Me After You บทที่ ๘ ความหวาน (Sweet) ส่วนที่๑
เจ้าซุปตาร์สั่งความเสร็จแล้ว ก็เอามือมาประสานกันหนุนหัวลงนอนบนหมอนนุ่ม ทอดกาย โชว์แผงอกกว้าง ขาวละเอียด เหนือหน้าท้องเป็นลอนลูกน้อยกำลังงามที่เจ้าตัวคงสรรค์สร้างมาแล้วอย่างพอดี ไรขนอ่อนๆสีน้ำตาลไล่เลียงจากสะดือเป็นทางพอมีให้เห็นเหนือขอบผ้าเช็ดตัวสีขาวที่พันไว้หลวมๆ ไม่ดูรกเกะกะรำคาญตาแต่อย่างใด ข้างๆกันคือวีเชฟ เป็นร่องเด่นเน้นบั้นเอวแกร่ง สะกดสายตาคนมองให้มองได้ไม่วางตา ยิ่งมองเห็นกระเปาะอูมๆ ใต้ผ้าเช็ดตัวด้วยแล้ว ยิ่งอดสร้างจินตนาการผงาดง้ำล้ำลึกมิได้ ความตระหนกตกใจในตอนแรกมลายหายสิ้น มีแต่อาการสั่นสะท้านสะเทือนวาบไปทั้งทรวง
นี่มันคือความจริงหรือความฝัน ดาราหนุ่มน้อยที่หลายคนหมายปอง มานอนรออยู่บนเตียง
เขาคนนี้เรียกมาให้นวด ...แต่สายตาที่ส่งนัยมาให้นี้สิ มันจะนวดแค่อย่างเดียวแน่หรือ ....ไม่มีทาง
‘เราจะทำยังไงดี’ เรนถามตัวเองในใจ ครั้นจะยกมือมาปิดตา ไล่เขาไปใส่เสื้อผ้า ผีบ้านผีเรือนคงด่าให้ว่าดัดจริต มอสมานอนรออย่างนี้ เรียกให้มานวดอย่างนี้ มีแต่นางเอกนิยายโง่ๆเท่านั้นแหละที่จะปฏิเสธ
มอสแค่ ‘ต้องการ’ ตนรู้ และก็รู้ดีว่า ยังไม่ควรคิดไกลถึงขั้นว่าเขาทำเพราะ ‘รัก’
ตนก็แค่กำลังลังเล แต่ถ้าอะไรๆ ที่มันจะเป็นความสุขของมอส ...ตนยอมได้ทุกอย่าง !!
บอกไว้แล้ว ยกไว้แล้วให้เป็นคนสำคัญอีกคน หัวใจก็อยู่กับเขาเสียนานแล้ว เร็วหรือช้าคงมิใช่ปัญหามาถามตัวเองให้เสียเวลา ปัญหาจึงมีแค่ว่า มอสเอาจริงแค่ไหน ฤาจะแค่เหมือนเมื่อคืนใต้ต้นลำพู
“ตกลงจะนวด หรือไม่นวด ยืนนิ่งอยู่นั่นแหละไอ้คุณหนู” เสียงกังวานสะท้านทรวงถามย้ำห้วนๆ ว่าที่หมอนวดก็ถามกลับไป เพื่อความแน่ใจ
“จะให้นวดจริงๆหรือ”
“แล้วจะให้พูดย้ำอีกสักกี่รอบ”
“งั้นก็ได้ แต่บอกไว้ก่อน เรานวดไม่เก่ง”
อุศเรนพูดจบก็เดินมาที่เตียง ทรุดเข่าลงกับพื้น แต่มอสก็บอกให้ขึ้นมาข้างบนจะได้นวดให้ถนัดๆ เรนจึงขึ้นไปนั่งข้างๆ วางมือไว้ที่ต้นขาแกร่งข้างขวาอันมีผ้าเช็ดตัวปกคลุม แล้วเริ่มนวดเบาๆ ไล่เลื่อยขึ้นลงไปมา สายตาก็ประสานไปยังคนจ้องมาตลอด
“ก็นวดดีนี่ ไหนว่านวดไม่ค่อยเป็น”
“เคยช่วยนวดให้คุณยายเจ้าของบ้านเช่าน่ะ”
“เหรอ งั้นหน้าที่ใหม่ ของนายอีกหน้าที่ คือนวดให้เรา ว่าแต่กดให้แรงลงมาอีกหน่อย เหมือนจะยังไม่ค่อยโดนเส้นนะเนี่ย” มอสยิ้มอย่างที่เรนเห็นว่าไม่เคยยิ้ม จะว่ามันหวานก็น่าจะใช่ แต่จะว่าไปมันดันเหมือนตัวร้ายกำลังกระหยิ่มในละครมากกว่า รอยยิ้มนั้นมีเพียงชั่วแวบให้เห็น ก่อนจะหายไปพร้อมกับชายผ้าเช็ดตัวที่เลิกออก เผยให้เห็นโคนขาแกร่งกระจ่างตาและปราการสีขาวรำไร
“อ่ะ จะได้ถนัด แล้วขยับขี้นมาสูงอีกนิดได้ไหม”
“ดะ ได้สิ”
เรนแม้จะรู้ว่าอะไรจะต้องเกิด แม้จะตัดสินใจจะยอมไปแล้วถ้าเขาจะเอาจริงๆ แต่เสียงก็อดสั่นพร่ามิได้ เรื่องนี้ตนจะไม่เริ่มก่อนเด็ดขาด ทว่าในเมื่อมอสเสนอมา ‘เปิดมา’ ตนก็ต้องสนองมอสให้ดังใจ
ว่าแล้วมือน้อยๆ จึงเริ่มวางลงบนต้นขาเปลือยอีกครั้ง กดน้ำหนักเพิ่มไปกว่าเดิม ไล่ขึ้นไปตั้งแต่หัวเข่าจนถึงขาหนีบ จนหลังมือสัมผัสกับความอูมมิหยุดหย่อน มินานความแข็งก็เข้ามาทักทาย พร้อมประจุไฟฟ้าพิสดารอันมองไม่เห็น ราวกับจะช็อตเข้าไปตรงกลางฝ่ามือพุ่งเข้าไปถึงขั้วหัวใจ เมื่อมันเป็นซะอย่างนี้ คาดว่าก็คงนวดต่อได้อีกมินานหรอก มอสคงให้ทำอย่างอื่น ที่เกินเลยหน้าที่ผู้ช่วยผู้จัดการ
ถามว่าเสียใจไหม ก็คงต้องย้อนถามกลับไปว่า ตนมีอะไรต้องเสีย มอสให้ตนทุกอย่าง ให้มอสคืนไปบ้างจะเป็นไร
ฉะนี้ ถ้าจะเสียก็เสียอย่างเดียว คือครั้งแรก....มันไม่โรแมนติคเอาซะเลย
“ใช้ง่ายแบบนี้ รู้งี้ใช้ไปนานแล้ว”
มอสพูดไปก็คิดไปว่าไม่ผิดหวังเลยสักนิด คิดไม่ผิดเลยที่ว่ามันง่าย และมันก็ง่ายจริงๆ เพราะมือของมันขยับสูงขึ้นมาตามสั่งมิเคอะเขิน จนหลังมือของมันโดนเข้ากับลูกกระสุนปืนใหญ่ทั้งสองของเขาเนืองๆ ไอ้คุณหนูนี่ลึกๆแล้วมันก็ซ่อนความอยากภายใต้หน้ากากแห่งความใสซื่อ ได้ไอ้พนักงานรีสอร์ทไปแล้วสามน้ำยังไม่พอ คาดว่ามันคงอยากจะต่ออีกสักน้ำเป็นแน่ คิดถูกแล้วที่ลองใจว่าง่ายหรือไม่ง่าย ความร่านนี่มันไม่เข้าใครออกใครจริงๆ
ทว่าตนจะแค่ลองใจมันแน่หรือ ลองใจประสาอะไร แค่หลังมือมันสัมผัสเข้าเบาๆเอาข้างลำปืนแค่นิดหน่อย ปืนใหญ่ก็ดันผงาดพร้อมรบเสียนี่ นึกถึงตอนเข้าวงการใหม่ๆยังไม่ดัง สไตล์ลิสท์สันดานต่ำแอบแตะอั๋งเล็กๆตอนเปลี่ยนเสื้อผ้าก็ไม่เคยแข็ง หรือคราวนี้จะเป็นเพราะถูกเคล้าถูกคลึงไปมา หรือว่าลึกๆแล้วตนก็เตลิดเหมือนเมื่อวาน แต่จะเพราะอะไรก็ช่างเถอะ สนใจแค่ว่ามันง่ายหรือไม่ง่ายแค่นั้นก็พอ และการลองใจมันก็ยังไม่จบเพียงเท่านี้ มันคือการให้โอกาสในสิ่งที่มันทำผิดพลาดกับพนักงานรีสอร์ท ถ้าท้ายสุดแล้วมันง่ายจริง ความรู้สึกดีๆที่มีให้ จะถูกลดลงไปพร้อมกับสถานะของมันแน่นอน
“เป็นยังไงบ้างมอส”
“ดีขึ้น แต่ถ้าจะให้ดีที่สุด นวดตรงนี้ด้วยสิ”
มอสยักคิ้ว แล้วใช้สายตาตัวเอง มองนำไปยังกระเปาะอวบอูมแข็งๆใต้ภายเช็ดตัวประหนึ่งมีใครเอากล้วยหอมผลเขื่องมายัดไว้ แล้วดูทีท่าว่าอีกฝ่ายจะทำอย่างไร เรนหรุบสายตามองตามอย่างช่วยไม่ได้ คิดในใจว่าในที่สุดมันก็มาถึงจุดนี้ จุดที่มอสปลดผ้าเช็ดตัวจนเห็นปราการสีขาวผ้าบางเนื้อดี ปกปิดลำแข็งๆลำเดียวกับด้ามไม้พายในกางเกงเมื่อวานที่เผลอไปจับเข้าโดยมิได้ตั้งใจ
เมื่อวานจับดูก็ว่าแข็งจนน่าตกใจแล้ว วันนี้เห็นด้วยตา รู้สึกว่ามันน่าจะแกร่งกว่าเมื่อวานหลายเท่า
ถ้าหากมอสใช้ฟาดใช้ฟันขึ้นมา คงสำลักกระอักเลือดเจียนตายเป็นแน่แท้
ความแข็งแกร่งของมันดันซะแทบปราการสีขาวเกือบปริขาด ฤทธิ์ร้ายของมันคงมิต่างอะไรกับงูจงอางตัวที่เห็นเมื่อครู่ และหัวสีชมพูของมันก็กำลังโผล่พ้นขอบ มาขู่ฟ่อๆ มันละเลื่อมไปด้วยน้ำใสๆชะโลมไหลตามธรรมชาติชวนให้ลิ้มลอง สยบลงด้วยลิ้น กินความหวานจนอิ่มเอม
“ มะ มอสสสส” เรนใจเต้นระรัวยิ่งกว่ากลองเพล มือทั้งสองข้างหยุดนวดลงในฉับพลัน ปากสั่นถามย้ำอีกครั้ง “มะ มอสต้องการเหรอ”
“ลองชิมดูสิ หวานนะ”
แทนคำตอบว่าต้องการหรือมิต้องการ มอสเอามือที่หนุนหัว มากดหัวเรนลง แรงที่ใช้มิได้มากมายอะไรเลย แค่แตะและผลักเบาๆ หัวของเรนก็ก้มต่ำลดลงไปหาลำเขื่องๆง่ายดาย มอสเองยามนี้ก็ใจเต้นระรัวเหมือนกัน ลุ้นอยู่ว่า ถ้าไอ้คุณหนูมันครอบปากลงไปชิมและดูดกลืนความหวานจนอิ่มเอมเมื่อไหร่ เมื่อนั้นสถานะของมันจะต้องถูกลดอย่างช่วยมิได้ในทันที
‘นี่นายจะไม่ขัดขืนบ่ายเบี่ยงเลยเหรอ’
เจ้าซุปตาร์ตะโกนดังก้องในใจ อยากจะตวาดตะคอกถามไปเป็นเสียงนัก แต่แล้วประโยคในใจนี้ก็ต้องหยุดลง เพราะจู่ๆหัวของเรน ก็มิยอมก้มลงไปต่อ กลับแข็งขืน ดึงดัน เงยหน้าขึ้นมา ราวกับมันได้ยินเสียงในใจเขา และพูดด้วยเสียงสั่นพร่าว่า
“มอส เรา.. เราเปลี่ยนใจได้ไหม เรายังไม่พร้อม”
เรนกลืนน้ำลายลงคอตัวเองอย่างๆฝืดๆ ยอมทิ้งความหวานตรงหน้า ยอมกลายเป็นนางเอกนิยายโง่ๆ ใจก็อยากด่าตัวเองนัก ที่เมื่อกี้คิดซะดิบดี แต่ครั้นพอจะต้องทำจริงๆ ด้วยเหตุผลส่วนตัวบางข้อที่มิกล้าบอกออกไป ทำให้กลับกลัว เข้าข่ายดีแต่ปาก มิยอมใช้ปากชิมของหวาน...เรนจะรู้ไหมว่าการเปลี่ยนใจกะทันหัน มิยอมสนองของตัวนี่แหละ ที่ทำให้คนเสนอพึงใจ
“เป็นอะไร ทำไมถึงไม่พร้อม”
มอสถึงจะพึงใจอยู่ แต่ปากก็ขยับถามด้วยอารมณ์ซับซ้อนลมเพลมพัด เอาแน่เอานอนทางความคิดและจิตใจมิได้ คล้ายพระเอกนิยายมีปมจิตประสาทที่วางขายเล่มละยี่สิบห้าบาท คนอะไรก็ไม่รู้พอเขาจะทำก็ไม่พอใจ ครั้นพอเปลี่ยนใจมิทำให้ ก็แทบจะเป็นฟืนเป็นไฟ
“อิ่มแล้วหรือไงวะ”
“อิ่มอะไร...เรายังไม่เคย” เรนตัดสินใจบอกออกไปในที่สุด
‘ตอแหล แล้วเมื่อกี้ที่ไปอมให้ไอ้แฮ็คส์มาล่ะ มันคืออะไร’ มอสอยากจะตะโกนถามใส่หน้าของคนที่คงกำลังแกล้งทำใสซื่อไปด้วยประโยคนี้นัก แต่แล้วก็หักใจ เปลี่ยนเสียใหม่
“จริงเหรอที่ว่าไม่เคย แล้วเมื่อกี้กับไอ้พนักงานรีสอร์ทที่ชื่อแฮ็คส์ มันคืออะไร”
เจ้าดาราหนุ่มน้อยมันมิพูดเปล่า มันแปลงร่างจากพระเอกใสๆกลายเป็นพระเอกไฟรักอสูร ที่กำลังใช้วงแขนตวัดเอวของเรนเข้าหาตัว แล้วเบี่ยงตัวหนากว่าขึ้นมาทาบทับด้านบน มอสจะรู้ตัวเองไหมว่าความตั้งใจที่จะแค่ลองใจจนได้คำตอบที่พอใจ มันกลับถูกความบ้าบอทางอารมณ์ของตนนี่ บังคับให้ดำเนินต่อจนไม่สมเหตุสมผลเสียเอง
“น้ำละห้าร้อย สามน้ำ พันห้า เอาของเราไปอีกน้ำหนึ่งไหม จะได้เอาไว้เทียบกับของไอ้แฮ็คส์นั่นได้ว่าของใครหวานกว่ากัน ”
“น้ำละห้าร้อยอะไร เราไม่รู้เรื่อง เราแค่เอาเงินไปให้คนชื่อแฮ็คส์ตามที่พี่ช้างบอกเท่านั้น ปล่อยเราก่อนมอส เรายังไม่พร้อม”
“ไม่จริง ไม่เชื่อ ไม่ปล่อย”
ยังมิทันจะมืด มอสก็หน้ามืดซะแล้ว จึงกดร่างเรนหนักกว่าเดิมลงไปกับเตียงอีกครั้ง แล้วขึ้นคร่อมมากดทับยังหน้าอก มือทั้งสองข้างเตรียมรูดขอบชั้นในขาวลงมายังต้นขา ให้กระบอกปืนด้ามเขื่องสมตัวอยู่ในองศาที่จะสอดเข้าปากเรนไประรัวยิงกระสุนได้ดีที่สุด แต่แล้วก็มิทันได้ทำ เพราะอุศเรนใช้แรงทั้งหมดที่มี ผลักเขาออกจนเสียหลักล้มลงไปข้างๆ พอเป็นอิสระได้เท่านั้น ก็รีบผลุดลุกลงจากเตียง มอสด้วยความไว คว้าเรนเอาไว้ แต่คว้าตรงไหนไม่คว้า ดันไปคว้าเอาคอเสื้อ แถมไอ้นิ้วเจ้ากรรมมันดันไปเกี่ยวเอาสร้อยสามกษัตริย์ หลุดดังกึกติดนิ้วมา และนั่นมันก็ทำให้การยื้อยุดฉุดกระชากจบลงไปพร้อมๆกับความกระสันคันอยากและสร้อยที่ตะขอขาดลงนั่นเอง
“โอ๊ยย เจ็บ” เรนร้องขึ้น รีบเอามามาแตะที่คอตัว พอเอามาดูก็เห็นเลือดซิบๆติดมือ “เลือดออกเลย”
“เฮ้ย จริงเหรอ ขอดูแผลหน่อย” มอสตกใจในสิ่งที่ทำลงไป จะเข้ามาดูแต่เรนก็ผลักออก
“ไม่ต้องเลยมอส ไม่ต้องมายุ่ง สร้อยที่พี่มูนให้ขาดเลยเห็นไหม แล้วนี่เป็นบ้าอะไรของนาย เราบอกยังไม่พร้อมก็ยังไม่พร้อมสิ ไอ้น้ำละห้าร้อยอะไรนั่นเราก็ไม่รู้เรื่อง เรารู้แต่พี่อัยใช้ให้เราเอาเงินห้าร้อยไปให้คนชื่อแฮ็คส์เท่านั้น เราไม่คุยกับนายแล้ว”
เรนโมโหขึ้นเสียง พูดจบก็หันหลังเตรียมมุ่งไปที่ประตู แต่มอสก็กระโดดลงมาคว้าตัวเอาไว้อีกที ทว่าคราวนี้คว้าได้แค่แป๊บเดียวแล้วก็ต้องล้มลงไปกอง เพราะเข่าลูกเล็กๆของไอ้คุณหนูมันกระแทกเข้าให้กลางเป้ากระบอกปืนเข้าอย่างจัง
“นี่แน่ะ”
“โอ๊ยยยยยยยยย”
คราวนี้มอสร้องลั่นขึ้นบ้าง ร่วงลงไปกองนอนจุกตัวงออยู่บนพื้น มือทั้งสองข้างที่เมื่อกี้ใช้ไขว่คว้าไล่ล่า ยามนี้เอามากุมกลางกระบอกปืนไว้แน่น เรนไม่เข้ามาดูเพราะรู้ว่าแค่นี้ คงไม่ตาย หันมามองแค่แว่บเดียว และเปิดประตูเดินออกไป ทิ้งมอสให้อาฆาตไล่หลังไปมาอยู่คนเดียว
“ฝากไว้ก่อนไอ้คุณหนู ...โอ๊ยยยย ห่าเอ๊ย”
ทางด้านเจ้าพระอาทิตย์ดวงน้อยกับเจ้าละอองดาว ยามนี้ยังคงยึดพื้นที่ด้านในศาลาโยคะอยู่กันสองต่อสอง น้ำตาจากดวงดาวมันเหือดหายไปในอ้อมอกของพี่จนหมดแล้ว แต่ก็ยังทิ้งตัวและทิ้งระยะเวลาไว้นานพอดู กว่าจะค่อยๆผละออกมาเอง แต่สำหรับพี่ชายที่รู้มานานแล้วว่าไม่ใช่พี่ชายแท้ๆ กลับมิยอมปล่อย ใช้วงแขนที่แข็งกว่ารัดน้องแล้วจับนั่งลงบนตักอย่างที่ทำเหมือนตอนเด็กๆ
พี่ซันจะรู้ไหมว่าตอนนี้มันไม่ใช่เด็กๆกันแล้ว ...พี่ซันกำลังเป็นหนุ่ม ส่วนน้องก็จะตามมาอีกในไม่ช้า
พี่ซันจับนั่งบนตักมาอย่างนี้ อาการวาบที่เพิ่งหายไป มันกำลังกลับมา
“พี่ซัน ปล่อยได้แล้ว สตาร์นั่งไม่ถนัด”
“ทีนี้ถนัดหรือยัง” ซันขยับตักให้กว้างขึ้น คลายวงแขนออกอีกหน่อย ไม่ยอมปล่อยตามคำขอ
“สตาร์นั่งข้างล่างดีกว่า”
แล้วสตาร์ก็เบี่ยงตัวออกมาเองจนได้ คราวนี้ไม่ปล่อยตัวเหมือนเมื่อกี้ นั่งห่างไปหลายคืบ นั่งกับพื้นหันหน้าเข้าหาพี่ ใช้สายตาสีน้ำตาลมองหน้า ก็เห็นว่าพี่ชาย ยิ้มพรายอารมณ์ดี เห็นแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่า ปกติพี่ซันก็หล่ออยู่แล้ว ยิ่งยิ้มจนเห็นลักยิ้มนี่ ยิ่งหล่อเข้าไปใหญ่ ตอนเด็กๆเคยออกปากชมไปหลายครั้ง แต่พอโตขึ้นมา ไม่เคยชมให้เขาได้ยินต่อหน้าเลย ถ้าวันนี้จะชม มันจะเป็นอะไรไหม อย่างน้อยก็ตอบแทนน้ำใจที่ช่วยเหลือให้พ้นจากงูสองตัวเมื่อครู่ แต่ชมตรงๆล่ะคงไม่ ไปอ้อมๆดีกว่าละกัน
“ยังมายิ้มหล่ออยู่ได้” ถึงแม้จะไปอ้อมๆ แต่อาการวาบก็วิ่งขึ้นหน้าได้ตรงๆ พูดเองก็เขินเองหน่อยๆ คนฟังไยจะมิเห็นอาการ และก็คงจะตกอยู่ในลักษณาการความรู้สึกเดียวกัน จึงต่อปากต่อคำมาพร้อมหน้าแดงๆ
“พี่ไม่ยิ้ม พี่ก็หล่อ เพราะพ่อพี่หล่อและแม่พี่ก็สวยมาก”
“พูดอย่างกับเคยเห็น”
“เคยสิ ไม่เคยจะจำได้เหรอว่าหล่อกับสวย”
“อย่ามาโม้เลยพี่ซัน” สตาร์หยุดเพียงครู่ ค้อนให้ไปหนึ่งขวับ แล้วพูดต่อตามที่รู้ดี “สตาร์รู้นะว่าพี่ซันมาอยู่กับคุณป๊ะคุณมะตอบขวบกว่าๆ จะจำหน้าพ่อแม่ตัวเองได้ยังไง”
“ก็ในฝันไง”
“โฮ้ยยย เลอะเทอะ” น้องชายว่าเข้าให้ แล้วเปลี่ยนไปอีกเรื่อง “ว่าแต่ไอ้แขกสองตัวเมื่อกี้ ทำไมมันดุจัง แล้วไปตั้งชื่อให้มันตั้งแต่เมื่อไหร่”
“มันก็ชื่อนี้ของมันมาตั้งแต่เกิด มันก็อยู่ของมันเฉยๆ มันเข้าฌานของมันอยู่ นายกับพี่เรนต่างหากไปรุกล้ำที่มัน ไปทำลายสมาธิมัน มันก็โกรธสิ” ซันตอบทีเล่นหรือทีจริงก็มิรู้ รู้แต่ตอนนี้พื้นอารมณ์ดีจริงๆ
“เลอะเทอะ เพ้อเจ้ออีกแล้วพี่ซันนี่ก็ สตาร์ขึ้นบ้านดีกว่า เดี๋ยวคุณป๊ะจับได้ว่าแอบลงมา สตาร์จะซวยอีกรอบ”
สตาร์ผลุดลุกขึ้น เตรียมเดินออกข้างนอก แต่แล้วเจ้าพี่ชายก็กลับรั้งไว้ด้วยมือแข็งแรง ดึงแขนฉุดน้อง ลงมานั่งกอดไว้บนตักกว้างอีกครา ส่งเสียงใสพร้อมลมหายใจอ่อนๆตามมาข้างๆหู มิยอมให้การสนทนาจบลง
“คุยกันก่อนสิ คุยกันกำลังเพลินเลย นานแล้วที่เราสองคนไม่ค่อยได้คุยกันดีๆอย่างนี้ เรื่องคุณป๊ะเดี๋ยวพี่รับผิดชอบเอง สตาร์ดัสท์”
คนฟังไยจะมิเห็นด้วย ใช่สิ นานแล้วที่ไม่ค่อยได้คุยกันดีๆ พี่ซันพูดถูกทุกคำ แต่ก็มีบางคำที่ไม่ชอบใจ “อย่าเรียกสตาร์ดัสท์ได้ไหม”
“ทำไมล่ะ”
“เพราะมันมีไว้ให้น้ามอสเรียกคนเดียว”
สตาร์ตอบตรงๆตามจริง ด้วยเสียงนิ่งๆ นี่ถ้าลองหันกลับไปมองหน้าซันสักนิด จะเห็นว่าหน้าของพี่ชายหมองลงไปหลายระดับรวดเร็ว และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆเมื่อน้องหันมามอง แล้วลุกออกจากตักพี่อีกครั้ง พี่เองที่ได้ยินได้ฟังดังนั้น ก็คงไม่มีแรงฉุดรั้งอีกต่อไป
พี่ผิดเองสตาร์ ผิดที่สะเออะเรียก ในชื่อที่พี่ไม่ควรเรียก
พี่ควรจะเจียมตัวเจียมใจใช่ไหมว่า ‘พี่ชาย’ ยังไงก็เป็นได้แค่พี่ชาย เท่านั้นเอง
เจ้าดาวน้อยของบ้าน มองหน้าหล่อเหลาของพี่ชายที่หม่นแสง นอกจากเขาจะยิ้มไม่ออกแล้ว ยังนิ่งเงียบไม่ไหวติงอีกด้วย จนไม่รู้ว่าหัวใจยังเต้นหรือมีลมหายใจอยู่หรือเปล่า เมื่อพี่ชายมิยอมเติมบทสนทนาต่อ ตนก็ทนเงียบอีกสักพัก แล้วตัดสินใจ พูดขึ้นด้วยใจที่เต้นระรัว ซึ่งก็ยังหาคำตอบให้ตัวเองอีกไม่ได้เหมือนกันว่ามันเกิดขึ้นเพราะอะไร
“สตาร์อยากได้ยินชื่อใหม่ ชื่อที่พี่ซันจะเอาไว้เรียกสตาร์คนเดียว”
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า ใบหน้าที่สลดลงของพี่ชายปลาสนาการสิ้น หวนคืนฟื้นกลับมาสดใสจนกระจ่างตาเกินคำว่ารวดเร็ว ยิ้มกว้างกว่าเดิมมีมาให้เห็นทันทีที่สตาร์พูดจบ ใจดวงน้อยที่เมื่อกี้คล้ายจะหยุดเต้น ก็กลับมาเต้นได้อีกครั้งจนระรัว มิต่างอะไรกับน้องชายเลย
“ละอองดาว” ซันเรียกน้องตามที่ใจคิดอยากจะเรียกมาอีกชื่อ แต่ใจน้องก็ยังคงมิโปรดเฉกเดิม
“มันก็แปลมาจากสตาร์ดัสท์นี่ ไม่เอา”
“งั้นก็เรียกว่า ‘ดาว’ เฉยๆดีไหม ” ซันมิพูดเปล่า ใช้ประกายสายตาสีน้ำตาลอมน้ำผึ้งสำทับคำพูดให้ดูหนักแน่นจริงจัง ขนตาหนาเป็นแพกระพริบแต่ละครั้ง กวาดต้อน หว่านล้อมหัวใจของคนฟังให้โอนอ่อนรับคำจนสมใจ
“สตาร์จะเป็นแค่ดาว....ดาวดวงเดียวที่พี่จะไม่มีวันเติมเอส ให้มีหลายดวง”
“พี่ซัน พูดอะไรก็ไม่รู้”
สตาร์ไม่ใช่เด็กโง่ จะไม่รู้เลยหรือว่าพี่ชายหมายความอย่างไร เพราะรู้แล้ว จึงได้แต่งุบๆงิบๆ ก้มหน้างุดๆ ปล่อยให้สภาวะการเต้นของหัวใจที่เต้นแรงเกินต้านทานดำเนินต่อไปเรื่อยๆ หัวใจยามนี้กำลังสูบฉีดเลือดให้ขึ้นมาจับบนใบหน้าขาวใสมิหยุดหย่อน จนสีแก้มกลายเป็นชมพูระเรื่อเจือแดงอ่อนๆ มิต้องพึ่งบรัชออนของป้าช้างแต่อย่างใด นี่ใช่ไหมที่เรียกกันว่าเขิน ถ้าใช่ก็คงเขินหนักมาก หนักเสียจนกระทั่งอยากแงะพื้นศาลาโยคะหนี แม้จะก้มหน้าก้มตาซ่อนซะดิบดี พี่ซันก็โน้มตัว สอดหน้าตามมามองยักคิ้วให้ ส่งยิ้มกว้างคลี่กระจาย ไล่ความอึมครึมเรื่องน้ามอสที่มีมาตั้งแต่เช้าให้หายไปได้อย่างน่าอัศจรรย์
สมแล้วที่พี่เป็นพระอาทิตย์ พี่สาดแสงสดใสสว่างจ้าเสียจนกระทั่งยามนี้....มองไม่เห็นน้ามอสเลย
พี่ซันไล่น้ามอสหายไปจากใจชั่วขณะได้อย่างไรตอนไหนกัน ฤามันเริ่มต้นตั้งแต่ตอนซับน้ำตากับอกของพี่เมื่อกี้แล้ว
“พี่ง่วง...ขอพี่หนุนตักหน่อยนะ ดาว”
เสียงพี่ซันขับตามต่อมากังวานยิ่ง อยู่ในท่วงทำนองลูกอ้อน จนดาวของพี่ก็ใจอ่อนอยากจะตามใจ จึงไม่เลื่อนตักหนี แต่แล้วพี่ซันก็กลับหยุดชะงักเสียเอง เพราะเสียงวิ่งแท่ดๆ ดังขึ้นถี่กระชั้นจนถึงหน้าประตูศาลา แล้วเจ้าของฝีเท้าก็โผล่หัวเข้ามาพร้อมตัวพร้อมเสียง ตะโกนลั่นสมชื่อเฉกเคย
“มาอยู่กันที่นี่เอง สกายตามหาซะทั่ว” สกายเดินเข้ามา มิได้สังเกตเลยว่า พี่ชายคนโต ทำหน้าทำตากับการเข้ามาขัดจังหวะของตนอย่างไร
“ตามหาทำไมวะ”
“สกายมีอะไรจะให้ดู” สกายพูดจบ ก็ทรุดลงนั่ง ไม่สนใจในท่าทีหงุดหงิดของพี่ชาย หยิบมือถือขึ้นมาแล้วเปิดรูปๆหนึ่งให้ซันดู อธิบายที่มาว่า “ เมื่อวาน สกายเข้าไปในห้องเก็บของที่บ้านคุณย่ามา สกายเจอรูปนี้ในลังเก็บของ ก็เลยถ่ายมา นี่ไง รูปคุณป๊ะถ่ายคู่กับผู้หญิง ส้วย สวย สงสัยจะเป็นแฟนเก่าคุณป๊ะ”
“โธ่เอ๊ย ก็นึกว่าเรื่องอะไร ก็แค่รูปคุณป๊ะกับแฟนเก่ามันจะอะไรนักหนาวะ” ซันอยากจะตบกระโหลกไอ้เจ้าสกายนัก ที่เข้ามาขัดจังหวะด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง
“ฟังก่อนสิพี่ซัน ตอนแรกก็ไม่อะไรหรอก แต่พอสกายเอาไปถามคุณปู่ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นแฟนเก่าคุณป๊ะเหรอ คุณปู่ก็ทำหน้าตกใจ บอกสกายว่าอย่าไปสนใจ ให้ลบทิ้งไปซะ คุณปู่บอกมาอีกว่าอย่าถามถึงผู้หญิงคนนี้อีก และก็ห้ามไปถามคุณป๊ะกับคุณมะเด็ดขาด แถมตอนเย็นนะก็แอบเห็นคุณย่าให้คนใช้ เอารูปคุณป๊ะกับผู้หญิงคนนี้ไปเผาทิ้งหลังบ้านกองเบ้อเร่อเลย สกายบว่ามันต้องมีอะไรแน่ๆ พี่ซัน”
ซันเริ่มคิดตาม แล้วก็เริ่มเห็นพ้องกับสกาย ส่วนสตาร์พอเอามือถือของสกายมาดู ก็ตาโต ยั้งปากไม่อยู่ หลุดปากมาทันใด
“เฮ้ยยยยย นี่มันคุณอาเกรซที่ร้านขายยานี่นา” สตาร์หลุดปากมาอย่างนี้ แน่นอนว่าพี่ชายทั้งสองย่อมหันมามอง และก็แน่นอนอีกว่า ย่อมประสานเสียงขึ้นมาพร้อมกัน
“เล่ามาเดี๋ยวนี้เลย”
เจ้าดาวน้อยของพี่ๆ กว่าจะรู้ตัวว่าหลุดชื่อใครมาก็สายเสียแล้ว ทั้งๆที่คุณอาเกรซก็เคยย้ำนักย้ำหนาว่าให้ปิดเป็นความลับแล้วเชียว สิ่งเดียวที่ทำได้ในตอนนี้มันก็คงหนีไม่พ้น จำยอมเล่าตั้งต้นจนจบในวันที่หายไปแถวสำเพ็งนั่นเอง