So many times I could've held on
I still can't believe I left you aloneNerves - DPR IAN16th drift - Same old me
“อุ่นพอรึยังครับ” อนาคินถามเด็กชายตัวน้อยในชุดนอนสีฟ้า เขาดึงผ้าห่มผืนหน้าขึ้นห่มให้ เหน็บปลายผ้าห่มไว้ที่ขอบเตียง ลัลพยักหน้ารับแบบเด็กๆ ก่อนจะเบ้ปากลง
“ลัลยังไม่อยากนอน”
“แต่พ่อเราบอกอาไว้นะว่าได้เวลานอนของเราแล้ว”
“ก็ลัลยังไม่อยากนอน”
เด็กชายส่งเสียงโยเย อนาคินคุกเข่าลงข้างเตียง จับมือหลานชายเบาๆ พร้อมรอยยิ้ม
“เดี๋ยวอานั่งอยู่ด้วยตรงนี้จนกว่าเราจะอยากนอนดีมั้ย”
ลัลหยุดงอแง เขาพยักหน้ารับอย่างดีใจ อนาคินหันไปหรี่ไฟลงเพื่อสร้างบรรยากาศให้ดูง่วงหงาวหาวนอนสำหรับเด็กอายุสามขวบอย่างลัล
จะบอกว่าลัลเป็นศูนย์รวมจิตใจของพวกเขาทั้งสี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เว่อเกินไปนัก ไม่ต่างจากนาวาฬ ชีวิตของชายหนุ่มอายุ 24 เพิ่งเรียนจบของนนท์สกุลเปลี่ยนไปในทันทีที่พ่อแม่ของเขาเสีย จากชีวิตสบายๆ เป็นคุณชายที่เพอร์เฟคไปเสียทุกเรื่อง ชีวิตของเพื่อนเขากลับถูกโยนเข้าไปในความวุ่นวายแห่งการเป็นผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการบริหารบริษัทที่ไม่เคยทำมาก่อน การเริ่มต้นทำงานด้วยตัวเองเป็นครั้งแรก รวมไปถึงการพยุงจิตใจของน้องชายที่ดูเหมือนจะอาการหนักยิ่งกว่าใคร ตอนนั้นเองที่เพื่อนสุดเพอร์เฟคของเขากลายเป็นคนปาร์ตี้หนัก ผลาลเงินทิ้ง ไม่สนใจธุรกิจที่มีอยู่จนเบญจมินทร์กับจุนน์ต้องทิ้งงานทุกอย่างเพื่อมาดูแลแทน โดยมีอนาคินคอยให้ความช่วยเหลืออยู่จากลอนดอน ชีวิตเหลวแหลกของนนท์สกุลหยุดลง ณ นาทีที่เขารู้ว่าเขากำลังจะได้เป็นพ่อของชีวิตน้อยๆ ชีวิตหนึ่ง
“กูไม่อยากให้ลูกกูคิดว่ากูเป็นคนขี้แพ้” นนท์สกุลบอกเขาไว้อย่างนั้น
หากไม่มีลัล อนาคินก็ไม่คิดว่านนท์สกุลจะสามารถกลับตัวไปเป็นคนที่มีความรับผิดชอบและพาบริษัทไปสู่ความสำเร็จแบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
อนาคินยังจำได้ดีถึงวันที่นนท์สกุลโทรมาบอกว่าทำผู้หญิงที่กำลังไปได้รุ่งในสายงานบันเทิงของประเทศไทยตั้งท้องจากความสัมพันธ์เพียงแค่ชั่วคืน ทางเลือกหลายๆ ทางถูกนำขึ้นมาพูดในหมู่เพื่อนที่รู้เรื่องทั้งสี่ แต่ท้ายสุดพวกเขาก็มอบอำนาจการตัดสินใจให้แก่หญิงสาวผู้กำลังจะเป็นแม่เป็นคนตัดสินใจแต่เพียงผู้เดียว หลังจากอนาคินยืนยันว่าเธอควรจะเป็นคนที่ได้ตัดสินใจว่าพร้อมที่จะตั้งท้องต่อไปอีกเก้าเดือน หรือพร้อมที่จะรับผิดชอบชีวิตน้อยๆ ที่กำลังจะเกิดมาหรือไม่
เธอเลือกอย่างแรกและปฏิเสธอย่างหลัง และนั่นเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมนนท์สกุลถึงมีสิทธิ์ในตัวลูกชาย 100% หลังจากคลอดลัลอย่างลับๆ เธอเลือกที่จะเดินทางต่อในสายงานของเธอและประสบความสำเร็จกับการเป็นนักแสดงที่ได้ชื่อว่าเจ้าบทบาทคนหนึ่ง เธอไม่ได้ทอดทิ้งลูกชายของเธอและแอบมาเจอบ้างเป็นครั้งคราว แต่โดยรวมแล้ว ลัลเติบโตขึ้นมาจากการเลี้ยงดูของนนท์สกุลเพียงคนเดียว โดยมีน้องชายและเพื่อนๆ คนอื่นคอยช่วยเหลือ ส่วนอนาคินที่มีภาระการศึกษาติดพันจะได้สานสัมพันธ์กับหลานชายผ่านเฟซไทม์เป็นส่วนใหญ่แค่นั้น
ถึงอย่างนั้นลัลก็จำเขาได้ดี ตั้งแต่เขามาอยู่ที่ไทย เบญจมินทร์ก็บ่นอยู่เสมอว่ากำลังสูญเสียตำแหน่งคุณอาคนโปรดของลัลไปให้เขา ลัลติดเขาแจทุกครั้งที่เจอหน้า เขารู้ดีว่าการมีตัวตนของเขาเป็นเรื่องแปลกใหม่ในชีวิตของลัล และเด็กน้อยนั้นคงกังวลลึกๆ แบบเด็กๆ ว่าวันหนึ่งเขาจะหายไปเป็นเพียงแค่ภาพเคลื่อนไหวในหน้าจอโทรศัพท์ของพ่อเหมือนเดิม
“ลัลอยากให้อาคินขึ้นมานอนด้วย”
“อาตัวใหญ่นะ เดี๋ยวลัลโดนอาทับเอานะครับ”
ลัลทำท่าเบ่งกล้ามโชว์ “อาวาฬบอกลัลแข็งแรง อาวาฬนอนทับลัลตั้งหลายครั้งลัลยังไม่ร้องเลย”
ชายหนุ่มกลั้นหัวเราะให้ท่าทางจริงจังของหลานชาย ในใจคิดไปถึงคนในประโยคอีกคนที่เขาเพิ่งวางสายไปแล้วได้แต่อมยิ้ม
เหมือนเอาเด็กมาเลี้ยงเด็ก
“ปกติเวลาอาวาฬอยู่ อาวาฬจะขึ้นไปนอนด้วยหรอ”
“ช่าย ตัวอาวาฬอุ่น ผมก็หอมมากเลย” เด็กชายยิ้มกว้าง “อาวาฬร้องเพลงให้ลัลฟังด้วยแหละ” ลัลพูดอีกเหมือนจะอวด ก่อนจะพูดต่อเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ “แต่ก่อนอาวาฬเล่านิทานให้ลัลฟังด้วย”
“ทำไมเป็นแต่ก่อนล่ะ อาวาฬเขาไม่เล่าแล้วหรอ”
“พ่อบอกไม่ให้ลัลขอให้อาวาฬเล่า”
อนาคินขมวดคิ้ว “ทำไมล่ะครับ”
“อาวาฬชอบนอนร้องไห้เวลาเล่านิทานจบ น้ำตาเต็มหลังลัลเลย” เด็กน้อยพูดอย่างไม่ได้คิดอะไร แต่มันทำให้คนฟังนิ่งไปได้ไม่ยาก “พ่อบอกว่าเราต้องดูแลอาวาฬดีๆ ไม่งั้นอาวาฬจะตาบวม พ่อเลยไม่ให้ลัลขอ”
“….”
“อาวาฬบอกว่าตอนอาวาฬตัวเท่าลัลหม่าม๊าก็เล่านิทานให้อาวาฬฟังเหมือนกัน อาวาฬคิดถึงหม่าม๊า แล้วก็ร้องไห้ทุกครั้งเลย”
อนาคินจำได้ถึงแผ่นหลังบางๆ ที่ดูหนักอึ้งเหมือนแบกโลกทั้งใบเอาไว้ได้ดีเช่นกัน แผ่นหลังที่เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านั้นเจ้าของของมันยังคงหัวเราะเริงร่ากับเขาในแมนเชสเตอร์ แต่ในวันที่อนาคินเห็นมันอีกครั้ง ร่างโปร่งนั้นกลับนั่งทรุดอยู่ข้างหน้ารูปของผู้ให้กำเนิดทั้งสอง ใบหน้าไร้ความรู้สึก ดวงตาว่างเปล่าเหมือนไม่รับรู้อะไร ได้แต่จ้องตรงไปข้างหน้าอย่างไม่มีจุดหมาย ข้างๆ มีปรินคอยปลอบโยนอยู่ นาวาฬไม่สามารถรวบรวมกำลังลุกขึ้นมารับแขกในสถานะเจ้าภาพเสียด้วยซ้ำ หน้าที่นั้นกลับกลายเป็นของนนท์สกุลและรีรักในสถานะตัวแทนแทน และนั่นทำให้พวกเขาไม่เคย ‘เจอกัน’ มาก่อน ทั้งๆ ที่อนาคินเองก็วิ่งช่วยงานพร้อมกับเพื่อนสนิทคนอื่นๆ ของนนท์สกุลอยู่ทุกวันจนจบงาน
หลังจากนั้นอนาคินก็ไม่เคยเจอนาวาฬอีก เท่าที่เขารู้ นาวาฬขาดการติดต่อกับทุกคนที่รู้จักตอนอยู่ที่ลอนดอนไม่เพียงแต่เขา ทางเดียวที่จะได้ยินข่าวคราวบ้างคือเมื่อเพื่อนสนิทในกลุ่มคนอื่นพูดถึงน้องชายของนนท์สกุลขึ้นมาบ้างในบทสนทนา ต่อให้มันจะทำให้อนาคินได้รับรู้ความเป็นไปของของเจ้าของชื่อ แต่มันก็ไม่เคยเป็นเรื่องดี
นาวาฬไม่เคยเป็นเหมือนเดิมอีกหลังจากสูญเสียพ่อแม่ไป อนาคินจับใจความจากการสนทนาของเพื่อนได้อย่างนั้น
แต่เขาเองไม่เคยรู้ว่านาวาฬเปลี่ยนไปแค่ไหนจนกระทั่งกลับมาเจอกันอีกครั้ง แม้แต่ตอนนี้ เขาก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าความ ‘ไม่เหมือนเดิม’ ของนาวาฬที่เบญจมินทร์พูดแล้วพูดอีกมันคืออะไร ในเมื่อนาวาฬที่เขากลับมาเจออีกครั้งยังคงมีความเป็นตัวเองที่ถูกซ่อนเอาไว้ภายใต้ภาพลักษณ์ความเป็นผู้ใหญ่ที่เจ้าตัวพยายามสร้างขึ้นมาปิดบังตัวตนที่แท้จริงเอาไว้
จนกระทั่งเขาได้ยินที่หลานชายพูด
มือใหญ่ถูกใช้เพื่อลูบผมของเด็กน้อยเบาๆ
“พ่อพูดถูกแล้วครับ เราต้องดูแลอาวาฬกันดีๆ รู้มั้ย”
“อาวาฬเคยหลับไปสามสี่วันด้วย ลัลต้องไปปลุกที่โรงพยาบาลถึงจะตื่น คนอื่นปลุกไม่ตื่น” ลัลพูดอย่างภูมิใจแบบเด็กๆ ไม่ได้สังเกตว่าอนาคินหยุดมือที่กำลังลูบผมของตัวเองทันทีที่ได้ยิน “พอลัลจุ๊บแก้มปุ๊บอาวาฬตื่นเลย”
“อ้าว ทำไมหลับไปนานขนาดนั้นน่ะ” อนาคินถาม พยายามทำให้เสียงเป็นปกติที่สุด ลัลทำท่าคิด
“อาเบนบอกว่าอาวาฬอยากนอนนานๆ แต่พ่อไม่ยอมเลยต้องปลุก”
“….”
“คุณหมอช่วยปลุกด้วยแต่อาวาฬไม่ตื่น แต่ลัลปลุกปุ๊บตื่นเลย” เด็กชายตัวน้อยยังคงทำท่าภูมิใจ “ลัลเก่งมั้ย”
“เก่งครับ เก่ง” อนาคินพูดอย่างอ่อนโยน ลัลยังเป็นเด็ก เขาแน่ใจว่าต่อให้จะเป็นเด็กที่ฉลาดเฉลียวแค่ไหนลัลก็ไม่ได้เข้าใจในสิ่งที่ตัวเองพูดออกมาว่ามันคืออะไรในภาษาของผู้ใหญ่ แต่สำหรับอนาคินที่เข้าใจดีแล้ว สิ่งที่ได้ยินทำให้จิตใจเขาหนักอึ้งขึ้นมาทันที
“ถ้าลัลยังไม่ง่วง อาเล่านิทานให้ฟังดีมั้ย” เขาเบี่ยงเบนความสนใจของหลานชายจากเรื่องในอดีต ดวงตาสีน้ำตาลใสแป๋วของเด็กชายส่งประกายพราวออกมาทันทีเมื่อได้ยิน
“ดียยย์” เด็กน้อยลากเสียงยาวอย่างตื่นเต้น อนาคินยิ้มออกมาอีกครั้ง เขาขึ้นไปนอนบนเตียงข้างๆ ลัล ก่อนจะเริ่มเล่านิทานช้าๆ แบบที่เคยทำกับนีร หลานชายตัวแสบของเขาตอนสมัยเป็นวัยรุ่น
ดวงตาที่หนักอึ้งของลัลค่อยๆ หลับลงอย่างช้าๆ ไม่ถึงห้านาทีต่อมาเด็กชายก็หลับสนิท อนาคินยังคงเอนตัวอยู่อย่างนั้น นาฬิกาที่ข้อมือบ่งบอกให้เขารู้ว่ามันเกือบจะได้เวลานอนของเขาเองแล้วเช่นกัน
นี่สินะที่เบญจมินทร์บอกว่านาวาฬไม่เคยกลับไปเป็นเหมือนเดิม
เขาถอนหายใจก่อนจะหลับตาลง
………..
a -
เจอกันที่ร้านทุ่มนึงนะครับNawhale -
อาจจะสายนิดนึงครับa -
พี่รอได้ อย่าให้รอจนร้านปิดละกัน นาวาฬอมยิ้มอ่านข้อความบนหน้าจอโทรศัพท์ ก่อนจะรีบยัดมันกลับลงไปในกระเป๋าเมื่อรีรักชะโงกข้ามไหล่มาดูอย่างสนใจ
“ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ที่ไอ้ปรินบอกมึงมีสาวท่าจะจริง”
“แม่งก็พูดไป กูแค่ตอบข้อความพี่กู”
“คิดว่ากูจะเชื่อหรอครับไอ้คุณนาวาฬ แต่ช่างเหอะ เดี๋ยวมึงก็มาบ่นให้กูฟังเองอะ แล้วนี่กิ๊กเก่ามึงจะโผล่มาได้ยัง เครื่องลงมาจะชั่วโมงแล้ว”
พวกเขาอยู่กันที่สนามบินสุวรรณภูมิตั้งแต่บ่ายโมงครึ่งเพื่อเตรียมรอรับเซลีนที่จะมาเที่ยวไทยสองอาทิตย์ เครื่องของเธอดีเลย์ไปหลายชั่วโมง ทำให้ตอนนี้เป็นเวลาสี่โมงกว่าแล้วแม้แต่เงาของเธอก็ยังไม่มีให้เห็น
แล้วตอนนี้ การมาของเธออาจจะชนกับนัดของเขากับอนาคินเสียด้วยซ้ำ
“รักมึงช่วยอะไรกูหน่อยได้ปะวะ”
“อะไรอีก” รักอ้าปากหาว เขาเป็นคนเดียวที่นาวาฬสามารถลากมารับเซลีนด้วยกันได้ในบ่ายวันจันทร์แบบนี้ อันที่จริงเขาชวนฟาร์มาด้วย แต่อีกฝ่ายถามกลับทันทีเมื่อเขาโทรไปชวน
“ปรินไปด้วยรึเปล่า”
นาวาฬที่ไม่อยากโกหกเพื่อนตอบตรงๆ อย่างจริงใจ “ยังไม่ได้ชวน”
“งั้นกูไม่ไป ถ้ามึงชวนแล้วมันไปก็อึดอัดตาย มึงไปเหอะ ฝากหวัดดีเซลีนให้กูด้วยนะ”
ปรินเองก็ปฏิเสธเช่นกันเมื่อนาวาฬโทรไปชวน
“ฟาร์ไปรึเปล่า”
“มันบอกว่ามึงอาจจะไปเลยไม่ไป”
“แค่มาเจอกูยังไม่อยากเจอ … อืม กูไม่ไปละกัน”
รีรักจึงเป็นออปชั่นสุดท้ายสำหรับวันนี้
“กูมีนัดว่ะ อาจจะอยู่ดูแลมากไม่ได้ กูฝากมึงพาเพื่อนกูไปส่งโรงแรมหน่อยได้ปะวะ”
“สัสทิ้งกันดื้อๆ แบบนี้เลย” รักบ่นแต่ก็ยักไหล่ยอมแต่โดยดี “เออๆ เดี๋ยวกูดูให้ บอกนางเองนะ เดี๋ยวมาหาว่ากูเสนอหน้า”
“รู้แล้วหน่า”
“มึงจะไม่บอกกูใช่ปะว่านัดใครไว้”
“ไม่บอก”
“กูก็ว่างั้น ช่างเหอะ อย่างที่กูบอก มึงอกหักก็ต้องแจ้นมาหากูอยู่ดีอะละ” รักพูดอย่างไม่ทุกข์ร้อนจนนาวาฬแอบหมั่นไส้ “เออ แล้วจะเอายังไงเรื่องรถ”
นาวาฬเป็นคนขับรถไปรับเพื่อนจากที่บ้านมาที่สนามบิน ทำให้ตอนนี้พวกเขามีรถอยู่แค่คันเดียว หากวาฬต้องแยกไปตามนัด นั่นหมายความว่าพวกเขาจะไม่สามารถกลับด้วยกันเหมือนตอนขามาได้ ไม่นับเรื่องที่ต้องไปส่งเซลีนที่โรงแรมอีกล่ะ
วาฬทำท่าคิด “มึงเอารถกูไปละกัน กูเรียกอูเบอร์เอา แล้วจอดทิ้งไว้ที่ร้านมึงอะละ เดี๋ยวกูค่อยเข้าไปเอา”
“ได้ๆ ตามนั้นละกัน เออ คนนั้นใช่ปะวะ โบกมือมาทางนี้อยู่แหน่ะ”
รักชี้ไปทางทางออกใกล้ๆ ที่พวกเขายืนอยู่ เซลีนกำลังเดินตรงมาทางพวกเขาพร้อมด้วยกระเป๋าเสื้อผ้าใบใหญ่ มือข้างหนึ่งโบกให้อย่างตื่นเต้น นาวาฬยิ้มตอบก่อนจะโบกกลับไป
“ไฟลท์ดีมั้ย”
“ไม่ค่อยเท่าไหร่ ดีเลย์นานมากเลย ไหน ให้เราดูเธอหน่อย” เธอเดินไปรอบๆ ตัวนาวาฬที่ได้แต่ยิ้ม “โห เปลี่ยนไปเยอะมากเลย นาวาฬผมชมพูคนนั้นไปไหนแล้ว”
เขาหัวเราะ “เธออะดูไม่เปลี่ยนเลยนะเซล”
เซลีนก็ยังคงเป็นเซลีนคนเดิม ใบหน้าคมคายดูมีอายุขึ้นนิดหน่อยแต่ก็ยังคงเยาว์วัย เธอยังคงมีรอยยิ้มดึงดูดใจผู้ชายเหมือนเดิม เสียงหวานๆ ของเธอยังเป็นเหมือนเดิม อ้อมกอดของเธอที่ให้กับเขาก็ยังคงเป็นเหมือนเดิมเช่นกัน
“ไปหาร้านกาแฟนั่งกันหน่อย เธอคงเหนื่อยน่าดู”
“ก็นิดหน่อย เครื่องเวรเลื่อนหลายรอบมากเลย ถ้าไม่ติดว่านัดเธอไว้แล้วนี่เราจะยกเลิกตั๋วไม่มาแล้วนะเนี้ย”
เซลีนทำท่าฮึดฮัด วาฬหัวเราะ
“มาก็ดีแล้ว เราอยากเจอเธอมากเลย”
วาฬไม่ได้โกหก สี่ปีแล้วที่พวกเขาไม่ได้เจอกัน ในบรรดาเพื่อนทั้งหมดที่อังกฤษ เซลีนเป็นเพียงคนเดียวที่เขายังคงความสัมพันธ์ด้วยเสมอมา พวกเขาคุยกันบ่อยในสถานะเพื่อน จนตอนนี้พวกเขาสนิทกันมากกว่าตอนอยู่ที่ลอนดอนด้วยกันเสียอีก
เซลีนยิ้ม “เราพูดเล่นหน่า ใครจะไปยกเลิกตั๋วง่ายๆ แบบนั้นกัน ตังก็จ่ายไปแล้ว แล้วนี่ใครอะ” เธอหันไปทางรีรักที่ยืนกดโทรศัพท์อยู่เหมือนไม่มีอะไรทำ
ลืมแนะนำไอ้รักไปเลย …“นี่รีรัก เป็นเพี่อนเราเอง วันนี้มาช่วยดูแลเธอด้วยอีกคน”
รักพยักหน้ารับ หันไปคว้ากระเป๋าเซลีนมาถือไว้อย่างเท่ๆ โดยไม่พูดอะไร ก่อนจะเดินนำหน้าไปทางร้านกาแฟที่ใกล้ที่สุด เจอสาวสวยหน่อยทำเป็นเก๊ก นาวาฬได้แต่บ่นด้วยความหมั่นไส้ในอก แต่ดูเหมือนเซลีนจะไม่ได้คิดเช่นนั้น
“หล่อจัง”
“ใคร มันอะนะ”
“อื้ม มีแฟนยังอะ”
“เดี๋ยว นี่เธอ—“
“ทำไมยะ หึงเราหรอ จะมาหึงอะไรตอนนี้” เซลีนพูดอย่างล้อๆ
“เปล่าาาา”
“งั้นก็แนะนำให้เราหน่อย ห้ามปฏิเสธนะ ไม่งั้นจะเล่าวีรกรรมเธอตอนอยู่ลอนดอนให้หมดเลยคอยดู!”
แล้วพวกเขาก็เถียงกันเล่นๆ อย่างนั้นไปตลอดทาง เซลีนก็ยังเป็นเซลีนคนเดิม คนที่ทำให้โลกของนาวาฬสดใสเสมอเวลาที่อยู่ด้วยกันไม่ว่าจะเป็นในสถานะอะไร
……..
“ขอชื่อที่ใช้ในการจองด้วยค่ะ”
“อนาคินครับ”
บริกรสาวเช็คข้อมูลในคอมพิวเตอร์ตรงหน้าก่อนจะเงยหน้าขึ้นบอกเขาด้วยน้ำเสียงสดใส “โต๊ะ 22 อยู่ชั้นสอง จะพาขึ้นไปนะคะ”
นาวาฬเดินตามเธอขึ้นบันไดไป สายตามองไปรอบๆ ด้วยความสนใจ ร้านอาหารที่เขานัดเจอกับอนาคินไว้เป็นร้านอาหารโมรอคโคที่ตกแต่งอย่างสวยงามจนเด็กสถาปัตย์อย่างเขาอยากจะควักเอามือถือมาถ่ายรูปเก็บไว้ แม้ว่าร้านจะเล็กแต่คนก็แน่นเต็มร้าน กลิ่นเครื่องเทศที่หอมโชยในอากาศทำให้เขาที่ยังไม่ได้ทานข้าวเย็นนั้นหิวโซ
หลังจากบอกเซลีนที่เข้าอกเข้าใจเป็นอย่างดีว่าเขามีนัด และรีรักจะเป็นผู้ดูแลเธอแทน (เธอแอบขยิบตาให้เขาด้วยตอนออกมา) เขาก็เรียกอูเบอร์และฝ่าท้องถนนอันเต็มไปด้วยรถของเวลาหกโมงเย็นมาที่สถานที่นัดทันที แม้ว่าเขาจะรีบร้อนอย่างไร เวลาก็ผ่านไปถึงสี่สิบห้านาทีจากเวลาที่นัดไว้เมื่อเขามาถึง อนาคินไม่ได้โทรมาตามเขา ไม่ได้ส่งข้อความมาตามเสียด้วยซ้ำ และนั่นทำให้เขาแอบลุ้นว่าอนาคินจะยังอยู่ที่โต๊ะรึเปล่าเมื่อเขาไปถึง
แต่ดูเหมือนเขาจะคิดมากไป
ที่โต๊ะหมายเลข 22 ชายหนุ่มร่างสูงที่เขามีนัดด้วยนั่งไขว่ห้างอยู่ตรงนั้น เขาอยู่ในเสื้อ hoodie สีชมพูอ่อน กางเกง sweatpants สีเทา ผมสีอ่อนที่ปกติเรียบร้อยเสมอนั้นไม่ได้เซท เขาใช้ปลายนิ้วปัดมันออกอย่างลวกๆ สายตาคมคู่นั้นจับจ้องไปที่หนังสือที่วางอยู่หน้าตัก
อนาคินควรจะดูแปลกตาสำหรับนาวาฬที่เห็นเขาในชุดสูทเรียบร้อนตลอดเวลาที่ทำงานด้วยกัน แต่ไม่เลย อนาคินในชุดลำลองกลับดูคุ้นตาอย่างประหลาด
เหมือนกับอนาคินคนเดิมที่เขาเจอที่ลอนดอน
คิดได้เท่านั้น นาวาฬรู้สึกถึงหัวใจของตัวเองที่เต้นแรงด้วยความตื่นเต้นอีกครั้ง
ไม่ชินเสียที
ก่อนที่เขาจะได้เอ่ยทัก อนาคินก็เงยหน้าขึ้นเสียก่อน
“มาแล้ว” เขายิ้มกว้าง ก้มดูนาฬิกาข้อมือ “รถติดหรอครับ”
“มากๆ เลยครับ ยังกลัวเลยว่ามาถึงแล้วพี่คินยังจะรออยู่รึเปล่า”
สรรพนามใหม่นั้นแปลกหู แต่มันก็ทำให้ระยะห่างระหว่างพวกเขานั้นใกล้เข้ามานิดหน่อยเสียจนนาวาฬรู้สึกได้ อนาคินก็คงรู้สึกได้เช่นกัน เพราะเขายิ้มก่อนจะพูดเหมือนเป็นปกติ
“พี่บอกว่าพี่จะรอพี่ก็รอสิ สั่งอาหารเลยไหม เราดูหิวมากเลย”
อาหารโมรอคโคเป็นอะไรที่นาวาฬไม่คุ้น เขาใช้เวลาไปกับการเสิร์ชหาเมนูอยู่นานกว่าจะสั่งได้ ต่างกับอนาคินที่สั่งอย่างคล่องแคล่ว
“บาสติลล่าปลาครับ เครื่องดื่มผมขอเป็นชามินท์ เอามาเป็นกาก็ได้ครับ”
“รู้จักร้านนี้ได้ไงครับ” นาวาฬมองไปรอบๆ อย่างสนใจ การตกแต่งภายในของร้านนี้โดดเด่นจนเขาแอบแปลกใจที่มันไม่เป็นที่รู้จักมากกว่านี้ “ตกแต่งดีมากเลย
“พี่ชอบอาหารแถบนั้นน่ะ เลยมาเจอที่นี่เข้า” นาวาฬสนใจการตกแต่งเสียจนไม่ได้สังเกตเห็นผู้ถูกถามที่มองตามสายตาเขาด้วยรอยยิ้ม “ชอบหรอ”
“ครับ พอดีชอบอะไรแนวนี้อยู่แล้ว นี่ก็ว่าจะไปโมรอคโคกับเพื่อนอยู่ ไปหาไอเดียทำโปรเจคจบ” เพื่อนคนนั้นคือปริน “ประเทศในฝันพวกผมเลยครับ”
ถึงเขาจะชวนคุยธรรมดา แต่ในอกนั้นหัวใจเต้นโครมครามเสียจนเขาต้องภาวนาให้คนตรงหน้าไม่ได้ยินมัน
อนาคินหัวเราะ “วาฬมีประเทศในฝันด้วยหรอ”
“แล้วพี่คินไม่มีหรอครับ”
“ไม่มีนะ แต่จะว่าไปแล้ว” เขาทำท่าคิด “ตอนนี้พี่อยากไปเวียดนาม”
“ไปทำไมครับเวียดนาม มันใกล้ๆ นี่เอง”
“พี่ชอบเดินป่าคนเดียว แล้วแถบนี้น่ะ เวียดนามดังที่สุดแล้ว” เขาชูหนังสือที่วางไว้บนตักให้นาวาฬดู มันเป็นหนังสือคู่มือการเดินป่าที่เวียดนาม “พี่ว่าจะไปอยู่ นี่เลยหาข้อมูลไว้ก่อน”
พวกเขาคุยกันเรื่อยๆ จนกระทั่งอาหารมาถึง ไม่มีใครพูดถึงเรื่องชิชาในวันนั้น นาวาฬพยายามหาเรื่องนู้นเรื่องนี้มาคุยเพื่อไม่ให้โต๊ะอาหารเงียบเกินไปจนอนาคินมีสิทธิ์จะได้ยินหัวใจเขาเต้นดังขึ้นเรื่อยๆ เหมือนสี่ปีที่แล้วเลยแม่ง เขาคิดในใจ ได้แต่เหลือบมองอนาคินที่ทานอาหารอยู่เป็นระยะๆ เขาคิดว่าเขาเป็นคู่สนทนาที่ดีพอใช้ จนกระทั่งอนาคินหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ
“มีอะไรครับ”
“คิดถึงพี่หรอ ชวนพี่คุยตลอดเลย”
ดวงตาสีเขียวหม่นคู่นั้นส่งประกายวิบวับเมื่อมองตรงมาทางเขา คราวนี้ นาวาฬรู้สึกเหมือนโดนกระชากออกจากความเป็นจริงและโดนโยนกลับไปที่ลอนดอนเมื่อสี่ปีที่แล้วจริงๆ เขากำลังโดนดวงตาคู่นั้นเอกซ์เรย์เหมือนจะเค้นหาความจริงอะไรสักอย่าง เขาหลบตาก่อนจะพูดเสียงอู้อี้
“เปล่าครับ”
“แต่ก็ดีแล้ว ชวนพี่คุยบ้าง” อนาคินยิ้ม “ปกติพี่ต้องชวนคุยตลอดเลย”
“ก็โกรธ”
“โกรธอะไร”
“โดนหลอกอยู่ตั้งหลายเดือนนี่ครับ”
“อ้าว เป็นงั้น พี่ควรจะโกรธเรามากกว่าเปล่า หายไปเลยตั้งหลายปี”
นาวาฬเงียบ เขารู้ว่าอนาคินพูดเล่นแต่สำหรับเขามันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ พูดได้เห็นแก่ตัวชะมัด อนาคินไม่รู้หรอกว่าสี่ปีที่ผ่านมานี้เขาผ่านอะไรมาบ้าง มีหลายครั้งที่เขาไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าจิตใจเขาจะอนุญาตให้ตัวเองได้เห็นวันถัดไปหรือเปล่า ไหนจะเรื่องพี่ชายที่ติดเหล้าเสเพลอยู่เป็นปี ธุรกิจที่บ้านที่ต้องไหว้วานให้คนอื่นมาดูแล นี่ยังไม่นับเรื่องที่การตายของพ่อแม่เขาเป็นความผิดของเขาอีก
โง่รึเปล่า เสียงความคิดของเขาดังขึ้น
โคลต้องรู้อยู่แล้วหน่า เพื่อนสนิทพี่นนท์เลยนะเขาเลยเลือกที่จะเงียบ
“แต่ตอนนั้นพี่ไม่รู้จริงๆ นะว่าเราเป็นน้องของนนท์มัน”
นี่เป็นข้อมูลใหม่สำหรับนาวาฬ “ไม่รู้หรอครับ”
“อื้ม พี่มารู้เอาเร็วๆ นี้แหละ ตกใจมากเลย คิดไว้อยู่แล้วว่าต้องโดนโกรธ” เขาหัวเราะ “แต่พี่ไม่รู้จริงๆ ถ้ารู้ พี่คงตามเราผ่านทางนนท์ไปนานแล้วแหละ เพื่อนที่ลอนดอนนี่เนอะ”
เพื่อนคำนี้ปกติมันฟังแล้วรู้สึกเหี้ยขนาดนี้เลยหรอวะ นาวาฬกระพริบตาปริบๆ ใช่สิ สำหรับอนาคินเขาก็คงเป็นแค่เพื่อนสนิทคนหนึ่งจากลอนดอน วันนั้นที่จูบกันในคอนเสิร์ตพวกเขาก็กินเบียร์อยู่ มันก็คงมองให้เป็นการกระทำจากความเมาได้ง่ายๆ อันที่จริง ในสายตาคนอื่นมันก็ควรจะเป็นอย่างนั้นไม่ใช่หรอ ความสัมพันธ์ครั้งนี้มันก็มีเขาที่คิดไม่ซื่อคนเดียวอยู่แล้วนิ
แต่โคลก็ทำอย่างนี้กับเราคนเดียวปะวะ ไม่เห็นทำกับพวกพี่นนท์เลย
เขาจ้องตาอนาคินที่ส่งยิ้มให้เขาข้ามโต๊ะ พยายามอย่างหนักที่จะอ่านความรู้สึกของคนข้างหน้าให้ได้เหมือนกับที่ถูกอีกคนทำมาโดยตลอด แต่พยายามเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผล หน้าตาจริงจังของเขาคงดูตลกมากขนาดที่ทำให้อนาคินหัวเราะออกมา
“หน้าพี่มีอะไรติดอยู่หรอ”
เอาเข้าจริง เขาไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่
เสียเปรียบชิบหาย เขาคิดในใจ
………