บทที่ ๔ Stardust ละอองดาว ส่วนที่๓(จบตอน)
คันเร่งของมอเตอร์ไซค์ยามนี้ สมควรจะบิดได้เกินร้อย ให้สมกับความร้อนใจจนแทบทะลุไมล์ที่มี หากมอสก็ทำได้แค่หกสิบเป็นอย่างสูงบนผืนถนนของกรุงเทพในช่วงเวลาที่การจราจรหนาแน่นคับคั่ง มอเตอร์ไซค์คันเล็กแทนที่จะได้โผนทะยานไปได้อย่างรวดเร็วกลับต้องซอกต้องซอนไปตามช่องว่างของรถน้อยใหญ่ที่แทบจะเรียกได้ว่าจอดสนิทราวกับรถของเล่นตั้งโชว์ ตลอดทางจากสยามสแควร์ไปสำเพ็ง
ฝ่ายคนซ้อนด้วยเพราะความที่มิค่อยได้นั่งมอเตอร์ไซค์เท่าไรนัก อุศเรนจึงมิชินกับการซอกแซกนั้น อีกทั้งยังกลัวตก... เก้ๆกังๆ จึงเป็นกริยาของการนั่ง สองแขนจึงถือวิสาสะกอดเอวคนขับแน่น ใบหน้าแทบจะซุกลงไปบนแผ่นหลังกว้าง นี่ลองถ้าเป็นนิยายหรือซีรีส์วายแล้วละก็ คงต้องบอกว่าฉากนี้คงเป็นฉากหนึ่งที่ยอดนิยม มีคนหนึ่งขับ ตามด้วยคนหนึ่งกอด ที่แทบทุกเรื่องจะต้องมี แต่เผอิญมันไม่ใช่ เพราะคนขับนอกจากจะไม่จับมือคนซ้อนมากอดเอวตัวเองแล้ว ยังหันมาแทบจะแยกเขี้ยวใส่ให้อีกด้วย ไม่มีเสียหรอกที่จะหันมาส่งตาหวานๆพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ อย่างที่พระเอกในซีรีส์พึงทำ
“จะกอดอะไรแน่นนักหนาวะไอ้ขี้เลน นั่งห่างๆ ออกไปอีกนิดก็ได้” คิ้วหนาๆของพระเอกที่ยามนี้อยู่นอกจอขมวดขึ้นเป็นปม พร้อมหน้าหล่อๆที่กลายเป็นยับยุ่งตอนติดไฟแดง
“ก็กลัวตก”
“กลัวตกก็นั่งให้มันดีๆ สิ ทำเป็นไม่เคยนั่งมอเตอร์ไซค์ไปได้ เป็นลูกคุณหนูมาจากไหนวะไอ้ขี้เลน” ไม่มีเสียหรอกที่จะบอกว่า ถ้ากลัวตกก็ให้ ‘กอดแน่นๆ’
“เออใช่ เป็นลูกคุณหนู”
นี่ถ้ามอสหันมามองตาอุศเรนสักนิด จะรู้เลยว่าสายตามันบอกความจริงตามที่พูด ถึงแม้จะเป็นอดีต ทว่ามันก็คือความจริง แต่เพราะมอสมิได้มอง จึงมิได้รับรู้ความจริงนั้น สัมผัสจึงมีแค่ผิวเผิน และตีความไปว่า... ‘ถูกประชด’
“เหอะ ถ้าอย่างนายเป็นคุณหนู เราก็เป็นเจ้าชายแล้วล่ะ ไอ้คุณหนูขี้เลน ...”
มอสขยับปากเตรียมจะพูดต่อ แต่ก็ต้องหยุดชะงัก เพราะโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงสั่นระรัวขึ้น จึงรีบล้วงขึ้นมามิทันได้ดูหน้าจอหรอกว่าใครโทร.มา และพอได้รับสายเท่านั้น ประโยคแรกของมอส ก็บอกให้คนซ้อนไม่ต้องเดาอะไรอีกแล้ว
“อะไรนะครับ ...สตาร์อยู่ที่นั่นเหรอครับ อยู่ตรงไหนนะครับ ... ได้ครับผมจะรีบไป”
ทันทีที่จบประโยค สัญญาณไฟเขียวก็สว่างวาบขึ้น มอสจึงรีบบิดออกไปอย่างไม่รอช้า ทำให้คนกลัวตกแทบจะหงายหลัง และละเลยคำสั่งกลับกอดเขาแน่นยิ่งกว่าเดิม มอสคงไม่สนใจแล้ว เพราะเจ้าดาวน้อยยังที่หมายปลายทางนั้นคงสำคัญกว่า แล้วมินาน มอสก็มาถึงยังจุดหมายที่เจ้าของสายเมื่อครู่บอก ซึ่งเป็นร้านกาแฟเล็กๆ อยู่ริมทางห่างจากสำเพ็งไปหลายป้ายรถเมล์ทีเดียว ครั้นพอจอดรถได้และเข้าไปในร้าน เสียงร้องทักเสียงใสก็ดังขึ้น พร้อมๆกับดาวดวงน้อยที่แทบจะลอยมากอดเอวแน่น
“น้ามอสสสสสสส” สตาร์โผเข้ามากอดเอวน้าแน่นไม่ยอมปล่อย น้าเองก็กอดตอบแน่น ด้วยความโล่งใจ
“สตาร์ดัส หายไปไหนมาครับ น้าเป็นห่วงแทบแย่”
“สตาร์หลงกับพี่ซันครับ พยายามเดินตามหาก็หาไม่เจอ เลยเดินมาเรื่อยๆ จนมาเจอกับพี่สำอาง พี่เขาเลยช่วยติดต่อน้ามอสให้” สตาร์พูดพลางซบหน้าอยู่กับเอวน้าพลาง เล่าเหตุการณ์คนละฉากกับความจริงตามที่คุณอาคนสวยร้องขอ
“สตาร์...สตาร์ฟังอานะคะ เดี๋ยวอากับพี่สำอางจะพาสตาร์ไปรอน้ามอสที่ร้านกาแฟหน้าปากซอย แต่อาขออะไรอย่างหนึ่งได้ไหม อาขอให้สตาร์อย่าบอกว่า เจอคุณตากับอาที่นี่ บอกแค่ว่าเดินหลงมาเจอพี่สำอาง และพี่เขาก็เลยช่วย ...บอกแค่นี้ได้ไหมคะ”
“ได้ครับ แต่ทำไมละครับ” สตาร์ถามด้วยความสงสัย
“อายังไม่อยากเจอพ่อกับแม่ของสตาร์จ้ะ”
“คุณอาเกลียดพ่อกับแม่ของสตาร์เหรอครับ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะสตาร์ ตรงกันข้าม อารักพวกเขามากเลยทีเดียว ...แต่พวกเขาคงไม่ชอบอาเท่าไหร่นัก อาเลยไม่พร้อมจะเจอ ถือว่าอาขอนะคะ ทำเพื่ออาได้ไหม”
“ได้ครับ...แล้วเราจะได้เจอกันอีกไหมครับคุณอา สตาร์อยากเจอคุณอาอีก” เสียงใสซื่อ เล่นเอาคนฟังทรุดเข่าลงมากอดคนพูดแน่น ระคนน้ำตาคลอ
“ถ้าสตาร์อยากเจอ เราก็จะได้เจอ ...แต่อาคงมาเจอได้ไม่บ่อยนัก และขอให้ปิดไว้เป็นความลับนะคะ อย่าบอกใครเด็ดขาด เดี๋ยวอาจดเบอร์อาให้นะ เราจะได้ติดต่อกัน ”
“ครับคุณอาเกรซ” สตาร์เรียกชื่อคุณอาตามที่คุณตาเรียก มิรู้ตัวว่าทำไมถึงไม่อยากออกไปจากอ้อมอกของคุณอาคนสวยคนนี้นัก
“ดีมากจ้ะ งั้นเราไปกันเถอะ เผื่อเราได้เดินคุย นั่งคุยกันอีกสักนิด ว่าแต่ช่วยเล่าเรื่องพี่สกายให้อาฟังได้บ้างไหมคะ อาอยากรู้ว่าเขาเป็นไงบ้าง”
สตาร์ยิ้มแฉ่งแทนคำตอบ แล้วเล่าเรื่องพี่สกายให้คุณอาคนสวยฟัง ตั้งแต่ร้านยาจนมาถึงร้านกาแฟ เกรซเองก็ตั้งใจฟัง พร้อมรอยยิ้มระเรื่อที่มีมาให้ตลอด จวบจนรอยยิ้มนั้นจำจากลากลับไปพร้อมกลิ่นกุหลาบหอม ก่อนมอสมาเพียงครู่เดียว เหลือแต่พี่สำอางที่ยังยืนอยู่ข้างๆ อ้าปากค้าง ยามเห็นหน้าน้าชายของสตาร์
“มะ มอส มณฑล”
เพราะเสียงอันดังลั่นกว่าของสตาร์จากพี่สำอางนี้เอง ทำให้เจ้าของร้าน พนักงานและบรรดาลูกค้าต่างหันมามองกันเป็นจุดเดียว พร้อมกับจราจลย่อมๆของแสงแฟลชจากมือถือ ที่เริ่มกรูกันเข้ามาหามาห้อมล้อม มอส มณฑล คนที่ก้าวเท้าเข้ามาดึงความสนใจไปทั้งมวล มอสจะทำกระไรได้นอกจากยืนยิ้มให้เขาถ่ายรูป ทั้งๆที่อยากจะถามความเพิ่มเติมจากหลานตัวแสบนักเหลือเกิน
มอสยืนถ่ายรูปกับคนนั้นคนนี้อีกชั่วพัก โดยมีสตาร์ร่วมเฟรมกอดเอวไม่ยอมปล่อย พอคนซาจึงตั้งใจจะหันไปขอบคุณพี่สำอาง แต่ดูเหมือนว่าพอได้ถ่ายรูปเสร็จพี่สำอางก็ไม่อยู่ ณ ที่นี้แล้ว มอสจึงต่อสายไปหาพี่มูน แจ้งพิกัดของเจ้าดาวน้อยกับตนเสร็จสรรพ ซึ่งมินานพี่มูนก็มาถึง พร้อมกับพี่เต้ย พี่เปรม และก็เจ้าซัน
“หายไปไหนมา”
คำถามแรกที่ควรจะมาจากพ่อกับแม่ แต่ก็มิใช่ ....พี่ชายต่างหากเล่าดันเป็นคนถามขึ้น พร้อมใบหน้าถมึงทึงเข้ามาดึงแขนน้องออกจากเอวน้าชาย พี่ซันลากแรงและด้วยแรงลากมิต่างกระชากฉะนี้ มีหรือน้องจะไม่เซหลุนๆ
“โอ๊ยยยย สตาร์เจ็บนะพี่ซัน”
“อย่ามาสำออย บอกพี่หายไปไหนมา รู้ไหมทุกคนเป็นห่วง ทั้งคุณป๊ะ คุณมะ ต่างก็ต้องทิ้งงานมา ลุงเปรมก็ด้วย อย่าทำตัวเป็นเด็กมีปัญหาได้ไหมวะ”
“สตาร์ไม่ใช่เด็กมีปัญหา คนมีปัญหาคือพี่ซัน” เพราะพี่ชายขึ้นเสียง น้องชายจึงขึ้นเสียงเถียงเอาบ้าง
“ถ้าไม่ใช่เด็กมีปัญหา แล้วสะบัดข้อมือออกทำไม”
นั่นสิ แล้วตนสะบัดขอมือออกจากมือพี่ชายทำไม จะให้บอกไปตรงๆฤาก็ไม่กล้า เพราะสายตาคุณป๊ะ คุณมะยามนี้ กำลังจับจ้องมาที่ตนนิ่ง แน่นอนว่าย่อมรอฟังคำตอบ และถ้าคำตอบไม่มีเหตุผลเพียงพอ นั่นก็หมายความว่า ปัญหาจะมาเยือน จนกลายเป็นเด็กมีปัญหาอย่างพี่ชายบอกจริงๆ
ด้วยคุณป๊ะ คุณมะนั้น ยามปกติก็คือดีจนใจหาย แต่ถ้าเกิดดุขึ้นมาเมื่อไรล่ะก็ น่ากลัวชะมัด อย่างคุณมะเวลาดุนี่ ยามเอาเรื่องนี่ ไม่เบาเหมือนกัน เพียงแค่มองนิ่งๆ เข่าก็อ่อนแล้ว ส่วนคุณป๊ะนั้นนะหรือ คือระเบิดลง และการที่คุณป๊ะ คุณมะยังยืนเฉยปล่อยให้พี่ซันจัดการอย่างนี้ นั่นแสดงว่าให้โอกาสแก้ต่าง เหตุผลต้องมีมาให้เพียงพออย่างที่บอก ก่อนที่จะลงมาจัดการเองและคงแสดงให้เห็นอีกอย่างที่เคยสังหรณ์ไว้ก่อนแล้วว่า พี่ซันได้ก้าวเท้าเข้ามามีบทบาทในชีวิตเข้าแล้ว
“สตาร์ไม่ได้สะบัด แต่คนมันเบียดกัน มือมันก็เลยหลุด” สตาร์ตอบปัดๆ เบือนความจริงให้บิดไปเพื่อเอาตัวรอด
“แล้วทำไมพี่กับคุณมะโทร.หาถึงไม่รับสาย แถมยังปิดเครื่องด้วย”
“ก็แบตมันจะหมดนี่ พอพี่กับคุณมะโทร.มากๆเข้า เครื่องก็เลยดับ”
“ทำไมไม่หาตู้สาธารณะโทร.”
“มันหาไม่เจอ...แต่ขอถามหน่อยสมัยนี้เหลือสักกี่ตู้กันเชียว”
ซันจะรู้ไหมว่าตนนั้นมีหลาย ‘ทำไม’ กับน้องเหลือเกิน น้องเองก็มี ‘คำตอบ’ ให้ตลอด ทว่าคำตอบของน้องพี่ชายย่อมมิพอใจ และในระหว่างที่พี่ชายกำลังเอาเรื่องน้องอยู่นั้น อุศเรนที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่นานแล้ว ก็ฉุกคิดได้ว่า สตาร์นี้ใช่ไหมที่โทร.หามอส แล้วบอกว่าตนหลง แถมเบอร์ที่โทร.ก็เป็นเบอร์ที่ขึ้นต้นด้วยศูนย์สอง ถ้าหาตู้ไม่เจอแล้วเอาเบอร์ที่ไหนโทร.
“อ้าวแล้วโทร.หามอสได้ไง”
อุศเรนคิดว่าตนหลุดปากมาเบาแล้วเชียว แต่ไฉนหลายคนรายรอบกลับได้ยินสนั่นจนหันมามองตนเป็นตาเดียวกัน แล้วจากที่ไม่มีบทบาท ก็ดันได้รับบทเด่นทันใด
“นายว่าอะไรนะ ขี้เลน ใครโทร.หาเรา โทร.ตอนไหน” มอสถามขึ้นรวดเร็ว
“ก็น้องที่ชื่อว่าสตาร์นี่ไง โทร.หามอส ตอนมอสถ่ายละครอยู่ พอดีเรารับสาย เราบอกว่ามอสไม่สะดวก แต่น้องเขาก็ไม่ยอม จะคุยกับมอสให้ได้ สุดท้ายมาบอกว่าตัวเองหลง พอจะถามรายละเอียด สายก็ตัดไปก่อน”
อุศเรนพูดมาอย่างนี้ มิต้องถามต่อก็รู้แล้วว่าที่สตาร์พูดมา มันไม่จริง ....ทุกสายตาจึงหันกลับไปหาสตาร์ต้นเรื่องที่กำลังทำหน้าทำตาไม่ถูก แต่ถึงจะทำหน้าทำตามิถูก ทว่ารัศมีแห่งความไม่ถูกชะตา กลับสามารถส่งไปได้ถูกคน
‘ไอ้นี่ใช่ไหม ที่ชื่ออุดๆ เรนๆ เสือกเสียจริงเชียว ไม่ชอบตั้งแต่ตอนคุยโทรศัพท์ ยิ่งเจอหน้ายิ่งทำให้เกลียด’
ถึงสตาร์จะเป็นแค่ดาวน้อย แต่ความคิดที่คิดอยู่นี่ไม่น้อยเลยทีเดียว ในเมื่อทำให้ตนตกที่นั่งลำบากอย่างนี้ มันก็ต้องโดนด้วยเหมือนกัน
“น้ามอสครับ คืออย่างนี้ครับ สตาร์ตั้งใจจะโทร.หาน้ามอส แต่ไอ้พี่คนนี้ไม่ให้คุย แล้วก็ตัดสายทิ้ง ทั้งๆที่สตาร์กำลังจะบอกว่าอยู่ที่ไหน” สตาร์ผละออกจากซัน วิ่งไปหาตัวช่วยได้เหมาะเจาะยิ่ง และตัวช่วยนั้น ก็ดันช่วยได้ดีเสียด้วย
“อ้าวเฮ้ยไอ้ขี้เลน ทำไมทำอย่างนี้วะ นี่หลานเราทั้งคนนะโว้ย”
“ไม่ใช่นะครับมอส เราไม่ได้ตัดสาย แต่สายมันตัดไปเอง”
“แล้วทำไมไม่รีบบอกเราตั้งแต่ตอนนั้น”
“มอสถ่ายละครอยู่นี่ครับ จะให้เราบอกยังไง”
“แต่นี่มันเรื่องด่วน ถ้าหลานเราเป็นอะไรไปนายจะรับผิดชอบไหวเหรอ”
มอสขึ้นเสียงกับอุศเรนเอาให้แล้ว คราวนี้เป็นจริงเป็นจังกว่าครั้งคดีกางเกงในสีแดงมาก อุศเรนถึงกับตกใจ มิคาดคิดว่าพระเอกหน้าใสจะกราดเกรี้ยวได้เพียงนี้ และเพราะความตกใจนี้เองจึงพูดอะไรมิออก ...ยิ่งพูดมิออก ยิ่งทำให้ระดับเสียงที่มอสใช้ ไต่ระดับได้จนสูงสุด
“เราถามว่านายจะรับผิดชอบไหวเหรอ ตอบมาสิ... นายมีสมองหรือเปล่าวะ ไม่น่ารับนายมาทำงานเลย ตัดสินใจผิดจริงๆ”
‘หน้าชา’ คงเป็นความรู้สึกของอุศเรนที่เกิดขึ้น ถ้อยคำของมอส มิต่างอะไรกับฝ่ามือหนาหนักที่ตบแก้มตนฉาดใหญ่จนหน้าหันแทบจะล้มคว่ำคะมำลงกับพื้น ตาใสๆใต้แว่นหนาเริ่มพร่ามัวด้วยน้ำใสๆคลอปริ่มอยู่ริมขอบ แต่ก่อนแต่ไร เจอปัญหาหนักกว่านี้ มิเคยจะต้องร้องไห้ แต่ไยวันนี้ ใครจะว่าอ่อนไหวเกินเหตุก็ช่าง กับมอส มณฑลคนนี้ กับคำพูดของเขานี่ มันดันกระตุ้นน้ำตาได้ดีเหลือเกิน
ตั้งแต่อยู่ที่กองถ่ายแล้ว ... ‘เหวี่ยง’ เล็กๆที่โดนมานั้นยังพอทน ตอนนั่งมอเตอร์ไซค์เจอลูกเหวี่ยงใหญ่ขึ้นมาหน่อยก็ยังพอไหว ทว่าตอนนี้มันคงเกินทานทนและคงป่วยการที่จะยืนอธิบายให้เขาทราบ ‘ปล่อย’ ให้เชื่อหลานต่อไปนั่นแหละ จะได้สมกับความคิดของคนมีสมอง ส่วนคนไม่มีสมองอย่างตน ก็จะไม่ขอยืนอยู่ให้เป็นการประจานตัวคนพูดได้ว่า...เขานั้นตัดสินใจผิด
ว่าแล้วอุศเรนจึงค่อยๆก้าวขาออกมา ท่ามกลางสายตาหลากหลายคู่ที่มองเขาอยู่เป็นจุดเดียว และมันก็มีอยู่สองคู่ที่โดดเด่นกว่าใคร คู่หนึ่งมาจากคนเป็นน้า ส่งประกายฉุนเฉียวกราดเกรี้ยวขัดใจ ...ส่วนอีกคู่มาจากหลานชาย ที่กำลังฉายแสงสะใจ ในทุกๆย่างก้าวแห่งการเดินจากไปของตน....และตนก็ไม่มีทางคิดไปเอง
“สมน้ำหน้า” เสียงใสเบาๆ ลอยผ่านมาเข้าหู ก่อนอุศเรนจะเดินถึงประตู ไม่ต้องหันไปดู ก็รู้ว่ามาจากใคร .... ‘หลานชาย’ คนนี้ของมอสนั่นไงเป็นคนส่งมา เจ้าเด็กที่ชื่อสตาร์นี่ มันร้ายไม่เบาเลยทีเดียว
แต่ก่อนที่จะก้าวขาออกจากประตูร้านนั้น อุศเรนก็ต้องหยุดชะงัก เพราะมีมือนุ่มๆ มือหนึ่งคว้าต้นแขนตนไว้ ตามมาด้วยเสียงอ่อนโยนที่สามารถรั้งขาตนให้หยุดยืนฟัง
“เดี๋ยวก่อนน้อง ...น้องไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น เดี๋ยวพี่จัดการให้เอง” มูนใช้ยิ้มปลอบประโลม เด็กแว่นน่าสงสารตรงหน้า แล้วหันไปทำหน้าจริงจังปรับน้ำเสียงเข้มขึ้นยามเจรจากับน้องชาย
“มอส พี่ว่ามอสควรใจเย็นๆก่อน ”
“เย็นไม่ได้หรอกครับพี่มูน ถ้าสตาร์เป็นอะไรไปขึ้นมาล่ะ”
“สตาร์มันไม่เป็นอะไรแล้ว โมโหน้องเขาไปมันก็ไม่ได้เรื่องอะไรขึ้นมา พี่ว่าเรื่องสตาร์ ให้พวกพี่จัดการต่อดีกว่า มอสกลับไปถ่ายละครก่อนเถอะ ” มูนเตือนสติน้องชาย เป็นจังหวะเดียวกันกับเต้ยที่ยืนเฉยๆในตอนแรก เดินผละออกจากเปรม เข้ามาแทรกสถานการณ์ ก่อนที่จะกลายเป็นเชิงลบ
“สตาร์ครับมานี่ กลับบ้านไปคุยกับป๊ะกับมะ เรามีเรื่องต้องคุยกันยาว”
“ไม่ครับ สตาร์จะอยู่กับน้ามอส”
แน่นอนว่าสตาร์ดัสของน้าย่อมแผดเสียง....แต่สตาร์คงลืมไปว่าในอัครพงศธรนั้น มีเพียงคนเดียวที่จะมีศักดิ์และสิทธิ์กระทำเช่นนั้นได้ นั่นก็คือเต้ย หากใครคนอื่นทำนั่นหมายถึงกบฏกลายๆ เพราะเต้ยคือหัวหน้าครอบครัว คืออาญาสิทธิ์ที่ทุกคนต้องฟังและทำตามโดยไม่มีข้อโต้แย้งคงมีแต่มูนเท่านั้นละมังที่เต้ยยอมลดลงให้บ้าง แต่ไม่ใช่กับลูกแน่นอน
“ดารากร!!” ชื่อจริงถูกเรียกขานด้วยเสียงดังกังวานแผดออกมาช้าชัด แสดงว่าเต้ยเอาจริง “มานี่เดี๋ยวนี้ จะไม่มีการพูดรอบสอง จะเดินมาดีๆ หรือจะให้พี่ซันไปลากตัวมา”
“พี่เต้ยครับ สตาร์มันยังเด็ก” มอสรีบขวาง เกรงหลานตัวโปรดจะโดนอาญา เพราะรู้ดีว่าพี่เต้ยยามโมโหเป็นอย่างไร
“สตาร์ไม่ใช่เด็กที่มอสจะมานั่งตามใจมันแล้ว” เต้ยพูดช้าชัด แล้วหันไปมองสตาร์ ที่จำใจเดินคอตกจากมอสมาหาตน สีหน้าระรื่นสะใจเมื่อครู่หายสิ้น
“ซัน...พาน้องไปรอที่รถป๊ะ เดี๋ยวเรากลับอัมพวาพร้อมกัน”
“ครับคุณป๊ะ” ซันรับคำพ่อเต้ย ฉุดข้อมือน้องหลุนๆเช่นเคย ซึ่งครานี้สตาร์คงมิกล้าสะบัดออก
“มูน...เต้ยจะรอที่รถ”
เต้ยบอกเมียสั้นๆแล้วหันไปตบไหล่น้องเมียเบาๆอำลา เดินออกจากร้านไปพร้อมเปรมที่มิได้เข้าแทรกสถานการณ์อย่างใด เมื่อคล้อยหลังเต้ย มูนก็พูดกับมอสต่อหน้าอุศเรนที่กำลังฝืนมิให้น้ำตาไหลมาว่า
“มอส...พี่รู้ว่ามอสห่วงสตาร์มากขนาดไหน และเข้าใจดีว่าทำไมมอสถึงโมโหน้องคนนี้ แต่ถ้าพี่เป็นมอส พี่จะไม่ใช้อารมณ์ในการฟังเด็ดขาด เหตุผลของน้องเขาก็บอกมาอย่างชัดแจ้งแล้วว่ามอสถ่ายละครอยู่จะให้เขาไปตามได้อย่างไร”
“อ้าวพี่มูน พี่มูนกำลังเข้าข้างคนอื่น ....มอสเป็นน้องชายพี่มูนนะครับ” มอสทำหน้ายุ่ง เริ่มงอแงเอากับพี่
“ก็เพราะมอสเป็นน้องพี่ พี่รู้ว่ามอสเป็นยังไง พี่เลยไม่เข้าข้าง มีเหตุผลหน่อยสิมอส ...มอสฟังพี่นะ น้องคนนี้เขาไม่ใช่คนอื่น เขาเป็นคนที่ทำงานให้มอส เป็นคนที่มอสต้องตอบแทนด้วยน้ำเงิน น้ำใจและน้ำคำ แต่ไม่ใช่น้ำตา” มูนเว้นวรรคเพียงครู่ ลอบถอนหายใจแล้วกล่าวต่อ
“ น้ำเงินกับน้ำใจคงไม่ต้องอธิบาย แต่น้ำคำมอสต้องมี มอสต้องชมเขาในที่แจ้งและตำหนิเขาในที่ลับ แต่เมื่อกี้มอสตำหนิเขาในที่แจ้งมันไม่สมควรเลย การเป็นเจ้าเป็นนายคนนั้นต้องรู้จักใช้ศิลปะพวกนี้ให้เป็น ดูอย่างพี่เต้ย เห็นเขาอย่างนั้น เขาได้ใจพนักงานหลายร้อยคนได้ด้วยสามสิ่งที่พี่ว่านี่แหละ ไหนๆก็เลือกจะเป็นแบบพี่เขาแล้วนี่ ทำไมไม่เดินตามแบบมาให้หมดซะเล่า มอสเองก็ไม่ใช่เด็กแล้วนะ และพี่ก็มั่นใจว่า น้องของพี่ย่อมมีสมองคิดได้ อย่าให้พี่ต้องตัดสินตัวเองว่าพี่คิดผิด”
อุศเรนหน้าชาตอนโดนมอสว่าหน้าธารกำนัลฉันใด....มอสก็กำลังหน้าชาตอนโดนพี่มูนเทศนาฉันนั้น ผิดกันตรงที่เจ้าน้องชายซุปตาร์ยังฝืนต่อปากต่อคำได้
“พี่มูนก็ได้แต่พูด พี่มูนก็กำลังว่ามอสในที่แจ้งเหมือนกัน”
“แจ้งตรงไหน มีแค่พี่ น้องเขา และก็มอสที่ได้ยิน” มูนยังตอบมอสหน้านิ่งๆ แล้วหันไปให้ความสนใจกับน้องแว่นข้างๆที่มีสีหน้าดีขึ้นกว่าเดิม พูดต่อขึ้นมาด้วยเสียงนุ่มนวลชวนฟังแถมยังชวนให้ทำตาม “เดินไปส่งพี่ที่รถหน่อยได้ไหมจ๊ะ”
“ได้ครับ”
อุศเรนไม่ใช่เด็กโง่ รู้เลยว่าพี่หน้าสวยคนนี้คงมีอะไรอยากจะพูดจึงรับคำ... มูนยิ้มน้อยๆเดินเกาะแขนเจ้าน้องแว่นออกมาจากร้าน ด้วยท่วงท่าอันเป็นเอกลักษณ์ เจ้าน้องแว่นจึงกลายเป็นองครักษ์ไปโดยปริยาย และในระหว่างที่เดินมารถนั้น เป็นดังคาด มูนก็ถามขึ้น
“ชื่ออะไรจ๊ะเรา”
“ชื่ออุศเรนครับ เรียกผมว่าเรนก็ได้ครับ ...คุณพี่ล่ะครับ”
“เรียกพี่เฉยๆก็พอ ไม่ต้องมีคุณ พี่ชื่อมูนจ้ะ เป็นพี่ของมอส...ว่าแต่คนที่ตั้งชื่อให้เรนนี่ ท่าทางจะชอบพระอภัยมณีสินะ” คงเป็นเพราะถูกชะตาหรือไม่ก็เวทนาละมัง มูนเลยพูดด้วยยาว
“ทำไมพี่รู้ล่ะครับ แม่ผมเป็นครูภาษาไทยครับ แม่ชอบวรรณคดีเรื่องพระอภัยมณี เลยเอามาตั้งชื่อให้ผมกับพี่สาว” อุศเรนหารู้ไม่ว่า พี่มูนหน้าสวยข้างๆ เชี่ยวชาญวรรณคดีเพียงไร
“มันเดาไม่ยากเลยเรน แล้วอย่าบอกล่ะว่าพี่สาวชื่อละเวง”
“ชะ ใช่ครับ”
อุศเรนรู้สึกทึ่งกับพี่มูนตัวหอมนัก คนอะไรก็ไม่รู้ งามทั้งรูปร่าง กริยา คำพูดคำจา ใครได้ไปเป็นแฟนคงโชคดีมากๆ พูดถึงเรื่องนี้ ก็รู้สึกโล่งใจแปลกๆ ที่พี่เขาเป็นพี่ของมอส หาใช่แฟนหรือคนรักอย่างที่เคยกังวลไม่... ว่าแต่ถ้าพี่เขาเป็นเกิดแฟนมอสจริงๆ แล้วตนจะทำไม อุศเรนคงไม่กล้าถามคำถามนี้กับตัวเองแน่แท้
“ตามท้องเรื่อง ละเวงเป็นน้องสาวอุศเรน....แต่ก็ช่างเถอะ มาเป็นพี่สาวก็ดี” เสียงเสนาะนุ่มของพี่มูนยังเติมต่อบทสนทนามาเรื่อยๆ ทำให้อุศเรนคลายหน้าชาๆ ยิ้มออกมาได้ รู้สึกประทับใจและสบายใจยามได้คุย อย่างนี้จะเรียกว่าถูกชะตามาเหมือนกันได้ไหม
“พี่มูนรู้ไหมครับว่าพี่เป็นไม่กี่คนที่รู้ที่มาของชื่อผม แถมรู้ดีด้วยแทบจะไม่ต้องถามผมเลย ผิดกับคนอื่นๆ ที่ไม่เคยสนใจจะถาม แถมยังเรียกผมว่า ไอ้อุศเลอะบ้าง ไอ้ขี้เลนบ้าง ”
“พี่ก็เคยโดนล้อเรื่องชื่อ โดนเรียกว่าอีขี้ พี่ก็เคยมาแล้ว” มูนอมยิ้ม และก็กลั้นหัวเราะไม่อยู่ เมื่ออุศเรนพูดต่อมาว่า
“อ้าวทำไมคนเรียกปากหมายังงั้นล่ะครับ แล้วพี่ทำยังไง แล้วพี่ยอมได้ไง”
“นั่นสิ พี่ยอมไปได้ไงก็ไม่รู้ รู้ตัวอีกที ก็ได้ไอ้คนที่เรียกนั่นและมาเป็นผัว” มูนพูดพลางหัวเราะพลาง เห็นเจ้าน้องเรนมองหน้างงๆ สงสัย จึงบุ้ยปากไปยังเบนซ์คันงามที่จอดไว้ข้างหน้า ซึ่งมีหมาบ้ารูปหล่อตัวเขื่องยืนสูบบุหรี่รออยู่ด้านหน้ารถ
“นั่นไง คนนั้น”
“หืมมมม”
อุศเรนทำเสียงสูง และยิ้มออกมาได้กว้าง ราวกับมิได้เจอเรื่องสะเทือนใจมาก่อนหน้านี้เลย และด้วยมารยาทคงไม่กล้าถามต่อในเรื่องส่วนตัวและเรื่องลูก คงได้แต่ยิ้มได้กว้างอย่างสุขใจเช่นเดิมยามเห็นคู่รักที่มิได้มีคำว่าเพศเข้ามาเป็นปราการ
พี่มูนเป็นผู้ชายที่จัดว่าสวยมากกว่าหล่อ ....ส่วนพี่ผู้ชายนี่หล่อร้ายจริงจัง
ทั้งคู่ดูสมกันอย่างน่าประหลาดใจ ...สมกันจนน่าอิจฉาในวาสนาตนที่ยังไม่มี
“ว่าแต่เราเถอะ ระวังล่ะ จะได้ไอ้คนที่ล้อเรื่องชื่อมาเป็นแฟน” มูนพูดในทำนองขำก็จริง แต่เล่นเอาอุศเรนหน้าแดง เพราะกำลังคิดเรื่องคู่เรื่องนี้อยู่แท้ๆ และอุศเรนก็หาสังเกตไม่ว่าประกายสายตาที่พี่มูนทอดมองตนเองนั้นดูคล้ายจะเอาจริงเอาจัง และวับวาวมากขึ้นยามกล่าวต่อมา
“พี่ขอโทษแทนมอสด้วยนะ อย่าไปถือสาเลย เขารักสตาร์มากก็เลยห่วงมากเป็นธรรมดา ... เจ้าน้องชายพี่บางทีก็ยังไม่ค่อยโตเป็นผู้ใหญ่เท่าไหร่นักหรอก ถึงแม้ปากเขาจะบอกว่าเขาโตแล้ว อีกอย่างต้นแบบที่เขาเดินตามก็ไม่ค่อยจะดีนัก พี่ก็ผิดเองที่เลี้ยงน้องตามใจ พี่ควรจะห้าม แต่ก็ดันปล่อยเลยตามเลย บางทีก็เผลอสนับสนุน พี่ว่าเรนก็คงอายุรุ่นราวคราวเดียวกับมอส แต่เรนยังดูเป็นผู้ใหญ่กว่า ไหนๆก็เป็นผู้ช่วยผู้จัดการให้เขาแล้ว ฝากคอยดูเขาให้พี่หน่อยก็แล้วกัน ลำพังคุณนายช้างคนเดียว คงจะดูไม่ทั่ว”
“ได้ครับพี่”
“เอาล่ะ ส่งพี่แค่นี้แหละ....หวังว่าคงได้เจอกันที่อัมพวานะจ๊ะ จะได้คุยกันต่อ”
พี่มูนพูดจบก็โบกมือลา เดินไปหาพี่ชายรูปหล่อ แล้วขึ้นรถไปด้วยกัน อุศเรนยืนรอจนรถออกและพอรถขับผ่าน กระจกรถทางเบาะหลังก็ลดลง จึงเห็นน้องซันสุดหล่อยักคิ้วโบกมือยิ้มกว้างให้ แต่ข้างๆคือเจ้าเด็กสตาร์นี่สิ ทำหน้าทำตาชิงชังมายังตน พร้อมกับชูนิ้วกลาง
เด็กคนนี้เกลียดอะไรตนนักหนากันเชียว ....เกลียดราวกับตนไปพรากของรักมันมางั้นแหละ!!!