้รับอิสระ  เมษาก็โกยเอาออกซิเจนเข้าปอดอย่างตะกละตะกลาม  แต่คงเพราะรีบร้อนเกินไปจึงได้เกิดอาการสำลัก 

ร่างเพรียวขดตัวพลางไอโขลกจนดวงหน้างดงามแดงก่ำดุจลูกมะเขือสุก  ขนตาแพหนาเปียกชุ่มด้วยหยาดน้ำตาที่หลั่งรินเป็นสายธารแทบไม่ขาดอย่างน่าสงสาร  เป็นภาพที่เห็นแล้วให้ความรู้สึกเปราะบางน่าทะนุถนอม  ทว่าก็เชิญชวนให้ย่ำยีในคราเดียวกัน

รอยแดงจากผลงานของเขาช่างตัดกับผิวขาวๆดูแล้วราวกับงานประติมากรรมชั้นหนึ่ง  ศศินใช้มือเชยคางมนก่อนโน้มตัวลงประทับจูบลงบนกลีบปากนุ่มด้วยความเสน่หาสุดจะทานทนไหว  นัยน์ตาสะท้อนภาพของร่างที่นอนคุดคู้เนื้อตัวสั่นเทา  สมองคิดภาพเรียงเป็นฉากๆอย่างหมายมาดว่าคืนนี้จะเชยชมอย่างไรกับความยั่วเย้าที่ไม่รู้เบื่อ 

เหยื่อที่ได้แต่ยอมศิโรราบอย่างไม่อาจทำอะไร  นำพาความรู้สึกรักใคร่ให้ท่วมท้นเต็มอก  ศศินเผยรอยยิ้มชั่วร้ายพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล 

“เด็กดี”




∞ ∞ ∞ ∞ ∞ ∞ ∞




รอยช้ำเริ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำจนน่ากลัว
   
เมษายืนส่องกระจกแล้วได้แต่ทอดถอนใจคนเดียวอยู่ในห้องน้ำ 
   
ร่องรอยจากเรื่องเมื่อคืนยังคงติดอยู่บนร่างกาย  ปกติแล้วศศินจะระมัดระวังไม่ทำรอยในบริเวณที่โผล่พ้นเสื้อผ้า  ทุกครั้งหลักฐานเหล่านั้นมักถูกซ่อนไว้ไม่ให้ตกเป็นที่สังเกต  จะมีก็แค่รอยบนคอครั้งนี้เท่านั้นที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีเหตุผลอะไรถึงได้กล้าลงมือทำแบบไม่กลัวถูกจับได้  โชคดีที่เมื่อเช้าตอนเขามาโรงเรียนโดยไม่รอกินข้าวฝีมือแม่  อัยยรินทร์ไม่ได้ทักท้วงอะไรที่พอเขาลงมาจากห้องแล้วก็รีบวิ่งออกจากบ้านมา  ไม่เช่นนั้นด้วยนิสัยขี้กังวลของมารดาเขาคงถูกซักถามไม่ปล่อย 
   
ไม่นานเสียงกริ่งโรงเรียนก็ร้องบอกว่าได้เวลาเข้าแถวช่วงเช้า  หากไปทั้งแบบนี้คนที่ยืนต่อด้านหลังเขาจะต้องเห็นรอยแล้วถามอย่างแน่นอน  จากนั้นคงไม่พ้นตกเป็นเป้าสายตาจากเพื่อนร่วมชั้นและถูกระดมยิงคำถาม  เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์แบบนั้นเขาจึงตั้งใจจะเดินไปหลังตึกเก่าที่ไม่ค่อยมีคนเพื่อใช้หลบซ่อนตัว  กะว่าหากถึงคาบเรียนเมื่อไรค่อยแอบเนียนไปนั่งตามเก้าอี้หลังห้องที่มักจะไม่มีคนจับจอง  อย่างน้อยก็ที่ของรัชชาตะแล้วคนหนึ่งที่เขามั่นใจว่าเจ้าตัวจะไม่เข้าเรียนแน่ๆ

เมื่อสรุปและตัดสินใจทุกอย่างได้  เมษาก็ตรงไปยังจุดหมายตามที่วางแผนเอาไว้ในหัว  ทว่าเมื่อไปถึงก็ต้องพบกับปัจจัยที่อยู่นอกเหนือจากการคาดเดาของเขาเสียได้  รัชชาตะผู้ไม่เคยมาเข้าแถวเลยสักครั้ง  ที่แท้แล้วไม่ใช่ว่าเขามาไม่ทัน  แต่ชอบมานั่งปลีกวิเวกอยู่ที่นี่ตามลำพังนั่นเอง

“ไง” เมษาได้แต่ส่งเสียงทักไปเก้อๆ

เขาสัมผัสได้ว่าสายตาที่มองมาฉายแววประหลาดใจ  แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้เอ่ยอะไรนอกจากตอบกลับมาง่ายๆ

“ไง  โดดเหมือนกันเหรอ”

“อืม” ทั้งที่แค่อือออรับคำให้แค่พอจบไปเฉยๆก็ได้  ไม่รู้ทำไมเมษาจึงเลือกจะพูดต่อ “เรารู้สึกไม่ค่อยสบายเลยมาหาที่นั่งพัก  เดี๋ยวถึงเวลาเข้าเรียนแล้วจะไป”

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาทำแบบนี้  เมื่อถูกคนอื่นจับได้คาหนังคาเขาว่ามีพฤติกรรมนอกกรอบจึงรู้สึกร้อนรนและอยากอธิบายเหตุผลให้ฟังขึ้นมา

เมษาอดคิดไม่ได้ว่าไหนๆก็อุตส่าห์พูดแล้วทั้งที  อย่างน้อยก็น่าจะหาเหตุผลดีกว่านี้สักหน่อย  หากอีกฝ่ายถามต่อขึ้นมาว่าไม่สบายแล้วทำไมถึงไม่ไปนอนพักที่ห้องพยาบาล  เขาก็คงไม่รู้จะตอบว่าอย่างไรดี  ช่องโหว่เยอะขนาดนี้ต่อให้ไม่ต้องใช้สมองคิดก็ต้องดูออกว่ากำลังโกหก 

สายตาที่มองตรงมาราวกับจะจับพิรุธได้ทำให้เมษายิ่งรู้สึกประหม่าจนเผลอใช้มือดึงปกเสื้อเชิ้ตเพื่อปกปิดรอยที่คอโดยไม่รู้ตัว   

“ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย”

ชายหนุ่มยักไหล่บอกอย่างไม่ยี่หระ  ราวกับจะสื่อเป็นนัยว่าแล้วไงล่ะ  ถึงอย่างไรก็ไม่เกี่ยวกับเขา

เนื่องจากไม่มีความคิดจะเปิดโปงอยู่แล้วตั้งแต่แรก  คำโป้ปดหลอกเด็กจึงได้ถูกปล่อยผ่านไปโดยไม่มีการซักไซ้เพิ่มเติมให้รำคาญใจ  กระนั้นมันก็ไม่ได้ช่วยทำให้เมษาเบาใจขึ้น  จึงพยายามแก้ตัวต่อทั้งที่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไปทำไม

“แค่กลัวนายเข้าใจผิด”

“เข้าใจผิดอะไร”

“ก็ที่เราไม่ไปเข้าแถว”

“นายก็ไม่ไปจริงๆไม่ใช่เหรอไง  แล้วฉันจะเข้าใจผิดอะไร” รัชชาตะเลิกคิ้วถามกลับด้วยความงงงวย  สีหน้าของเขาเหมือนไม่ได้แกล้งถาม  แต่ไม่เข้าใจตามที่พูดทุกประโยค

นั่นสิ  เขากลัวอีกฝ่ายจะเข้าใจผิดเรื่องอะไร

“มาที่นี่บ่อยเหรอ” เสียงนุ่มกว่าเบี่ยงประเด็น

“ถ้าช่วงหลังมานี้ก็มาประจำ  ปกติฉันจะนั่งแถวห้องคหกรรมเพราะที่นั่นเงียบดี  อยู่ไกลจากโดมพวกเสียงรบกวนเลยเข้าไม่ถึง  แต่ตอนนี้ห้องนั้นรื้อปรับปรุงอยู่” รัชชาตะตอบระหว่างที่กำลังปรับสายกีต้าร์

ผู้ชายคนนี้ช่างกล้าบอกว่าพิธีการการเข้าแถวที่โดมตอนเช้าก่อนเข้าเรียนทุกวันเป็นเสียงรบกวนได้เต็มปากเต็มคำ  หากครูท่านไหนมาได้ยินเข้าคงควันออกหูแล้วลากอีกฝ่ายไปทำทัณฑ์บนในห้องเย็นเสียให้รู้สำนึก  แต่ถ้ามองจากนิสัยของอีกฝ่ายแล้ว  บางทีนอกจากดนตรีที่ตัวเองชอบ  สำหรับรัชชาตะทุกอย่างที่ไม่เกี่ยวข้องก็คงเป็นแค่เสียงรบกวนเสียงหนึ่งกระมัง  ซึ่งเผลอๆเสียงรบกวนนั่นอาจนับรวมเขาที่กำลังชวนคุยอยู่ด้วยก็ได้

ร่างเล็กไม่ได้พูดอะไรต่ออีกเพราะเกรงว่าจะไปขัดสมาธิของอีกฝ่ายที่อุตส่าห์หาสถานที่หลบมานั่งเล่นกีต้าร์อย่างตั้งอกตั้งใจคนเดียว  และที่สำคัญคือเมษาเองก็ไม่ใช่คนพูดเก่งอะไรอยู่แล้ว  เขาจึงไม่รู้ว่าปกติแล้วเวลาแบบนี้จะต้องคุยอะไร  สุดท้ายจึงได้ปล่อยบทสนทนาให้กลางเติ่งแล้วเดินไปนั่งตรงเชิงบันไดที่รัชชาตะนั่งอยู่ก่อนโดยเว้นระยะห่างเอาไว้ประมาณหนึ่ง 
   
เสียงกีต้าร์ที่เดี๋ยวดังเดี๋ยวหยุดไม่ได้ให้ความรู้สึกลื่นไหลเท่าไรนัก  ด้วยฝีมือขนาดรัชชาตะย่อมไม่มีทางพลาดบ่อยจนเหมือนมือใหม่เพิ่งหัดเช่นนี้  ดูเหมือนว่าเจ้าตัวกำลังทำบางอย่างที่ไม่ใช่แค่เล่นเพลงที่ตนเองชอบดังที่มักจะทำเป็นประจำอยู่เสมอ  เมษาสังเกตเห็นว่ารัชชาตะเล่นกีต้าร์สลับกับจดอะไรบางอย่างลงสมุดมาตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว  หากก็ไม่กล้าถามออกไปด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่พอใจที่เขาก้าวก่ายถามนั่นถามนี่ทั้งที่ไม่ได้สนิทกันมากมาย 

ก็แม้แต่ชื่อของเขาอีกฝ่ายยังจำไม่ได้เลยนี่นะ

“ฉันกำลังแต่งเพลง”

คาดว่ารัชชาตะคงรู้สึกได้ถึงสายตาที่จ้องมองมาด้วยความสงสัยจึงเป็นฝ่ายเปิดปากบอกเอง

“ขอโทษที  เรากวนหรือเปล่า” เมษาถามด้วยท่าทีติดจะเกรงใจ  เนื่องด้วยคิดว่าจะเป็นการเสียมารยาทต่ออีกฝ่ายที่แอบดูโดยไม่ขออนุญาต

“ถ้าบอกว่าใช่แล้วจะไปหรือไง”
   
“คงไม่”

“ถ้าอย่างนั้นจะถามทำไม”

“.....”

“อยากดูก็ดูไป  ฉันไม่สนใจอยู่แล้ว” พูดเสร็จก็กลับไปตั้งท่าเล่นเพลงตามโน้ตที่เขียนใหม่อีกรอบ

พอจะรู้อยู่หรอกว่าฝีมือการเล่นกีต้าร์ของอีกฝ่ายร้ายกาจ  จึงได้เคยถูกชักชวนให้เซ็นสัญญากับค่ายเพลงแห่งหนึ่งตั้งแต่ตอนอยู่ชั้นม.3 ทว่าน่าเสียดายที่ตอนนั้นเจ้าตัวก็ปฏิเสธไปเพราะมีเพื่อนร่วมวงที่ปัจจุบันเล่นอยู่ด้วยกัน 

ข่าวทั้งหมดที่เกี่ยวกับรัชชาตะ  ต่อให้ไม่อยากรู้แต่ก็ยังลอยมาเข้าหูของเมษาอยู่ดีเนื่องจากแฟนคลับที่มีอยู่เต็มโรงเรียนมักจะพูดคุยซุบซิบกันอยู่เนืองๆ  ซึ่งในบรรดาข่าวคราวพวกนั้นส่วนใหญ่จะเป็นคำยกยอเรื่องหน้าตาและสกิลการเล่นดนตรีเสียมากกว่า  ไม่เคยมีเอ่ยถึงเรื่องที่รัชชาตะมีความสามารถถึงขั้นแต่เพลงเองได้  ทัศนคติที่มีต่อคนเบื้องหน้าจึงเริ่มดีขึ้นเล็กน้อย
   
หากไม่ติดที่นิสัยเสเพลไร้ความรับผิดชอบพวกนั้น  และเขาไม่ใช่หัวหน้าห้องที่ต้องมาคอยตามล้างตามเช็ดเรื่องยุ่งยากที่อาจารย์ไม่อยากข้องเกี่ยว  บางทีความประทับใจแรกที่เขามีต่อรัชชาตะอาจดีกว่านี้ก็เป็นได้  อย่างน้อยความรู้สึกชื่นชมนี่ก็มาจากใจจริง 

“ยอดไปเลยนะ  ไม่คิดว่านายแต่งเพลงเองด้วย” เมษาเอ่ยชมไปตามที่คิด

“เหนือความคาดหมายล่ะสิ”

“ไม่หรอก  ยอมรับว่าประหลาดใจ  แต่ก็ไม่ได้เหนือความคาดหมายขนาดนั้น”

“หืม?”

“ตอนที่รู้ก็แค่คิดว่า ‘แต่งเพลงเองได้ด้วยสินะ’ ประมาณนั้นน่ะ”

รัชชาตะยิ้มปนขำ “บรรยายได้เห็นภาพดี”

เห็นรอยยิ้มกว้างที่ระบายจนเต็มใบหน้าหล่อเหลาแล้ว  ไม่รู้เหตุใดเมษาจึงรู้สึกจักจี้ที่หัวใจแปลกๆขึ้นมา  พานทำเอาไม่รู้ว่าควรจะตอบสนองต่อคำชมและรอยยิ้มเจิดจ้าเช่นนั้นอย่างไร  จึงได้หยุดสานต่อบทสนทนาไปอย่างกะทันหัน  แม้ว่าการทำแบบนั้นจะไม่เป็นธรรมชาติเอามากๆเลยก็ตาม

“ใกล้วันเกิดของน้องสาวแล้ว  ฉันเลยตั้งใจว่าจะให้เป็นของขวัญน่ะ” คราวนี้จู่ๆรัชชาตะกลับเป็นฝ่ายเปิดปากเล่าเรื่องของตัวเอง

“.....”

“ฉันไม่ค่อยถนัดเรื่องพวกนี้เท่าไร  ปกติเลยชอบคัพเวอร์เพลงของคนอื่นไปเรื่อยมากกว่า”

“นายคงรักน้องมากสินะ”
   
เมษาตอบรับคำบอกเล่าเหล่านั้นด้วยการถามกลับไปโดยไม่คิดอะไร  ทว่าแวบหนึ่งเขาแอบเห็นว่าดวงตาสีนิลวูบไหวไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่ยากจะอ่านออก  พานทำเอาเขาคิดว่าคงเผลอถามละลาบละล้วงมากเกินไป 

บางครั้งความสัมพันธ์ในครอบครัวก็เป็นเรื่องซับซ้อนเกินกว่าที่จะอธิบายให้คนนอกฟังเข้าใจได้  มันไม่ใช่แค่เรื่องง่ายเหมือนในหนังสือภาพประกอบนิทานหลอกเด็กที่เล่าว่าครอบครัวสุขสันต์มีหน้าตาเป็นอย่างไร  จะต้องมีคุณพ่ออบอุ่น  คุณแม่ใจดี  และลูกชายหรือลูกสาวที่น่ารัก  แล้วจากนั้นทุกคนก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตลอดไปอะไรแบบนั้น 

ไม่ต้องดูตัวอย่างจากที่ไหนไกลเลยสักนิด  เขาเองก็เป็นหนึ่งในคนที่มี ‘ครอบครัวซับซัอน’ เช่นกัน  และบางทีรัชชาตะเองก็คงเป็นเหมือนเขา  แต่อาจจะในรูปแบบที่แตกต่างกันไป  เขารู้ว่านี่คงเป็นการเสียมารยาทต่ออีกฝ่ายเป็นอย่างมาก  แต่ไม่รู้ทำไมกลับรู้สึกอุ่นใจที่ได้รู้ว่ามีเพื่อนร่วมชะตากรรมเดียวกัน

เมษาพยายามปรับเปลี่ยนสีหน้าแม้ในใจจะรู้สึกยินดีทั้งที่ไม่สมควร  เขาย่อมเข้าใจว่าภายใต้เปลือกนอกที่ราบเรียบ  บางทีข้างในของอีกฝ่ายอาจแหลกเหลวเหมือนหล่มโคลนที่ทั้งลึกและสกปรกก็เป็นได้    ดังนั้นเพื่อรักษาความรู้สึกระหว่างเขากับรัชชาตะไม่ให้เกิดความบาดหมาง  มีแต่จะต้องขอโทษกับความไม่รู้ของตัวเองไปตามตรงเท่านั้น

ทว่ายังไม่ทันได้ทำตามที่คิด  เสียงทุ้มติดแหบนิดๆก็ตอบกลับมา

“อืม  รักสิ”
   

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-01-2020 19:47:16 โดย Emerald »

ออฟไลน์ TheDoungJan

  • ขอบคุณนักเขียนที่คนที่สร้างทุกตัวละครขึ้นมานะคะ(♡˙︶˙♡)
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
เปิดมาได้อย่างน่าสงสารเมษามากๆเลยค่ะ :hao5:

ออฟไลน์ hunhan

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เพิ่งเห็นคุณเมย์มาแต่งเรื่องใหม่ เปิดนิยายมาสมเป็นคุณเมย์จริงๆเลยค่ะ หัวเราะ555
เราชอบทุกเรื่องที่คุณแต่งมากเลยค่ะ ยิ่งมาแนวนี้ เรื่องเทาๆเรายิ่งชอบมาก
เปิดมาได้น่าสงสารเมษมาก แหวน การลืม แล้วย้อนมาพาร์ทอดีตอีก
ศศินนี้เป็นเหมือนการยกตัวอย่างของสังคมสมัยนี้เลยนะคะ หดหู่ สงสารเมษ
ติดตามอยู่นะคะ ชอบนิยายคุณเมย์มาก เพิ่งได้เข้ามาเจอ แต่จะมาให้กำลังใจเรื่อยๆนะคะ สู้ๆนะ รอตอนต่อไปแย้วว :กอด1:

ออฟไลน์ pearlluv

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
หดหู่เหลือเกิน
หวังว่าวันนึงศศินจะต้องชดใช้ให้กับการกระทำเลวทรามนี้อย่างสาสม
และหวังว่าเมษจะได้เจอบ้านที่อบอุ่นและปลอดภัยอีกครั้ง

 :pig4:

ออฟไลน์ Emerald

  • ความลับไม่มีในโลก แต่ในโลกใบนี้ก็ยังมีความลับ ♥
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +143/-1
03
-  It’s you  -



หลายวันหลังจากนั้นจู่ๆรัชชาตะก็ขาดเรียนไปเกือบทั้งสัปดาห์โดยไม่มีจดหมายลาหรือบอกกล่าวใครไว้ล่วงหน้าว่าไปไหน  แค่หายไปเฉยๆแล้วก็กลับมาเรียนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น 

วันแรกที่กลับมาหลังจากหายหน้าไปนาน  ผู้ชายที่เหมือนเกิดมาเพื่อเป็นจุดศูนย์กลางความสนใจของผู้คนก็ยังคงมีแต่เพื่อนฝูงยืนล้อมหน้าล้อมหลังอยู่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยน  อาจเพราะรอบตัวของรัชชาตะไม่เคยเงียบ  ด้วยเหตุนี้เองเจ้าตัวจึงได้ชอบแอบไปหามุมสงบนั่งเล่นกีต้าร์คนเดียวอยู่เสมอ

เพราะเป็นเพื่อนห้องเดียวกันจึงมีอภิสิทธิ์พิเศษที่ถึงแม้จะไม่ได้คุยกันเป็นเรื่องเป็นราว  แต่ก็ยังพอได้เห็นหน้าค่าตากันอยู่บ้างตอนที่รัชชาตะมาโรงเรียน  เดินสวนกันตามระเบียงทางเดิน  หรือนั่งเรียนด้วยกันในบางคาบที่รัชชาตะไม่ได้แอบโดด 

ถึงโรงเรียนแห่งนี้จะเป็นโรงเรียนเอกชนที่กฎระเบียบไม่ได้เข้มงวดเท่าโรงเรียนรัฐ  แต่ก็มีการประเมินคะแนนความประพฤติของนักเรียนที่ไม่แตกต่างกันมากเท่าไร  หากโดดเรียนหรือมีพฤติกรรมเข้าข่ายเกเรเกินไปก็อาจถูกให้ซ้ำชั้นหรืออย่างเลวร้ายก็ถูกไล่ออกได้  ดังนั้นรัชชาตะจึงเข้าเรียนบ้างโดดเรียนบ้างในบางคาบสลับกันไป 

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่สายตาของเมษาคอยแต่จะสอดส่ายหารัชชาตะโดยไม่รู้ตัว  ทุกครั้งที่ได้เฝ้าดูแล้วคาดเดาทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับรัชชาตะอย่างจริงจัง  เขาหวังว่าตนเองจะสามารถเข้าใจความคิดและตัวตนของอีกฝ่ายมากขึ้นทีละน้อย  รู้สึกเหมือนได้ก้าวเข้าไปใกล้คนคนนั้นก้าวหนึ่ง  เป็นเหมือนผู้พิชิตปริศนาที่ใครก็ไม่อาจไขได้ทีละข้อ  ทั้งที่รู้ว่าบางทีนั่นอาจเป็นแค่ความลำพองใจของเขาแค่ฝ่ายเดียวก็เป็นได้  ถึงอย่างนั้นเมษากลับมีความสุขและเสพติดมันจนเลิกพฤติกรรมเหล่านี้ไม่ได้สักที 

“ไงไอน์  หายหัวไปไหนมาเกือบอาทิตย์”

‘เลอง’  เจ้าของสำเนียงไทยชัดแจ๋วถือวิสาสะเดินเข้าไปกอดคอแล้วถามเสียงโหวกเหวกทันทีที่กริ่งบอกเวลาพักดัง  แม้รัชชาตะจะถูกจัดว่าเป็นคนตัวสูงเกินกว่าเกณฑ์มาตรฐานชายไทยทั่วไป  ทว่าคนคนนี้กลับทั้งสูงกว่าและมีร่างกายหนากว่า  อาจเพราะสายเลือดชาวฝรั่งเศสไหลเวียนอยู่เต็มตัว  เขาจึงมีรูปร่างแบบชาวยุโรปโดยกำเนิด 

“พอดียุ่งๆนิดหน่อย  กูเพิ่งย้ายออกมาอยู่คนเดียว” รัชชาตะบอกพลางปัดมือที่พาดคออยู่ออก

“ทำไมวะ  อย่าบอกนะว่าโดนที่บ้านถีบหัวส่ง”

นัยน์ตาคมกริบปราดมองเจ้าของคำถามอย่างเอาเรื่อง  หัวคิ้วผูกปมบ่งบอกถึงความไม่พอใจที่ฉายชัด  ถึงจะสนิทกันเพียงใดก็มีเส้นคั่นที่ไม่สมควรข้ามอยู่  เลองเองก็คงรู้สึกได้จึงขอโทษขอโพยถึงความปากไวของตนเองไปสองสามประโยค  รัชชาตะจึงได้ยอมตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ยังเจือความหงุดหงิดเล็กน้อย

“กูแค่อยากมีเวลาซ้อมมากขึ้น  อยู่ที่บ้านไม่ค่อยสะดวก”

“มึงทำห้องเก็บเสียงด้วยเหรอ”

“อืม  เพิ่งเสร็จเมื่อวาน”

“ไอน์อยู่คนเดียวแล้วเหรอ” เพื่อนในกลุ่มของรัชชาตะอีกคนที่ชื่อ ‘นิรัช’ ถามเสียงตื่นเต้น 

และหากมองผ่านลาดไหล่นั่นไปแล้วเพ่งมองดีๆ  จะเห็นหนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นคนหนึ่งซึ่งก่อนหน้านี้คุยอยู่กับนิรัชแอบยืนหลบอยู่ด้านหลังฟังด้วยอีกคน

“โคตรเจ๋งเลยเนอะ” ยังไม่ทันที่รัชชาตะจะได้ตอบคำถามเพื่อเป็นการยืนยัน  เลองก็เอ่ยแทรกขึ้นมาเสียก่อน  “ใครเห็นด้วยว่าวันนี้ควรไปเที่ยวห้องไอน์ยกมือ”

นิรัชยกมือพร้อมรอยยิ้ม  แน่นอนว่าไม่ลืมที่จะหันไปจับมือ ‘เรียว’ ให้ยกขึ้นด้วยเช่นกัน

“วันนี้ไม่ได้  ไว้คราวหน้าค่อยไป”

เลองทำหน้ายู่  เสียงซึ่งต่ำกว่ารัชชาตะหนึ่งคีย์พยายามบีบให้เล็กลงอย่างออดอ้อน “พี่ไอน์  น้องเลองขอโทษ”

“เรื่องของมึง”

“เอาจริงดิ  มึงยังโกรธกูอยู่เหรอวะ”

คนถูกถามเพียงแค่ใช้ดวงตาสีนิลมองตอบโดยไม่พูดอะไร  จงใจสร้างความกดดันจนเลองถึงกับปั้นสีหน้าไม่ถูก  ทว่าถัดจากนั้นเพียงไม่กี่วินาทีใบหน้าหล่อเหล่าก็ยกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์  ก่อนจะบอกด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบเป็นปกติ 

“เปล่า  กูมีธุระต้องทำ”

“รู้ไหมว่าเมื่อกี้พวกมึงทำกูเกือบหัวใจวาย  นึกว่าเลองจะโดนต่อยซะแล้ว” นิรัชที่ยืนมองอยู่เงียบๆมาตลอดเอ่ยปากพูดขึ้นมา

“มึงเห็นกูเป็นคนอย่างนั้นเหรอ” รัชชาตะเลิกคิ้วถามเสียงแปลกใจ

“ไม่ใช่ต่อยกัน  แต่กูโดนต่อยอยู่ฝ่ายเดียวเหรอ” เลองแย้งถามอย่างคับข้อง

“น่า  ไม่ทะเลาะกันก็ดีแล้ว”      

หลังจากนั้นประเด็นพูดคุยก็ถูกเปลี่ยนไปเป็นหัวข้ออื่น  พร้อมกันกับที่กลุ่มเพื่อนและตัวรัชชาตะเองเริ่มเคลื่อนขบวนกันออกจากห้องเรียนไปยังโรงอาหารทั้งๆอย่างนั้น

เมษาซึ่งที่นั่งอยู่ห่างไปถึงหน้าห้องไม่ได้มีเจตนาจะแอบฟัง  กระนั้นเขาก็ได้ยินที่พวกรัชชาตะคุยกันชัดเจนทุกถ้อยคำจนสามารถจดจำขึ้นใจได้

รัชชาตะย้ายออกมาอยู่คนเดียวแล้ว... 

แม้จะไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรนัก  แต่สำหรับเมษาที่ต้องอยู่ติดกับครอบครัวดุจนกน้อยในกรงที่ไม่เคยได้สยายปีกบินบนท้องฟ้าอย่างอิสระกลับแปลกใหม่เป็นอย่างมาก 

ทั้งที่เขากับรัชชาตะมีจุดร่วมเดียวกัน  แต่ดูเหมือนคนที่ก้าวนำหน้าจะเป็นอีกฝ่าย  คงเพราะลักษณะนิสัยที่แตกต่างกันราวกับคนละขั้ว  รัชชาตะกล้าคิดลงมือทำตามใจตัวเอง  เดินตามเส้นทางที่ตนเชื่อมั่น  ในขณะที่เขาเป็นคนขี้ขลาด  จึงได้แต่หยุดยืนอยู่กับที่แล้วแหงนมองสิ่งรอบตัวดำเนินไปโดยไม่กล้าเผชิญหน้ากับอุปสรรคตรงๆ

หากเขามีความกล้าสักนิด  ไม่ต้องมากมายแต่ได้สักเสี้ยวหนึ่งของรัชชาตะ  พาตัวเองออกจากที่แห่งนั้น  ไม่ต้องสนใจใยดีว่าใครจะเป็นอย่างไร  ละทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลังแล้วทำเพื่อตัวเขา  แค่เขา  ไม่เกี่ยวกับคนอื่น  แม้ว่าอาจเป็นแค่การหนีปัญหาที่ไม่ได้ช่วยแก้ไขอะไร  แต่อย่างน้อยก็อาจทำให้เขาหายใจได้โล่งกว่าตอนนี้ที่เหมือนกำลังจมอยู่ใต้ทะเลลึก

แต่ก็นั่นแหละ  เพราะพื้นฐานอุปนิสัยและสถานการณ์ที่ต้องเจอของเขากับอีกฝ่ายไม่เหมือนกัน  ปัจจัยแวดล้อมที่คอยถ่วงดุลก็มีน้ำหนักในใจของแต่ละคนไม่เท่ากันอีก  นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมคนคนหนึ่งสามารถทำสิ่งหนึ่งได้  แต่อีกคนกลับทำในสิ่งเดียวกันไม่ได้ 

กรณีของเขาเองก็เช่นกัน

ตกเย็นหลังบอกทำความเคารพคุณครูประจำวิชาสุดท้ายของวันแล้ว  เมษาก็รีบเดินไปหลังห้อง  เรียกรั้งคนที่กำลังลุกขึ้นแล้วทำท่าจะออกไปด้วยความรวดเร็วได้ทันอย่างฉิวเฉียด

“รัชชาตะ”

เจ้าของชื่อเอี้ยวตัวหันกลับมามอง  คิ้วเข้มผูกเป็นปมเล็กน้อยก่อนขานตอบ “เรียกไอน์ก็ได้”

“ถ้างั้น…ไอน์”

“ว่าไง”

“ช่วงที่นายหยุดไป  เราเก็บใบงานเอาไว้ให้” เมษาบอกแล้วรีบวิ่งลุกลี้ลุกลนกลับไปเอาแฟ้มเอกสารจากลิ้นชักใต้โต๊ะ  หยิบกระดาษสามสี่แผ่นออกมาส่งให้พลางพูดต่อ “แล้วก็วันนี้ต้องส่งการบ้านวิชาภาษาอังกฤษอาจารย์สั่งเมื่อคาบที่แล้ว”

มองจำนวนใบงานในมือระหว่างที่ขาดเรียนแล้วรัชชาตะก็ถึงแก่นิ่งไปพักหนึ่ง  ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แบบปลงตก

“รอได้ไหม  ฉันยังไม่ได้ทำ”

“ก่อนสี่โมงครึ่งนะ”

“สี่โมงก็พอ  ฉันมีธุระเหมือนกัน”

รู้แล้ว  นายเพิ่งบอกไปไง 

เมษาแอบโต้ตอบคำพูดนั้นคนเดียวในใจ

รัชชาตะคลี่ปึกกระดาษ  เลือกหยิบงานที่เป็นของวิชาภาษาอังกฤษมาซ้อนไว้ด้านบนสุดแล้วเลื่อนเก้าอี้ลงนั่งที่เดิม

ทั้งที่รัชชาตะทำให้เขาต้องอยู่รอรวบรวมงานเกือบทุกครั้ง  และเขาก็แอบค่อนขอดตำหนิอีกฝ่ายมาจนจะครบหนึ่งปีการศึกษา  แต่นี่กลับเป็นครั้งแรกที่เขาเต็มใจจะรอโดยไม่อิดออด  คิดเพียงแค่ว่าได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันนับเป็นโอกาสดีที่จะได้ทำความรู้จักกับเพื่อนร่วมห้องคนนี้มากยิ่งขึ้น   

อาจจะตั้งแต่ที่ได้รู้ว่าผู้ชายที่ชื่อรัชชาตะมีบางอย่างคล้ายคลึงกับตนเอง  ดวงตาซึ่งกั้นด้วยม่านความคิดเมื่อถูกเอ่ยถึงครอบครัวดึงดูดให้เกิดความสนใจอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน  การได้รู้ว่ามีคนแบบเดียวกันอยู่ใกล้ตัวไม่ได้ช่วยให้คลายความทุกข์ให้ลดน้อยลง  ทว่าก็ช่วยให้เมษารู้สึกว่าพระเจ้าไม่ได้ลำเอียงเกินไปนัก  นอกเหนือจากเขายังมีคนอื่นที่ต้องพบกับประสบการณ์ความเจ็บปวดเหมือนกัน

คราวนี้เมษาไม่ได้กลับไปนั่งที่แล้วสวมหูฟังตัดขาดจากโลกภายนอกระหว่างรอให้รัชชาตะมาสะกิดเรียกอย่างแต่ก่อน  เขาลากเก้าอี้ตัวที่อยู่ใกล้สุดมานั่งหันหน้าเข้าหาอีกฝ่าย  แต่เพราะเกรงว่าจะดูเหมือนตั้งใจตีสนิทเกินไปจึงเบี่ยงลำตัวหันออกด้านข้างเล็กน้อย  ใช้มือข้างถนัดเท้าคางแล้วเอ่ยด้วยท่าทางสบายๆ

“นายย้ายออกมาอยู่คนเดียวเหรอ” เมษาถามเรื่องที่เพิ่งได้ยินมาอย่างสนใจใคร่รู้

“ได้ยินมาจากไหน”

“เมื่อตอนพักเที่ยงเห็นนายกับเพื่อนคุยกัน”

รัชชาตะเหลือบมองบุคคลเบื้องหน้าที่จำได้แค่ใบหน้าเด่นสะดุดตาพ่วงด้วยตำแหน่งหัวหน้าห้อง  แต่นึกชื่ออย่างไรก็นึกไม่ออก  หรือก็คือไม่เคยพยายามระลึกอย่างจริงจังด้วยแววตาที่ฉายแววฉงน 

ถึงจะจำชื่อไม่ได้  แต่ก็รู้ว่าคนคนนี้ปกติแล้วมักจะทำหน้าเหม็นเบื่อ  พูดเสียงเย็นชา  ปฏิบัติต่อเขาด้วยการกระทำที่แสดงออกชัดเจนว่าการต้องมาเกี่ยวพันด้วยเป็นเรื่องน่ารำคาญ  แต่เพราะช่วยไม่ได้จึงต้องจำใจมาตลอด  ไม่รู้เหตุใดจู่ๆจึงมีท่าทีกระตือรือร้นถามนั่นถามนี่ขึ้นมา 

“ไม่ยักรู้ว่าคุณหัวหน้าห้องมีรสนิยมชอบแอบฟัง”

“ไม่จำเป็นต้องแอบฟังก็ได้ยิน  พวกนายคุยกันเสียงดังออกขนาดนั้น” คนตัวเล็กบอกปัดข้อกล่าวหาได้ลื่นไหลเป็นธรรมชาติ  แทบไม่พบความผิดปกติในน้ำเสียง 

รัชชาตะก้มหน้าลงเขียนใบงานต่อเมื่อคิดว่าอีกฝ่ายก็แค่บังเอิญรู้เข้าเลยถามไปตามเรื่องตามราวพอให้หายสงสัย  หาใช่สนใจในตัวเขาจริงๆอย่างที่คิด

“ใช่  เพิ่งย้ายเมื่อวันสองวันก่อน”

“ไม่กลัวเหรอ”

“กลัวอะไร”

“ที่ต้องอยู่คนเดียว”

“เอาจริงจังหรือพูดเล่น”

“แล้วแต่นายสิ”

เห็นอีกฝ่ายใจกว้างยอมเปิดทางให้ตอบได้อิสระเสียขนาดนี้  รัชชาตะจึงอดช้อนตามองคู่สนทนาที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอีกครั้งไม่ได้ 

จังหวะนั้นเองที่สบเข้าพอดีกับดวงตาสีน้ำตาลซึ่งมองตรงมาอย่างไม่หลบเลี่ยง  เสน่ห์จากนัยน์ตาโศกที่รัชชาตะเองก็บรรยายไม่ถูกว่าคืออะไรทำให้เขามองตอบอยู่นานอย่างเผลอไผล  ไม่รู้ว่าเพราะความงามที่ชวนให้ถลำลึกนั่นหรือไม่  คำตอบทีเล่นทีจริงซึ่งอุตส่าห์คิดเตรียมไว้กลบเกลื่อนก่อนหน้าจึงได้ถูกกลืนลงคอไปอย่างช่วยไม่ได้ 

“สิ่งที่มนุษย์กลัวที่สุดก็คือความไม่รู้” ร่างสูงนิ่งคิดไปพักหนึ่งอย่างชั่งใจ  ก่อนตัดสินใจกล่าวเสริมขึ้นมาอีกประโยค “แต่เวลาจะทำให้มนุษย์เรียนรู้ที่จะไม่กลัวอีก”

“ปกติพูดอะไรยากๆแบบนี้ตลอดเลยหรือเปล่า”

“เปล่า”

“.....”

“ก็แค่วิธีเลี่ยงตอบคำถามของฉัน”

แม้ว่าคนคนนี้ทำให้เขารู้สึกว่าไม่อยากโกหก  กระนั้นก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะต้องตอบตามที่คิดออกไปตรงๆ

“หมายความว่านายไม่อยากตอบสินะ”

“บิงโก”

“เป็นคำถามที่ถามไม่ได้เหรอ”

“ถามได้  แต่จะตอบไม่ตอบขึ้นอยู่กับฉัน”

การที่เจ้าตัวไม่อยากตอบคำถามของเขา  ถอดความให้เข้าใจได้ง่ายก็คือเขาไม่มีสิทธิ์ได้รู้นั่นเอง

วันนี้เมษาได้เรียนรู้นิสัยของอีกฝ่ายเพิ่มขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง  รัชชาตะดูเหมือนสบายๆและใกล้ชิดได้เพียงแค่เอื้อมมือคว้า  หากแท้จริงแล้วจะพบว่ามีกระจกใสที่แม้จะบางแต่แข็งแรงทนทานกั้นไว้อยู่อีกชั้นหนึ่ง  เข้าไม่ถึง  สัมผัสไม่ได้  หากเขาไม่อนุญาตเสียอย่าง  คุณก็ทำได้เพียงแค่จ้องมองด้วยตาเปล่าจากที่ของตัวเอง 

บทสนทนาควรจบลงแค่นั้นแล้วปล่อยให้บรรยากาศตกสู่ความเงียบเช่นปกติ  หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงยอมรามือแล้วปล่อยให้รัชชาตะทำงานของตัวเอง  ส่วนเขาก็เปิดเพลงฟังโดยไม่คิดจะสนใจอะไรทั้งนั้น  นอกจากรอนำงานที่รวบรวมจนครบแล้วไปส่งที่ห้องพักครู

แต่เมษาในตอนนี้ไม่อยากให้มันจบลงเพียงเท่านั้น  จึงได้พยายามดึงดันชวนอีกฝ่ายคุยต่อ  แม้ว่าดูจากสีหน้าแล้วชายหนุ่มจะไม่ได้อยู่ในอารมณ์นั้นเลยก็ตาม

“วันเกิดน้องสาวเป็นไงบ้าง”

มือที่กำลังจับปากกาเขียนหนังสือหยุดชะงัก

ครานี้รัชชาตะช้อนตามองคนถามด้วยสีหน้าที่ไม่สื่ออารมณ์ใด  นัยน์ตาสีดำดุจท้องฟ้ายามค่ำราวกับถูกเคลือบด้วยชั้นน้ำแข็งเจือด้วยความรู้สึกวาบวามอ่อนไหว  นั่นยิ่งช่วยยืนยันให้เมษามั่นใจว่าข้อสันนิษฐานทั้งหมดทั้งมวลที่มีต่อรัชชาตะตลอดหลายวันมานี้ของเขาไม่ได้แค่คิดไปเองคนเดียว

“เคยมีใครบอกไหมว่านายน่ารำคาญ”

“เพิ่งมีนายเมื่อกี้”

“เหรอ”

“วันนั้นเห็นนายบอกว่าแต่งเพลงให้เป็นของขวัญ  เราอยากรู้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง”

“ไม่รู้เหมือนกัน”

“คำถามนี้ก็ไม่อยากตอบเหรอ”

“คิดว่าไงล่ะ”

รัชชาตะก้มหน้าก้มตาทำงานที่ต้องส่งอย่างขะมักเขม้นจนผิดสังเกต  แต่เมษาดูออกว่าอีกฝ่ายก็แค่กำลังพยายามฝืนบังคับให้สมาธิจดจ่ออยู่กับแผ่นกระดาษ  เหมือนกลัวว่าหากเผลอวอกแวกไปสักเสี้ยววินาทีเดียว  คลื่นอื่นที่ไม่พึงประสงค์จะสามารถเข้ามาแทรกแซงพื้นที่ความคิด 

ศีรษะซึ่งปกคลุมด้วยเส้นไหมวาววับสีน้ำตาลอ่อนเอียงมองเจ้าของเครื่องหน้าสมบูรณ์แบบจนไร้ที่ติอย่างพินิจพิจารณา  เมษาค้นพบว่าเขาทั้งเข้าใจและไม่เข้าใจอีกฝ่าย  แต่เมื่อลองชั่งน้ำหนักดูแล้วเรื่องที่ไม่เข้าใจกลับมีมากกว่า  เหมือนว่าแท้จริงแล้วเขาไม่ได้เข้าใจอะไรในตัวอีกฝ่ายเพิ่มขึ้นเลย  ช่างเป็นตัวตนที่ชวนให้รู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่านใจ  ทั้งอย่างนั้นกลับสลัดความคิดที่มีต่ออีกฝ่ายออกไปไม่หลุด 

ขณะที่เวลาไหลผ่านไปเรื่อย  คนตรงหน้ายังคงจับปากกาเขียนตัวหนังสือทีละตัวอย่างแน่วแน่  เผลอแป๊บเดียวใบงานกว่าครึ่งก็เสร็จแล้ว  ไม่รู้ทำไมกลับทำให้เมษาร้อนรนแทนที่จะดีใจ 

มือเล็กฉวยโอกาสตอนที่รัชชาตะไม่รู้ตัวล้วงเอาโทรศัพท์มือถือออกมาเสียบหูฟังแล้วแสร้งกดเลือกเพลง  แต่ความจริงกำลังปรับโฟกัสแล้วแอบถ่ายรูปอีกฝ่าย  นี่เป็นอาชญากรรมอย่างหนึ่ง เมษาเคยไม่เห็นด้วยกับการแอบถ่ายรูปคนอื่นโดยไม่ได้รับความยินยอม  แต่ตอนนี้การกระทำของเขากลับเข้าข่ายที่ว่าว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง  เพียงเพื่อที่จะได้มีรูปของรัชชาตะเก็บไว้ดูสักรูป

ดวงหน้าคมเข้มมองอย่างไรก็เหมือนรูปสลัก  ถึงจะเป็นแค่เปลือกนอกที่มีวันโรยรา  แต่เมษาเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมเหล่าแฟนคลับของรัชชาตะจึงได้ลุ่มหลงในตัวอีกฝ่ายนัก 

การหลงใหลในสิ่งที่รู้ว่าไม่มีวันได้ครอบครองนั้นเป็นธรรมชาติของมนุษย์อยู่แล้ว  ดุจพระอาทิตย์กลางฟ้าซึ่งเปล่งรัศมีเจิดจ้า  คนบนพื้นที่ทำได้แค่แหงนมองต่างชื่นชมว่างามเป็นหนึ่งไม่มีสอง  แต่หากบังอาจเอื้อมมือไปคว้าจับก็จะถูกความร้อนแผดเผาจนตาย  ฟังดูแล้วก็คล้ายกับอิคารัสในตำนานเทพนิยายกรีกที่บินใกล้พระอาทิตย์จนเกินไปจึงทำให้เทพอพอลโลพิโรธ

นั่นอาจเป็นสาเหตุที่ต่อให้รัชชาตะอยู่ท่ามกลางวงล้อมฝูงชนมากมาย  แต่พอถึงเวลาเข้าจริงๆกลับไม่มีใครกล้าเฉียดกรายเข้าใกล้  ได้แต่เฝ้ามองอยู่ห่างๆแล้วเสพสุขกับช่วงเวลาเหล่านั้น  ดั่งกับมีข้อตกลงบางอย่างที่ไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า  ซึ่งแท้จริงแล้วอาจจะมีหรือไม่มี

รัชชาตะเป็นบุคคลระดับนั้น

ที่ผ่านมาเมษาไม่เคยรู้สึกถึงความไม่ธรรมดาเหล่านั้นจากรัชชาตะ  เขาเป็นหัวหน้าห้อง  มีหน้าที่รวมงานของเพื่อนไปส่งให้ครบ  นอกเหนือจากเรื่องเรียนก็ทำตามคำขอร้องจิปาถะของอาจารย์  วันๆยุ่งวุ่นวายมากพออยู่แล้ว  พอต้องเจอตัวปัญหาเลยคิดแค่ว่าน่ารำคาญและอยากทำงานให้จบๆไปเสียทีแค่นั้น 

กระทั่งเมื่อเร็วๆนี้ถูกสะกิดต่อมบางอย่างจนเกิดเป็นความสนใจ  ระหว่างรวบรวมข่าวสารถึงเพิ่งตระหนัก  ทันทีที่ยอมรับว่าอีกฝ่ายไม่ธรรมดา  ประสาทสัมผัสทั้งห้าที่เหมือนเป็นอัมพาตมาตลอดจึงค่อยรับรู้ว่าคนคนนี้แตกต่าง   

“อะ  เสร็จแล้ว”

เมษาถึงแก่สะดุ้ง  ด้วยอารามตกใจเขาเกือบทำให้ความพยายามสูญเปล่า  นับว่ายังโชคดีที่มีสติพอจะไม่ทำหลุดมือจนหล่นแตก  ไม่เช่นนั้นสมาร์ทโฟนอันทรงคุณค่าคงได้แหลกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปแล้ว 
   
“เรียบร้อยแล้วเหรอ” เขารับแผ่นใบงานมาเก้อๆ
   
รัชชาตะยิ้มเป็นเชิงรับคำก่อนถามกลับ “ไม่มีอย่างอื่นแล้วใช่ไหม”
   
“อืม  หมดแล้ว”

“ถ้าอย่างนั้นฉันไปล่ะ  ขอบใจที่อยู่รอ”
   
“ไม่เป็นไร”
   
ร่างสูงโบกมือลาก่อนหมุนตัวเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว

ภาพของแผ่นหลังกว้างที่ค่อยห่างไกลออกไปจนลับสายตานำพาความรู้สึกหวิวโหว่งในใจ  คลับคล้ายว่าเคยสัมผัสมาก่อนถึงขนาดเห็นเป็นเงาทับซ้อน  แต่ขุดค้นจากความทรงจำอย่างไรก็นึกไม่ออกว่าเกิดขึ้นที่ไหนและเมื่อไรกันแน่ 
   
เมษาถือกระดาษแผ่นนั้นเดินกลับไปยังโต๊ะของตัวเอง  ก่อนหน้าที่จะเอาไปใส่รวมกับงานของคนอื่นๆ  ไม่รู้นึกครึ้มอะไรจึงได้หยิบสมาร์ทโฟนเครื่องเดิมมากดชัตเตอร์ถ่ายเก็บไว้ในเครื่องอีกรูป  เวลาที่เหลือยังมีแก่ใจอุตส่าห์สร้างโฟลเดอร์แยกไว้ในเครื่องเสียดิบดี  ตั้งชื่อเฉพาะเจาะจงว่า “Eins” แล้วย้ายภาพเข้าไปใส่  เสร็จแล้วก็ยืนอมยิ้มดูรูปซึ่งมีเพียงสองรูปนั่นสลับไปมาอย่างพอใจอยู่คนเดียว 





Talk

สวัสดีค่ะทุกคน  เมย์เองค่ะ  สภาพเมย์ตอนนี้บอกได้เลยว่าเหนื่อยร่างจะแหลก  เนื่องจากเมย์ต้องปั่นตอนใหม่ไปพร้อมกับแก้ไขตอนที่ 3 ซึ่งทุกท่านเพิ่งได้อ่านไปอย่างกะทันหัน  สาเหตุไม่มีอะไรมากเลยค่ะ  เมย์ก็แค่กลับมาอ่านแล้วรู้สึกไม่ชอบ  เลยรื้อแก้ใหม่ซะเลย  หาเรื่องให้ตัวเองแท้ๆ 555555555

ช่วงแรกเนื้อเรื่องอาจจะเอื่อยๆหน่อย  ได้แต่หวังว่าทุกคนจะไม่เบื่อกัน  อยู่ด้วยกันก่อนอย่าเพิ่งไปไหนน้า~  รับรองว่ายิ่งอ่านจะยิ่งเจ้มจ้นแน่นอน  ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้าค่ะ  รักคนอ่านซัมเหมอ  :กอด1:


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-01-2020 22:48:59 โดย Emerald »

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 710
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ hunhan

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เจ้มจ้นจนกระอักไหมคะคุณเมย์555
ขอสารภาพตามตรงเลยค่ะว่าเราอ่านไประแวงไปมาก ด้วยความที่นิยายเรื่องๆเก่าๆคุณเมย์ทำเราช้ำใจเหลือเกิน
เหมือนกำลังหลอกล่อเราด้วยอะไรซักอย่าง ระแวงแต่ก็ยังอยากอ่านต่อ ฮือออ
เข้าเรื่องๆ อืม พฤติกรรมเก็บรูปภาพของน้องเมษนี้มีมาตั้งแต่นานแล้วเนอะ ไม่รู้จะเกี่ยวกับกับตอนเปิดไหม
แต่ปมของไอน์นี้กลัวใจตัวเอง ไม่อยากให้เป็นแบบที่ตัวเองคิด ถ้าเป็นจริงเรากระอักน่าดู  :hao7:
Eins?? ไอน์ สงสารเมษนะ คุยกับใครก็ไม่ได้ คงเก็บกดมากแม้กับแม่ก็ยังคุยไม่ได้ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมน้องถึงได้มีความรู้สึกบางไอน์ มันคงเป็นสิ่งที่น้องคิดว่าทำให้น้องไม่โดดเดี่ยว เฮ้ออ
รอติดตามต่อไปนะฮับ ยังไงคุณเมย์ก็สู้ๆนะ ยอมรับเลยว่าระแวงมากแต่ก็ยังอยากอ่านต่อเรื่องๆ ถึงจะกลัวล้มกลางทางก็เถอะ5555 รอตอนต่อไปค้าบ ไม่เบื่อๆ สู้ๆนะ :mew1:

ออฟไลน์ Emerald

  • ความลับไม่มีในโลก แต่ในโลกใบนี้ก็ยังมีความลับ ♥
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +143/-1
04
- Flashlight -


หลังจากกลับบ้านมาอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเรียกความสดชื่นแล้ว  เมษาก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนุ่มด้วยท่าทางผ่อนคลาย  เส้นผมสีอ่อนยังมีหยดน้ำเกาะพราวจนเปียกชื้น  แต่เพราะคร้านจะเช็ดแล้วจัดทรงให้ดี  เขาเลยแค่ปล่อยทิ้งไว้แบบนั้นแล้วรอให้แห้ง  ส่วนตัวเองก็หยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมากดดูรูปภาพเมื่อตอนเย็นเสียอีกสักรอบหนึ่งด้วยสีหน้าครุ่นคิด 

อึดใจต่อมานิ้วเรียวก็กดเข้าแอปพลิเคชันสีน้ำเงินในเครื่องซึ่งปกติแล้วไม่ค่อยได้เล่นเท่าไรนัก  มักจะออนไลน์ไว้สำหรับแชทคุยงานหรือติดต่อกับเพื่อนเฉพาะบางคนมากกว่า  หาได้ยากที่เขาจะเข้าไปกดไลค์ไปคอมเมนต์อะไรในโพสต์คนอื่น  แม้แต่หน้าวอลยังปล่อยร้างขนาดที่หยากไย่แย่งกันจองคนละมุม  โพสต์ล่าสุดคือเกือบสองเดือนที่แล้ว  ช่างบ่งบอกความถี่ในการใช้งานได้เป็นอย่างดี

บนหน้าฟีดปรากฏรูปภาพและข้อความของเพื่อนหลายคน  ทว่าหนึ่งในจำนวนพวกนั้นไม่มีคนที่เขาต้องการอยู่  เมษาพิมพ์ชื่อคนในความคิดลงไปแล้วกดค้นหา

‘Ratchata  Siwaraksakul’ 

โปร์ไฟล์ของรัชชาตะขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งดังคาด

ปกติแล้วการค้นหาจะถูกคัดกรองตามความเข้ากันของข้อความ  ต่อด้วยยอดจำนวนผู้ติดตามและการเลือกเข้าชมโปรไฟล์คนคนนั้นว่ามากน้อยเพียงใด 

แต่เนื่องจากเมษาเคยแอดเพื่อนทุกคนในห้องเมื่อนานมาแล้วเพราะบทบาทหน้าที่ในฐานะหัวหน้าห้องที่ต้องสร้างกลุ่มไว้สำหรับกระจายข่าวสารและตอบปัญหาต่างๆเกี่ยวกับเรื่องการเรียน  ผลพลอยได้คือรัชชาตะเองก็เป็นหนึ่งในคนที่อยู่ในรายชื่อเพื่อนของเขาด้วย  เมษาเลยถือโอกาสใช้ความโชคดีนี้เลื่อนอ่านข้อความทุกอันบทหน้าวอลของรัชชาตะอย่างถือวิสาสะ 

อีกฝ่ายเป็นคนกว้างขวางกว่าที่คิด  ในแต่ละวันล้วนเต็มไปด้วยรูปถ่ายและคลิปวิดีโอที่ถูกแท็กจากคนมากหน้าหลายตา 

เมษาค่อยๆเลือกดูทีละโพสต์จากบนลงล่าง  ส่วนใหญ่เป็นคลิประหว่างการแสดงที่ถูกอัดไว้โดยเพื่อนฝูงหรือแฟนคลับตามร้านกลางคืน  ถึงจะเป็นแค่คลิปซึ่งถูกถ่ายด้วยฝีมือสมัครเล่นซึ่งมีเสียงรบกวนดังแทรกอยู่ตลอด  แถมภาพก็สั่นและมืดจนมองเห็นได้ไม่ชัด  หากเมษากลับไม่เกี่ยงที่จะดูทั้งหมดอย่างใจเย็น

เวลาเกือบสองชั่วโมงทำให้เขาได้รู้จักผู้ชายคนหนึ่งที่ชื่อรัชชาตะ  แต่ว่ารัชชาตะคนนี้ไม่ได้ทำตัวเอื่อยเฉื่อย  ชอบโดดเรียน  และลืมส่งงานเป็นประจำ  แต่เป็นรัชชาตะที่เล่นกีต้าร์อย่างจริงจังจนเหงื่อไหลอาบท่วมร่าง  ทุ่มเททุกอย่างลงบนปลายนิ้วเพื่อเล่นแต่ละโน้ตออกมาเป็นเพลงที่ราวกับตั้งใจจะกระชากวิญญาณคนฟัง 

เขาคือรัชชาตะไม่ผิดแน่ 

แต่เป็นรัชชาตะที่เมษาไม่เคยรู้จัก

ผู้ชมที่ยืนแออัดกันอยู่ข้างล่างของเวทีดังกับหลุดเข้าไปอีกโลกหนึ่ง  บ้างป้องปากตะโกน  บ้างยกมือกระโดด  บ้างโยกศีรษะไปตามจังหวะดนตรี  ราวกับว่าถูกท่วงทำนองเหล่านั้นควบคุมเอาไว้  บรรยากาศที่เหมือนคนสี่คนบนเวทีเป็นสมมติเทพผู้กุมชะตาของมนุษย์ชวนให้รู้สึกถึงมนตร์ขลัง  ทว่าสายตาของเมษาล้วนจับจ้องอยู่ที่คนคนเดียว 

รัชชาตะตอนอยู่บนเวทีช่างเปล่งประกาย 

หลังคลิปวิดีโอสุดท้ายจบลง  เมษาก็เปลี่ยนไปดูรูปภาพในอัลบั้มที่มีจำนวนไม่น้อยกว่าสามร้อยรูปพร้อมกับเซฟลงเครื่องแล้วอ่านข้อความที่มีทั้งคนอื่นเขียนและเจ้าตัวเขียนเองไปเพลินๆ  เสร็จแล้วก็มาไล่ดูโพสต์เก่าๆว่ารัชชาตะเคยลงอะไรเอาไว้บ้าง 



‘ช่วงนี้ฟังบ่อย  แปะไว้ชวนคนอื่นให้ลองฟังด้วยกัน’
(ลิงก์เพลง)


Leon  Montague: ปากบอกชวน  แต่บังคับกรอกหูกูทุกวัน
Ratchata  Siwaraksakul: @Leon  Montague (อีโมติคอน)
Nirach  Watcharachot: เพลงนี้อีกแล้วเหรอ??
Ryo Takahisa: (อีโมติคอน)
Ratchata  Siwaraksakul: @Ryo Takahisa  เหมือนมีอะไรอยากพูดนะ
Leon  Montague: @Ratchata  Siwaraksakul  หยุดส่งลิงก์มาสแปมกูได้แล้ว!
Ryo Takahisa: @Ratchata  Siwaraksakul  ...ไม่พูดดีกว่า
Nirach  Watcharachot: @Ratchata  Siwaraksakul  ทำไมมีแค่กูที่มึงไม่ตอบ
Ratchata  Siwaraksakul: (อีโมติคอน)


เขาไม่ลังเลเลยสักนิดที่จะกดเข้าไปฟัง  เมื่อเห็นโพสต์ทำนองนี้ก็จะตามไปดูทุกครั้งไม่ยอมพลาด       

เมษาตระหนักในที่สุดว่าเขากลายเป็นหนึ่งในแฟนคลับของรัชชาตะไปเสียแล้ว  ระหว่างนั้นก็อดที่จะตำหนิพระเจ้าในใจไม่ได้ว่าช่างอยุติธรรมเกินไป  จำเป็นด้วยเหรอที่ต้องสร้างสรรค์คนคนหนึ่งให้น่าหลงใหลขนาดนี้

ก็อก...ก็อก...

เสียงเคาะประตูยามวิกาลดังขึ้นขัดจังหวะความสุขของเมษาให้ต้องหยุดลง 

ยังไม่ทันเอ่ยปากอนุญาตหรือแม้แต่เดินไปปลดล็อกลูกบิด  ศศินใช้กุญแจสำรองไขประตูแล้วเปิดเข้ามาทันทีเหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดา  การรุกล้ำความเป็นส่วนตัวกันอย่างโจ่งแจ้งสำหรับชายคนนี้แล้วคงไม่เคยคิดว่าการกระทำของตัวเองมีปัญหาที่ตรงจุดไหน  ยังมีอะไรที่อีกฝ่ายไม่กล้าทำอยู่อีก

“ยังไม่นอนอีกเหรอ”

“.....” เมษาไม่ตอบ

เขาถอดหูฟังที่เสียบอยู่ออกจากโทรศัพท์พลางจ้องผู้มาเยือนไปด้วย 

ขณะดูคลิปเมษาจำเป็นต้องใช้สมาธิเพ่งฟังเสียงเป็นอย่างมากเนื่องจากเสียงกรี๊ดรอบข้างดังกลบแทบตลอดทั้งคลิป  เพื่อที่จะให้สามารถแยกแยะเสียงกีต้าร์ของรัชชาตะได้อย่างที่ตั้งใจ  หูฟังจึงเป็นอุปกรณ์ช่วยเหลือเพียงหนึ่งเดียวที่เขานึกถึง  ไม่ต้องกังวลด้วยว่าหากเปิดดังเกินไปเสียงจะเล็ดลอดทำให้หนวกหูข้างนอก

บทเรียนคราวที่แล้วทำให้เมษาไม่กล้าวู่วาม  เพียงใช้ดวงตาโศกจ้องมองโดยไม่ได้ปริปากเอ่ยอะไร  ใครจะรู้เล่าว่าหากวันนี้ศศินเกิดบันดาลโทสะจนรุดเข้ามาบีบคอเขาแล้วไม่ยอมคลายมือออกขึ้นมาเหมือนครั้งที่แล้ว  ดวงเขาคงถึงฆาตต้องตายตกอยู่ภายใต้เงื้อมมืออีกฝ่ายเป็นแน่  เพื่อลดความเสี่ยงในเรื่องนั้นการเลือกสงบปากสงบคำจึงนับว่าเหมาะสม

“แผลเป็นอย่างไรบ้าง”

“.....”

“ขอโทษที่ตอนนั้นฉันโมโหจนขาดสติ  หวังว่าเธอจะไม่ติดใจ” 

เมษานิ่งเงียบไม่โต้ตอบ  ปล่อยให้อีกฝ่ายพูดพร่ำคนเดียวในขณะที่เขาเพียงแค่ยันตัวขึ้นนั่งฟังด้วยสีหน้าราบเรียบ
   
“จะไม่พูดกับฉันหน่อยเหรอ”

“.....”

“หรือว่ายังโกรธอยู่”

“.....”

“ฉันอยากฟังเสียงเธอ”

ระหว่างที่พูดก็ถือโอกาสเดินไปหย่อนตัวนั่งลงบนเตียงข้างกันอย่างแนบเนียน  ก่อนใช้มือลากไปตามแนวขากรรไกรแล้วบดริมฝีปากระเรื่อให้เปิดออกด้วยนิ้วหยาบโลน  ศศินอาศัยชั่วเวลาสั้นๆนั้นในการพิศมองลำคอระหงส์ด้วยหมายตรวจตรา  แม้รอยจะจางลงมากแล้ว  ทว่าก็ยังชัดพอจะเห็นได้ด้วยตาเปล่า 

ศศินออกแรงบีบซ้ำตรงรอยเดิมด้วยแรงที่กะแค่พอให้เกิดรอยช้ำ  ยังผลให้เจ้าของร่างถึงแก่สะดุ้งด้วยอารามตกใจ  ก่อนที่ร่างกายจะออกอาการสั่นเทาเล็กน้อย  ช่วงหลังมานี้เขาเริ่มรู้สึกติดใจที่จะได้เห็นร่องรอยตำหนิต่างๆบนผิวขาวเนียนที่ได้กกกอด  มันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก  คนทั่วไปเมื่อเห็นอะไรที่สวยงามย่อมอยากที่จะทะนุถนอมประคองไว้ในอุ้งมือ  แต่สำหรับเขายิ่งได้เห็นอะไรที่สวยงามก็ยิ่งพานอยากทำลายมากขึ้นเท่านั้น

ตอนที่ถูกผลักให้นอนลง  ร่างแบบบางได้แต่นิ่งเฉยไม่กล้ากระดิกตัว  มีเพียงหน้าอกซึ่งขยับขึ้นลงเท่านั้นที่ช่วยให้แยกแยะออกได้ว่าเป็นมนุษย์  หาใช่ตุ๊กตากระเบื้องเคลือบแสนสวย

ขณะยอมให้สัมผัสเอาตามใจชอบ  เมษาพยายามข่มกลั้นอาการคลื่นเหียนที่ทำเอาหน้ามืดเต็มทน  ได้แต่ภาวนาในใจไปพร้อมกันว่าอยากให้ศศินจากไปเสียที  ต่อให้แสร้งทำอ่อนโยนกับเขาอย่างไรก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงที่ว่าชายคนนี้ขืนใจเขามาแล้วหลายครั้ง  ความรู้สึกที่มีต่ออีกฝ่ายล้วนบรรยายได้แค่ว่าขยะแขยงและรังเกียจเหลือทน

“ฉันรักเธอ” 

มือข้างเดิมกับที่สำรวจไปทั่วร่างกายเขาอย่างย่ามใจเชยคางมนให้เงยขึ้น  ก่อนจะโน้มตัวลงมาหมายประทับจูบแสดงความเป็นเจ้าของ 

ทว่าคนที่ยังพอมีสติหลงเหลือแม้จะไม่ครบถ้วนดีพลันเบี่ยงใบหน้าหนีได้ทันท่วงที  ทั้งที่คิดว่าไม่อยากขัดใจจนถูกทำร้ายเหมือนครั้งก่อน  แต่บางส่วนในใจกลับต่อต้านไปโดยไม่ฟังคำสั่ง  เมษายันตัวศศินที่แทบโอบเขาไว้ทั้งร่างให้ถอยห่าง  รู้สึกอึดอัดใจและปั้นสีหน้าไม่ถูกกับท่าทีครึ่งๆกลางๆของตัวเอง   

ศศินไม่ได้ถือสาการกระทำเหล่านั้น  ถึงอย่างไรเมษาก็ไม่เคยยินยอมให้เขารักใคร่โดยสมัครใดอยู่แล้ว  นับแต่ครั้งแรกที่ได้ครอบครองร่างเยาว์วัย  แม้ต้องยอมสังเวยมโนธรรมเยี่ยงมนุษย์แล้วหันหน้าเขาสู่หนทางนอกรีต  การปะทะคารม  การใช้กำลังข่มเหง  และการฝืนยัดเยียดความรักของเขาให้กับอีกฝ่ายก็กลายเป็นเรื่องสามัญธรรมดาไป  หากวันไหนที่เมษาเข้ามาออดอ้อนออเซาะ  นั่นต่างหากเรียกว่าผิดปกติ

“คืนนี้ฉันขอกอดเธอได้ไหม” ศศินเอ่ยพร้อมรวบตัวเมษาเข้ามาไว้ในอ้อมแขนอย่างไม่ละความตั้งใจ  ก่อนใช้เสียงแหบพร่ากระซิบริมหูเล็ก “พอเช้าแล้วจะรีบไป”

“.....”
   
เมษายังคงใช้ความเงียบแทนคำตอบ
   
หากเขาตกลงไม่ว่าจะด้วยวาจาหรือภาษากาย  เกรงว่าเปลือกนอกที่ใช้ห่อหุ้มศักดิ์ศรีอันด้อยค่าของเขาที่เพียรพยายามรักษาไว้อย่างสุดความสามารถมาตลอดจะถูกกะเทาะออก  เขาจะกลายเป็นหนึ่งในผู้สมรู้ร่วมคิดการกระทำหยาบช้าโดยปราศจากข้อแก้ตัว  ดิ้นรนสลัดอย่างไรก็ไม่มีวันหลุด  ข้อหาทรยศหักหลังมารดาจะกลายเป็นตราบาปประทับติดอยู่ในใจเขาไปชั่วชีวิต
   
ดังนั้นเพื่อปกป้องจิตใจและร่างกายที่แตกร้าว  ทางเลือกของเมษาจึงมีเพียงการเพิกเฉยต่อสถานการณ์ตรงหน้า  ไม่โวยวายขัดขืน  แต่ก็ไม่ได้โอนอ่อนผ่อนตาม  แค่นอนนิ่งๆแล้วจินตนาการว่าร่างกายนี้เป็นแค่ภาชนะกลวงเปล่า  หาได้สลักสำคัญพอที่จะให้ค่า

ทุกครั้งที่มือกร้านลูบไล้ผิวกายภายใต้สาบเสื้อ  เมษาคล้ายเห็นภาพผิวหนังตรงช่วงบริเวณนั้นของตนหลุดลอกออกจนเผยให้เห็นชั้นเนื้อแดงสดที่มีน้ำเหลืองไหลเจิ่ง  นอกจากสีของหนองที่ชวนให้สะอิดสะเอียนแทบอยากเบือนหน้า  กลิ่นเองก็ย่ำแย่ไม่จากต่างอะไรจากมูลสัตว์ 

พอคิดว่าแร้งตัวหนึ่งต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงมากมายเพียงเพื่อแลกกับการได้ฉีกทึ้งซากเน่า  จู่ๆเมษาก็รู้สึกอยากหัวเราะเสียงดังให้กับเรื่องชวนหัวนี้ขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ

กระนั้นในความเป็นจริงเขากลับเพียงแค่เหม่อมองเพดานห้องซึ่งถูกปูด้วยฝ้าสีขาว  สมองเอาแต่ไพล่นึกถึงวันพรุ่งนี้ด้วยความตื่นเต้น  หากมีโอกาสได้คุยกับคนคนนั้นอีกจะพูดเรื่องอะไรด้วยดี 

ดนตรี? 

ศิลปินในดวงใจ? 

อาหารจานโปรด? 

สีที่ชอบ? 

งานอดิเรกอื่นๆนอกจากกีต้าร์?

ช่างเถอะ 

เพราะไม่ว่าเรื่องอะไร  ล้วนแล้วแต่มีความหมายพิเศษต่อเขาทั้งสิ้น  ขอแค่เป็นเรื่องที่รัชชาตะพูด  เขาย่อมยินดีที่จะฟังอย่างแน่นอน




∞  ∞  ∞  ∞  ∞  ∞  ∞
   



แต่ละวันผ่านไปเรียบเรื่อยในลักษณะนั้นไม่มีอะไรหวือหวา 

ทุกครั้งที่ตามทวงงานจากรัชชาตะ  เมษาจะอาศัยช่วงเวลานั้นชวนอีกฝ่ายคุยด้วยความสนอกสนใจยิ่ง  แต่เนื่องจากไม่ใช่เพื่อนในกลุ่มที่ตัวติดกันตลอดเวลาเหมือนกับสามคนนั้น  ทำให้เขาสามารถยื้อเวลาของรัชชาตะให้อยู่กับตัวเองได้แค่สัปดาห์หนึ่งรวมแล้วไม่ถึงสองชั่วโมง  เทียบสัดส่วนกับหนึ่งร้อยหกสิบแปดชั่วโมงแล้วช่างน้อยนิดจนน่าใจหาย 

เมษาคิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไรให้ได้อยู่ด้วยกันมากขึ้นอีกนิด  เพราะแม้จะรู้สึกสนิทใจกับรัชชาตะ  แต่เขากลับค่อนข้างไว้ตัวกับเพื่อนคนอื่น  ไม่เคยมีความคิดอยากจะเป็นเพื่อนกับใคร  แถมกลุ่มของรัชชาตะเองก็สนิทกันจากงานอดิเรกเล่นดนตรีแล้วทำวงมาด้วยกัน  คนที่ไม่มีความสามารถอะไรเลยแบบเขาไม่มีทางแทรกซึมเข้าไปในโลกสว่างไสวใบนั้นได้อยู่แล้ว   

“Let me not to the marriage of true minds

Admit impediments. Love is not love

Which alters when it alteration finds,

Or bends with the remover to remove:”

บทกวีชื่อดังที่ถูกถ่ายทอดโดยมิสโอลีเวีย  คุณครูสาวจากประเทศซึ่งมีฝนตกทุกฤดูกาลผ่านสำเนียงรื่นหูพร้อมกับถอดความด้วยถ้อยคำที่เข้าใจง่ายช่วยดึงความสนใจจากเมษาที่เอาแต่คิดเรื่องของรัชชาตะให้ได้สติกลับคืนมา  เขาควรจะให้ความสำคัญกับบทเรียนตรงหน้าก่อนจึงจะถูก

ตอนนี้เป็นคาบเรียนวิชาภาษาอังกฤษที่เมษาโปรดปราน  ถึงผลการเรียนของเขาจะดีเด่นจนครูหลายท่านชื่นชม  แต่ภาษาอังกฤษกลับเป็นหนึ่งในไม่กี่วิชาที่เมษาเรียนแล้วรู้สึกมีความสุข 

เขาไม่ได้พยายามเรียนรู้ภาษาอื่นเพราะปรารถนาจะร่วมมือกับมนุษยชาติในการสร้างหอคอยบาเบล  แค่เคยได้ยินคำพูดที่บอกว่าภาษาคือหนึ่งในกุญแจหลายดอกที่จะช่วยให้สามารถไขประตูสู่โลกใบที่แตกต่างไปจากเดิม  นั่นทำให้เมษาตระหนักว่าตนไม่ควรปล่อยให้ความคิดที่สมควรเป็นอิสระที่สุดต้องถูกจำกัด  ดังนั้นเขาจึงตั้งใจเรียนภาษาเพื่อที่จะทำลายกำแพงลงให้ได้สักชั้นหนึ่งก็ยังดี

“O, no! it is an ever-fixed mark,

That looks on tempests and is never shaken;

It is the star to every wandering bark,

Whose worth’s unknown, although his height be taken.”

“These sentences...”

ขณะที่มิสโอลีเวียกำลังจะอธิบายต่อ  สายตาบังเอิญเหลือบไปเห็นร่างสูงเด่นซึ่งกำลังสวมหูฟังและก้มหน้าเขียนอะไรบางอย่างในสมุดจดโดยไม่คิดปิดบังเข้าพอดี  นานๆทีถึงยอมเข้าคลาสเรียนแต่กลับมานั่งฟังเพลงต่อหน้าหล่อนเสียโจ่งแจ้ง  เห็นดังนั้นความรู้สึกไม่พอใจก็ชักนำให้ไม่อาจปล่อยผ่าน  จำต้องเรียกเจ้าตัวด้วยน้ำเสียงที่เข้มกว่าเคย

“Mr.Ratchata”

“Yes?”

เรียกเพียงครั้งเดียวก็ขานตอบ  ดูเหมือนว่ารัชชาตะจะไม่ได้เปิดเพลงดังขนาดตัดขาดจากเสียงรอบข้างเสียทีเดียว  นั่นช่วยลดความหงุดหงิดให้ครูสาวได้เล็กน้อย

“While I’ve been reading Sonnet116’s William Shakespeare, what are you listening to? (ระหว่างที่ครูกำลังอ่าน Sonnet116 ของวิลเลียม เชกสเปียร์  คุณกำลังฟังอะไรคะ)”

“Fucking Perfect” รัชชาตะตอบพร้อมกับระบายยิ้มยียวนอย่างที่มักทำ

เสียงหัวเราะครืนดังแทบจะพร้อมเพรียงกันทันทีหลังจากที่รัชชาตะตอบชื่อเพลงแบบไม่สะทกสะท้าน  คาดว่ามิสโอลีเวียก็คงคิดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำหยาบออกมาจากปากนักเรียนชัดเจนถึงขนาดนี้  จึงได้มีท่าทีตกตะลึงจนแก่ชะงักไป

ท่ามกลางบรรยากาศจอแจจากเพื่อนร่วมห้องที่หัวเราะและโห่แซว  เมษาจำได้ทันทีว่านั่นเป็นเพลงที่อีกฝ่ายเคยโพสต์ลงหน้าวอล  และตอนนี้ก็ได้ถูกเพิ่มลงในลิสต์เพลงที่เขาฟังเป็นประจำเรียบร้อยแล้ว

“Please be quiet. (ช่วยลดเสียงลงด้วยค่ะ)”

เพียงไม่กี่วินาทีต่อมาห้องเรียนก็กลับคืนสู่ความสงบเช่นเดิม 

“Mr.Ratchata, stand up and explain the meaning. (ส่วนมิสเตอร์รัชชาตะ  ลุกขึ้นแล้วแปลโคลงท่อนเมื่อกี้ค่ะ)”

คนถูกสั่งลุกขึ้นยืนแล้วมองตรงไปยังโปรเจ็กต์เตอร์หน้าห้องอย่างไม่อินังขังขอบ  เนื่องจาก Sonnet116  ไม่ได้ถูกเขียนลงในหนังสือแบบเรียนจึงไม่มีให้อ่าน  เป็นมิสโอลีเวียที่หาเพิ่มเติมมาเองเพื่อจูงใจนักเรียนให้สนุกกับการเรียนมากขึ้น  หากไม่นับเรื่องความเข้มงวดกวดขันทั้งที่เพิ่งอยู่ในวัยสาว  หล่อนนับเป็นคุณครูที่เอาใจใส่นักเรียนและน่านับถือมากทีเดียว 

รัชชาตะกวาดตาอ่านทวนโคลงที่ครูสาวเพิ่งอ่านไปสักครู่  ก่อนแปลด้วยถ้อยคำง่ายๆอย่างคล่องแคล่วไม่มีติดขัด  แม้จะไม่ได้สละสลวยดังเจ้าของภาษา  แต่กลับฟังแล้วเข้าใจได้ทันทีโดยไม่ต้องผ่านการตีความหมายซ้ำอีกครั้งหนึ่ง

เมื่อจบแล้วดวงตาคมก็ส่งสายตามองไปยังคุณครูเป็นเชิงถามว่าเขาสามารถนั่งได้หรือยัง  ซึ่งหล่อนก็เข้าใจนัยแฝงนั้นจึงเอ่ยบอก

“Read next. (อ่านต่อเลยค่ะ)”

ชายหนุ่มแอบลอบถอนหายใจเหนื่อยหน่าย  แต่กระนั้นก็ยอมอ่านโคลงด้วยน้ำเสียงราบเรียบแตกต่างจากมิสโอลีเวียที่มีการใส่ลูกเล่นเน้นหนักเบาลิบลับ  พอโดนเพื่อนแกล้งท้วงว่าได้ยินไม่ชัด  เขาก็เพิ่มระดับเสียงอันดังจนไม่มีใครกล้าท้วงอะไรอีก 

เมษาเอี้ยวหันตัวไปมองคนที่กำลังยืนอ่านโคลงไม่ยอมละสายตา  ทั้งยังไม่ยอมพลาดโอกาสที่จะกดบันทึกเสียงแหบห้าวนั้นลงในโทรศัพท์มือถือเอาไว้เพื่อฟังซ้ำ 

“Awesome, sit down. (เยี่ยมมาก  นั่งลงได้ค่ะ)”

“Thank you”

“But I have a question. What do you think about this sonnet? Agree with him? (ถ้าอย่างนั้นครูมีคำถามว่าคุณคิดอย่างไรกับโคลงบทนี้คะ  เห็นด้วยกับเชกสเปียร์ไหม)”

ร่างสมส่วนซึ่งหย่อนก้นลงบนเก้าอี้แล้วเงียบไปกับคำถามที่ถูกโยนมาโดยไม่ทันตั้งตัว 

“This question doesn’t have a fixed answer. I just want to listen to your opinion. (คำถามนี้ไม่มีถูกผิดค่ะ ครูแค่อยากฟังความเห็นของคุณ)” 

รัชชาตะเอาแต่เงียบจนพานทำให้เพื่อนทุกคนพากันร่วมลุ้นว่าประโยคแบบใดจะออกมาจากปากชายหนุ่มที่ใครหลายคนต่างถวายความรักให้อย่างไม่มีเงื่อนไข

ขณะที่ทุกสายตาจับจ้องไปทางเขาอย่างเฝ้ารอคำตอบ  เจ้าตัวกลับมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างครุ่นคิด  ราวกับว่าถ้าหากไม่ทำแบบนั้นจะไม่อาจเรียบเรียงความคิด  ก่อนชักสายตากลับมาแล้วเอ่ยในที่สุด

“It could be yes or no (อาจทั้งใช่หรือไม่ใช่)”

“.....”

“Who knows?”






Talk

สวัสดีอีกครั้งค่ะทุกคน  วันนี้เมย์มาลงเร็วหน่อย  กลัวว่าจะรอนานกัน  สารภาพว่าช่วงนี้หมกมุ่นกับภาพคาแรกเตอร์ของรัชชาตะกับเมษามาก  เมย์จ้างเพื่อนให้ช่วยวาดตัวจิบิให้  ออกมาน่ารักจนเจ็บหัวใจไปหมด อยากเอามาอวดมากเลยค่ะ แต่ต้องหยิกแขนตัวเองไว้เพราะคาแรกเตอร์ที่ให้วาดในนิยายยังไม่ถึงช่วงเวลานั้น  เพราะงั้นก็รอกันก่อนน้า ได้เห็นทั้งคู่แน่นอน

สำหรับที่มีคอมเมนต์ถามมานะคะว่าเรื่องนี้จะเจ้มจ้นจนกระอักอีกไหม ขอตอบเลยค่ะว่ากระอักแน่นอน ถ้าเต็มสิบเมย์ให้คะแนนความกระอักของพี่เทวดาหนูติที่ 7 ส่วนเรื่องนี้ประมาณ 9 เป็นเรื่องที่เมย์ตัดสินใจจะเขียนสิ่งที่อยากเขียนจริงๆโดยไม่ปรับพล็อตให้ซอฟต์ลงเหมือนเรื่องก่อน แต่จะเป็นคนละแนวกัน รัชชาตะเมษาจะออกดราม่าบีบหัวใจมากกว่าดราม่าน้ำตาแตกค่ะ รอบนี้อาจจะไม่ต้องเตรียมทิชชู่(มั้ง)กันก็ได้นะคะ

ส่วนชื่อเล่นของรัชชาตะคือ Eins (ไอน์ส) ที่แปลว่าเลขหนึ่งในภาษาเยอรมัน เมย์ลดรูปของการเขียนลงให้เหลือ ไอน์ เพราะมองว่ามันจะยาวไป  และคิดว่าการออกเสียงตัว s ลงท้ายในชื่อค่อนข้างยาก  ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจน้า  เมย์ไม่ได้เขียนผิดแต่ว่าจงใจเองค่ะ

เอาล่ะ  ตอบทุกประเด็นที่น่าจะพอคลายความสงสัยลงได้บ้าง(หรือเปล่า) มาพูดถึงตอนนี้ดีกว่า หลายคนน่าจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่างบ้างแล้วทั้งในตัวเมษาและในตัวรัชชาตะ ถ้าอยากรู้ว่ามันคืออะไรและจะเป็นยังไงต่อต้องรอติดตามตอนต่อไปปปปป (หัวเราะชั่วร้าย) สำหรับลิงค์เพลงที่รัชชาตะแปะคือเพลง Heroes of Our Time ของ DragonForce และที่ตอบมิสโอลีเวียในคาบคือ F**kin' Perfect ของ P!nk  ในแต่ละตอนจะมีพูดถึงเพลงอยู่เรื่อยๆ (แหงละ ก็รัชชาตะเล่นดนตรี) เมย์จะคอยบอกให้ในทอล์กละกันเนอะว่าเป็นเพลงไหนบ้าง  เผื่อทุกคนสนใจอยากฟังกันว่าหนุ่มๆเขาฟังอะไรกันอยู่

วันนี้พูดมากเหลือเกิน หวังว่าจะไม่รำคาญกันน้า ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์และทุกกำลังใจนะคะ ฝากแท็ก #เมษาโง่ ในทวิตด้วยนะคะ เหงาอะ... แงงงงงงงงง เอาเป็นว่าไว้เจอกันใหม่ตอนหน้าค่า

 :bye2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-02-2020 14:31:41 โดย Emerald »

ออฟไลน์ hunhan

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
สารภาพตามตรงว่าอ่านทอล์คคุณเมย์แล้วเราใจแป้ว แต่เราอยากให้กำลังใจคุณ555
อยากไปคุยในทวิตนะ แต่ไม่กล้าคุย5555 สู้ๆต่อไปนะคะ รออยู่ :impress2:

ออฟไลน์ TheDoungJan

  • ขอบคุณนักเขียนที่คนที่สร้างทุกตัวละครขึ้นมานะคะ(♡˙︶˙♡)
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
หลังจากอ่านทอล์คแล้วขออนุญาตเตรียมทิชชู่ไว้เผื่อแล้วกันนะคะ

ออฟไลน์ Emerald

  • ความลับไม่มีในโลก แต่ในโลกใบนี้ก็ยังมีความลับ ♥
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +143/-1
05
- Painkiller -



ผลของการตอบคำถามอย่างถือดี

หลังจบคาบเรียน  แม้จะยังคงถูกมิสโอลีเวียเรียกไปติเตียนเรื่องที่นั่งฟังเพลงระหว่างสอนอีกหลายประโยค  ทว่าหล่อนดูไม่ได้ติดใจอะไรนักผิดจากที่คาด  ลองถ้าเป็นครูท่านอื่นคงถูกหมายหัวไปอีกนาน  แต่หล่อนเพียงแค่ใช้สายตาคาดโทษจ้องมองเขาแล้วสั่งการบ้านให้ไปหาเพลงหรือบทประพันธ์อื่นมาอ่านให้เพื่อนฟังในคาบหน้าก่อนเดินออกไป 
   
แต่ในความเรียบง่ายนั้นก็มีความยากอยู่  เพราะรัชชาตะไม่ชอบทำการบ้าน  ที่ผ่านมาเขาใช้วิธีเปลี่ยนให้การบ้านเป็นการโรงเรียนเสมอ  หรือไม่ก็ไม่ส่งมันเสียเลย  แกล้งทำเป็นลืมแล้วผลัดไปเรื่อยๆ  สุดท้ายแล้วพอเพื่อนที่คอยรวมงานหรือครูรู้สึกเหนื่อยหน่ายก็เลิกกันไปเอง  เขาใช้วิธีแบบนี้มาตลอด  ทำแค่บางงานพอให้ผ่านแบบกล้อมแกล้มไป
   
ตั้งแต่ขึ้นชั้นม.5  แล้วผลการโหวตหัวหน้าห้องได้มติเป็นเอกฉันท์คือหัวหน้าห้องคนปัจจุบันผู้เก็บตัวและไม่ค่อยสุงสิงกับใครเท่าใดนัก  รัชชาตะยังอดคิดไม่ได้เลยว่าพวกเพื่อนในห้องคงแค่อยากปัดภาระที่ใครก็คิดว่ายุ่งยากไปให้พ้นตัว  แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นใครก็ได้เสียทีเดียว  เพราะทุกคนต่างพยายามที่จะรักษาสมดุลของความสัมพันธ์ที่ชื่อว่า “มิตรภาพ” หรือ “ความสามัคคี” กันอย่างแข็งขัน  และไม่อยากไปแตะเส้นกั้นบางๆนั้นจนพังทลายลงมา  คุณหัวหน้าห้องคนนี้ถึงได้เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดจนทุกคนพากันเทคะแนนให้อย่างไม่ลังเลเลยทีเดียว     

สิ่งที่ผิดคาดเห็นจะมีแค่ท่าทีของเจ้าตัวที่ดูไม่ยี่หระเท่าไร  ไม่แม้แต่จะคัดค้านหรือแสดงสีหน้าลำบากใจให้เห็นเลยสักนิด  แค่พยักหน้าเหมือนรับรู้ว่า ‘เข้าใจแล้ว  ฉันได้เป็นหัวหน้าห้องสินะ’ เท่านั้น  บทสรุปที่จบลงด้วยดีไม่ต้องบอกก็รู้ว่าทุกคนต่างก็แอบโล่งใจที่ไม่ต้องหารือโหวตใหม่แล้วกลายเป็นประเด็นให้เกิดการถกเถียงกันขึ้นมาโดยไม่จำเป็น 

แถมคุณหัวหน้ายังสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างดีเลยเสียด้วย 

อีกฝ่ายคอยตามทวงงานไม่ลดละ  ทั้งยังอยู่เย็นเฝ้าเขาทำงานส่งทุกครั้งกะไม่ให้ปฏิเสธ  งานที่เคยทำส่งแค่ให้พอผ่านไม่ซ้ำชั้นก็กลายเป็นส่งครบทุกงานจนเกรดเทอมที่แล้วดีขึ้นผิดหูผิดตา  กระทั่งน้องสาวที่บังเอิญเห็นใบแจ้งผลการเรียนของเขาตอนเข้ามาในห้องยังแสดงสีหน้าแปลกใจอย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก  จะบอกว่าเป็นผลพวงในด้านดีก็คงไม่ผิดเท่าไร  การมีใครสักคนคอยจ้ำจี้จ้ำไช  แท้จริงแล้วก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น  แม้ช่วงแรกที่ยังปรับตัวไม่ได้ออกจะรำคาญอยู่บ้าง 
   
เสียงกริ่งบอกคาบเรียนสุดท้ายสิ้นสุดลง  กลุ่มเพื่อนของเขาที่ตกลงกันว่าจะไปเจอกันที่ห้องซ้อมตอนห้าโมงเย็นก็พากันแยกตัวต่างคนต่างไปทำธุระของตัวเองกันก่อน
   
รัชชาตะเป็นคนเดียวที่ไม่ได้เก็บกระเป๋าแต่หยิบกระดาษเอสี่เปล่าขึ้นมาวางบนโต๊ะพร้อมกับกดโทรศัพท์มือถือค้นหาเพลงในลิสต์ที่มักชอบฟัง  เขาค่อยๆกดเลื่อนดูทีละเพลงอย่างใจเย็น  กว่าสิบนาทีที่เสียไปทำให้พบว่าการเลือกได้เพียงแค่หนึ่งจากในบรรดาทั้งหมดเป็นเรื่องยากถึงเพียงนี้  คิดทบทวนอยู่นานสุดท้ายก็ตัดสินใจเลือกขึ้นมาเพลงหนึ่ง
   
“ทำงานของมิสโอลีเวียเหรอ”
   
รัชชาตะเงยหน้ามองเจ้าของเสียงทัก  นัยน์ตาสีดำสนิทปรากฏภาพของคุณหัวหน้าห้องที่หมู่นี้ขยันมาป้วนเปี้ยนอยู่รอบตัวเขาจนผิดสังเกต
   
“อ่าหะ”
   
“ถึงไหนแล้วล่ะ  กำลังหาเพลงเหรอ”
   
“เปล่า  เลือกได้แล้ว  เสิร์ชหาเนื้ออยู่”
   
“ใช่เพลง Radioactive หรือเปล่า”
   
“.....”
   
“หรือว่า Stay”
   
คิ้วเข้มเลิกขึ้นเมื่อได้ยินคนตรงหน้าเอ่ยถึงเพลงโปรดที่เขาฟังช่วงนี้ออกมา  แม้จะไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง  แต่ก็สร้างความประหลาดใจแก่เขาไม่น้อย  คุณหัวหน้าห้องที่ดูไม่ค่อยสนใจอะไรนอกจากการตามทวงงาน  คงไม่ใช่ว่าแอบไปส่องดูความเคลื่อนไหวของเขาบนหน้าโซเชียลมีเดียหรอกมั้ง

เขาเลือกเฉลยด้วยการร้องท่อนหนึ่งของเพลงผ่านเสียงนุ่มทุ้ม  นอกจากเล่นกีต้าร์แล้วเสียงร้องก็นับว่าไม่แย่  เนื่องจากเนื้อเสียงที่หนักแน่นและเป็นเอกลักษณ์  หากฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอก็คงสามารถนำไปใช้แสดงได้  แต่พอคิดว่าต้องสละเวลาซ้อมกีต้าร์เพื่อทักษะที่ไม่ได้ชอบมากมายขนาดนั้น  แถมยังมีนิรัชเป็นนักร้องนำอยู่แล้ว  เขาจึงไม่สนใจเท่าไร

“เอ๊ะ” ร่างผอมชะงักพลางทำสีหน้ายุ่งเหยิง  ท่าทางเหมือนกังขาแต่ก็ยอมรับในขณะเดียวกัน “Be as you are”    

“เคยฟังเหรอ”
   
เพลงนี้ค่อนข้างนานและไม่เป็นที่รู้จักเท่าไรนักหากเทียบกับนักร้องที่มียอดฟังเป็นพันล้านวิว  รัชชาตะจึงไม่คิดว่าเมษาจะเคยฟังเพลงนี้ด้วย
   
“อืม  แต่ไม่ค่อยชอบเท่าไร”
   
ดูจากปฏิกิริยาก็พอจะเดาออก

รัชชาตะไม่ได้ถามต่อถึงเหตุผลว่าทำไม  เขาคิดว่าทุกคนล้วนมีรสนิยมและความชอบจึงไม่ได้ติดใจสงสัยอะไรมากมายนัก  ที่สำคัญจะให้ไปก้าวก่ายเรื่องของคนที่ไม่ได้สนิทกันก็ผิดวิสัยอยู่แล้ว  เขาไม่จำเป็นต้องไปคอยบงการหรือรู้เรื่องของผู้อื่น  สนใจแค่เรื่องของตนเองที่ตอนนี้แทบล้นสองมือก็เพียงพอแล้ว 
   
“ส่วนฉันคงฟังเพลงนี้ไปจนอายุยี่สิบหกละมั้ง”

“.....”

“หลังจากนั้นก็คงโตพอแล้ว” เสียงทุ้มเอ่ยง่ายๆถึงความคิดของเขา  ระหว่างนั้นก็เสิร์ชหาเนื้อเพลงจากบนเว็บไซต์ต่ออย่างไม่ใส่ใจ  ก่อนจะคัดลอกมันลงในกระดาษที่เตรียมเอาไว้อย่างคล่องแคล่ว

เดดแอร์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายผละไปดังที่คาด  กลับกันแล้วยังถือวิสาสะเลื่อนเก้าอี้ตัวที่อยู่ด้านหน้าโต๊ะเขามานั่งเองโดยไม่มีทีท่าจะจากไป  ร่างสูงถึงอดถามไม่ได้ “วันนี้ฉันไม่ได้ค้างส่งงานอะไรแล้วไม่ใช่เหรอ”

“เราก็ไม่ได้บอกว่ารอนายสักหน่อย”
   
“แล้วมานั่งทำไม”
   
“ปกติเรากลับเย็นอยู่แล้ว  ไหนๆนายก็อยู่เหมือนกันเลยขอนั่งด้วยไม่ได้เหรอ”
   
“ก็เปล่า  นึกว่านายกลับเย็นแค่วันที่ต้องรองานจากฉันซะอีก”
   
“.....”
   
คู่สนทนาเงียบไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ  มีเพียงรอยยิ้มบางที่ถูกแต้มลงบนหน้าที่หากพินิจดูดีๆแล้วชวนให้ไพล่หลง  นัยน์ตาสีอ่อนรับกับผิวขาวเนียนละเอียดให้อารมณ์วาบหวามอย่างหาได้ยาก  ไม่เว้นแม้แต่เส้นผมสีน้ำตาลไหม้ที่ยามต้องแสงก็ยิ่งเป็นประกาย  ขับเน้นให้ทุกองค์ประกอบบนร่างกายของเมษาดูเลือนรางดุจภาพฝัน   
   
รัชชาตะเผลอมองอยู่ครู่หนึ่งด้วยอารามลืมตัว  ก่อนรีบดึงตัวเองออกจากภวังค์ทันทีที่ได้สติ  กลัวว่าการกระทำของตนจะทำให้อีกฝ่ายอึดอัดที่ถูกจ้องไม่ละสายตา  แต่พอเห็นเจ้าตัวกำลังมองไปยังกีต้าร์ที่วางพิงผนังห้องอยู่ข้างหลังเขาจึงไม่ทันรู้สึกตัว  รัชชาตะค่อยโล่งอก 
   
“สนใจเหรอ” เขาถามด้วยเสียงไม่ดังไม่เบานัก
   
“นิดหน่อย  เห็นนายเล่นเหมือนไม่ยาก  แต่คงไม่ใช่สินะ” เมษาบอกยิ้มๆ
   
“สองขวบฉันก็จับกีต้าร์แล้ว”

มัวแต่ให้ความสนใจกับคนตรงหน้ามากไปหน่อยจนเผลอเขียนผิดไปหนึ่งคำ  เขาใช้ปากกาแท่งเดียวกันนั้นขีดฆ่าทิ้งแล้วเขียนคำที่ถูกต้องลงไปพร้อมกับยักไหล่แล้วพูดต่อ “จะเอามาเทียบกันได้ไง”

“หืม?  คุณพ่อสอนให้ตั้งแต่เด็กเลยเหรอ”

“เปล่า  แม่น่ะ”
   
“เป็นคุณแม่ที่สุดยอดไปเลยนะ”
   
“คงอย่างนั้นมั้ง”
   
คิ้วเข้มเผลอขมวดเป็นปมโดยไม่รู้ตัว  แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่ใช่คนเก็บความรู้สึกเก่ง  คิดอย่างไรก็มักเผลอแสดงออกมาทางสีหน้าจนน้องสาวเตือนอยู่เป็นประจำว่าหัดควบคุมอารมณ์เสียบ้าง  แทบจะเขียนทุกอย่างไว้บนหน้าผากอยู่แล้ว  ไม่เช่นนั้นคงถูกเกลียดเข้าสักวัน 

อาจเพราะเขาเป็นแบบนี้กระมัง  จึงส่งผลให้บุคลิกของน้องสาวแทบจะตรงกันข้ามกับเขาทุกอย่าง  รายนั้นทั้งใจเย็นและอ่อนโยน  มักจะรับมือกับสถานการณ์ทุกอย่างได้ด้วยรอยยิ้ม  ต่อให้เป็นเรื่องที่หนักหนาจนแทบกระอักเลือด  ก็ยังคงระบายยิ้มราวกับดอกทานตะวันแย้มรับแสงแดด  กลายเป็นเขาเองที่รู้สึกทนไม่ได้เมื่อต้องเห็นรอยยิ้มเหล่านั้น

และอีกฝ่ายก็คงสังเกตเห็นการแสดงออกที่ชัดเจนเกินพอดีของเขาจึงได้ไม่พูดอะไรต่อ  ส่งผลให้บรรยากาศในห้องตกสู่ความเงียบอันน่าอึดอัดอีกครั้งไปหลายนาที 

แม้ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง  แต่ตรงปลายหางตาก็ปรากฏภาพของคุณหัวหน้าห้องที่มีสีหน้าครุ่นคิดให้เห็น  รัชชาตะแอบนึกขันอยู่ในใจ  การฝืนคุยกับคนที่มีความคิดแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงแท้จริงแล้วไม่ยากและไม่ง่าย  แต่สำหรับเจ้าตัวที่ไม่ใช่คนพูดเก่งคงเป็นแบบหลัง  จึงได้มีท่าทางเช่นนั้นทุกครั้งเหมือนกำลังพยายามเค้นสมองอย่างหนักว่าพูดอะไรจึงจะดี   

“ในคาบเรียนทำไมถึงตอบมิสโอลีเวียไปแบบนั้นเหรอ” เสียงซึ่งสูงกว่าเขาถึงสองโทนเอ่ยถามออกมาในที่สุดหลังจากผ่านมาพักใหญ่

“ทำไม?  นายคิดว่าเชกสเปียร์พูดถูกเหรอ” เขาถามกลับ

“เปล่า”

“หรือว่ามีแนวคิดอื่นอยากนำเสนอ?”

“ไม่ใช่อย่างนั้น”

“แล้วอะไร”

“เราก็แค่ไม่เข้าใจ”

“หืม?”

“เพราะไม่รู้ก็เลยถาม” น้ำเสียงแฝงความลนลานอย่างชัดเจนเหมือนเกรงว่าถูกจะเข้าใจผิด  จึงรีบอธิบายต่อเป็นพัลวัน “เห็นตอบแบบนั้นเลยสงสัยว่านายหมายความว่าอย่างไร”

สำหรับเมษาแล้ว ‘รัก’ ช่างเป็นคำที่ชวนให้รู้สึกแปร่งหู 

ทั้งที่ปากพร่ำรำพันว่ารักเป็นพันเป็นหมื่นครั้ง  แต่เหตุใดจึงได้ทำร้ายกันและกันได้อย่างเลือดเย็นเหลือเกิน  พ่อของเขาบอกว่ารักเขากับแม่  แต่สุดท้ายแล้วกลับทิ้งคนที่ตัวเองรักเอาไว้เบื้องหลังแล้วจากไปตามอำเภอใจ   ศศินเองก็ด้วย  บอกว่ารักแม่แต่กลับใช้กำลังที่เหนือกว่าทุบตี  และที่เลวร้ายกว่านั้นยังบังคับให้เขามีสัมพันธ์ด้วยทั้งไม่เต็มใจด้วยคำว่ารักราวกับว่ามันชอบธรรม  เขาไม่เห็นเข้าใจสักนิดว่ารักคืออะไรกันแน่ 

แต่รัชชาตะไม่เหมือนกับเขา  เจ้าตัวไม่ใช่ไม่รู้  แต่คงแค่ไม่อยากตอบ  ก็ในวันนั้นใบหน้าหล่อเหลาออกจะสว่างไสวจนตาพร่าเลือนถึงเพียงนั้น  รอยยิ้มน้อยๆและคำว่ารักยังคงประทับอยู่ในใจเขาอย่างยากจะลบออก  สีหน้าที่ราวกับจะคว้าเดือนสอยดาวมาให้อีกฝ่าย  พานทำเอาเมษาอดคิดไม่ได้ว่าถึงเขาจะไม่รู้ว่ารักหน้าตาเป็นเช่นไร  แต่ถ้าเขาได้เป็นเจ้าของ ‘รัก’ ของผู้ชายคนนี้จะต้องมีความสุขมากแน่ 

เขาอยากถูกคนคนนี้รัก

เจ้าของมือซึ่งจับปากกาอยู่เหลือบดวงตาสีดำสนิทมองพลางเลิกคิ้ว  เขาไม่เห็นจำได้เลยว่าคุณหัวหน้าห้องปกติแล้วเป็นคนขี้สงสัยถึงขนาดนี้  ร้อยวันพันปีไม่เคยถามความคิดของเขาหรือพยายามต่อบทสนทนาด้วยความสนอกสนใจ  หัวไปโดนกระแทกมาที่ไหนสักแห่งหรือเปล่านะ 

“รู้จัก Love is a Dog from Hell ไหม”

“เซอร์เบอรัส?”

รัชชาตะยิ้มขำกับคำตอบที่หลุดออกมาตามสัญชาตญาณของเมษา 

“เหมือนฉันจะไม่ได้ถามนะว่าหมาตัวนั้นชื่ออะไร”

“ขอโทษที”

ทั้งที่เป็นแค่ประโยคแกล้งเย้า  แต่ร่างผอมกลับขอโทษออกมาจริงจนกลายเป็นเขาเสียเองที่ไปต่อไม่ถูก  ดังนั้นจึงแสร้งทำเป็นว่าเมื่อสักครู่นี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น  ก่อนสาธยายถึงคำตอบที่แง้มค้างเอาไว้

“Love is a Dog from Hell  เป็นหนังสือที่ Charles Bukowski เขียน  เนื้อหาก็เหมือนกับชื่อเรื่องนั่นแหละ  เสียดสีความรัก  น่าจะพอเดาได้”
   
รัชชาตะสังเกตเห็นว่าคู่สนทนายังคงทำหน้าไม่เข้าใจ  คาดว่าเพราะไม่เคยอ่านจึงจินตนาการตามไม่ออก  ไหนๆก็อุตส่าห์บรรยายเสียยืดยาวขนาดนี้แล้วจะปล่อยให้อีกฝ่ายคาใจต่อไปก็ใช่เรื่อง  ดังนั้นจึงใจดีช่วยขยายความเพิ่มเติมให้อีกหลายประโยค
   
“ถ้า Sonnet 116 ของเชกสเปียร์เปรียบความรักเป็นค็อกเทลเบาๆไว้จิบสักแก้ว  Love is a Dog from Hell ก็คงเปรียบความรักเหมือนว็อดก้าเพียวๆที่นายต้องกระดกรวดเดียว”
   
“.....”

“นอกจากรสหวานที่สัมผัสได้เพียงน้อยนิด 

“.....”

“ก็เหลือแค่ความรู้สึกร้อนลวกคอ”




∞  ∞  ∞  ∞  ∞  ∞  ∞


   

ประมาณเกือบสองทุ่ม  รัชชาตะขอตัวผละออกจากห้องซ้อมเป็นคนแรกแล้วตรงดิ่งกลับคอนโดทันทีหลังได้รับข้อความจากผู้เป็นน้องสาวผ่านแอปพลิเคชันสีเขียว  ว่าตอนนี้กำลังรอกินข้าวเย็นด้วยกันอยู่ที่ห้องของเขาซึ่งอยู่ห่างจากบ้านศิวรักษกุลแค่สองสถานีหากเดินทางด้วยรถไฟฟ้ามหานคร 

นับว่าชายคนนั้นยังมีเมตตาอยู่บ้าง 

ร่างสูงขึ้นคร่อมพาหนะคู่ใจก่อนขับแล่นไปบนท้องถนนซึ่งมีเพียงแสงสว่างจากเสาไฟข้างทาง  สภาพแวดล้อมที่เงียบและมืดชวนน่าประหวั่นถึงความปลอดภัยสำหรับใครหลายคน  แต่ไม่ใช่กับรัชชาตะที่มักออกมาขับรถเล่นคนเดียวกลางดึกเป็นงานอดิเรก  บรรยากาศของเมืองที่ไร้ผู้คนให้ความรู้สึกแปลกแยกจากตอนกลางวันโดยสิ้นเชิง  ความต่างอย่างสุดขั้วนี้ทำให้เพียงจ้องมองก็นำพาให้สงบใจได้อย่างน่าประหลาด

รัชชาตะนำรถมอเตอร์ไซค์ไปจอดก่อนเดินขึ้นลิฟต์  เขาก้มมองนาฬิกาบนข้อมือพบว่าตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่มสี่สิบกว่านาที  ห้องซ้อมของเขาอยู่ไม่ไกลจากคอนโดเท่าไร  ทั้งโรงเรียน  คอนโด  บ้าน  ห้องซ้อม  ล้วนแล้วแต่อยู่ภายในรัศมียี่สิบกิโลเมตร  หากสถานที่ซึ่งต้องเดินทางไปมาเป็นประจำอยู่ห่างเกินไป  นั่นนับว่าเป็นเรื่องลำบากมากทีเดียว 
   
มือกร้านจากการจับสายกีต้าร์มาเป็นเวลานานล้วงหยิบคีย์การ์ดในกระเป๋าขึ้นมาติ๊กเครื่องสแกนหน้าประตูแล้วเปิดเข้าห้อง  ระหว่างที่กำลังถอดรองเท้าแล้วโยนสัมภาระทั้งหมดทิ้งไว้บนโซฟาห้องรับแขก  เสียงใสกังวานก็ตะโกนมาจากในครัว

“กลับมาแล้วเหรอพี่ไอน์  มาช่วยนิอุ่นกับข้าวหน่อยสิ”

ชายหนุ่มเดินเข้าครัวไปอย่างว่าง่าย  ภาพแผ่นหลังของหญิงสาวในชุดเครื่องแบบโรงเรียนสตรีชื่อดังที่กำลังง่วนอยู่กับการนำอาหารใส่ไมโครเวฟปรากฏสู่สายตา  ตั้งแต่เกิดเรื่องเขาก็ไม่ได้พบน้องสาวอีกเลย  จึงอดเขาเข้าไปสวมกอดเธอทั้งอย่างนั้นไม่ได้  กลิ่นกายคุ้นเคยช่วยคลายความรู้สึกคิดถึงให้เป็นอย่างดี  เขายังคงกอดอีกฝ่ายไว้แน่นพร้อมเอ่ยถาม

“มาได้ยังไง  พ่อยอมปล่อยเธอมาด้วยเหรอ”

“ก็ไม่ต้องบอกสิว่าจะมาหาพี่” ร่างในอ้อมแขนบอกอย่างไม่ยี่หระ “นิโกหกว่าจะมาค้างบ้านเพื่อน  ทำรายงานกลุ่ม”

“ไม่กลัวถูกจับได้หรือไง”

“จับได้ก็ช่างสิ 

“เดี๋ยวนี้ชักร้ายใหญ่แล้วนะ”

“ร้ายแล้วรักไหม”

“.....”

รัชชาตะเงียบไม่ตอบ  เพียงแค่ออกแรงกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้น 

“ถ้าจะมายืนเกะกะก็ออกไปเลย  นิหยิบของไม่ถนัด” เสียงเล็กบ่นอุบพลางแกะมือที่เกาะหนึบอยู่บนเอวอย่างเหนียวแน่นออกทีละข้าง
   
“ยังเหลืออะไรบ้าง”
   
“พี่ไอน์เอาสองจานนี้ไปวางโต๊ะแล้วกัน  เดี๋ยวนิตักข้าวก่อน” รัชญาบุ้ยใบ้ไปทางกับข้าวสองจานที่ถูกวางอยู่ตรงเคาน์เตอร์โดยไม่แม้แต่จะหันมามอง 

รัชชาตะที่ไม่ทันนึกเฉลียวใจถึงความผิดปกติรับคำในคอ  ก่อนจะหยิบจานดังกล่าวไปวางโต๊ะแล้วเดินกลับเข้ามาในครัวอีกรอบ  ทว่าครั้งนี้เขาได้เห็นหน้าของผู้เป็นน้องสาวชัดเต็มสองตา  รอยแดงเป็นปื้นตัดกับผิวขาวดุจหิมะจนยิ่งเห็นได้ชัด  ที่สำคัญใบหน้าที่คล้ายคลึงกับเขาเจ็ดแปดส่วนยังบวมเป่งเด่นสะดุดตา

รัชชาตะรีบรุดเข้าไปดูแผลโดยไม่รอช้า  แม้จะร้อนใจแต่มือใหญ่ที่ยื่นไปเชยปลายคางได้รูปกลับอ่อนโยนราวกับเกรงว่าหากออกแรงมากไปจะทำให้รัชญาแตกสลาย  คิ้วเข้มขมวดมุ่นอย่างกรุ่นโกรธ  เสียงที่ใช้ถามต่ำลงหลายระดับจนใครก็คงจับสังเกตได้

“พ่อตีเธออีกแล้วเหรอ”

“อืม  แผลดูน่ากลัวแต่ไม่เจ็บเท่าไรหรอก  พี่ไม่ต้องเป็นห่วง” หญิงสาวตอบพลางยิ้มตามความเคยชิน 

เธอคงไม่รู้ตัวว่าเวลาที่ตนเองกำลังโกหกหรือต้องการปิดบังบางอย่าง  จะชอบเผลอยิ้มกลบเกลื่อนออกมาทุกครั้งจนติดเป็นนิสัย  ยิ่งทรมานใจมากเท่าไรยิ่งพยายามฝืนฉีกยิ้มสดใสมากเท่านั้น  แต่เขาที่โตมาด้วยกันมีหรือจะดูไม่ออก
   
รัชชาตะไม่พูดอะไรทั้งนั้น  ทำเพียงแค่เดินไปหยิบกุญแจรถที่เพิ่งโยนทิ้งไว้ตรงโซฟาแล้วใส่รองเท้า  ก่อนเปิดประตูจะออกไปข้างนอก  ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนแม้แต่รัชญาเองยังตั้งตัวไม่ทัน  สมองรู้แค่ว่าต้องรีบคว้าตัวของพี่ชายเอาไว้พร้อมกับร้องถามเสียงตระหนก
   
“พี่จะไปไหน”
   
“ไปบ้านน่ะสิ  เขาถือสิทธิ์อะไรถึงมาทำร้ายเธอแบบนี้  คิดว่าเป็นพ่อแล้วจะทำกับลูกในไส้ตัวเองอย่างไรก็ได้หรือไง”
   
“ไปแล้วพี่จะทำอะไร  พูดไปเขาก็ไม่ฟังหรอก”
   
“.....”

“นิไม่เป็นไรจริงๆ”

“.....”

“จำที่นิเคยบอกได้ไหม  เวลาโกรธให้ทำอย่างไร” 

หนึ่ง

“เราไปกินข้าวกันเถอะ”

สอง

“นะ”

สาม

“อืม”

เป็นอีกครั้งที่เขาต้องยอมอภัยอย่างไร้เงื่อนไขแก่ผู้ที่ได้ชื่อว่ามีบุญคุณให้กำเนิด 

รัชชาตะพยายามข่มกลั้นโทสะโดยนับหนึ่งถึงสามในใจแบบที่คนตรงหน้าเคยสอน  อยากบอกเหลือเกินว่าความจริงแล้วมันไม่ได้ผลเลยสักนิด  แต่ท่าทางร้อนรนของรัชญาต่างหากที่บังคับให้เขาต้องสะกดอารมณ์เอาไว้  เพราะหากเขาลงมือทำสิ่งที่คิดจริงๆ  คนที่จะเสียใจที่สุดคงไม่พ้นเธอ  ดังนั้นเขาจึงต้องเป็นฝ่ายลงให้เสมอ   

ร่างสูงเก็บกุญแจรถยัดใส่กระเป๋ากางเกง  ถอดรองเท้าแล้วหมุนตัวกลับเข้าห้อง  ทว่าสิ่งแรกที่ทำไม่ใช่การนั่งกินข้าวตามคำโน้มน้าวของน้องสาว 

เขาเดินไปหยิบผ้าขนหนูจากในตู้ก่อนนำไปห่อกับน้ำแข็งจากช่องฟรีซแล้วกลับมาจูงเจ้าของข้อมือเล็กที่ได้แต่ยืนมองการกระทำของเขาให้มานั่งบนโซฟาโดยไม่พูดไม่จาแม้แต่ครึ่งคำ  เหมือนกับที่เขาดูเธอออกว่าเจ็บเพียงใด  เธอเองก็คงดูออกว่าเขาปวดใจแค่ไหนจึงไม่ได้ฝืนยิ้มหรือเอ่ยอะไรอีก 

แต่เธอไม่มีวันรู้ว่าที่เขาโกรธมากที่สุดก็คือความไร้กำลังของตัวเอง

“สักวันพี่จะรับเธอมาอยู่ด้วย” รัชชาตะบอกเสียงจริงจัง  ก่อนค่อยๆใช้ผ้าในมือประคบที่ข้างแก้มของรัชญาอย่างทะนุถนอม

“อือ”

เมื่อก่อนครอบครัวของเขาไม่ได้เป็นเหมือนเช่นตอนนี้  ถึงจะนานเก่าเก็บจนความทรงจำอาจพร่ามัวไปบ้าง  หากภาพของทุกคนที่มีแต่รอยยิ้มก็เคยมีอยู่  โดยเฉพาะช่วงเวลาที่แม่สอนเขาเล่นกีต้าร์แล้วปรบมือให้ทุกครั้งที่ดีดเสียงดังติ๊งๆไม่เป็นเพลง  เวลาล่วงเลยมาเท่าไรก็ไม่เคยจางหายไปจากใจเสียที 

ทว่าความสุขไม่อาจคงอยู่ได้นาน  ทุกอย่างจบลงในเช้าวันหนึ่งที่รัชชาตะอายุเจ็ดขวบ  แม้จะไม่ใช่ตามความหมายตรงตัว  แต่โดยรูปธรรมแล้วพวกเขาสองพี่น้องก็ถูกปล่อยทิ้งให้เหลือเพียงกันและกัน  รัชชาตะมีแค่รัชญา  รัชญาเองก็มีแค่รัชชาตะ  พวกเขาโตขึ้นมาแบบนั้นโดยไม่เคยรู้สึกว่าขาดเหลืออะไร 

หากโชคไม่ดีที่เมื่อไม่นานนี้เกิดเรื่องจนทำให้พวกเขาต้องถูกจับแยกกันโดยไม่เต็มใจ 

เขาร้องเพลงซึ่งทุ่มเทเวลาแต่งอยู่นานหลายวันมอบให้กับผู้หญิงเพียงคนเดียวบนโลก...ไม่สิ  คนคนเดียวบนโลกที่เขารักเนื่องในโอกาสครบรอบวันเกิด 

“เพลงนี้พี่ไอน์แต่งเองเหรอ”

หลังจากเสียงบรรเลงกีตาร์โน้ตสุดท้ายจบลง  หญิงสาวพลันฉีกยิ้มกว้างพร้อมร้องถามด้วยแววตาเป็นประกาย  เห็นแล้วชวนให้รู้สึกมันเขี้ยวจนอยากรังแกขึ้นมา

“เปล่า  ตอนขากลับจากห้องซ้อมพี่บังเอิญไปได้ยิน  รู้สึกว่าเพราะดีเลยขอมา” รัชชาตะตอบด้วยสีหน้าและโทนเสียงราบเรียบดูแล้วน่าเชื่อถือ  ไม่เหมือนว่ากำลังโกหก  ยังผลให้รัชญาหลงเชื่อแทบจะทันที  ท่าทางตื่นเต้นค้างเก้อก่อนเปลี่ยนเป็นจ๋อยสนิท  แม้แต่ตอนอุทานน้ำเสียงยังเจือความผิดหวังอย่างปิดไม่มิด “อ้าว”

“.....”

“แต่เพลงนี้เพราะที่สุดเท่าที่นิเคยฟังมาเลย  นิชอบมากๆ”

“.....”

“พี่ไอน์ไม่ได้แต่งเองจริงๆน่ะเหรอ”

“.....”

“พี่ไอน์แต่งเองใช่ไหม”

“.....”

“พี่ไอน์แต่งเองแน่ๆ”

“.....”

“พี่ไอน์ขี้แกล้ง  คนนิสัยไม่ดี”


รัชชาตะไม่ตอบ  เพียงแค่เผยยิ้มเจ้าเล่ห์เป็นเอกลักษณ์ก่อนจะรวบร่างบางมานั่งบนตัก  สูดดมกลิ่นหอมรัญจวนแล้วสวมกอดไว้ราวกับเธอเป็นตุ๊กตาหมีตัวใหญ่  แม้เจ้าตุ๊กตาตัวนี้จะดิ้นแรงไปหน่อยเพราะกำลังงอนที่ถูกหยอกเล่น  รัชชาตะก็ยังคงโอบเธอไว้อย่างไม่ถือสา

“พี่ไอน์ผิดไปแล้ว  อย่าโกรธเลยนะ”

คำแทนตัวอย่างน่าเอ็นดูจะถูกนำมาใช้แค่ตอนง้อรัชญาและอยู่กันสองต่อสองเท่านั้น  แน่นอนว่าตีให้ตายเขาก็ไม่มีทางพูดให้ใครได้ยินเป็นอันขาด

“.....”

“เพลงนี้พี่ไอน์ทั้งเขียนเนื้อทั้งแต่งทำนองเอง  รับรองว่ามีแค่เธอคนเดียวที่เคยได้ฟัง”


ระหว่างที่พูดรัชชาตะไม่รู้สึกกระดากใจเลยแม้แต่น้อย  ถึงความจริงแล้วรัชญาจะไม่ใช่คนเดียวที่ได้ฟังเพลงนี้ตามที่เขาบอก  ในความทรงจำคลับคล้ายคลับคลาว่าจะมีคนเคยนั่งดูตอนที่เขากำลังเขียนเพลงนี้อยู่ด้วย  แต่เพราะรัชชาตะเลือกที่จะคิดเข้าข้างตัวเองอย่างลำเอียง  เขาจึงนับเฉพาะตอนที่เพลงนี้เสร็จสมบูรณ์แล้วเท่านั้น 

รัชชาตะใช้เวลาเกลี้ยกล่อมหญิงสาวในอ้อมอกอยู่พักใหญ่  กว่าจะหายงอน  คอของเขาก็แหบแห้งเสียจนแทบแหลกเป็นผงหลังต้องร้องเพลงติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน  จนเมื่อเจ้าหล่อนพอใจแล้วแหละ  จึงค่อยหันมาจุมพิตเขาเบาๆบนก่อนผละออกอย่างอารมณ์ดี 

“ขอบคุณสำหรับของขวัญนะพี่ไอน์  นิชอบมาก”

“.....”

“ไปกินเค้กในตู้เย็นกัน”


...มีหรือที่คนละโมบอย่างเขาจะพอใจกับจูบแบบเด็กๆแค่นั้น 

เขาฉวยโอกาสออกแรงฉุดอีกฝ่ายที่กำลังลุกขึ้นให้ล้มลงโดยไม่ทันตั้งตัว  จากนั้นประคองไว้ด้วยสองแขนแล้วก้มลงประทับจูบลงบนกลีบปากนุ่ม 

การกระทำอุกอาจไม่ได้ทำให้รัชญาโกรธเคืองแต่อย่างใด  เธอเพียงแค่เนียมอายเล็กน้อย  ก่อนหลับตาและยอมรับรสสัมผัสอย่างให้ความร่วมมือตามความคุ้นเคย  ร่างกายตอบสนองต่อความสุขที่ชายตรงหน้าเป็นผู้มอบให้อย่างยินดี 

ทุกอย่างดูเหมือนจะไปได้สวย 

กระทั่งผู้ชายคนนั้นกลับเปิดประตูเข้ามาอย่างกะทันหัน  ก่อนจะกระชากรัชชาตะให้ลุกขึ้นแล้วชกหน้าเขาเต็มแรง  จากนั้นยังด่าทออีกหลายประโยค   

ณ เวลานั้นรัชชาตะได้ค้นพบว่าชายตรงหน้านอกจากจะเป็นตาแก่ขี้เมาไร้ประโยชน์ที่ดีแต่ทำร้ายพวกเขาแล้ว  ยังมีความสามารถที่ไร้ประโยชน์ยิ่งกว่าในการสรรหาแต่ละถ้อยคำมาด่าได้เจ็บแสบนัก  ทั้ง ‘ไร้ยางอาย’ เอย  ‘โสโครก’ เอย ‘ต่ำช้า’ เอย  สารพัดคำหยาบคายถูกสาดใส่เพื่อตอกย้ำการกระทำเหล่านั้นว่าสกปรกเพียงใด 

ที่น่าแปลกคือทำไมเขาจึงไม่ลุกขึ้นแล้วตอบโต้กลับไปดังเช่นที่เคยทำอยู่เสมอ  รัชชาตะที่ไม่ได้อ่อนแอเหมือนเด็กชายรัชชาตะเมื่อก่อน  กลับทำได้แค่ยืนกุมมือน้องสาวที่ไม่ได้มีปฏิกิริยาต่างจากเขามากเท่าไรนักเอาไว้แน่น  ก้มหน้ายิ้มหยันกับตัวเองเงียบๆแล้วปล่อยให้อีกฝ่ายก่นด่าจนสาสมใจ 

บางทีอาจเพราะพวกเขาเองก็รู้

ความสัมพันธ์ผิดแผกสามัญสำนึกของคนทั่วไปย่อมไม่มีทางได้รับการยอมรับ  ความลับที่ไม่อาจเปิดเผยกับใครทั้งกับคนใกล้ตัวและคนไกลตัว  ต่างฝ่ายต่างรู้อยู่เต็มอกว่าไม่ถูกต้อง  ศีลธรรมในใจร้องเตือนว่าเป็นไปไม่ได้ 

รัชชาตะเป็นผู้ชายคนเดียวบนโลกที่รัชญาห้ามหลงรัก 

รัชญาเองก็เป็นผู้หญิงคนเดียวบนโลกที่รัชชาตะห้ามหลงรัก 

แต่เพราะไม่สามารถหักใจจากความรู้สึกที่ท่วมท้น  จึงกลายเป็นความสัมพันธ์ครึ่งๆกลางๆที่ต้องคอยหลบซ่อนดั่งที่เห็น 

และเพื่อประคับประคองความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อนี้  พวกเขาจึงได้ทำข้อตกลงระหว่างกันขึ้นมาสองประการ  หนึ่งคือต้องไม่บอกรักกันอย่างเด็ดขาด  คำคำนั้นต้องห้ามพอๆกับการเอ่ยนามของคนที่คุณก็รู้ว่าใครในภาพยนตร์ชุดแฮร์รี่  พอตเตอร์  หากใครเผลอหลุดปากจะมีผลให้ความสัมพันธ์สิ้นสุดลงทันที  สองคือถ้าวันใดได้พบกับคนที่รักจริงให้สามารถถอนตัวได้ทุกเมื่อ  โดยที่อีกฝ่ายจะต้องไม่เหนี่ยวรั้งความสัมพันธ์หรือเรียกร้องอะไรทั้งสิ้น 

กฎสองข้อที่ดูเหมือนง่ายแต่ทำยาก  สร้างเพื่อพยายามบิดเบือนความผิดบาปนี้ให้เป็นเสมือนเกมเกมหนึ่งที่มีกติกาและฉากจบที่ชัดเจน

เกมที่ใครรักมากกว่าคนนั้นแพ้ 

ใครเลิกรักก่อนจึงจะเป็นผู้ชนะ







Talk

สวัสดีค่ะทุกคน  เมยมาลงเร็วกว่ากำหนดการเดิมสองวัน  เพราะพรุ่งนี้ต้องไปผ่าฟันคุดแล้วคาดว่าน่าจะล้มหมอนนอนเสื่ออีกหลายวัน ไม่อยากให้รอกันนานเลยมาอัพลงก่อน  :katai4:

สำหรับตอนนี้มีใครเดาถูกไหมคะ (หัวเราะ) เรื่องนี้ออกตัวเลยว่าไม่มีคนที่ปกตินะคะ  ตัวละครทุกตัวมีความซับซ้อนและปมในใจ  แต่พวกเขาจะค่อยๆแก้หรือผูกเงื่อนแน่นขึ้น  อันนี้ก็ต้องมาลุ้นไปด้วยกันเนอะ 

เพลงในตอนนี้ที่ถูกเอ่ยถึงนะคะ
1.Radioactive - Imagine Dragons
2.Stay - Zedd, Alessia Cara
3.Be as you are - Mike Posner

ขอให้ทุกคนมีความสุขกับการอ่านค่ะ  อย่าลืมรักษาสุขภาพด้วยนะคะ   :mew1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-02-2020 22:55:35 โดย Emerald »

ออฟไลน์ hunhan

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
แล้วสิ่งที่เรากลัวก็เป็นจริง ไอน์กับน้องสาว ตอนแรกคืดว่ารับได้แต่พออ่านจริงๆแล้วช็อคนิดหน่อย
เห้อ ทำใจแปป ตอนนี้ยังคิดไม่ออกเลยว่าเมษกับไอน์จะบรรจบกันได้ยังไง  :sad4: :o12:
ตอนนี้ช็อคอยู่ มือสั่น555 อินไปหน่อยค่ะ

ออฟไลน์ u_cosmos

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1114
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-1
เรื่องเมษมันยากที่จะหนี ส่วนไอน์ก็ยากที่จะตัด
เป็นความสัมพันธ์ที่มืดมนมากเลยค่ะ
ห้าตอนก็เปิดมาขนาดนี้แล้ว จากนี้จะเป็นยังไงเนี่ย

ออฟไลน์ TheDoungJan

  • ขอบคุณนักเขียนที่คนที่สร้างทุกตัวละครขึ้นมานะคะ(♡˙︶˙♡)
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
 ต่างก็มีความลับของความสัมพันธ์ต้องห้ามของตัวเอง คนนึงอยากหลุดพ้นแต่ก็ทำไม่ได้ อีกคนก็ตกอยู่ในวังวนของรัก คิดไม่ออกเลยว่าจะมาบรรจบกันแบบไหน

ออฟไลน์ Emerald

  • ความลับไม่มีในโลก แต่ในโลกใบนี้ก็ยังมีความลับ ♥
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +143/-1
06
- Two is better than one -


   
เมษาสังเกตเห็นว่าวันนี้รัชชาตะหายหน้าไปจากห้องเรียนเกินค่อนวัน  กว่าจะโผล่หน้ามาให้เห็นอีกครั้งก็ตอนคาบหก  มาแล้วก็ยื่นเศษกระดาษที่เห็นรอยซึมของหมึกปากกาทะลุออกมาเพราะแรงขีดให้กับเพื่อนอีกสามคน  ก่อนจะกลายเป็นสุมหัวกันก้มหน้าก้มตาเขียนขยุกขยิกตลอดทั้งคาบเรียนจนถูกคุณครูประจำวิชาเห็นเข้าแล้วตำหนิกลางห้อง  กระนั้นแล้วเพื่อนอีกสามคนก็ยังอดไม่ได้ที่จะชะโงกหน้าส่งสายตามามองเหมือนให้กำลังใจเป็นพักๆ     

การโต้เถียงกันเล็กๆน้อยๆเมื่อครู่ดูเหมือนจะสร้างทั้งความหงุดหงิดระคนกลุ้มใจให้กับรัชชาตะจนเมษาอดสงสัยไม่ได้เลยว่าพวกเขาพยายามทำอะไรอยู่กันแน่  จะว่าแต่งเพลงอยู่เหมือนคราวที่แล้วก็คงไม่ใช่  เมษายังจำอากัปกิริยาที่ผ่อนคลายไร้ซึ่งความแยแสต่อสิ่งใดราวกับทุกอย่างเป็นเรื่องง่ายดุจพลิกฝ่ามือของอีกฝ่ายในตอนนั้นได้ไม่ลืม  ดังนั้นจึงตัดความเป็นไปได้ข้อนี้ออกไปเป็นอันดับแรก 

กริ่งบอกเวลาเลิกเรียนดังพร้อมกันกับที่รัชชาตะหยิบกระเป๋ากีตาร์ขึ้นสะพายไหล่แล้วลุกจากเก้าอี้เดินไปออกทันทีโดยไม่แม้แต่จะเหลียวหลัง  เมษาจึงได้แต่นั่งมองตามไหล่กว้างที่เพิ่งผ่านกรอบประตูห้องด้วยความรู้สึกเสียดายไม่น้อย

วันนี้ก็ไม่ได้คุยกันอีกแล้ว
   
เมษาถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างจนใจ  พักหลังมานี้รัชชาตะโผล่หน้ามาที่ห้องเรียนน้อยลงเรื่อยๆ  อีกทั้งงานที่ต้องทำส่งก็ลดลงเสียพานใจหาย  เนื่องจากใกล้ช่วงสอบปลายภาคคุณครูหลายท่านจึงให้งานน้อยลงเพื่อให้นักเรียนได้มีเวลาทบทวนบทเรียนสำหรับเตรียมสอบในอีกไม่กี่วันที่จะถึง  เรียกว่าอะไรๆก็ไม่เป็นใจเลยสักอย่าง  โอกาสที่จะได้คุยกันจากที่น้อยมากอยู่แล้วกลับกลายเป็นแทบไม่มีเลย
   
เขาได้แต่หยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าขึ้นมาเสียบสายสมอล์ทอล์กแล้วเปิดเพลงนั่งฟังไปเรื่อยเพื่อรอเวลาให้ท้องฟ้ามืดลง
   
จวบจนฟังครบหมดทุกเพลงแล้วจึงค่อยเก็บของใส่กระเป๋าแล้วเดินออกจากห้องเป็นคนสุดท้าย
   
สองขาเดินอ่อยอิ่งไปตามทางเดินที่เริ่มสลัว  อาจเพราะเป็นช่วงปลายฝนต้นหนาว  กลางคืนจึงได้มาเยือนช้ากว่าปกตินัก  แม้เวลาจะชี้บอกอย่างชัดเจนว่าหกโมงเย็นแล้ว  ทว่ากลับยังพอมีแสงสว่างส่องทางให้เห็นทัศนียภาพรอบข้างอยู่บ้าง

...รัชชาตะ
   
ช่างเป็นความโชคดีอย่างสุดแสน  รัชชาตะผู้ซึ่งออกจากห้องเป็นคนแรกกลับยังนั่งอยู่ที่ลานหินอ่อนริมสระบัวคนเดียวพร้อมกับเศษกระดาษที่เพิ่มจำนวนขึ้นจนวางระเกะระกะอยู่เต็มโต๊ะ  หากเขาไม่บังเอิญเลือกเดินลัดผ่านทางนี้คงไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วอีกฝ่ายยังไม่ได้กลับไปไหน 
   
เมษาย่อมไม่ลังเลที่จะเดินตรงเข้าไปทักทายคนที่เอาแต่นั่งก้มหน้าและกดโทรศัพท์ไปด้วย  สีหน้าเคร่งขรึมของรัชชาตะยามที่กำลังตั้งใจคิดทำอะไรให้ความรู้สึกแตกต่างจนพานทำเอาเมษาใจเต้นไม่เป็นจังหวะยิ่งกว่าสาวน้อยวัยแรกแย้มในหนังสือการ์ตูนตาหวานเสียอีก  ไม่ว่าจะเป็นด้านไหนก็ล้วนทำให้เขาหลงใหลได้ทั้งนั้น

เขาคงตกหลุมรักผู้ชายที่ชื่อรัชชาตะเข้าแล้วจริงๆ

“ไอน์ยังไม่กลับเหรอ”

“.....”

แม้จะทักทายได้อย่างเป็นธรรมชาติจนนึกอยากปรบมือชมเพียงใด  แต่เมื่ออีกฝ่ายไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบสนองก็ทำเอาหัวใจที่เคยพองโตพลันหดแฟบลงเหมือนลูกโป่งที่ถูกปล่อยลม

คิดเข้าข้างตัวเองในแง่ดีว่ารัชชาตะคงกำลังใช้สมาธิอยู่จึงไม่ทันรู้สึกถึงการมาของเขา  ก่อนตัดสินใจเปล่งเสียงออกไปอีกครั้งด้วยระดับที่ไม่มีใครกล้าบอกว่าไม่ได้ยินแน่นอน 

“ไอน์”

ได้ผล  รัชชาตะเงยหน้าขึ้นจากจอมือถือก่อนเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงแปลกใจ

“ว่าไง?  คุณหัวหน้าห้อง?”

“ประตูใกล้จะปิดแล้วนะ” เมษาที่มักอยู่เย็นประจำทุกวันจึงรู้เวลาปิดประตูของทางโรงเรียนเป็นอย่างดี  “ทำอะไรอยู่เหรอ”

“กำลังคิดชื่อวง  ยังไม่ถูกใจสักที”
   
“หืม?  แล้วชื่อที่ใช้แสดงอยู่ตอนนี้?”
   
“นั่นแค่ชื่อที่ตั้งขึ้นมาใช้แก้ขัดน่ะ”

“.....”

“จะเปลี่ยนก็ยุ่งยากเพราะคนจำได้แล้ว”

“จู่ๆเพิ่งคิดอยากจะเปลี่ยนเหรอ”

“นายว่าอันไหนดี” รัชชาจะหยิบเศษกระดาษชิ้นหนึ่งจากในกองจากบนโต๊ะขึ้นมาชูให้เมษาอ่าน
   
ตอบคำถามด้วยคำถามอีกแล้ว  แปลว่าไม่อยากบอกเขาสินะ 

คนคนนี้แค่จะพยายามเลี่ยงตอบแบบไม่ให้ถูกจับได้เพื่อพยายามรักษาน้ำใจกันยังไม่แม้แต่จะคิดเสียเวลาทำ  แต่นั่นก็เป็นข้อดีที่เมษาชอบ เพราะรัชชาตะไม่เสแสร้ง  และไม่โกหกนั่นเอง

“L2RN?”

“คิดว่าไงบ้าง”

“ก็ดูเท่ดีนะ  มาจากความหมายอะไรเหรอ” เมษาถามกลับไปพลางพยายามคิดหาความหมายด้วยตัวเองไปด้วย   

“อักษรตัวหน้าของชื่อพวกฉันเรียงตามความสูงจากมากไปน้อย”

เอ๊ะ? 

“มีชื่ออื่นอีกไหม”
   
“ถ้าอย่างนั้น N2RL  อันนี้เรียงจากน้อยไปมาก”
   
แทบไม่ต่างจากเดิมเลยนี่นา  ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่จะเริ่มเรียงจากความสูงของใครเสียหน่อย 
 
“ไม่มีความหมายอื่นที่คิดไว้เลยเหรอ”
   
“ก็คิดไว้หลายอัน  แต่รู้สึกว่าคำมันยังไม่ยูนีกเท่าไร”
   
ถึงจะพอรู้อยู่แล้วว่ารัชชาตะไม่ใช่คนละเอียดอ่อนกับเรื่องพวกนี้ขนาดนั้น  แต่เอาตัวอักษรมาเรียงกันทื่อๆแบบนี้เลยเนี่ยนะ  จะว่ายูนีกมันก็ยูนีกอยู่หรอก  เพียงแต่ที่มาที่ไปของความหมายนี่ออกจะสุดโต่งเกินไปแล้ว  จะให้บอกไปตามตรงเมษาก็รู้สึกกระอักกระอ่วนใจไม่น้อย  ถึงอย่างไรก็เป็นคนที่ชอบ  เกรงว่าคำพูดของตัวเองจะไปทำลายความมั่นใจของอีกฝ่ายแล้วพานทำให้ถูกเกลียดเอา
   
ลำบากใจจัง
   
“ไม่ดีเหรอ”
   
“จะว่าไงดีล่ะ  มันค่อนข้าง...”

ขอไปทีไปหน่อย 

เพราะไม่กล้าพูดจึงได้แต่กลืนประโยคที่เหลือลงท้อง  เมษารู้ดีว่าคนฉลาดอย่างรัชชาตะไม่มีทางดูไม่ออก  แต่กระนั้นเขาก็ไม่กล้าพูดความจริงออกไปอยู่ดี

เมษาตัดสินใจหยิบโทรศัพท์มือถือที่แบตเหลืออยู่เพียงไม่กี่สิบเปอร์เซ็นต์ขึ้นมากดเสิร์ชหาข้อมูลต่อหน้ารัชชาตะทั้งแบบนั้น  ลองเลือกชื่อที่ความหมายดีจากหลายภาษาและเกี่ยวข้องกับดนตรี  เพียงไม่นานก็ได้มาหลายชื่อที่ดูดีมากจนน่าลังเลใจ  หากเมษาสุดท้ายเมษาก็จำต้องตัดใจเลือกออกมาเพียงหนึ่งแล้วลองเสนอไป

“ดีเวนไหม?”
   
“หืม?  แปลว่าอะไร”

ร่างซึ่งสูงกว่าเขาถือวิสาสะขยับเข้ามาเบียดชิดจนศีรษะแทบชนกัน  และเพราะระยะห่างที่ได้ยินแม้แต่เสียงลมหายใจของกันและกันนั่นเองที่ทำให้เมษาได้กลิ่นกลิ่นน้ำหอมแบบสปอร์ตจากบนกายอีกฝ่ายอย่างช่วยไม่ได้  ปกติเขาไม่เคยพิศวาสหรือชมชอบกลิ่นน้ำหอมทุกชนิด  หากไม่รู้ทำไมพอมันมาอยู่บนตัวของรัชชาตะแล้วเขากลับคิดว่าหอมมากและชอบมากถึงเพียงนี้

“ขยายจอหน่อย  อ่านไม่เห็น”

“อะ...อือ”
   
เมษารีบใช้นิ้วมือแตะบนหน้าจอมือถือแล้วขยายเพื่อดูข้อความตามถูกบอก
   
“ดีเวน (Dewain)  ภาษาเซลติก  แปลว่าเพลงเหรอ”
   
“.....”
   
“อืม...” รัชชาตะครางรับเสียงอืมในลำคอพลางใช้มือจับคางด้วยท่าทางครุ่นคิดอย่างหนัก  หากสุดท้ายแล้วก็เอ่ยชมพร้อมกับระบายยิ้ม “เจ๋งดีนะ”

“.....”

“ฉันชอบ”

หลังจากนั้นเขาเหมือนถูกใครเอาค้อนมาทุบหัวให้ความจำเสื่อมไปชั่วขณะ  จำไม่ได้เลยว่าล่ำลากับอีกฝ่ายอย่างไร  และกลับบ้านไปอย่างไร  รู้เพียงว่าวันนั้นเป็นวันที่เขาได้สัมผัสว่าความสุขคืออะไร  มีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรโดยแท้จริง

เมษาขอสาบานจากใจเลยว่าจะไม่มีวันลืมกลิ่นน้ำหอม  รอยยิ้ม  และคำว่าชอบของรัชชาตะไปชั่วชีวิต








Talk


สวัสดีค่ะ  ไม่ได้เจอกันหนึ่งสัปดาห์  ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ปั่นมาได้แค่นี้  แอบติดเกม  ติดซีรีส์  ติดทุกอย่างที่ไม่ใช่ติดแต่งนิยายมาก  ระหว่างที่พักฟื้นหาอะไรทำไปเรื่อยจนตอนนี้กลายเป็นว่าติดยาว :o8: 

ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์และกำลังใจนะคะ  ส่วนตอนนี้ครึ่งแรกอ่านแบบน่ารักสบายๆพอกรุบกริบไปก่อน  อีกครึ่งตอนที่เหลือแปะโป้งไว้เจอกันใหม่สัปดาห์หน้า  เจ้มจ้นขึ้นแน่นวลลลลลลล  จุ้บๆ  :กอด1:

ออฟไลน์ Emerald

  • ความลับไม่มีในโลก แต่ในโลกใบนี้ก็ยังมีความลับ ♥
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +143/-1
(ต่อ)


ไม่นานมานี้มีข่าวลือหนาหูเกี่ยวกับวงของรัชชาตะที่เมษาได้ยินมาจากกลุ่มแฟนคลับบนนกสีฟ้าตั้งแต่ช่วงปิดเทอม  ทว่าไม่มีหลักฐานเพียงพอมันจึงยังเป็นแค่ข่าวโคมลอยมาตลอด  เขาเองก็ไม่อยู่ในฐานะที่จะไปสอบถามหรือพิสูจน์ด้วยตนเอง  จึงได้แต่ติดตามเงียบๆไม่ต่างอะไรกับคนอื่น 

พักหลังนี้รัชชาตะและกลุ่มเพื่อนขาดเรียนบ่อยขึ้น  แถมครูทุกท่านก็ไม่มีใครว่าอะไรราวกับรู้ทุกอย่างอยู่แล้ว  กอปรกับเมื่อไม่นานมานี้ที่จู่ๆรัชชาตะคิดอยากเปลี่ยนชื่อวงที่เคยใช้มานาน  พอถามถึงเหตุผลก็แสร้งทำเฉไฉไม่ยอมบอก  เมษาฉลาดพอที่จะเอาเรื่องเหล่านี้มาปะติดปะต่อกันจนเข้าใจได้ว่าข่าวพวกนั้นคงมีมูลอยู่ไม่มากก็น้อย  เหลือก็แค่ต้องการหลักฐานยืนยัน 

จนกระทั่งวันนี้ที่เป็นวันแรกของการเปิดภาคปีการศึกษาใหม่  เขาถึงได้เห็นหลักฐานชิ้นที่ว่ายืนเด่นเป็นสง่าอยู่บนเวทีหน้าเสาธง

ผมสีควันบุหรี่โดดเด่นก็คือหลักฐานนั่นเอง
   
คนอื่นๆอย่างนิรัชเองก็ย้อมผมเป็นสีน้ำตาลเหลือบแดง  มีแค่เรียวที่ยังคงผมสีดำปกติ  ส่วนเลองเพราะมีผมสีทองและตาสีฟ้าธรรมชาติอยู่แล้ว  จึงแทบไมได้ทำอะไรนอกจากจัดแต่งให้เป็นทรงที่ทันสมัยมากขึ้น  หาใช่รองทรงตามปกติเฉกเช่นทั่วไป
   
การเปลี่ยนแปลงของทั้งสี่คน  แน่นอนว่าสร้างเสียงฮือฮาให้กับนักเรียนในโรงเรียนเป็นอย่างมาก  ใครที่ไม่เคยสนใจก็ยังต้องสนใจ  ต่อให้ไม่อยากรู้ก็ต้องรู้ 

ช่วงเช้าของการเข้าแถวหน้าเสาธง  ผู้อำนวยการโรงเรียนซึ่งจะปรากฏตัวเพียงนานครั้งได้ขึ้นชี้แจงถึงเรื่องทรงผมที่ไม่เป็นไปตามกฎระเบียบของพวกรัชชาตะ  เมษาที่ตั้งใจฟังทุกประโยคจับใจความและสรุปได้อย่างรวดเร็วว่าทุกคนได้เซ็นสัญญาเป็นศิลปินของค่ายเพลงแห่งหนึ่งเต็มตัวแล้ว  และมีกำหนดการที่จะเดบิวต์ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้  ก่อนที่จะให้ส่งต่อไมค์ให้แก่นักเรียนดาวเด่นของวันนี้แนะนำตัวทีละคน

“สวัสดีครับ  ผมรัชชาตะ  ศิวรักษกุล  หรือไอน์  ตำแหน่งกีตาร์โซโล่และหัวหน้าวงครับ” พูดจบก็ส่งไมค์ต่อไปให้เลองซึ่งยืนอยู่ทางซ้ายมือ

“สวัสดีครับ  ผมเลอง...”

หลังจากนั้นเสียงของคนอื่นๆก็แทบดังไม่เข้าโสตประสาทแล้วว่าชื่ออะไร  เล่นตำแหน่งไหนในวงบ้าง  สมาธิทั้งหมดของเขาจดจ่ออยู่กับร่างสูงที่สามารถพูดได้ลื่นไหลไม่ติดขัดแม้สักประโยค  ทั้งยังยืนด้วยท่วงท่าสบายๆไร้ซึ่งความกังวลใจ  อาจเพราะเจนเวทีแล้วก็เป็นได้จึงไม่แสดงอาการประหม่าออกมาให้เห็น  กระนั้นก็ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นเหมือนรัชชาตะ  เลองกับนิรัชแม้จะผ่านเวทีมาด้วยกันก็ยังตื่นเต้นอยู่บ้าง

เมื่อแนะนำตัวให้พอได้รู้จักว่าใครเป็นใครจนครบทุกคนแล้ว  ผู้อำนวยการก็รับหน้าที่เป็นพิธีกรจำเป็นด้วยความเต็มใจ

“มีชื่อวงกันไหม  ชื่อว่าอะไร”

เรียวส่งไมค์กลับมายังรัชชาตะทันทีเหมือนรู้หน้าที่ 

ระหว่างนั้นแฟนคลับที่มีอยู่เกือบทั่วทุกมุมของโรงเรียนก็ต่างพาช่วยกันตะโกนชื่อวงที่รู้กันดี  ทว่าพอรัชชาตะยิ้มพร้อมกับยกมือใช้นิ้วชี้จรดริมฝีปากเป็นเชิงบอกให้เงียบ  ฉับพลันทุกคนถึงยอมสงบลงแต่โดยดีราวกับถูกมนตร์สะกด

“ขนาดยังไม่ได้เปิดตัวเป็นทางการ  แฟนๆยังเยอะน่าดูเลยนะ”

รัชชาตะไม่ตอบอะไร  แค่ระบายรอยยิ้มประดับบนใบหน้า 

“แล้วสรุปว่าชื่อวงว่าอะไร  ใช่ชื่อที่แฟนๆบอกไหม”

“เมื่อก่อนเคยใช้ชื่อนั้นครับ  แต่ตอนนี้เปลี่ยนแล้ว”

“บอกหน่อยได้ไหมว่าเปลี่ยนเป็นอะไร”

“ครับ”

“ทุกคนอยากรู้ไหม”

“อยากกกกก!!” เสียงตะโกนจากด้านล่างตอบกลับมา

ชั่วจังหวะเวลาสั้นๆไม่กี่วินาทีนั้นเอง  รัชชาตะบังเอิญสบเข้ากับดวงตาโศกสีน้ำตาลอ่อนที่กำลังจ้องมองมายังเขาจากด้านล่าง 

ต่อให้เขาเฉยชากับการปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างเพียงใด  แต่คุณหัวหน้าห้องคนนี้ก็นับว่าดีกับเขาไม่น้อย  ชื่อที่จำต้องเอ่ยออกมาต่อจากนี้หากอีกฝ่ายไม่คิดมากก็ดีไป  หากกระนั้นถึงจะคิดมากแล้วอย่างไรเล่า  เขาคงได้ให้ได้แค่สองคำคือ ‘ขอโทษ’  นอกจากนั้นแล้วก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองทำผิดตรงไหนที่ไม่ได้เลือกใช้ชื่อที่อีกฝ่ายช่วยคิดให้ 

“ทำอะไรอยู่เหรอพี่ไอน์”

“คิดชื่อวง”
รัชชาตะเอ่ยตอบน้องสาวที่กำลังนอนหนุนตักเขาพร้อมกับเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่ด้วยกันตรงโซฟา

หลังจากที่เคยปฏิเสธค่ายเพลงแห่งหนึ่งไปเมื่อสองปีที่แล้ว  เขากับเพื่อนก็ยังคงทำวงต่อมาเรื่อยๆโดยอาศัยเส้นสายของคนรู้จักขึ้นแสดงตามร้านอาหารที่เปิดกลางคืน  หรือไม่ก็ร้านเหล้าจนมีแฟนคลับกลุ่มเล็กๆคอยติดตามผลงานและให้กำลังใจเสมอ  นั่นทำให้รัชชาตะไม่เคยรู้สึกไม่พอใจ

และเพราะไม่เคยมีตัวเลือกอาชีพศิลปินอยู่ในหัว  ต่อให้ใครหลายคนจะโอดครวญให้ฟังว่าน่าเสียดายอย่างไร  เขาก็ยังคงสามารถเมินเฉยและไม่เคยเสียใจเลยสักครั้ง  สำหรับรัชชาตะแล้วขอแค่ได้เล่นกีตาร์ที่ชอบไปตลอดก็พอ  จะเป็นแค่งานอดิเรกหรืออะไรก็ไม่มีปัญหา 

หากไม่มีเหตุการณ์ในวันนั้น... 

เขาก็คงยังใช้ชีวิตตามความพอใจไปเรื่อยๆโดยไม่ตระหนักสิ่งใด

รัชชาตะเรียนรู้อย่างกระจ่างแล้วว่าตราบเท่าที่ยังมีชีวิตอยู่บนโลกที่ขับเคลื่อนภายใต้กฎของปลาใหญ่กินปลาเล็ก  ล้วนไม่มีที่ยืนสำหรับคนอ่อนแอทั้งนั้น  สองมือที่ไร้ซึ่งกำลังไม่อาจปกป้องสิ่งสำคัญได้แม้สักอย่าง  หรือต่อให้เปลี่ยนเป็นพยายามร้องตะโกน  เสียงก็ยังเบาเกินกว่าจะสร้างแรงกระเพื่อม  ตัวอย่างแทบไม่ต้องมองหาจากไหนไกล  เขาที่หลงระเริงคิดว่าตัวเองจะสามารถเคียงข้างดูแลรัชญาได้ไปตลอด  แต่แค่ผู้ชายนั้นเอ่ยปากคำเดียวว่าให้เขาออกไป  ผลคือตอนนี้เขาต้องออกจากบ้านที่มีเธออยู่ 

ดังนั้นเมื่อถูกทาบทามอีกครั้งจากบริษัทเพลงยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง  เขาจึงไม่ได้บอกปัดเฉกเช่นที่ผ่านมา  กลับกันแล้วยังรู้จักที่จะยื่นเงื่อนไขต่อรองเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตัวเองให้มากที่สุด  ซึ่งบริษัทก็ใจป้ำแล้วตอบตกลงทันที 

ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์พวกเขาทั้งสี่คนก็ได้เซ็นสัญญาเป็นศิลปินเต็มตัวเรียบร้อย  เพลงสำหรับเดบิวต์ถูกเตรียมไว้พร้อมภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดของบริษัท  จะเหลือก็แค่ชื่อวงที่ขบคิดจนสมองแทบระเบิดอย่างไรก็ยังไม่ตกผลึกออกมาเป็นชื่อที่ถูกใจที่สุดเสียที

“ไหน  ขอนิดูหน่อยสิ”

รัชชาตะส่งเศษกระดาษในมือให้อีกฝ่ายอย่างว่าง่าย

“L2RN?  N2RL?”

“.....”

“อย่าบอกนะว่าเอาอักษรตัวหน้าของชื่อพวกพี่มาเรียงต่อกัน”

“ตามความสูง”
รัชชาตะพูดเสริมยังไม่ทันจบคำดี  รัชญาก็ยันตัวลุกขึ้นนั่งแล้วเอามือแสกผมของเขาไปมาจนยุ่งเหยิงเหมือนตั้งใจแหวกหาอะไรบางอย่าง

“ทำอะไรของเธอ”

“หาสมองของพี่ไอน์”

“.....”

“คิดมาได้ไงชื่อพวกนี้”

“.....”


รัชชาตะถึงกับได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างรุนแรงไปแบบดับเบิลคิล  นอกจากนี้ยังติดคริติคอลอีกด้วย  เรียกได้ว่าสาหัสสากรรจ์จนพูดไม่ออกเลยทีเดียว  มิน่าเล่าคนอื่นในวงถึงได้พยายามเถียงเขาแทบเป็นแทบตายว่าไม่ให้ใช้ชื่อนี้เด็ดขาด  แม้แต่คุณหัวหน้าห้องที่บังเอิญผ่านมาเจอกันก็มีสีหน้าลำบากใจตอนที่ได้ยิน

ชื่อที่เขาคิดมันแย่ถึงเพียงนั้นเชียวหรือ

“แล้ว Dewain นี่ล่ะ”

เขาได้สติกลับคืนมาทันทีเมื่อได้ยินชื่อที่หัวห้องช่วยคิดให้ก่อนกลับ  จากนั้นจึงค่อยอธิบายตามความทรงจำเท่าที่พอนึกได้ “มาจากภาษาเซลติก  แปลว่าเพลง”

“เห...ความหมายทื่อไปหน่อย  แต่ก็เพราะดี”

“แล้วถ้าเป็นเธอจะตั้งว่าอะไร”
รัชชาตะไม่ได้ถือสาคำวิจารณ์ขวานผ่าซากของน้องสาว  แต่ถามความเห็นของเธออย่างตรงไปตรงมา

“ขอคิดก่อนนะ”

ถึงคราวรัชญาเงียบไปบ้าง  คิ้วซึ่งถูกกันให้เข้ารูปขมวดมุ่นอย่างครุ่นคิด  เธอกวาดตามองไปรอบห้องก่อนจะหยุดที่นาฬิกาแขวนบนผนังที่เข็มยาวชี้เลขสิบสองบนหน้าปัด  ฉับพลันนั้นดวงตาสีเดียวกับรัชชาตะก็เปล่งประกายทันทีพร้อมกับโพล่งออกมาด้วยน้ำเสียงสดใส

“มิดไนท์”

“หืม?”

“แต่เวลาเขียนเขียนแบบนี้”
รัชญาฉวยจังหวะตอนที่เขากำลังเผลอหยิบปากกาจากมือแล้วก้มลงเขียนตัวหนังสือลงไป



00:00



“จุดเชื่อมต่อของวันที่จบลงและวันที่เริ่มต้นใหม่”

“.....”

“พี่คิดว่าไงบ้าง”
รัชญาฉีกยิ้มกว้างเสียจนทำเอาเกือบตาพร่า  เธอเขย่าแขนเขาไปมาแล้วถามความเห็นด้วยความกระตือรือร้น  นัยน์ตาโตจ้องมองมายังเขาอย่างคาดหวังเต็มเปี่ยม  น่ารักเสียจนอดใจโน้มหน้าเข้าไปหอมแก้มนวลไม่ได้

“ดีมาก” แต่ไหนแต่ไรรัชชาตะก็ไม่ใช่คนที่พูดความรู้สึกออกไปได้เก่งอยู่แล้วจึงเค้นคำตอบออกไปได้แค่สองคำ  ซึ่งรัชญาเองก็เข้าใจจึงไม่ได้เซ้าซี้ต่อ 

“ถ้าพี่ว่าดีต้องเอาไปใช้นะ” เธอยิ้มอย่างภาคภูมิใจ

“แน่นอน”

ไม่ต้องบอกเขาก็จะทำเช่นนั้นอยู่แล้ว  เพราะเป็นชื่อแสนสำคัญที่คนสำคัญเป็นผู้ตั้งให้  ต่อให้คนทั้งโลกเอ่ยคัดค้านอย่างไร  เขาก็จะยังยืนยันว่าต้องเป็นชื่อนี้เท่านั้น  อะไรที่เธอว่าดีเขาก็ว่าดี  นอกเหนือจากชื่อที่เธอมอบให้  ชื่ออื่นเขาไม่ต้องการ

L2RN 

N2RL

Dewain

รัชชาตะไม่ลังเลที่จะขีดฆ่าอีกสามชื่อที่เหลือทิ้งในทันที  เขาแทบไม่ต้องลำบากตัดสินใจเลือกเลยด้วยซ้ำ 

ไพล่นึกถึงช่วงเวลาหลายวันที่เอาแต่ขบคิดจนหัวหมุนและโต้เถียงกับคนอื่นๆประหนึ่งว่าโลกกำลังจะถึงกาลอวสานแล้วก็น่าขำ  ปัญหาทุกอย่างเมื่ออยู่กับรัชญาที่เคยยากก็กลับกลายเป็นคลี่คลายได้ง่ายไปเสียหมด  เธอเหมือนเกิดมาเพื่อเติมเต็มเขาในส่วนที่ขาดหายไป  ไม่สิ  เมื่อนานมาแล้วเธอเคยบอกว่าพวกเขาต่างเกิดมาเพื่อเติมเต็มกันและกัน

ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรเขาก็ขาดเธอไม่ได้   

“มิดไนท์ครับ”

“กรี๊ดดดดดดดดดดดด!” เสียงกรี๊ดดังสลั่นจนเกือบกลบเสียงไมค์มิด  แต่รัชชาตะก็ยังคงพูดเสริมอย่างใจเย็น

“แต่เขียนด้วยเลขศูนย์สี่ตัว”

เพราะเป็นชื่อที่คิดขึ้นอย่างลวกๆ  เมษาจึงไม่ค่อยแปลกใจเท่าไรนักที่ชื่อซึ่งเขาช่วยเสนอให้จะไม่ถูกนำมาใช้จริง  ใช่  เขาเข้าใจเหตุผลเป็นอย่างดี  รู้ถึงขั้นแจ่มแจ้ง  กระนั้นก็ยังห้ามตัวเองไม่ให้รู้สึกผิดหวังไม่ได้  เพราะคาดหวังจึงผิดหวัง  โชคดีที่คำคำนี้นิยามมาเพื่อเมษา  เขาค่อนข้างจะชินกับมันอยู่บ้างจึงเจ็บเพียงเล็กน้อย  ไม่เช่นนั้นหัวใจที่เดิมทีก็แทบแหลกสลายอยู่แล้วคงป่นเป็นผงยิ่งกว่าฝุ่นทราย

เมษาดีใจที่รัชชาตะสามารถสานฝันได้อย่างที่ตั้งใจ 

ทว่าลึกๆแล้วกลับมีก้อนบางอย่างจุกแน่นในอก 

ความจริงแล้วเขาเห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจ  แม้แต่จะแสดงความยินดีจากใจยังทำไม่ได้  เป็นแค่คนขี้แพ้ที่ไม่ต้องการเห็นอีกฝ่ายประสบความสำเร็จมากไปกว่านี้  เพราะเขารู้ดีว่าแต่ละก้าวจะยิ่งทำให้ระยะห่างเพิ่มขึ้น  ไกลออกไปเรื่อยๆจนสุดท้ายแล้วก็คงไปในสถานที่ซึ่งเขาไม่มีวันเอื้อมถึง 

ถึงตอนนั้นต่อให้อยากไล่ตามก็เกินกำลัง  การพยายามก็ไม่เคยรับประกันได้ว่าจะสมหวังเสมอไป  เมษารู้แล้วว่าอะไรคืออับจนปัญญาและไร้ซึ่งหนทางอย่างแท้จริง 

นี่สินะรสชาติของความรู้สึกที่ปรารถนาให้ตายอย่างไรก็ไม่มีวันได้ครอบครอง 







 :katai5:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-03-2020 07:27:22 โดย Emerald »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Emerald

  • ความลับไม่มีในโลก แต่ในโลกใบนี้ก็ยังมีความลับ ♥
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +143/-1
07
- In the name of love -



นัยน์ตาสีอ่อนลืมตื่นขึ้นมากลางดึกพบกับฝ้าเพดาน  ลองกดสายตาไล่มองลงต่ำตามระดับก็พบกับนาฬิกาดิจิตัลบนชั้นวางที่หน้าจอปรากฏเลขสี่  หลังจากฝันถึงเรื่องในอดีตแสนยาวนานแล้วกลับบอกไม่ถูกว่าความรู้สึกที่ติดอยู่ตรงปลายลิ้นนี้หวานหรือขมกันแน่

ที่ผ่านมาเมษามักจะฝันถึงเรื่องซ้ำๆอยู่เพียงไม่กี่เรื่อง  เขาไม่แน่ใจว่าเพราะตัวเองเป็นพวกขาดจินตนาการหรืออย่างไร  ความฝันของเขาจึงได้ราวกับว่าถูกจำกัดด้วยกรอบบางอย่างที่ครอบทับเอาไว้อยู่ชั้นหนึ่ง  ส่วนใหญ่มักจะเป็นเหตุการณ์หรือเรื่องราวที่ติดค้างอยู่ในใจ 

หลายคนอาจคิดว่ามันแปลก  แม้แต่เขาเองก็ยังรู้ว่านี่ไม่ปกติ  ใช่ว่าเขาชอบทรมานตัวเองจึงไม่รู้จักปล่อยวางลงเสียเมื่อไร  แต่เพราะค้นพบว่าในความฝัน...ในอดีตแม้จะมีเรื่องให้เสียใจถึงแปดส่วน  ทว่าก็ยังพอเหลืออีกสองส่วนที่เจือด้วยความสุขเล็กๆ  ถึงมันออกจะสั้นจนรู้สึกว่าช่วงเวลาเหล่านั้นผ่านไปอย่างรวดเร็วเกินไป   หากต้องชั่งน้ำหนักเทียบกับปัจจุบันที่เป็นอยู่แล้วเลือกได้เพียงแค่หนึ่ง  เขาก็คงเลือกหยิบ ‘อดีต’ โดยไม่ลังเล   

อย่างน้อยก็ยังพอยิ้มออกอยู่บ้าง 

เมษาลุกขึ้นจากเตียงตรงไปชำระล้างคราบสกปรกบนร่างกายในห้องน้ำทั้งสภาพเปลือยเปล่า  ผิวขาวเนียนละเอียดเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำดุจงานศิลปะชั้นสูงที่พยายามแต่งแต้มสีสันลงบนผลงานปะติมากรรม  หากเป็นเพียงรูปปั้นคงถูกกล่าวขานถึงความงดงามอันน่าโจษจัน  น่าเสียดายที่รูปปั้นชิ้นนี้มีหัวใจที่ถึงจะแหว่งวิ่นไปบ้าง  แต่ยังคงรู้สึกเจ็บปวดเสมอเมื่อถูกฉีกกระชากทำลายทีละนิด

หลังจากผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว  เขาเดินกลับมาที่เตียงอีกครั้งพร้อมกับปลุกคนที่ยังคงหลับใหลอยู่ในห้วงนิทรา 

กิจวัตรที่ทำเป็นประจำจนไม่รู้ว่าเมื่อไรที่ชินชากับมัน 

“ตีสี่แล้วเหรอ” เจ้าของร่างที่ไร้ซึ่งสิ่งนุ่งห่มไม่ต่างอะไรกับเขาก่อนหน้านี้ถามเสียงงัวเงีย  ก่อนจะยันตัวลุกขึ้นนั่งแล้วสวมกอดเอวผอมไว้หลวมๆ

“อือ  คุณต้องกลับแล้ว”

“กลิ่นสบู่พออยู่บนตัวเธอแล้วหอมดีจัง”

“.....”

“ยังไม่อยากกลับเลย”

“.....”

“อยากอยู่กับเธอแบบนี้ไปนานๆ”

“.....”

“ถ้าวันหนึ่งฉันหย่าแล้วมาอยู่กับเธอแบบเปิดเผย  เธอจะยอมไหม”

“ถึงวันนั้นผมก็ไม่จำเป็นต้องยอมคุณอีก”

แม้ถ้อยคำจะสุภาพ  แต่น้ำเสียงที่ใช้กลับกระด้างจนสามารถรับรู้ได้ถึงความไม่พอใจอย่างชัดเจน

ยังต้องถามถึงเรื่องยอมไม่ยอมอีกหรือ  ทุกวันนี้ที่เขาทำตัวเป็นผู้ชายแพศยาแอบหลับนอนกับสามีของมารดาตัวเองก็ใช่ว่าเพราะชอบเสียเมื่อไรกัน 

ระหว่างยินยอมกับจำยอม  ต่างกันคำแค่เดียวความหมายก็คนละโยชน์แล้ว  นั่นแปลว่าเมษาไม่เคยเต็มใจ  แต่ที่ต้องทำก็เพราะไม่มีทางเลือก  หากวันนั้นมาถึงจริงๆสิ่งแรกที่เขาจะทำคือกางปีกโบยบินไปบนท้องฟ้ากว้างอย่างอิสระ 

“นั่นสินะ  ถ้าฉันหย่าก็คงไม่มีอะไรรั้งเธอเอาไว้” พูดพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่เสมือนว่าเป็นปัญหาใหญ่ที่คิดไม่ตก “เพราะงั้นถึงฉันจะรักเธอมากแค่ไหน  ก็ยังต้องมีแม่ของเธอด้วย”

“ชั่วสมกับเป็นคุณดี”

“เพื่อเธอเรื่องชั่วช้ากว่านี้ฉันก็ทำได้”

ศศินนอกจากจะไม่สะทกสะท้านต่อคำปรามาส  ยังถือวิสาสะเชยคางมนแล้วประทับจูบลงไปอย่างจาบจ้วง  กระทั่งริมฝีปากผละออกจากกัน  เสียงใสถึงได้ตอบกลับไปด้วยเสียงคล้ายจะเย้ยหยัน

“อย่าเอาผมมาเป็นข้ออ้างหน่อยเลย”

“.....”

“ยอมรับเถอะว่าคุณมันเลวโดยสันดาน”

“.....”

เมษาสลัดตัวออกจากวงแขนที่กอดเขาเอาไว้ด้วยหมายครอบครองอย่างละโมบมาตลอดหลายปี  ก่อนทิ้งกายลงนอนบนเตียงต่อด้วยท่าทางเหนื่อยล้า 

“พรุ่งนี้ผมมีเรียน  ออกไปแล้วล็อกประตูให้ด้วย”

หมดหน้าที่แล้วก็ไม่ใช่เรื่องของเขาที่จะต้องไปสนใจผู้ชายคนนั้นอีก  สิ่งที่ต้องทำมีแค่นอนพักเอาแรงสักหน่อยเพื่อเตรียมตัวไปเรียนช่วงเช้าให้ทัน   

   



∞ ∞ ∞ ∞ ∞ ∞ ∞




เมษาตื่นขึ้นมาอีกครั้งตอนหกโมงด้วยเสียงปลุกจากโทรศัพท์มือถือ  จัดการทำธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วก็หยิบกระเป๋าสะพายพร้อมกับสวมเฮดโฟน  เปิดประตูออกจากหอพักเพื่อเดินทางไปยังมหาวิทยาลัยซึ่งอยู่ห่างออกไป
   
หลังจากเรียนจบชั้นมัธยมปลายเขาก็ตัดสินใจออกมาเช่าหอพักอยู่ตามลำพัง  แค่พูดอาจฟังดูเหมือนง่าย  แต่กว่าเมษาจะสมปรารถนาแท้จริงนั้นยากกว่ามาก 

ย้อนกลับไปเมื่อสี่ปีก่อน  เมษาในวัยสิบแปดย่างสิบเก้าปีพยายามเก็บเงินจำนวนหนึ่งเพื่อเป็นทุนสำหรับเตรียมย้ายออก  ทว่าจนแล้วจนรอดกลับถูกมารดาคัดค้านอย่างรุนแรงด้วยเหตุผลว่าเป็นห่วงสุขภาพและความปลอดภัยของเขา  ตอนที่ได้ยินเมษาเพียงแค่แค่นยิ้มพลางคิดในใจว่ามารดาช่างไม่เคยรู้อะไรเอาเสียเลย  ต่อให้โลกภายนอกจะอันตรายอย่างที่ว่าหรือไม่  แต่ที่เขาแน่ใจคือบ้านหลังนี้ไม่มีทางเป็นสถานที่ปลอดภัยแน่นอน 

ทว่าตอนที่เกือบถอดใจ  จู่ๆอัยยรินทร์ก็เกิดเปลี่ยนท่าทีกะทันหัน  เธอเอ่ยปากอนุญาตในอีกสัปดาห์ต่อมาพร้อมกับรอยประปรายตามร่าง  แม้เมษาจะรู้ได้ในทันทีว่าทำไม  แต่กลับเลือกที่จะทำเป็นไม่เห็นเพราะกลัวเกินกว่าจะคาดเดา  ได้แต่พยายามเบี่ยงเบนความคิดไปที่การเฝ้ารอวันย้ายออกใจจดจ่อ

แต่แล้วสิ่งที่เขากลัวก็เกิดขึ้น...ราวกับผลกรรมกำลังตามสนองที่คิดหนีออกจากขุมนรกเพียงคนเดียวแล้วทอดทิ้งมารดาที่รักและหวังดีกับเขาเอาไว้ให้เผชิญกับความโหดร้าย 

เพราะการออกจากบ้านหาได้ช่วยให้เขาได้รับอิสระดังที่ต้องการ  สุดท้ายแล้วมันก็แค่การย้ายจากกรงหนึ่งไปสู่อีกกรงหนึ่ง  แถมที่เลวร้ายไปกว่านั้นเขายังถูกทำให้เป็นเหมือนชู้รักที่ศศินแอบเลี้ยงไว้ข้างนอกแล้วสามารถเทียวไปเทียวมาได้ตามใจชอบไม่มีผิด

ความจริงนั่นทำร้ายจิตใจของเมษาจนบอบช้ำไม่น้อย 

แต่ก็ต้องยอมรับเลยว่ามนุษย์มีความสามารถในการปรับตัวยอดเยี่ยม  เมื่อถูกบีบคั้นให้อยู่ในสภาพจนตรอกที่ต้องก้มหน้ายอมรับทุกอย่าง  ต่อสู้แล้วไม่ได้ช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี  มีเพียงความสิ้นหวังกว่าเดิมที่รอคอยอยู่ ถึงค่อยเกิดการเรียนรู้แจ่มแจ้ง 

เฉกเช่นเดียวกับเขาที่หลงวนเวียนอยู่กับช่วงเวลาเหล่านั้นมาหลายปีจนถูกขัดเกลาให้ไม่เหลือคมใดๆอีกต่อไป  ตอนที่รู้สึกว่าพอแล้วกับทุกอย่างก็ตัดสินใจละทิ้งความพยายามที่จะต่อต้านไปอย่างง่ายดายโดยไม่เกรงกลัวว่ามันสูญเปล่า  แต่ไหนแต่ไรการดิ้นรนขัดขืนก็ยากกว่าการยอมจำนนอยู่แล้ว  มิเช่นนั้นเขาคงไม่อาจทำทุกอย่างได้ราวกับเป็นเรื่องธรรมดาเช่นนี้

ช่วงเวลาที่บริสุทธิ์ดุจผ้าขาวมักยาวนานไม่กี่ปี  จากนั้นเมื่อเติบโตขึ้นก็จะค่อยๆถูกย้อมด้วยสีของครอบครัวและสังคมรอบข้าง  สีที่เคยมีอยู่ไม่กี่สีแล้วสวยสด  พอรู้สึกตัวอีกทีก็ผสมปนเปแล้วออกมาเป็นสีเทาไปเสียแล้ว  ผ้าที่เปื้อนแล้วต่อให้ชำระล้างอย่างไรก็ยากจะกลับไปสะอาดดังเดิม

คิดดูแล้วก็อดคิดถึงตัวเองวัยเด็กที่เคยปฏิเสธความชั่วร้ายอย่างผ่าเผยไม่ได้

“ไง  มานานแล้วเหรอ  เช็กชื่อไปหรือยัง” เสียงทุ้มดังขึ้นเหนือศีรษะ  ก่อนที่เจ้าตัวจะหย่อนกายนั่งลงเก้าอี้ข้างกันแล้วหยิบแผ่นเขียนที่พับอยู่ลงมา

“เพิ่งมาได้สักพัก  อาจารย์ยังไม่เข้า” เมษาที่เพิ่งดึงตัวเองออกจากภวังค์ตอบ

“รอดไป” ว่าพร้อมกับถอนหายใจโล่งอก

ชายหนุ่มเป็นคนคนเดียวที่เมษาคบหาเป็นเพื่อนตั้งแต่ปีหนึ่งเพราะถูกใจนิสัยใจคอ  ภูวดลมีหน้าตาคมคาย  แต่ที่โดดเด่นยิ่งกว่าเห็นจะเป็นรูปร่างผึ่งผายและส่วนสูงร้อยเก้าสิบเซนติเมตร   ตอนที่เจอกันครั้งแรกเมษาจำบทสนทนาไม่ค่อยได้นัก  ความทรงจำในหัวที่มีเหลืออยู่เลือนรางพอจะนึกออกได้ว่าทางนั้นเป็นฝ่ายเข้ามาคุยกับเขาก่อน  ภูวดลเป็นคนอัธยาศัยดีเยี่ยมจนไม่ว่าจะไปที่ไหนก็มีคนคอยเข้ามาทักทายไม่ขาด  แตกต่างกับเขาที่มักไม่สุงสิงกับใคร  น่าแปลกที่เจ้าตัวกลับมักชอบมาเกาะติดเขาราวกับสุนัขตัวใหญ่จนเห็นเป็นภาพชินตาสำหรับเพื่อนในคณะ 

อาจเพราะสงสารที่เห็นเขาไม่มีเพื่อนสักคนเดียว 

ถึงจะเป็นความเห็นใจที่ไม่เคยร้องขอ  เมษาก็ยังคิดว่าน่าเสียดายเกินกว่าจะปฏิเสธความใจดีที่ถูกมอบให้  ในสภาพสังคมปัจจุบันที่ผู้คนคอยแต่จะเหยียบย่ำกันและกันเมื่อเผลอสะดุดล้ม  หากพบคนที่ปรารถนาดีกับเราแค่สักคนหนึ่ง  นั่นย่อมโชคดียิ่งกว่าเจอขุมสมบัติมูลค่ามหาศาล  ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่เมษาจะไม่อยากเป็นเพื่อนกับคนดีๆแบบนี้

“นายดูเพลียๆนะ  นอนไม่พอเหรอ” เจ้าของคำถามถือวิสาสะยื่นมือไปเขี่ยใต้ตาที่เริ่มปรากฏรอยคล้ำให้เห็นอยู่จางๆ 

“อืม  นิดหน่อยน่ะ”

“คงไม่ใช่ว่าทำรายงานจนไม่ได้นอนหรอกใช่ไหม”

“.....”

“ถ้าไม่ไหวก็แบ่งงานมาให้เราช่วยได้  นายเหนื่อยเกินไปแล้ว”

ก่อนหน้านี้พวกเขาเพิ่งถูกอาจารย์สั่งให้ทำรายงานเล่มหนึ่งส่งช่วงสอบมิดเทอม  ทั้งที่เป็นงานกลุ่มซึ่งประกอบด้วยสมาชิกหกคน  แต่พอถึงเวลาเข้าจริงๆกลับมีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้นที่ลงมือทำอย่างเต็มที่  ส่วนสมาชิกที่เหลือกลับเป็นเสมือนเงาที่ตามหาตัวไม่พบ  นัดหมายแล้วติดต่อไม่ได้  แม้จะพยายามสื่อสารผ่านทางแชทกลุ่มที่ตั้งขึ้นมาเป็นการชั่วคราว  ผลลัพธ์กลับมีแต่คนอ่าน  แต่ไม่มีคนตอบ 

ด้วยนิสัยของเมษาแล้วย่อมไม่มีทางต่อว่าต่อขานหรือโวยวายใส่คนอื่น  จึงได้แต่แบกรับภาระทั้งหมดไว้แล้วก้มหน้าก้มตาทำงานไปเงียบๆ  ทว่าถึงอย่างไรมันก็ยังเป็นปริมาณงานสำหรับคนหกคน  เมื่อมีแค่สองคนย่อมหนักเกินไป  เมษาพอเข้าใจได้ว่าทำไมภูวดลจึงได้เป็นห่วงแล้วหยิบเรื่องนี้พูดขึ้นมา

“ขอบใจนะ  แต่ไม่ใช่อย่างที่นายคิดหรอก”

เมษาปฏิเสธเสียงอ้อมแอ้มอย่างไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไร  จึงได้แต่ปล่อยให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดไปเช่นนั้นแล้วแสร้งเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น

ต่อให้เอาอะไรมาง้างปากเขาก็ไม่มีวันพูดความจริงเด็ดขาด 

เลิกคลาสแล้วเขากับภูวดลตกลงกันว่าจะกินมื้อเที่ยงด้วยกันที่ห้างสรรพสินค้าเนื่องจากช่วงบ่ายไม่มีเรียน  นอกจากนี้เมษายังมีเหตุผลจำเป็นที่ต้องมาร้านหนังสือ  จึงถือว่าประจวบเหมาะที่จะเดินทางครั้งเดียวแล้วสะสางธุระให้เสร็จ

เพราะเป็นคนง่ายๆไม่เรื่องมากด้วยกันทั้งคู่  ทุกครั้งที่มาจึงมักจบลงที่ฟู้ดคอร์ทเพื่อที่ต่างฝ่ายจะได้ต่างเลือกซื้อของที่ต้องการโดยไม่ต้องฝืนใจกัน  ใครอยากกินอะไรก็ไปกินร้านนั้นแล้วค่อยมานั่งร่วมโต๊ะ 

“ได้ข่าวว่าอาทิตย์หน้าอัลบั้มใหม่ของมิดไนท์จะวางขายเหรอ”

ปกติแล้วภูวดลไม่ได้ติดตามและสนใจวงการเพลงมากเท่าไร  เดาว่าระหว่างเล่นโซเชียลคงจะเลื่อนหน้าฟีดแล้วบังเอิญเห็นข้อมูลข่าวสารต่างๆที่เขาแชร์กระมังจึงได้ถามขึ้นมา

“ใช่”

“แฟนตัวยงอย่างนายคงไม่พลาดแน่”

“.....”

“เดี๋ยวเราเก็บชี้ทเอาไว้ให้”

...รู้ใจเกินไปแล้ว

“ขอบคุณนะ” เมษาเอ่ยยิ้มๆด้วยความซาบซึ้งใจ  มิตรที่ดีขนาดนี้จะหาได้จากไหนอีกหนอ

“แล้วนี่มีแพลนจะไปไหนต่อหรือเปล่า” อีกฝ่ายถามระหว่างหยิบขวดน้ำขึ้นกระดกดื่ม

“ว่าจะไปร้านหนังสือ  นายกลับไปก่อนก็ได้นะ”

“ไม่เป็นไร  เราไปด้วยดีกว่า  มีหนังสือที่อยากดูเหมือนกัน”

“อือ”

เมษาพยายามเร่งความเร็วในการทานอาหารเนื่องจากไม่อยากปล่อยให้อีกฝ่ายต้องคอยนาน 

แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่เคยทานอาหารเสร็จก่อนเลยสักครั้ง  เคยคิดว่าความเร็วในการทานของตัวเองอยู่ในระดับปกติมาตลอด  หากเมื่อมาเจอภูวดลแล้วกลับรู้สึกว่าตัวเองงุ่มง่ามชักช้าจนน่าหงุดหงิด  ดีที่คนตรงหน้าไม่เคยถือสาและยังอุตส่าห์นั่งรอเป็นเพื่อนเขาด้วยความใจเย็นอยู่ร่ำไป 

ขณะที่กำลังก้มหน้าก้มตาจัดการข้าวผัดในจาน  คู่สนทนาก็เกิดเงียบลงไปกะทันหันอย่างน่าแปลก  หากเป็นคนอื่นเขาคงไม่ติดใจอะไร  แต่ปกติแล้วภูวดลเป็นคนคุยเก่ง  มักสรรหาเรื่องมาชวนคุยไปเรื่อยได้ไม่รู้เบื่อ  เมษารับรู้ได้ถึงความผิดปกตินั้นจึงได้หยุดมือลงแล้วเงยหน้าขึ้นมองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม  พบว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องมองบางอย่างข้างหลังเขาอยู่  ด้วยความสงสัยจึงได้ตัดสินใจหันไปมองตามสายตานั้น  ภาพที่เห็นมีแค่ชายหนุ่มน่าจะอายุประมาณเขาที่กำลังยืนซื้อข้าวผัดร้านเดียวกันกับเขาอยู่ 

“ดูอะไรอยู่เหรอ” เมษาเลิกคิ้วถามเสียงประหลาดใจ

“เปล่า  ไม่มีอะไรหรอก”

แม้ปากจะเอ่ยเช่นนั้น  แต่อีกฝ่ายกลับยังไม่ถอนสายตากลับมาเหมือนกับถูกตรึงไว้ด้วยมนตร์คาถา  นอกจากนี้ถึงจะเป็นแค่ชั่วระยะเวลาสั้นๆ  เมษายังสังเกตเห็นด้วยว่ามีแวบหนึ่งที่ดวงตาสีนิลกาฬคู่นี้ฉายแววเจ็บปวดออกมา  ดังนั้นเขาจึงอดเหลียวหลังหันไปมองอีกครั้งไม่ได้

ชายหนุ่มคนดังกล่าวกำลังถือถาดอาหารเดินตรงไปยังโต๊ะซึ่งมีอีกคนนั่งรอ  คาดว่าทั้งคู่น่าจะมาด้วยกัน  ทว่าเมื่อเห็นรูปโฉมที่ออกจะโดดเด่นเหนือสามัญของคนคนนั้นเต็มตา  เมษาก็อดตกตะลึงไม่ได้ 

เจ้าตัวสวมสูทเรียบกริบสีดำปลอดทั้งตัว  ทรงผมจัดแต่งด้วยเจลอย่างดีแทบไม่มีปล่อยร่วงให้เกะกะสักเส้น  รูปร่างสมส่วนบุคลิกภูมิฐาน  มองอย่างไรก็สัมผัสได้ถึงความไม่ธรรมดา  แต่ทันทีที่คนตัวเล็กกลับมาถึงโต๊ะ  ใบหน้าหล่อเหลาดุจรูปสลักกลับเผยรอยยิ้มอ่อนโยนราวกับจะละลายน้ำแข็งบนโลกในชั่วพริบตา  นำพาให้บรรยากาศรอบตัวที่เคยกดข่มผู้คนไม่ให้ย่างกรายเข้าใกล้  แปรเปลี่ยนเป็นอบอุ่นเสียยิ่งกว่าฤดูใบไม้ผลิ

“กินเสร็จแล้วเหรอ”

มัวแต่เผลอมองมากเกินไปจนกลายเป็นเขาเสียเองที่ละสายตาไม่ได้

“อ้อ...อือ  เสร็จแล้ว”

“ไปกันเลยไหม”

“ได้”

ว่าแล้วก็เก็บสัมภาระทั้งหมดก่อนลุกจากโต๊ะแล้วเดินออกมา

ตลอดทางภูวดลเงียบไปอย่างผิดวิสัยจนทำให้เมษาอดเป็นกังวลไม่ได้  ดูจากท่าทางแล้วสองคนที่เห็นคงมีความเกี่ยวข้องบางอย่างกับชายหนุ่ม  แต่เพราะเมษาเคยแค่เป็นฝ่ายได้รับความใจดีจากภูวดล  พอถึงเวลาที่ต้องตอบแทนกลับไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรจึงจะดี  หากถามออกไปจะก้าวก่ายเกินไปหรือไม่  หรือควรทำเป็นไม่รู้จะดีกว่า  ประสบการณ์ที่มีเรื่องทุกข์ใจแต่ไม่อาจปรึกษาหรือเล่าให้ใครฟัง  ไหนเลยเมษาจะไม่เข้าใจ  ต้องบอกว่าเขาเข้าใจจนถึงแก่นเลยต่างหาก

แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะเป็นเหมือนกับเขา  เพราะไม่อาจตัดสินคนอื่นจากความคิดของตนเองเพียงฝ่ายเดียว  เมษาจึงได้แค่สับสนว่าควรทำเช่นไรกับเพื่อนตัวสูงข้างกายที่ดีกับเขาเสมอมา

“ทำหน้ายุ่งเชียว  คิดอะไรอยู่เหรอ” ระหว่างที่คิดสะระตะเสียมากมาย  อีกฝ่ายกลับสลับบทบาทแล้วถามไถ่เขาด้วยความห่วงใย 

“คิดเรื่องของนาย” คนตัวเล็กไม่รั้งรอแม้แต่จะเกริ่นเข้าเรื่อง  หากเลือกตอบไปตามตรง

“เรื่องของเรา?  คิดอะไรถึงได้ทำหน้าเครียดขนาดนั้น”

“เราเป็นห่วงภพนะ” เมษาบอกระหว่างที่กระตุกชายเสื้อคนข้างๆแล้วเอ่ยต่อเสียงแผ่ว “แต่เราไม่รู้ว่าควรถามหรือไม่ถามดี”

“ทำไมล่ะ”

“เพราะเราเองก็มีเรื่องที่ถามได้และไม่อยากให้คนอื่นถามเหมือนกัน”

“รวมถึงเราด้วยเหรอ”

“อือ”

“นั่นก็ช่วยไม่ได้” รอยยิ้มที่แม้จะนุ่มละมุนเช่นเคย  แต่กลับแฝงด้วยร่องรอยของความเสียใจจึงออกมาเจื่อนเล็กน้อยอย่างปิดไม่มิด

“แต่สำหรับเราเมษไม่ใช่คนอื่นหรอกนะ”

“.....”

“ไปกันเถอะ  อย่าสนใจเลย”

“.....”

“รีบไปร้านหนังสือ  นายจะได้รีบกลับไปพัก” มือซึ่งใหญ่กว่าเขาเอื้อมมาวางเบาๆบนศีรษะก่อนดึงกลับไปไว้ข้างตัวแล้วออกเดินนำไป 

อีกฝ่ายทั้งใจกว้างและเปิดเผยจนกลายเป็นเขาที่รู้สึกกระอักกระอ่วน 

หลังจากนั้นพอมาย้อนคิดดู  เมษาก็อดด่าทอตัวเองไม่ได้ว่าเหตุใดจึงไม่เข้าใจสิ่งที่ภูวดลต้องการจะบอก  ในเมื่อเจ้าตัวแสดงออกชัดเจนเสมอมา  มีแค่เขาที่โง่งมและมองไม่เห็น  คล้ายกับมีเมฆหมอกหนาทึบบดบังให้ไม่เห็นแสงจากดวงตะวันที่กำลังสาดส่อง 

แต่ถึงกระนั้นก็หาใช่ความผิดของเมษาทั้งหมดเสียทีเดียว  เมื่อไม่เคยถูกรักแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่านั่นคือรัก  โดยเฉพาะกับเมษาที่เติบโตขึ้นมาท่ามกลางความรักที่บิดเบี้ยวจนผิดรูปทรงมาตลอด  คล้ายจะเข้าใจแต่กลับไม่เคยเข้าใจเหมือนหลงอยู่ท่ามกลางเขาวงกตที่ไร้ซึ่งทางออก  ได้แต่เดินสะเปะสะปะไปเรื่อยจนติดปลักโคลนโดยไม่รู้ตัว 

...กว่าจะรู้อีกทีก็ถลำลึกจนไม่อาจถอนตัว



 


Talk

สวัสดีค่ะทุกคน  ขอโทษนะคะที่ช้า  ช่วงนี้เมย์เหมือนหมดไฟอีกแล้ว อุแง แต่ไม่ได้เลิกเขียนหรอกนะคะ  เพราะยังสนุกกับการเขียนเรื่องนี้อยู่เรื่อยๆ  แต่อาจจะช้าหน่อยตามประสา  ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้าน้า  จุ้บๆ

 :bye2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-03-2020 00:19:22 โดย Emerald »

ออฟไลน์ TheDoungJan

  • ขอบคุณนักเขียนที่คนที่สร้างทุกตัวละครขึ้นมานะคะ(♡˙︶˙♡)
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
สนุกมากเลยค่ะ เป็นกำลังให้กับทุกๆเรื่องเลยนะคะ รออ่านได้เสมอ :กอด1:

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
อึดอัดไปหมด  :เฮ้อ:
เป็นกำลังใจให้เมษา ภู และคุณนักเขียนนะคะ

 :pig4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด