หนึ่งชั่วโมงถัดมาหลังจากที่วางสายมอส หนึ่งผู้จัดการใหญ่กับอีกหนึ่งผู้ช่วยก็พากันมาถึงโรงพยาบาล ช้างขอแยกตัวไปคุยกับเจ้าหน้าที่เรื่องค่าใช้จ่ายที่มอสเพิ่งไลน์มาสำทับว่าจะออกให้ไปก่อน ปล่อยให้เรนเข้าไปเยี่ยมพี่สาวตัวเองตามลำพัง และพอเปิดประตูเข้าไป ก็เห็นพี่สาวลุกขึ้นมานั่งได้แล้ว แต่สีหน้าสีตายังไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลย
“อ้าว เรน” ละเวงร้องทัก พยายามฝืนยิ้มให้สดใส อุศเรนรีบโผเข้าไปหา พาให้นอนลงดังเดิม
“ตัวดีขึ้นแล้วเหรอละเวง ลุกขึ้นมานั่งทำไม นอนก่อน”
“ดีขึ้นแล้วล่ะ นอนมาทั้งคืนแล้ว เบื่อจะแย่”
“ยังไงก็ต้องนอน อาหมอบอกว่า เมื่อวานตัวตกใจหนักจนเป็นลม แถมตัวก็มีไข้ ร่างกายก็อ่อนแอสะสม อยากให้พักเยอะๆ พอแข็งแรงแล้ว คราวนี้คงต้องผ่าตัดเสียที”
“เงินเราพอแล้วเหรอเรน” ละเวงถามพลาง ยอมนอนลงดังเดิมพลาง เรนฟังแล้วรู้สึกละอายใจยิ่งนักที่คิดแต่เรื่องอื่นๆแทนเรื่องเงิน ที่เป็นเรื่องสำคัญ
“ก็ยังขาดอยู่แหละ แต่เมื่อวานอาหมอบอกว่ามีโรงพยาบาลรัฐเปิดใหม่เขาเพิ่งมีโครงการผ่าตัดให้กับผู้ป่วยยากไร้โดยจ่ายแค่ครึ่งเดียว อาหมอจะช่วยประสานงานให้ แต่เดี๋ยวเรนช่วยหาทาง...” เรนพูดยังไม่ทันจบ ก็ถูกพี่สาวขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆแต่คมกริบบาดใจน้องชายอย่างไม่เคยใช้มาก่อน
“ยังขาดอยู่แต่ก็มีเงินไปซื้อเสื้อผ้า แต่งเนื้อแต่งตัวใหม่นะ เรื่องค่าเช่าบ้าน เรื่องอื่นๆ คงลืม คงไม่ได้สนใจ จนไม่มีที่ซุกหัวนอน และตัวเค้าก็ต้องกลายเป็นผู้ป่วยยากไร้” ละเวงหน้าตึง จนน้องชายหน้าเหวอ พี่สาวเองพอเห็นสีหน้าน้องเป็นดังนั้น ก็ยังนิ่งอีกสักครู่ แล้วผ่อนยิ้มพร้อมเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ ลูบหัวน้องชายด้วยความเอ็นดู
“เค้าล้อเล่น แค่นี้ก็ต้องหน้าเสีย ละเวงรู้ว่าเรนไม่ได้ลืมหรอก เอาเถอะ จะผ่าก็ผ่า เค้าจะได้หาย กลับมาแข็งแรงและทำอะไรตามใจอยากได้เสียที...ว่าแต่ นึกยังไงนี่ ถึงได้กลับมาแต่งเนื้อแต่งตัวเหมือนเมื่อก่อน เค้าเห็นแล้วนึกถึงวันเก่าๆของเราพี่น้องเลยรู้ไหม”
“ตกใจหมด นึกว่าตัวโกรธเค้าจนเข้าใจผิด” เรนสีหน้าดีขึ้นทันใด ยิ้มออกมาได้ เริ่มอธิบาย “เพื่อนของดาราที่ดูแลอยู่ เขาจัดให้น่ะ ดาราที่เรนดูแลอยู่ เขาก็อยากให้เรนแต่งตัวดีๆ เหมือนกัน เรนไม่ได้เอาเงินส่วนตัวไปซื้อจนลืมเรื่องค่าบ้านหรอกนะ”
“เค้ารู้...เค้าบอกแล้วไง ว่าเค้าล้อเล่น เลิกโทษตัวเองเถอะ”
“เค้ากลัวตัวเข้าใจผิด เพราะเค้าแท้ๆ ตัวถึงต้องเป็นแบบนี้” เรนกุมมือพี่สาวแน่น ยกขึ้นมาจูบเบาๆ แล้วมือพี่สาวก็แทบร่วง เมื่อเจ้าตัวพูดมาว่า
“ทำไมตัวไม่บอกเค้าว่า ดาราที่ตัวดูแลอยู่ คือ มอส มณฑล”
คำถามนี้ของละเวง ทำอุศเรนทำหน้าทำตาไม่ถูกอีกครา ไม่รู้จะบอกยังไงในทีแรก แถมละเวงยังทอดเสียงเหมือนว่าตนผิดที่ปิดบังอย่างไรอย่างนั้น นี่คงไม่ได้คิดไปเองหรอกนะ “แล้วตัวรู้ได้ไง เค้าบอกไปก็กลัวว่าตัวจะไม่รู้จัก ตัวก็ไม่เคยสนใจวงการบันเทิงนี่ เลยไม่บอก”
“ตัวนี่ชอบคิดเอง คิดแทนอยู่เรื่อย.....มอส เขามาเยี่ยมละเวงแล้วเมื่อกี้ ก่อนตัวจะมา”
“อะไรนะ” เรนไม่อยากจะเชื่อ แต่ก็ต้องเชื่อเพราะละเวงพยักหน้าสำทับ สงสัยนักทำไมมอสมาเยี่ยมละเวงโดยมิบอก และสงสัยอีกเช่นกันนักว่า “ตัวจำมอสได้ใช่ไหม”
“เรนควรจะถามว่า มอสจำละเวงได้หรือเปล่า ถ้ามอสเขาเป็นคนเดียวกับเด็กที่ห้องอาหารจีน ทำไมละเวงจะจำมอสไม่ได้” ละเวงยิ้มแปลกๆในที มองหน้าน้องชายที่ชอบคิดไปเองอีกแล้วเสมอว่าตนเองนั้นมีความทรงจำอันพิศุทธิ์กับมอสอยู่คนเดียว มิรู้น้องชายจะสังเกตเห็นหรือไม่ แล้วถามต่อในอีกเรื่อง เพื่อความแน่ใจ
“ตัวยังชอบมอสหรือเปล่า”
“ก็บอกตัวหลายรอบแล้ว ว่าเปล่า”
น้องชายรีบตอบทันควัน เป็นการใช้คำตอบเดิม เหมือนทุกๆครั้ง ทั้งๆที่ควรจะเปลี่ยนตามที่ใจรู้สึกได้แล้ว แต่ก็ไม่ พี่สาวเองก็ย้ำอีกครา เหมือนที่ใช้ซ้ำแซวเล่นกันอยู่บ่อยๆ แต่ที่ไม่บ่อยมันคือความจริงจังในทุกๆคำของน้ำเสียง น้องชายก็ดันกลับเพิกเฉย มิยอมสัมผัสให้ลึกลงไปเลยว่าในความจริงจังนั้นมันซ่อนอะไร
“ถามรอบสุดท้าย”
“มะ ไม่ได้ชอบ”
“ตัวพูดเองนะ เรน”
ละเวงพูดออกมาเบาแสนเบา คล้ายจะพูดกับตัวเองแต่ก็ไม่ และก่อนที่บทสนทนาของสองพี่น้องจะดำเนินต่อไป พี่ช้างก็เข้ามาสมทบพร้อมคุณอาหมอ อุศเรนรีบแนะนำให้รู้จัก ละเวงก็ไหว้ด้วยความนอบน้อม และขอบคุณพี่ช้างที่เป็นธุระให้ ส่วนอาหมอก็แจ้งว่าหลังจากพักฟื้นและแข็งแรงขึ้นแล้ว ให้เข้าผ่าตัดทันที โดยที่ละเวงจะต้องย้ายไปยังโรงพยาบาลใหม่ตามที่อุศเรนกล่าวก่อนหน้า และด้วยเส้นสายของผู้ใหญ่บางคน ก็ทำให้ลัดคิวได้ไม่ยาก
“คุณหญิงวาสิฏฐี อัครพงศธร ท่านช่วย” อาหมอบอกมาให้
“คุณแม่พี่เต้ย พี่เขยมอสเขา แม่ผัวอีมูนเพื่อนรักพี่ เคยเจอกันกับพี่ๆเขาแล้วนี่เมื่อวันก่อน... คุณหญิงท่านดูแลมอสก่อนเข้าวงการ มอสคงบอกให้ท่านทราบน่ะ”
พี่ช้างเสริมขึ้นให้ เรนรู้สึกอิ่มใจนักกับสิ่งที่มอสกระทำนัก คะแนนใจหลายคะแนนถูกบวกให้มิมียั้ง นี่คงเป็นเหตุผลละมังที่มอสมาโรงพยาบาลโดยไม่บอก ละเวงแม้จะไม่รู้ว่าใครเป็นใคร แต่ก็ซึ้งใจจนน้ำตาคลอที่ชีวิตตนได้หลายๆคนช่วย อยากเร่งวันเร่งคืนให้ออกจากโรงพยาบาลเร็วๆ จะได้ไปกราบขอบคุณ แต่ก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะอาหมอบอกให้พักฟื้นเป็นอาทิตย์จนแน่ใจว่าแข็งแรงแล้วจึงจะส่งตัวต่อ อีกนานกว่าจะได้ออกจากโรงพยาบาล
และเมื่อทุกอย่างลงตัวแล้วไม่มีอะไรต้องห่วงอีก อาหมอกับพี่ช้างก็ออกไปข้างนอก ทิ้งเรนให้คุยกับละเวงอีกพักจนหมดเวลาเยี่ยมช่วงเช้า เรนจึงได้ลาพี่สาวกลับ และสัญญาว่าจะมาเยี่ยมอีกบ่อยๆ ก่อนไปพี่สาวก็กุมมือน้องชายแน่น พูดทิ้งท้ายว่า
“มาเยี่ยมคราวหน้า พามอสมาด้วยนะเรน เค้าอยากขอบคุณมอส เมื่อเช้ามัวแต่คุยเรื่องอื่นกัน เลยลืมขอบคุณ”
เรนฟังแล้วรู้สึกแปร่งๆในหูพิกล อยากจะถามว่าคุยเรื่องอื่นคือคุยเรื่องอะไรกัน ก็ไม่ทันได้ถาม เพราะพี่ช้างเปิดประตูเข้ามาตามให้รีบกลับ จนต้องแบกความสงสัยกลับไปพร้อมตัว ใจอยากจะโทร.หามอสนัก ทั้งอยากขอบคุณ ทั้งอยากถามความให้กระจ่าง แต่ก็เกรงว่ามอสจะยุ่งอยู่ ซึ่งมอสก็ยุ่งอยู่จริงๆ แต่มิใช่ยุ่งกับการเข้าฉากหรอกนะ แต่เป็นยุ่งอยู่กับสายที่บรรดาเพื่อนดาราโทร.มาถามว่าไอ้คนที่ตนวิ่งตามเมื่อวานจนลือลั่นสนั่นทวิตนั่นมันเป็นใคร หลายคนสงสัยไม่เว้นแม้แต่กระทั่ง พี่เขยกับพี่ตัว ผู้เป็นต้นแบบแห่งการวิ่งลัดทุ่งข้ามภูเขางอนง้อเมื่อวาน
“ไงไอ้น้องเมีย ลอกแบบกูมาเป๊ะๆเลยนะไอ้เวร เดี๋ยวพี่เก็บค่าลิขสิทธิ์นะโว้ย” พี่เต้ยกำลังขับรถอยู่ ส่งภาพและเสียงกลั้วหัวเราะใสในแบบฉบับวีดีโอคอลทักมา ข้างๆคือพี่มูนที่นั่งเคียงคู่ถือโทรศัพท์
“ซาหวัดดีคร้าบบบบพี่เขย พี่มูน มอสว่าอีกสักพักถ่ายซีนดราม่าเสร็จ กะว่าจะโทร.หาอยู่พอดีเลย ...นี่จะไปไหนกันครับเนี่ย”
“ไปรีสอร์ทน่ะสิ ช่วงนี้ลูกค้าเยอะฉิบหาย ต้องเอาเมียมาช่วยนี่ เอาเรื่องของนายก่อนดีกว่าไอ้มอส เต็มทวิตเมื่อวานเนี่ยมันคืออะไรวะ แหม่ เพิ่งเจอกันเมื่อวันก่อนแท้ๆ อย่าบอกนะโว้ยว่าวันนี้กำลังจะมีน้องสะใภ้ให้พี่ พี่แนะนำนะว่าให้รีบขอที่ดินเมียพี่สักผืน สร้างเรือนหอเลย ”
“อูยยยย พี่เต้ยก็คิดไปไกล ยังไม่มีอะไรหรอกครับ ก็แค่เข้าใจผิดกันนิดหน่อย” มอสยิ้มกว้างตอบมา แต่แล้วพี่มูนก็ขัดให้
“โวยวายที่สยามและก็วิ่งตามกันขนาดนั้นไม่นิดหรอกมั้งมอส แล้วนี่คุณนายช้างไม่บ่นแย่เหรอ”
“จะเหลือเหรอครับพี่มูน หนองโอษฐ์ของพี่เต้ย เพื่อนรักพี่มูนน่ะ บ่นว่าอยากเอาตีนก่ายหน้าผาก มอสก็เลยอนุญาตให้ใช้สองตีนเลย ถ้าไม่ติดพุงแล้วก่ายถึงนะ เอ หรือว่าจะเอาตีนมอสไปให้ก่ายแทนดี” มอสบางทีก็ชอบเรียกช้างว่า ‘หนองโอษฐ์’ มาจากคำเต็มว่า ‘นางสนองพระโอษฐ์’ เป็นยศรองของคุณท้าวที่ใช้ติดปากเรียกเสมอมา
“แน๊ ทำพูดเข้าก็พี่เขาเป็นห่วง..ทีนี้จะแก้ข่าวยังไงล่ะ แต่ดูท่าอารมณ์ดี ดูเหมือนไม่เดือดไม่ร้อนอะไรเลยนะ” มูนหันกล้องมาหาตัวเอง ถามขึ้นอย่างสงสัย ซึ่งเจ้าน้องชายก็ดูมิเดือดมิร้อนจริงๆ
“จะต้องไปเดือดไปร้อนอะไรกันเล่าพี่มูน ดารากับข่าวมันก็เป็นของคู่กัน เดี๋ยวมีเรื่องใหม่มาเขาก็ลืมกันไปเองแหละ ช่างมันก่อนเถอะครับพี่เรื่องนั้น เอาเรื่องนี้ดีกว่าเรื่องที่ว่าจะโทร.หา คือไม่ทราบว่าพี่มูน อยากได้นางข้าหลวงคนใหม่แทนคนเก่าที่เจอคุณท่านจนไข้ขึ้นแล้วเพิ่งออกไปสักคนไหมครับ เอาไว้เป็นเลขาพี่มูนก็ได้ ระยะหลังมานี่ พี่ๆก็ยุ่งกันไม่ใช่เหรอ หาคนไปช่วยจะได้เบาแรง รับรองพี่มูนจะต้องถูกใจ”
“หือ...ใครกัน”
“เขาชื่อ ละเวงครับพี่มูน”
แล้วมอสก็เริ่มเล่าเรื่องราวต่างๆให้ฟังตั้งแต่ต้น มูนกับเต้ยฟังแล้วก็รู้สึกเห็นใจ และก็เป็นที่แน่นอนว่ามิได้ปฏิเสธน้อง แต่ก็อยากให้น้องไปคุยให้เรียบร้อยเป็นเรื่องเป็นราวว่าเขาอยากมาทำงานให้โดยสมัครใจไหม มอสมั่นใจว่าไม่น่าจะมีปัญหา แต่ก็รับปากว่าจะไปคุย นี่ก็คงเป็นเรื่องดีๆอีกเรื่องที่ได้ช่วยสองอดีตคุณหนูคู่พี่น้อง หวังน้อยๆตอบแทนคือเพียงแค่ได้เห็นรอยยิ้มจากสองพี่น้องนั่นก็พอ
น้องคงดีใจจนหน้าหายเศร้า มียิ้มกว้างๆไว้ตอบรับ ...อยากจะรีบกลับไปเห็นหน้ามันตอนดีใจเสียเหลือเกิน
ส่วนคนพี่สาวนี่สิ ก็คงจะยิ้มอย่างที่เห็นเมื่อเช้า เป็นยิ้มเย็นๆ หวานๆ เหมือนที่เคยเดินกลับมายิ้มให้ เมื่อหลายปีก่อน ณ ห้องอาหารจีน ยิ้มนั้นมาพร้อมกับเบอร์โทร.และคำพูดที่ว่า
“ว่างๆก็โทร.มาคุยกับเราได้นะ เราชื่อละเวง”
มอสจำภาพที่เคยรางเลือนวันนั้นได้ดีแล้ว ภาพนี้อยู่ในความทรงจำของเขากับละเวงเท่านั้น ตามมาด้วยภาพอีกภาพที่ตัวเขาต้องยืนรอเก้อหน้าโรงหนัง หลังจากที่โทร.ไปเบอร์นั้นแล้วนัดกันเสียดิบดี และภาพสุดท้ายคือเมื่อเช้าละเวงก็ขอให้เขาเก็บภาพทั้งสองไว้กับตัวต่อไป อย่าบอกใครแม้กระทั่งอุศเรน
เจ้าซุปตาร์รูปหล่อคิดถึงตรงนี้ก็ยิ้มเบาๆให้กับตัวเอง ระบายลมหายใจไล่ภวังค์อดีตพรั่งพรูกลับสู่ปัจจุบัน พร้อมแล้วที่จะเดินเข้าฉากเล่นซีนสุดท้ายของละครชีวิตตรงหน้า ซึ่งตั้งใจแล้วว่าจะเล่นบทพระเอกออกมาให้ดีที่สุด
เกือบจะสามทุ่มแล้ว อุศเรนพิมพ์รายงานประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยาของเด็กชายดารากร อัครพงศธร หลานชายตัวแสบของมอสเสร็จไปชั่วพักใหญ่ หากก็ยังมิมีวี่แววของตัวน้าชายที่ส่งไลน์มาบอกพี่ช้างว่าจะกลับมาร่วมโต๊ะอาหารค่ำ วันนี้เขาคนนั้นหายไปทั้งวัน ข่าวคราวเกี่ยวกับเขาหรือการให้ความช่วยเหลือในเรื่องต่างๆก็ได้ยินมาจากปากพี่ช้างทั้งสิ้น ไม่ติดต่อโดยตรงมาหาตนเลย เขาจะรู้ไหมว่ามีใครอีกคนรอ จะรู้ไหมว่าใจของคนรอนั้นมันโหวงๆแปลกๆพิกล
ความรักมันเริ่มจากศูนย์ถึงร้อยฉันใด ...การรอคอยมันก็เริ่มจากร้อยถึงศูนย์ฉันนั้น
หลายปีก่อนเคยนับจนหยุดนับ ทว่าทุกๆสิ่งที่มอสกระทำ มันทำให้ใจเริ่มต้นนับใหม่ไม่ลังเล
ฉะนี้คนรออย่างตนจึงได้แต่ใช้ ตาสองตามองสลับไปมาระหว่างบานประตูห้องกับนาฬิกาแขวนผนัง ท่ามกลางเสียงกรนที่เริ่มดังสนั่นจากเจ้าของห้องที่นอนอ้าปากพะงาบๆ กอดขวดไวน์อยู่ตรงชุดโซฟาซึ่งเจ้าตัวอ้างว่าเป็นออเดิร์ฟ แถมยังคะยั้นคะยอให้ตนจิบเป็นเพื่อน ฤทธิ์ไวน์ทำให้มึนไปได้เหมือนกัน ยังดีที่ยังไม่มากเท่าพี่ช้างที่ล่วงหน้าคืนร่างจากช้างธรรมดากลายเป็นช้างเอราวันไปให้พระอินทร์ขี่เสียแล้ว
ด้วยความที่อยากจะรอขอบคุณมอสด้วยตัวเองกับสิ่งดีๆที่เขาทำให้ซึ่งสำคัญพอๆกับที่ใจไม่ลึกนั้นอยากเห็นหน้า อีกทั้งยังรอร่วมโต๊ะอาหารตามคำสั่งจึงทำให้ฝืนความมึนนั่งรอ และแล้วเสียงกริ่งหน้าประตูห้องก็ดังขึ้น การรอคอยก็ถึงคราวสิ้นสุดลง อุศเรนรีบวิ่งไปเปิดประตูพร้อมรอยยิ้มกว้างๆที่ใจสั่งให้เตรียมไว้ต้อนรับ แต่แล้วก็ต้องยิ้มค้างเก้อ เพราะคนที่ยืนอยู่หน้าประตูนั้น แม้เขาจะเป็นดารา ก็หาใช่คนที่ตนใช้ใจรอ
“หวัดดีครับเรน ดีขึ้นแล้วใช่ไหม”
“ปะ ปอนด์ หวัดดีครับ”
ปอนด์ใช้ความใสที่มีอยู่ทั้งหมดทั่วร่างส่งผ่านเป็นรอยยิ้มน่าเอ็นดูมาทักทาย มิรอให้อีกฝ่ายเชื้อเชิญ ถือวิสาสะเดินเข้ามาในห้อง ปิดประตูห้องเสียเอง ยื่นส่งถุงขนมสองสามถุงจากร้านเบเกอรี่เจ้าดังที่ถือมาให้ อธิบายเหตุแห่งการมาเยือนโดยมิบอกกล่าวล่วงหน้า
“อยากมาเซอร์ไพร์สน่ะ เป็นห่วงอยากรู้ว่าเป็นไงบ้าง ทีแรกนึกว่าอยู่ห้องมอส ไปกดกริ่งเรียกเสียตั้งนาน ที่แท้ก็มาอยู่ห้องพี่ช้างนี่เอง อ่ะนี่ขนม เราซื้อมาฝาก”
“ขอบคุณครับ ”
“ไม่ต้องขอบคุณหรอก ไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงอะไรเราเลย เราเต็มใจ” เต็มใจของปอนด์ คงจะมาเต็มจริงๆ เพราะทั้งหน้าทั้งตาตลอดทั้งน้ำเสียง มันส่งประกายออกมาว่าเต็มที่อย่างปิดไว้ไม่มิด “เรนยังไม่ตอบคำถามเราเลยนะ ว่าดีขึ้นแล้วใช่ไหม ”
“ดีขึ้นแล้วครับปอนด์”
“ดีขึ้นแล้วทำไมทำหน้าเหวอๆอย่างนั้น ไม่เหมือนตอนเปิดประตูเลย ยิ้มซะน่ารักเชียว”
“อ่อ คือ....” เรนพยายามนึกคำพูดถนอมน้ำใจ ไม่อยากพูดออกไปตรงๆว่ายิ้มที่มีให้ มันเป็นยิ้มที่สงวนไว้ให้ใครอีกคน หากก็นึกไม่ทัน “เรานึกว่ามอสมาน่ะ เพราะมอสบอกว่าจะกลับมามื้อเย็นที่ห้องพี่ช้าง”
ปอนด์หุบยิ้มลงทันใด เสียงใสส่งปลายสะบัดหน่อยๆ “จะไปรอมันทำไม เมื่อกี้เราเพิ่งเห็นไอ้นิวมันโพสไอจีสตอรี่ มันกับไอ้มอสยังอยู่ที่งานเลี้ยงปิดกล้องอยู่เลย”
“อ้าว ไหนบอกพี่ช้างว่าจะรีบกลับ อยู่งานเลี้ยงแป๊บเดียว” เรนพึมพำ ก่อนจะเดินไปยังแพนทรีที่ถัดออกไปไม่ไกลเอาขนมไปเก็บ ปอนด์เองก็เดินตามมา จงใจให้ข้อมูลเพิ่มเติม ฝากไปให้คนฟังคิดต่อเอง
“คงรีบกลับกันหรอก รู้เปล่าละครเรื่องนี้ ดาราผู้หญิงเยอะสวยๆทั้งนั้น ถ้าไอ้มอสไอ้นิวรีบกลับ ก็ไม่ใช่มันสองตัวแล้วล่ะ” เจ้าตี๋หล่ออินเทรนด์พูดจบก็ยิ้มต่อออกมาได้ เพราะดูท่าคนฟังกำลังคิดต่อเองสมใจ
“แล้วนี่หิวไหมล่ะ ไปกินข้าวข้างนอกกับเราก่อนดีกว่าไหม เรารู้จักร้านอร่อยๆเยอะนะ แถวๆนี้เอง ไปเถอะนะเดี๋ยวเรากลับมาส่ง ไม่ดึกหรอก”
“เราต้องขอพี่ช้างก่อน แต่พี่เขาเมาไวน์หลับไปแล้ว” เรนเลี่ยงๆปัดๆไปให้พี่ช้าง มิรู้ทำไมใจถึงอยากอยู่ห้องรอคนที่อยากเจอมากกว่า หากปอนด์ก็ไม่ยอม
“ปล่อยให้พี่ช้างเขานอนต่อไปเถอะ ไม่ต้องขอหรอก นะนะ ปอนด์หิวแล้ว เมื่อวานยังไม่ได้กินข้าวด้วยกันเลย ดันเกิดเรื่องซะก่อน”
“เอ่อ คงไม่ดีมั้งปอนด์ เดี๋ยวปอนด์ก็เป็นข่าว เมื่อวานก็ทีแล้ว เต็มทวิตเหมือนมอสเลย ว่าแต่เราขอโทษด้วยนะเรื่องนี้” เรนใช้ข้ออ้างอีกข้อที่น่าจะพอฟังขึ้น แต่มันดันกลายเป็นน่าฟังและเข้าทางปอนด์เสียนี่
“โถเพราะเรื่องนี้เองหรอกเหรอเลยไม่ไป ไม่ต้องขอโทษอะไรทั้งนั้นเรน ในเมื่อเราก็อยากให้มันเป็นจริงตามข่าวนายเอกนอกจอปริศนา ” ปอนด์ไม่พูดเปล่า ส่งสายตาพราวระยับ ไปให้อีกฝ่ายที่กลายเป็นนายเอกปริศนาตามแฮชแท็ก ที่กำลังหลบแลก้มหน้างุดๆ นี่คงเขินและซ่อนหน้าแดงๆไว้สินะ คนเห็นที่เอ็นดูอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงเอ็นดูหนักขึ้นไปอีก หนักถึงขั้นเกินเลย ดึงไอ้เจ้าตัวเล็กตรงหน้าเข้ามากอดไว้โดยมิทันตั้งตัว
“เลิกคิดมากได้แล้วเรน ตัวก็แค่นี้คิดอะไรเยอะแยะวุ่นวาย รู้ตัวไหมว่าเมื่อวานปอนด์เป็นห่วงมาก ปอนด์คิดแต่เรื่องเรนจนนอนไม่หลับทั้งคืน อยากจะมาหาตั้งแต่เช้า มาปลอบ มาดูแล แต่ก็ติดงาน พอเสร็จงานก็รีบมาหาเลยนี่”
ถ้าเป็นวันสองวันก่อน ก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่อง ใครก็ตามที่โดนรุกตรงๆไม่สงวนท่าทีแบบนี้เข้า คงถึงคราวอ่อนไหว แต่วันนี้ยามนี้อุศเรนไม่ได้เป็นเช่นนั้น ร่างเล็กๆของเขาจึงพยายามเบี่ยงตัวออก แต่ด้วยแรงที่น้อยกว่ามันทำให้สลัดออกมิได้ เพราะอยากรักษาน้ำใจกริยาที่ใช้จึงไม่หักหาญอ้อมกอดนั้นจนรุนแรง ผลที่ตามมาจึงทำให้อีกฝ่ายคิดว่าเคอะเขิน จึงกระชับวงแขนแน่นขึ้นกว่าเดิม เป็นจังหวะเดียวกับที่ประตูห้องที่ปิดสนิทเมื่อครู่ ถูกเปิดออกอีกครั้งด้วยคีย์การ์ดสำรอง พร้อมกับร่างและสายตาของคนที่เรนรอเขามาทั้งวัน เขาคนนี้ช่างกลับเข้ามาได้ถูกช่วงถูกจังหวะเสียจริงๆ
“ตามสบายนะ เราไม่กวน”
เสียงเรียบๆไม่เคียดขึ้ง ไร้วี่แววแห่งการประชดประชันอันใด ถูกทิ้งไว้หน้าประตู พร้อมสายตาที่คนเห็นไม่มีทางคิดไปเองว่าผิดหวัง...มอสหันหลังเดินกลับห้อง เก็บภาพคนสองคนกอดกันที่เห็นอยู่เต็มตา กลับเอาไปแต่เพียงเท่านั้น
“ไอ้มอส กลับมาได้ไงวะ” ปอนด์พูดกับตัวเอง เผลอคลายวงแขน เรนจึงหลุดมาได้ และก็ได้เห็นใครอีกคนที่น่าจะมาด้วยกันกับมอสเดินเข้ามา กอดไหล่พาปอนด์ออกไป
“อ้าวไอ้นิว เมื่อกี้ยังโพสไอจีว่าอยู่ที่งานไม่ใช่เหรอ”
“กูสองคนโพสบนรถต่างหาก” นิวตอบเสียงเข้ม พอๆกับหน้าเข้มๆ ตามด้วยแรงที่ปอนด์ต้องตามหลุนๆโดยมิยาก ประโยคเบาๆมีมาอีกแล้วเพื่อใช้คุยกันสองต่อสองต่อหน้าคนอื่นที่ยังยืนงง
“เป็นเด็กดีของกูได้แป๊บเดียว พอคล้อยหลังกูก็เจ้าชู้อีกแล้ว จะทำโทษมึงยังไงดีนี่”
แล้วทั้งสองก็เดินกลับไปจนลับตา เรนเองก็ยืนอยู่ที่เดิมไม่ได้แล้ว รีบไปหยิบคีย์การ์ดสำรองห้องมอสตรงโต๊ะทำงานพี่ช้าง วิ่งไปยังห้องมอสทันที เมื่อถึงหน้าห้องก็เกิดลังเลอยู่เพียงนิดว่าจะเข้าไปดีหรือไม่ในตอนนี้ แต่แล้วภาพของสายตาผิดหวังเมื่อครู่ ก็ทำให้ตัดสินใจเปิดเข้าไป อย่างไรเสียก็ต้องอธิบาย ไม่เห็นเหตุหาควรปล่อยไว้ให้เรื้อรังข้ามคืน
“ไปไหนของเขา”
เรนเข้ามาในห้องแล้วก็เริ่มมองหา แต่ไม่เห็นวี่แววของเจ้าซุปตาร์คนสำคัญ จนสายตามาหยุดที่ประตูเทอเรซหรือระเบียงระฟ้าที่เปิดไว้ ปล่อยให้ลมพัดเข้ามาจนม่านขาวปลิวไสว เคล้าคลอไปกับเสียงกีต้าร์ที่ตามมาพร้อมสำเนียงเสียงเพลงตัดพ้อ อันจับลึกไปถึงขั้วหัวใจมิรู้ลืม
“ในอ้อมกอดพี่ คนดีเบื่อแล้วฤาเจ้า
จึงทิ้งเพียงเงายั่วเย้าใจพี่รำพัน
กลิ่นนวลเนื้อนางช่างเหมือนกระแจะจันทร์
หอมยังกรุ่นผูกพัน แต่เจ้านั้นมาหายไป” *
อุศเรนบังคับขาตัวเองมิได้ ก้าวตามเสียงร้องนั้นไปยังระเบียง ...คนที่นั่งเล่นกีตาร์อยู่ก่อนทำไมจะมิรู้ตัวว่าใครมา หากก็ยังมิยอมทอดสายตามามอง จนท่อนสุดท้ายจบลงนั่นแหละ เสียงเล็กๆจึงแทรกเสียงร้องใส เรียกร้องความสนใจ ให้หันมาหาคนมาเยือน
เมื่อเขาคนนี้หันกลับมามองแล้ว...คนมาเยือนที่เคยอยู่ในอ้อมกอด จึงมิรอช้าอันใดอีกเลย
“เรื่องเมื่อกี้เราอธิบายได้นะมอส ปอนด์เขาแค่อยากปลอบเรากับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน เขาไม่อยากให้เราคิดมาก เขาเลยกอดก็เท่านั้น” คงเพราะฤทธิ์ไวน์อีกกระมัง อะไรๆที่อยากพูดมันก็เลยดูคล่องปากไปหมด และก็ไม่รู้ทำไม จึงกลัวเขาเข้าใจผิดกับภาพที่เห็นนัก
“แต่เราก็ไม่ได้คิดอะไรกับเขาเลยนะ เรา....”
“พอได้หรือยัง” เจ้าของอ้อมกอดเมื่อคืนขัดขึ้น ยังไม่ยอมมองหน้าอีกฝ่าย หากแต่คนพูดยังไม่ละความพยายาม
“ฟังให้จบก่อนสิมอส เราจะบอกว่า เรา...”
“จบได้แล้ว ไอ้คุณหนู... เราไม่อยากฟัง”
มอสขับเสียงใสใช้ฟาดคำพูดที่ค้างคาของไอ้คุณหนูจนกระจัดกระจาย ทำให้หน้าที่แดงด้วยฤทธ์ไวน์ ยามนี้ถึงคราวแดงขึ้นอีกระดับ ก่อให้เกิดความชาที่หวลกลับมาจับเต็มบนใบหน้าอีกระลอก คงไร้ประโยชน์สินะที่จะมาอธิบายให้ฟัง นี่ตนคงผิดเองคิดไปเองสำคัญตัวไปเองอีกแล้วแท้ๆ และมันก็คงไม่มีประโยชน์ที่จะยืนอยู่ตรงนี้อีกต่อไป เมื่อคิดได้ฉะนี้ ขาสองข้างที่ตามเสียงเพลงมาในทีแรกจึงค่อยๆถอยกลับ ทว่าก็ถอยไปได้แค่ก้าวเดียว เพราะมือแข็งแรงกลับมาฉุดรั้งไว้ให้ยืนอยู่ตรงที่เดิม
“เราไม่อยากฟัง แต่เราอยากพูดมากกว่า” มอสหันกลับมามองหน้าใช้สายตาสยบอีกฝ่ายจนนิ่ง ลำดับคำพูดออกมาชัดถ้อยชัดคำ ที่อีกฝ่ายไม่ต้องตีความอะไรต่อไปให้ยุ่งยากเลย
“ในเมื่อนายกอดเราแล้ว นายก็ไม่ควรไปกอดใครหรือให้ใครมากอดนายอีก”
ถ้อยคำเรียบๆ จากปากคนหน้าตึงๆข้างๆ ฟังดูธรรมดาก็จริง แต่กินนัยในความรู้สึกยิ่งนัก เขาคนนี้ไม่พูดเปล่า กลับวางกีต้าร์ไว้ข้างตัว ปล่อยฝ่ามือแข็งแรงที่ฉุดรั้งข้อมือของอีกฝ่าย หวลกลับมาวางไว้กลางเรือนผมของเจ้าตัวต้นเหตุแห่งความรู้สึก อันเป็นจุดเดียวกับที่จรดริมฝีปากทิ้งไว้เมื่อคืน
เจ้าของมือขยี้เบาๆ ส่งผ่านความเอ็นดูไปตามแรงจนมั่นใจว่าไอ้คุณหนูมันรับรู้ได้ ระคนรอยยิ้มน้อยๆที่คลี่กระจายออกมาจนกระจ่างตาได้ดังเดิมแล้ว
“เราหวง”
เพียงเท่านี้ คนฟังอย่างเรนก็รู้สึกว่าเบื้องหน้าพื้นระเบียงละเลียดฟ้าชั้นสิบเจ็ดที่กำลังยืนอยู่นั้น ทลายลงกลายเป็นหลุมขนาดใหญ่ และยอมให้คนขี้หวงคนนี้ผลักตนจนลอยละลิ่วตกลงไปยังเบื้องล่างอีกครั้ง โดยมิขัดขืนเลยแม้แต่นิดเดียว
ตกหลุมรัก ขึ้นไม่ไหว ใครผลักฉัน
เธอใช่ไหม ฤาใครกัน ทำไขสือ
เจ้าตัวร้าย อย่าฉุดขึ้น อย่ายื่นมือ
ขออยู่ดื้อ ในหลุมรัก ตลอดกาล
***********************************
รบกวนติดตามต่อในบทที๖ ตกหลุมรัก ขึ้นไม่ไหว ส่วนที่ ๒/๒ นะคะ
ช่วงนี้ work from home เลยพอมีเวลาเขียนได้บ้าง แต่ถ้าช่วงไหนหายไปต้องขออภัยด้วยนะคะ สัญญาด้วยเกียรติของยุวกาชาดว่าไม่ทิ้งท่านผู้อ่านแน่นอน ยังไงขอฝากนิยายเรื่องนี้ไว้กับท่านผู้อ่านด้วยนะคะ
ขอบพระคุณท่านผู้อ่านทุกท่าน ขอบพระคุณทุกๆความเห็น คุณanterosz คุณwutwit คุณงงปะ คุณpepperpro คุณtweetpuen คุณsugarcane_aoi คุณp_phai คุณOooy และก็คุณblove สำหรับกำลังใจและติดตามกันเสมอมา
รักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ ...เราจะก้าวผ่านCOVID19 ไปด้วยกัน เป็นกำลังใจให้ทุกท่านค่ะ แล้วพบกันนะคะ
อ้างอิง * นำมาจากเพลง ในอ้อมกอดพี่ คำร้องโดย ป.วรานนท์ ทำนองครูพยงค์ มุกดา